Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 58141 articles
Browse latest View live

'สุรพงษ์' ชี้น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 รัฐบาลประชาธิปัตย์ทำผิดพลาดไม่ใช่เพื่อไทย

$
0
0
'สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล' ยกข้อมูลแจงปมน้ำท่วมปี 2554 หลัง ป.ป.ช.ตั้งอนุ กก.สอบข้อเท็จจริง 'ยิ่งลักษณ์' ทำผิดบริหารจัดการน้ำ ยันน้ำมาก่อนรัฐบาลเพื่อไทย ชี้เหตุจากรัฐบาลประชาธิปัตย์บริหารจัดการผิดพลาด

 
ไทยรัฐออนไลน์รายงานเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2559 ที่ผ่านมาว่านายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณี ที่ ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำความผิดในการบริหารจัดการน้ำ เป็นเหตุให้เกิดมหาอุทกภัย ในปี 54 ว่า ฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า น้ำเดินทางหรือไหลจากเหนือมาสู่ภาคกลาง และกว่ามวลน้ำจะเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ต้องใช้เวลาเป็นแรมเดือน และแต่ละเขื่อนที่เก็บกักน้ำตลอดลำน้ำต่างๆ ตั้งแต่แม่น้ำปิง วัง ยม น่าน และเจ้าพระยานั้น ก็จะต้องมีการบริหารปล่อยน้ำทิ้งก่อนที่ฤดูน้ำหลากจะมาถึง เพื่อจะให้น้ำใหม่ไหลเข้าไปเก็บกักไว้แทนที่ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือน ๆ ในการวางแผนจัดการน้ำ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ามาบริหารงานต้นเดือน ส.ค. 2554 และก็เกิดเหตุน้ำท่วมกรุงเทพฯ ทันที ซึ่งนั่งทำงานกันก้นยังไม่ทันจะอุ่นเลย น้ำก็ไหลเข้ามาถึงกรุงเทพฯ แล้ว
 
นายสุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า ถ้านายกฯ ลองใช้สมองอันฉลาดปราดเปรื่องพิจารณาดู จากข้อมูลสถิติปริมาณน้ำหน้าเขื่อนในช่วงเวลานั้น ก็ย่อมทราบได้ทันทีว่าเหตุน้ำท่วมที่มันเกิดขึ้นใน ปี 2554 นั้น ย่อมต้องเป็นผลมาจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่หน่วยงานน้ำและเขื่อนทำการเก็บกักน้ำเอาไว้มากจนเกินไป ก่อนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะเข้ามาบริหารงาน ดังนั้นการที่จะมาพิจารณาว่าเหตุน้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้น ถ้าต่างชาติเขารู้เข้า จะหัวเราะเยาะประเทศไทยเราแน่นอน จึงขอให้ผู้นำรัฐบาลได้ทบทวนเรื่องนี้โดยด่วนด้วย เพราะต่างชาติจะหมดความศรัทธาและความเชื่อมั่นในการดำเนินการของรัฐบาลขอย่างแน่นอน เพราะข้อมูลและตัวเลขนั้น สามารถพิสูจน์กันได้โดยหลักการคำนวณทางวิศวกรรมศาสตร์ ด้านชลประทานได้อย่างชัดเจน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลาโหมออกกฎกระทรวงหลักเกณฑ์ผ่อนผัน-ยกเว้น เรียกเป็น 'กําลังพลสํารอง'

$
0
0

เมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา ราชกิจานุเบกษาเผยแพร่กฎกระทรวงกิจการกําลังพลสํารอง พ.ศ. 2559 ภายหลังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกําลังพลสํารอง พ.ศ. 2558 โดยกฎกระทรวงฉบับนี้ลงนามโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ซึ่งระบุเหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ด้วยว่า โดยที่มาตรา 15 วรรคสอง มาตรา 19 (3) มาตรา 20 วรรคสี่ มาตรา 29 วรรคหนึ่ง (2) และ (7) และมาตรา 32 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.กําลังพลสํารอง พ.ศ. 2558 บัญญัติให้การกําหนดเวลาการเป็นกําลังพลสํารอง การยกเว้นการเป็นกําลังพลสํารองการพ้นจากการเป็นกําลังพลสํารองและกรณีที่ไม่ถือว่ากําลังพลสํารองหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่เข้ารับราชการทหารรวมทั้งการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการผ่อนผันให้กําลังพลสํารองไม่ต้องเข้ารับราชการทหารและการแจ้งคําสั่งเรียกระดมพลโดยวิธีการอื่น ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวง จึงจําเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
 
กฎกระทรวงนี้กำหนดไว้ 4 หมวด โดยหมวด 1 ว่าด้วยการกําหนดเวลาการเป็นกําลังพลสํารอง การยกเว้นการเป็นกําลังพลสํารองและการพ้นจากการเป็นกําลังพลสํารอง ทั้งนี้ การเป็นกําลังพลสํารอง ให้มีกําหนดเวลาคราวละ 6 ปีนับแต่วันที่บรรจุรายชื่ออยู่ในบัญชีบรรจุกําลัง และในกรณีที่เป็นกําลังพลสํารอง จะเป็นกําลังพลสํารองเกิน 5 คราวมิได้

กฎกระทรวงฉบับนี้ ได้รับการยกเว้นการเป็นกําลังพลสํารองให้กับบุคคลเหล่านี้ ประกอบด้วย 1. ทหารกองเกินที่ยังไม่พ้นหน้าที่ในการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจําการตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร 2. คนพิการทุพพลภาพหรือบุคคลที่มีโรคตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงนี้หรือมีความพิการหรือโรคอื่นใดซึ่งคณะกรรมการแพทย์ตามที่กระทรวงกลาโหมกําหนดมีความเห็นว่าไม่สมควรเป็นกําลังพลสํารอง 3. คนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

4. พระภิกษุที่มีสมณศักดิ์หรือที่เป็นเปรียญ และพระภิกษุผู้ปกครองสงฆ์ที่มีตําแหน่งตั้งแต่เจ้าอาวาสขึ้นไป นักบวชในพระพุทธศาสนาจีนนิกายหรืออนัมนิกายที่มีสมณศักดิ์ หรือพระภิกษุ สามเณรและนักบวชในพระพุทธศาสนาจีนนิกายหรืออนัมนิกายซึ่งเป็นนักธรรมตามที่สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับรอง 5. อิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น ในศาสนาอิสลาม เจ้าอธิการวัดและผู้ช่วยเจ้าอธิการวัดที่ เจ้าอธิการวัดรับรอง สําหรับศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก หรือหัวหน้าสํานัก หรือเจ้าหน้าที่ หรือ ผู้ช่วยหัวหน้าในสํานักสอนศาสนาสํานักใหญ่ที่หัวหน้าสํานักรับรอง สําหรับศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์และบุคคลในศาสนาอื่นซึ่งมีหน้าที่ประจําในกิจของศาสนาตามที่กระทรวงกลาโหมประกาศกําหนด 6. บุคคลซึ่งได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ 7. บุคคลซึ่งรับโทษจําคุกอยู่โดยคําพิพากษาของศาล 8. บุคคลซึ่งเคยได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกครั้งเดียว หรือหลายครั้งรวมกันตั้งแต่สิบปีขึ้นไปในกรณีที่ปรากฏว่ามีการบรรจุรายชื่อบุคคลตามวรรคหนึ่งไว้ในบัญชีบรรจุกําลังให้พนักงานเจ้าหน้าที่จําหน่ายชื่อบุคคลนั้นออกจากบัญชีบรรจุกําลัง
       
ทั้งนี้ กฎกระทรวงยังระบุเกณฑ์ให้กําลังพลสํารองพ้นจากการเป็นกําลังพลสํารอง ประกอบด้วย ตาย เป็นบุคคลที่ถูกถอนสัญชาติไทย สละสัญชาติไทย หรือแปลงสัญชาติเป็นคนต่างด้าว ได้รับโทษจําคุกอยู่โดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกตั้งแต่หกปีขึ้นไป เว้นแต่เป็นโทษ สําหรับความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการเป็นกําลังพลสํารองตามที่กําหนดในข้อบังคับ และพ้นราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร เว้นแต่ผู้ที่สมัครเข้าเป็นกําลังพลสํารอง
       
หมวด 2 ว่าด้วยการผ่อนผันให้กําลังพลสํารองไม่ต้องเข้ารับราชการทหารในการเรียกกําลังพลสํารองเพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหาร และเพื่อทดลองความพรั่งพร้อม ประกอบด้วย (1.) พระภิกษุ สามเณร และนักบวชในพระพุทธศาสนาจีนนิกายหรืออนัมนิกาย (2.) บุคคลในศาสนาอื่นซึ่งมีหน้าที่ประจําในกิจของศาสนา และมิใช่บุคคลที่ได้รับการยกเว้นการเป็นกําลังพลสํารอง ทั้งนี้ ตามที่กระทรวงกลาโหมประกาศกําหนด (3.) ครูซึ่งสอนประจําเฉพาะวิชาหรือประจําทําการสอน นักเรียน นิสิต หรือนักศึกษาไม่น้อยกว่าสิบห้าคนเป็นปกติ และมีเวลาสอนสัปดาห์ละไม่น้อยกว่าสิบแปดชั่วโมงสําหรับครูซึ่งประจําทําการสอนในสถานศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาลงมา หรือไม่น้อยกว่าสิบห้าชั่วโมงสําหรับครูซึ่งประจําทําการสอนในสถานศึกษาระดับสูงกว่ามัธยมศึกษา โดยเป็นครูซึ่งสอนอยู่ในสถานศึกษาตามประเภทที่กระทรวงกลาโหมประกาศกําหนด
       
(4.) บุคคลซึ่งรัฐมนตรีเห็นสมควรผ่อนผันเป็นพิเศษเฉพาะคราว ดังต่อไปนี้ (1.) ให้บุคคล แจ้งต่อเจ้าอาวาสวัดซึ่งบุคคลนั้นมีที่อยู่หรือพํานักอาศัยอยู่ หัวหน้า สถานศึกษา หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานซึ่งผู้นั้นสังกัดอยู่ หรือผู้บังคับหน่วยทหารที่กําลังพลสํารอง มีรายชื่อบรรจุอยู่ แล้วแต่กรณี และให้ผู้ได้รับแจ้งจัดทําบัญชีรายชื่อของบุคคลดังกล่าว ส่งไปยังหน่วยทหารที่กําลังพลสํารองมีรายชื่อบรรจุอยู่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง (2.) ให้หน่วยทหารที่ได้รับแจ้งจัดทําบัญชีรายชื่อของบุคคลดังกล่าวส่งไปยังกระทรวงกลาโหมภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการผ่อนผันให้มีผลตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมายอนุมัติการแจ้งและการจัดทําบัญชีรายชื่อตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่กระทรวงกลาโหมประกาศกําหนด
       
ในกรณีที่กําลังพลสํารองพ้นจากฐานะตามที่กําหนดไว้ ให้ผู้ซึ่งได้รับแจ้งแล้วแต่กรณี จัดทําบัญชีรายชื่อบุคคลดังกล่าวตามแบบที่กระทรวงกลาโหมประกาศกําหนดแล้วดําเนินการต่อไปตามขั้นตอนและวิธีการที่กําหนดไว้ ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทราบให้การผ่อนผัน เป็นอันสิ้นสุดตั้งแต่วันที่บุคคลนั้นพ้นจากฐานะตามที่กําหนดไว้หรือตั้งแต่วันที่การผ่อนผันเป็นพิเศษเฉพาะคราวสิ้นสุดลง
       
ส่วนกําลังพลสํารองที่ประสงค์ขอผ่อนผันไม่ต้องเข้ารับราชการทหารในการเรียกกําลังพลสํารองเพื่อปฏิบัติราชการและการระดมพล ให้แจ้งไปยังหน่วยทหารที่กําลังพลสํารองมีรายชื่อบรรจุอยู่ โดยให้หน่วยทหารดําเนินการต่อไปตามขั้นตอนและวิธีการที่กําหนดไว้ ภายในสิบห้าวันการผ่อนผันให้มีผลตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมายอนุมัติและให้การผ่อนผันเป็นอันสิ้นสุดตั้งแต่วันที่การผ่อนผันเป็นพิเศษเฉพาะคราวสิ้นสุดลง ในกรณีจําเป็นเพื่อการป้องกันประเทศ รัฐมนตรีจะยกเลิกการผ่อนผันให้แก่กําลังพลสํารอง ในการเรียกกําลังพลสํารองหรือการระดมพลคราวใดตามที่เห็นสมควรก็ได้
       
หมวด 3 ว่าด้วยกรณีที่ไม่ถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่เข้ารับราชการทหาร ประกอบด้วย (1.) ออกไปศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศโดยมีหนังสือรับรองจากทางราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง (2.) ไปทํางานต่างประเทศโดยมีหนังสือรับรองจากกระทรวงแรงงานหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้อง (3.) ไปดูงานหรือไปทําการศึกษาวิจัย ณ ต่างประเทศ โดยมีหนังสือรับรองจากทางราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง (4.) ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และได้แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบภายในสามวันทําการนับแต่วันที่พ้นจากการคุมขัง (5.) กําลังพลสํารองซึ่งจําเป็นต้องหาเลี้ยงบิดาหรือมารดา ซึ่งไร้ความสามารถหรือพิการทุพพลภาพหรือชรา จนหาเลี้ยงชีพไม่ได้และไม่มีผู้อื่นเลี้ยงดู แต่ถ้ามีบุตรหลายคนจะต้องถูกเรียกเข้ารับราชการทหารพร้อมกัน คงผ่อนผันให้คนเดียวตามแต่บิดาหรือมารดาจะเลือก โดยได้รับอนุมัติจากผู้บังคับหน่วยทหารที่กําลังพลสํารองมีรายชื่อบรรจุอยู่ (6.) กําลังพลสํารองซึ่งจําเป็นต้องหาเลี้ยงบุตรซึ่งมารดาหรือบิดาตาย ไร้ความสามารถ หรือพิการทุพพลภาพ และกําลังพลสํารองซึ่งจําเป็นต้องหาเลี้ยงพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดา หรือมารดาซึ่งบิดาหรือมารดาตาย ทั้งนี้ เมื่อบุตรหรือพี่หรือน้องนั้นหาเลี้ยงชีพไม่ได้และไม่มีผู้อื่นเลี้ยงดู โดยได้รับอนุมัติจากผู้บังคับหน่วยทหารที่กําลังพลสํารองมีรายชื่อบรรจุอยู่ต้องได้รับการผ่อนผันเฉพาะคราวจากรัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมาย
       
หมวด 4 ว่าด้วยการแจ้งคําสั่งเรียกระดมพลโดยวิธีการอื่น ในกรณีที่ไม่อาจแจ้งคําสั่งเรียกระดมพลตามวิธีการที่กําหนด ได้ ให้แจ้งคําสั่งดังกล่าวทางโทรศัพท์ โทรสาร จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นใดที่กําลังพลสํารองแจ้งช่องทางการติดต่อไว้ และให้ถือว่ากําลังพลสํารองได้รับการแจ้งคําสั่งเรียกระดมพลแล้วนับแต่วันที่แจ้งในกรณีที่ไม่อาจดําเนินการแจ้งคําสั่งโดยวิธีการตามวรรคหนึ่งได้ ให้ประกาศแจ้งคําสั่งเรียกระดมพลทางวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์รายวันที่แพร่หลายหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามวันติดต่อกัน และให้ถือว่ากําลังพลสํารองได้รับการแจ้งคําสั่งเรียกระดมพลเมื่อพ้นกําหนดเวลาที่ต้องประกาศ

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รองโฆษกอัยการแจงคดีหลานพลทหารวิเชียร อัยการนราฯสั่งสอบเพิ่ม หลังเจ้าของสำนวนสั่งฟ้อง

$
0
0

นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ (ที่มาภาพ profile ใน LINE)

24 ก.ย. 2559 หลังจากเมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ หลานพลทหารวิเชียร เผือกสม เดินทางไปยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด ณ สำนักงานอัยการ ศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะ และเดินทางไปยื่นหนังสือต่อหัวหน้าอัยการ กรมพระธรรมนูญ เพื่อให้พิจารณาดำเนินการกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเสียชีวิตของพลทหารวิเชียรในฐานความผิดตาม มาตรา 289 (5) แห่งประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากเป็นกรณีที่พลทหารวิเชียรถูกกระทำโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต ส่วนกรณีคดของ นริศราวัลถ์ จากการโพสต์บอกเล่าเรื่องราวและร้องขอความเป็นธรรมกรณีพลทหารวิเชียรบนอินเตอร์เน็ตนั้น นริศราวัลถ์ เปิดเผยว่า พนักงานอัยการเจ้าของสำนวนด้แจ้งต่อตนด้วยวาจาว่าได้สรุปสำนวนและมีความเห็นสั่งฟ้องต่อศาล โดยระบุว่าความเห็นพนักงานสอบสวนที่สรุปมาในสองข้อหาคือ 1) ข้อหาความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร  2) ข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ  ขณะนี้สำนวนอยู่ที่อัยการจังหวัดนราธิวาส พิจารณาและมีคำสั่งต่อไป (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

วันเดียวกัน (23 ก.ย.59) มติชนออนไลน์รายงานว้า ประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่า อัยการมีคำสั่งฟ้อง นริศราวัลถ์ ดังกล่าวว่า คดีนี้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน และพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนมาให้สำนักงานอัยการจังหวัดนราธิวาส โดยตนทราบข้อมูลจาก อารยะ กระโหมวงศ์ อัยการจังหวัดนราธิวาส ว่าคดีนี้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนมาแบบไม่มีตัวผู้ต้องหา ในสำนวนมีเอกสารหลักฐานในส่วนของผู้เสียหายที่กล่าวหา แต่ยังไม่มีข้อมูลการแจ้งข้อกล่าวหาและคำให้การของผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนมาให้อัยการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 141 ระบุว่า ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิด แต่เรียกหรือจับตัวยังไม่ได้ แต่เมื่อได้ความตามทางสอบสวนอย่างใด ให้ทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องส่งไปพร้อมกับสำนวนให้พนักงานอัยการ ถ้าพนักงานอัยการเห็นชอบด้วยว่าควรสั่งไม่ฟ้อง ให้ยุติการสอบสวนโดยสั่งไม่ฟ้อง และให้แจ้งคำสั่งนี้ให้พนักงานสอบสวนทราบ แต่ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าควรสอบสวนต่อไป ให้สั่งพนักงานสอบสวนปฏิบัติเช่นนั้น ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าควรสั่งฟ้อง ให้จัดการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ได้ตัวผู้ต้องหามา ถ้าผู้ต้องหาอยู่ต่างประเทศ ให้พนักงานอัยการจัดการเพื่อขอให้ส่งตัวข้ามแดนมา

ประยุทธ กล่าวต่อว่า โดยเบื้องต้น รติ ช่อลำไย อัยการเจ้าของสำนวน ได้พิจารณาสำนวนเท่าที่มีอยู่ของพนักงานสอบสวน แล้ว รติ จึงเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา ให้อัยการจังหวัดนราธิวาส พิจารณา โดย อารยะ อัยการจังหวัดนราธิวาส พิจารณาแล้วมีความเห็นสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมในหลายประเด็น อาทิ ฝ่ายผู้เสียหายมีการร้องทุกข์หลายท้องที่หรือไม่ รวมถึงเรื่องการเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ดังนั้นการพิจารณาความเห็นของอัยการจึงยังไม่สิ้นสุด ไม่ใช่ความเห็นเด็ดขาดเพราะอัยการจังหวัดนราธิวาส สั่งสอบสวนเพิ่มเติม จึงต้องรอผลการสอบสวนเพิ่มเติม รวมทั้งล่าสุดที่ผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดเข้ามา

ประยุทธ กล่าวอีกว่า ที่มีข่าวออกมาว่าผู้ต้องหาให้การปฎิเสธ โดยมีการส่งตัวผู้ต้องหาไปยังอัยการนราธิวาสแล้วนั้น จริงๆแล้วยังไม่มีการส่งตัวผู้ต้องหาให้อัยการจังหวัดนราธิวาสแต่อย่างใด ดังนั้นการมีความเห็นเสนอสั่งคดีเบื้องต้นจึงเป็นการสั่งแบบไม่มีตัวตามขั้นตอนกฎหมาย ภายหลังหากได้ตัวผู้ต้องหาต้องรวบรวมคำให้การและพยานของผู้ต้องหาส่งมาให้อัยการพิจารณาต่อไป

ต่อกรณีคำถามว่าเมื่อผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร ประยุทธ กล่าวว่า จะรวบรวมเอกสารทั้งหมดส่งไปยังอัยการเจ้าของสำนวนเพื่อให้พิจารณาไปในคราวเดียวกันกับการพิจารณาสำนวนคดี หากเจ้าของสำนวนมีความเห็นสั่งฟ้องจะต้องรายงานให้อัยการสูงสุดรับทราบ แต่กรณีสั่งไม่ฟ้องจะต้องส่งสำนวนไปที่อธิบดีอัยการภาค 9 ก่อนเสนอให้อัยการสูงสุด ตามขั้นตอนที่เป็นระเบียบปฏิบัติ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ก.คลังสรุปแล้ว 'ยิ่งลักษณ์' ต้องจ่าย 3.5 หมื่นล้านบาท ค่าเสียหายจำนำข้าว

$
0
0
อธิบดีกรมบัญชีกลางเผยผลพิจารณาคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งกรณีเรียกร้องค่าเสียหายจำนำข้าว ระบุ 'ยิ่งลักษณ์' ต้องชดเชย 3.5 หมื่นล้านบาท คิดจากค่าเสียหาย 2 โครงการจำนำข้าว ฤดูกาลผลิตข้าวนาปี 2555/2556 และ 2556/2557 วงเงินความเสียหายรวม 1.78 แสนล้านบาท ใแต่นฐานะผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบค่าเสียหายในสัดส่วน 20% ที่เหลือ 80% ผู้ทำให้เกิดความเสียหายรองลงมาต้องรับผิดชอบตามสัดส่วน

 
24 ก.ย. 2559 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่านายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง เปิดเผยว่า ส่งข้อสรุปเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจำนำข้าวในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไปยัง น.ส.สุทธิรัตน์ รัตนโชติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะกำกับดูแลกรมบัญชีกลางแล้ว กระบวนการหลังจากนี้จะส่งหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานที่เสียหายจำนำข้าว คือ สำนักนายรัฐมนตรี ในฐานะต้นสังกัดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และส่งไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อให้ลงนามคำสั่งทางปกครองให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับผิดชอบค่าเสียหาย
 
