โฆษกคสช.แถลงทำงานครบ 2 ปี อัดพวกใช้ความรู้สึกนึกว่าจะล้มประชามติเพื่ออยู่ต่อ
ติเตียน ม.ราชภัฏราชนครินทร์ เตือนบุคลากรโพสต์เฟซบุ๊ก หลังพบวิจารณ์ร่างรธน.มีชัย
ม.ราชภัฏราชนครินทร์ ซึ่งมี 'มีชัย ฤชุพันธุ์' นั่งนายกสภามหาวิทยาลัย ออกบันทึกเตือนบุคลากรโพสต์เฟซบุ๊ก หลังพบวิจารณ์ร่าง รธน.มีชัย ชี้เป็นหน่วยงานของรัฐต้องให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ไม่ควรโพสต์ข้อความที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม หรือไม่สร้างสรรค์ เสี่ยงผิด พ.ร.บ.คอมฯ
28 พ.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กชื่อ 'Arjinjonathan Arjinkit' ของ อาจิณโจนาธาน อาจิณกิจ อาจารย์ประจำสาขาศิลปกรรม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา ได้เผยแพร่บันทึำข้อความ ซึ่งออกโดยผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี เรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ถึง คณบดีทุกคณะ ผู้อำนวยการสถาบัน สำนักและศูนย์ ในมหาวิทยาลัย โดยระบุว่าผู้อำนวยการสำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้นสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งพบว่ามีบุคลากรบางคนได้โพสต์ข้ความไม่เหมาะสม
อาจิณโจนาธาน โพสต์ข้อความวิจารณ์บันทึกดังกล่าวด้วยว่า เมื่อมหาวิทยาลัยสอดส่องเฟซบุ๊กคุณ
"ผมได้รับหนังสือเวียนนี้ เป็นบันทึกข้อความส่งถึงคณบดีทุกคนให้กับชับการใช้เฟสบุคของบุคลากรของมหาวิทยาลัย มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่มากดังนี้
1. บุคลากรของมหาวิทยาลัยมีจำนวนร่วม 1,000 คน มหาวิทยาลัยรู้ได้อย่างไรว่าใคร ใช้เฟสบุคชื่ออะไร และใช้หน่วยงานไหนเป็นคนสอดส่อง
2. ในหนังสือระบุว่า “มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานของรัฐต้องให้ความร่วมมือกับรัฐ” หมายความว่าอย่างไร คือห้ามบุคลากรของมหาวิทยาลัยวิจารณ์ คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาล ร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ หรืออย่างไร???????
3. การโพสต์ข้อความหรือแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในเฟสบุค เป็นความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยหรือไม่? หากข้อความดังกล่าวสร้างความแตกแยก ความไม่สงบ หรือผิด พรบ.คอมฯ มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องรับผิดชอบ หรือเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ต้องรับผิดชอบ
4. การที่มหาวิทยาลัยสอดส่องการใช้เฟสบุคของบุคลากร (ผมสันนิษฐานว่ามีการสอดส่องเรียบร้อยแล้ว ถึงมีหนังสือเวียนฉบับนี้ออกมา) เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และเป็นการคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกหรือไม่
ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยอาจจะต้องตอบคำถามเหล่านี้ต่อสาธารณะชนครับ" อาจิณโจนาธาน โพสต์
มีชัยนั่งนายกสภาฯ จ่อถอดอธิการ ชี้เตือนบุคลากรเหตุมีคนโพสต์วิจารณ์ร่างรธน.
มติชนออนไลน์รายงานด้วยว่า นพพร ขุนค้า อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ ที่ประชุมสภา มรภ.ราชนครินทร์ ที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย เป็นประธาน จะประชุมวาระพิเศษ ซึ่งมีวาระลับ พิจารณาถอดถอน อุทัย ศิริภักดิ์ ออกจากตำแหน่งอธิการบดี อ้างว่า ตั้งแต่นายอุทัย ดำรงตำแหน่งมาเป็นเวลา 3 ปี ได้กระทำความผิดในการอาศัยอำนาจหน้าที่ราชการเพื่อให้ตนเอง และผู้อื่น ได้รับประโยชน์ที่มิควรได้โดยทุจริต ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ใช้จ่ายเงินของทางราชการโดยไม่เหมาะสม หย่อนความสามารถ และบริหารงานขาดประสิทธิภาพหลายประการ จึงไม่อาจวางใจให้นายอุทัยปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอธิการบดีต่อไปได้
นอกจากนี้ นพพร ยังเปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่มีการออกคำสั่งให้บุคลากรร่วมมือรัฐ ดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะล่าสุด มีอาจารย์มหาวิทยาลัยรายหนึ่งโพสต์แสดงความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญในทิศทางที่ขัดแย้งกับนายกสภาฯ อีกด้วย
รุ่นพี่ นิติ มข. วินิจฉัย ปี 1 ปีนี้ ไม่ได้รุ่น บกพร่องความสามัคคี-ร่วมกิจกรรม
สโมสรนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ม.ขอนแก่น ออกบันทึกแจงไม่มีกิจกรรมพิธีชิงธงรุ่น ปีนี้ เหตุปี 1 ไม่ได้รุ่น หลังไม่ผ่านประเมินของรุ่นพี่ บกพร่องความสามัคคี-ร่วมกิจกรรม ย้ำไม่กระทบความเป็นครอบครัวคณะนิติศาสตร์ หรือกระทบต่อการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด
ที่มาเฟซบุ๊ก 'Janewit Chueasawatee
28 พ.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา เจนวิทย์ เชื้อสาวะถี นักกิจกรรมทางการเมือง โพสต์ บันทึกข้อความ ของสโมสรนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ถึง นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2558 เรื่อง ชี้แจงกิจกรรม 'พิธีชิงธงรุ่น รุ่นที่ 12 ประจำปีการศึกษา 2558'
เจนวิทย์ สงสัย การไม่ให้รุ่น(โดยรุ่นพี่) ไม่ใช่ระบบ sotus?
ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ: วันของเด็ก...
ข้อเขียนนี้ ผมเขียนขึ้นมาครั้งแรกในปี 2012 เป็นการสะท้อนย้อนคิดประสบการณ์ของตนเองวัยเด็กแบบหนึ่ง ประสบการณ์เช่นนี้ถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากสังคมที่ยอมรับลำดับชั้นทางสังคมและระบบอำนาจนิยมแบบทหารเป็นสำคัญ ข่าวอนุบาลคอสเพลย์ชุดทหาร ที่ จ.ขอนแก่น ที่ผ่านมา ทำให้ผมนึกถึงข้อเขียนนี้อีกครั้ง การเผยแพร่ครั้งนี้ หวังว่าจะเป็นการช่วยให้เกิดการทบทวนถึงระบบอำนาจนิยมในเมืองไทยอีกครั้ง หลังจากการรัฐประหาร
ที่มาภาพ: Bright TV ซึมซับแต่เด็ก! เด็กอนุบาลแต่งชุดทหารมาเรียนสร้างวินัยรักชาติ
1.
วันเด็กเคยทำให้ผมรู้สึกภูมิใจ...
ความภูมิใจของผมเกิดขึ้นราวยี่สิบกว่าปีที่แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งในการแข่งขัน “เก็บขยะ” การแข่งขันนี้มีที่มาจากครูในโรงเรียนเล็งเห็นว่าขยะจากงานวันเด็กมีเยอะจนล้นเกินภาระกิจของภารโรง ประกอบกับของบริจาควันเด็กประเภทปลากระป๋องก็เหลือมาก กลัวว่าหากเก็บไว้นานก็จะบูดหรือหมดอายุ ดังนั้น เสียงประกาศการแข่งขันจึงดังขึ้นราวกับเป็นพิธีปิดฉาก “วันเด็ก” ในปีนั้น
แน่นอน ในฐานะคนเก็บขยะเก่งที่สุด ผมได้รับปลากระป๋องจำนวนมากและกลับบ้านในสภาพเนื้อตัวมอมแมม ผมยังโฆษณากับแม่และยายเสียลั่นแบบลากเสียงยาวๆ ว่า “ได้ถ่ายภาพคู่กับครูใหญ่ด้วยยย…ครูที่โรงเรียนชมใหญ่เลยว่าหนูเป็นเด็กดี…”
วันเด็กทำให้ผมรู้สึกภูมิใจ
2.
