Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 58138 articles
Browse latest View live

'สมานฉันท์แรงงาน' ค้านมติบอร์ดค่าจ้าง ชี้ปรับขึ้นไม่สอดคล้องค่ากินค่าอยู่

$
0
0

'บอร์ดค่าจ้าง' จ่อเสนอครม.ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 4 กลุ่มจังหวัด ตั้งแต่ 'ไม่ขึ้น' ถึง 10 บ. ด้าน 'สมานฉันท์แรงงาน' ค้านมติบอร์ดค่าจ้าง ชี้ปรับขึ้นไม่สอดคล้องค่ากินค่าอยู่ วอนรัฐบาลทบทวน ก.แรงงานมั่นใจปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนี้สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล

20 ต.ค. 2559 จากกรณีที่วานนี้ ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ชุดที่ 19 ครั้งที่ 9/2559 ว่า คณะกรรมการค่าจ้างได้ประชุมพิจารณาการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ประจำปี 2560 โดยใช้สูตรการคำนวณใหม่ ซึ่งเพิ่มปัจจัยชี้วัดทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมกว่า 10 รายการ โดยได้แบ่งค่าจ้างเป็น 4 กลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มที่ไม่ขึ้นเลย จนถึงขึ้น 10 บาท ซึ่งจะนำผลสรุปของคณะกรรมการค่าจ้างเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนจะประกาศบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2560 ต่อไป (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) นั้น

วันนี้ (20 ต.ค.59) มติชนออนไลน์รายงานว่า ชาลี ลอยสูง รักษาการประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวถึงผลการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำ ของคณะกรรมการค่าจ้างว่า ทาง คสรท.และพี่น้องแรงงานต่างไม่พอใจ เพราะผลที่ออกมาทำให้เสียความรู้สึก เนื่องจาก 1.มีจังหวัดที่ไม่ได้ปรับค่าจ้าง หนำซ้ำจังหวัดที่ได้ปรับสูงสุดเพียง 10 บาท ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน และจังหวัดที่ไม่ปรับก็หนักไปอยู่ทางภาคใต้ ความจริงไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะภาคใต้มีความเป็นอยู่ลำบาก ไม่ควรไปกดค่าจ้าง ไม่เพิ่มเลย

“รัฐบาลบอกว่าจะพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และจะเอาเศรษฐกิจไปลงสามจังหวัดภาคใต้ แต่กลับไม่เพิ่มค่าแรงให้คนในจังหวัด แสดงว่าจะทำให้เป็นจังหวัดที่มีค่าแรงต่ำสุดหรือไม่อย่างไร  แบบนี้มองได้หลายมุม เราจึงสงสัยว่าทำไมไม่ปรับให้เท่ากันทั่วประเทศ หากจะปรับ 10 บาท ก็ควรทุกจังหวัดเท่ากันก็ยังดีกว่าปรับขึ้น 5 บาท 8 บาท 10 บาท ไม่เท่ากันแต่ละจังหวัดอีก ปรับแบบนี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ค่าครองชีพ ค่ากินค่าอยู่ จะทำอะไรได้” ชาลี กล่าว

ชาลีกล่าวอีกว่า 2.น่าสังเกตว่ามีการพิจารณาหลักเกณฑ์ใหม่ 10 รายการระบุกว้างๆ แต่ไม่มีรายละเอียด ซึ่งหากเป็นไปได้ควรจะชี้แจงว่า จังหวัดที่ไม่ปรับได้คะแนนเท่าไร และเกณฑ์คืออะไร และแต่ละข้อใครเป็นผู้พิจารณา นักวิชาการคนไหน ไปเอาตัวไหนเป็นตัวตั้งในการพิจารณา ซึ่งเรื่องแบบนี้มีคนตั้งข้อสังเกตเยอะ คนก็มองเรื่องความยุติธรรมหรือไม่ 3.ในเมื่อใช้คณะอนุกรรมการจังหวัดเป็นเครื่องมือมาตั้งแต่ต้น และมีการเสนอก่อนหน้านั้นว่าควรปรับ 13 จังหวัดในอัตรา 4 บาทไปจนถึง 60 บาท แต่พอมาถึงขั้นคณะกรรมการค่าจ้างกลับไม่ได้เอาข้อเสนอจากคณะอนุกรรมการจังหวัดเลย แบบนี้จะมีไปทำไม

“อย่างกรณีปรับขึ้น 5 บาท หากคิดจริงๆ ผ่านมา 5 ปีเพิ่งจะมาปรับค่าจ้าง ดังนั้น เราคิดเฉลี่ยแล้วตกปีละ 1 บาทเอง  ถามว่าปรับเพิ่มปีละ 1 บาท ถูกต้องหรือไม่ เครือข่ายแรงงานจะมีการหารือกัน และจะทำหนังสือร้องไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อแรงงานทุกคน” ชาลี กล่าว

ก.แรงงานมั่นใจปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนี้สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล

ด้าน สุทธิ สุโกศล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงแรงงาน ยันว่า ขั้นตอนการพิจารณาการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ประจำปี 2560 ทุกขั้นตอนภายใต้คณะกรรมการค่าจ้าง ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบด้านแล้ว ซึ่งข้อมูลทุกอย่างได้ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดแต่ละจังหวัด ที่มีผู้แทนทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างด้วยแล้ว รวมทั้งผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรอง สำหรับการพิจารณาครั้งนี้ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจไปกำหนดแนวทางเพื่อใช้สูตรการคำนวณใหม่ ซึ่งเพิ่มเติมตัวชี้วัดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อาทิ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในปัจจุบัน ดัชนีชี้วัดค่าครองชีพ อัตราค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อในปี 2558 - 2559 มาตรฐานค่าเฉลี่ยค่าครองชีพ ต้นทุนการผลิตราคาสินค้าและบริการ ความสามารถในการประกอบธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ (จีดีพี) คำนวณจากปี 2553 - 2557 รวมทั้งคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ขณะเดียวกันได้ศึกษาค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศเพื่อนบ้านด้วย

ทั้งนี้ ขั้นตอนต่อไปกระทรวงแรงงานจะนำผลสรุปของคณะกรรมการค่าจ้างดังกล่าว เสนอ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จากนั้นรัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงานจะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนจะออกประกาศให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2560 ต่อไป จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2560 นี้สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล รวมทั้งระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวม

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสม.ชี้ใช้ความรุนแรงต่อผู้ถูกกล่าวหาหมิ่นฯถือว่าละเมิดสิทธิ ตร.สระแก้วจับหนุ่มวัย 18 ตั้งข้อหาโพสต์หมิ่นฯ

$
0
0

ปธ.คณะกรรมการสิทธิฯ เตือนด่าหรือทำร้าย ใช้ความรุนแรงกับผู้ถูกกล่าวหาหมิ่นสถาบันเป็นการละเมิดสิทธิฯ แนะหากคิดว่าผิดก็ไปแจ้งความ ขณะที่ ตร.สระแก้วจับหนุ่มวัย 18 ตั้งข้อหาโพสต์หมิ่นสถาบัน เจ้าตัวอ้างเมากัญชา

วัส ติงสมิตร ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 

20 ต.ค. 2559 วัส ติงสมิตร ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์ประชาชนใช้ความรุนแรงกับคนที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายหมิ่นสถาบันนั้นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิทำอย่างนั้นเพราะต้องให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ใครทำผิดก็ไปแจ้งความ หรือจะช่วยเจ้าหน้าที่จับกุมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะไปด่า ไปทำร้ายเขาไม่ได้ เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่เองก็ยังไม่มีอำนาจทำร้ายเขา สิ่งเหล่านี้ขอให้ประชาชนช่วยระมัดระวัง เพราะการใช้อารมณ์ความรู้สึกจะทำให้เกิดปัญหาได้

ตร.สระแก้วจับหนุ่มวัย 18 ตั้งข้อหาโพสต์หมิ่นสถาบัน เจ้าตัวอ้างเมากัญชา

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์และ ข่าวสดออนไลน์รายงานด้วยว่า จากกรณีที่ศูนย์ 191 ตำรวจสระแก้ว ได้รับแจ้งจากประชาชนว่าชายคนหนึ่งโพสต์ในเฟซบุ๊กเข้าข่ายดูหมิ่นสถาบัน จึงตรวจสอบและพบว่ามีการกระทำดังกล่าว ก่อนประสานไปยัง สภ.วัฒนานคร และส่งเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเจ้าของเฟซบุ๊คดังกล่าว เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 19 ต.ค. หลังจากโพสต์ข้อความไปเพียง 4 ชม. โดยเป็นเยาวชน อายุ 18 ปี 

จากการสอบถามเบื้องต้นยังให้การปฎิเสธ โดยอ้างว่า มีคนอื่นแอบเอาไปเล่น เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจค้นภายในห้องพักพบกัญญา จำนวน 26 ห่อเล็ก น้ำหนัก 25.44 กรัม จึงได้ควบคุมตัวมาสอบเพื่อขยายผลเพิ่มเติม จนกระทั่งเวลาประมาณ 01.00 น. ผู้ต้องหาจำนนต่อหลักฐานจึงยอมรับสารภาพว่าเป็นคนโพสข้อความหมิ่นสถาบันในเฟซบุ๊กของตัวเอง ที่ใช้ชื่อว่า “เคี๊ย อ๊อฟ” จริง โดยอ้างว่าเนื่องจากเมากัญชา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ภจว.สระแก้ว จึงนำส่ง พ.ต.ท กตัญญู พงเกาะ สว.(สอบสวน) สภ.วัฒนานคร ดำเนิคดีในข้อหา มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 

ต่อมาเช้าวันที่ 20 ต.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหามาส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสระแก้ว พื้นที่ที่พบการกระทำผิดดำเนินคดีหมิ่นฯ ตามข้อความมีโพสข้อความในเฟซบุ๊กหลายข้อความ โดยได้ประชุมแนวทางดำเนินคดีร่วมฝ่ายทหาร ตาม ม.112  ที่ สภ.เมืองสระแก้ว ต่อไป 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ธนะศักดิ์ โชว์ตัวเลขท่องเที่ยวครึ่งปีนี้โต 12-16% คาดปมทัวร์จีนกระทบระยะสั้น

$
0
0

พล.อ.ธนะศักดิ์ระบุท่องเที่ยว ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการขยายตัว 12-16% ช่วงนี้นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางมาไทยตามปกติ มั่นใจจะมีนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 32 ล้านคน ยันจัดงานลอยกระทงปกติแต่งดการแสดงคอนเสิร์ต มหรสพและการจัดประกวดนางนพมาศ 

<--break- />

พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี

20 ต.ค. 2559 พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ระบุที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทย ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการขยายตัว 12-16% ดีขึ้นตามลำดับ และช่วงนี้นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางมาไทยตามปกติ โดยทั้งปียังมั่นใจว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 32 ล้านคน 