นายมนัสกล่าวว่า ในส่วนค่าเสียหายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องชดเชยให้รัฐอยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท เป็นการคิดจากค่าเสียหายใน 2 โครงการจำนำข้าวคือโครงการรับจำนำในฤดูกาลผลิตข้าวนาปี 2555/2556 และฤดูกาลผลิตข้าวนาปี 2556/2557 วงเงินความเสียหายรวม 1.78 แสนล้านบาท น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบค่าเสียหายในสัดส่วน 20% ที่เหลือ 80% ผู้ทำให้เกิดความเสียหายรองลงมาต้องรับผิดชอบตามสัดส่วน
 
นายมนัสกล่าวว่า ข้อสรุปครั้งนี้เรียกร้องค่าเสียหายจากน.ส.ยิ่งลักษณ์เพียงคนเดียว เนื่องจากคณะกรรมการฯ ชุดนี้พิจารณาความผิดตามข้อสรุปของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดที่มีนายจิรชัย มูลทองโร่ย เป็นประธานส่งเรื่องมา และเป็นไปตามที่ป.ป.ช.ชี้มูลน.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างไรก็ตามคณะรรมการชุดนายจิรชัยสรุปความเสียหายจำนำข้าวรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไว้ที่ 2.8 แสนล้านบาท โดยเป็นการคิดความเสียหายใน 4 ฤดูกาลตั้งแต่ปี 2554-2557 ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งได้นำสำนวนดังกล่าวมาพิจารณา ประชุมถึงเรื่องนี้ถึง 13 ครั้ง สรุปว่าควรคิดค่าเสียหายเพียง 2 ฤดูการผลิตหลัง
 
“แม้ว่าจะเกิดความเสียหายในฤดูกาลผลิตข้าวนาปี 2554/2555 และข้าวนาปรัง 2555 วงเงิน 1.15 แสนล้านบาท แต่พบว่าข้อมูลที่หน่วยงานตรวจสอบต่างๆส่งมาให้น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเพียงข้อเสนอแนะที่ให้ระวังเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรับจำนำว่ามีความเสี่ยงขาดทุน และให้มีการตรวจสอบป้องกันและแก้ไข ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้มีการส่งข้อเสนอแนะจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ ป.ป.ช. สตง. ไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับจำนำข้าวแล้ว ซึ่งเท่าที่ดูในข้อเท็จจริงพบว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอจะรับฟังได้ว่าได้ทราบอย่างแน่ชัดถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงถือว่าไม่ได้จงใจละเมิดหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการทำโครงการรับจำนำใน 2 ฤดูกาลแรก”นายมนัสกล่าว
 
นายมนัสกล่าวต่อว่า มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายกับการดำเนินการในฐานะผู้บังคับบัญชา ถ้าพูดกันในเชิงนโยบายนั้นไม่ถือว่าเป็นการละเมิด นโยบายไม่ใช่การกระทำจึงไม่ใช่การละเมิด แต่สิ่งที่คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งพิจารณาคือน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของรัฐบาลในขณะนั้น จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าว หลังจากที่ทราบอย่างชัดเจนว่าเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว ก็ไม่ได้สั่งชลอหรือทบทวนโครงการ
 
นายมนัส กล่าวว่า ส่วนความเสียหาย 80% ที่เหลือ คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งเสนอแนะไปว่า หน่วยงานที่เกิดความเสียหายต้องมีการสืบสวนและต้องเรียกความเสียหายดังกล่าว โดยมีระยะเวลาเรียกค่าเสียหายภายใน 10 ปีนับจากเกิดความเสียหาย ส่วนกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น หากไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องค่าเสียหายตรงนี้ สามารถฟ้องศาลปกครอง เพื่อเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง หลังจากที่ได้รับคำสั่งทางปกครองแล้วได้ แต่ถ้าไม่คัดค้านจะเข้าสู่กระบวนการยึดทรัพย์เพื่อชดใช้ความเสียหาย เชื่อว่าน.ส.ยิงลักษณ์ต้องฟ้องคัดค้านแน่ ไม่ได้กังวล เพราะถือเป็นการทำตามหน้าที่ ไม่ได้ไปกลั่นแกล้งใคร และยืนยันว่าการเมืองไม่ได้แทรกแซงการพิจารณาครั้งนี้
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พบที่อยู่บริษัทลูก 'พล.อ.ปรีชา' อยู่ในค่ายทหาร-ฝายแม่ผ่องฯ พังแล้ว

$
0
0

24 ก.ย. 2559 สำนักข่าวอิศราและ ทีมข่าวล่าความจริง now26.tv รายงานตรงกันว่า ห้างหุ้นส่วนจัด (หจก.) คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ซึ่งมีปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นั้น ตั้งเลขที่ 128/31/007 ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก 

โดย สำนักข่าวอิศรารายงานจาก จ.พิษณุโลกว่า ในช่วงบ่ายวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่ตั้ง หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ตามที่แจ้งไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เลขที่ 128/31007 หมู่ที่ 2 ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก พบว่า อยู่ในค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ (สนามบิน) ตำบลอรัญญิก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 โดยมีลักษณะแบ่งเป็นบ้านพักของนายทหาร อยู่ติดกับพื้นที่สนามกอล์ฟ (สนามกอล์ฟดงภูเกิด)
 
สำนักข่าวอิศรา ระบุอีกว่าจากการตรวจสอบพบว่า เลขที่ 128/31/007 หมู่ที่ 2 ดังกล่าวตรงกับที่อยู่ของ ปฐม ตามที่แจ้งในหนังสือบริคณห์สนธิในการจดทะเบียนจัดตั้ง หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น และเป็นที่อยู่ของ ปฐมพล ตามที่ระบุในบัตรประชาชนอีกด้วย
 
 
สำหรับหจก. คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น นั้นเป็นคู่สัญญารับเหมาก่อสร้างหน่วยงานภาครัฐทั้งสิ้น 11 โครงการ (สัญญา) รวมวงเงิน 155,603,000 บาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการของกองทัพบก (กองทัพภาคที่ 3) จำนวน 7 โครงการ 97,651,000 บาท (ธ.ค.57-เม.ย.59) สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 9 กรมทรัพยากรน้ำ 1 โครงการ 44,887,000 บาท (5 มี.ค. 58) และ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พิษณุโลก 3 โครงการ 13,065,000 บาท (ส.ค.-ต.ค.58)
 

ฝายแม่ผ่องฯ พังแล้ว

ขณะที่ในโลกโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กมีการเผลแพร่ภาพฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนาใน จ.เชียงใหม่ โดยมี ผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภริยาของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม เดินทางไปเป็นประธานเปิดฝาย เมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา พร้อมป้ายชื่อ ฝายกั้นน้ำ "แม่ผ่องพรรณพัฒนา" ต่อมามีการเผยแพร่ภาพว่าฝายดังกล่าวหลังฝนตกหนักได้พังแล้วนั้น
 
ล่าสุดวานนี้ (23 ก.ย.59) มติชนออนไลน์รายงานว่า ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ลงไปดูกรณีฝายพัง พบว่าสภาพฝายแม่ผ่องพรรณ ที่ ผ่องพรรณ จันทร์โอชา นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะสร้าง พังเสียหาย หลังเกิดน้ำไหลหลาก กัดเซาะบริเวรด้านข้าง บริเวณบ้านปางปอย หมู่ 9 ต.แม่คะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
สภาพฝายแม่ผ่องฯ ในวันเปิด
 
สภาพฝายหลังเกิดฝนตกหนัก ซึ่งมีการเผยแพร่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กจำนวนมาก

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวชุมชนป้อมมหากาฬทวงความคืบหน้าตั้งกรรมการพหุภาคี ขอให้ กทม.หยุดไล่รื้อชุมชน

$
0
0
ชาวบ้านชุมชนป้อมพระกาฬ ทวงความคืบหน้าตั้งกรรมการพหุภาคี แก้ปัญหาไล่รื้อชุมชนหลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีขอให้หยุดไล่รื้อโดยด่วนทันที หลังมีกระแสข่าวว่า กทม. จะนำกำลังเข้ารื้อระหว่าง 27 -30 ก.ย. อีกครั้ง

 
 
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพประชาไท
 
เว็บไซต์ไทยโพสต์ รายงานว่าเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2559 ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงาน ก.พ. ชาวชุมชนป้อมมหากาฬ ในนามกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนและนักวิชาการเพื่อการอนุรักษ์ฟื้นฟูเมือง จำนวน 20 คน นำโดยนางภารนี สวัสดิรักษ์ เครือข่ายประชาสังคมและนักวิชาการเพื่อการอนุรักษ์ฟื้นฟูเมือง ได้เดินทางมาติดตามเรื่องการยื่นข้อเรียกร้องต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพหุภาคีเพื่อแก้ไขปัญหา และอนุรักษ์พัฒนา ชุมชนป้อมมหากาฬ ที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนในสังคม เช่น ภาคราชการ ภาคชุมชน ภาคประชาสังคม ภาคเอกชนและภาควิชาการ เพื่อศึกษาแก้ไขปัญหาชุมชนป้อมมหากาฬ
 
นายวิสุทธิ์ ฉัตรานุฉัตร ผอ.ส่วนนิติการศูนย์บริการประชาชน ชี้แจงว่าขณะนี้ทางศูนย์บริการประชาชน (ศบช.) เสนอไปยัง มล.ปนัดดา ดิสกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงนามรับทราบและได้ส่งเรื่องถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมแล้ว และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งตัวแทนกลุ่มฯ ได้ขอให้ระหว่างการรอพิจารณาของ พล.อ.ประวิตรนั้น ให้สั่งการไปยัง กทม. ชะลอการไล่รื้อถอนชาวชุมชนป้อมมหากาฬ ออกไปก่อนเพื่อรอการตั้งคณะกรรมการพหุภาคี
 
ตัวแทนชุมชนป้อมพระกาฬ ยังได้ทำจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีระบุว่าขอให้หยุดและรับงานไล่รื้อชุมชนป้อมพระกาฬโดยด่วนทันที เนื่องจากขณะนี้ชาวบ้านชุมชนป้อมพระกาฬเดือดร้อนอย่างมากเพราะในวันที่ 27 -30 ก.ย.ได้รับแจ้งว่า กทม.จะใช้กำลังพลอย่างมาก เข้ารื้อย้ายชุมชนอีกครั้ง และจะให้หมดทั้งชุมชนภายในเดือน พ.ย. ของปีนี้ ทำให้ประชาชนในชุมชนอยู่ในขั้นวิกฤติ คิดมากไม่เป็นอันทำมาหากิน
 
นอกจากนี้ กทม.แจ้งว่าบ้านที่จะรื้อนั้นไม่มีคนอยู่ ซึ่งความจริงแล้วมีคนอยู่ทั้งสิ้น และการยินยอมให้รื้อก็เป็นการถูกขู่บังคับต่างๆนานา จึงอยากขอให้รัฐบาลช่วยจัดตั้งกรรมการพหุภาคีแก้ไขปัญหาโดยด่วนอีกทั้งให้สั่งการเป็นรายลักษณ์อักษร หรือหยุดการไล่รื้อชุมนโดยด่วนทุกรูปแบบ พร้อมทั้งขอให้รัฐบาล เป็นประธานการพูดคุยแก้ไขปัญหาโดยด่วนด้วย
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธงชัย วินิจจะกูล เสนอข้อบ่งชี้วุฒิภาวะทางปัญญาแบบ 'พอเพียง'ของไทย-มองบวกการต่อสู้ยาวไกล

$
0
0

นักแสดงตลก นิยายประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัย ฯลฯ สะท้อนสังคมไทยติดกับดัก ‘ปัญญาแบบพอเพียง’ พร้อมให้กำลังใจผู้ต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงให้ทำใจสู้ระยะยาว ไม่มีทางลัด...“ผมเรียกว่า historical optimism โลกไม่ต้อนรับพวกหวังสั้นๆ ม้วนเดียวจบ แต่ต้อนรับพวกเข้าใจสัจจะและค่อยๆ ก้าวอย่างคงเส้นคงวาตลอดทั้งชีวิต”

24 ก.ย.2559 ในวาระ 40 ปี 6 ตุลาฯ ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ มีการแสดงปาฐกถาศิลปวัฒนธรรม หัวข้อ"งานทางปัญญาในสังคมอับจนปัญญา" โดยศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย วินิจจะกูล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประวัติศาสตร์ไทย มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน

ธงชัยตั้งข้อสังเกตที่ไม่เกี่ยวข้องกันนักเพื่ออธิบายลักษณะวัฒนธรรมทางปัญญา หรือพัฒนาการวุฒิภาวะทางปัญญาของสังคมไทย โดยเริ่มว่า เขาฝันอยากเป็นนักแสดงตลก ! แม้จะไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วชี้ชวนให้พิจารณาถึงปรากฏการณ์ที่เขาหยิบยกขึ้นมา 8 ประการเพื่อเป็นตัวสะท้อนระดับวุฒิภาวะทางปัญญาด้านต่างๆ ของสังคม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ นักแสดงตลกเสียดสี

เขากล่าวว่า หากพูดในทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลาง ในทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชอบกล่าวว่าเราติดกับดักประชาธิปไตย แต่เขากลับคิดว่าเราติดกับดักกึ่งประชาธิปไตยต่างหาก ตลอด 40 ปีที่ผ่านมาเราพยายามไปให้พ้นภาวะประชาธิปไตยครึ่งใบในรูปแบบต่างๆ ระบอบการเมืองในอนาคตอันใกล้ก็คาดได้ไม่ยากว่าจะอยู่ในกึ่งประชาธิปไตยอย่างน้อยอีก 10-20 ปี

“ส่วนในด้านปัญญาความรู้ เราเติบโตมาระดับหนึ่ง แต่ลงท้ายเราติดกับดักทางปัญญาระดับปานกลาง เราพอใจกับการมีปัญญาแค่พอเพียง แต่ผมอยากจะเรียกว่า สังคมอับจนปัญญา” ธงชัยกล่าว   

ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ธงชัยหยิบยกมาวิเคราะห์มีดังนี้

1.นักศึกษาไทย

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้สอนนักศึกษาไทยระดับหลังปริญญาตรีและจากการสอบถามเพื่อนร่วมวิชาชีพหลายคน พบปรากฏการณ์คล้ายกัน ปัญหาพื้นฐานยิ่งกว่าการคิดไม่เป็นคือ นักศึกษาอ่านหนังสือไม่เป็น หมายความว่า นักศึกษาไทยอ่านหนังสือแล้วจับใจความสำคัญไม่ค่อยได้ เขามักใส่ใจกับข้อเท็จจริงรูปธรรมแต่ไม่รู้ว่ามีความหมายอย่างไรในบริบทของเรื่องที่อ่าน เมื่อไม่สามารถจับใจความสำคัญของตอนนั้นได้ ข้อเท็จจริงที่หยิบยกก็จะอยู่อย่างกระจัดกระจาย หาความหมายเพื่อโยงเชื่อมสอดคล้องกันไม่ได้ เมื่อจับใจความไม่ได้ก็วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้

“ไม่กี่ปีก่อนเรามักพูดว่าคนไทยความรู้ไม่พอ ข้อมูลไม่พอ แต่ผมคิดว่านั่นไม่ใช่ปัญหาแล้ว ข้อมูลมีเยอะมาก แต่เราไม่มีความสามารถจัดการกับข้อมูลท่วมหัวนั้น หมายถึงไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญต่อโจทย์หนึ่งๆ นี่เป็นทักษะเบื้องต้นซึ่งสอนกันได้ คุณสมบัติของประชากรแบบนี้สอดคล้องกับสังคมที่เป็นอยู่ สังคมไม่ได้ต้องการคนที่อ่านหนังสือเป็น สังคมไทยต้องการทักษะแค่ระดับที่เป็นอยู่”

“ผมไม่ได้มองเป็นทฤษฎีสมคบคิดเพื่อชี้นิ้วว่าใครหรือกลุ่มใดตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น แต่ภาวะเงื่อนไขวัฒนธรรมทางปัญญาเป็นอย่างไร ทำไมมันจึงไม่เกิดแรงผลักดันหรือจูงใจให้เกิดการอ่านหนังสือเป็น การท่องอาขยานค่านิยม 12 ประการเป็นตัวสะท้อนภาวะนั้นอย่างดี”

2.สื่อมวลชน

สื่อมวลชนกับผู้บริโภคสะท้อนซึ่งกันและกัน สื่อมีโอกาสและอาจต้องการเป็นตะเกียงส่องทาง แต่ความจริงแล้วเขาต้องสะท้อนตลาด เราอาจว่าสื่อต่างๆ นานาแต่เคยคิดหรือไม่ว่า สังคมไทยไม่มีเงื่อนไขให้เขาพัฒนาคุณภาพ เพราะพัฒนาไปก็ขายไม่ได้ ทั้งการเลือกข่าว การเขียนข่าว โปรแกรมทีวี เหล่านั้นล้วนสะท้อนวุฒิภาวะทางปัญญาของสังคมด้วยกันทั้งสิ้น เขาไม่ได้ไม่ฉลาดแต่สุดท้ายตลาดช่วยเกลี่ยให้มันอยู่ในภาวะ “ปานกลาง”  ไม่ได้บอกว่าสื่อฝรั่งมีคุณภาพดีมาก โลกตะวันตกมีหนังสือพิมพ์ห่วยๆ ด้วย เพราะทุกสังคมมีตลาดหลากหลายด้วยกันทั้งสิ้น สิ่งที่ต่างกันคือ ในสังคมที่มีวัฒนธรรมทางปัญญาพัฒนาพอควร สื่อที่เน้นการซุปซิปนินทา เน้นสีสัน เรื่องมหัศจรรย์นั้นไม่มีอิทธิพลทางสังคมการเมืองนัก สื่อแบบนี้เรียกว่า สื่อ fringe หรือสื่อที่อยู่ตามตะเข็บ เช่นเดียวกับพวกสื่อฝ่ายซ้ายที่มีเฉพาะคนที่สนใจตามอ่าน สื่อที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดได้แก่ สื่อคุณภาพไปถึงระดับกลางๆ หรือที่เรียกว่าแทบลอยด์ สำหรับหนังสือพิมพ์ไทยที่เราเรียกกันว่า ‘คุณภาพ’ นั้นโดยส่วนตัวเห็นว่ามันอยู่ระหว่างกึ่งคุณภาพและกึ่งแทบลอยด์ คอลัมนิสต์ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับแสดงความเห็นอย่างผิวเผินแล้วอาศัยสำนวนภาษาทำให้หวือหวา

“นสพ.อย่างผู้จัดการ สื่อแบบนี้เป็น fringe ในสังคมตะวันตก แต่ในสังคมไทยกลับมีอิทธิพลมหาศาล”

3.มหาวิทยาลัย

เรื่องนี้มีเรื่องให้พูดเยอะมากได้ถึง 3 ชั่วโมง จึงขอยกมาพูดเพียงสั้นๆ ว่าแม้การจัดอันดับในโลกไม่ว่าโดยประเทศไหนล้วนมีปัญหาและข้อโต้แย้งได้หมด แต่ปรากฏการณ์เกิดขึ้นตรงกันว่ามหาวิทยาลัยไทยที่ดีที่สุด คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยมหิดล นั้นทุกสำนักจัดอันดับตรงกันว่า มันไม่เคยอยู่เลยระดับกลางๆ ได้เลย ขณะที่มหาวิทยาลัยไทยส่วนใหญ่ไม่อยู่ในสารบบการจัดอันดับด้วยซ้ำเพราะอยู่ในระดับต่ำเกินไป สาเหตุของเรื่องนี้ต้องอภิปรายกันอีกมาก เราอาจโทษอาจารย์ โทษอธิการบดีได้ทั้งสิ้น หรือว่าแท้จริงแล้วสังคมไทยไม่มีแรงกระตุ้น ไม่มีความต้องการมหาวิทยาลัยที่ดี เป็นไปได้ไหมที่สังคมไทยไม่มีปัจจัยกระตุ้นให้มหาวิทยาลัยไทยไปพ้นจาก 'มหาวิทยาลัยในระดับพอเพียง' การเริ่มมหาวิทยาลัยไทยผลิตบัณฑิตรับใช้รัฐกึ่งอาณานิคม รัฐราชการ และแม้แต่ในยามที่ผลิตคนมารับใช้ตลาดก็เป็นตลาดของรัฐราชการ

4.ความรู้ด้านมนุษยศาสตร์

ความรู้ด้านมนุษยศาสตร์นั้นได้แก่ ศาสนา วรรณคดี ปรัชญา ฯลฯ มนุษยศาสตร์มีรากร่วมกันทั่วโลกคืออยู่ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมในโลกมาหลายร้อยปี, มีลักษณะย้อนมองหาตัวเอง ไม่แปลกที่ประเทศไหนก็ต้องสนใจศึกษาเรื่องตัวเอง, มนุษยศาสตร์ของทุกสังคมในโลกเคยผ่านระยะที่ผลิตความรู้เหล่านั้นเพื่อให้เกิดความภูมิใจ ความรักชาติด้วยกันทั้งสิ้น แต่ความแตกต่างระหว่างสังคมที่มีหรือไม่มีวุฒิภาวะทางปัญญา คือ จะผลิตซ้ำความรู้เดิมหรือก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับความรู้ในสังคมตัวเอง, เป็นความรู้ที่เปิดหูเปิดตาต่อโลกกว้างหรือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางอย่างมากจนกลายเป็นความคับแคบ, และจะก้าวข้ามมนุษยศาสตร์แบบไม่วิพากษ์วิจารณ์ได้หรือไม่   