1 ปีต่อมา งานวันเด็กถูกจัดอีกครั้ง กิจกรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นซ้ำๆ เหมือนทุกปีที่ผ่านมา บรรดาข้างต้มทรงเครื่องโรยแผ่นเต้าหู้ทอดจืดๆ ส้ม นมถุงและมันแกว ถูกยกมาให้กับผู้เข้าร่วมงานอย่างต่อเนื่อง บนเวทีการแสดง เพื่อนๆ ของผมที่มีหน้าตาเข้าท่าเข้าทางหน่อยกำลังวาดลวดลายแสดงความสามารถต่างๆ เพื่อประกวดยุวชนดีเด่น ขณะที่ในลานกว้างของโรงเรียน เด็กหลายคนที่รูปร่างออกกำยำล่ำสันกำลังแข่งขันชักคะเย่อ วิ่งกระสอบ เป่าแป้งหาเหรียญ และเกมส์อีกมากมายที่เรียกเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่ จำได้ว่ามีเสียงประกาศดังตลอดงานว่าผู้ชนะเลิศและรองทั้งสองอันดับในแต่ละเกมส์เท่านั้นจะมีสิทธิไป “ลอง” นั่งเก้าอี้ของนายอำเภอ รองนายอำเภอ และครูใหญ่ ตามลำดับ
ผมก็ไม่ทราบว่ายุวชนดีเด่นกับเก้าอี้พวกนี้มีแรงดึงดูดกับเด็กอย่างไร แต่เห็นสีหน้าและอาการเชียร์ของบรรดาพ่อและแม่ของเด็กแล้วก็ตกใจ เพราะแทบทุกคนหากไม่ตะแบงเสียงเชียร์สุดฤทธิ์ก็ทำการติวเข้มลูกช่วงก่อนขึ้นเวทีประกวดกันอย่างเต็มที่ อดนึกไม่ได้ว่าตำแหน่งยุวชนดีเด่นกับเก้าอีนั่นคงเป็นของดีจริงๆ ไม่งั้น พวกผู้ใหญ่คงไม่เคี่ยวเข็ญเราขนาดนั้น
วันเด็กปีเดียวกันนี้ ผมตั้งใจว่าจะไม่เล่นอะไรที่เป็นเด็กๆ อีกต่อไป ความรู้สึก “ห้าวและห่าม” เริ่มเกิดขึ้น มันผลักดันให้ผมไปเดินเบียดเสียดเยียดยัดกับเด็กในวัยเดียวกันเพื่อจะลองนั่งรถถังและจับปืนกลกับพี่ๆ ทหารดูสักครั้งให้ชื่นใจ อ้อ...ลืมบอกไป วันนั้นผมแต่งตัวชุดทหารลายพรางไปเสียเต็มยศ แถมยังพกหนังสติ๊กยิงนกไว้ที่เอวเป็นมั่นเหมาะพร้อมกระสุนดินเหนียวอีกหนึ่งถุง พ่อกับแม่ของผมพากันหัวเราะเสียยกใหญ่ เนื่องจากชุดที่ผมใส่มันไม่เข้ากับอาวุธที่มี “มันต้องมีปืนลูก...วันหลังพ่อจะพาไปซื้อปืนกลที่ตลาดนัด...” พ่อบอกอย่างนั้น
เรื่องปืนกับหนังสติ๊กเป็นความทรงจำที่ชัดเจนมากสำหรับผม เพราะหลังจากกลับมาที่บ้านแล้ว ผมยังคงใส่ชุดทหาร “เดินลาดตระเวน” (จริงๆ คือเดินเล่น) อยู่แถวๆ ถนนหน้าบ้านซึ่งขนาบไปด้วยทุ่งนาขนาดใหญ่ ทุกๆ เย็นถนนลูกรังแห่งนี้มักเต็มไปด้วยฝูงควายจำนวนมากที่ถูกต้อนเข้าคอก ภาพของเด็กวัยรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังต้อนควายกลับบ้านจึงเป็นเรื่องคุ้นตาสำหรับบ้านเรา ผมคิดว่าเด็กพวกนี้ “เท่” ดี เพราะสีผมของพวกเค้าออกแดงๆ แถมยังไม่เกรียนสั้นเหมือนนักเรียนประถม บางครั้งผมก็รู้สึก “ทึ่ง” ยามเห็นพวกเค้าสามารถขุดหาสัตว์ตามคันนาจำพวก แย้ ปู กบ และงู สำหรับนำมาประกอบอาหารเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพ่อแม่หรือไปหาซื้อตามตลาด
แต่แม่มักบอกผมทุกครั้งว่า เด็กพวกนี้เกเร ไม่อยากให้ผมไปเล่นด้วย บางครั้งก็บอกว่าเด็กพวกนี้น่าสงสาร ไม่ได้เรียนหนังสือ ต้องทำงานตากแดดจนผมแดง ตัวดำ
การเดินลาดตระเวนวันนั้นมีเรื่องผิดสังเกตและน่าผิดหวังนิดหน่อย ผมไม่เห็นฝูงควายเช่นเดิม มีเพียงกองขี้ทั้งสดและแห้งของมันปรากฏอยู่เกลื่อนถนน ปกติในเวลานี้ ผมจะต้องเจอเด็กเลี้ยงควายกำลังต้อนควายกลับบ้าน และเรามักทักทายพูดคุยกันอยู่เสมอ
หลังจากเดินไปเดินมาอยู่นาน ผมตัดสินใจเดินกลับบ้านเพราะเริ่มหิวข้าวและบรรยากาศก็เริ่มสลัวลงเรื่อยๆ ทว่า ระหว่างทางผมเดินสวนกับเด็กเลี้ยงควายคนหนึ่ง เธอคนนี้คุ้นตามาก เราอาจเคยเจอกันหลายครั้งและเคยทักทายกันอยู่ แต่ตอนนั้นแสงค่อนข้างน้อยผมจึงไม่ทราบทันทีว่าเธอชื่ออะไร
แปลก ท่าทางการเดินกระโผกกระเผกของเธอคล้ายพยายามจะวิ่งแต่ไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากมองไม่ค่อยเห็นทาง และถนนลูกรังก็ไม่ได้อ่อนนุ่มพอที่จะให้เท้าเปลือยเปล่าของเธอเดินได้อยากสะดวกสบาย เมื่อเราเดินสวนกันใกล้ขึ้น ผมสังเกตว่าเธอร้องไห้เสียจนตาบวมตุ่ย เสียงสะอึกสะอื้นของเธอยังคงดังเบาๆ สายตาเราสบกันเพียงครู่เดียว แววตาเธอคล้ายมีเรื่องราวอยู่มากมาย
“อย่าหนีนะมึง...กูให้เฝ้าควายอยู่ดีๆ เสือกไปเที่ยวงานวันเด็ก รู้ไหม ถ้าควายเค้าหายไป กูจะเอาที่ไหนมาใช้คืน...” เสียงตะคอกดังขึ้นจากข้างหลังเธอคนนี้ราวสิบกว่าเมตร มันดังจนคนในละแวกนั้นเดินออกมาดูจนทั่ว
“กูบอกว่าอย่าวิ่ง...” ชายคนนั้นตะคอกซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นเธอเคลื่อนไหวเร็วขึ้น จากนั้น เขาได้ง้างหนังสติ๊กขึ้นมายิงไปที่บริเวณขาเธอคนนั้นอย่างถนัดถนี่สองถึงสามครั้ง เสียงร้องของเธอดังขึ้นแต่ไม่มีใครออกมาช่วยเหลือ บรรดาไทยมุงในชนบทต่างรู้ดีว่าชายคนนี้คือพ่อของเธอ ครอบครัวนี้มีฐานะที่ยากจนมาก ไม่มีที่นาเป็นของตัวเอง พวกเค้าต้องต้องรับจ้างเลี้ยงควายให้กับคนมีฐานะรายหนึ่งในหมู่บ้าน และบ่อยครั้งผู้เป็นพ่อต้องออกไปหางานรับจ้างอื่นๆ อีกสารพัด ปล่อยให้ลูกเฝ้าควายทั้งฝูงเพียงลำพัง
แน่นอน คนเห็นเหตุการณ์คงรู้สึกสลดใจ แต่ไม่มีใครไปช่วยเธอหรือทำการห้ามปรามเลยสักคน โทษของเธอคงหนักเกินไป การหนีงานไปเที่ยวจนควายเกือบหายไปหลายตัวมันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับสังคมบ้านนา บางคนเอ่ยปากพูดถึงความน่าเวทนาของเด็ก และบางคนบ่นพึมพำถึงอนาคตที่ตีบตัน มืดมน ของเด็กเลี้ยงควายผู้ไม่มีการศึกษา พร้อมกับสั่งสอนลูกๆ ให้ขยันเรียนเพื่อที่จะได้ไม่ลำบากตอนโต โดยอาศัยโศกนาฏกรรมที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเป็นกรณีศึกษา
ใช่ ในฐานะผู้สังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด ผมถูกแม่เรียกกลับเข้าบ้านทันที แม่คงกลัวว่าผมจะถูกลูกหลงจากกระสุนดินเหนียวหรือท่านคงเห็นว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งไม่ดีจึงไม่อยากให้เด็กเห็น แต่ตอนนั้น “เลือด” ในร่างกายของผมมันสูบฉีดพร่านไปหมดแล้ว
“ทำไมวะ เด็กจะไปงานวันเด็กมันผิดตรงไหน ทำไมต้องยิงหนังสติ๊กใส่ด้วย...ทำไมไม่มีใครมาห้ามเลย พวกผู้ใหญ่ทำอะไรกันอยู่วะ” คำถามจำพวกนี้ถูกระดมเข้ามาในใจ เพราะเมื่อเปรียบเทียบอายุแล้ว ผมกับเธอไม่น่าจะห่างกันมากแต่เหตุใดเราจึงต่างกันเหลือเกิน
จากนั้น สำนึกประเภท “ปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า” แบบที่เคยได้อ่านในนิยายจีนกำลังภายในและวิชาลูกเสือสำรองได้ทำให้ผมหยิบหนังสติ๊กคู่กายออกจากเอว บรรจงใส่กระสุนลงไป จากนั้นก็เล็งและยิงไปที่หัวของชายผู้นั่นเสียเต็มเหนี่ยวถึงสองนัดท่ามกลางความตกใจของไทยมุงทุกคน และแน่นอน คู่ต่อสู้ของผมหันหลังกลับมาด้วยความโกรธ พร้อมกับปรี่เข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วทำให้ผมต้องยิงสวนไปยิงนัดตรงบริเวณหน้าท้อง ทว่า เมื่อเขาเข้ามาใกล้และจำได้ว่าผมเป็นใคร เขากลับชะงักเท้าและหันหลังเดินกลับไปด้วยอาการโกรธเกรี้ยวกว่าเดิม
“นี่ถ้ามึงไม่ใช่ลูกครูหล่ะก็ เจอดีแน่ไอ้เด็กห่านี่...” เขาบ่นด้วยความหัวเสียส่วนผมก็วิ่งกลับบ้านด้วยความหัวใจพองโต
วันเด็กปีนี้ ผมรู้สึกว่าตนเองโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว...
3.
“นี่เราเป็นเด็กเกเรตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาหนังสติ๊กไปยิงหัวเค้าจนแตกยังไม่ไปขอโทษเค้าอีก รู้มั้ยเค้าเป็นผู้ใหญ่” ผมจำไม่ได้ว่าเสียงเกรี้ยวกราดนี้เป็นของพ่อหรือแม่ จำได้เพียงว่าเกิดขึ้นหลังจากที่ผมถูกตีก้นไปจนนับไม่ถ้วน
“ก็เค้ายิงหนังสติ๊กใส่ลูกตัวเองทำไมเล่า เห็นมั้ยหน่ะว่าเด็กคนนั้นมันเจ็บ มันก็แค่อยากไปเพราะมันไม่เคยไป” ผมเถียงกลับ แต่เหตุผลจากเด็กอย่างผมไม่เป็นที่น่ารับฟังเท่าไรนัก ผู้ใหญ่ที่บ้านบางคนบอกว่าผม “ดีแตก” บางคนก็บอกว่า โตขึ้นผมคงเกเรแน่นอน
“นี่นะ โตขึ้นหากมันมีปืน มันคงยิงเค้าแล้ว” เสียงญาติคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “อ้าว...บอกมาว่าตัวเองผิดมั้ยไปยิงเค้าแบบนั้น” เสียงญาติอีกคนสวนแทรกขึ้นมา
“ไม่ผิด” ผมยืนกรานหนักแน่นด้วยน้ำตาคลอเบ้า ตอนนั้น ผมไม่เข้าใจเลยว่าตนผิดตรงไหน การปกป้องคนอ่อนแอและถูกทำร้ายจะเป็นสิ่งที่ผิดได้ยังไง ทำไมผู้ใหญ่ไม่ช่วยเด็ก แต่กลับมาตีเด็กที่ช่วยเด็ก แบบนี้มันถูกแล้วหรือไง...
“ช่างมันเถอะ ยังไงมันก็ยังเด็กอยู่ โตขึ้นมามันก็รู้เรื่องเองแหละ” ญาติผู้อาวุโสที่สุดคนหนึ่งพูดสรุปเรื่องราว แต่ในใจผมกลับรู้สึกอึดอัดจนแทบระเบิดออกมา ผมมีเรื่องอยากพูดอีกมากแต่ติดที่ไม่รู้จะเล่าออกมาอย่างไร สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ลุกขึ้นเดินและตะโกนดังลั่นเสียหลายครั้งเพื่อระบายอารมณ์แล้วไปนอนตรงมุมหนึ่งของบ้านจนกระทั่งเช้า
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมไปงานวันเด็ก...