สำหรับการจัดระเบียบบริษัททัวร์จีน พล.อ.ธนะศักดิ์ มองว่า จะส่งผลกระทบในระยะสั้น ที่ทำให้บริษัททัวร์ชะลอการขายแพ็คเกจทัวร์ เนื่องจากกำลังปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานด้านราคาและคุณภาพการให้บริการใหม่ จึงมีผลทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลง 
 
พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า ในการประชุมในวันนี้ยังได้ติดตามความก้าวหน้าการประชุมคณะประสานงานความร่วมมือในการกำกับดูแลการท่องเที่ยวไทย-จีน ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 13-14 ตุลาคม 2559 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน แนวทางความร่วมมือด้านการพัฒนา Digital Tourism กับ Alibaba Group รวมถึงการจัดระเบียบด้านการท่องเที่ยว การจัดทำระบบประกันภัยสำหรับท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (Tourism for all) 
 
ส่วนการขับเคลื่อนงานด้านนโยบายและยุทธศาตร์ที่สำคัญในวันนี้ที่ประชุมจะพิจารณาแผนปฏิบัติการพัฒนาความร่วมมือในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเชื่อมโยง 2 ฝั่งแม่น้ำโขงเลย-ลาว หรือ สี่เหลี่ยมวัฒนธรรมล้านช้าง และพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2560-2564) ซึ่งคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ได้มีมติเห็นชอบตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา

พล.อ.ธนะศัก ยืนยันด้วยว่า การจัดงานเทศกาลลอยกระทงประจำปีนี้ ยังคงดำเนินไปตามปกติทุกพื้นที่ เพื่อสืบสานประเพณีอันดีงามของไทยในการขอขมาพระแม่คงคา เพียงแต่ขอความร่วมมือให้งดจัดการแสดงคอนเสิร์ต มหรสพและการจัดประกวดนางนพมาศ ส่วนการแสดงแสงสีและบรรยากาศของเทศกาลลอยกระทงยังคงจัดได้ตามปกติ

 

เรียบเรียงจาก สำนักข่าวไทย และกรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จันทบุรี ปชช.ล้อมหญิงวัยกลางคน หลังถูกกล่าวหาว่าเขียนหมิ่นฯ ในสมุดลงนาม

$
0
0

20 ต.ค. 2559 ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า เมื่อเวลา 08.00 น. ร.ต.อ.อภิชาติ โกเนตรสุวรรณ ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี ได้รับแจ้งจาก ชยุต อภิรักษ์อัตรา ประธานชุมชนย่อยที่ 4 ว่า จับหญิงวัยกลางคนหลังเขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูงในสมุดลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมารับตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย
       
หลังรับแจ้ง ร.ต.อ.อภิชาติ โกเนตรสุวรรณ ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ ได้รุดไปที่เกิดเหตุ เมื่อเดินทางไปถึงพบชาวบ้านได้ยืนล้อมกรอบหญิงวัยกลางคนเอาไว้ พร้อมกับนำหลักฐานที่หญิงวัยกลางคนได้เขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูงในสมุดลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ชาวชุมชนย่อยที่ 4 ได้ตั้งสมุดลงนามถวายความอาลัยให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความอาลัยไว้ภายในชุมชนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดู ซึ่งสร้างความไม่พอใจ และความโมโหให้แก่ชาวบ้านชุมชนย่อยที่ 4 เป็นอย่างมาก ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ควบคุมตัวหญิงวัยกลางคนไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะถูกชาวบ้านรุมทำร้าย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
       
ชยุต อภิรักษ์อัตรา ประธานชุมชนย่อยที่ 4 กล่าวว่า ตนเองได้ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมายังจุดที่ลงนามถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเห็นหญิงวัยกลางคนกำลังนั่งเขียนข้อความอยู่ในสมุดลงนามพอดี ซึ่งตนเองเข้าใจว่าเป็นประชาชนทั่วไปมาลงนามเฉยๆ จากนั้นตนเองก็ไปเลือกผ้า หลังไปไม่นานก็ได้มีเจ้าของบ้านที่อยู่ใกล้กับจุดลงนามว่า มีใครไม่รู้ที่ลงนามคนสุดท้ายมาเขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูง ตนเองจึงได้ขี่รถจักรยานยนต์ตามหา และก็พบหญิงวัยกลางคนเดินอยู่จึงได้เข้าไปสอบถามชื่อหญิงวัยกลางคน แต่หญิงวัยกลางคนไม่บอก กับบอกแก่ตนเองว่า จะทำไม ซึ่งตนเองเลยถามว่าคุณเขียนอะไรไปที่สมุดลงนาม หญิงวัยกลางคนบอกแล้วจะทำไม ตนเองจึงได้เรียกชาวบ้านให้ช่วยกันจับหญิงวัยกลางคน ก่อนที่จะโทร.แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมารับตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าว 

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันเดียวกัน ที่ จ.สระแก้ว เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวเยาวชน อายุ 18 ปี พร้อมตั้งข้อหาโพสข้อความหมิ่นสถาบันในเฟซบุ๊กของตัวเอง รวมทั้งดำเนิคดีในข้อหา มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนเจ้าตัวอ้างว่าเนื่องจากเมากัญชา  (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อังกฤษอนุมัติข้อตกลงขั้นสุดท้ายของ Brexit ต้องผ่านขั้นตอนรัฐสภา

$
0
0

หลังจากการเรียกร้องของนักการเมืองในอังกฤษ ทางการอังกฤษก็ยอมรับให้รัฐสภามีส่วนร่วมในการอภิปรายและลงมติข้อตกลงการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในขั้นตอนสุดท้าย แต่นายกฯ อังกฤษก็ประกาศว่าไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ถึงขั้นลงมติยกเลิกไม่ออกจากอียู แต่เป็นแค่การอภิปรายเนื้อหาข้อตกลง กระนั้นก็ทำให้ฝ่ายสนับสนุนอียูสามารถแก้ข้อตกลงที่ไม่พอใจได้

(ซ้าย) ผลการลงประชามติของสหราชอาณาจักรเรื่องการแยกตัวจากสหภาพยุโรป เมื่อ 23 มิถุนายน 2559 โดยแบ่งตามพื้นที่ภูมิศาสตร์ (ขวา) ธงยูเนียนแจ็กของสหราชอาณาจักร คู่กับธงของสหภาพยุโรป ที่อาคารแห่งหนึ่งของลอนดอน ที่มาของภาพประกอบ: 1) Mirrorme22/Nilfanion/Wikipedia และ 2) Dave Kellam/Flickr/Wikipedia (CC.BY-SA 2.0)

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา ส.ส. อาวุโสของอังกฤษที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการจัดการเรื่องการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษหรือ 'เบร็กซิท' (Brexit) เปิดเผยว่ารัฐสภาของอังกฤษมีสิทธิในการลงมติเพื่ออนุมัติหรือคัดค้านข้อตกลงการออกจากสมาชิกภาพอียูของอังกฤษในขั้นตอนสุดท้าย

ดิอินดิเพนเดนต์รายงานว่าเป็นครั้งแรกที่ทางการอังกฤษออกมาเปิดเผยว่ารัฐสภาอังกฤษมีสิทธิ์ในการปฏิเสธข้อตกลงเบร็กซิทซึ่งทางการอังกฤษระบุว่ามี "ความเป็นไปได้สูง" ที่ ส.ส. อังกฤษจะได้โหวตลงมติในสภาในประเด็นนี้ถ้าหากการเจรจาให้ถอดถอนข้อตกลงนี้

เทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษปฏิเสธมาโดยตลอดในเรื่องที่จะให้รัฐสภาอังกฤษลงมติในเรื่องนี้ได้ เมย์เปิดเผยว่าเธอจะประกาศใช้กฎหมายมาตรา 50 ภายในช่วงเดือน มีนาคม ปี 2560 เพื่อดำเนินการให้มีกระบวนการอภิปรายกันถึงเรื่องกระบวนการออกจากสมาชิกภาพอียูในระหว่าง 2 ปีหลังจากนั้น แต่ก็ปฏิเสธว่าการลงมติในสภาจะไม่เป็นไปเพื่อล้มเลิกข้อตกลงการออกจากสมาชิกภาพอียู เราะจะขัดกับรัฐธรรมนูญ

ส.ส. อาวุโสจากพรรคอนุรักษ์สายสนับสนุนอียูนิยมรายหนึ่งกล่าวว่าความเป็นไปได้ที่จะมีการโหวตเรื่องนี้ในสภาถือเป็น "ชัยชนะสำหรับผู้ที่เชื่อในสิทธิของรัฐสภาในฐานะผู้เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง"

ทางด้านฮิลลารี เบนน์ ส.ส. ฝ่ายค้านจากพรรคแรงงานอังกฤษผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการพิจารณาเรื่องเบร็กซิทกล่าวว่ามันเป็นเรื่องที่ "ไม่สามารถเข้าใจได้" ถ้าหากส.ส.อังกฤษจะไม่มีการลงมติในข้อตกลงสมาชิกภาพอียู เบนน์ยังให้สัมภาษณ์กับวิทยุบีบีซีอีกว่ารัฐสภาอังกฤษจะเป็นผู้พิจารณาแผนการหารือเรื่องเบร็กซิทและจะมีบทบาทในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของข้อตกลงด้วย

"มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้ถ้าหากรัฐสภาจะไม่สามารถใช้อำนาจอธิปไตย... ในการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อตกลงซึ่งเป็นการต่อรองที่ซับซ้อนหลังมีการบรรลุข้อตกลงแล้ว" เบนน์กล่าว

ก่อนหน้านี้ยังมีการดำเนินการทางกฎหมายในเรื่องที่รัฐบาลอังกฤษไม่อนุญาตให้รัฐสภาลงมติกันก่อนที่จะมีการใช้กฎหมายมาตรา 50 ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ส.ส. อังกฤษอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเบร็กซิทในบางด้านที่พวกเขาไม่พอใจได้

 

เรียบเรียงจาก

British parliament must have vote on final Brexit deal: senior lawmaker, Reuters, 20-10-2016

Brexit could be halted after Government admits MPs likely to have final say, The Independent, 20-10-2016

Parliament will get a vote on Brexit treaty, Theresa May confirms, The Telegraph, 18-10-2016

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยิ่งลักษณ์ห่วงคดีจำนำข้าว คิดถึงเรื่อง 'กำไร-ขาดทุน' รัฐบาลต่อไปจะดูแลปชช.ยากขึ้น

$
0
0

ยิ่งลักษณ์ เข้ารับฟังการสืบพยานจำเลยนัดที่ 5 ในคดีข้อกล่าวหาทุจริตจำนำข้าว พร้อมปฏิเสธจ่ายค่าเสียหายคดีละเมิด 3 หมื่นล้านยืนยัน ไร้ความยุติธรรม ขณะที่ประชาชนแต่งกายด้วยชุดสีดำชูป้ายให้กำลังใจ 

ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก TV24 สถานีประชาชน

21 ต.ค. 2559 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมทนาย เดินทางมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อขึ้นสืบพยานฝ่ายจำเลยนัดที่ 5 ในคดีโครงการรับจำนำข้าว ด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยมีบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) และอดีตส.ส. และสมาชิกพรรค ร่วมให้กำลังใจ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 1 กองร้อย ทั้งนี้ทันทีที่ ยิ่งลักษณ์ มาถึง ประชาชนซึ่งวันนี้ได้แต่งกายด้วยชุดสีดำชูป้ายให้กำลังใจ โดยไม่ได้ส่งเสียงเชียร์

มติชนออนไลน์รายงานว่า  ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าศาลกรณีกระทรวงการคลังส่งคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายในคดีโครงการรับจำนำข้าวกว่า 35,000 ล้านบาทว่า ได้รับหนังสือทางปกครองแล้วเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ส่วนจะทำอย่างไรต่อไปนั้น ขอเรียนว่าในช่วงที่คนไทยกำลังโศกเศร้าจะยังไม่ขอแถลงการณ์ใดๆ จนกว่าจะถึงเวลาอันควร ซึ่งการออกคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมกับตนเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องนโยบายและยังไม่เคยมีใครถูกกระทำในเวลาอันเร่งรีบมาก่อน

“ดิฉันขอยืนยันจะใช้สิทธิทุกช่องทาง ทางกฎหมายที่มีในการต่อสู้ครั้งนี้ และขอปฏิเสธข้อกล่าวหาต่างๆ รวมถึงการใช้คำสั่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นธรรม และจะเปิดแถลงการณ์ในเวลาอันควร เพราะเป็นช่วงที่คนไทยทั้งประเทศโศกเศร้า เราคิดว่าเราคงจะไม่พูดอะไรมากในตอนนี้” ยิ่งลักษณ์ กล่าว

ยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า อีกทั้งการดำเนินคดีนี้จะทำให้การบริหารนโยบายเพื่อชาวนาเป็นไปด้วยความยากลำบาก เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง การคิดถึงเรื่องกำไร ขาดทุน รัฐบาลต่อไปคงจะดูแลประชาชนและชาวนาได้ยากขึ้น และมาตรการต่างๆ คงจะไม่สามารถมีได้อีกต่อจากนี้

ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการพิจารณาค่าเสียหายตั้งแต่ต้น หลังจากนี้จะแถลงการณ์ในวัน และเวลาที่เหมาะสม

Voice TVรายงานด้วยว่า สำหรับวันนี้ ทนายความจำเลยเบิกตัวพยาน 2 ปากขึ้นแก้ข้อกล่าวหา ประกอบด้วย วรวิทย์ จำปีรัตน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ขึ้นเบิกความยืนยันกระบวนการประเมินความคุ้มค่าของโครงการต่ออดีตคณะรัฐมนตรี และ เกษม มกราภิรมย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบาย และกำกับการบริหารหนี้สาธารณะในขณะนั้น ขึ้นเบิกความการควบคุมวินัยทางการคลัง ในช่วงที่รัฐบาลกู้เงินในทุกฤดูกาลผลิต
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เจรจานัด 8 'สหภาพฯ-ธ.กรุงเทพ' ขอ พนง.มีโอกาสเท่าเทียมเลือกตั้ง กก.ลูกจ้าง

$
0
0
สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพขอธนาคารให้การเลือกตั้งกรรมการลูกจ้างดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย เปิดกว้างให้พนักงานทั่วประเทศมีโอกาสเท่าเทียมกัน ในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นกรรมการลูกจ้างด้วย

 
21 ต.ค. 2559 สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพแจ้งต่อสมาชิกสหภาพแรงงานว่าในการเจรจาเปลี่ยนแปลงข้อตกลงสภาพการจ้างประจำปี 2559 ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่  19 ต.ค. 2559 ที่ผ่านมานั้น สืบเนื่องจากการเจรจาครั้งที่ 7 เรื่องที่ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพแรงงาน ให้ธนาคารเปิดเผยผลตอบแทนจากการจำหน่าย Product ต่าง ๆ ของธนาคาร ยังเป็นประเด็นที่ทีมเจรจาฝ่ายธนาคารรวบรวมข้อมูลเพื่อความชัดเจนและนำมาแจ้งให้พนักงานทราบต่อไป
 
สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับตัวเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโบนัส, เงินช่วยเหลือหลังเกษียณ 200,000 บาท, ปรับฐานเงินเดือน 10%, และเพิ่มเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฝ่ายนายจ้าง 10% ได้รับการยืนยันจากตัวแทนเจรจาฝ่ายธนาคารว่าต้องรอรายละเอียดของข้อมูลให้รอบด้านเพื่อนำเสนอต่อผู้มีอำนาจตัดสินใจ อันจะมีผลการเจรจาได้รวดเร็วขึ้น ส่วนกรณีที่มีประกาศเรื่อง เลือกตั้งคณะกรรมการลูกจ้าง ซึ่งลงนามโดยกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ฉบับลงวันที่ 10 ต.ค. 2559 ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพแรงงาน ได้ท้วงติงว่าการเลือกตั้งกรรมการลูกจ้างนั้นควรดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายและเปิดกว้างให้พนักงานทั่วประเทศมีโอกาสเท่าเทียมกัน ในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นกรรมการลูกจ้างในครั้งนี้ด้วย
 
นอกจากนี้ในการเจรจาตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพแรงงานได้เสนอให้ตัวแทนเจรจาฝ่ายธนาคาร พิจารณาแจกเสื้อสีดำให้แก่พนักงานทุกคน เพื่อแสดงความไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
 
 
เรื่องที่เกี่ยวข้อง:

เจรจานัด 6-7 สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพระบุปัญหา OT ยังไม่ได้แก้
เจรจานัด 5 'สหภาพ-ธนาคารกรุงเทพ' ไม่อยากให้ พนง. ซื้อผลิตภัณฑ์เองหากไม่เข้าเป้า
'สหภาพ-ธ.กรุงเทพ' เจรจานัด 4 สหภาพชี้ควรเพิ่มค่าตอบแทนให้ 'พนง.ตัวแทนซื้อขายกองทุน' ด้วย
สหภาพแรงงาน ธ.กรุงเทพ เผยธนาคารจะเปลี่ยนเครื่องแบบพนักงานหญิงใหม่

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดูเตอร์เตประกาศแยกทางความสัมพันธ์ฟิลิปปินส์-สหรัฐอเมริกา

$
0
0

ในระหว่างการเยือนจีนของผู้นำฟิลิปปินส์ 'โรดริโก ดูเตอร์เต' ประกาศแยกทางจากสหรัฐอเมริกาที่เป็นชาติพันธมิตรยาวนาน ขณะที่จีนเสนอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้ 15 ล้านเหรียญจะใช้บำบัดผู้ใช้ยาเสพติด ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาต้องการคำอธิบายจากคำกล่าวของดูเตอร์เต

ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เต และประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง พบกันเมื่อ 20 ตุลาคม 2559 (ที่มาของภาพ: Xinhua/Li Xueren)

21 ต.ค. 2559 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ผู้นำฟิลิปปินส์ประกาศระหว่างเยือนจีนว่า เขาแยกจากสหรัฐที่เป็นพันธมิตรยาวนานกับฟิลิปปินส์ โดยถ้อยแถลงของประธานาธิบดีดูเตอร์เตมีขึ้นภายหลังได้พบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่งวันนี้ ซึ่งผู้นำทั้งสองให้คำมั่นจะเพิ่มความเชื่อมั่น และความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้มากยิ่งขึ้น

โดยดูเตอร์เตกล่าวว่า เขาขอประกาศการแยกตัวจากสหรัฐ สหรัฐไม่ได้ควบคุมชีวิตของพวกเรา

ในรายงานของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยการออกมากล่าวในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังการเดินทางเยือนจีน 4 วันของ ดูเตอร์เตเพื่อเข้าพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการยืนยันการแยกตัวจากรัฐบาลสหรัฐไปเข้าหาจีน ด้านสี จิ้นผิง เรียกฟิลิปปินส์ว่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่อีกฝั่งของทะเล และไม่มีเหตุผลที่จะต้องเป็นปฏิปักษ์กันหรือเผชิญหน้ากัน

ด้าน จอห์น เคอร์บี้ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐไม่สามารถอธิบายถึงการกล่าวของ ดูเตอร์เตได้ และกำลังหาคำอธิบายของ ดูเตอร์เตว่า ทำไม ดูเตอร์เตถึงใช้คำว่าแยกตัวออกจากสหรัฐ เนื่องจากเจ้าหน้าที่อาวุโสในรัฐบาลสหรัฐกล่าวว่า ทางการฟิลิปปินส์ยังไม่มีการส่งคำขออย่างเป็นทางการเพื่อปรับเปลี่ยนความร่วมมือกับทางรัฐบาลสหรัฐ

ในรายงานของอัลจาซีราโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ฮวา ชุนยิง แถลงว่าทั้ง 2 ประเทศมีการลงนามข้อตกลงทวิภาคี 13 ฉบับ

ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของฟิลิปปินส์ รามอน โลเปซ ระบุว่า ในสัปดาห์นี้จะมีการลงนามความร่วมมือระหว่าง 2 ฝ่าย คิดเป็นมูลค่า 1.35 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

ขณะที่สำนักงานโทรคมนาคมฟิลิปปินส์ระบุว่า ฝ่ายจีนเสนอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมูลค่า 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดย 1 ใน 3 จะเป็นแหล่งเงินกู้จากธนาคารเอกชน นอกจากนี้เงินกู้มูลค่า 15 ล้านเหรียญสหรัฐจะใช้บำบัดผู้ป่วยยาเสพติด 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลิกมโน ผู้ว่าฯนนท์ แจงหญิงสาวเสื้อสีส้มลงนามไว้อาลัยเป็นผู้ป่วยทางจิต

$
0
0

หลังกระแสวิจารณ์ความเหมาะสมหญิงสวมเสื้อสมลงนามไว้อาลัย รวมทั้งจินตนาการเป็น 'ลูกเกด NDM' ไปจนถึงแผนล่อให้คนมาทำร้าย ล่าสุด ผู้ว่าฯ นนทบุรี แถลงยืนยันจากการตรวจสอบ เธอเป็นผู้ป่วยทางโรคจิตเฉียบพลัน

21 ต.ค. 2559 จากกรณีมีผู้นำภาพผู้หญิงใส่เสื้อสีส้มลงนามไว้อาลัยในหลวง ที่ศาลากลางหลังเก่าจังหวัดนนทบุรี โพสต์ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม รวมทั้งมีผู้พยายามเชื่อมโยงว่าเธอเป็น ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด สมาชิกกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) จน ชลธิชา ต้องเดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรพุทธมณฑล นครปฐม โดยยืนยันว่าบุคคลเสื้อส้มในภาพนั้นไม่ใช่ตนเองและตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับการกระทำดังกล่าว (อ่านรายละเอียด) นั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ที่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี นิสิต จันทร์สมวงศ์ ผวจ.นนทบุรี สุธี ทองแย้ม รอง ผวจ. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุศักดิ์ ปรักกมะกุล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี และ นพ.สรวุฒิ เกษมสุข จิตแพทย์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ร่วมกันแถลงข่าวข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ดังกล่าว ระบุว่า ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมทั้งจิตแพทย์ได้ไปยังบ้านหญิงสาวรายนี้ที่บ้านพัก พบว่า เป็นผู้ป่วยทางโรคจิตเฉียบพลัน (Acute and Transient Psychotic Disorders) โรคจิตในกลุ่มนี้มีลักษณะหลากหลายแตกต่างกัน (Heterogenous) โดยอาการทางจิตเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย อาการหลงผิด ประสาทหลอน การรับรู้ผิดปกติและพฤติกรรมผิดปกติ เบื้องต้นทางจังหวัดนนทบุรีได้ส่งคณะจิตแพทย์ติดตามดูแลบุคคลดังกล่าวแล้ว 