ภารกิจของมนุษยศาสตร์ คือ ทำให้ปัจเจกชนแต่ละคนมีความสามารถในการแยกแยะ วิเคราะห์ สังเคราะห์จัดการกับข้อมูลท่วมหัว มอบเครื่องมือทางความคิดในการจัดการกับความรู้ต่างๆ ที่ประดังเข้ามาทุกวี่วัน ความสามารถและเครื่องมือเหล่านี้จึงไม่ใช่ความรู้ประยุกต์ที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการ ฯลฯ การฝึกฝนทางมนุษยศาสตร์เป็นฐานของอุดมศึกษาทุกสาขาวิชา แต่ไม่สามารถประยุกต์สร้างผลผลิตที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ เรียกว่า อยู่บนหอคอยงาช้างนั่นเอง ซึ่งมันก็สำคัญเพราะมันทำให้คนคิดเป็น แต่ของสังคมไทยนั้นต่างไป ประวัติศาสตร์ของมนุษยศาสตร์ในตะวันตกเป็นฐานของการปะทะเพื่อการปรับตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ยุค enlightenment ของตะวันตก แต่ของไทยเป็นการปรับตัวเข้าสู่ความเป็นกึ่งอาณานิคม เราคิดว่าของฝรั่งดีกว่าของเรา แต่ขณะเดียวกันการปรับตัวของมนุษยศาสตร์ของเราก็เป็นฐานที่มั่นของความเป็นไทยเพื่อต้านทานตะวันตก ยืนยันเอกลักษณ์ของตัวเอง แสดงความเหนือกว่าของศาสนา ปรัชญา วรรณคดีของไทย ยืนยันระเบียบทางสังคมแบบสูงต่ำของไทยว่าดีอยู่แล้ว พูดง่ายๆ มนุษยศาสตร์กลายเป็นป้อมปรากการในการค้ำจุนระบบเดิม แม้ปรับตัวเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ แต่ก็ยังค้ำจุน establishment จึงติดกับดักภารกิจเน้นความภูมิใจและหลงตัวเอง นี่คือ กับดักของภูมิปัญญาระดับพอเพียง ภารกิจนี้อาจเหมาะกับปลายศตวรรษ 19 ถึงต้นศตวรรษ 20 แต่ตอนนี้มันลากยาวมาจนถึงศตวรรษที่ 21

5.นักแสดงตลกเสียดสี

ความแตกต่างระหว่างหม่ำ จ๊กม๊ก กับพวก จอห์น วิญญู, จอห์น โอลิเวอร์, จอน สจ๊วต คือ อย่างแรกเป็นนักแสดงตลก อย่างหลังคือนักแสดงตลกเสียดสี ซึ่งอย่างหลังนี้ไม่เห็นในผังรายการทีวีไทย แต่สำหรับสังคมฝรั่งพวกนี้อยู่ในรายการช่วงไพรม์ไทม์

การแสดงตลกของไทยมีแบบแผนการพัฒนาเหมือนกับทั่วโลก นั่นคือ มีตลกผู้ดีกับชาวบ้าน ลักษณะที่ต่างกันระหว่างสองอย่างนี้ คือ อะไรล้อเล่นได้และอะไรห้ามล้อเล่น ตรงนี้ไทยไม่เหมือนกันกับประเทศตะวันตก การล้อเลียนอำนาจได้แก่ เจ้า พระ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมชาวบ้านในทุกสังคม ล้อเป็นประจำพร้อมๆ กับเคารพนับถือด้วย ซึ่งจะอธิบายก็ดูจะยาวเกินไปว่าทำไมชาวบ้านสามารถจัดการความย้อนแย้งนี้ได้ ตัวอย่างที่รู้จักกันดีคือ ศรีธนญชัย

แคทธารีน โบวี่ พบว่าพระเวสสันดรชาดกเวอร์ชั่นชาวบ้าน นอกจากการให้ทานแล้วยังล้อเลียนทำให้อำนาจเป็นเรื่องตลก ดังนั้นตัวเด่นมากคือ ชูชก ในวัฒนธรรมของชนชั้นสูงโดยเฉพาะอยุธยา-กรุงเทพฯ โบวี่พบว่ามันกลยเป็นเวอร์ชั่นที่ชูชกเป็นคนน่าเกลียด อัปลักษณ์และสมควรถูกประณาม วัฒนธรรมล้อเลียนอำนาจอยู่ในวัฒนธรรมทั้งแบบของผู้ดีและแบบของชาวบ้านในช่วงก่อนยุคสมัยใหม่ แต่เมื่อเกิดการขยายตัววัฒนธรรมมาตรฐานเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ มันได้เบียดขับให้วัฒนธรรมชาวบ้านเป็นวัฒนธรรมที่ต่ำกว่าของกรุงเทพฯ ซึ่งไม่มีการล้อเลียนอำนาจ มันจึงกลายเป็นมาตรฐานปัจจุบันที่ตลกไทยไม่ใช่ตลกเสียดสีล้อเลียนอำนาจ ประเด็น เจ้า พระ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นเรื่องเกินขอบเขต ตลกของสังคมไทยสมัยใหม่ถูกจำกัดกรอบ มีแดนที่ห้ามละเมิดมากมายเหลือเกิน จึงกลายเป็นแค่ตลกโปกฮา มีแพทเทิร์นหลักอยู่ 2 แบบ คือ 1. ความโง่ เซ่อเซอะ เปิ่นเชยของคนบ้านนอก คนกลุ่มน้อย คนช้ำต่ำ 2. เอาความเบี่ยงเบนผิดเพี้ยนจากภาวะที่ถือว่าปกติมาทำให้เป็นเรื่องตลก เช่น คนพิการ คนไม่สมประกอบ กระเทย คนจีนที่พูดไทยไม่ชัด เป็นต้น ทั้งนี้แดนหวงห้ามที่เป็นสากลสำหรับตลกทั่วโลก คือ เรื่องเพศ แต่แดนหวงห้ามของไทยคือ อำนาจของชนชั้นสูง ตลกไทยไม่เสียดสีขนบของสังคม มีเพียงบางคนที่ทำเป็นบางครั้ง

6. นิยายประวัติศาสตร์

สังคมไทยไม่มีหนังสือนิยายประวัติศาสตร์ดีๆ แม้เพียงสักหนึ่งเล่ม ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ เพราะประวัติศาสตร์ไทยศักดิ์สิทธิ์เกินไป (ผู้ฟังปรบมือ)

“มันต้องล้อได้สิ ต้องหาเรื่องได้สิ ต้องเล่นพิเรนห์กับประวัติศาสตร์ได้สิ แต่คุณทำแบบนั้นไม่ได้ มันก็เป็นกรอบและเพดานจำกัดจินตนาการที่อิงกับประวัติศาสตร์ เราไม่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ที่ถือว่าเป็นผลผลิตของคำถาม ของการตีความ ของการให้เหตุผล ของการให้จินตานาการ เราไม่เห็นว่าประวัติศาสตร์เป็นกึ่งๆ นิยายอย่าเชื่อมากนัก เพราะความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ผลิตกันมาเป็นปัจจัยสำคัญมากต่อการสร้างชาติและการคงอยู่ของชาติ สำคัญมากของการดำรงอยู่ของชนชั้นนำ จึงเป็นสิ่งห้ามหักล้าง โครงเรื่อง คอนเซ็ปท์ต่างๆ มักอยู่บนฐานอุดมการณ์ราชาชาตินิยม เหล่านี้จะยอมให้หักล้างไม่ได้”

 เราจึงมีนิยายาประวัติศาสตร์ที่ใช้ประวัติศาสตร์แบบตายตัวอยู่ 2 แบบ คือ 1.ใช้เป็นแค่ฉากหลังของเรื่องรัก ริษยา โรแมนติก ทั้งที่นิยายรักโรแมนติกอยู่ในฉากแบบไหนก็ได้ ไม่ได้ช่วยให้เราสร้างสรรค์จินตนาการหรือทำให้เกิดความสงสัยในประวัติศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น 2.ใช้เล่าเรื่องวีรกรรมปกป้องชาติบ้านเมืองให้รอดจากน้ำมือต่างชาติหรือคนทรยศภายในชาติ

“ความรู้ทางประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นได้พัฒนาออกไปไกลโขจากกความรู้แบบศักดิ์สิทธิ์แบบที่กล่าวมา เป็นเรื่องการให้เหตุผล มุมมอง เป็นเรื่องการสร้าง narrative (เรื่องเล่า) ที่แตกต่างมองได้หลายมุม จึงไม่สามารถเอ่ยอ้างความศักดิ์สิทธิ์ได้ ขณะที่นักประวัติศาสตร์อาศัยอ้างอิงตามหลักฐานตามหลักวิชา นิยายได้อาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นฐาน แล้วจินตนาการออกไปเกินเลยกว่าที่มีหลักฐาน นักประวัติศาสตร์ต้องการนักเขียนนิยายประวัติศาสตร์ เขาต้องเจียมตัวรู้ข้อจำกัดตัวเองว่าไม่มีทางตีความเกินไปจากหลักฐาน นิยายประวัติศาสตร์จึงทำหน้าที่ที่นักประวัติศาสตร์ทำไม่ได้ ผมมองหานิยายแบบนี้แต่ยังไม่พบในโลกภาษาไทย”

7. การถกเถียงแบบพวกเคร่งศาสนาในหมู่นักต่อสู้ทางการเมือง

เราจะเห็นปรากฏการณ์นี้ได้ทางเว็บบอร์ดหรือทางเฟซบุ๊ก เรื่องนี้ก็สะท้อนระดับวุฒิภาวะทางปัญญาแบบพอเพียงเหมือนกัน เป็นการถกเถียงอย่างดุเดือดเอาเป็นเอาตาย ทุกถ้อยคำ โดยเฉพาะในหมู่พวกเดียวกัน เป็นกันทุกฝ่าย บ่อยครั้งการถกเถียงนี้มีความสำคัญสำหรับแอคติวิสต์เสียยิ่งกว่าการอ่านหนังสือหรือการหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อมาตอบคำถามต่างๆ 

เรื่องนี้จะขอพูดเพียงเท่านี้เพราะหากพูดมากกว่านี้อาจถูกฉกฉวยประเด็นนี้เพียงไปเป็นประเด็นต่อเนื่องเพียงเรื่องเดียว โดยลืมเรื่องอื่นๆ ที่พูดมากมายไปหมด

“ขอเน้นแค่ว่า การถกเถียงประเภทนี้เป็นการถกเถียงทางศาสนา เถียงกันเอาเป็นเอาตาย พลาดกันนิดหนึ่งไม่ได้ ใช้วิธีดูถูกเหยียดหยามคนอื่น พวกเคร่งศาสนาเขาเถียงกันแบบนี้มาก่อนพวกนักปฏิวัติเสียอีก เพราะพวกเคร่างศาสนายอมไม่ได้ให้มีการประนีประนอม มีแต่ถูกกับผิดเท่านั้น”  

สรุป

โดยสรุป ถ้าเราคิดว่าในทางเศรษฐกิจเราติดกับดักรายได้ปานกลาง ในทางการเมืองติดกับดักกึ่งประชาธิปไตยในหลายรูปแบบ ในด้านวัฒนธรรมสังคมไทยติดกับดักการมีปัญญาแค่พอเพียง ในทางเศรษฐศาสตร์และการเมืองนั้นมีตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรมมากมายอยู่แล้ว จึงอยากเสนอว่า เราน่าจะหาตัวชี้วัดวุฒิภาวะหรือระดับวัฒนธรรมทางปัญญาด้วยเช่นกัน ตัวอย่างที่ยกมาเป็นการเชิญชวนให้เอาสถานะของนักแสดงตลกเสียดสี, นิยายประวัติศาสตร์ ,ความนิยมในสื่อประเภทต่างๆ มาลองเป็นตัวชี้วัดว่าเราพ้นภาวะอับจนปัญญาหรือยัง ผมก็ไม่มีคำตอบ 100% แต่คิดว่าน่าจะได้

สาเหตุของการอับจนปัญญาหรือมีปัญญาอย่างพอเพียง

ถามว่าสาเหตุของปรากฏการณ์นี้เกิดจากอะไร เราอย่าเอาแต่โทษครู นายพล นายกฯ แต่น่าจะถามว่าอะไรคือ เงื่อนไขทางสังคมที่ไม่เอื้ออำนวยเลยให้เราพ้นจากกับดักทางปัญญา ปัจจัยดังกล่าวมี 3 อย่าง คือ

1.ความสัมพันธ์ทางสังคมสูงต่ำเป็นช่วงชั้นที่สถาปนาตัวเองเป็นระบบอุปถัมภ์ขององค์การทุกชนิด มันทำให้สถาบันยึดตัวบุคคลที่เป็น “ผู้ใหญ่” แทนที่จะยึดกับกฎเกณฑ์ กฎหมาย หลักการ จรรยาบรรณวิชาชีพ ทุกสังคมทุกองค์กรในโลกนี้มีทั้งสองด้าน แต่ประเด็นคืออะไรเป็นหลัก อะไรเป็นรอง

ระบบอุปถัมภ์มีผลถึงทุกอย่างแม้แต่นิติรัฐ ในความเป็นจริงนิติรัฐของไทยตั้งแต่เข้ายุคสมัยใหม่ ไม่เคยมีนิติรัฐที่ประชาชนเสมอภาคกันทุกคน แต่เป็นหลักนิติรัฐแบบอุปถัมภ์ อาจารย์เสน่ห์ จามริก เรียกสังคมแบบนี้ว่า สังคมราชูปถัมภ์

2. การเมืองการเมืองที่ค้ำจุนทางอำนาจแบบเดิมหรือแบบช่วงชั้นนี้ ไม่ว่าระบอบเผด็จการทหารหรือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในช่วง 40 ปีหลังนี้ มีความเหมือนในแง่ที่ว่า ไม่มีระบอบไหนที่กัดเซาะระบบความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ รวมทั้งระบอบหลังการปฏิวัติ 2475 ด้วย แม้มีความพยายามแต่ก็ล้มเหลว โปรดสังเกตว่า ยามใดก็ตามที่ทหารครองอำนาจ โดยเฉพาะช่วง 2 ปีมานี้ยิ่งเห็นชัด วัฒนธรรมทางปัญญาจะย้อนกลับไปสู่อนุรักษ์นิยมอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก การเมืองที่ดีไม่ใช่เพียงมุ่งเน้นแค่เรื่องการคอร์รัปชัน ทั้งโลกล้วนเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องความสัมพันธ์ทางอำนาจ ถ้าประชาชนเป็นใหญ่ มีโอกาสตรวจสอบผู้มีอำนาจ เปลี่ยนผู้มีอำนาจได้ตามเจตจำนง อย่างน้อย 4 วินาทีในคู่หาเลือกตั้งในทุกๆ 4 ปีก็ยังดี เพราะมันคือการเปิดประตูไปสู่การจัดสรรความสัมพันธ์ของอำนาจในสังคมว่าจะอยู่ในลักษณะไหน ถ้าเป็บแบบบ่าวไพร่ไม่มีโอกาสแม้แต่ 4 วินาทีก็ทำให้อำนาจยิ่งตรวจสอบไม่ได้ เสรีภาพเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยไม่จำเป็นเพราะมีระบบอุปถัมภ์อยู่แล้ว 

3.ลัทธิราชาชาตินิยมหัวข้อนี้ขอไม่กล่าวมากกว่านี้

“โดยสรุป การต่อสู้ทางวัฒนธรรมทางปัญญาไม่มีทางลัด ต้องสู้ทีละก้าว แต่ขอได้โปรดตระหนักว่า ไม่ใช่ฟังแล้วจะต้องหมดแรง มันมีก้าวกระโดดเป็นระยะ ที่ว่าไม่มีทางลัด คือ อย่าหวังการปฏิวัติพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ม้วนเดียวเกิดการเปลี่ยนแปลง มันต้องก้าวไปเรื่อยๆ ทีละกาวๆ แล้วผลักดันให้เกิดการกระโดดบ้าง เพราะการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินพิสูจน์มาแล้วว่าล้มเหลวแม้กระทั่ง 2475 แม้เปลี่ยนการเมืองแต่ก็เปลี่ยนระบบอุปถัมภ์ยังไม่ได้”

“ถ้าต้องการการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ถ้าชีวิตนี้คิดว่าไม่มีสิ่งนั้นแล้วจะเก็บของกลับบ้านก็เชิญ แต่ถ้าเราตระหนักในความเป็นจริงของมนุษย์ว่ามันหลากหลาย เราไปบังคับเขาไม่ได้ ... ถ้าเคารพในปัจเจกมันต้องให้เวลา เราควรทำตัวเราทำใจเราให้พร้อมกับภาวะที่ต้องสู้กันยาวๆ เราอาจไม่ทันได้พบนักแสดงตลกดีๆ หรือหนังสือประวัติศาสตร์ดีๆ ก็ได้ เพราะเราอาจตายก่อน ถ้าคุณคิดว่าทำใจได้ เข้าใจภาวะปกติของมนุษย์ เราก็ผลักดันต่อทีละด้าน ทีละกรณี ไปเรื่อยๆ อยู่กันยาวๆ”

“เรามีความทุกข์ขมขื่นผิดหวังกับประชามติ แต่ถ้าเรามีวุฒิภาวะทางปัญญาจริงเราควรเข้าใจสิ่งนี้ และมีความสุขกับการสู้ไปยาวๆ ได้ โปรดตระหนักอยู่ในใจตลอดเวลา โลกเปลี่ยนแปลงได้ และโลกเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความเป็นจริงสังคมไทยเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐานเชิงโครงสร้างมาเท่าไรแล้ว ไม่ได้อยู่นิ่ง และความปรารถนาในชีวิตที่ดีของปุถุชนธรรมดานั่นเองจะทำให้คนสร้างสรรค์ ธรรมชาตินี้ไม่เคยตายจากมนุษย์ ทำอย่างไรให้ศักยภาพเหล่านั้นเสนอตัว แสดงตัวออกมา สู้ไปทีละนิดๆ เพราะเราเชื่อมั่นว่ามนุษย์อยากมีชีวิตที่ดี so basic ไม่ต้องการอุดมการณ์ใดๆ มาค้ำยันด้วยซ้ำ”

“ผมเรียกมันว่า historical optimism โลกไม่ต้อนรับพวกหวังสั้นๆ ม้วนเดียวจบ แต่ต้อนรับพวกเข้าใจสัจจะและค่อยๆ ก้าว”

เป็นการค่อยๆ ก้าวอย่างคงเส้นคงวาตลอดชีวิตโดยมีการมองโลกในแง่ดีเช่นนั้นเป็นพื้นฐาน ในระยะใกล้สถานการณ์อาจแย่ลงมาก แต่เชื่อมั่นเถิดว่าในระยะยาวประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแน่ๆ เพราะคนเปลี่ยน ความหลากหลายของคนมีมากขึ้น สังคมซับซ้อนขึ้นจนไม่สามารถตกลงกับแบบอื่นได้นอกจากต้องเจรจาต่อรองอย่างสันติ ประชาธิปไตยเป็นเรื่องหนีไม่พ้นสำหรับสังคมที่ขยายตัวและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปิดฉากพาราลิมปิก ไทยคว้า 18 เหรียญ สูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย

$
0
0

จบแล้วพาราลิมปิกเกมส์ 2016 ที่ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ไทยคว้า 6 ทอง 6 เงิน 6 ทองแดงสูงสุดในประวัติศาสตร์ ด้านตั๊น จิตภัสร์ ส่งจดหมายเรียกร้องประยุทธ์หนุนเงินนักกีฬาพิการเท่านักกีฬาโอลิมปิก หลังพบเงินอัดฉีดน้อยกว่า


(ที่มาภาพ: เพจเฟซบุ๊ก ประชาสัมพันธ์ พก. )

24 ก.ย. 2559 ประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) รายงานผ่านเฟซบุ๊กว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา ตัวแทนนักกีฬาพาราลิมปิกได้เดินทางกลับมายังประเทศไทย โดยมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.), กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.), คณะผู้บริหาร, ข้าราชการ พร้อมด้วยผู้บริหารจากการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย และประชาชนชาวไทยมาร่วมให้กำลังใจและต้อนรับกันอย่างหนาแน่น หลังปิดฉากพาราลิมปิกเกมส์ 2016 ที่กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิลไปแล้ว ณ สนาม มาราคานา สเตเดียม ในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 19 ก.ย. ตามเวลาไทย

ในการแข่งขันครั้งนี้ ตัวแทนนักกีฬาไทยคว้าเหรียญรางวัลทั้งหมด 18 เหรียญแบ่งเป็น 6 เหรียญทอง 6 เหรียญเงินและ 6 เหรียญทองแดง รั้งอันดับ 23 ในตารางพาราลิมปิกเกมส์ ซึ่งนับว่าสูงสุดในประวัติการณ์พาราลิมปิกไทย

นักกีฬาคนพิการทีมชาติไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้มีทั้งหมด 46 คน ประกอบไปด้วย 10 ชนิดกีฬาได้แก่ กรีฑาแบบลู่-ลาน, ว่ายน้ำ, ยิงธนู, ยิงปืน, เทเบิล เทนนิส, วีลแชร์เทนนิส, วีลแชร์ฟันดาบหญิง-ชาย, บอคเซีย, ยกน้ำหนักและยูโด


(ที่มาภาพ: เพจเฟซบุ๊ก Paralympic Thailand (Thai Para Athletes))

เหรียญทองทั้ง 6 เหรียญมาจากหลายชนิดกีฬา โดยเหรียญแรกมาจากผลงานของ ประวัติ วะโฮรัมย์ จากการแข่งขันวีลแชร์ เรซซิ่ง 5,000 เมตรชาย, พงศกร แปยอ จากวีลแชร์ เรซซิ่ง 400 เมตรชาย, บอคเซีย ประเภททีมผสม บีซี 1-2, ประวัติ วะโฮรัมย์ วีลแชร์เรซซิ่ง 1,500 เมตร, พงศกร แปยอ วีลแชร์ 800 เมตรชายและจากบอคเซียประเภทบุคคล บีซี 2 โดย วัชรพล วงษา ตามลำดับ

ส่วนของเหรียญเงินเหรียญแรกนั้นได้จาก พงศกร แปยอ กีฬาวีลแชร์ เรซซิ่ง 100 เมตรชาย ตามมาด้วยสายสุนีย์ จ๊ะนะนักกีฬาวีลแชร์ฟันดาบเอเป้, หาญฤชัย เนตรศิริ นักกีฬากีฬายิงธนู, สายชล คนเจน จากกีฬา วีลแชร์ เรซซิ่ง 800 เมตรชาย , บอคเซียประเภทบุคคล วรวุฒิ แสงอำภา และ วีลแชร์ เรซซิ่ง ผลัด 4x400 เมตรชาย รวมทั้งสิ้น 6 เหรียญตามลำดับ

สำหรับเหรียญทองแดง รุ่งโรจน์ ไทยนิยม คว้าเหรียญรางวัลแรกจากกีฬาเทเบิล เทนนิส ในประเภทชายเดี่ยวคลาส 6 ตามมาด้วยทีมบอคเซียประเภททีม บีซี 4ได้แก่ นวลจันทร์ พลศิลา, พรโชค ลาภเย็น และเฉลิมพล ตันบุตร, พิชญา คูรัตนศิริ จากกีฬาวีลแชร์เรซซิ่ง 1,500 เมตรชาย คลาสที 52, พรโชค ลาภเย็น จากกีฬาบอคเซีย, ยุทธจักร กลิ่นบานชื่น และ อนุรักษ์ ลาววงษ์ จากการแข่งขันเทเบิลเทนนิสคู่ และสายชล คนเจน จากกีฬาวีลแชร์เรซซิ่ง 1,500 เมตรชาย ที 54 ตามลำดับ