หลายปีผ่านไป ผมก็เจริญรอยตามคำทำนายของผู้ใหญ่ในครั้งนั้นเกือบทุกเรื่องนับตั้งแต่การชกต่อย ทะเลาะวิวาท และการหนีเรียนไปเที่ยวตามประสา “วัยรุ่น” ญาติๆ มักบ่นแบบเอือมระอากับแม่ผมอยู่เสมอถึงการคบเพื่อนของผม เพราะแต่ละคนล้วนเหลือขอทั้งนั้น แน่นอน ผมอาศัยผลการเรียนที่ดีอย่างสม่ำเสมอเป็นเกราะป้องกัน ผมเริ่มเรียนรู้ “กติกา” ในโลกของผู้ใหญ่พร้อมๆ กับทำการต่อต้านอย่างเปิดเผย นับตั้งแต่ เจาะหู โกนผมเสียจนโล้น (ประท้วงไม่ให้นักเรียนไว้ผมยาว) ไม่ไปเรียนแต่อ่านหนังสือเองในบ้าน รวมไปถึงการ “ตั้งใจ”พลั้งมือชกผู้ใหญ่ในโรงเรียน โทษฐานที่เขาคนนั้น “บังเอิญ” ลวนลามเด็กนักเรียน
ที่หนักสุดคือ การเกือบติดศูนย์ในวิชาศาสนาและจริยธรรมจนแทบไม่ได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยทั้งที่สอบชิงทุนเรียนดีได้ เนื่องจากเขียนคำตอบแบบวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาการสอนแบบซ้ำซากและเน้นในด้านสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่จนเกินงาม
ประเด็นหลักของผมคือ ในโลกนี้ไม่มีผู้ใหญ่ในตำราหรอก หากมีแต่อำนาจที่ผู้ใหญ่กระทำต่อเด็กเพื่อให้พวกเค้ารู้สึกเป็น
“ผู้ใหญ่” วิชานี้สอนให้เราไม่รู้จักชีวิตจริง ไม่เคยสอนให้รู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไร สอนเพียงกฎที่เราต้องเดินตาม ไม่ได้สอนให้เราเดินได้ด้วยตัวเอง จำได้ชัดเจนว่า ตอนนั้นผมอ่านให้เพื่อนๆ ทุกคนฟังในห้องสอบหลังเขียนเสร็จ และเรียกเสียงฮือฮาไม่น้อย
“เราไม่ผิด” ผมนึกถึงอดีต
4.
ปี พ.ศ. 2554
ผมยืนเหม่อมองงานวันเด็กที่ถูกจัดในบริเวณสนามหญ้าของที่ทำงานอยู่นาน ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าวันนี้คือวันเด็ก รู้เพียงว่าตนเองจะเข้ามาทำงานที่ค้างชาวบ้านเค้าไว้ในวันเสาร์
มันเป็นงานที่ปราศจากรถถัง ปืนกล หรือการจับเด็กมาประกวดเต้นแร้งเต้นกาให้ผู้ใหญ่ชื่นชม ผมเห็นแม่เดินจูงมือลูกมาทำกิจกรรมระบายสีน้ำและเห็นพ่อกำลังสอนลูกชายพับเครื่องบินกระดาษกันอย่างสนุกสนาน และกิจกรรมหลายอย่างภายในงานราวกับเปิดโลกใบใหม่ให้ผมสัมผัส ความรู้สึกว่าตนเป็น “สิ่งตกค้างทางประวัติศาสตร์” เข้ามาเกาะกุมใจอย่างแน่นหนาและพาผมไปพบความกับความทรงจำเกี่ยวกับวันเด็กของตนเองทั้งที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน
แน่นอน แม้ผมจะบอกกับตนเองอยู่เสมอว่า “ไม่ผิด” แต่ก็เสียใจทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เพราะเมื่อย้อนเวลากลับไป เราทุกคนล้วนเป็นทั้งเหยื่อและผลผลิตของมุมอัปลักษณ์ในสังคมของเราเองทั้งนั้น จะมีใครรู้ว่าหากเกิดกรณีชาวนายากจนคนหนึ่งทำร้ายลูกชายครู ผลลัพท์จะเป็นเช่นไร จะมีใครรู้ว่าในสังคมชนบทที่ถูกมองว่าเรียบง่ายและเป็นสังคมพึ่งพาอาศัยกันกลับมีมายาคติเรื่องฐานะ สีผิว ระบบอาวุโส และการศึกษา นับไม่ถ้วน ทั้งยังมีอาการไม่อยากยุ่งเรื่องของชาวบ้านปะปนอยู่ไม่ต่างจากสังคมอื่นๆ เกือบทุกที่
สุดท้าย จะมีใครรู้ว่า แท้จริงแล้วเด็กก็มิใช่ผ้าขาวที่จะสามารถซักย้อมได้ตามใจ หากเป็นโลกใบหนึ่งซึ่งไวต่อการเรียนรู้และต้องการคู่สนทนาเพื่อแบ่งปันจินตนาการต่อกัน
ผมยืนมองกิจกรรมวันเด็กตรงหน้าเสียนาน รู้สึกตัวอีกที่ก็พบว่าตนกำลังปาเครื่องบินกระดาษแข่งกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับตนในครั้งอดีตเสียแล้ว เด็กหลายคนช่วยสอนวิธีการพับเครื่องบินแบบใหม่ๆ ให้มีทั้งแบบร่อนค้างกลางอากาศนาน และพุ่งได้ไกล ที่น่าสนใจคือปลายหัวที่แหลมคมของเครื่องบินทุกลำถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อยเพื่อความปลอดภัย
“พ่อหนู บอกว่าจะเล่นอะไรก็ต้องนึกถึงคนอื่นด้วย” เด็กชายตัวอ้วนบอก...
5.
ผมเดินทางกลับบ้านตอนบ่ายและพักลงตรงหน้าทีวีด้วยความอิ่มเอมบางอย่างคล้ายว่าบางส่วนของชีวิตวัยเด็กได้กลับคืนมา ทว่าเมื่อหน้าจอทีวีสว่าง สายตาผมจับจ้องไปที่การรายงานภาพวันเด็กของแต่ละช่องซ้ำไปซ้ำมา ภาพของเด็กยื้อแย่งกันเล่นปืนกล ปีนป่ายรถถัง และถูกจับให้ไปนั่งเก้าอี้ตัวนั้นตัวนี้ยังคงปรากฏขึ้นราวกับเป็นพิมพ์เขียวจากอดีต ข่าวบางช่วงยังให้เวลาจำนวนมากกับการประกาศรางวัลยุวชนดีเด่นสาขาต่างๆ มากมาย จากนั้นภาพก็ตัดมายังข่าวทำแท้งของวัยรุ่น ข่าวคดีความทางการเมือง ยุบพรรค ความรุนแรงในภาคใต้ ข่าวทุจริต คลิปฉาว ฯลฯ
ใจของผมเริ่มห่อเหี่ยวและกระหวัดนึกถึงอดีตของตนเองอีกครั้ง...
บางที สังคมโดยรวมของเรายังคงไม่เติบโตเป็น “ผู้ใหญ่” จริงๆ เลยสักครั้ง
เผยยอดลงทะเบียนประชามติ รธน.นอกเขตจังหวัดมี 8,083 คนแล้ว
รองโฆษกพรรคเพื่อไทยชี้คดี 'ฟิลลิป มอร์ริส' เป็นเคสในไทยไม่เกี่ยว 'WTO'
แถลงการณ์ 'เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์' ทรงรับการผ่าตัดเนื้องอกที่พระศอเรียบร้อยดี
วรัญชัย ถามเรื่องประชามติรัฐธรรมนูญ-เกษียร เล่าเรื่องเผด็จการกระเป๋ารถเมล์
เก็บตก วรัญชัย โชคชนะถามในวงเสวนา "รัฐธรรมนูญกับประชามติที่เลือกได้" ถามเรื่องเนื้อหารัฐธรรมนูญ ประชามติ และระเบียบที่ กกต. ใช้คุมการรณรงค์ - สมชาย ปรีชาศิลปกุล หวั่นแนวโน้มเกิดรัฐธรรมนูญที่ไร้ 'รัฐธรรมนูญนิยม' - อภิชาต สถิตนิรามัย กลัวการรับรัฐธรรมนูญ จะเท่ากับรับระเบียบอำนาจรัฐข้าราชการเป็นใหญ่- เกษียร เตชะพีระ เล่าภาวะเผด็จการของกระเป๋ารถเมล์ และวิธีหนีพ้นจากภาวะดังกล่าว
ในวงเสวนาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ หัวข้อ รัฐธรรมนูญกับประชามติที่เลือกได้ ซึ่งจัดไปแล้วเมื่อ 21 พ.ค. ที่ผ่านมา วิทยากรประกอบด้วย 1. เกษียร เตชะพีระ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2. อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 3. บารมี ชัยรัตน์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน 4. เดชรัต สุขกำเนิด คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 5. สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำเนินรายการโดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นั้น (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)
คลิปวรัญชัย โชคชนะ ถามเรื่องรัฐธรรมนูญและการลงประชามติ ตอบโดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล อภิชาต สถิตนิรามัย บารมี ชัยรัตน์ เดชรัต สุขกำเนิด เกษียร เตชะพีระ และสรุปโดยพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
วรัญชัยถาม-วิทยากรตอบ
ในช่วงถามตอบ วรัญชัย โชคชนะ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหลายสมัย อภิปรายว่า ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ดี รอบนี้เขาไม่ลงผู้แทนก็ได้ และตั้งคำถามถึงวิทยากร โดยถามสมชาย ปรีชาศิลปกุลว่า เขาว่าต้องใช้เวลาปฏิรูปเหตุผลฟังได้หรือไม่ การลงประชามติเอาประชาชนเป็นตัวประกันหรือไม่ รับก็ได้แบบนี้ ไม่รับก็ได้แบบนี้
คำถามสำหรับอภิชาต สถิตนิรามัย วรัญชัยถามว่า นอกจากรัฐบาลมีความคิดยกเลิกเบี้ยคนชรา หลักประกันสุขภาพ และลดปีเรียนฟรีลงจาก 15 ปี เหลือ 12 ปี ท่านคิดกับเรื่องนี้อย่างไร ตัดงบประมาณแผ่นดินหมด แต่จะซื้ออาวุธที่ประเทศอื่น ท่านในฐานะนักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าเหมาะสมหรือไม่
นอกจากนี้ได้สอบถาม บารมี ชัยรัตน์ ว่ามีความเห็นอย่างไร กรณีท้องถิ่นให้มีการแต่งตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือใช้วิธีต่ออายุผู้บริหารท้องถิ่น
ถามสำหรับเดชรัต สุขกำเนิด วรัญชัยถามว่าเรื่องการศึกษา ที่อาจารย์เดชรัตพูดว่าไม่ต้องเชื่อรัฐธรรมนูญ 12 ปี เราก็จะให้ 15 ปี แต่ถ้าไม่ทำตาม จะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่
ในส่วนของคำถามถึงเกษียร เตชะพีระ วรัญชัย ถามว่าท่านพูดมาถูกหมด จึงไม่สงสัยข้องใจ เป็นเพราะอย่างนี้ใช่ไหม เขาถึงบอกว่าพวกที่มานั่งฟัง ประชุม อย่าบิดเบือน ก้าวร้าว หยาบคาย อย่าข่มขู่ ปลุกระดม และถ้าทำกับกฎหมายประชามติได้ ถ้าหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. เขาก็ต้องออกกฎแบบนี้ได้ ประชาชนจะทำอย่างไร
นอกจากนี้ยังถามพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ว่าที่ผ่านมามีแต่เขาทำโรดแมป แล้วประชาชนทำไมไม่ทำโรดแมปเองบ้าง ถ้าทำโรดแมปแล้วประชาชนจะทำอย่างไร