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า กรณีผู้หญิงใส่เสื้อสีส้มนี้นอกจากมีการพยายามโยงกับ ชลธิชา แล้ว ยังมีความพยายามโยงว่า เธอ เข้ามากระทำการดังกล่าวเพื่อหวังให้คนมาทำร้ายหรือใช้ความรุนแรงกับเธอ โดย เพจการ์ตูนอย่าง 'เผาหัว' ยังมีการวาดภาพในลักษณะนี้ด้วย

ที่มา เพจ เผาหัว

  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลปกครองสงขลาสั่งสำนักนายกฯ ชดเชย 'รายู ดอคอ' 3 แสน กรณีถูกซ้อมทรมาน-ละเมิด

$
0
0

ศาลปกครองสูงสุดสงขลาพิพากษาคดีให้สำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นหน่วยงานกำกับดูแล กอ.รมน.จ่ายเงินสินไหมทดแทนจำนวน 348,588 บาทแก่ผู้ฟ้องคดีรายู ดอคอ กรณีถูกซ้อมทรมาน-ละเมิด-ทำให้หวาดกลัว ซึ่งขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องมีอายุเพียง 18 ปี

19 ต.ค. 2559 ศาลปกครองสงขลาอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดกรณี รายู ดอคอ ผู้ฟ้องคดี ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน จากกระทรวงกลาโหม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1, กองทัพบก ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 กรณีการละเมิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เนื่องจากผู้ฟ้องคดีถูกเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 39 นำกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมากไปปิดล้อม ตรวจค้น จับกุมและควบคุมตัวน รายู ดอคอ พร้อมกับอิหม่ามยะผา กาเซ็ง นำตัวไปแถลงข่าวว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ และแถลงว่ารายู ฆ่าผู้อื่น โดยไม่เป็นความจริง ซึ่งในขณะนั้นผู้ฟ้องคดีมีอายุเพียง 18 ปี

โดยศาลปกครองสูงสุดพิจารณายกฟ้อง กระทรวงกลาโหม กองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 โดยให้สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 เป็นผู้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทั้งหมดให้แก่ผู้ฟ้องคดี เนื่องจากสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ฟ้องคดีเป็นจำนวนรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 303,120 บาท พร้อมดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ทำละเมิดตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2551 ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2553 คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 45,468 บาท รวมเป็นเงินที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ต้องชดใช้ให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสิ้น 348,588 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 303,120 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งค่าสินไหมชดเชยทั้งหมดมีรายละเอียดดังนี้

  • ค่าเสียหายต่อร่างกายและอนามัย ผู้ฟ้องคดีถูกเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทำร้ายร่างกายในระหว่างการควบคุมตัว โดยใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 11 คดีนี้การที่ผู้ฟ้องคดีถูกเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 39 สังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 จับกุมและร่วมกันทำร้ายร่างกาย ซ้อมและทรมานผู้ฟ้องคดีที่ขณะนั้นมีอายุเพียง 18 ปี เพื่อบังคับให้รับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบฯ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและไม่เห็นชอบด้วยกฎหมาย ทั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 39 ทำร้ายร่างกายผู้ฟ้องคดีจริงในระหว่างควบคุมตัว เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงของการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 และสภาพความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีได้รับ กำหนดให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ เป็นเงิน 100,000 บาท
     
  • ค่าเสียหายจากการได้รับทุกขเวทนาต่อจิตใจ ระหว่างการควบคุมตัวนั้นเจ้าหน้าที่ได้มีการร่วมกันทำร้ายร่างกาย ซ้อมและทรมานผู้ฟ้องคดีเป็นเวลาหลายชั่วโมงทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับอันตรายแก่กาย มีบาดแผลฟกช้ำที่หน้าอก เอว หลัง ข้อเท้า มีเลือดคั่งที่ซอกเล็บ ปัสสาวะขัด เจ็บบริเวณหน้าอก ซึ่งสอดคล้องกับผลการตรวจชันสูตรบาดแผลแพทย์ รพ.ค่ายอิงคยุทธบริหาร และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ไม่ได้โต้แย้งในข้อเท็จจริงตามที่ผู้ฟ้องได้กล่าวอ้าง ประกอบกับยะผา กาเซ็งที่ถูกควบคุมตัวพร้อมกันกับผู้ฟ้องคดีได้ถูกทำร้ายร่างกายและต่อมานายยะผาถึงแก่ความตายในระหว่างควบคุมตัว ทำให้ผู้ฟ้องคดีมีความหวาดกลัวต่อชีวิต ทั้งมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้ฟ้องคดีที่มีวุฒิภาวะเป็นผู้เยาว์ยังไม่บรรลุนิติภาวะศาลพิจารณาให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ เป็นเงิน 50,000 บาท
     
  • ค่าเยียวยาความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิต และร่างกาย ตามมาตรา 32 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาระยะเวลาที่ผู้ฟ้องคดีถูกควบคุมตัวจนถึงได้รับการปล่อยตัวเป็นจำนวน 26 วัน นั้นเป็นการควบคุมตัวที่เกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดโดยไม่มีเหตุจำเป็นและการควบคุมตัวผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้เยาว์ร่วมกับผู้ใหญ่ ตลอดจนมีการทำร้ายร่างกาย ทรมาน ทารุณกรรม หรือลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายไร้มนุษยธรรมต่อผู้ฟ้องคดีและบุคคลอื่นที่ควบคุมพร้อมกัน โดยที่ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถต่อสู้เพื่อป้องกันตนเองตลอดจนการจับกุมควบคุมตัวผู้ฟ้องคดี เมื่อเทียบกับความเสียที่ผู้ฟ้องคดีได้รับจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 เป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญรับรองไว้ เจ้าหน้าที่ของรัฐพึงต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้มาตรการเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุร้ายแรง ดังนั้นศาลพิจารณาให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท
     
  • สำหรับค่าเสียหายต่อชื่อเสียง เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏชัดแจ้งหรือมีคำพิพากษาของศาลว่าผู้ฟ้องคดีกระทำความผิดตามที่กล่าวหาจริง แต่การลงข่าวโดยระบุว่าผู้ฟ้องคดีกับพวกที่ถูกควบคุมตัวพร้อมกันเป็นผู้ต้องสงสัยกลุ่มก่อความไม่สงบ และมีพยานผู้เสียหายชี้ตัวผู้ฟ้องคดีว่าเป็นคนใช้อาวุธปืนยิงนายธนากร ภูรัตนโรจน์ และสื่อมวลชนนำความดังกล่าวไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันเผยแพร่ไปทั่วประเทศ มีผลต่อสิทธิส่วนบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ เมื่อผู้ฟ้องคดีถูกปล่อยตัวแล้ว ก็ไม่สามารถกลับไปรับจ้างกับนายจ้างคนเดิมและไม่มีผู้ใดว่าจ้าง ด้วยเหตุที่มีการลงข่าวแพร่หลาย และไม่ปรากฏว่าหลังจากการปล่อยตัวผู้ฟ้องคดี เจ้าหน้าที่ได้มีการแก้ข่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดี กรณีนี้ศาลพิจารณาให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 50,000 บาท
     
  • ค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้ ก่อนที่ผู้ฟ้องคดีจะถูกควบคุมตัว ผู้ฟ้องคดีมีอาชีพรับจ้างกรีดยางและรับจ้างทั่วไป รายได้วันละประมาณ 120 บาท นับแต่วันที่ถูกกระทำละเมิดวันที่ 19 มีนาคม 2551 เป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปี จากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้ฟ้องคดีถูกจับเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2551 ต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2551 มารดาผู้ฟ้องคดีได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรรือเสาะ ว่าผู้ฟ้องคดีถูกทำร้าย และถูกควบคุมตัวอีกเป็นระยะเวลา 22 วัน รวมระยะเวลาผู้ฟ้องคดีถูกควบคุมตัว 26 วัน ถือเป็นระยะเวลาที่ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ เห็นสมควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ เป็นเงิน 3,120 บาท

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดีเดย์ 25 ต.ค.นี้ รถตู้วิ่งกรุงเทพฯ-ตจว. เข้าใช้สถานีขนส่งฯ

$
0
0

คณะกรรมการจัดระเบียบรถตู้ฯ ย้ำดำเนินงานตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ วิ่งเส้นกรุงเทพฯ – ต่างจังหวัด ไม่เกิน 300 กม. เข้าใช้สถานีขนส่งฯ ในวันที่ 25 ต.ค.นี้ มีชัตเตอร์บัสบริการ BTS จตุจักร – หมอชิต2, อนุสาวรีย์ฯ –  หมอชิต2, เอกมัย และ ปิ่นเกล้า ฝ่าฝืนโทษปรับถึงเพิกถอนใบอนุญาต

21 ต.ค. 2559 พ.อ.สุวิทย์ เกตุศรี รองผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะเข้าใช้สถานีขนส่งจตุจักร ,สายใต้ ,เอกมัย  กล่าวว่า การดำเนินงานจัดระเบียบรถตู้เป็นไปตามแผนและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้รถตู้ประจำทาง หมวด 2 วิ่งเส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ ไปยังต่างจังหวัด ระยะทางไม่เกิน 300 กิโลเมตร เข้าใช้พื้นที่สถานีขนส่งฯ ทั้ง 3 แห่ง ในวันที่ 25 ต.ค.นี้ และเพื่อให้การจัดระเบียบรถตู้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้จัดตั้งศูนย์ติดตามการปฏิบัติในการนำรถตู้โดยสารสาธารณะ หมวด 2 เข้าสถานีขนส่งผู้โดยสารทั้ง 3 แห่ง อำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการและผู้ประกอบการรถตู้ จำนวน 5 ศูนย์ โดยศูนย์หลักตั้งอยู่ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) 

นพรัตน์ การุณยะวนิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริหารการเดินรถ บขส. กล่าวว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีนโยบายจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ และเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบรถร่วม บริษัท ขนส่ง จำกัด พ.ศ. 2547 ข้อ 42,75 ขอให้ผู้ประกอบการรถตู้โดยสารสาธารณะ (รถร่วม) ทุกราย ที่จำหน่ายตั๋วอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และบริเวณอื่น ๆ นอกสถานีขนส่ง ย้ายเข้ามาจำหน่ายตั๋วบริเวณที่กำหนด และนำรถเข้ารับ-ส่งผู้โดยสารภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร, เอกมัย, สายใต้ปิ่นเกล้า) ภายในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ พร้อมห้ามจำหน่ายตั๋วบริเวณใต้ทางด่วน ด้านหน้าสถานีฯ และพื้นที่โดยรอบสถานีฯ หากไม่ปฏิบัติหรือละเลยการปฏิบัติตาม บขส. จะพิจารณาลงโทษตามระเบียบขั้นสูงสุดต่อไป