โจนาธาน บาสตอส
(ที่มาภาพ” เพจเฟซบุ๊ก Paralympic Thailand (Thai Para Athletes))


ภาพบรรยากาศพิธีปิดพาราลิมปิกเกมส์ 2016
(ที่มาภาพ: เพจเฟซบุ๊ก Paralympic Thailand (Thai Para Athletes) )

ในพิธีปิดมีการแสดงจากนักดนตรีซึ่งไม่มีแขนมาตั้งแต่กำเนิด โดยเขาใช้เท้าเล่นเครื่องดนตรี จากนั้น ริคาร์ดินโญ สตาร์ฟุตบอล 5 คน ชุดเหรียญทอง ก็ได้ทำหน้าที่ถือธงชาติบราซิล เดินลงสู่สนาม ทั้งนี้ ได้มีการร่วมไว้อาลัยแก่ บาห์มัน โกลบาร์เนซาด นักกีฬาชาวอิหร่าน ซึ่งเสียชีวิตขณะแข่งขันเมื่อวันเสาร์ที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ในประเภทกีฬาจักรยาน C4-5 แต่กลับพลัดตกจากรถ ทำให้ศีรษะกระแทกกับหินอย่างรุนแรง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา


คลิปวีดีโอพิธีปิดการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก 2016

อย่างไรก็ดี หลังจากตัวแทนนักกีฬาเดินทางกลับได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเงินอัดฉีดนักกีฬาที่ได้น้อยกว่านักกีฬาโอลิมปิก โดยเว็บไซต์ผู้จัดการ รายงานว่า จิตภัสร์ กฤดากร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ส่งจดหมายเปิดผนึก เรียกร้องให้ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผลักดันเงินสนับสนุนนักกีฬาคนพิการในกีฬาพาราลิมปิกเทียบเท่านักกีฬาโอลิมปิก โดยมีศิลปิน ดารา คนในแวดวงสังคม ช่วยแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย ในส่วนเนื้อหาจดหมายระบุไว้บางตอนว่า “เงินอัดฉีดและรางวัลสนับสนุนนักกีฬาพาราลิมปิกเกมส์จากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาตินั้น ยังมีความเหลื่อมล้ำและมีสัดส่วนที่ไม่เท่าเทียมกัน เมื่อเปรียบเทียบกับนักกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ทั้งที่นักกีฬาผู้พิการเหล่านั้น ล้วนทุ่มเท มุ่งมั่น ตั้งใจฝึกซ้อม และลงแข่งขันด้วยน้ำใจนักกีฬาในฐานะตัวแทนของประเทศไทย อันสมควรแก่การได้รับการเกียรติ ยกย่อง เชิดชู รวมถึงได้รับการสนับสนุน เฉกเช่นเดียวกับนักกีฬาปกติทั่วไป

“ดิฉันจึงขอเป็นกระบอกเสียงแทนนักกีฬาผู้พิการและประชาชนผู้ที่เห็นพ้องกับ เรื่องดังกล่าว ขอเรียกร้องให้ทางรัฐบาล ผลักดันเงินอัดฉีดและรางวัลสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติของนัก กีฬาพาราลิมปิกเกมส์ให้สมเกียรติ และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เท่าเทียมกับนักกีฬาโอลิมปิกเกมส์ โดยข้อมูลจากเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า ‘ตั๊น จิตภัสร์ กฤดากร’ นั้นระบุเม็ดเงินอัดฉีดจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ในส่วนของพาราลิมปิคเกมส์ เหรียญทอง 7.2 ล้านบาท เหรียญเงิน 4.8 ล้านบาท เหรียญ ทองแดง 3 ล้านบาท แต่โอลิมปิกเกมส์ เหรียญทอง 12 ล้านบาท เหรียญเงิน 7.2 ล้านบาท เหรียญทองแดง 4.8 ล้านบาท ซึ่งได้มากกว่าเกือบเท่าตัว”

นอกจากนี้ ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า บริษัทสิงห์ คอร์เปอเรชั่น ยังได้มอบเงินอัดฉีดให้กับทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย โดยแบ่งเป็นเงินอัดฉีดพิเศษให้กับนักกีฬาที่คว้าเหรียญรางวัล เหรียญทอง 1 ล้านบาท, เหรียญเงิน 5 แสนบาท และเหรียญทองแดง 3 แสนบาท ซึ่งจากผลงานเหรียญทั้งหมดนั้น ทำให้เงินอัดฉีดมีมูลค่ากว่า 10,800,000 บาท อีกทั้งยังได้มอบเงินรางวัลให้กับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทุกคนรวมทั้งหมด 84 คน อีกคนละ 40,000 บาท รวมเป็นเงิน 3,360,000 บาท ทำให้ยอดรวมเงินรางวัลที่นักกีฬาคนพิการทีมชาติไทยได้รับไปในครั้งนี้เป็นเงิน 14,610,000 บาท
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อับดุลเมี๊ยะ การเดินทางและชีวิตของคนไร้รัฐชาวโรฮิงยาในประเทศไทย

$
0
0

 


ผมได้รู้จัก อับดุลเมี๊ยะ (เป็นชื่อสมมติ) ประมาณ ปี 2555 โดยการแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน เขาได้นำพาให้ผมได้เข้าพบบางส่วนของสิ่งที่คนไร้รัฐชาวโรฮิงยาต้องเผชิญ เมื่อพวกเขาเดินทางเข้ามาในประเทศไทย สถานะที่พวกเขาถูกทำให้เป็น การต่อรอง และการเลือกที่จะเป็นของพวกเขา อับดุลเมี๊ยะเป็นชาวโรฮิงยาที่ทำโรตีขายส่งร้านอาหารอีกที ซึ่งทำให้เขามีรายได้ที่ดีมากกว่าที่จะเข็นขาย เขามีเมียเป็นสาวชาวพม่ามุสลิมมีลูกด้วยกันสองคน

อับดุลเมี๊ยะเป็นหนึ่งในกลุ่มชาวโรฮิงยาที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นเวลานาน ตัวอับดุลเมี๊ยะเข้ามาในประเทศไทยมากกว่า 30 ปี โดยใช้เส้นทางทางบก ชาวโรฮิงญากลุ่มนี้จะถือบัตรประจำตัวบุคคลผู้ไม่มีสถานะ  แต่ก็ยังอีกหลายคนถือบัตรแรงงานข้ามชาติที่ได้รับการผ่อนผันจากรัฐบาลไทยให้อยู่และทำงาน แต่เมื่อรัฐบาลไทยพยายามทำให้แรงงานต่างด้าวที่ผิดกฏหมายเข้ามาอย่างถูกต้อง รัฐบาลไทยก็กำหนดให้กลุ่มที่ได้รับการผ่อนผันต้องต้องไปพิสูจน์สัญชาติกับรัฐบาลของเมียนมาและจึงขอวีซ่า ใบอนุญาติทำงานเข้ามาในประเทศไทยใหม่อีกครั้ง ชาวโรฮิงยาในประเทศไทยที่เคยได้รับการผ่อนผันในฐานะแรงงานก็เลยกลายเป็นคนต่างด้าวผิดกฏหมายเมื่อรัฐบาลเมียนมาปฏิเสธพิสูจน์สัญชาติ

กลุ่มชาวโรฮิงยาอีกกลุ่มผมสนใจและเป็นกลุ่มที่อับดุลเมี๊ยะได้เข้าไปช่วยเหลือคือกลุ่มที่เข้ามาภายหลังในปี 2555 จากเหตุการณ์ความรุนแรงภายในรัฐยะใข่ โดยใช้เส้นทางทะเล การเข้ามาของชาวโรฮิงกลุ่มนี้มีลักษณะที่แตกต่างไปจากลุ่มเดิมอย่างชัดเจน จากการใช้เส้นทางทางบกเปลี่ยนเส้นทางทะเลที่ทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะถูกจับได้ง่ายมากกว่า

อับดุลเมี๊ยะ เริ่มได้รับโทรศัพท์จากนักข่าว และเจ้าหน้าที่ของรัฐสอบถามถึงความเป็นมาของกลุ่มชาวโรฮิงยาที่จับได้ หลายครั้งที่เขาถูกขอให้ไปเป็นล่ามภายหลังที่เจ้าหน้าที่จับกุมได้ ชาวโรฮิงญาที่เข้ามาในช่วงปี 2555 ที่อับดุลเมี๊ยะพาผมให้ไปพบ มีตั้งแต่กลุ่มของชาวโรฮิงยาที่หลบหนีความรุนแรงที่พวกเขาได้เผชิญโดยตรง ถูกเผาบ้าน ถูกไล่ทำร้ายให้หนีออกจากหมู่บ้านของตนเอง ไม่มีที่ไป หลายคนเห็นเรือที่กำลังจะออกจากฝั่งก็ขอขึ้นเรือออกมาโดยไม่รู้ว่าเรือกำลังจะไปที่ใหน

ต่อมาก็เป็นกลุ่มของชาวโรฮิงยาที่หนีออกมาจากค่ายพักผู้พลัดถิ่นภายในรัฐยะใข่ ภายหลังที่พวกเขาสูญเสียบ้านและทรัพย์สินไปก็ถูกให้ไปอยุ่ภายในค่ายพักดังกล่าว และสภาพความเป็นอยู่ภายในค่ายที่ยากลำบากทำให้หลายคนพยายามหลบหนีออกมา หลายพยายามหานายหน้าภายในค่าย หรือแม้กระทั่งจ่ายเงินเพื่อให้ช่วยนำพาหลบหนีออกมา

กลุ่มที่พบในช่วงหลังมากขึ้น โดยเฉพาะปี 2557 เป็นต้นมา เป็นชาวโรฮิงยาที่ถูกบังคับ ถูกหลอกลวง ชักชวนจากนายหน้าภายในค่าย ให้ไปทำงานในประเทศมาเลเซีย มีทั้งที่อยู่ภายในค่ายพักผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ รวมถึงชาวโรฮิงยาที่อพยพหลบหนีเข้าไปในบังคลาเทศแล้วด้วยเช่นกัน

และกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มที่ญาติพี่น้องของพวกเขาซึ่งอยู่ในต่างประเทศได้ติดต่อว่าจ้างให้นายหน้า ขบวนการฯ ช่วยนำพาพวกเขาเดินทางออกมาจากประเทศเมียนมาเพื่อมาหาครอบครัวในต่างประเทศ กลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นเด็กที่กำลังเดินทางไปหาพ่อ เป็นภรรยาที่กำลังเดินทางไปหาสามี


การเดินทางทางทะเลของชาวโรฮิงยา

ผู้อพยพชาวโรฮิงยาใช้เส้นทางจากรัฐยะใข่ เลาะชายฝั่งทางตะวันออกขงทะเลเบงกอลเข้าสูทะเลอันดามัน ขึ้นฝั่งในบริเวณจังหวัดระนอง พังงา หรือพลัดหลงลงมาถึงภูเก็ต แล้วใช้เส้นทางบกมุ่งหน้าสู่กระบี่ ตรัง พัทลุง เข้าสงขลาเพื่อข้ามแดนไปมาเลเซีย ต่อมามีการเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหลบหนีการขัดขวางจับกุมโดยส่วนหนึ่งใช้การเดินทางทะเลลงไปถึงสตูลก่อนขึ้นฝั่งแล้วเดินเท้าเข้าจังหวัดสงขลา อีกส่วนเปลี่ยนไปใช้เส้นทางระนอง พังงา เข้าชุมพร สุราษฎร์ธานีลงไปถึงสงขลา บริเวณอำเภอสะเดา และปาดังเซาร์

ในช่วง ก่อนปี 2556 พวกเขาใช้เรือที่มีขนาดเล็กหลบหนีออกมา เป็นเรือประมงขนาดเล็กจุคนได้ 60-100 คน  ส่วนใหญ่จึงหมดสภาพเมื่อใกล้ถึงชายฝั่งของไทย ต่อมาขบวนการนำพาในประเทศไทยได้ใช้เรือประมงดัดแปลงไปรอรับชาวโรฮิงยาถึงชายฝั่งของเมียนมาบังคลาเทศ ชาวโรฮิงยาจะใช้เรือเล็กออกจากฝั่งเพื่อมาขึ้นเรือประมงที่รออยู่ เรือประมงเหล่านี้จุคนได้ตั้ง 200-400-600-1,000 คน  เรือประมงเหล่านี้จะพาพวกเขามาจนถึงนอกชายฝั่งของไทย ที่จะเรือเล็กมารับเพื่อขึ้นฝั่ง เมื่อขึ้นฝั่งก็จะมีรถมารับ ส่วนใหญ่เป็นรถกระบะที่จะขนชาวโรฮิงยาไปคันละ 20 คน โดยจะมารับในช่วงหัวค่ำเพื่อพาไปให้ถึงชายแดนด้านสงขลาก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น 

การใช้นโยบาย “ช่วยเหลือให้ไปต่อ” ของรัฐบาลไทย โดยหากมีการพบในทะเลก็ให้กองทัพเรือให้น้ำ อาหารเชื้อเพลิงก่อนลากออกไปกลางทะเล ขณะที่กลุ่มที่มาถึงชายฝั่งไทยก็จะเป็นความรับผิดชอบของหน่วนงานความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดระนองในการ “ช่วยเหลือให้ไปต่อ” ถึงชายแดนมาเลเซีย แนวนโยบายมีส่วนสำคัญที่ทำให้มีชาวโรฮิงยาจำนวนมากขึ้นได้ไปถึงบริเวณชายแดนไทยมาเลเซีย

ขณะเดียวกันขบวนการนำพาคนเข้าเมืองผิดในพื้นที่ชายแดนเองก็เริ่มเข้ามารับชาวโรฮิงยาที่ตกค้างอยู่ระหว่างชายแดนไทยเมียนมานำพาไปมาเลเซีย พวกเขาค่อยๆ ขยายและกลายเป็นขบวนการที่ใช้ความรุนแรงมากขึ้น จากการรับช่วงต่อชาวโรฮิงยาจากเจ้าหน้าที่ ขบวนการเริ่มส่งเรือของตัวเองไปรับจากชายฝั่งเมียนมาบังคลาเทศเข้ามาในประเทศไทย ถ้าไม่ถูกจับก็ดี ถ้าถูกจับพวกเขาก็รอรับช่วงต่อหลังจากที่ ตม.ดำเนินการผลักดันกลุ่มนี้ออกนอกประเทศเพื่อเอาเข้ามาในประเทศใหม่อีกครั้ง ชาวโรฮิงยาเริ่มถูกเรียกและถูกบังคับให้จ่ายเงินเพิ่มเติม มีการบังคับ ขู่เข็ญ ทำร้ายร่างกาย และเรียกเงินค่าไถ่มากขึ้น จาก 20,000 เพิ่มเป็น 50,000 จนถึง 90,000 ในต้นปี 2558 หลายคนเสียชีวตระหว่างอยู่ในขบวนการเหล่านี้


คนไร้รัฐชาวโรฮิงญาในประเทศ ระหว่างปี 2556-2558

ความพยายามของรัฐบาลไทยในการป้องกันคนไร้รัฐชาวโรฮิงญาไม่ให้เข้ามาในประเทศไทยกลายเป็นความล้มเหลวเมื่อไม่สามารถที่จะใช้อำนาจของตนในการควบคุมกับขบวนการนนอกกฎหมายที่กลายเป็นกลุ่มที่พยายามเบียดขับหน่วยงานของรัฐและใช้อำนาจควบคุมเหนือชีวิตของคนไร้รัฐชาวโรฮิงญาที่หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยในช่วงปี 2556-2558 ขณะเดียวกันที่คนไร้รัฐชาวโรฮิงญาที่เข้ามาในประเทศไทยก็เริ่มเข้าสู่การปกป้องคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองก็ตาม 

ในระหว่างปี 2556-2558 อับดุลเมี๊ยะได้โทรศัพท์ร้องขอจากเจ้าหน้าที่ให้ลงไปช่วยเป็นล่ามหลายครั้งที่มีการจับกุมคนไร้รัฐชาวโรฮิงญา เขาเริ่มไม่สามารถช่วยภรรยาทำโรตีขายได้เหมือนในอดีต ต่อมาถึงเขาเองก็จำเป็นที่ต้องเลิกกับภรรยาเพื่อลงไปอยู่หาดใหญ่ หลังจากที่ต้องเดินทางไปกลับกรุงเทพกับหลายจังหวัดภาคใต้เพื่อช่วยเหลือ ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และก็พี่น้องโรฮิงยาที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐช่วยเหลือและจับกุมด้วย

ในช่วงแรกที่อับดุลเมี๊ยะลงไปช่วยเป็นล่ามสื่อสาร ชาวโรฮิงยาหลายคนบอกเพียงว่า “พวกเขาหนีความรุนแรงมาจากบ้านเกิด” พวกเขาไม่มีหนังสือเดินทาง พวกเขาเข้ามาในประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต พวกเขาจึงถูกจับกุม ดำเนินคดีในฐานะ“คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง” พวกเขาถูกส่งต่อให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อผลักดันออกนอกประเทศ แต่จากการถูกปฏิเสธจากรัฐบาลเมียนมาทำให้พวกเขาถ้าไม่ล่องลอยอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทยเมียนมา ก็จะถูกควบคุมไว้ภายในห้องกักของด่านตรวจคนเข้าเมืองในฐานะ“ผู้ต้องกักเพื่อรอการส่งกลับ” อย่างไม่มีกำหนด แต่กระนั้นก็ดี ถ้าพวกเขาเป็น“ผู้หญิง” หรือ “เด็ก” ทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็จะส่งให้ทางบ้านพักเด็กและครอบครัว หน่วยงานภายใต้กระทรวงพัฒนาสังคคมและความมั่นคงของมนุษย์ช่วยดูแล แทนการกักขังไว้ภายในห้องกัก

ในเดือนตุลาคม 2557 อับดุลเมี๊ยะลงไปช่วยทางเจ้าหน้าที่ของบ้านพักเด็กฯ แห่งหนึ่งสัมภาษณ์กลุ่มของชาวโรฮิงยาที่ถูกจับได้กลุ่มหนึ่ง เขาบอกว่า “หลายคนพูดแตกต่างไปจากปีก่อน บางคนบอกว่าถูกบังคับให้ขึ้นเรือมา บางคนก็บอกว่าเขาเคยถูกจับแล้วหลายครั้ง แล้วก็ถูกนำพาเข้ามาใหม่ แล้วพวกเขาคนนำพาก็เรียกเงินจำนวนมากเพื่อจะปล่อยพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีเงินที่จะจ่าย” หลายคนในกลุ่มนี้จึงถูกคัดแยกว่าเป็น “ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์” และถูกส่งให้บ้านพักเด็กและครอบครัวในฐานะของสถานแรกรับก่อนที่จะส่งต่อให้สถานคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งต่างก็เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดของ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เช่นเดียวกัน

แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการปกป้องภายใต้กฎหมายของไทย ในฐานะที่เป็น เด็ก ผู้หญิง หรือผู้เสียหายจาการค้ามนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังคงหวาดกลัวเจ้าหน้าที่ เด็กชายชาวโรฮิงเขียนจดหมายถึงผมและอับดุลเมี๊ยะ บอกว่า “พอพวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่ พวกเขากลัว กลัวถูกจะส่งกลับไปเมียนมา ถูกฆ่า เขาต้องโกหกเพื่อเอาชีวิตรอด พวกที่พามาบอกว่า ถ้าถูกจับให้โกหกไว้ก่อน”

หญิงชาวโรฮิงยาคนหนึ่งที่อยู่ภายในบ้านพักฯ ได้เรียกเจ้าหน้าที่ว่าแม่ ไม่ใชเพราะรู้สึกเหมือนแม่ แต่เป็นเพราะ “ชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่” ผู้หญิงชาวโรฮิงยาที่อยู่ในบ้านพักเด็กและครอบครัวเหล่านี้ไม่ได้มีทางเลือกและความหวังมากนัก การปกป้องคุ้มครองตามกฎหมายเกิดขึ้นระหว่าง "การรอการส่งกลับ” มันจึงเป็นเรื่องของเวลาว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะถูกส่งกลับออกไปเท่านั้น


การแทรกแซงจากภายนอกรัฐ

นอกเหนือไปจากความไร้เอกกภาพในแนวนโยบายของรัฐ การพยายามป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้ามาในประเทศ การเอื้ออำนวยให้เดินทางไปต่อ การปกป้องคุ้มครองในฐานะ ผู้หญิง เด็ก และผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมถึงการเผชิญกับอำนาจของขบวนการภายนอกกฏหมายที่ทำให้รัฐสูญเสียการผูกขาดอำนาจสูงสุดภายในดินแดนของรัฐสมัยใหม่ รัฐยังคงต้องเผชิญหน้ากับอำนาจภายนอกอื่นๆ ในหลากหลายรูปแบบ เช่น อำนาจจากองค์กรระหว่างประเทศ อำนาจของศาสนาสมัยใหม่ ที่ต่างเข้ามาทำให้รัฐจำเป็นต้องยกเว้นที่จะใช้อำนาจตามกฎหมายของตนกีดกันคนที่ไม่ได้เป็นพลเมืองออกไป

ระหว่างที่พวกเขาถูกควบคุมตัวไว้ภายในบ้านพักเด็กและครอบครัว เจ้าหน้าที่จากองค์กรระหว่างที่ทำงานด้านผู้ลี้ภัยก็เข้ามาในบ้านพักและสถานที่ควบคุมของรัฐอื่นๆ เช่น ห้องกักของสำนักงานตรวคนเข้าเมือง สถานคุ้มครองผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่เหล่านั้นทำการสัมภาษณ์ จัดทำประวัติ และบอกกับคนต่างด้าวไร้รัฐชาวโรฮิงญาที่ถูกควบคุม ดูแลว่า “พวกเขามีโอกาศเดินทางไปตั้งถิ่นฐานในต่างประเทศในฐานะของการเป็น ผู้ลี้ภัยถ้าต้องการ” แต่ก็โอกาสนี้ก็จำกัดอยู่เฉพาะชาวโรฮิงยาที่ถูกจับกุมและถูกควบคุมอยู่ภายใต้หน่วยงานของรัฐเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงโอกาสในการเดินทางไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สามนี้ โดยเงื่อนไขนี้เจ้าหน้าที่องค์กรดังกล่าวได้บอกกับอับดุลเมี่ยะเมื่อเขาต้องการจะขอไปประเทศที่สามด้วย