ในช่วงตอบคำถาม สมชาย ปรีชาศิลปกุล กล่าวว่า หลังจากนี้จะเกิดภาวะ "Constitution without constitutionalism" หรือ รัฐธรรมนูญที่ไม่มีหลักรัฐธรรมนูญนิยม หมายความว่า จะอยู่ในสังคมที่มีสิ่งที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญ แต่จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "ระบอบรัฐธรรมนูญนิยม" เช่น ขาดหลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน หลักอำนาจสูงสุดของรัฐบาลจากการเลือกตั้ง กระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลางและน่าเชื่อถือ เราจะอยู่ในสังคมที่มีสิ่งที่มีแต่ชื่อว่า "รัฐธรรมนูญ" ซึ่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยเกิดมาแล้วในละตินอเมริกา แอฟริกา และประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอดีต ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เดินหน้าไปก็จะอยู่ในภาวะที่มีรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีรัฐธรรมนูญ
ด้านบารมี ชัยรัตน์ แสดงความเป็นห่วงหากมีการใช้ระเบียบกฎหมายกำกับการลงประชามติแบบที่ใช้ในระดับชาติขณะนี้ เอาไปบังคับใช้ในระดับท้องถิ่น
อภิชาต สถิตนิรามัย กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ชาติในรัฐธรรมนูญที่ เกษียรเสนอก่อนหน้านี้ก็คือ เป็นยุทธศาสตร์ที่รวมทุกอย่าง คือจะไม่ทำสักอย่าง ทั้งนี้การแก้ไขเรื่องกับดักรายได้ปานกลาง ต้องเป็นยุทธศาสตร์เฉพาะมากๆ แต่ไม่จำเป็นต้องลงที่เนื้อหา สำคัญที่กระบวนการมากกว่า ที่จะจูงใจให้กับการลงทุนด้านการศึกษา การวิจัยและพัฒนา
แปลว่าต้องมีกลไกรัฐที่เข้มแข็งถึงจะทำเรื่องนี้สำเร็จ กลไกรัฐที่ว่านั้นคือระบบราชการ แต่เราก็เห็นตัวอย่างของระบบราชการ ทั้งกรณีกรมการบินพลเมือง กิจการประมงติดโทษแบน IUU ซึ่งสะท้อนปัญหายอดภูเขาน้ำแข็งของระบบราชการ น้ำท่วมปี 2554 เราก็ได้รับผลกระทบมากเกินที่ควรจะเป็นสาเหตุหนึ่งก็เป็นเรื่องความไร้เอกภาพของระบบราชการที่ 20 หน่วยงานไม่ประสานกัน
ระบบราชการไทยถึงเวลายกเครื่องครั้งใหญ่ เพื่อให้เป็นระบบที่ใช้ได้ของการบริหารรัฐ ซึ่งการรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอย่างที่เกษียรเสนอ คือไม่ใช่รับรัฐธรรมนูญอย่างเดียว แต่เป็นการรับระเบียบอำนาจของ คสช. ซึ่งก็คือรัฐราชการเป็นใหญ่
ด้านเดชรัต สุขกำเนิด ในเรื่องอุดหนุนการศึกษา หากเป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย รัฐบาลต้องอุดหนุนอย่างน้อย 12 ปี แต่รัฐบาลจะสนับสนุนเพิ่มเติมเป็น 15 ปี แบบเดิมก็ได้ แต่ก็ไม่ใช่เพราะรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเพราะความเมตตาของรัฐบาล ถ้าเขาต่อให้ถึง 15 ปี คงต้องรบกวนราษฎรอาวุโสเขียนจดหมายขอบคุณ ซึ่งก็จะเหมือนกับเรื่องเหมืองแร่ ที่การยุติการทำเหมือง ไม่ได้เป็นเพราะละเมิดเสรีภาพประชาชน แต่ยุติเพราะความเมตตาของรัฐบาล
สำหรับเรื่องแผนการรณรงค์นั้น ในฐานะที่ทำงานกับภาคประชาชน เสนอว่าต้องคุยกับภาคประชาสังคมว่าสิ่งที่กำลังจะเลือก และอนาคตที่กำลังจะเลือกคืออะไร
ด้านเกษียร เตชะพีระ ในเรื่องเงื่อนไขการแก้รัฐธรรมนูญนั้น เกษียร ได้อ้างถึงหมวด 15 มาตรา 255 และ 256 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเงื่อนไขว่า ต้องได้เสียง 1 ใน 3 ของวุฒิสมาชิก และ 20% ของพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และถ้าการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญกระทบต่อเรื่องสำคัญ หรือเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์พื้นฐานต้องผ่านประชามติ
และถ้ามี ส.ส. และ ส.ว. จำนวนหนึ่ง เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญกระทบเรื่องสำคัญ มาร้องเรียนศาลรัฐธรรมนูญว่า "ไอ้นี่มันเกี่ยวครับ ไอ้นี่มันเกี่ยวครับ" แล้วไยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นด้วยกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็หยุดไป คือเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะไม่เกี่ยว แต่มี ส.ส. และ ส.ว. จำนวนหนึ่งเห็นว่าเกี่ยวไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อล็อกกระบวนการแก้ไข
นอกจากนี้เกษียรยังเตือนเรื่อง การได้เผด็จการกระเป๋ารถเมล์ด้วย ในรถเมล์ที่จะมีทั้งโชเฟอร์ตีนผี กระเป๋ารถเมล์ดุ ประเภทที่ตะคอกผู้โดยสารว่า "จะลงกดกริ่งสิพี่ ลงเร็วๆ หน่อยรอช้าห่าอะไร" เดิมก็เป็นคนกระจอกๆ ผลงานที่ผ่านมาก็ไม่ได้ดีอะไร พอได้อำนาจหน่อยก็ใหญ่ฉิบหาย ห้ามอย่างโน้น ห้ามอย่างนี้ ซึ่งไม่ได้เจาะจงว่าหมายถึงใคร วันที่ดีที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของผมคือ ผมเจอรถเมล์แบบนี้ เมื่อรถเมล์จอดที่เดอะมอลล์บางแค ก็มีคนๆ หนึ่งแต่งตัวราชการ ตะโกนว่าทำไมโชเฟอร์ขับแบบนี้ ไม่ห่วงสวัสดิการผู้โดยสารเลย "It makes my day"
พิชญ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ระบอบประชาธิปไตยจุดเด่นอยู่ที่อำนาจประชาธิปไตยเป็นของประชาชน แต่ต้องคำถามว่าถ้าเราไม่ต้องการให้คนอื่นมากำกับอำนาจเรา คำถามที่ท้าทายคือ เราจะ Self-limitation หรือเราจะกำกับอำนาจตัวเองอย่างไร อำนาจประชาธิปไตยต้องออกแบบให้พวกเราสามารถหยุดยั้งอำนาจที่เราเองอาจจะเหลิงได้ นั่นคือหัวใจ ถ้าเราทำตัวนี้ได้ก็ไม่ต้องแคร์ว่าคนอื่นจะมีอำนาจมาสั่งเรา เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยคือ Self-government ถ้าเรามี Self-limitation ภายใน Self-govermemt ซึ่งเป็นภารกิจที่เราต้องช่วยกันออกแบบสถาบันการเมือง
WHO เผยคนทำงานภาคสาธารณสุขในซีเรียมีความเสี่ยงสูงสุดในโลก
กำนันเมืองนะชี้แจง กรณี จนท.อุทยานทวงคืนผืนป่า - ยืนยันเป็นที่ทำกินดั้งเดิม
กำนัน ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว ชี้แจงกรณีสื่อลงข่าวหาว่าถูก จนท.อุทยานยึดไม้เถื่อน 29 ท่อน ยืนยันไม่มีไม้เถื่อน ภาพในสื่อเป็นเหตุการณ์พื้นที่อื่น - ส่วนที่ดิน 22 ไร่ที่ถูกหาว่าบุกรุกนั้น ยืนยันเป็นที่ทำกินดั้งเดิม - ขณะที่ก่อนหน้านี้ชาวบ้านโป่งอางเคยค้านแผนสร้างอ่างเก็บน้ำของกรมชลประทานหวั่นท่วมหมู่บ้าน และเมื่อปี 58 สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ร่วมกับ คณะกรรมการหมู่บ้านเพิ่งสำรวจพื้นที่-รังวัดให้ชาวบ้าน 93 รายตามมติคณะรัฐมนตรีปี 41 ก่อนเจอ จนท.อุทยาน เข้าพื้นที่ทวงคืนผืนป่า
ภาพจากข่าว “ป่าไม้สนธิกำลังตรวจสอบผู้นำชุมชนบุกรุกป่าอนุรักษ์” ในหนังสือพิมพ์เชียงใหม่นิวส์ออนไลน์ เมื่อ 24 พ.ค. 2559 โดยนำภาพข่าวตรวจยึดไม้สัก 29 ท่อน ที่ป่าห้วยจะค่าน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ มาเป็นภาพประกอบข่าว เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ เข้าตรวจสอบพื้นที่บ้านโป่งอ่าง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ขณะที่ผู้ถูกพาดพิงซึ่งมีตำแหน่งเป็นกำนัน ต.เมืองนะ ระบุไม่มีการยึดไม้เถื่อน ไม่มีการแพ้วถางพื้นที่เพื่อเพาะปลูกพืช โดยพื้นที่ 22 ไร่ เป็นพื้นที่ทำกินดั้งเดิม
ภาพที่ถูกระบุว่าเป็นเหตุการณ์เหตุการณ์กับที่บ้านโป่งอ่าง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ต่อมาเมื่อมีการตรวจสอบจากเฟซบุ๊คของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ พบว่าเป็นภาพเหตุการณ์ตรวจยึดไม้สักท่อน 29 ท่อน ที่ป่าห้วยจะค่าน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นคนละสถานที่ (ที่มา: เฟซบุ๊คนายผณินทร์ ทับกล่ำ, 24 พ.ค. 2559)
ภาพเหตุการณ์ตรวจยึดไม้สักท่อน 29 ท่อน ที่ป่าห้วยจะค่าน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นคนละเหตุการณ์กับที่บ้านโป่งอ่าง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ที่มา: เฟซบุ๊คนายผณินทร์ ทับกล่ำ, 24 พ.ค. 2559)
เหตุการณ์ตรวจพื้นที่บ้านโป่งอาง ตำบลเมืองนะ จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณอุทยานแห่งชาติผาแดง (ที่มา: เฟซบุ๊คนายผณินทร์ ทับกล่ำ, 23 พ.ค. 2559)
กรณีที่เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์เชียงใหม่นิวส์ ได้ลงเนื้อหาข่าวว่า “ป่าไม้สนธิกำลังตรวจสอบผู้นำชุมชนบุกรุกป่าอนุรักษ์” ระบุว่า “เจ้าหน้าที่ป่าไม้สนธิกำลังตรวจสอบผู้นำชุมชนบุกรุกป่าอนุรักษ์ พบพื้นที่ถูกแผ้วถางปลูกพืชกว่า 22 ไร่ ด้านเจ้าตัวอ้างสิทธิ์เป็นผู้ถือครองระบุว่าเจ้าหน้าที่ตรวจรังวัดให้แล้ว เจ้าหน้าที่เตรียมตรวจสอบข้อเท็จจริงดำเนินคดีตามกฎหมาย”