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรถตู้ที่จะนำรถเข้ามาวิ่งให้บริการที่สถานีขนส่งผู้โดยสารต้องนำหลักฐานประกอบด้วย บัตรประจำรถและบัตรประจำตัวผู้ขับขี่ ซึ่งออกโดยบริษัท ขนส่ง จำกัด มาแสดงเพื่อซื้อใบเวลา ให้เรียบร้อยก่อน จึงจะนำรถออกวิ่งให้บริการได้ ซึ่งการออกใบวิ่งจะช่วยให้ บขส. สามารถควบคุมดูแลเรื่องความปลอดภัย ทั้งพนักงานขับรถ และตัวรถได้ 

สำหรับผู้ใช้บริการที่ต้องการเดินทางไปยังสถานีขนส่งผู้โดยสารทั้ง 3 แห่ง องค์กรขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้นำรถ ชัตเตอร์บัส มาวิ่งให้บริการรับส่ง เส้นทาง อนุสาวรีย์ – หมอชิต 2 , รถไฟฟ้า BTS จตุจักร – หมอชิต 2 จำนวน 9 คัน ,เส้นทางอนุสาวรีย์ – เอกมัย จำนวน 4 คัน และเส้นทางอนุสาวรีย์ – ปิ่นเกล้า จำนวน 4 คัน โดย ขสมก. พร้อมปรับเปลี่ยนจำนวนเที่ยวรถรถโดยสารเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการต่อไป

ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการรถตู้โดยสารสาธารณะไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายมีโทษตั้งแต่ปรับ 5,000 บาท หรือถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการเดินรถ เพื่อให้เป็นไป ตามนโยบาย คสช.

 

ที่มา เพจ บขส. และ สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย #127 ตามหาอนุสาวรีย์รำลึก 6 ตุลา 19

$
0
0

หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ยังอยู่ในชุดรำลึก 40 ปี 6 ตุลาคม 2519 โดย ชานันท์ ยอดหงษ์ และเจนวิทย์ เชื้อสาวะถี ออกตามหาตำแหน่งแห่งที่ของความทรงจำรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทำให้พบว่านอกจากประติมากรรมด้านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และป้ายชื่อห้อง 'จารุพงษ์ ทองสินธุ์' เพื่อรำลึกถึงนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ก็ไม่มีอนุสาวรีย์ หรือความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับ 6 ตุลาคม 2519 ที่ริเริ่มโดยรัฐบาล

นอกจากนี้ยังมีกรณีศึกษาของเยอรมนี ที่มีอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรป และอนสุรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงการข่มเหงคนรักเพศเดียวกันในยุคนาซี โดยอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นนี้เกิดขึ้นในบริบทที่รัฐบาลเยอรมนีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยอมรับผิดในสิ่งที่รัฐบาลยุคนาซีก่อขึ้นด้วย ในขณะที่กรณีของไทย รัฐบาลยังไม่เคยยอมผิดต่อเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และยังมีการนิรโทษกรรมผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ด้วย

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่

https://www.facebook.com/maihetpraphetthai หรือ

https://www.youtube.com/playlist?list=PLyjd9jzMpO2Xby4FyxWMwY8auIFY01eVQ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พรเพชร สัมมนาแนะนำบทบาท 33 สนช.ใหม่ รอง.ปธ.ชี้ทำหน้าที่แบบไม่มีพรรคแต่เป็นกลุ่มเดียวกัน

$
0
0

ประธาน สนช. เปิดสัมมนาเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ 33 สนช. ใหม่ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทอำนาจหน้าที่ รองประธาน สนช. ระบุถึงการเข้ามาทำหน้าที่แบบไม่มีพรรคแต่เป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย 

<--break- />

ภาพจาก  วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา

21 ต.ค. 2559 พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ สนช.ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ จำนวน 33 คน ซึ่งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการ สนช. จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทอำนาจหน้าที่ จริยธรรมของสมาชิก การดำเนินการเกี่ยวกับสวัสดิการ การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามที่มีอยู่จริงในวันที่เข้ารับตำแหน่งหรือวันที่พ้นจากตำแหน่งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมทั้งสิทธิประโยชน์และการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิก สนช.

พรเพชร ยังได้กำชับต่อสมาชิกถึงภารกิจสำคัญด้านนิติบัญญัติ โดยเฉพาะการเข้ามาทำหน้าที่ในช่วงนี้ที่จะต้องพิจารณากฎหมายจำนวนมาก ทั้งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ กฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูป กฎหมายที่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) วางไว้

ขณะที่ พีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช. คนที่ 2 ปาฐกถาพิเศษเรื่องจริยธรรมของสมาชิก โดยระบุถึงการเข้ามาทำหน้าที่แบบไม่มีพรรคแต่เป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย รับผิดชอบงานด้านนิติบัญญัติ และแม้ที่ผ่านมาทุกคนมาจากหน้าที่ที่หลากหลาย แต่สามารถดำเนินงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักกฎหมาย แต่ทุคนล้วนมีความรับผิดชอบ ส่วนการเข้าทำหน้าที่ของ สนช.ใหม่ในคณะกรรมาธิการสามัญ 16 คณะนั้น ไม่จำเป็นต้องแก้ไขข้อบังคับการประชุม สมาชิกใหม่สามารถเข้าไปเพิ่มจำนวนในคณะกรรมาธิการที่มีอยู่แล้วได้ทันที

 

ที่มา วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ประจิน' หารือผู้บริหาร Google -Youtube ประจำภูมิภาค ปมเว็บ-คลิปหมิ่นกษัตริย์

$
0
0

พล.อ.อ.ประจิน เผย ผู้บริหาร Google และ YouTube ยืนยันให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทย จัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลเรื่องที่เกิดขึ้นในไทย ที่สหรัฐอเมริกา และทีมงานดังกล่าวมีคนไทยรวมอยู่ด้วย จ่อคุยกับ LINE และ Facebook เพื่อหาแนวทางในการดำเนินการต่อไป

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี

21 ต.ค. 2559  วันนี้ (21 ต.ค.59) เมื่อเวลา 16.30  แอน เลวิน (Ann Lavin) ผู้บริหารระดับสูงของ Google และ Youtube ประจำภูมิภาคเอเชีย เข้าพบและหารือกับ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

โดย เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลสรุปสาระสำคัญไว้ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงของ Google หารือถึงวิธีการสกัดกั้นและยุติเว็บไซต์และคลิปวิดีโอที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์และสร้างความสับสนให้กับสังคมไทย โดยทางผู้บริหารระดับสูงของ Google กล่าวว่า ทาง Google ได้ให้ความสำคัญกับประเทศไทยในช่วงระยะเวลานี้ โดยยินดี Google ปรับแนวทางเพิ่มเติม โดยจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจในประเทศสหรัฐที่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับประเทศไทย และได้ปรับแบบฟอร์มร้องเรียนเว็บไซต์และคลิปวีดีโอที่ไม่เหมาะสมในรูปแบบภาษาไทย ซึ่งจะทำให้เกิดความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยกับ Google โดยตรง รวมถึงทีมงานเฉพาะกิจในประเทศสหรัฐยินดีเร่งดำเนินการสกัดกั้นเว็บไซต์ที่และคลิปวีดีโอที่ไม่เหมาะสมให้ไทย หากทางฝ่ายไทยส่งข้อมูลเบื้องต้นไปให้ Google อาทิ ที่อยู่ของเว็บไซต์ เวลาที่โพสต์คลิปวีดีโอ เป็นต้น ทั้งนี้ หากมีรายละเอียดของเว็บไซต์หรือคลิปวีดีโอและคำสั่งศาล ทาง Google ขอให้ไทยส่งตามไปภายหลังได้

สำนักข่าวไอเอ็นเอ็นรายงานด้วยว่า พล.อ.อ.ประจิน เปิดเผยภายหลังผู้บริหาร Google และ Youtube เข้าพบดังกล่าวว่า ขณะนี้มีการทำให้เกิดความสับสนในสังคมว่ารัฐบาลต้องการสกัดกั้นและยุติ โดยผู้บริหาร Google และ YouTube ยืนยันว่าจะให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ในวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมาจึงตัดสินใจปรับแนวทาง โดยจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่สหรัฐอเมริกา และทีมงานดังกล่าวมีคนไทยรวมอยู่ด้วย พร้อมทั้งปรับแบบฟอร์มข้อร้องเรียนให้เป็นภาษาไทย เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการส่งข้อมูลจากประเทศไทย และให้ทีมงานเฉพาะกิจเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างรวดเร็วเป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้จะมีการแบ่งแบบฟอร์มเป็นประเภท ที่อยู่ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตและเวลาในการตรวจพบ ซึ่งหากส่งข้อมูลไปทางทีมงานดังกล่าวก็จะดำเนินการให้ ขณะที่ไทยได้จัดตั้งทีมงานเพื่อประสานโดยตรงกับ Google และ YouTube เพื่อให้ครอบคลุม และให้การแจ้งข้อมูลร้องเรียนดำเนินการได้ภายใน 24 ชั่วโมง โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ซึ่งประเทศไทยจะมีหมายศาลแจ้งไปภายใน 15 วันตามข้อกำหนดของศาล ซึ่งอาจเร็วกว่านั้น

ทั้งนี้ พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า ส่วนตัวได้ตั้งทีมงานที่เชี่ยวชาญด้านกฏหมาย ภาษาและเทคนิค ติดต่อไปยัง LINE และ Facebook เพื่อหาแนวทางในการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวอยู่ในความสนใจของประชาชน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะจัดทำมาตรการให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น หน่วยงานดังกล่าวรับทราบถึงความรู้สึกของคนไทยที่สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ส่วนการขอ User หรือ ID ผู้กระทำความผิดนั้น ตามกระบวนการระหว่างประเทศ ต้องปรับข้อตกลงซึ่งในวันพรุ่งนี้ จะยื่นเรื่องให้กระทรวงการต่างประเทศขอสิทธิ์ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาให้พิจารณาตกลงให้ข้อมูลซึ่งถือเป็นลิขสิทธิ์ของ Google ขณะที่การตรวจพบผู้กระทำความผิดในระหว่างวันที่ 19-20 ตุลาคมที่ผ่านมานั้นพบว่ามีผู้กระทำความผิด 120 ราย และไม่ค่อยพบว่าเป็นชาวต่างชาติ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์นั่งหัวโต๊ะกนพ.ไฟเขียว ตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษนราฯ 1,730 ไร่