กระนั้นชาวโรฮิงยาจำนวนหนึ่งที่สามารถไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สามก็ปฏิเสธที่จะไป ประเทศที่สามที่พร้อมรับพวกเขาไปตั้งถิ่นฐานไม่ได้เป็นประเทศที่พวกเขารู้จัก ไม่ได้เป็นประเทศที่พวกเขามีครอบครัว ไม่ได้เป็นประเทศที่พวกเขาต้องการที่จะไป หลายคนจึงยังคงพยายามหลบหนีไปมาเลเซียแทนที่จะไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม

ในปีเดียวกัน อับดุลเมี๊ยะนำเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไปจับกุม ช่วยเหลือชาวโรฮิงยาได้มากกว่า 800 คน ในพื้นที่ชายแดนด้านอำเภอสะเดา สงขลา แต่มีประมาณ 30 คน ส่วนใหญ่สภาพขาดอาหาร เจ็บป่วย ถูกพบภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ถอนกำลังไปแล้ว อับดุลเมี๊ยะร่วมอิหม่ามในตำบลนั้นแจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่าพวกเขาจะขอดูแลชาวโรฮิงยากลุ่มนี้โดยให้อาศัยอยู่ที่มัสยิด โดยที่ชุมชนจะช่วยดูแลและรักษาการเจ็บป่วยด้วย ต่อมาเครือข่ายของกลุ่มองค์กรมุสลิมในสงขลาก็เข้าไปพบกับทางจังหวัดเพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าพวกเขายินดีที่จะดูแลชาวโรฮิงยากลุ่มนี้จนหายดี นายอำเภอสะเดาเข้าไปดูแลความปลอดภัย มีอาสามัครจากโรงพยาบาลเข้าไปช่วยเหลือ ชาวโรฮิงยาทั้ง 30 คน ไม่ได้ถูกจับกุมในฐานะคนหลบหนีเข้าเมือง ไม่ได้รับการปกป้องจากกฏหมายของไทย แต่พวกเขาได้รับการดูแลอยู่ในมัสยิดแห่งหนึ่งกลางชุมชนชาวมุสลิมจนหาย บางคนได้เจอกับครอบครัว หลายคนได้เดินทางต่อไป ชาวโรฮิงยาอีกหลายสิบคนได้รับการช่วยเหลือจากชุมชนมุสลิมตลอดหลายปีที่ผ่านมา

กระนั้นก็ดีชาวบ้านมุสลิมหลายคนก็ยังคงหวาดกลัวที่จะช่วยเหลือชาวโรฮิงยาเหล่านี้ พวกเขาถูกบอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ว่า  ถ้ายังคอยให้ความช่วยเหลือก็อาจจะถูกจับข้อช่วยเหลือให้ที่พักพิง หรือไม่ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหาผลประโยชน์จากการช่วยเหลือ แต่ ก๊ะ ช่าวบ้านคนหนึ่งที่คอยเหลือช่วยอับดุลเมี๊ยะบอกว่า “ก็แล้วแต่เขา แต่ทุกวันฉันกล้าที่จะเผชิญหน้ากับอัลเลาะห์” ขณะที่ชาวบ้านบางคนก็หาผลประโยชน์จากชาวโรฮิงยาด้วยเช่นกัน หากพวกเขาจับชาวโรฮิงยาที่หนีลงมาได้ แล้วพากลับขึ้นไปก็อาจได้ถึงหัวละห้าพัน

 

การต่อรอง ร่วมมือ แทรกซึม และการท้าทายรัฐของคนไร้รัฐชาวโรฮิงญา

ภายใต้ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างรัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และศาสนาในโลกสมัยใหม่ที่ต่างร่วมมือ ต่อรองกันบนผลประโยชน์และแนวทางการใช้อำนาจที่แตกต่างกัน คนไร้รัฐชาวโรฮิงยาเองไม่ได้อยู่ในสถานะของการเป็นผู้ถูกกระทำเท่านั้น พวกเขาสามารถที่จะเดินทางหลบหนีออกมาจากประเทศเมียนมาเข้ามาในประเทศไทนเพื่อหลบหนีความรุนแรง ก็สามารถที่แสวงหาโอกาศในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากกว่าในประเทศไทยเพื่อบรรลุความต้องการของพวกเขา ทั้งการต่อรอง รวมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ องค์กรระหว่างประเทศ หรือแม้กระทั่งแทรกแซง และท้าทายการใช้อำนาจของพวกเขา

อับดุลเมี๊ยะ เข้ามาในประเทศมามากกว่า 30 ปี นานพอที่จะหาช่องทางจ่ายเงินขึ้นทะเบียนและถือ บัตรประจำตัวบุคคลผู้ไม่มีสถานะ (บัตร 10 ปี )  บัตรดังกล่าวเป็นความพยายามของรัฐบาลไทยในการจัดการปัญหาคนไร้รัฐในประเทศไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ปี 2548  กลุ่มเป้าหมายของนโยบายนี้ส่วนใหญ่คือ คนที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยแต่ตกสำรวจจากรัฐบาลทำให้พวกเขาไม่ได้มีสถานะเป็นคนสัญชาติไทย

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ประกาศให้เปิดการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติ เมียนมา ลาว กัมพูชา เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ โดยให้นายจ้างนำแรงงานต่างด้าวฯ มาจดทะเบียน ณ ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ ( One Stop Service) ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2557จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2557 อับดุลเมี๊ยะได้โทรหาผู้เขียนบอกว่า “เขาอยากที่จะพาชาวโรฮิงยาที่เข้ามาใหม่ที่เขาให้การดูแลอยู่นั้นไปขึ้นทะเบียนด้วย เขาอยากให้ผมช่วยหานายจ้างพร้อมกับขอเงินเพื่อไปขึ้นทะเบียน” ชาวโรฮิงยาที่ไปขึ้นทะเบียนครั้งนี้จะได้รับการผ่อนผันใหทำงานได้บ้างอย่างน้อยก็ 1 ปี ก่อนที่จะต้องไปพิสูจน์สัญชาติกับรัฐบาลเมียนมา

การช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ต่อเนื่องของอับดุลเมี๊ยทำให้เขาภูมิใจ ครั้งหนึ่งที่เขาเดินนำหน้าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในระหว่างบุกช่วยเหลือชาวโรฮิงยาบนภูเขาใกล้แนวชายแดน ผู้การได้ให้เขาใส่ใส่เสื้อกันกระสุนเดินนำ เขาบอกว่า “เขายินดีทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ประเทศไทยแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ได้” แต่กระนั้นก็ไม่มีหน่วยงานราชการ หรือ องค์กรสิทธิมนุษย์ใดที่ออกจดหมายรับรองเขา เมื่อเขาต้องการที่ยื่นขอเป็นผู้ลี้ภัย

อับดุลเมี๊ยะยังเล่าว่า “บางครั้งที่ผมไปเจอกลุ่มที่ไม่ได้สัมภาษณ์ มีบางคนที่น่าเป็นคนของขบวนการยอมให้ถูกจับเพื่อรอโอกาสพากลุ่มของชาวโรฮิงยาหลบหนีออกไป ผมบอกเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีใครเชื่อ”

ส่วนเจ้าหน้าที่บ้านพักคนหนึ่งก็เคยบอกกับผมว่า “เขาก็สงสัยว่าอับดุลเมี๊ยะเป็นคนของขบวนการเช่นกัน เคยส่งเด็กมาอยู่ เราก็กลัวจะเป็นคนมาพาเด็กเราหนี เราก็แยกให้อยู่ห่าง คอยดูใกล้ชิด” แต่ต่อมาเด็กและผู้หญิงหลายคนก็หลบหนี เจ้าหน้าที่เองก็ไม่รู้ว่าใครนำพาไปยังไง

สำหรับชาวโรฮิงยาหลายที่ถูกกักไว้ในด่านตรวจคนเข้าเมือง แม้ว่าอับดุลเมี๊ยะจะเป็นคนพาเจ้าหน้าที่ไปจับกุม แต่เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายใน การควบคุมที่เข้มงวดมากกว่าเรือนจำของห้องกักในด่านตรวจคนเข้าเมืองทำให้ชาวโรฮิงยาเกือบถูกแยกจากสังคมโดยสิ้นเชิง แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตที่จะตาย เมื่อพวกเขาเลือกอดอาหารและเรียกร้องขออาหารฮาลาลจากพี่น้องมุสลิม เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นที่จะอนุญาตให้อาสาสมัครของสำนักจุฬานำอาหารเข้าไปให้เป็นครั้งคราว

 

ปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2559

อับดุลเมี๊ยะได้เดินทางไปอยู่อาศัยในประเทศยุโรปตอนเหนือประเทศหนึ่ง การจับกุมนายทหาร ข้าราชการ นักการเมือง กลุ่มผู้นำท้องถิ่นจำนวนมากที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำพาและค้ามนุษย์ชาวโรฮิงยาทำให้เขาถูกข่มขู่ถึงชีวิต เขาเคยถูกขับรถปาดหน้าจนรถมอเตอร์ไชต์ที่เขาขี่มาล้มไถลงลงไปข้างถนนทางไปสนามบินหาดใหญ่ อับดุลเมี๊ยะบอกว่า “บัตร 10 ปีที่เขาซื้อมาด้วยชื่อที่เจ้าหน้าที่ตั้งให้ ซึ่งไม่ใช่อับดุลเมี๊ยะ ทำเขารอดมาได้”

หลังจากนั้นเขาโทรขอความช่วยเหลืออจากทุกคนที่เขารู้จัก ผู้การของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และนักข่าวต่างประเทศคนหนึ่งได้ขอให้องค์กรระหว่างประเทศช่วยเหลืออับดุลเมี๊ยะพร้อมกับพยานในคดีเดี่ยวกันอีก 3 คน ให้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศอื่นภายหลังการที่ขึ้นให้การชั้นศาล หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ถูกนำพาไปต่างประเทศโดยไม่ได้ตั้งตัว ทิ้งให้พยานอีกสามคนที่เขาดูแลอยู่ต้องอยู่ใประเทศไทยอีกหลายอาทิตย์ก่อนที่ทั้งสามจะได้เดินทางไปอีกประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ

ชาวโรฮิงยาอีกหลายคนที่หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยต่างก็เผชิญกับทางเลือกที่หลากหลาย ทั้งการปกป้องคุ้มครองจากรัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และพี่น้องชาวมุสลิมของพวกเขา

หลายคนเลือกจะเดินทางไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สามที่พวกเขารู้สึกว่าเป็นทางเลือกเดียวที่จะออกไปจากห้องกัก

หลายคนยังเลือกที่จะหลบหนีจากการปกป้องคุ้มครองของรัฐและองค์กรระหว่างประเทศเพื่อเดินทางข้ามเข้าไปมาเลเซียเป็นคนผิดกฏหมายในมาเลเซีย

หลายคนยังคงอดทนอยู่ภายในห้องกักโดยหวังว่ารัฐบาลไทยคงไม่สามารถกักขังพวกเขาไว้ในด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ไปตลอดกาล ขณะเดียวกันก็หาช่องทางและรอคอยโอกาสในการหลบหนีออกไปในอนาคต

ชีวิตของคนไร้รัฐชาวโรฮิงยาที่ไม่ได้มีสถานะการเป็นพลเมืองของรัฐสมัยใหม่ ทำให้พวกเขาเผชิญกับความรุนแรงโดยไม่ได้รับการปกป้องดูแล แต่กระนั้นก็ไม่ได้เป็นชีวิตที่ปราศจาการปกป้องคุ้มครองจากอำนาจที่หลากหลายในสังคมปัจจุบัน หรือเป็นชีวิตที่ไร้ความสามารถ ที่เป็นเพียงผู้ถูกกระทำแต่เพียงอย่างเดียว แต่กลับเป็นชีวิตที่ท้าทายความพยายามของรัฐในการควบคุมผู้คนที่ตนไม่ต้องการให้เป็นพลเมืองของตนมากกว่า

0000

 

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน http://www.citizenthaipbs.net/node/9704

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'รถเมล์สุขภาพ' ระบบส่งต่อชุมชน จาก 'รพ.ขุนหาญ' ถึง 'รพ.ศรีสะเกษ' ช่วยคนไข้รักษาต่อเนื่อง 100%

$
0
0
รถเมล์สุขภาพ รพ.ขุนหาญ 11 ปี ช่วยคนไข้ไม่ฉุกเฉินกลุ่มส่งต่อ รพ.ศรีสะเกษ เข้าถึงการรักษาเกือบ 100% แก้ปัญหาคนไข้ไม่ไปตามนัด เหตุจากอุปสรรคการเดินทางและค่าใช้จ่าย ส่งผลเกิดการประสานข้อมูลและวางระบบส่งต่อระหว่าง รพ. แนวโน้มคนไข้ใช้บริการเพิ่ม เหตุสะดวก รวดเร็ว ได้รับตรวจแน่นอน แถมประหยัดค่าเดินทาง จ่ายไป-กลับเพียง 50 บาท พร้อมชี้คนไข้ตาต้อกระจกรับการผ่าตัดกว่า 1,600 ราย เป็นผลชัดเจนจากโครงการนี้

 
 
นางเพ็ญศรี นรินทร์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ งานอุบัติเหตุฉุกเฉิน รพ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโครงการรถเมล์สุขภาพว่า เริ่มจากการทบทวนจำนวนผู้ป่วยส่งต่อ พบว่ามีคนไข้กลุ่มไม่ฉุกเฉินที่ต้องส่งต่อรักษาโรคเฉพาะทางที่ รพ.ศรีสะเกษ ไม่เดินทางไปรักษาจำนวนมาก มีอัตราสูงถึงร้อยละ 13.48 จากคนไข้ไม่ฉุกเฉินที่ถูกส่งต่อทั้งหมด คนไข้กลุ่มนี้ภายหลังจะมีอาการหนักเพิ่มขึ้น เมื่อกลับมาตรวจที่ รพ.ขุนหาญอีกครั้ง สาเหตุจากความไม่สะดวกในการเดินทาง ด้วย รพ.ขุนหาญและ รพ.ศรีสะเกษมีระยะทางห่างกันถึง 60 กิโลเมตร อีกทั้งคนไข้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและยากจน บางคนไม่มีคนดูแล และไม่กล้าไปเอง จึงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าถึงการรักษา
 
จากสถานการณ์ข้างต้นนี้คิดว่า ทำอย่างไรจึงจะช่วยคนไข้กลุ่มนี้ให้เข้าถึงการรักษาได้ จึงมีแนวคิดว่าหากนัดคนไข้เหล่านี้ในวันเดียวกันและจัดหารถรับส่งไปยัง รพ.ศรีสะเกษได้หรือไม่ จึงเป็นที่มาของโครงการรถเมล์สุขภาพ โดยได้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา โดยช่วงแรกขอใช้รถของ รพ.ขุนหาญไปรับส่งก่อน แต่เนื่องจากรถ รพ.มีเพียงแค่ 3 คันเท่านั้น ซึ่งในกรณีที่มีผู้ป่วยฉุกเฉินทำให้มีปัญหา ดังนั้นจึงได้จัดทำข้อมูลความคุ้มทุนของงบประมานในการจัดรถรับส่งคนไข้จากงบ CEO จังหวัดศรีสะเกษ ได้รับงบดำเนินการจัดรถรับส่งคนไข้ตลอดทั้งปีจำนวน 2.6 แสนบาท  
 
ต่อมางบ CEO ได้หมดลง และยังหางบไม่ได้ ในฐานะที่เป็นคนพาคนไข้เดินทางไป รพ.ศรีสะเกษ จึงพูดคุยกับคนไข้ว่างบจัดรถรับส่งคนไข้ได้หมดลงแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ถ้าเราจะช่วยกันออกเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อจ้างรถรับส่งกันเอง ปรากฎว่าคนไข้ต่างยินดี นับจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ค่าใช้จ่ายในการจัดรถรับส่งคนไข้จาก รพ.ขุนหาญ เพื่อรับการรักษายัง รพ.ศรีสะเกษ หรือที่เรียกว่า รถเมล์สุขภาพ จึงมาจากการร่วมจ่ายของคนไข้เองทั้งหมด โดยคิดค่าบริการไปกลับครั้งละ 50 บาท
 
นางเพ็ญศรี กล่าวว่า ในการนำคนไข้จาก รพ.ขุนหาญ รับการรักษาส่งต่อที่ รพ.ศรีสะเกษ โดยรถเมล์สายสุขภาพ จะนัดคนไข้ทุกวันพุธเวลา 7 โมงเช้า รถออกในเวลา 8 โมงเช้า เฉลี่ยเที่ยวละประมาณ 30 คน โดยก่อนหน้านี้พยาบาลจะประสานข้อมูลส่งต่อคนไข้กับแผนกต่างๆ ของ รพ.ศรีสะเกษไว้ก่อน ทั้งข้อมูลประวัติคนไข้ บัตรคิวรับการตรวจ
 
“ก่อนถึงวันพุธเราจะมีหนังสือประสานไปยัง รพ.ศรีสะเกษก่อน ทั้งจำนวนคนไข้ แผนกที่คนไข้ต้องรับการตรวจ ซึ่ง รพ.ศรีสะเกษดูแลให้เป็นอย่างดี มีการจัดคิว จัดแฟ้มข้อมูลคนไข้ไว้ให้ เมื่อรถเมล์สายสุขภาพไปถึงคนไข้ก็จะเข้ารับการตรวจยังแผนกต่างๆ ที่ประสานไว้ โดยในส่วนคนไข้ที่ซับซ้อนที่ต้องทำการตรวจอัลตร้าซาวด์หรือเอ็กซเรย์ รพ.ศรีสะเกษจะทำให้คราวเดียว เพื่อไม่ให้คนไข้ต้องเดินทางกลับมาอีก ทำให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว”
 
หลังดำเนินโครงการรถเมล์สายสุขภาพ นางเพ็ญศรี กล่าวว่า ทำให้คนไข้เข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น ปัจจุบันคนไข้ที่ส่งต่อไปยัง รพ.ศรีสะเกษ มีการเข้าถึงเกือบ 100% ขณะที่จำนวนคนไข้ที่ไม่ไปตรวจตามนัดลดลงจนเหลือเกือบศูนย์
 
ทั้งนี้ผลจากการดำเนินโครงการที่เห็นชัดเจนมากคือ การเข้าถึงการรักษาของคนไข้โรคตาเพราะหมอตา รพ.ศรีสะเกษมีน้อยมาก บางคนไปรอคิวเป็น 10 ครั้งก็ยังไม่ได้รับการตรวจ ทำให้คนไข้ไม่อยากไปรักษา แต่พอมีโครงการรถเมล์สายสุขภาพที่มีระบบการนัดที่ชัดเจนรองรับผู้ป่วยที่ถูกส่งไป ทำให้คนไข้โรคตาได้คิวการตรวจรอบละ 5 คน และยังได้รับการลอกต้อกระจกเฉลี่ย 20 รายต่อเดือนจนกลับมามองเห็นได้ ซึ่งคนไข้ต่างดีใจมาก ขณะเดียวกันยังนำมาสู่การจัดโครงการผ่าตัดตาต้อกระจกที่ รพ.ขุนหาญ ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งได้เริ่มในปี 2555 โดยเชิญหมอตาจาก รพ.ศรีสะเกษมาช่วยผ่าตัดต้อกระจกให้กับคนไข้เดือนละ 1 ครั้ง ใช้หอประชุม รพ.เป็นหอผู้ป่วย ทำให้คนไข้ตาต้อกระจกจำนวนมากในพื้นที่เข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น โดยมีคนไข้ตาต้อกระจกที่ได้รับการผ่าตัดแล้วกว่า 1,600 ราย นอกจากนี้ยังมีคนไข้มะเร็งที่ได้รับการบำบัดด้วยคีโมจนครบ คนไข้บางรายหายจากมะเร็งได้
 
ขณะเดียวกันกลุ่มคนไข้ที่ส่งต่อและต้องนอนรักษาที่ รพ.ศรีสะเกษยังได้รับการเยี่ยมติดตาม กลุ่มคนไข้พิการและคนไข้ระบบประกันสังคมที่มีปัญหาการเดินทางก็ได้รับการดูแล รวมถึงการับผู้ป่วยที่ไม่มีญาติกลับอำเภอขุนหาญ ซึ่งเป็นผลพวงจากโครงการรถเมล์สายสุขภาพ
 
“รถเมล์สายสุขภาพที่สามารถดำเนินโครงการมาจนถึงวันนี้ เกิดจากการมีส่วนร่วมของชาวบ้านโดยแท้จริง ซึ่งชาวบ้านเป็นผู้ร่วมจ่ายทั้งหมด และจากการที่พยาบาลเป็นผู้นำส่งคนไข้ ทำให้มีการพูดคุยกับคนไข้จนเกิดความใกล้ชิด สามารถดึงให้มีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพ เกิดความตระหนักต่อการส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันมากขึ้น นำไปสู่ความยั่งยืนของระบบสุขภาพได้” นางเพ็ญศรี กล่าวและว่า ส่วนในแง่ของค่าเดินทางสามารถประหยัดได้ปีละกว่า 1 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับการที่คนไข้เหมารถเพื่อเดินทางไป รพ.ศรีสะเกษเอง รวมถึงการเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง  
 
ส่วนการต่อยอดจากโครงการนี้ นางเพ็ญศรี กล่าวว่า นอกจากเป็นแนวคิดที่นำไปสู่การวางระบบการส่งต่อคนไข้ระดับประเทศแล้ว ในส่วนของ จ.ศรีสะเกษเอง ยังอยู่ระหว่างการต่อยอดการจัดระบบการส่งต่อระดับจังหวัด เนื่องจาก รพ.ศรีสะเกษ สามารถดูแลคนไข้ซับซ้อนได้ในระดับหนึ่ง แต่ในกรณีที่เป็นโรคซับซ้อนมากต้องส่งคนไข้ไปรับการรักษาที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ที่เป็น รพ.แม่ข่าย ซึ่งตรงนี้ทางเทศบาลและ อบต.อยากมีส่วนร่วมในการนำส่งคนไข้ให้เข้าถึงการรักษา ซึ่งอยู่ระหว่างการวางระบบและประสานยัง รพ.แม่ข่ายที่รับส่งต่อ ในการให้บริการในปี 2560 โดยใช้รูปแบบเดียวกับโครงการรถเมล์สายสุขภาพนี้
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายเยาวชนลุ่มน้ำสายบุรีระดมพลจัดกิจกรรมสร้างสันติภาพที่เริ่มจากคนในชุมชน