“การออกตรวจและดำเนินคดีผู้กระทำผิดบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 07.00 น.วันที่ 24 พค 59 โดยทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้นำโดย นายผณินทร์ ทับกล่ำ หัวหน้าชุดเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ป่าสาละวิน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ได้ร่วมกันนำกำลังเข้าตรวจสอบในพื้นที่ บ้านโป่งอาง หมู่ที่ 5 ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ภายหลังได้รับการร้องเรียนจากราษฎรในพื้นที่ว่า ทางกำนัน ต.เมืองนะ เป็นผู้บุกรุกป่าอนุรักษ์ในเขตหมู่บ้าน พื้นที่อุทยานแห่งชาติผาแดง”
“ทางเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจฯ กรมอุทยาน ร่วมกับ จนท. สปป.3 ภาคเหนือ และเจ้าหน้าที่ทหารกองร้อยที่ 2 บก.ควบคุมที่ 1 มฉ.ที่ 4 ร่วมกันเข้าตรวจสอบพื้นที่บุกรุกดังกล่าว จากการตรวจสอบพบว่า พื้นที่ดังกล่าวมีการครอบครองทั้งหมด 22 ไร่ นอกจากนี้ยังพบการดำเนินการแผ้วถางเพื่อเตรียมเพาะปลูกพืช ทางเจ้าหน้าที่้จึงได้ทำการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งได้ดำเนินการลงบันทึกหลักฐานในที่เกิดเหตุ เพื่อนำไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมกับได้รายงานให้ทางผู้บังคับบัญชาทราบต่อไป
ในเวลาต่อมา ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการตรวจสอบในพื้นที่อยู่นั้น ได้มีมีลูกชายกำนัน ต.เมืองนะ แสดงตัวและรับเป็นเจ้าของพื้นที่ดังกล่าว และอ้างว่าก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 เชียงใหม่ มาตรวจรังวัดให้แล้ว อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจภาพถ่ายทางอากาศปี 2545 แล้ว ปรากฎว่ามีร่องรอยการทำกิน ประมาณ 5ไร่ ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่า ปัจจุบันครอบครองถึง 22 ไร่ ซึ่งถือเป็นการบุกรุก จึงได้ส่งเรื่องราวให้สำนักฯ 16 ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง และตรวจยึดไม้เถื่อนอีก ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว จากนั้นจึงได้ทำการบันทึกจับกุม ส่งให้กับพนักงานสอบสวน สภ.เชียงดาว เพื่อดำเนินคดี โดยมีไม้สัก ที่ทำการตรวจยึดไว้จำนวน 29 ท่อน” ทั้งนี้ ในภาพข่าวมีการลงภาพประกอบเป็นรูปการตรวจยึดไม้สักท่อนของกลางเป็นจำนวนมาก
ต่อมา นายพงษ์ศักดิ์ เสนาใจ กำนัน ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถูกพาดพิง กล่าวว่า รายงานข่าวดังกล่าวทำให้เขาเป็นผู้เสียหายหลายประเด็น โดยนายพงษ์ศักดิ์ชี้แจงว่า ในการเข้าตรวจค้นนั้นมีเพียงเจ้าหน้าที่ป่าไม้เท่านั้น ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารที่ปรากฎตามเนื้อหาของข่าวแต่อย่างใด และในการบุกเข้าตรวจค้นครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้ทางผู้เสียหายได้ชี้แจงข้อมูลแต่อย่างใด อีกทั้งเร่งรัดให้มีการดำเนินการภายในเวลาอันรวดเร็วซึ่งผิดปกติของวิธีการขอเข้าทำการตรวจค้น ที่ต้องขอเข้าตรวจค้นโดยให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย
ส่วนที่ระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวมีการครอบครอง 22 ไร่นั้น นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า พื้นที่ที่มีการครอบครองนั้นมีเพียงไม่กี่ไร่ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ทำกินดั้งเดิมมานานแล้ว และไม่มีการแผ้วถางพื้นที่เพื่อเตรียมเพาะปลูกพืชดังข้อความปรากฎตามข่าวแต่อย่างใด
ส่วนที่ระบุว่ามีการตรวจยึดไม้ 29 ท่อนนั้น นายพงษ์ศักดิ์ ชี้แจงว่า เป็นการเพิ่มประเด็นในข่าวเพื่อหวังผลให้ร้ายแก่ผู้เสียหายเพิ่มเติมโดยข่าวระบุว่า ในพื้นนั้นสามารถตรวจยืดไม้เถื่อนได้อีก จำนวน 29 ท่อนนั้น เป็นการนำภาพจากพื้นที่อื่น ซึ่งไม่ใช่สถานที่เดียวกับที่มีการดำเนินการเข้าตรวจค้น
กำนันตำบลเมืองนะ กล่าวว่า หนังสือพิมพ์ดังกล่าวลงข่าวที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงอย่างมาก ทำให้ประชาชนมีความเข้าใจผิดสร้างความสับสนให้กับผู้ที่รับรู้ข่าวสารหากมีการแชร์ข้อมูลก็จะทำให้ผู้ถูกพาดพิงเสียหาย ทั้งนี้กำนันตำบลเมืองนะเรียกร้องให้มีการแก้ไขข้อมูลให้เป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย
ขณะเดียวกัน ในเฟซบุ๊คของ นายผณินทร์ ทับกล่ำ หัวหน้าชุดเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ป่าสาละวิน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดปฎิบัติการทวงคืนผืนป่าในครั้งนี้ ได้มีการโพสต์ภาพท่อนสักของกลางที่ยึดไว้ได้ในพื้นที่อื่นไม่ใช่ที่บ้านโป่งอาง เมื่อ 24 พ.ค. 2559 โดยระบุว่า “ลุยพื้นที่ อช.ผาแดง ได้ร่วมทำงานกับเจ้าหน้าที่ อช.ผาแดงและเจ้าหน้าที่ ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 335 แม่จา ได้ร่วมกันตรวจยึดพื้นที่ป่าถูกบุกรุกจำนวน 5-0-71 ไร่ ยึดไม้สักท่อนได้จำนวน 29 ท่อน ปริมาตร 3.51 ลบม. บริเวณป่าห้วยจะค่าน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่”
ขณะที่ ในการตรวจสอบพื้นที่บ้านโป่งอาง เมื่อ 23 พ.ค. นายผณินทร์ บันทึกไว้ด้วยว่า “วันนี้ได้ร่วมทำงานกับเจ้าหน้าที่หน่วยปฎิบัติการพิเศษที่ 1 สปป.3 (ภาคเหนือ) เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติผาแดง และเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมตรวจยึดคืนผืนป่า บริเวณป่าบ้านโป่งอาง ตำบลเมืองนะ จังหวัดเชียงใหม่ แหล่งต้นน้ำแม่ปิง กว่า 22 ไร่ อช.ผาแดง”
บ้านโป่งอ่างหวั่นถูกทวงคืนผืนป่า-ตั้งชุมชนมานานแต่ไร้เอกสารสิทธิ์
จากเหตุการณ์ตรวจสอบพื้นที่ทำกินและพื้นที่ป่าบ้านโป่งอางของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ และการนำเสนอของสื่อมวลชนดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านบ้านโป่งอาง เริ่มหวาดระแวงและหวั่นวิตกกันมากขึ้น กับปัญหานโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐบาล โดยพื้นที่บ้านโป่งอาง เป็นชุมชนที่มีทั้งชาวไทยพื้นราบ ชาวไทใหญ่ และชาวปกาเกอะญอ ตั้งถิ่นฐานนับร้อยปีก่อนมีอุทยานแห่งชาติผาแดง
ที่ผ่านมาชุมชนดังกล่าวมีส่วนร่วมอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำในเขตลุ่มน้ำห้วยหก ซึ่งเป็นสาขาย่อยของลุ่มน้ำปิงตอนบน โดยสมาชิกชุมชนยืนยันว่าน้ำที่ต้นน้ำปิงบริเวณบ้านเมืองนะ แกน้อย แห้งขอด แต่บริเวณป่าต้นน้ำของห้วยหก ซึ่งอยู่ระหว่างรอยต่อเทือกเขาดอยปุกผักกา ยังมีลำน้ำห้วยหกไหลลงสู่แม่น้ำปิงทางฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน โดยสภาพป่าฝั่งตะวันตกของหมู่บ้านยังคงความอุดมสมบูรณ์ของพรรณพืช พันธุ์สัตว์นานาชนิด ส่วนพื้นที่ป่าบริเวณรอบๆ หมู่บ้านจะเป็นป่าโปร่ง และมีการจัดสรรเป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้านมาช้านาน อย่างไรก็ตามชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่มีเอกสารสิทธิที่ดินทำกิน มีเพียงการยืนยันหลักฐานการถือครองตามบรรพบุรุษ
บันทึกการตรวจพื้นที่ของเจ้าหน้าที่จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 เมื่อ 7-8 มีนาคม 2558 มีการทำรังวัดและบันทึกร่วมกับคณะกรรมการหมู่บ้าน และรังวัดให้ชาวบ้าน 93 ราย
อนึ่งก่อนหน้านี้ ระหว่างวันที่ 7-8 มีนาคม 2558 เจ้าหน้าที่จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 เคยเคยมาสำรวจรังวัดและทำบันทึกร่วมกับคณะกรรมการหมู่บ้าน เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี 30 มิ.ย. 2541 โดยมีการรังวัดให้ชาวบ้าน 93 ราย อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดเหตุชุดปฏิบัติการพิเศษเข้าพื้นที่ ก็มีการบันทึกว่าจะให้สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้เมื่อปี 2554 กรมชลประทานได้เสนอโครงการอ่างเก็บน้ำแม่น้ำปิงตอนบน โดยชาวบ้านมีการคัดค้านโครงการดังกล่าว เนื่องจากเกรงว่าหากมีการสร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณดังกล่าว หมู่บ้านจะต้องถูกอพยพออกไปทั้งหมดอีกทั้งน้ำจะท่วมผืนป่านับหมื่นไร่ซึ่งเป็นฐานทรัพยากรที่สำคัญของชาวบ้าน ทำให้กรมชลประทาน ยอมยุติโครงการเอาไว้ชั่วคราว จนกระทั่ง เกิดเหตุเจ้าหน้าที่อุทยานนำกำลังเข้าไปตรวจยึดคืนผืนป่าบริเวณบ้านโป่งอางและเจาะจงไปที่ ที่ดินทำกินของนายพงษ์ศักดิ์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นกำนันตำบลเมืองนะดังกล่าว
ประเมินเศรษฐกิจไทย 2 ปีหลังรัฐประหาร การเติบโตยังไม่เต็มศักยภาพ
อนุฯ เนื้อหา กสทช.เสนอปรับ 'วอยซ์ทีวี' เหตุเสนอข่าว 'พลเมืองโต้กลับ' ขัดประกาศ คสช.