$
0
0

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียฯ 

31 ต.ค. 2559 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ 3/2559 ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ภายหลังการประชุม ปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ ร่วมกันแถลงผลการประชุม กนพ. ซึ่งมีมติที่สำคัญ 5 เรื่อง โดยเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลเผยแพร่ไว้ ดังนี้

1. ที่ประชุมเห็นชอบผังการจัดพื้นที่ราชพัสดุเพื่อรองรับการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี พร้อมรับทราบแผนการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี (ฉบับปรับปรุง) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 – 2564 และเห็นชอบโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงด้านการป้องกันประเทศในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และโครงการด้านการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงและการดูแลรักษาพื้นที่สงวนหวงห้าม ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน พ.ศ. 2481 โดยให้ขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลางฯ และทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป

2. เห็นชอบผลการคัดเลือกของคณะทำงานสรรหา คัดเลือก และเจรจาผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ที่ให้บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ได้รับสิทธิพัฒนาที่ราชพัสดุ เนื้อที่ประมาณ 895-0-44 ไร่ ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด ตามที่กรมธนารักษ์เสนอ และให้กรมธนารักษ์พิจารณาจัดให้บริษัทฯ เช่าที่ราชพัสดุดังกล่าว ตามกฎ ระเบียบ และขั้นตอนของทางราชการต่อไป

3. เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้พัฒนาพื้นที่เพื่อการลงทุนในที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามข้อเสนอของกรมธนารักษ์สำหรับใช้เป็นแนวทางสรรหา ผู้ลงทุนในระยะต่อไป อาทิ ผ่อนคลายระยะเวลาจัดทำข้อเสนอการลงทุนจาก 60 วัน เพิ่มเป็น 90 วัน และเปิดกว้างให้ผู้เสนอการลงทุนสามารถเสนอผลงานย้อนหลังไม่เกิน 3 ปี ครอบคลุมประสบการณ์ในลักษณะการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งได้ เช่น การค้า การลงทุน โลจิสติกส์ บริการ หรือภาคการผลิต (อุตสาหกรรมทั่วไป/นิคมอุตสาหกรรม) เป็นต้น

4. เห็นชอบให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดซื้อที่ดินเอกชน เนื้อที่ประมาณ 1,730 ไร่ จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส เพื่อสนับสนุนให้เกิดโครงการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับเป็นแหล่งแปรรูปผลผลิตและจ้างงานประชาชนในพื้นที่

5. รับทราบความก้าวหน้าการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (1) ปัจจุบันมีเอกชนยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก สระแก้ว มุกดาหาร หนองคาย เชียงราย สงขลา กาญจนบุรี และตราด จำนวน 40 โครงการ วงเงินรวม 7,211.55 ล้านบาท โดยผ่านการอนุมัติแล้ว 28 โครงการ วงเงิน 5,574.66 ล้านบาท (2) แรงงานกัมพูชาและแรงงานเมียนมาได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานลักษณะไป-กลับหรือตามฤดูกาลได้แล้ว (3) โครงการโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรที่ได้รับงบประมาณปี 2559 สามารถดำเนินการได้ตามแผนงาน (4) การจัดหาที่ดินของรัฐเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะที่สองจะดำเนินการในนครพนมและกาญจนบุรีก่อน (5) การได้รับจัดสรรงบประมาณแผนงบประมาณบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์เรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยในปีงบประมาณ 2558 ได้รับจัดสรรงบกลาง 2,377.76 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2559 ได้รับจัดสรรงบประมาณตามแผนงานบูรณาการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ 6,168.91 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2560 ได้รับจัดสรรงบประมาณตามแผนงานบูรณาการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ 3,305 ล้านบาท

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นายผีและจิตร ภูมิศักดิ์ กับการ ‘แยกศาสนาจากรัฐ’

$
0
0


 

หลังปฏิวัติสยาม 2475 ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสนอให้ “แยกศาสนาจากรัฐ” เสียทีเดียว เพราะ “นายผี” หรืออัศนี พลจันทร (2461-2532) เคยเสนอผ่านบทความ “ศาสนาถูกกระชากไปสู่ตะแลงแกง” ในนามปากกา “อินทรายุธ” เผยแพร่ในอักษรสาส์น ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายน 2492 ว่า

อันที่จริงศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชน ไม่ใช่เรื่องส่วนรวม จึงควรแยกกันให้เด็ดขาดจากรัฐ และจากการอบรมสั่งสอนประชากรของประเทศ ไม่ควรที่ใครจะถูกกีดกันหวงห้ามหรือรังแก ในการที่จะนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง

ข้อเสนอดังกล่าวสะท้อนแนวคิดโลกวิสัย (secularism) และขบวนการทำให้เป็นโลกวิสัย (secularization) ที่ถือเป็นสิ่งบ่งบอก “สภาวะสมัยใหม่” (modernity) อย่างหนึ่งในโลกตะวันตก นั่นคือการแยกศาสนาจากรัฐ-การเมือง ไม่นำความจริงสูงสุดหรือความดีสูงสุดตามความเชื่อทางศาสนามาเป็นอุดมการณ์ในการปกครอง และแยกศาสนาออกจากปริมณฑลของพื้นที่สาธารณะ ให้ศาสนาอยู่ในปริมณฑลของพื้นที่ส่วนตัวเป็นต้น

รูปธรรมคือ ต้องแยกศาสนจักรออกจากสถาบันการปกครอง คือให้องค์กรทุกศาสนาเป็นเอกชน รัฐต้อง “เป็นกลางทางศาสนา” (religion neutral) ไม่มีหน้าที่อุปถัมภ์ศาสนาใดๆ มีหน้าที่เพียงรักษาเสรีภาพและความเสมอภาคในการที่ปัจเจกบุคคลจะนับถือหรือปฏิเสธศาสนาใดๆ รัฐไม่ส่งเสริมและไม่ต่อต้านศาสนาใดๆ แต่ให้ศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชนที่จะนับถือ อุปถัมภ์ศาสนาใดๆ หรือปฏิเสธไม่นับถือศาสนาใดๆ โดยรัฐต้องปฏิบัติต่อคนมีศาสนาและไม่มีศาสนาเสมอภาคกัน

แต่ข้อเสนอของนายผีนอกจากสะท้อนแนวคิดโลกวิสัยดังกล่าวแล้ว ยังเป็นการวิพากษ์บนจุดยืนแบบมาร์กซิสม์ (Marxism) ที่โจมตีว่า “ศาสนาเป็นดังยาฝิ่นของประชาชน ดังนั้นการจัดการศาสนาในทางที่ถูกต้องแล้ว ประชาชนทุกคนย่อมจะมีความเสรี”ขณะเดียวกันเขาก็ยืนยันว่า “ศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชน” ซึ่งแปลว่าเขาไม่ได้เสนอให้รัฐ “ไม่มีศาสนา” เพราะศาสนาที่เป็นยาฝิ่นหมายถึงศาสนาที่ถูกชนชั้นนำ (elites) ใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนสถานะและอำนาจของชนชั้นตัวเองเท่านั้น

ข้อเสนอแยกศาสนาจากรัฐของนายผีเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 2490 ซึ่งเป็นช่วงอำนาจของคณะราษฎรถูกทำลายลง และเป็นช่วงที่ชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษ์นิยมตีความพุทธศาสนาสร้าง “อำนาจนำทางวัฒนธรรม” (cultural hegemony) เพื่อสนับสนุน “อำนาจนำทางการเมือง” (political hegemony) ของฝ่ายตนที่สถาปนาขึ้นในรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2492 เป็นต้นมา

ขณะที่ชนชั้นฝ่ายอนุรักษ์นิยมสร้าง “ความทรงจำร่วม” ทางประวัติศาสตร์ว่าพุทธศาสนากับสถาบันการปกครองและวิถีชีวิตของชนชาติไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวมาโดยตลอด ทำให้ประเทศชาติอยู่รอดมาได้ เป็นชาติที่มีเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นของตัวเองที่เราควรภาคภูมิใจ

ฉะนั้น โดยความทรงจำร่วมทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว จึงไม่มีเหตุผลที่สังคมไทยต้องแยกศาสนาจากรัฐ เพราะนอกจากสังคมเราจะไม่มีการใช้ศาสนากดขี่ประชาชนเหมือนประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตกแล้ว ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพุทธศาสนากับสถาบันการปกครอง ยังช่วยให้ชนชั้นปกครองทำการปกครองโดยธรรมและหล่อหลอมจิตใจคนไทยให้เปิดกว้างต่อศาสนาอื่นๆที่เข้ามาเผยแผ่ในไทยได้อย่างเสรี โดยไม่มีความขัดแย้งจนเกิดสงครามศาสนาและระหว่างนิกายศาสนาดังที่เคยเกิดขึ้นในโลกตะวันตก 

ทว่าในทศวรรษ 2490 จิตร ภูมิศักดิ์ (2473-2509) ได้เสนอข้อโต้แย้งบนกรอบคิดแบบมาร์กซิสม์ที่มีนัยสำคัญสนับสนุนข้อเสนอแยกศาสนาจากรัฐของนายผีชัดเจนขึ้น ในบทความที่เขียนขึ้นขณะที่ยังเป็นนิสิตจุฬา ปี 2 ชื่อยาวว่า “พุทธปรัชญาแก้สภาพสังคมตรงกิเลส วัตถุนิยมไดอะเลคติคแก้สภาพสังคมตรงตัวสังคมเองและแก้ไขด้วยการปฏิวัติ มิใช่ปฏิรูปตามแนวทางของสิทธารถ ปรัชญาวัตถุนิยมไดอะเลคติคกับปรัชญาของสิทธารถผิดกันอย่างฉกรรจ์ที่ตรงนี้” ชื่อสั้นของบทความนี้คือ “ผีตองเหลือง” ซึ่งได้กลายเป็นบทความประวัติศาสตร์ เพราะจิตถูกนิสิตหัวอนุรักษ์นิยมจับ “โยนบก” และถูกสั่งพักการเรียน

แต่สาระสำคัญจริงๆ ในบทความนี้มี 2 ส่วนหลักๆ คือ การเสนอข้อโต้แย้งที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างและปัญหาเชิงปรัชญาสังคม

ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จิตรชี้ให้เห็นคือ ระบบสงฆ์ไทยไม่ได้ช่วยให้พระสงฆ์ประพฤติปฏิบัติตนตามหลักการที่แท้จริงของพุทธศาสนา หากเป็นระบบที่รองรับอภิสิทธิ์ของคนจำนวนหนึ่งที่อาศัยผ้าเหลืองบวชเข้ามาเพื่อยกระดับทางชนชั้นของตนเอง และทำให้คนจำนวนหนึ่งใช้ “ผ้าเหลือง” บังหน้าทำมาหากินเอาเปรียบสังคม