$
0
0

เครือข่ายเยาวชนลุ่มน้ำสายบุรี จัดโครงการค่ายเรียนรู้เสริมสร้างชุมชนสู่สันติภาพ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความขัดแย้ง แนวทางการจัดการ รวมถึงกระบวนการสันติภาพให้ชาวบ้านและเครือข่ายหวังจะเป็นส่วนหนึ่งในการหนุนเสริมสันติภาพ โต๊ะอิหม่ามย้ำการมีส่วนร่วมของผู้นำศาสนาเป็นเรื่องสำคัญต่อกระบวนการสันติภาพ

เมื่อวันที่ 22-23 ก.ย. 2559 ที่ผ่านมา เครือข่ายเยาวชนลุ่มน้ำสายบุรี จัดโครงการค่ายเรียนรู้เสริมสร้างชุมชนสู่สันติภาพ ณ โรงเรียนตาดีกาบ้านคอลอฆาลี ม.8 ต.ตะโล๊ะดือรามัน อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี มีเยาวชนและชาวบ้านในหลาย พื้นที่เข้าร่วม

อาหามะ ยูแม ประธานโครงการค่ายเรียนรู้เสริมสร้างชุมชนสู่สันติภาพ

นายอาหามะ ยูแม ประธานโครงการ เปิดเผยว่า ผู้เข้าร่วมโครงการนี้ประกอบด้วยตัวแทนชุมชนบ้านคอลอฆาลี เช่น ผู้นำชุมชน ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมคลองกอตอ ชาวบ้านที่ทำอาชีพประมง อาชีพกสิกรรม เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีตัวแทนจากชมรมตาดีกาตำบลตะโล๊ะดือรามัน ชมรมเยาวชน อ.ไม้แก่น ชมรมเยาวชนบ้านกูแว ชมรมเยาวชนบ้านพอเบาะ และทีมงานเครือข่ายเยาวชนลุ่มน้ำสายบุรี รวมทั้งกว่า 30 คน

นายอาหามะ เปิดเผยต่อไปว่า วัตถุประสงค์โครงการนี้เพื่อให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจปัญหาความขัดแย้งในเชิงลึก สามารถเผชิญกับปัญหาความขัดแย้ง พร้อมทั้งวิเคราะห์และจัดการกับปัญหาความขัดแย้งได้ นอกจากนั้นเพื่อให้สามารถสื่อสารและไกล่เกลี่ยปัญหาเฉพาะหน้าได้

“ที่สำคัญสามารถสร้างแนวทางการทำงานเชิงเครือข่ายในชุมชนให้มีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างบรรยากาศพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนแนวทางการมีส่วนร่วมกับการสร้างสันติภาพในพื้นที่ได้” นายอาหามะกล่าว

นายอาหามะ เปิดเผยอีกว่ากิจกรรมในโครงการมีตั้งแต่การบรรยาย พร้อมสร้างกระบวนการเรียนรู้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มเพื่อระดมสมองแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำเสนอความคิดเห็นกับผู้เข้าร่วม และจัดวงธรรมชาติเพื่อถกประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนบ้านคลลอฆาลีระหว่างผู้เข้าร่วมโครงการกับชาวบ้านคอลอฆาลีนอกจากนั้นยังมีกิจกรรมรณรงค์ในประเด็นที่เกี่ยวกับสันติภาพอีกด้วย

นายอาหามะ กล่าวด้วยว่า กิจกรรมลักษณะนี้จะช่วยหนุนเสริมกระบวนการสันติภาพได้ เพราะชาวบ้านจำนวนมากยังไม่เข้าใจว่าสันติภาพคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ดังนั้น การมาร่วมกันเรียนรู้ในประเด็นต่างๆของผู้คนในชุมชนจึงมีความสำคัญต่อการสร้างสันติภาพในภาพใหญ่ได้

อายุบ มะสะอิ โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดคอลอฆาลี

นายอายุบ มะสะอิ โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดคอลอฆาลี กล่าวว่า ตนสนับสนุนให้เครือข่ายเยาวชนลุ่มน้ำสายบุรีมาจัดโครงการนี้ที่มัสยิดแห่งนี้ก็เพราะตนสนับสนุนโครงการที่สร้างความรู้และความเข้าใจแก่ชุมชน โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน

นายอายุบ กล่าวว่า ที่สำคัญโครงการในลักษณะนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนได้ และที่สำคัญยิ่งคือ หากผู้นำศาสนาเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับสันติภาพมากขึ้น ก็จะยิ่งหนุนเสริมให้เกิดสันติภาพเร็วขึ้น

“หากถามว่ากลัวหรือไม่ที่ผมมาสนับสนุนกิจกรรมหรือโครงการเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพ ก็คิดว่าผมกล้ามากกว่ากลัวที่จะสนับสนุนโครงการลักษณะนี้ เพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด และทุกคนต่างก็ต้องการสันติภาพ”นายอายุบกล่าว

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

เครือข่ายเยาวชนพิทักษ์ลุ่มน้ำสายบุรีระดมภาคีเครือข่ายขยายศักยภาพ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เตรียมเสนอให้ 'บ.ประกัน' บริหารจัดการค่ารักษาพยาบาล 'ข้าราชการ' 6 หมื่นล้านบาท

$
0
0
อธิบดีกรมบัญชีกลางระบุภายในสิ้นเดือน ต.ค.นี้ จะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการศึกษาแนวทางที่ให้บริษัทประกันเข้ามาบริหารจัดการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการวงเงิน 60,000 ล้านบาท หารือร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยแล้ว เบื้องต้นรูปแบบการให้สิทธิ์ยังยึดภายใต้สิทธิ์การรักษาแบบเดิม คาดว่าหากได้ข้อสรุปตามกำหนดและตกลงไว้จะสามารถเริ่มมีผลใช้ในปี 2560

 
 
 
25 ก.ย. 2559 สำนักข่าวไทยรายงานว่านายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ภายในสิ้นเดือน ต.ค.นี้ จะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการศึกษาแนวทางที่ให้บริษัทประกันเข้ามาบริหารจัดการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ วงเงิน 60,000 ล้านบาท โดยกรมบัญชีกลางได้หารือร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยแล้ว เบื้องต้นรูปแบบการให้สิทธิ์รักษาพยาบาลของข้าราชการยังยึดภายใต้สิทธิ์การรักษาแบบเดิม ซึ่งคาดว่าหากได้ข้อสรุปตามกำหนดและตกลงไว้ จะสามารถเริ่มมีผลใช้ในปี 2560
 
ทั้งนี้ การให้บริษัทประกันเข้ามาบริหารค่ารักษาพยาบาลข้าราชการแทนกรมบัญชีกลาง เพื่อให้การใช้งบประมาณในส่วนนี้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพราะบริษัทประกันสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลได้จริง โดยยืนยันว่า ผู้มีสิทธิ์ทั้งข้าราชการและบุคคลในครอบครัวกว่า 6 ล้านราย จะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากยังได้สิทธิ์ตามเดิม เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เป็นเพียงให้บริษัทประกันเป็นผู้บริหารจัดการวงเงินต่อปีที่ 60,000 ล้านบาทเท่านั้น
 
ในช่วงปีงบประมาณ 2556-2559 ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการและบุคคลในครอบครัวมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้น และการเข้าสู่สังคมสูงอายุเพิ่มขึ้น รวมถึงที่ผ่านมากรมบัญชีกลางได้ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์แต่ละรายการให้สอดคล้องกับปัจจุบันมากขึ้น โดยผลการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลจนถึงเดือนสิงหาคม 2559 เบิกจ่ายเงินแล้ว จำนวน 64,665 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีจะเบิกจ่ายประมาณ 68,000 ล้านบาท
 
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 59 กรมบัญชีกลางได้ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การเบิกค่ายากลับบ้านนอกเหนือจากระบบกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม หรือ DRGs (Diagnosis Related Groups) การผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้บริจาคอวัยวะที่เสียชีวิต การเบิกค่ารักษาพยาบาลกรณีแพทย์แผนไทย การเบิกค่ารักษาพยาบาลกรณีการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้บริจาคอวัยวะที่เสียชีวิต และการเบิกค่ารักษาทันตกรรม รวมถึงกรมบัญชีกลางยังได้ตรวจสอบการเบิกค่ารักษาพยาบาล โดยพบการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลทุจริตยา จำนวน 11 ราย ขณะนี้ดำเนินคดีไปแล้ว 2 ราย และอยู่ระหว่างการตรวจสอบหลักฐาน 9 ราย
 
นายมนัส ยังกล่าวถึงผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ประจำปี 2559 (1 ต.ค. 2558 – 16 ก.ย. 2559 ) ว่า การเบิกจ่ายงบประมาณภาพรวมวงเงิน 2.72 ล้านล้านบาท สามารถเบิกจ่ายไปแล้ว 2.45 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 90.16 โดยแบ่งเป็น รายจ่ายประจำ เบิกจ่ายแล้ว 2.11 ล้านล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ 2.175 ล้านล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 97.38 ขณะที่รายจ่ายลงทุน ซึ่งไม่รวมงบกลาง เบิกจ่ายไปแล้ว 3.29 แสนล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 4.57 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 72.15
 
ขณะที่ ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพิ่มเติม ตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2559 จนถึงวันที่ 16 ก.ย.2559 ภาพรวมเบิกจ่ายแล้ว 12,537 ล้านบาท ของวงเงินประมาณ 56,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 22.39 แบ่งเป็น รายจ่ายประจำ เบิกจ่ายแล้ว 12,205 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 29.77 และรายจ่ายลงทุน เบิกจ่ายแล้ว 332 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.21 ส่วนผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ของปีงบประมาณ 2549-2558 เบิกจ่ายได้แล้ว 221,657 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 308,205 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 71.92
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประกาศสำนักนายกฯ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในพระองค์

$
0
0
ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีระบุ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในพระองค์ สังกัดสํานักพระราชวังให้ดํารงตําแหน่งต่าง ๆ เป็นพิเศษเฉพาะราย จํานวน 9 ราย ให้ 'จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา' ดํารงตําแหน่งเลขาธิการพระราชวัง

 
25 ก.ย. 2559 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้ออกประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีเรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในพระองค์ โดยระบุดังนี้
 
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในพระองค์ สังกัดสํานักพระราชวังให้ดํารงตําแหน่งต่าง ๆ เป็นพิเศษเฉพาะราย จํานวน 9 ราย ดังนี้
 
1. นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ดํารงตําแหน่ง เลขาธิการพระราชวัง
2. พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการพระราชวังฝ่ายบริหารนโยบายและปฏิบัติการ
3. พันโท สมชาย กาญจนมณี ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการพระราชวัง ฝ่ายที่ประทับ
4. พลตํารวจเอก จุมพล มั่นหมาย ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการพระราชวัง ฝ่ายความมั่นคงและกิจกรรมพิเศษ
5. นายขวัญแก้ว วัชโรทัย ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการพระราชวัง
6. นายณรงค์ฤทธิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการพระราชวัง
7. นายจินตนา ชื่นศิริ ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการพระราชวัง ฝ่ายการเงิน
8. นายสงคราม ทรัพย์เจริญ ดํารงตําแหน่ง แพทย์ประจําพระองค์
9. พลตํารวจเอก พงษ์ศักดิ์ โรหิโตปการ ดํารงตําแหน่ง กรมวังผู้ใหญ่
 
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559
 
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ยิ่งลักษณ์' ขอ 'ประยุทธ์' ให้ความเป็นธรรมเหมือนที่ให้กับน้องชายตัวเอง

$
0
0

 

'ยิ่งลักษณ์' โพสต์เฟซบุ๊กระบุ "อยากให้นายกฯใช้หลักคิดและให้ความเป็นธรรมกับดิฉันเหมือนที่ท่านให้ความเป็นธรรม และปกป้องน้องชายท่าน รวมทั้งคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับท่าน เพราะกฎหมายมีไว้บังคับใช้กับทุกคน ไม่ใช่เลือกปฏิบัติกับฝั่งดิฉันเพียงฝ่ายเดียว"

 
 
 
25 ก.ย. 2559 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Yingluck Shinawatraระบุว่า "ทุกอย่างที่นายกฯยืนยันออกมาจากปากท่านว่าการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับคดีดิฉันเป็นไปตามกม.ไม่ได้กลั่นแกล้ง ก็อยากให้นายกฯใช้หลักคิดและให้ความเป็นธรรมกับดิฉันเหมือนที่ท่านให้ความเป็นธรรมและปกป้องน้องชายท่านรวมทั้งคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับท่านเพราะกม.มีไว้บังคับใช้กับทุกคนไม่ใช่เลือกปฏิบัติกับฝั่งดิฉันเพียงฝ่ายเดียว"
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสท.หารือแนวปฏิบัติก่อนโครงข่าย ททบ.ขอยุติบริการช่องดิจิตอลทีวี-ถกผัง 'วิทยุ 1 ปณ.'

$
0
0

25 ก.ย. 2559 นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ครั้งที่ 33/2559 วันจันทร์ที่ 26 กันยายน นี้ มีวาระการประชุมน่าจับตา ได้แก่ แนวทางปฏิบัติในการขอพักหรือหยุดการให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ ในกรณีพิพาทหากมีการไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าใช้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ นางสาวสุภิญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทัพบกซึ่งเป็นผู้รับใบอนุญาตเพื่อให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ที่ใช้คลื่นความถี่ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล ได้ทำหนังสือเพื่อขอให้พิจารณาแนวทางปฏิบัติ กรณีช่องดิจิตอลทีวี ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าใช้บริการโครงข่ายประเภทมาตรฐานความคมชัดปกติ เนื่องจากไม่ชำระค่าใช้บริการ ซึ่งสำนักงานได้เสนอแนวทางให้ กสท. พิจารณาประเด็นข้อพิพาทระหว่างผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการหากไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าใช้บริการโครงข่าย ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายอยู่ในฐานะคู่สัญญาตามสัญญาเช่าใช้บริการโครงข่ายฯ สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดย่อมเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่าใช้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นภายใต้สัญญาเช่าใช้บริการโครงข่าย จึงถือเป็นสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อเอกชน ซึ่งต้องอยู่ภายใต้บริบทของกฎหมายเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหากมีการพัก หรือหยุดการให้บริการไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก กสท.ก่อน รวมทั้งจะต้องปฏิบัติตามมาตรการเยียวยาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ใช้บริการและประชาชนภายหลังการพักหรือหยุดการให้บริการมายังสำนักงาน กสทช. เพื่อขอความเห็นชอบต่อ กสท. ก่อนการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งในที่ประชุมจะได้ถกแนวทางและรายละเอียดต่อแนวทางปฏิบัติของผู้ใช้และผู้ให้บริการต่อไป
 
“กรณีช่องไม่พร้อมจ่ายค่าเช่าโครงข่ายเพราะโต้แย้งกันเรื่องการติดตั้งล่าช้า คุณภาพ และราคา นอกจาก กสท. จะพิจารณาแนวปฏิบัติหากมีการขอยกเลิกแล้ว ควรเชิญทั้งสองฝ่ายมาหาทางออกร่วมกันอีกครั้ง โดยดูจากข้อเท็จจริงด้านเทคนิคที่ปรากฎ ถ้าตกลงกันได้ก็จบถ้าไม่จบก็ต้องฟ้องศาลต่อไป แต่ทุกฝ่ายต้องมีหลักประกันว่าจะไม่กระทบคนดู และช่องต้องมีคลื่นในการออกอากาศตามสิทธิ์ที่ประมูลมา ดังนั้นถ้าจะยกเลิกสัญญาเดิมก็ควรมีการหาโครงข่ายสำรองไว้ด้วย ส่วนการแก้ไขปัญหาภาพรวม กสทช.ควรเป็นตัวกลางในการตรวจสอบมาตรฐานของทุกโครงข่าย และต้องกำกับดูแลค่าเช่าโครงข่ายตามต้นทุนที่แท้จริง เพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขันด้วย” สุภิญญา กล่าว
 
นอกจากนี้ ที่ประชุมเตรียมพิจารณาการดำเนินการตามกฎหมายอาญา กรณีมีการกล่าวอ้าง กสทช. และสำนักงาน กสทช. เพื่อเรียกรับผลประโยชน์จากผู้มีความประสงค์จะประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง เนื่องจากมีกรณีกลุ่มผู้ได้รับความเสียหายมีการปลอมแปลงเอกสาร แบบคำขอต่างๆใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ของ กสทช. เพื่อให้คนหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่ออกโดย กสทช. และสำนักงาน กสทช. รวมทั้งมีการกล่าวอ้างผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ (LINE) ถึง กสทช. ว่าได้มีการออกใบอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุให้แก่สถานีเครือข่าย ซึ่งองค์กรวิทยุชุมชนภาคธุรกิจมีการเรียกรับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าว และ พิจารณาวาระการอนุมัติผังรายการหลักประจำปี 2559 ของสถานีวิทยุกระจายเสียง 1 ปณ. จำนวน 8 สถานี (ภายหลังการปรับปรุงตามมติที่ประชุม กสท.ครั้งที่3/2558) ซึ่งนางสาวสุภิญญา กล่าวว่า กรณีวิทยุ 1 ปณ. ของสำนักงาน กสทช.เอง เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนถึงปัญหาที่ค้างคาในการเรียกคืนคลื่นความถี่วิทยุกระจายเสียงของภาครัฐเดิมที่ไม่มีความจำเป็น ทั้งที่ตามแผนแม่บท กสทช. หน่วยงานรัฐทั้งหมดมีระยะเวลาในการถือครองคลื่นความถี่ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2560 แต่สำนักงานยังไม่เสนอแผนการเรียกคืนคลื่นความถี่อย่างเป็นระบบมาให้บอร์ดพิจารณาเลย 
 
“ส่วนตัวคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ กสทช. ต้องพิจารณาให้สำนักงานคืนคลื่นวิทยุ 1 ปณ. มาจัดสรรใหม่ตามกฎหมายเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาความจำเป็นสิทธิ์การถือครองคลื่นวิทยุใน 5 ปีตามกฎหมายที่จะครบกำหนดปีหน้า การถ่วงเวลาออกไปจะไม่เป็นผลดีกับการปฎิรูปคลื่นความถี่และส่งผลต่อความล่าช้าในการปฎิรูปกิจการวิทยุกระจายเสียงทั้งหมด เพราะตอนนี้ กสทช. ยังไม่สามารถเปิดให้มีการขอจัดสรรคลื่นวิทยุใหม่ เนื่องจากต้องรอแผนพัฒนากิจการวิทยุกระจายเสียง และ ตารางคลื่นความถี่ใหม่ ที่ต้องมาจากเรียกคืนคลื่นรายเดิมของรัฐมาจัดสรรใหม่ด้วย ถ้าไม่แก้จุดนี้ก็ทำให้การจัดสรรคลื่นใหม่ยาก ระหว่างนี้ใครตั้งสถานีใหม่จึงผิดกฎหมาย” สุภิญญากล่าว
 
วาระอื่น ๆ น่าติดตาม ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงประเภทรายการเพื่อความเหมาะสมรายการ “เซ็กส์แฟมิลี่” ทางช่อง 8 วาระเพื่อทราบช่องรายการ POP TV ได้ดำเนินการเสียค่าปรับเปรียบเทียบคดีตามที่มีการออกอากาศรายการหรือโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ทั้งนี้สำนักงานได้ทำการบันทึกประวัติของผู้ประกอบกิจการฯต่อไป และวาระอื่นๆ ติดตามผลการประชุมในวันจันทร์นี้
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไต่สวนมูลฟ้องนัดที่ 6 กรณี 7 ตำรวจปราจีนบุรีทำร้ายร่างกายเยาวชนบังคับให้รับสารภาพ

$
0
0
ศาลจังหวัดปราจีนบุรี นัดไต่สวนมูลฟ้องนัดที่ 6 คดีนายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องตำรวจปราจีนบุรี 7 คนกรณีโจทก์ถูกทำร้ายร่างกายบังคับให้รับสารภาพขณะเป็นเยาวชน 26 ก.ย. นี้

 
25 ก.ย. 2559 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งข่าวว่าศาลจังหวัดปราจีนบุรี ได้ไต่สวนมูลฟ้องนัดที่หก คดีอาญาหมายเลขดำที่ 925/2558 คดีที่นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องตำรวจ 7 คน ได้แก่เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.เมืองปราจีนบุรี 2 คน และเจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี 2 คน เป็นจำเลย ฐานร่วมกันกระทำความผิด ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ความผิดต่อร่างกาย และความผิดต่อเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200, 295, 305, 310, 391 ประกอบมาตรา 83, 91 สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่นายฤทธิรงค์ระบุว่าเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมไปทำร้ายร่างกายบังคับให้รับสารภาพในการไต่สวนมูลฟ้องนัดนี้ ศาลได้กำหนดนัดไต่สวนมูลฟ้องครั้งต่อไปในวันที่ 26 ก.ย. 2559  เวลา 13.30 น. ถึง 16.00 น.
 