สปสช.แจงการจัดซื้อยามะเร็งระดับประเทศ เพื่อช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยาราคาแพง
ศาลตัดสินโทษ 'บิกโนเน' เผด็จการคนสุดท้ายของอาร์เจนตินา ฐานเอี่ยวล่าสังหารประชาชน
อดีตนายพลผู้ได้รับสมญานามว่าเผด็จการคนสุดท้ายของอาร์เจนตินาถูกตัดสินลงโทษจำคุกเพิ่มอีก 20 ปี ฐานมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการเหยี่ยวที่มีการไล่ล่าศัตรูทางการเมืองของเผด็จการในอเมริกาใต้ของยุคนั้นอย่างโหดเหี้ยม นอกจากนี้ยังพบว่าสหรัฐฯ มีส่วนช่วยเหลือเผด็จการอเมริกาใต้ในปฏิบัติการดังกล่าวด้วย
30 พ.ค. 2559 เรย์นัลโด บิกโนเน อดีตนายพล วัย 88 ปี ผู้ที่ได้รับขนานนามว่าเป็นเผด็จการทหารคนสุดท้ายของอาร์เจนตินาถูกตัดสินลงโทษจำคุก 20 ปี จากที่เขามีบทบาทในปฏิบัติการเหยี่ยว (Operation Condor) ซึ่งเป็นปฏิบัติการจัดตั้งหน่วยสังหารร่วมกันในประเทศเผด็จการแถบเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล โบลิเวีย ชิลี ปารากวัย อุรุกวัย รวมถึงอาร์เจนตินา ที่ทำการข้ามแดนเพื่อลักพาตัว ทารุณกรรมและสังหารศัตรูทางการเมืองที่หนีข้ามประเทศ
ในอาร์เจนตินามีกรณี "การจับกุมอย่างผิดกฎหมาย" 105 กรณีซึ่งส่วนใหญ่มักจะตามมาด้วยการเสียชีวิตของชาวต่างชาติหลายสัญชาติที่หลบหนีการถูกตามล่าทางการเมืองเข้าไปอยู่ในอาร์เจนตินา และในอาร์เจนตินาเองภายใต้รัฐบาลทหารในยุคสมัยนั้นก็มีการปราบปรามผู้คนด้วยสาเหตุทางการเมืองจนมีผู้คนหลบหนีออกจากประเทศเช่นกัน โดยหลังจากที่จับกุมตัวเหยื่อมีการบังคับให้ "สาบสูญ" โดยมักจะถูกเผา หรือถูกวางยาแล้วโยนจากเครื่องบินลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก
แต่ในที่สุดตัวการผู้ก่ออาชญากรรมโหดเหี้ยมเหล่านี้ก็ถูกตัดสินลงโทษ โดยที่ผู้พิพากษา อเดรียน กรุนแบร์ก อ่านคำพิพากษาตัดสินอดีตเจ้าหน้าที่ทหาร 17 คนในห้องพิจารณาคดีที่เต็มไปด้วยญาติๆ ของเหยื่อ
บิกโนเน ปกครองอาร์เจนตินาสมัยปี 2525-2526 ในช่วงต้นสงครามเกาะฟอล์กแลนด์ เขาถูกตัดสินว่ามีส่วนพัวพันกับการลักพาตัวและการใช้อำนาจในทางที่ผิดในการบังคับสาบสูญประชาชนมากกว่า 100 คน โดยที่ก่อนหน้านี้บิกโนเนก็เคยถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตมาแล้วจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายเรื่องในช่วงที่อาร์เจนตินาอยู่ภายใต้เผด็จการในปี 2519-2526 อดีตนายพลระดับสูงอีกรายหนึ่งที่ถูกตัดสินคือ ซานติเอโก ริเวอรอส ถูกตัดสินให้จำคุก 25 ปี
ลุซ ปาลมาส ซาลดัว ทนายความฝ่ายญาติผู้สูญเสียจากศูนย์ศึกษาสังคมและกฎหมายซึ่งเป็นกลุ่มสิทธิมนุษยชนอาร์เจนตินากล่าวว่า การตัดสินในครั้งนี้มีความสำคัญเพราะเป็นครั้งแรกที่ปฏิบัติการเหยี่ยวได้รับการพิสูจน์คดีในศาล และถือเป็นครั้งแรกที่อดีตสมาชิกผู้ร่วมปฏิบัติการเหยี่ยวถูกตัดสินฐานก่อตั้งองค์กรอาชญากรรม
หนึ่งในกรณีที่ริเวอรอสถูกตัดสินคือกรณีที่พวกเขาลักพาตัวคู่สามีภรรยาพร้อมกับทารกไปคุมขังไว้ในสถานกักกันของกองบัญชาการปฏิบัติการเหยี่ยวในบัวโนสไอเรส คู่สามีภรรยาถูกสังหารและลูกของพวกเขาชื่อมารีอานา อายุ 1 ขวบถูกมอบให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองอาร์เจนตินาเลี้ยงดู จนกระทั่งอีก 16 ปีหลังจากนั้นมารีอานาถึงจะได้กลับไปสู่ญาติๆ ครอบครัวจริงของเธอ ส่วนพ่อเลี้ยงของเธอถูกตัดสินฐานกระทำทารุณกรรมและจับกุมคนอย่างผิดกฎหมาย
ถึงแม้ว่าในการพิจารณาคดีในครั้งนี้จะไม่ได้คำนึงถึงบทบาทของทางการสหรัฐฯ ในยุคนั้นต่อปฏิบัติการที่โหดร้ายในอเมริกาใต้ แต่ก็มีหลักฐานสำคัญที่โยงถึงบทบาทของสหรัฐฯ ในยุคนั้นได้ ซาลดัวกล่าวว่าพวกเขาค้นพบเอกสารของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ รู้เห็นเกี่ยวกับการสังหารในกรณีปฏิบัติการเหยี่ยวและให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค มีหลักฐานบ่งชี้ว่าหน่วยงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือซีไอเอ ให้คอมพิวเตอร์แก่หน่วยปฏิบัติการเหยี่ยวและติดต่อพวกเขาผ่านทางบริการโทรเลขในกรุงปานามา
แม้ว่าโดยทางการแล้วบริการโทรเลขนี้ถูกกำหนดให้ใช้กับการซ้อมรบร่วมกันของทหารในประเทศอเมริกาใต้กับสหรัฐฯ ที่ปานามา แต่เอกสารโทรเลขจากสถานทูตสหรัฐฯ ในปารากวัยส่งถึงทางการสหรัฐฯ ระบุว่าพวกเขาทำการประสานงานด้านข้อมูลกับประเทศแถบอเมริกาใต้ที่เป็นเครือข่ายของปฏิบัติการเหยี่ยว
ซาลดัวระบุว่าอาจจะมีการเปิดเผยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทของสหรัฐฯ ในปฏิบัติการเหยี่ยวในอนาคต ปัจจุบันพวกเขามีแต่เอกสารของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ พวกเขาหวังว่าจะได้ข้อมูลมากกว่านี้หลังจากที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และซีไอเอยอมเผยแพร่เอกสารในช่วงเผด็จการอเมริกาใต้ จากที่ก่อนหน้านี้ในวงที่ไปเยือนอาร์เจนตินาในเดือน มี.ค. ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ให้สัญญาว่าจะเปิดเผยเอกสารเรื่องนี้ทั้งหมด รวมถึงเอกสารของกองทัพและเอกสารด้านข่าวกรองด้วย
"ผมชื่อว่าพวกเราควรจะมีความรับผิดชอบที่จะเผชิญหน้ากับอดีตด้วยความซื่อสัตย์และโปร่งใส" ซาลดัวกล่าว
เรียบเรียงจาก
Argentina's last military dictator jailed for role in international death squad, The Guardian, 27-05-2016 http://www.theguardian.com/world/2016/may/27/argentinas-last-military-dictator-jailed-over-role-in-operation-condor
เขียนไว้ให้ปรากฏ: ปริศนาถุงมือเหลืองรองเท้าแดง กับ"ประชาธิปไตย" ที่หล่นหาย
งุนงงสงสัย:
เป็นไปได้อย่างไรที่กลุ่มคนที่เคยต่อต้านขับไล่เผด็จการเมื่อคราวพฤษภา 35 จะกลายเป็นผู้ที่ปกป้องและให้ท้ายรัฐบาลทหารในปัจจุบัน? อะไรเป็นปัจจัยทำให้พวกเขาเปลี่ยนไป หลักการประชาธิปไตยหรือเงื่อนไขทางการเมือง?
แต่ทว่าการเปลี่ยนไปของพวกเขาได้สร้างเงื่อนไขใหม่ให้สังคมไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน เป็นเงื่อนไขที่ไม่เพียงจะเปลี่ยนทิศทางการเมืองไทยเท่านั้น แต่อาจเปลี่ยนระบบการเมืองทั้งระบบเลยก็ได้ และการเปลี่ยนไปของพวกเขาจะนำมาซึ่งความสำเร็จอย่างที่พวกเขามุ่งหวังหรือไม่ ?
สมมติฐาน:
"จุดหมายที่แท้จริงคือการกำจัดทักษิณ การล้มไทยรักไทย (ทุนสามานย์ เผด็จการรัฐสภา)....แต่พวกเขาล้มทักษิณเองไม่ได้ เขาต้องอาศัยทหาร พันธมิตรสร้างเงื่อนไขให้การยึดอำนาจปี 49 เป็นไปได้ ขณะที่ กปปส.ปูทางให้การรัฐประหารปี 57 เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้"
ปัญหาของพวกเขาคือจะล้มทักษิณได้อย่างไร ในเมื่อทักษิณคือผู้นำที่เกิดจากระบบประชาธิปไตยตัวแทน ที่คัดเลือกจากประชาชน มีแค่สองทางคือหนึ่งการพยายามชนะทักษิณด้วยระบบเลือกตั้ง (หนึ่งคนหนึ่งเสียง) แต่ประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นแล้วว่าการพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า คือความล้มเหลวที่พวกเขาไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้นทุกครั้งของความปราชัยในสนามเลือกตั้งจึงไม่ใช่พวกเขาไร้ความสามารถหรือไม่ได้รับความนิยม แต่เป็นเพราะประชาชนโง่เขลาเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน กับพรรคทุนสามานย์ที่ใช้เงินซื้อเสียง.....ดังนั้นยังคงเหลือสองวิถีทางเพื่อที่จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งก็คือการเปลี่ยนกติกาหรือระบบ การยึดอำนาจปี 49 จุดมุ่งหมายคือการเปลี่ยนกติกาและเทคนิคของการเลือกตั้งแต่พวกเขาก็พ่ายแพ้เช่นเคย รัฐประหารปี 57 จุดมุ่งหมายจึงกลายเป็นการเปลี่ยนระบบการเลือกผู้นำ (หนึ่งคนไม่ใช่หนึ่งเสียง) นั้นก็คือทำให้การเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกผู้นำ แต่การเลือกตั้งไม่ใช่กระบวนการเลือกผู้นำเหมือนดังที่ผ่านมา
ที่มาของปัญหา:
ข้อเขียนของอาจารย์เบเนดิก แอนเดอร์สันว่าด้วยปริศนาเหลืองกับแดง ชี้ถึงปัญหาการเมืองไทยนั้นเกิดจากความขัดแย้งแย่งชิงของกลุ่มผู้นำที่ต่างสายพันธุ์ คือการต่อสู้ของผู้นำที่มีแซ่ต่างกัน (อาข่า แต้จิ่ว ไหหล่ำ ฮกเกี้ยน) โดยวิธีการมองเช่นนี้ยังคงยืนอยู่บน "ตรรกะของความขัดแย้ง" นั้นก็คือเปลี่ยนจากความขัดแย้งระหว่าง x กับ y (เหลืองกับแดง ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย ประชาธิปไตยกับเผด็จการรัฐสภา อิสาน-เหนือ กับกรุงเทพ-ใต้ ชนชั้นกลางที่เกิดใหม่หัวก้าวหน้ากับชนชั้นกลางเก่าที่อนุรักษ์นิยม หรือเลยไปกระทั่งเป็นความขัดแย้งของคนสองกลุ่มในเดือนตุลา และอีกมากมาย) ไปสู่ความขัดแย้งที่หลากหลายขึ้น ซึ่งฟังดูสอดคล้องกับความคิดของโพสต์โมเดิร์นที่ตั้งบนเชื่อของความหลากหลายทางวัฒนธรรม
แต่ข้อสงสัยของผู้เขียนก็คือว่าความแตกต่าง ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติของสังคมไม่ใช่หรือ แล้วระบบประชาธิปไตยไม่ได้เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งหรอกหรือ หากการแย่งชิงของคนต่างแซ่เพื่อก้าวสู่อำนาจเป็นเรื่องจริง ปัญหาก็คือว่าทำไมการแย่งชิงนี้ที่เคยตั้งอยู่บนระบบประชาธิปไตยของรัฐธรรมนูญ 40 ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินแพ้ชนะ กลับจบลงด้วยรัฐประหารและเผด็จการทหารในที่สุด
สรุปสั้นๆก็คือ ทำไมระบอบที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งจึงถูกทำลายด้วยความขัดแย้งเอง?