ส่วนปัญหาเชิงปรัชญาความคิด เป็นการโต้แย้งความคิดของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ทั้งตีความพุทธศาสนาสนับสนุนอุดมการณ์จารีตและประชาธิปไตยแบบไทย รวมทั้งมีฝ่ายก้าวหน้าพยายามเสนอว่าพุทธศาสนาเป็นสังคมนิยม จิตรชี้ให้เห็นความแตกต่างว่า พุทธปรัชญาแม้จะคล้ายกับมาร์กซิสม์ในแง่ที่ต้องการยกระดับสังคมให้ยุติธรรมขึ้น แต่ก็แตกต่างอย่างสำคัญตรงที่พุทธปรัชญามุ่งแก้ปัญหาสังคมที่กิเลสคน ทว่ามาร์กซิสม์มุ่งแก้ปัญหาที่ตัวระบบหรือโครงสร้างทางสังคม

อีกอย่าง สิทธารถ(พุทธะ) เป็นเพียง “นักปฏิรูป” ไม่ใช่ “นักปฏิวัติ” วิธีการของสิทธิธารถจึงเป็นการ “ประนีประนอม” ที่ยังไงๆ ชนชั้นนำยุคเก่าก็สามารถดำรงสถานะที่ได้เปรียบในโครงสร้างสังคมอยู่เสมอไป แต่มาร์กซิสม์มุ่งให้เกิดการปฏิวัติประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมอย่างถึงราก

แม้จะถูก “ประชาทัณฑ์” เพราะบทความดังกล่าว แต่พลังความคิดที่ “ตกผลึก” ของจิตรก็ไม่มีอำนาจใดหยุดยั้งได้ ในเวลาไล่เลี่ยกันเขาได้เขียนหนังสือ “โฉมหน้าของศักดินาไทย” ในนามปากกา “สมสมัย ศรีศูทรพรรณ” เนื้อหาเป็นการเสนอโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาที่มีความหมายตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับความทรงจำร่วมทางประวัติศาสตร์ที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมปลูกฝังประชาชน

งานของจิตรชี้ให้เห็นว่า ภายใต้โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับรัฐตามที่เป็นมาและเป็นอยู่ สถาบันการปกครองและสถาบันศาสนา หรือชนชั้นปกครองกับศาสนจักรมีความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์ค้ำจุนกัน มีผลประโยชน์ร่วมกันตลอดมา

ภายใต้ความสัมพันธ์เช่นนี้ศาสนาย่อมจะถูกใช้เป็นเครื่องมือมอมเมาประชาชนให้ยอมสยบ จงรักภักดีอยู่ใต้อำนาจผู้ปกครองมากกว่าจะมีสำนึกลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมทางสังคม และเป็นผลเสียต่อพุทธศาสนาเอง เพราะทำให้ “คงเหลืออยู่แต่เฉพาะร่างของพุทธศาสนาที่กลายเป็นยาฝิ่นมอมเมาประชาชน” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจิตรปฏิเสธหลักปรัชญาพุทธศาสนา

แต่สิ่งที่จิตรรวมทั้งนายผีปฏิเสธคือ ระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างสถาบันการปกครองกับสถาบันศาสนา ที่ผลิตสร้างศาสนาในรูปของความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรมสนับสนุนการปกครองที่ไม่ให้สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคแก่ประชาชน และสร้างสำนึกของผู้ใต้ปกครองให้ยอมสยบต่ออำนาจของชนชั้นบน เพราะถูกปลูกฝังให้เชื่อในบุญบารมีและคุณธรรมผู้ปกครองตามคำสอนทางศาสนา

กล่าวโดยสรุป ข้อเสนอ “แยกศาสนาจากรัฐ” ตามความคิดของนายผีและจิตร ก็คือข้อเสนอให้ศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของรัฐโลกวิสัยในยุคสมัยใหม่ และสอดคล้องกับหลักปรัชญาพุทธเองที่มุ่งแก้กิเลสหรือความทุกข์ทางจิตใจของปัจเจกบุคคล

เพราะ “ร่าง” ของพุทธศาสนาที่รับใช้รัฐเป็นร่างที่ไร้ “จิตวิญญาณ” แห่งความพ้นทุกข์ แม้แต่พลังจิตสำนึกที่อยากเห็นสังคมเสมอภาคมากขึ้นตามตามเจตนารมณ์ของพุทธะก็ถูกบิดเบือนไป เพราะรัฐได้สถาปนาศาสนจักรให้พระสงฆ์มีระบบชนชั้นหรือฐานันดรศักดิ์ขึ้น เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนอำนาจและอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมมายาวนาน

ข้อวิพากษ์ของนายผีและจิตรได้เผยให้เราได้เห็นว่า ประวัติศาสตร์สยามไทยในแง่การใช้ศาสนาครอบงำกดขี่ประชาชนก็ไม่ต่างจากประวัติศาสตร์สังคมตะวันตก เพียงแต่อาจมีระดับและรายละเอียดต่างกัน แต่การครอบงำก็เหมือนกันคือ ทำให้สังคมไม่สามารถจะมีเสรีภาพ ความเสมอภาคในความหมายสมัยใหม่ได้จริง

การแยกศาสนาจากรัฐจึงเป็นทางเดียวที่จะปลดปล่อยศาสนาจากการตกเป็นเครื่องมือครอบงำของรัฐ และยกระดับสังคมให้มีเสรีภาพ ความเสมอภาค หรือเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

0000

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ฟลุค เดอะสตาร์' เตรียมควักเงินแสน ช่วยยิ่งลักษณ์ หากถูกเรียกชดใช้ปมจำนำข้าว

$
0
0

ฟลุค เดอะสตาร์ ยันเตรียมสละเงินส่วนตัว 100,000 บาท เป็นทุนเริ่มต้น ช่วยเหลือ 'ยิ่งลักษณ์' หากถูกเรียกเก็บค่าเสียหาย คดีจำนำข่าว พร้อมชวนประชาชนรวมระดมทุน จ่อยื่นนายกฯ เปิดช่องให้ประชาชนร่วมจ่ายได้

ที่มา เฟซบุ๊ก 'Phachara Thammon

22 ต.ค. 2559 จากกรณีเมื่อปีที่แล้ว พชร ธรรมมล หรือ ฟลุค เดอะสตาร์ โพสต์เฟซบุ๊กตนเองระบุข้อความว่าจะขอบริจาคเงินหนึ่งหมื่นบาทให้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หากถูกตัดสินให้ต้องเรียกร้องชดใช้ความเสียหายในคดีทุจริตจำนำข้าว ขณะนี้คดีดังกล่าวไศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้สืบพยานฝ่ายจำเลยนัดที่ 5 แล้ว รวมทั้ง ยิ่งลักษณ์ เปิดเผยด้วยว่ากระทรวงการคลังส่งคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายในคดีโครงการรับจำนำข้าวกว่า 35,000 ล้านบาทว่า ได้รับหนังสือทางปกครองแล้วเมื่อ 2 วันที่ผ่านมาแล้วนั้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ล่าสุดวานนี้ ฟลุค ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Phachara Thammon' อีกว่า ยังคงยืนยันเหมือนเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ว่าขอเป็นส่วนหนึ่งช่วยนายกยิ่งลักษณ์ จ่ายค่าเสียหาย 35,000 กว่าล้านบาท จากโครงการที่ทำเพื่อชาวนาไทย

"พวกเรามีเวลาไม่ถึง 30 วันแล้วครับ พวกเราคงต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด ตอนนี้ขอผู้ที่คิดเหมือนกันติดต่อเข้า มาช่วยกันหาช่องทางเอาเงินให้ นายกยิ่งลักษณ์กันครับถ้าต้องไปยื่น หนังสือให้นายกรัฐมนตรีเพื่อเปิดช่อง ให้ประชาชนร่วมจ่ายได้ ผมก็จะไปครับ ผมขอสละเงินส่วนตัวที่มีจำนวน 100,000 บาท เป็นทุนเริ่มต้นครับ ขอบพระคุณมากครับ" ฟลุค โพสต์
 
 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คดีที่ 3 'ทนายศูนย์ทนายสิทธิ' เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. และ ม.116

$
0
0

ศิริกาญจน์ เจริญศิริ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ฝืนนคำสั่งหัวหน้าคสช.และ ม. 116 โยง 'ประชาธิปไตยใหม่' ผู้แทนจากคณะผู้แทนสหภาพยุโรปและนักการทูตจากสถานทูตต่างๆ ร่วมสังเกตการณ์

ผู้แทนจากคณะผู้แทนสหภาพยุโรปและนักการทูตจากสถานทูตต่างๆ ร่วมสังเกตการณ์การเข้ารับทราบข้อกล่าวหาของ ศิริกาญจน์

22 ต.ค. 2559 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศิริกาญจน์ เจริญศิริ หรือ ทนายจูน ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.สำราญราษฏร์ ในข้อหาชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 และข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 บันทึกแจ้งข้อหาระบุเจ้าหน้าที่ทหารแจ้งความไว้ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.58 อ้างทนายความมีพฤติการณ์ “กระทำผิด” ร่วมกับนักกิจกรรมกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ โดยนำสิ่งของของนักกิจกรรมไปเก็บในรถยนต์

โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา ศิริกาญจน์ เพิ่งได้ทราบว่ามีหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวส่งมาที่บ้านพัก ขณะเดินทางกลับจากกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะเดินทางไปตั้งแต่วันที่ 17 ก.ย.2559 เพื่อร่วมการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council) ทนายความของ ศิริกาญจน์ จึงเข้ายื่นหนังสือต่อพนักงานสอบสวน เพื่อขอเลื่อนวันเข้ารับทราบข้อกล่าวหาออกไป และพนักงานสอบสวนให้เลื่อนนัดมาในวันนี้ 

พ.ต.ท.มานิตย์ ทองขาว พนักงานสอบสวนสน.สำราญราษฎร์ ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อ ศิริกาญจน์ ระบุว่าเหตุจากเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2558 มีการชุมนุมของกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน และมีการร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับนายรังสิมันต์ โรม และพวก จากการกระทำดังกล่าวในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ยั่วยุปลุกปั่น เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร และร่วมกันชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12 ไว้แล้ว

บันทึกแจ้งข้อกล่าวหาระบุว่าเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.58 พ.ท.พงศฤทธิ์  ภวังค์คะนันท์ เจ้าหน้าที่ทหาร ได้มาร้องทุกข์เพิ่มเติมให้ดำเนินคดีกับ ศิริกาญจน์ เจริญศิริ โดยอ้างว่า ศิริกาญจน์ ได้ร่วมกันกระทำความผิดกับนายรังสิมันต์และพวก จากการที่เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.58 พนักงานสอบสวนได้นำตัวนายรังสิมันต์และพวก ไปร้องฝากขังที่ศาลทหารกรุงเทพฯ ระหว่างที่รอคำสั่งเวลา 22.00 น. พ.ท.พงศฤทธิ์พบเห็น ศิริกาญจน์ นำสิ่งของบางอย่างไปที่รถยนต์ รู้สึกผิดสังเกตในพฤติการณ์ของ ศิริกาญจน์ สงสัยว่าจะมีสิ่งของเกี่ยวกับการกระทำผิดของนายรังสิมันต์และพวก อีกทั้งจากการนำภาพถ่ายของ ศิริกาญจน์ ไปให้ชุดสืบสวนฝ่ายทหารตรวจสอบ ทราบว่า ศิริการญจน์ มีพฤติการณ์ร่วมกับรั งสิมันต์ โรม และพวกมาโดยตลอด ประกอบกับเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.58 ทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นรถยนต์คันดังกล่าว พบโทรศัพท์มือถือจำนวน 5 เครื่อง จึงเชื่อว่า ศิริกาญจน์ มีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำความผิดกับ รังสิมันต์ และพวก