ทั้งนี้การถามค้านนายฤทธิรงค์ของทนายความจำเลยทั้งเจ็ดเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2559 นัดต่อไปในวันที่ 26ก.ย. 2559 เป็นการถามติงของพยานโจทก์ ซึ่งทนายความโจทก์จึงทำการถามติงจากประเด็นที่โจทก์ได้เบิกความไปแล้วที่ผ่านมา ในคดีนี้ ขณะเกิดเหตุนายฤทธิรงค์เรียนมัธยมปลายถูกจับกุมและถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ ถูกถุงพลาสติกคลุมศีรษะให้ขาดอากาศหายใจหลายครั้ง ถูกขู่ฆ่า ถูกทำร้ายซ้ำๆ จนทนไม่ไหวจนสารภาพตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหา ปัจจุบันผู้ก่อเหตุการณ์ชิงทรัพย์ได้ถูกจับกุมและดำเนินคดีแล้ว อัยการสั่งไม่ฟ้องนายฤทธิรงค์ แต่พบว่าได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจ นอนไม่หลับ กลัวการออกจากบ้านคนเดียว ไม่ไว้ใจใคร พยายามเรียกร้องขอความเป็นธรรมหลายหน่วยงาน ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบถึงครอบครัว จึงได้นำคดีมาฟ้องต่อศาลให้ดำเนินคดีเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนวานรนิวาสร่วม 500 ค้านเหมืองโปแตซ หลัง'ไชน่าหมิงต๋า' จัดเวทีผู้รู้มาเล่า

$
0
0

ชาวบ้านวานรนิวาสร่วม 500 คน รวมตัวแสดงพลังค้านเวที “ผู้รู้มาเล่า” พร้อมยื่นหนังสือชี้กระบวนการสำรวจแร่ไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งสิ่งแวดล้อม ประชาชนในพื้นที่ไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ

25 ก.ย. 2559 เมื่อเวลา 08.00 น. ที่หอประชุมอำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร บริษัท ไชน่าหมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดเวทีเสวนา เรื่อง การสำรวจแร่โปแตช การพัฒนาแหล่งแร่ ให้กับ ข้าราชการ ผู้นำชุมชน และประชาชน โดย มี นักวิชาการเหมืองแร่ รองประธานสภาแร่ และ เจ้าหน้าที่ กพร. ในเวทีที่ใช้ชื่อว่า "ผู้รู้มาเล่า"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 08.00 น. เจ้าหน้าที่เข้ามาจัดเตรียมสถานที่ประชุม โดยมีโต๊ะสำหรับลงทะเบียนด้านหน้าหอประชุม เจ้าหน้าที่ ตำรวจในชุดปกติ และชุดปราบจราจล ประจำที่ สภ.วานรนิวาส ซึ่งอยู่ติดกับ ที่ว่าการอำเภอวานรนิวาสพื้นที่จัดงาน

ต่อมา 08.30 น. กลุ่มรักษ์วานรนิวาส และกลุ่มสำนึกรักษ์วานร เดินทางมารวมตัวกัน บริเวณที่จอดรถ ด้านหน้าหอประชุม เพื่อแสดงออกว่าไม่เอาเหมืองแร่โปแตช พร้อมกับปรบมือต้อนรับพี่น้องจากพื้นที่ 6 ตำบล ที่ทยอยเข้าร่วมสมทบอย่างต่อเนื่อง ขณะชาวบ้านบางส่วนที่ได้รับการติดต่อให้เดินทางมาร่วมเวที เกิดความกังวลว่าจะกลายเป็นการสนับสนุนการสำรวจแร่โปแตช ยืนยันว่ามาร่วม เพราะต้องการรับทราบข้อมูลไม่ต้องการให้มีเหมืองแร่โปแตช ในพื้นที่ จึงมีชาวบ้านบางส่วนเดินออกมาร่วมกับกลุ่มคัดค้าน

ต่อมา 09.00 น. ภายในหอประชุมประกาศเริ่มเวทีเสวนา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตั้งแถวเดินมาประจำการหน้า หอประชุม ด้านชาวบ้านกลุ่มคัดค้าน ยืนยันแสดงจุดยืนนอกหอประชุม ด้านตัวแทนชาวบ้านได้เข้าไปขอให้เจ้าหน้าที่นำเต็นท์มาตั้งให้ชาวบ้านด้านนอกที่ขอ ขยับเข้าไปที่หน้าประตูหอประชุม เพื่อจะสามารถรับฟังคำถามจากตัวแทนชาวบ้าน ที่เข้าไปแสดงความคิดเห็นในห้องประชุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ยอมตามข้อเสนอของชาวบ้าน

ต่อมา 10.00 น. ตัวแทนชาวบ้าน 3 คน ได้ตั้งคำถามกับวิทยากรบนเวทีเสวนา ถึงความกังวลต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และวิถีชีวิตของประชาชน พร้อมกับยืนยันเจตนารมณ์ของชาววานรนิวาส ว่าไม่ต้องการให้มีการสำรวจแร่โปแตช จากนั้น ตัวแทนได้ยื่นหนังสือ ขอให้ชี้แจงการสำรวจแร่โปแตช และทบทวนโครงการสำรวจแร่โปแตชที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่ ถึง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.)

00000

 

ที่ 1/2559 41

หมู่ 6 ต.วานรนิวาส อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร 47120

25 กันยายน 2559

เรื่อง ขอให้ชี้แจงการดำเนินการสำรวจโปแตช และทบทวนการสำรวจโปแตชในพื้นที่อำเภอวานรนิวาส ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน

เรียน อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่

เนื่องจาก เรากลุ่มสำนึกรักษ์บ้านเกิด และกลุ่มรักษ์อำเภอวานรนิวาส ประกอบด้วย ชาวบ้าน จาก 6 ตำบล คือ ตำบลธาตุ ตำบลวานรนิวาส ตำบลศรีวิชัย ตำบลนาคำ ตำบลขัวก่าย ตำบลคอนสวรรค์ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายในการสำรวจแร่โปแตช พวกเป็นผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากโครงการสำรวจแร่โปแตช และทำเหมืองแร่ในอนาคต แต่ประชาชนส่วนใหญ่พื้นที่กลับถูกปิดกั้นการมีส่วนร่วม และไม่มีอำนาจตัดสินใจในโครงการที่จะสร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตและชุมชน เพราะการอนุมัติอนุญาตในการดำเนินโครงการไม่ได้เกิดจากความต้องการของชุมชน และในขั้นการสำรวจแร่ก็เปิดให้ดำเนินการโดยไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนชาวอำเภอวานรนิวาส

ดังนั้น พวกเราชาวอำเภอวานริวาส ขอให้อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ชี้แจงการดำเนินการสำรวจโปแตช และทบทวนการสำรวจโปแตชในพื้นที่อำเภอวานรนิวาส ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และหากจะมีการดำเนินการเกี่ยวกับโครงการสำรวจแร่โปแตช ก็ขอให้ท่านส่งหนังสือแจ้งมายังกลุ่มสำนึกรักษ์บ้านเกิด และกลุ่มรักษ์อำเภอวานรนิวาสล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วันโดยขอให้ท่านชี้แจงกลับมายังกลุ่มฯ เป็นลายลักษณ์อักษร ภายใน 7 วัน

ด้วยความเคารพอย่างสูง

ตัวแทนกลุ่มสำนึกรักษ์บ้านเกิด และกลุ่มรักษ์อำเภอวานรนิวาส

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โพลล์สุดสัปดาห์: ประชาชนมองการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการไม่ค่อยมีความเป็นธรรม

$
0
0
'นิด้าโพลล์' เผยผลสำรวจประชาชนมองการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการไม่ค่อยมีความเป็นธรรม 'สวนดุสิตโพลล์' คนส่วนใหญ่กังวลน้ำท่วม อยากให้วางแผนป้องกันระยะยาว 'กรุงเทพโพลล์' ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนใช้ ม.44 ตรวจสอบคดีโครงการรับจำนำข้าว และควรเพิ่มบทลงโทษอย่างอื่นนอกเหนือจากการยึดทรัพย์ 'ซูเปอร์โพลล์' เผยคนยังพอใจการทำงานของ กกต. พร้อมเลือกพรรคการเมืองที่หนุน 'ประยุทธ์'

 
25 ก.ย. 2559 สำนักข่าวไอเอ็นเอ็นรายงานว่าศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพลล์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ” ระหว่างวันที่ 20 - 21 ก.ย. 2559 จากประชาชนที่เป็นข้าราชการประจำและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไปทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง โดยเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ พบว่า ประชาชน ร้อยละ 29.04 ระบุว่า ความสามารถและประสบการณ์ที่เหมาะสมกับตำแหน่งใหม่ รองลงมา ร้อยละ 25.68 ระบุว่า ความสามารถและผลงานที่ผ่านมา ร้อยละ 17.68 ระบุว่า ความอาวุโสในตำแหน่ง ร้อยละ 9.36 ระบุว่า ความรู้  
 
ทั้งนี้ เมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อความเป็นธรรมในการพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 39.92 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความเป็นธรรม รองลงมา ร้อยละ 34.00 ระบุว่า ค่อนข้างมีความเป็นธรรม ร้อยละ 11.04 ระบุว่า ไม่มีความเป็นธรรมเลย ร้อยละ 10.56 ระบุว่า มีความเป็นธรรมมาก โดยสำหรับความคิดเห็นต่อการใช้ระบบอุปถัมภ์หรือเส้นสายในการพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในหน่วยงาน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 35.68 ระบุว่า มีการใช้ระบบอุปถัมภ์หรือเส้นสายค่อนข้างบ่อย รองลงมา ร้อยละ 22.56 ระบุว่า ไม่ค่อยมีการใช้ระบบอุปถัมภ์หรือเส้นสาย ร้อยละ 22.00 ระบุว่า ไม่มีการใช้ระบบอุปถัมภ์หรือเส้นสายเลย ร้อยละ 15.60 ระบุว่า มีการใช้ระบบอุปถัมภ์หรือเส้นสายอย่างมาก 
 
นอกจากนี้ ความคิดเห็นต่อการใช้ระบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในการพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 40.16 ระบุว่า ไม่มีการใช้ระบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เลย รองลงมา ร้อยละ 21.76 ระบุว่า ไม่ค่อยมีการใช้ระบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ร้อยละ 19.92 ระบุว่ามีการใช้ระบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ค่อนข้างบ่อย ร้อยละ 8.32 ระบุว่า มีการใช้ระบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เป็นประจำ
 
โพลล์สวนดุสิต สำรวจเรื่องความกังวลน้ำท่วม ส่วนใหญ่กังวลน้ำท่วมบ้านเรือน ไร่นา อยากให้วางแผนป้องกันระยะยาว 
       
25 ก.ย. 2559 ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า “สวนดุสิตโพลล์” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ความวิตกกังวลของประชาชน ต่อสถานการณ์น้ำท่วม จากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายจังหวัดประสบปัญหาน้ำท่วม ประชาชนได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะความเสียหายของบ้านเรือน พื้นที่การเกษตร ตลอดจนเส้นทางสัญจรต่าง ๆ ขณะที่ทางภาครัฐและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือและขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารและประกาศเตือนภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งจากผลสำรวจจำนวนทั้งสิ้น 1,304 คน ระหว่างวันที่ 19 - 24 กันยายน 2559 สรุปผลได้ ดังนี้
       
       เมื่อถามว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ ประชาชนมีความวิตกกังวลในเรื่องใดบ้าง
       อันดับ 1ประชาชนได้รับความเดือดร้อน น้ำท่วมบ้านเรือน ไร่นา ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย 86.69%
       อันดับ 2อุบัติเหตุจากน้ำท่วม เส้นทางสัญจรถูกตัดขาด การจราจรติดขัด การเดินทางไม่สะดวก 80.54%
       อันดับ 3กลัวว่าจะมีฝนตกหนักลงมาอีก น้ำท่วมขัง ระบายไม่ทัน น้ำจากที่อื่นมาสมทบ 75.20%
       อันดับ 4ภัยหรือโรคที่มาจากน้ำ และสัตว์มีพิษ 66.81%
       อันดับ 5ปัญหาน้ำท่วมสร้างความเสียหายต่อภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ 64.03%
       
       เมื่อถามว่า ประชาชนอยากให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างไร?
       อันดับ 1ต้องวางแผนป้องกันระยะยาว มีการบริหารจัดการน้ำที่ดี มีพื้นที่รองรับน้ำเพียงพอ 82.14%
       อันดับ 2รัฐบาลควรสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับมือก่อนเข้าสู่หน้าฝน 78.85%
       อันดับ 3มีการแจ้งเตือน ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ถึงสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง 69.32%
       อันดับ 4มีบทลงโทษที่รุนแรงกับผู้กระทำผิด เช่น บุกรุกป่า ปลูกสร้างรุกล้ำพื้นที่ขวางทางน้ำ 67.16%
       อันดับ 5จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ติดตามเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง60.77%
       
       เมื่อถามว่า ประชาชนมีความมั่นใจต่อการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาลครั้งนี้มากน้อยเพียงใด?
       อันดับ 1ค่อนข้างมั่นใจ58.39%
       เพราะ มีบทเรียนจากน้ำท่วมที่ผ่านมา น่าจะศึกษาและหาทางป้องกันได้ดีขึ้น แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ฯลฯ
       อันดับ 2ไม่ค่อยมั่นใจ31.26%
       เพราะ ปัญหาน้ำท่วมเกิดขึ้นทุกปี มีฝนตกหนักต่อเนื่อง การให้ความช่วยเหลือดูแลตามพื้นที่ต่างๆอาจไม่ทั่วถึง ฯลฯ
       อันดับ 3มั่นใจมาก 5.98%
       เพราะ เชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล สั่งการเด็ดขาด ทำงานรวดเร็ว มีกองกำลังทหารให้การช่วยเหลือ ฯลฯ
       อันดับ 4ไม่มั่นใจ 4.37%
       เพราะ เป็นภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ ป่าไม้ลดลงและเสื่อมโทรมมาก การบริหารจัดการน้ำยังไม่ดี ฯลฯ 
 
กรุงเทพโพลล์เผยประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนใช้ ม.44 ตรวจสอบคดีโครงการรับจำนำข้าว และควรเพิ่มบทลงโทษอย่างอื่นนอกเหนือจากการยึดทรัพย์
 
เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2559 ที่ผ่านมาสำนักข่าวทีเอ็นเอ็นรายงานว่ากรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ประชาชนคิดเห็นอย่างไรต่อการดำเนินคดีโครงการรับจำนำข้าว” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,150 คน จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ มีผลดังนี้
 
ความเห็นต่อการใช้ มาตรา 44 ให้อำนาจกับกรมบังคับคดีในการตรวจสอบคดีโครงการรับจำนำข้าว พบว่า ประชาชน ร้อยละ 63.4 เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า จะทำให้ความจริงปรากฏเร็วขึ้น (ร้อยละ32.9) และทำให้การดำเนินคดีมีความคืบหน้าเร็วขึ้น (ร้อยละ 30.5) ขณะที่ร้อยละ 36.6 ไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า ควรให้ศาลยุติธรรมดำเนินคดีไปตามกระบวนการมากกว่า (ร้อยละ 25.4) และเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง (ร้อยละ 11.2)
 
สำหรับความเห็นต่อการออกคำสั่งให้มีการยึดทรัพย์กว่า 2 หมื่นล้าน จากผู้กระทำผิดโครงการรับจำนำข้าวในส่วนการซื้อขายข้าวแบบ จีทูจี ประชาชนร้อยละ 44.2 ระบุว่าควรเพิ่มบทลงโทษอย่างอื่น นอกเหนือจากการยึดทรัพย์ รองลงมา ร้อยละ 27.7 ระบุว่าเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายที่คุ้มค้าแล้ว และร้อยละ 14.8 ระบุว่าเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายที่น้อยไป
 
เมื่อถามว่า “กังวลหรือไม่ว่าผลจากการดำเนินคดีว่าจะมีการสร้างความปั่นป่วนหรือการปลุกระดม จากกลุ่มผู้ที่ไม่พอใจคำสั่งทางการปกครอง” ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.6 ระบุว่าไม่กังวล ขณะที่ร้อยละ 41.4 ระบุว่ากังวล
 
ด้านความเห็นต่อ การดำเนินคดี “โครงการรับจำนำข้าว”ว่าส่งผลต่อนักการเมืองและข้าราชการให้หยุดพฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชั่นมากน้อยเพียงใด ประชาชนร้อยละ 37.4 เห็นว่าส่งผลค่อนข้างมาก รองลงมาร้อยละ 23.5 เห็นว่าส่งผลมาก และร้อยละ 21.6 เห็นว่าส่งผลค่อนข้างน้อย
 
ส่วนความเห็นต่อ การดำเนินคดี “โครงการรับจำนำข้าว”ว่าส่งผลอย่างไรกับสังคมไทยนั้น ประชาชน ร้อยละ 35.3 ระบุว่าทำให้นักการเมืองตระหนักถึงความสุจริตในหน้าที่ รองลงมาร้อยละ 30.6 ระบุว่าทำให้ประชาชนคิดว่ากฎหมายสามารถเอาผิดนักการเมืองได้จริง และร้อยละ 21.9 ระบุว่าจะได้เป็นกรณีตัวอย่างสำหรับการเมืองไทย
 
สุดท้ายเมื่อถามความพึงพอใจต่อภาพรวมความคืบหน้าในการดำเนินคดี “โครงการรับจำนำข้าว” พบว่า ประชาชน ร้อยละ 33.1 พึงพอใจค่อนข้างมาก รองลงมาร้อยละ 29.2 พึงพอใจมาก และ ร้อยละ 27.1 พึงพอใจค่อนข้างน้อย
 
'ซูเปอร์โพลล์' เผยคนยังพอใจการทำงานของ กกต. พร้อมเลือกพรรคการเมืองที่หนุน 'ประยุทธ์'
 
เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2559 ที่ผ่านมา สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่าสำนักวิจัยซูเปอร์โพลล์ (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง ประชาชนคิดอย่างไรกับการรีเซ็ตคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.)
 
โดยถามถึงความพอใจของประชาชนต่อการทำหน้าที่ของ กกต. เมื่อคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า ประชาชนพอใจกับการทำหน้าที่ของ กกต.6.85 คะแนน เมื่อถามถึงความเป็นกลางในการทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้คะแนนถึง 6.45 คะแนน ที่น่าพิจารณาก็คือ ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 66.3 ระบุให้โอกาส กกต.ทำงานต่อไป ในขณะที่ประชาชนร้อยละ 33.7 ระบุควรรีเซ็ต ปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
 
นอกจากนี้ ประชาชนเกินครึ่งหรือร้อยละ 52.7 เห็นด้วยกับการมีหน่วยงานรัฐ อื่นๆ มาช่วยทำหน้าที่จัดการการเลือกตั้ง โดย กกต. เป็นผู้กำกับดูแล ในขณะที่ร้อยละ 47.3 ไม่เห็นด้วย
 
เมื่อถามว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า ประชาชนร้อยละ 34.8 ระบุพรรคการเมืองที่สนับสนุน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองลงมา คือ ร้อยละ 20.4 ระบุยังไม่คิดเลือกพรรคใดเลย และร้อยละ 17.4 ระบุพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 14.4 ระบุพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่ร้อยละ 13.0 ระบุเลือกพรรคอื่นๆ
 
นายนพดล กรรณิกา ประธานชมรมขับเคลื่อนวิชาการเพื่อวิจัยความสุขชุมชน และผู้อำนวยการซูเปอร์โพล กล่าวว่า วันนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงให้ความไว้วางใจการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และพร้อมสนับสนุนให้โอกาส กกต.ชุดปัจจุบันทำงานต่อไป และคะแนนความนิยมของสาธารณชนต่อ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา กำลังส่งผลลัพธ์ทำให้พรรคการเมืองใดๆ ที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี กลายเป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนตั้งใจจะเลือกตามไปด้วย
 
"จังหวะทางการเมืองแบบนี้ โดยทั่วไปสำหรับบางประเทศ ฝ่ายการเมืองจะใช้โอกาสนี้จัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ผลที่ตามมาคือ เสถียรภาพทางการเมืองบน ความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยจะต่อเนื่องยาวนานไปอีกระยะหนึ่ง" ผอ.ซูเปอร์โพล ระบุ
 
อนึ่ง ผลการสำรวจดังกล่าวมาจากความคิดเห็นของประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวน 2,215 ตัวอย่าง ดำเนินการระหว่างวันที่ 21 – 23 กันยายน 2559
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มาเลเซียส่งแรงงานผิดกฎหมายชาวพม่า 138 คนกลับประเทศ ตามนโยบายนิรโทษกรรม

$
0
0
แรงงานผิดกฎหมายชาวพม่า 138 คน ที่ถูกควบคุมตัวในมาเลเซียถูกส่งกลับประเทศแล้ว ยอดส่งกลับรวม 1,099 คน ยังเหลืออีก 2,294 คนในค่าย 11 แห่ง ปัจจุบันมาเลเซียกำลังเร่งนิรโทษกรรมแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย เส้นตาย 31 ธ.ค. 2559 ซึ่งหากไม่เข้าร่วมโครงการจะต้องถูกจับกุม ควบคุมตัวและส่งกลับประเทศ

 
 
ภาพประกอบแรงงานพม่าทำงานภาคก่อสร้างในปีนังประเทศมาเลเซียเมื่อปี 2552  (ที่มาภาพ: irinnews.org) 
 
25 ก.ย. 2559 สำนักข่าว Xinhuaรายงานว่าแรงงานชาวพม่า 138 คน ที่ถูกควบคุมตัวในมาเลเซียถูกส่งกลับประเทศแล้ว จากการรายงานของสื่อในพม่าเมื่อวันศุกร์ (23 ก.ย.) ที่ผ่านมา ซึ่งตามรายงานข่าวระบุว่าภายใต้ความช่วยเหลือจากองค์กรเอกชน 2 แห่ง พวกเขาได้รับเอกสารสำคัญประจำตัวแทนหนังสือเดินทาง และเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียกลับถึงย่างกุ้งเมื่อวันที่ 22 ก.ย. ด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำ 
 
การส่งกลับ 138 คนนี้ ทำให้ ณ ปัจจุบันมาเลเซียส่งแรงงานชาวพม่ากลับแล้วรวม 1,099 คน และยังเหลือแรงงานพม่าที่ถูกควบคุมตัวด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไปอีก  2,294 คน ในค่าย 11 แห่ง ทั่วประเทศมาเลเซียด้านกระทรวงแรงงาน, การย้ายถิ่น และประชากร ของพม่าระบุว่ากำลังร่วมมือกับมาเลเซียเพื่อในให้ความคุ้มครองแรงงานพม่าที่ไปทำงานยังมาเลเซีย
 
เร่งนิรโทษกรรมแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย เส้นตาย 31 ธ.ค. 2559 นี้
 
ปัจจุบันมาเลเซียอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการนิรโทษกรรมแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย (Rehiring and Relocation Illegal Immigrant Programme) ที่มีระยะเวลาเริ่มตั้งแต่ 15 ก.พ. 2559 จนถึง 31 ธ.ค. 2559 โดยเปิดโอกาสให้แรงงานต่างชาติผิดกฎหมายที่ทำงานในมาเลเซียที่อยู่เกินเวลาที่ได้รับอนุญาต (Overstay) ได้เสียค่าปรับ และจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงาน และได้รับใบอนุญาตทำงานอย่างถูกต้อง สำหรับแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายที่ไม่เข้าร่วมโครงการนิรโทษกรรมฯ รัฐบาลจะเร่งรัดจับกุมอย่างเข้มงวด ควบคุมตัวและส่งกลับประเทศ
 