ขณะที่ข้อเขียนของอาจารย์ นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ "เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร" พยายามอธิบายปัญหาด้วยมุมมองและแว่นตาของ ฟรานซิส ฟูกูยาม่า ว่าสาเหตุที่แท้จริงไม่ใช่ความขัดแย้งทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นเหลืองกับแดง ทักษิณกับกลุ่มอำนาจเดิม และก็ไม่ใช่ความบกพร่องขององค์กรอิสระ (ศาลรัฐธรรมนูญ กกต.) ไม่ใช่ความไม่เอาถ่านของภาคประชาสังคม (เอ็นจีโอ สื่อสารมวลชน สถาบันศึกษา อื่นๆ) สิ่งเหล่านี้คือผลทั้งสิ้น เหตุที่แท้จริงคือรัฐไทยเป็นรัฐที่ไม่เข้มแข็ง ระบบราชการที่เป็นหัวใจของรัฐไร้ประสิทธิพล ขาดหลักคุณาธิปไตย อีกทั้งไม่มีอิสระและมักตกเป็นกลไก เครื่องมือของผู้ครองอำนาจ(รัฐ) ......
คำถามก็คือว่าทำไมระบบการเมือง (ในที่นี้คือประชาธิปไตย) ถึงจำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบราชการ "ที่ดี"? หรือพูดให้ง่าย ชัดเจนและเป็นรูปธรรมขึ้นก็คือว่าการใช้สิทธิหนึ่งคนหนึ่งเสียงในการเลือกผู้นำ ต้องขึ้นอยู่กับระบบราชการ"ที่ดี"ด้วยหรือ? ในแง่ข้อเท็จจริงกับบทสรุปของอาจารย์นิธิที่เน้นและให้ความสำคัญว่ารัฐไทยยังไม่ใช่รัฐที่เข้มแข็งแบบรัฐสมัยใหม่ และมักตกเป็นสมบัติของผู้ครองอำนาจนั้น ผู้เขียนสงสัยและคิดว่ายังถกเถียงได้อีกมาก เพราะมีข้อเท็จจริงแย้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการยึดอำนาจปี 49 ว่าเป็นไปได้อย่างไร หากระบบราชการถูกครอบงำโดยผู้มีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ หรือการยุบพรรคไทยรักไทยจะเป็นไปได้อย่างไรหากสิ่งทีอาจารย์นิธิเขียนคือความจริง
แต่ข้อเท็จจริงนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าระบบราชการไม่ได้ถูกยึดครองและใช้ประโยชน์โดยผู้ครองอำนาจ ประเด็นอยู่ที่ว่าถูกครอบงำมากน้อยเพียงไร ในเนื้อหาและพื้นที่ไหน ดังนั้นระบบราชการจึงมีอิสระพอสมควร โดยเฉพาะทหารต้องถือว่ามีมากเกินไปด้วยซ้ำ เห็นได้จากสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทหารไม่เพียงไม่ทำตามคำสั่งของผู้นำ หากยังถือวิสาสะประกาศกฎอัยการศึกเอง ทำตัวเป็นผู้มากบารมีไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง และยึดอำนาจในที่สุด
ความคลุมเคลือไม่แน่ชัดของรัฐที่เข้มแข็งคือช่องว่างที่สามารถอธิบาย"ช่วงเปลี่ยนผ่าน" ได้เป็นอย่างดี เพราะมีสมมติฐานว่า "การเป็นรัฐสมัยใหม่ที่เข้มแข็งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการอยู่รอดของประชาธิปไตย" ดังนั้นประชาธิปไตยอยู่รอดไม่ได้ก็มาจากสาเหตุที่ยังไม่เป็นรัฐสมัยใหม่ที่เข้มแข็งนั้นเอง แต่เหตุผลนี้จะอธิบายช่วงประชาธิปไตยเบ่งบานตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 40 จนถึงรัฐประหาร 49 หรือช่วงรัฐธรรมนูญ 50 จวบจนถึงยึดอำนาจปี 57 ได้อย่างไร กระนั้นก็ดีการมองปัญหาของอาจารย์นิธิถือว่าแตกต่างจากอาจารย์แอนเดอร์สันโดยสิ้นเชิง เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความขัดแย้ง หากแต่อยู่ที่องค์ประกอบที่ไม่พร้อมของสังคมเอง ซึ่งนั่นก็คือระบบราชการ
ผู้เขียนเห็นต่างจากอาจารย์นิธิค่อนข้างมาก กล่าวคือแม้ความขัดแย้ง องค์กรอิสระ หรือภาคประชาสังคมไม่ใช่สาเหตุ แต่ก็คือส่วนหนึ่งของปัญหาที่ไม่อาจมองข้าม หากเป็นผล ก็ไม่ใช่ผลที่แยกเป็นอิสระจากเหตุของมัน แต่มีปฏิกริยาลูกโซ่ที่ทำให้ผลนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ผู้เขียนเห็นว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากระบบราชการที่"ไม่พร้อม"หรือว่าจากรัฐที่เข้มแข็ง หากเกิดจากตัวระบบประชาธิปไตยเองต่างหาก
ระบบประชาธิปไตย:
ประการแรก: ประชาธิปไตยเป็นระบบที่ดีไม่ใช่เพราะมันทำให้คนดีมือสะอาดมีความสามารถได้เป็นผู้นำประเทศ มันเป็นระบบที่ดีเพราะว่าเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมในการเลือกคนดีมือสะอาดมีความสามารถให้ได้เป็นผู้นำต่างหาก หรือพูดให้ชัดเจนก็คือประชาชนมีส่วนในการกำหนดและนิยามความหมายที่เป็นรูปธรรมให้กับ"คนดีมือสะอาดมีความสามารถ"นั้นเอง
ประการต่อมา: หัวใจระบบประชาธิปไตยมีสองข้อสำคัญคือ
1. ความเสมอภาคในทางกฏหมาย และเท่าเทียมของสิทธิลงคะแนน หนึ่งคนหนึ่งเสียง
2. ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่
ข้อแรกความเสมอภาคทางกฏหมายก็คือนิติธรรม (หนึ่งในสามที่ฟูกูยามากล่าวถึงว่าต้องมีในสังคมประชาธิปไตย) ปัญหาก็คือว่าหากองค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นองค์กรที่จะทำให้เกิดนิติธรรมขึ้นในสังคม กลับกลายเป็นปัญหาของนิติธรรมเสียเอง หรือ กกต. องค์กรอิสระที่มีหน้าที่ในการจัดการเลือกต้ังเพื่อให้คนใช้สิทธิกลับไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง องค์กรที่เป็นแขนขาของระบบ เพื่อผลักดันให้ระบบทำงานกลับกลายเป็นปัญหาของระบบเอง ระบบจะแก้ปัญหาของตัวเองได้อย่างไร.
ที่สำคัญและเป็นจุดเปราะบางของประชาธิปไตยก็คือการถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ เสียงข้างมากที่เป็นทั้งเหตุผลและสิ่งการันตีที่สร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง นั่นคือเสียงข้างมากคือเหตุผลที่ถือเป็นที่สุด มีความชอบธรรมในตัวเอง และไม่มีเหตุผลใดสามารถแย้งได้ แต่ที่สร้างปัญหาให้ระบบคือเสียงข้างน้อย. เพราะเสียงข้างน้อยถูกรวบเข้าไปเป็นส่วนของเสียงข้างมากแต่ไม่ใช่เสียงข้างมาก (part of no part) ยกตัวอย่างให้เห็นชัดก็คือเมื่อเสียงข้างมากชนะได้เลือกผู้นำ ผู้นำที่ถูกเลือกด้วยเสียงข้างมากจะเป็นผู้นำของเสียงทั้งหมด ไม่ว่าเสียงข้างน้อยจะชอบหรือไม่ก็ตาม หรือการผ่านร่างกฏหมาย ไม่ว่าเหตุผลฝ่ายไหนจะถูกต้องหรือดีกว่าไม่ใช่ประเด็น เพราะว่าระบบนี้ตัดสินด้วยเสียงข้างมาก กฏหมายที่ผ่านความเห็นชอบของเสียงข้างมากก็จะถูกนำมาบังคับใช้กับทุกคน ด้วยเหตุนี้เสียงข้างน้อยที่ไม่ใช่เสียงข้างมากเพราะไม่เห็นด้วยกับเสียงข้างมากก็จะถูกรวบเข้าไปอยู่ในเสียงข้างมากโดยปริยาย แต่ถ้าเสียงข้างน้อยไม่ยอมรับและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเสียงส่วนใหญ่?? เสียงส่วนน้อยที่อยู่ในระบบแต่ไม่ยอมร่วม(มือ)กับระบบ? ระบบจะเป็นอย่างไร จะแก้ปัญหาอย่างไร?