เพจ 'European Union in Thailand' รายงานด้วยว่า ผู้แทนจากคณะผู้แทนสหภาพยุโรปและนักการทูตจากสถานทูตต่างๆได้มาร่วมรับฟังการแจ้งข้อกล่าวหาต่อ ศิริกาญจน์ ที่สถานีตำรวจสำราญราษฎร์ โดยทางตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาว่าได้ไปร่วมชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปและได้ร่วมกันกระทำการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ข้อหาที่ถูกตั้งขึ้นจากการที่ ศิริกาญจน์ได้ปฏิบัติหน้าที่ของทนายในการให้ความช่วยเหลือทางกฏหมายต่อนักกิจกรรมทางการเมือง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บก.จร.แจ้งปิด 27 เส้นทางรอบสนามหลวง 22-24 ตุลาคม พร้อมแนะนำวิธีเดินทาง

$
0
0

รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจจราจร แจ้งว่ามีการปิดการจราจร 27 เส้นทาง รอบสนามหลวงและถนนที่ต่อเนื่องตลอดเวลา ระหว่างวันที่ 22-24 ตุลาคมนี้ ขณะที่ ขสมก. เพิ่มเที่ยววิ่ง 25 เส้นทาง และร่วมกับภาคเอกชน บริการรถโดยสารเชื่อมต่อ 4 มุมเมือง มายังพระบรมมหาราชวังและท้องสนามหลวงเพื่อถวายสักการะพระบรมศพ

22 ต.ค. 2559 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจจราจร เปิดเผยว่า เนื่องจากมีประชาชนเดินทางมาร่วมงานแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระบรมมหาราชวัง และบริเวณสนามหลวงเป็นจำนวนมาก ทำให้การจราจรหนาแน่นในหลายพื้นที่ จึงขอแจ้งปิดการจราจรตลอดเวลาระหว่างวันที่ 22 – 24 ตุลาคมนี้ ใน 27 เส้นทางรอบสนามหลวง และเส้นทางต่อเนื่อง ได้แก่

- ถนนหน้าพระลาน ตลอดสาย
- ถนนหน้าพระธาตุ ตลอดสาย
- ถนนราชดำเนินใน จากแยกผ่านพิภพ ถึงแยกป้อมเผด็จฯ
- ถนนสนามชัยจากแยกป้อมเผด็จถึงหน้าสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง
- ถนนหับเผย

- ถนนหลักเมือง
- ถนนกัลยาณไมตรี ถึง สะพานช้างโรงสี ซอยสราญรมย์
- ถนนพระจันทร์ ถนนมหาราชตลอดสาย
- ถนนท้ายวัง ตลอดสาย
- ถนนเชตุพน

- ถนนเศรษฐการ
- ถนนเจริญกรุง จากวงเวียน รด. ถึง แยกสะพานมอญ
- ถนนพระพิพิธ
- ถนนราชดำเนินนอก จาก แยก จปร. ถึง แยกผ่านฟ้า
- ถนนนครสวรรค์ จากแยกจักรพรรดิพงษ์ ถึง แยกผ่านฟ้า

- ถนนหลานหลวง จากแยกหลานหลวง ถึงแยกผ่านฟ้า
- ถนนราชดำเนินกลาง (ตลอดสาย)
- ถนนพระสุเมรุ จากแยกวันชาติ ถึงแยกป้อมมหากาฬ
- ถนนมหาชัยจากแยกสำราญราษฎร์ ถึง แยกป้อมมหากาฬ
- ถนนดินสอจากแยกวันชาติ ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

- ถนนดินสอ จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถึง แยกมหรรณพ
- ถนนตะนาว จากแยกตัดถนนข้าวสาร ถึงแยกคอกวัว
- ถนนตะนาว จากแยกศาลเจ้าพ่อเสือ ถึงแยกคอกวัว
- ถนนจักรพงษ์ จากแยกตัดถนนข้าวสาร ถึงถนนราชดำเนินกลาง
- ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า จากแยกอรุณอัมรินทร์ ถึงแยกผ่านพิภพ

โดยขอแนะนำให้ใช้เส้นทางเลี่ยง เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ดังนี้

- กรณีรถที่มาจากทางด่วนยมราชให้ใช้เส้นทางถนนพิษณุโลก
- กรณีที่ใช้รถบนทางพิเศษที่มาจากแจ้งวัฒนะจะไปทางงามวงศ์วาน ให้ซ้ายออกคู่ขนานตรงทางด่วนประชาชื่น เพื่อออกไปทางถนนรัชวิภา และถนนวิภาวดีรังสิต
- ที่มาจากทางด่วนประชาชื่นลงทางด่วนพระราม 6
- ที่มาจากทางด่วนมักกะสัน ให้ลงทางด่วนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
- ที่มาจากทางด่วนพระราม 4 ให้ลงทางด่วนหัวลำโพง
- ที่มาจากต่างระดับศรีนครินทร์ให้ลงด่วนพระราม 9 และใช้ทางพื้นราบ
- ส่วนกรณีมาจากทางคู่ขนานขาเข้า ให้ใช้ถนนสิรินธร –บางพลัด – สะพานกรุงธน (ซังฮี้)
- กรณีมาจากฝั่งธนบุรีขอให้ใช้บริการเรือข้ามฟาก มาท่าพระจันทร์ และท่าช้าง

สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานด้วยว่า ขณะเดียวกัน องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เพิ่มเที่ยววิ่งรถโดยสารผ่านบริเวณสนามหลวงอีก 25 เส้นทาง และร่วมกับภาคเอกชนให้บริการจุดจอดรถยนต์ฟรีเชื่อมต่อ Shuttle Bus ทุก 4 มุมเมือง รวม 40 เส้นทาง

โดยนายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. เปิดเผยว่า ขสมก.ได้เพิ่มเที่ยววิ่งรถโดยสารผ่านบริเวณสนามหลวง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่เดินทางไปร่วมถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ได้แก่ สาย 1, 2 ,3, 12, 15, 25, 32, 42, 47, 53, 59, 60, 68, 70, 79, 80, 82, 91, 203, 503, 508, 509, 511 , 516 และ สาย 556 จำนวน 25 เส้นทาง โดยรถโดยสารธรรมดาให้บริการฟรี ยกเว้นรถโดยสารปรับอากาศ

นอกจากนี้ ขสมก.ได้จัดรถ Shuttle Bus อำนวยความสะดวกแต่ละจุดปลายทางสนามหลวงให้บริการฟรี รวม 15 เส้นทาง ดังนี้ 1. เส้นทางหมอชิต 2 - สนามหลวง 2. เส้นทางสายใต้ใหม่ - สนามหลวง 3. เส้นทางหัวลำโพง - สนามหลวง 4. เส้นทางเอกมัย - สนามหลวง 5. เส้นทางอนุสาวรีย์ชัยฯ - สนามหลวง 6. เส้นทางวงเวียนใหญ่ - สนามหลวง 7. เส้นทางบางใหญ่ (Central Westgate) - สนามหลวง 8. เส้นทางเมืองทองธานี - สนามหลวง 9. เส้นทางเซ็นทรัลพระราม 2 - สนามหลวง 10. เส้นทางเซ็นทรัลศาลายา - สนามหลวง 11. เส้นทางเมกะบางนา - สนามหลวง 12. เส้นทางลานพุทธมณฑลสาย 4 - สนามหลวง 13. เส้นทางสโมสรตำรวจ - สนามหลวง 14. เส้นทางฟิวเจอร์พารค์รังสิต - สนามหลวง 15. เส้นทางแอร์พอร์ตลิ้งค์มักกะสัน - สนามหลวง รวมทั้งสิ้น 40 เส้นทาง

โดยร่วมกับภาคเอกชนจัดรจุดจอดรถยนต์ฟรี เพื่อเชื่อมต่อรถ Shuttle Bus จาก 4 มุมเมืองไปสนามหลวง จำนวน 9 จุด ดังนี้ เมืองทองธานี จอดรถได้ 5,000 คัน 2. เซ็นทรัลพระราม 2 จอดรถได้ 3,700 คัน 3. เซ็นทรัลศาลายา จอดรถได้ 1,800 คัน 4. ลานพุทธมณฑลสาย 4 จอดรถได้ 5,000 คัน 5. เมกะบางนา จอดรถได้ 1,000 คัน 6. สโมสรตำรวจ จอดรถได้ 400 คัน 7. บางใหญ่ (Central Westgate) จอดรถได้ 1,000 คัน 8. ฟิวเจอร์พารค์-รังสิต จอดรถได้ 1,500 คัน 9. แอร์พอร์ตลิ้งค์ มักกะสัน จอดได้ 1,000 คัน ให้บริการระหว่างเวลา 06.00 – 24.00 น.ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักปั่นจักรยานไทย-กัมพูชาไว้อาลัยถวายพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9

$
0
0

นักปั่นจักรยานกว่า 2 พันคน ปั่นเชื่อมสัมพันธ์ 2 แผ่นดินไทย-กัมพูชา โดยร่วมกันไว้อาลัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมี ผวจ.สุรินทร์ พร้อมด้วยรอง ผวจ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ร่วมปั่นนำขบวน

22 ต.ค. 2559 ที่สนามหน้าที่ว่าการอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา นายอรรถพร สิงหวิชัย  ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วยนายเรียม โซ๊ะดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ได้ร่วมกันลงนามและกล่าวไว้อาลัยถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก่อนนำนักปั่นจักรยานกว่า 2 พันคน ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 9 นาที เพื่อไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ได้นำนักปั่นจักรยานกว่า 2 พันคน ปั่นจักรยานออกจากหน้าที่ว่าการอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ในโครงการปั่นเชื่อมสัมพันธ์ 2 แผ่นดินไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 1  เพื่อร่วมไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

โดยปั่นจักรยานตามเส้นทางกาบเชิง-ด่านถาวรช่องจอม ระยะทาง 15 กิโลเมตร จากนั้นได้ผ่านประตูด่านถาวรช่องจอมลงไปยังจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา อีกเป็นระยะทาง 45 กิโลเมตร ตามถนนสายหลักโอร์เสม็ด-อำเภอสำโรง ผ่านหมู่บ้านต่างๆ ของชาวกัมพูชา จากนั้นจะปั่นกลับมาที่อำเภอกาบเชิงเช่นเดิม รวมระยะไปกลับ 120 กิโลเมตร  โดยมีนักปั่นทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาร่วมปั่นจักรยานในครั้งนี้จำนวนกว่า 2 พันคน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 58138 articles
Browse latest View live


Latest Images