ทั้งนี้คุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการนิรโทษกรรม แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. ประเภท A(i) แรงงานต่างชาติที่มีใบอนุญาตทำงานประเภท Visit Pass Temporary Employment แต่ใบอนุญาตฯ หมดอายุแล้ว แต่ยังคงทำงานต่อกับนายจ้างเดิม (ที่มีชื่อระบุในใบอนุญาตทำงาน) เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน และต้องครบ 6 เดือนก่อนวันที่ 15 ก.พ. 2559 (สรุปง่ายๆ คือ เข้ามาทำงานแบบถูกต้อง มี Work Permit แต่เมื่อ Work Permit หมดอายุแล้วไม่กลับประเทศ ยังทำงานกับนายจ้างรายเดิม) 2. ประเภท A(ii) แรงงานต่างชาติที่มีใบอนุญาตทำงานประเภท Visit Pass Temporary Employment แต่ใบอนุญาตฯ หมดอายุแล้ว และยังคงทำงานต่อ แต่ไม่ได้ทำงานกับนายจ้างรายเดิม โดยทำงานเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน และต้องครบ 6 เดือนก่อนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 (สรุปง่ายๆ คือ เข้ามาทำงานแบบถูกต้องมี Work Permit แต่เมื่อ Work Permit หมดอายุแล้วไม่กลับประเทศ และเปลี่ยนไปทำงานกับนายจ้างรายใหม่) และ 3. ประเภท B แรงงานต่างชาติที่ใช้วีซ่าท่องเที่ยว (Social Visit Pass) ทำงาน และ วีซ่าท่องเที่ยวหมดอายุก่อนวันที่ 1 ก.ย. 2558 โดยได้ทำงานกับนายจ้างปัจจุบันเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน และต้องครบ 6 เดือนก่อนวันที่ 15 ก.ย. 2559 (การเข้ามาทำงานแบบไม่มี Work Permit และอยู่เกินระยะเวลาที่อนุญาตให้เข้ามาท่องเที่ยว)
 
นอกจากนี้ มาเลเซียจะไม่อนุญาตให้บุคคลต่อไปนี้เข้าร่วมโครงการฯ (1) ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศมาเลเซียโดยไม่ได้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างถูกต้องและไม่มีเอกสารเดินทางที่ถูกต้อง (2) เคยมี Work Permit แต่หลบหนีนายจ้างรายเดิม (3) เคยมี Work Permit แต่หนังสือเดินทางหมดอายุ (4) ได้รับอนุมัติวีซ่าประเภทอื่น เช่น วีซ่านักศึกษา และ Employment Pass นอกจากนี้นายจ้างและลูกจ้างที่จะเข้าร่วมโครงการต้องเสียค่าปรับและผ่านหลักเกณฑ์มาตรฐานเช่นเดียวกับการจ้างงานแรงงานต่างชาติที่มีอยู่เดิม เช่น ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมจ้างงานแรงงานต่างชาติ (Levy) ต้องผ่านการตรวจสุขภาพ ไม่มีประวัติอาชญากรรม หรือไม่เคยลงทะเบียนโครงการนิรโทษกรรม (6P) เป็นต้น
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

TCIJ: ส่อง พ.ร.บ. งบประมาณ 2560 ก.ศึกษาธิการ 'ขอมากสุด-ถูกตัดมากสุด'

$
0
0
หลังร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2560 วงเงิน 2,733,000 ล้านบาท ผ่าน สนช.วาระ 3 พบ 5 อันดับแรกถูกตัดลดงบประมาณมากที่สุดคือ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการคลัง - ดูตัวอย่างโครงการที่ถูกตัดงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ 20 กระทรวง

 

 

เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2559 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ในวาระ 2 และ 3 วงเงิน 2,733,000 ล้านบาท หลังคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ได้พิจารณาแล้วเสร็จ โดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ ชี้แจงว่า คณะกรรมาธิการฯ ได้มีการปรับลดงบ ประมาณทั้งสิ้นจำนวน 17,980,242,800 บาท โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ แผนแม่บทระดับชาติ นโยบายสำคัญของรัฐบาล ยุทธศาสตร์การจัดการในการจัดสรรงบประมาณประจำปี ตลอดจนเป้าหมายในการดำเนินงาน ความคุ้มค่า ความพร้อม ศักยภาพในการดำเนินงาน รวมทั้งคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณในปีที่ผ่านมาประกอบการพิจารณาอย่างเข้มงวด คือ 1.โครงการหรือรายการที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือหมดความจำเป็น หรือได้ดำเนินการไปแล้ว  2.รายการที่มีเป้าหมายดำเนินงานที่ไม่ชัดเจน มีความจำเป็นน้อย มีค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนและไม่ประหยัด 3.รายการที่มีผลดำเนินการล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ และคาดว่าจะไม่สามารถใช้จ่ายได้ทันในปีงบประมาณ 2560  4.รายการงบประมาณต่างๆที่สามารถประหยัดได้ และ 5.รายการที่สามารถใช้เงินจากแหล่งอื่นนอกเหนือจากเงินงบประมาณ เช่น เงินรายได้หรือเงินสะสมที่เหลืออยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ และเงินรายได้จากกองทุน หรือเงินทุนหมุนเวียน เป็นต้น

ส่วนการปรับเพิ่มงบประมาณจำนวน 17,980,242,800 บาท เท่ากับจำนวนที่ปรับลดลง เพื่อจัดสรรให้ส่วนราชการกองทุน เงินทุนหมุนเวียน หน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล หน่วยองค์กรอิสระของรัฐ และงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกรณีมีความจำเป็น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง มีงบประมาณรองรับการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลในระยะต่อไป รวมทั้งเพื่อเตรียมการรองรับการดำเนินงานตามร่างกรอบยุทธศาสตร์ 20 ปีระหว่างปี 25560-2579 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 พ.ศ.25560-2564 นอกจากนี้คณะกรรมาธิการฯ ได้ให้มีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณปี 2560 รวมทั้งสิ้น 10,680,485,300 บาท  เนื่องจาก 3 หน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการ คือ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัย     สงขลานครินทร์ และราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้เปลี่ยนแปลงสถานะที่กฎหมายมีผลบังคับแล้ว และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปลี่ยนแปลงงบประมาณ แผนงานบุคลากรภาครัฐไปตั้งที่กรมการท่องเที่ยว (อ่านเพิ่มเติม ‘จับตา :  รายการเพิ่มงบประมาณจากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายงาน 2560’)

อนึ่งเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2559 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 แล้ว โดยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560  นี้จะเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2559 ถึงวันที่ 30 ก.ย. 2560

5 กระทรวงที่ถูกปรับลดงบประมาณมากสุด

ทั้งนี้พบว่า ภาพรวมงบประมาณนั้นเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ (ที่เข้าสู่การพิจารณาของ สนช. เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2559) กับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว (ที่ผ่านวาระ 2 และ 3 ไปเมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2559) พบว่า 5 กระทรวงแรกที่ถูกตัดงบประมาณมากที่สุดได้แก่ อันดับ 1 กระทรวงศึกษาธิการ เสนองบประมาณ 519,292,488,100 บาท ถูกปรับลด 1,642,046,600 บาท  อันดับ 2 กระทรวงกลาโหม เสนองบประมาณ 214,347,402,200 บาท ถูกปรับลด 1,092,485,400 บาท  อันดับ 3 กระทรวงสาธารณสุข เสนองบประมาณ 130,728,527,400 บาท ถูกปรับลด 965,888,000 บาท  อันดับ 4 สำนักนายกรัฐมนตรี เสนองบประมาณ 32,605,173,000 บาท ถูกปรับลด 944,590,400 บาท และอันดับ 5 กระทรวงการคลัง เสนองบประมาณ 218,633,124,100 บาท ถูกปรับลด 902,869,900 บาท

 

ตัวอย่างงบประมาณที่น่าสนใจของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ถูกปรับลด

ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ที่ สนช. เห็นชอบผ่านวาระ 3 ไปเมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2559 ที่ผ่านมานั้น พบหลายโครงการของหลายหน่วยงานของบไม่ผ่านสักบาทเดียวตัวอย่างเช่น สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ของบประมาณโครงการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ตำบลในการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้และการเรียนรู้ตลอดชีวิตในระดับตำบล ไป 8,000,000 บาท ถูกปรับลดงบไปทั้ง 8,000,000 บาท  เป็นต้น (ที่มาภาพประกอบ: sukho.nfe.go.th)

เช่นเดียวกับปีก่อนหน้านี้ ที่ส่วนใหญ่แล้วพบว่างบประมาณของของกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ถูกปรับลดมักจะเป็นงบประมาณค่าดำเนินงาน ค่าที่ดินและก่อสร้าง งบประมาณด้านการจัดซื้อครุภัณฑ์และยานพาหนะ ค่าใช้จ่ายไปราชการต่างประเทศชั่วคราว ค่าใช้จ่ายสัมมนาและอบรม ค่าโฆษณาและเผยแพร่ เป็นต้น (อ่านย้อนหลัง: เปิดร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย 2559 พบ ก.ศึกษาฯ ถูกปรับลดสูงสุดกว่า 3 พันล้าน) โดยใน ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 พบกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ มีงบประมาณที่น่าสนใจถูกปรับลด ดังตัวอย่าง เช่น

หน่วยงานสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เสนองบประมาณเงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนรัฐบาล ก.พ. 1,409 ทุน 1,474,170,000 บาท ถูกปรับลด 68,308,000 บาท สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนองบประมาณโครงการปรับปรุงการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2583 และการศึกษาแนวทางและรูปแบบการจัดทำการคาดประมาณประชากรระดับพื้นที่ 3,000,000 บาท ถูกปรับลดทั้ง 3,000,000 บาท  กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนองบประมาณโครงการปฏิบัติงานตามแผนการขับเคลื่อนงานด้านมวลชน กอ.รมน. 30,000,000 บาท ถูกปรับลด 3,360,000 บาท สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ของบประมาณค่าใช้จ่ายดำเนินงานศูนย์สร้างสรรค์ออกแบบไป 77,942,800 บาท ถูกปรับลดไป 13,100,000 บาท และงบประมาณการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้และการเรียนรู้ตลอดชีวิตในระดับตำบล ของบประมาณไป 8,000,000 บาท ถูกปรับลดงบไปทั้ง 8,000,000 บาท สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ของบประมาณการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ไป 81,100,100 บาท ถูกตัดงบประมาณไป 16,457,000 บาท เป็นต้น

หน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหม สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ของบประมาณโครงการการเทิดทูนป้องกัน รวมทั้งตอบโต้และทำความเข้าใจมิให้มีการล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ 18,675,200 บาท ถูกปรับลด 700,000 บาท  การถวายความปลอดภัย การถวายพระเกียรติและปฏิบัติตามพระราชประสงค์ 501,515,100 บาท ถูกปรับลด 82,200 บาท กองทัพบกของบประมาณดำเนินงานค่าตอบแทนพิเศษทหารกองประจำการ 4,903,399,800 บาท ถูกปรับลด 27,640,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างกองทัพ 18,418,045,100 บาท ถูกปรับลด 691,913,000 บาท กองทัพเรือของบประมาณ ค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างกองทัพ 1,341,920,000 บาท ถูกปรับลด 6,203,200 บาท และกองทัพอากาศของบประมาณ ค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างกองทัพ 7,677,724,800 บาท ถูกปรับลด 101,171,300 บาท เป็นต้น

หน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลัง กรมศุลกากรของบประมาณจัดโครงการจริยธรรมสัญจร 1,882,000 บาท ถูกปรับลดทั้ง 1,882,000 บาท สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะงบประมาณการชำระคืนเงินยืมเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ 2,500,000,000 บาท ถูกปรับลด 500,000,000 บาท เป็นต้น

หน่วยงานสังกัดกระทรวงการต่างประเทศ สำนักปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ของบประมาณค่าใช้จ่ายในการยกระดับความเป็นอยู่ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาร์ 5,000,000 บาท ถูกปรับลด 1,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการเปิดสถานกงสุล 30,000,000 ล้านบาท ถูกปรับลดทั้ง 30,000,000 ล้านบาท โครงการทูตเพื่อประชาชน เสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศและบริหารด้านการต่างประเทศของบประมาณ 313,376,100 บาท ถูกปรับลด 6,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย 92,000,000 บาท ถูกปรับลด 6,000,000 บาท เป็นต้น

หน่วยงานสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนองบค่าใช้จ่ายในการอำนวยการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวถูกหลอกลวงและช่วยเหลือนักท่องเที่ยว 50,060,500 บาท ถูกปรับลด 5,060,500 บาท ค่าใช้จ่ายการจัดงานวันท่องเที่ยวโลก 5,000,000 บาท ถูกปรับลด 3,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับข้อตกลงอาเซียนด้านหลักสูตรอาเซียน MRA เสนอไป 4,000,000 บาท ถูกปรับลดทั้ง 4,000,000 บาท กรมการท่องเที่ยว เสนองบค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการจัดมหกรรมประเพณีวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว 92,500,000 บาท ถูกปรับลด 69,500,000 บาท เป็นต้น

หน่วยงานสังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ของบประมาณเงินอุดหนุนเครือข่ายองค์กรสตรีและสถาบันครอบครัว 9,000,000 บาท ถูกปรับลด 1,000,000 บาท กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการขอเงินอุดหนุนสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง 609,966,500 บาท ถูกปรับลด 106,000,000 บาท กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการของบประมาณค่าใช้จ่ายในการจ้างศึกษาวิเคราะห์การพัฒนาหน่วยจัดบริการล่ามภาษามือ 1,500,000 บาท ถูกปรับลดทั้ง 1,500,000 บาท สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เสนองบประมาณการพัฒนาที่อยู่อาศัยชั่วคราวกรณีไฟไหม้ไล่รื้อ 27,000,000 ล้านบาท ถูกปรับลด 7,522,500 บาท งบประมาณสนับสนุนบ้านพอเพียงชนบท 224,977,500 บาท ถูกปรับลด 22,477,500 บาท เป็นต้น

หน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาชนบทเชิงพื้นที่ประยุกต์ตามแนวพระราชดำริ 12,000,000 บาท ถูกปรับลด 3,000,000 บาท กรมปศุสัตว์เสนองบประมาณโครงการความร่วมมือไทย-ลาว เพื่อพัฒนาห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยโรคสัตว์ 1,000,000 บาท ถูกปรับลดทั้ง 1,000,000 บาท เป็นต้น

หน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคมของบประมาณโครงการจัดนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ตามแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ.2558-2565 ส่งเสริมพัฒนาความรู้ด้านการคมนาคมขนส่งและความปลอดภัย 20,000,000 บาท ถูกปรับลด 10,000,000 บาท เป็นต้น

หน่วยงานสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของบประมาณค่าใช้จ่ายในการสร้างความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่เพื่อรองรอบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 60,800,000 บาท ถูกปรับลด 4,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน 6,500,000 บาท ถูกปรับลด 1,000,000 บาท กรมทรัพยากรน้ำ ของบประมาณค่าใช้จ่ายในการพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านทรัพยากรน้ำ 7,964,400 บาท ถูกปรับลด 5,300,000 บาท สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของบประมาณโครงการจัดทำแผนการปรับตัวต่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ (พื้นที่ลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) 6,000,000 บาท ถูกปรับลดทั้ง 6,000,000 บาท โครงการจัดทำแผนการคุ้มครองระบบนิเวศเกษตรที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นในพื้นที่ภาคเหนือ 4,000,000 บาท ถูกปรับลดทั้ง 4,000,000 บาท เป็นต้น

หน่วยงานของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานสถิติแห่งชาติของบประมาณค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการพัฒนาชุดข้อมูลเพื่อติดตามการระดมทุนเพื่อการพัฒนาติดตามมติคณะรัฐมนตรี 11,678,800 บาท ถูกปรับลด 1,072,000 บาท เป็นต้น

หน่วยงานของกระทรวงพลังงาน กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติของบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมสำหรับสถานประกอบกิจการปิโตรเลียมดีเด่น (SHE Award) 3,830,000 บาท ถูกปรับลดทั้ง 3,830,000 บาท กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานของบประมาณค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคคลากรด้านการอนุรักษ์พลังงานในอาคารประเภทโรงพยาบาลขนาดกลางและขนาดเล็ก 3,400,000 บาท ถูกปรับลดทั้ง 3,400,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการสำรวจความเหมาะสมพื้นที่เป้าหมายในการสนับสนุนเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่นอกสายส่งและประเมินผลโครงการระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ 5,341,000 บาท ถูกปรับลดทั้ง 5,341,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการประเมินวัฏจักรชีวิตของการผลิตไฟฟ้าขยะชุมชนในประเทศไทย 4,959,200 บาท ถูกปรับลดทั้ง 4,959,200 บาท เป็นต้น

หน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายในเสนองบประมาณค่าใช้จ่ายในการเพิ่มศักยภาพมาตรฐานคุณภาพการผลิตของโรงงานปลาป่น 3,000,000 บาท ถูกปรับลด 2,000,000 บาท กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเสนองบประมาณค่าใช้จ่ายในการจัดทำเขตการค้าเสรี 127,015,700 บาท ถูกปรับลด 15,000,000 บาท เป็นต้น

หน่วยงานของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยเสนองบประมาณค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์การพัฒนาตามแนวทางพระราชดำริและเทิดทูลไว้ซึ่งสถาบัน 8,786,800 บาท ถูกปรับลด 1,364,000 บาท กรมการปกครองเสนองบประมาณค่าใช้จ่ายในการขับเคลื่อนแผนแม่บทของกรมการปกครองต่อประชาคมอาเซียน 45,600,000 บาท ถูกปรับลด 42,867,000 บาท กรมบรรเทาสาธารณภัยของบประมาณอุดหนุนสงเคราะห์ราษฎรประสบภัยธรรมชาติและสาธารณภัยอื่น ๆ  เป็นต้น

หน่วยงานสังกัดกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ของบประมาณค่าอยู่เวรรักษาการณ์ผู้คุมผู้ต้องขัง 863,976,000 บาท ถูกปรับลด 20,000,000 บาท  เป็นต้น

หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน สำนักปลัดกระทรวงแรงงาน เสนอค่าใช้จ่ายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของแรงงานไทยในต่างประเทศ 2,200,000 บาท ถูกปรับลด 1,600,000 บาท ค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการมหกรรมหนึ่งทศวรรษ คนดีจิตอาสา พัฒนาแรงงาน 2,000,000 บาท ถูกปรับลดทั้ง 2,000,000 บาท กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ของบประมาณค่าใช้จ่ายในการพัฒนาฝีมือและศักยภาพแรงงานกลุ่มเครือข่ายแรงงานนานาชาติ 29,340,000 บาท ถูกปรับลด 9,340,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการเพิ่มผลิตภาพแรงงานไทย 67,500,000 บาท ถูกปรับลด 19,600,000 บาท กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานของบประมาณค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างความรู้รูปแบบสวัสดิการแรงงานอาเซียน 4,300,000 บาท ถูกปรับลด 2,000,000 บาท  เป็นต้น

หน่วยงานของกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมของบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 21,000,000 บาท ถูกปรับลด 3,000,000 ค่าใช้จ่ายในการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมศานุวงศ์ 120,000,000 บาท ถูกปรับลด 20,000,000 บาท กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเสนองบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสื่อการเรียนรู้วัฒนธรรมอาเซียน 16,000,000 บาท ถูกปรับลด 5,000,000 บาท สำนักงานศิลปวัฒธรรมร่วมสมัยเสนอค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยเพื่อเทิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์ 15,000,000 บาท ถูกปรับลด 7,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาอัตลักษณ์อาหารไทยสู่สากล 8,000,000 บาท ถูกปรับลดทั้ง 8,000,000 บาท  เป็นต้น

หน่วยงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเสนอค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความตระหนักและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ด้านนิวเคลียร์และรังสี 5,200,000 บาท ถูกปรับลด 1,000,000 บาท  เป็นต้น

หน่วยงานสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เสนองบประมาณเงินอุดหนุนโครงการทุนการศึกษาหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน 812,500,000 บาท ถูกปรับลด 50,509,900 บาท เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 4,324,945,600 บาท ถูกปรับลด 116,453,000 บาท เงินอุดหนุนค่าหนังสือเรียน 582,265,000 บาท ถูกปรับลด 116,453,000 บาท สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเสนองบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 39,509,861,000 บาท ถูกปรับลด 275,710,200 บาท ค่าอุปกรณ์การเรียน 2,732,427,500 บาท ถูกปรับลด 34,790,900 บาท ค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน 4,619,348,900 บาท ถูกปรับลด 59,866,200 บาท ค่าจัดการเรียนการสอน  24,160,226,500 บาท ถูกปรับลด 181,053,100 บาท สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเสนองบประมาณเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ ร.ร.เอกชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 11,310,000 บาท ถูกปรับลด 10,410,000 บาท  เป็นต้น

หน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนองบประมาณเงินอุดหนุนเป็นทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาอาจารย์พยาบาล 115,600,000 บาท ถูกปรับลด 15,000,000 บาท เงินอุดหนุนพัฒนารูปแบบการคัดกรองและระบบการดูแลผู้ป่วยพยาธิใบไม้ในตับและมะเร็งท่อน้ำดีในพื้นที่ 27 จังหวัด 54,000,000 บาท ถูกปรับลด 24,000,000 บาท กรมการแพทย์เสนองบประมาณเงินอุดหนุนเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการทางการแพทย์ 56,377,000 บาท ถูกปรับลด 4,000,000 บาท กรมสุขภาพจิตเสนองบประมาณค่าใช้จ่ายในการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยโรคจิตและซึมเศร้า 20,300,000 บาท ถูกปรับลด 1,500,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงในสังคม 7,146,000 บาท ถูกปรับลด 1,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตผู้ต้องขังจิตเวชในเรือนจำ 7,800,000 บาท ถูกปรับลด 1,000,000 บาท  เป็นต้น

หน่วยงานสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเสนองบประมาณเงินอุดหนุนเฉพาะกิจค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลอย่างครบวงจร 97,000,000 บาท ถูกปรับลด 2,800,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องแต่งกายมุสลิม 12,500,000 บาท ถูกปรับลด 2,500,000 บาท กรมโรงงานอุตสาหกรรมเสนองบประมาณค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 31,865,800 บาท ถูกปรับลด 6,616,200 บาท  เป็นต้น

หมายเหตุ : อ่านรายละเอียดรายการปรับลดงบประมาณทั้งหมด จากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ได้ที่ [1] และ [2]

อ่าน 'จับตา': “รายการเพิ่มและเปลี่ยนแปลง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายงาน 2560"
http://www.tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=6429

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 58141 articles
Browse latest View live




Latest Images