การผ่านร่าง พ.ร.บ. "เหมาเข่ง"ด้วยเสียงข้างมากท่ามกลางการคัดค้านของประชาชนและไม่เห็นด้วยของฝ่ายค้านจนประกาศลาออกทั้งหมด คือที่มาของการยุบสภาเพื่อผ่าทางตันของระบบ และเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่กับการเลือกตั้ง.....ทุกอย่างน่าจะเป็นไปตามกลไกของระบบ
แต่......เสียงส่วนน้อยที่อยู่ในระบบไม่ยอมร่วมมือกับระบบ ระบบจะเดินไปอย่างไร
กปปส. ประกาศไม่ยอมรับการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ พร้อมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง
ขณะที่พรรคที่เคยเป็นฝ่ายค้านประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้งโดยไม่ส่งผู้ลงสมัคร
องค์กรอิสระที่จัดการเลือกตั้งทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ และศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นแขนขาของระบบตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ......แล้วประชาธิปไตยจะเดินไปอย่างไร
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จึงคือวันฆาตกรรมประชาธิปไตย และต่อมาในวันที่ 21 มีนาคมปีเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ประกาศการจากไปของประชาธิปไตยอย่างเป็นทางการ วันที่ 22 พฤษภาปีเดียวกันจึงเป็นวันเผาเรือนร่างที่ไร้ชีวิตของประชาธิปไตย
หากการฆาตกรรมครั้งนี้ไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิด อย่างน้อยก็เป็นการร่วมมือและส่งไม้ต่อจนระบบไม่อาจต้านทานและเดินไปอย่างปกติได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งการล่มสลายของประชาธิปไตยเกิดจากปัญหาภายในของมันเอง เกิดจากเสียงส่วนน้อยที่ไม่ยอมรับการค้ำจุนของระบบต่อเสียงส่วนใหญ่ เกิดจากองค์กรที่เป็นแขนขาสร้างปัญหาให้ระบบเอง
หมายเหตุประเพทไทย: จิตร ภูมิศักดิ์ ถูกจดจำแบบไหน
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ พบกับ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดคุยในโอกาสครบรอบ 50 ปี การจากไปของ ‘จิตร ภูมิศักดิ์’ นักประวัติศาสตร์และนักเขียนคนสำคัญของไทย ว่าทุกวันนี้ ‘จิตร ภูมิศักดิ์’ ถูกจดจำในหลากหลายภาพลักษณ์ เริ่มตั้งแต่ผู้แต่งบทกาพย์ยานี 11 “เปิบข้าว” ในแบบเรียนภาษาไทย ผู้แต่งเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ไปจนถึงนักวิชาการประวัติศาสตร์ผู้มีงานเขียนสำคัญ อาทิ โฉมหน้าศักดินาไทย, สังคมไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนสมัยศรีอยุธยา, ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ ฯลฯ นอกจากนี้เขายังทำให้สถานที่ซึ่งเขาจบชีวิต คือบ้านหนองกุง อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดอีกด้วย
เรื่องน่าสนใจอีกประการหนึ่งคือสำหรับนักต่อสู้ทางการเมืองทุกฝ่ายก็คือ บทเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ของจิตร ภูมิศักดิ์ ถูกนำไปขับร้องในกิจกรรมทางสังคมและการชุมนุมทางการเมืองของทุกกลุ่ม (ชมคลิป "แสงดาวแห่งศรัทธา" จากทุกเวที)โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเพลงที่สร้างความประทับใจให้กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื้อเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” แต่งขึ้นในช่วงที่จิตร ภูมิศักดิ์ ถูกจองจำเป็นนักโทษการเมืองในคุกลาดยาว และทั้งที่ชีวิตยังอับเฉาในคุก แต่เขาก็ไม่สูญเสียความหวังในเรื่องชัยชนะของประชาชน โดยสุธาชัย เสนอว่า เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา มีความสำคัญในแง่ ช่วยปลุกเร้าการต่อสู้ ในยามท้อแท้สิ้นหวัง ไม่รู้จะต่อสู้ไปอย่างไร และกลายเป็นเพลงที่มีความสำคัญสำหรับนักต่อสู้ทางการเมืองทุกสีทุกฝ่าย โดยที่ผู้แต่งเองก็ไม่สามารถผูกขาดการตีความหมายของเพลงไว้ได้
ติดตามวิดีโอจากประชาไทที่
ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai หรือ
https://www.youtube.com/playlist?list=PLyjd9jzMpO2Xby4FyxWMwY8auIFY01eVQ
TCIJ: เจาะเวลาหาอดีต แบบแผน‘การเกิด-ดับ’ ของรัฐบาลไทยช่วงปี 2518 ถึง 2539
สบายใจได้ 'หมอเหรียญทอง' ยัน รพ.มงกุฎวัฒนะ ปลอดคนคิดเลวร้าย เผยไล่ออกตั้งแต่ 53
ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะและปธ.องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน ระบุที่รพ.แม้มีคนต้านคสช.อยู่ แต่ก็เป็นส่วนน้อยและให้ความร่วมมือล่าแม่มดพวกหมิ่นฯเป็นอย่างดี แนะองค์กรอื่นเปิดเผยบอุดมการณ์ทางการเมืองบุคลากรเพื่อให้ผู้บริโภคสบายใจ
30 พ.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 10.38 น. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'เหรียญทอง แน่นหนา' ของ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ และประธานองค์กรเก็บขณะแผ่นดิน ได้โพสต์ (ซึ่งเฟซบุ๊กเพจ 'องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน' ได้แชร์ต่ออีกที) ว่า ขออนุญาตประชาสัมพันธ์การเปิดเผยข้อมูลเพื่อการตัดสินใจของผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการ รพ.มงกุฎวัฒนะ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุดมการณ์ทางการเมืองของแพทย์และบุคลากรส่วนน้อยบางคนตามโพสต์นี้
การุณ สกุลประดิษฐ์
นักกฎหมายสากลชี้คำพิพากษาพรุ่งนี้ คดีปะทะเหมืองแร่ จ.เลย ทดสอบสิทธิของนักปกป้องสิทธิฯ
คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากลและโพรเท็คชันฯ ออแถลงการณ์ร่วม ชี้คำพิพากษาพรุ่งนี้คดีอดีทหารนำกลุ่มชายฉกรรจ์ทำร้ายร่างกายชาวบ้านเปิดทางขนแร่ จ.เลย เป็นบททดสอบสำคัญเรื่องสิทธิของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
ภาพเหตุการณ์ 15 พ.ค. 2557 กรณีกลุ่มชายฉกรรจ์ พร้อมอาวุธ เข้าเปิดทางให้รถบรรทุกขนย้ายแร่ทองคำออกจากเหมืองแร่ทองคำวังสะพุงจังหวัดเลย ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บร่วม 30 คน
30 พ.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า วันนี้ คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล หรือ ไอซีเจ (International Commission of Jurists) และโพรเท็คชัน อินเตอร์เนชั่นแนล (Protection International) ได้ออกแถลงการณ์ร่วม เรื่องคำพิพากษาของศาลจังหวัดเลยที่จะออกมาในวันพรุ่งนี้ (31พ.ค.59) ในคดีที่มีจำเลย คือ พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค (เกษียณอายุ) และพ.ท.ปรมินทร์ ป้อมนาค (บุตรชาย) จำเลยทั้งสองถูกกล่าวหาในคดีอาญาว่ามีส่วนร่วมในการใช้ความรุนแรง โดยใช้กลุ่มชายฉกรรจ์ติดอาวุธ กว่า 100 คน เข้าทำร้ายสมาชิกกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด รวมถึงชาวบ้านนอกเหนือจากกลุ่มดังกล่าวด้วย เหตุเกิดที่บ้านนาหนองบง จังหวัดเลย ในคืนวันที่ 15 พ.ค. 2557 โดยผู้เสียหายถูก ทำร้ายและกักขังไว้มากกว่า 7 ชั่วโมงระหว่างเกิดเหตุการณ์ปะทะกัน ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 20 ราย โดยในจำนวนดังกล่าวมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลจำนวน 7 ราย
แซม ซารีฟี (Sam Zarifi) ผู้อำนวยการคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล สำนักงานเอเชีย กล่าวว่า “สำหรับประเทศไทย คดีนี้กลายมาเป็นคดีสัญลักษณ์ที่นักปกป้องเพื่อสิทธิมนุษยชนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการที่พยายามคุ้มครองสิทธิชุมชนของพวกเขา” นอกจากนี้ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “มีคนจำนวนมากกำลังติดตามคดีนี้ เพื่อจะดูว่ารัฐบาลไทยจะได้ทำตามความยึดมั่นของตนเองที่จะคุ้มครองนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนหรือไม่”
ทั้งนี้ การบุกโจมตีบ้านนาหนองบงดังกล่าวเกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดรวมถึงชาวบ้านในพื้นที่ตั้งสิ่งกีดขวางถนนเส้นในหมู่บ้านที่มุ่งไปทางเหมืองทองคำ ระหว่างการบุกโจมตี ได้มีการทำลายด่านกีดขวาง โดยมีรายงานว่ามีรถบรรทุกจำนวนอย่างน้อย 13 คัน เข้ามาขนแร่จากพื้นที่เหมือง
จากคำให้การบางส่วนของชาวบ้าน พล.ท.ปรเมษฐ์ และพ.ท.ปรมินทร์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงในวันที่ 15 พ.ค.57 โดยบุคคลทั้งสองถูกตั้งข้อหาต่าง ๆ รวมถึงข้อหา ‘ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย’ และ ‘การกักขังผู้อื่นโดยมิชอบ หรือการลิดรอนเสรีภาพของผู้อื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 และ มาตรา 309
แซม ยังได้กล่าวเสริมว่า “หากพิเคราะห์จากรายงานที่น่าเชื่อถือว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์ติดอาวุธมากกว่า 100 นาย เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ไอซีเจมีข้อห่วงใยในประเด็นว่ามีจำเลยเพียงสองรายเท่านั้นที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาจากการโจมตีดังกล่าว ดังนั้น เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยได้สืบสวนคดีใหม่และประกันว่ามีการนำบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมารับผิดชอบ รวมถึงมีการให้การเยียวยาเหยื่อที่เกี่ยวข้องด้วย”
คดีที่กล่าวหา พล.ท.ปรเมษฐ์ และพ.ท.ปรมินทร์ มีเหตุเชื่อมโยงมาจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดและบริษัท ทุ่งคำ จำกัด โดยในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯได้ยื่นฟ้องทั้งทางแพ่งและอาญากว่า 19 คดีต่อสมาชิกกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดและชาวบ้านอื่น ๆ จำนวน 33 ราย ซึ่งหนึ่งในการยื่นฟ้องคดีรวมถึงการฟ้องหมิ่นประมาททางอาญากับเด็กหญิงอายุ 15 ปี ที่ถูกกล่าวหาว่าได้กล่าวข้อความอันไม่เป็นผลดีเกี่ยวกับงานของบริษัทฯในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง
อนึ่ง กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาและเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสอง ศาลจังหวัดเลยได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันอังคารที่ 31 พ.ค.59 เวลา 9.00 น.
ข้อมูลพื้นฐาน :
พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค และพ.ท.ปรมินทร์ ป้อมนาค ถูกตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการ ตามประมวลกฎหมายอาญา ได้แก่ มาตรา 295 (‘ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย’) และมาตรา 296 (‘ระวางโทษฐานทำร้ายร่างกาย’), มาตรา 309 (‘ความผิดฐานการกักขังผู้อื่นโดยมิชอบ’ ) และมาตรา 310 (‘ระวางการกักขังผู้อื่นโดยมิชอบ’) , มาตรา 358 (‘ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ’), มาตรา 371 (‘ความผิดฐานพกพาอาวุธ’ ), มาตรา 376 (‘ความผิดฐานใช้ดินระเบิด’ ) , มาตรา 391 (‘ความผิดฐานใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตราย’) ประกอบกับข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ได้แก่ มาตรา 32, มาตรา 33 (‘การนำอาวุธปืนไปจดทะเบียนยังนายทะเบียนท้องที่’) รวมถึงมาตราอื่น ๆ ตามประมวลกฎหมายอาญา อาทิ มาตรา 83และมาตรา 84 (ตัวการและผู้ใช้), มาตรา 91 (มาตรา 90 และมาตรา 91 เป็นมาตราเกี่ยวกับการกระทำความผิดเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท โดยให้ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ต้องไม่เกินโทษตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 91) นอกจากนี้ยังรวมถึงความผิดอื่น ๆ ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, มาตรา 7, มาตรา 8 ทวิ, มาตรา 72 และมาตรา 72ทวิ, พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2501 มาตรา 3, และคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ข้อ 3,
ข้อ6, และข้อ 7
ประเทศไทยมีพันธกรณีทางกฎหมายที่จะคุ้มครองนักปกป้องเพื่อสิทธิมนุษยชนจากการถูกโต้กลับด้วยเหตุที่มาจากการใช้สิทธิของพวกเขาที่ชอบธรรมและชอบด้วยกฎหมาย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ประเทศไทยได้ร่วมกับประเทศอื่น ๆ อีก 126 ประเทศที่สมัชชาสหประชาชาติ (UN General Assembly) เพื่อรับเอาหนึ่งในข้อมติล่าสุดของสหประชาชาติเรื่องนักปกป้องเพื่อสิทธิมนุษยชน ข้อมติสหประชาชาติที่ 70/161 ได้รับรองความสำคัญที่การให้ความคุ้มครองนักปกป้องเพื่อสิทธิมนุษยชนของรัฐต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่นักปกป้องเพื่อสิทธิมนุษยชนถูกประหัตประหารอันมีเหตุมาจากการมีกิจกรรมที่สงบและมติยังได้ต่อต้านภัยต่าง ๆ, การคุกคามและการข่มขู่ต่อนักปกป้องเพื่อสิทธิมนุษยชน รวมทั้งส่งเสริมให้รัฐต่าง ๆ สอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องการข่มขู่และการโต้กลับ ทั้งยังสนับสนุนให้มีการนำตัวผู้กระทำผิดเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม