NDM ออกแถลงการณ์ยืนหยัดเคียงข้าง 'ไผ่ ดาวดิน'
สหภาพขอ ธ.กรุงเทพพิจารณาข้อเรียกร้องตัวเงิน เยียวยาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น
เจรจานัด 13 'สหภาพ-ธ.กรุงเทพ' บรรลุข้อตกลง 4 ข้อแล้ว
เจรจานัด 11-12 สหภาพ-ธ.กรุงเทพ เปลี่ยน 'ยอดขายผลิตภัณฑ์' เป็น 'เงินรางวัลสาขา' แทน
เจรจานัด 10 'สหภาพ-ธ.กรุงเทพ' ชี้ไตรมาส 3 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 8 พันล้าน
เจราจานัด 9 'สหภาพ-ธ.กรุงเทพ' คาดเงินเกษียณ 2 แสนได้คำตอบ พ.ย. นี้
เจรจานัด 8 'สหภาพฯ-ธ.กรุงเทพ' ขอ พนง.มีโอกาสเท่าเทียมเลือกตั้ง กก.ลูกจ้าง
เจรจานัด 6-7 สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพระบุปัญหา OT ยังไม่ได้แก้
เจรจานัด 5 'สหภาพ-ธนาคารกรุงเทพ' ไม่อยากให้ พนง. ซื้อผลิตภัณฑ์เองหากไม่เข้าเป้า
'สหภาพ-ธ.กรุงเทพ' เจรจานัด 4 สหภาพชี้ควรเพิ่มค่าตอบแทนให้ 'พนง.ตัวแทนซื้อขายกองทุน' ด้วย
สหภาพแรงงาน ธ.กรุงเทพ เผยธนาคารจะเปลี่ยนเครื่องแบบพนักงานหญิงใหม่
คอลัมนิสต์ นสพ.บ้านเมือง เขียนบทความระบุ 'เป็นนักข่าว-อย่าฝักใฝ่เผด็จการ'
คอลัมน์ ฉลามเขียว: บาปของข้า เพื่อนนักข่าวคนหนึ่งของผมเขียนตอบกลับมาใน line ว่า "เซตซีโร่สื่อเลย" หลังจากที่ผมส่งข่าวไปบอกว่า ผมกำลัง จะกลายเป็นนักข่าวตกงานแล้วนะ กำลังจะสิ้นสภาพการเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2522 ในวันสิ้นปี 2559 นี้แล้ว คำนี้ของเพื่อนนักข่าวมันกินใจผมมาก ผมได้เขียนตอบกลับไปว่า "ขอบคุณ กปปส." เพราะผมมั่นใจว่า ภาวะเศรษฐกิจ ประเทศไทยมันพังยับเยินถึงขั้นที่กิจการสื่อสิ่งพิมพ์อยู่ไม่ได้ ซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่า ตั้งแต่ 22 พ.ค.2557 จนถึงวันนี้ ปิดกิจการไปแล้วกี่สำนัก และจะปิดอีก กี่สำนัก เป็นผลพวงมาจากการ "ปิดบ้านปิดเมือง" จนเกิดรัฐประหาร ตัวผมเป็น กปปส.นะครับ ผมไปร่วม ปิดบ้านปิดเมืองกับเขาด้วย แต่ผมขอเฉลย นิดนึง ตัวผมไม่ได้มีอุดมการณ์ กปปส. ผมตอแหลแต่งเครื่องแบบ กปปส.ไปเพื่อกินของฟรี อาหารอิสลามตามเต็นท์ที่มาจาก 3 จังหวัดใต้อร่อยที่สุด พุงกางแล้วผมก็กลับ ผมมีอุดมการณ์ฝักใฝ่เผด็จการไม่ได้หรอกครับ เพราะอาชีพของผมคือนักข่าว อาชีพนี้จะเจริญรุ่งเรืองอยู่ได้ก็เฉพาะในการปกครองระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ระบอบการปกครองประชาธิปไตยทำให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ เสรีภาพของสื่อคือเสรีภาพของประชาชน นักข่าวรุ่นพี่ของผมทุกคนสั่งสอนให้ผมยืนอยู่ตรงข้ามเผด็จการ และตัวผมก็เริ่มงานที่นิตยสารรายสัปดาห์แนวหัวก้าวหน้าฝั่งตรงข้ามเผด็จการ ก็ฝังอุดมการณ์นั้นมา วันนี้เราเห็นกันแล้ว เศรษฐกิจไทยเสียหาย หนักขนาดนี้เพราะ? ซึ่งตอนแรกตัวผมก็พอ มีความหวังว่า ถ้ามีเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งภายใน 2 ปี ก็พอที่จะ กอบกู้กันได้ โฆษณาจะกลับมา แต่เมื่อ ภาวะมันอึมครึมก็เป็นธรรมชาติของเจ้าของ ทุกกิจการที่จะต้องหดมือกลับกันหมด เมื่อโฆษณาเหือดเกิน 2 ปี ก็คือความเศร้า บางคนก็ว่า เพราะสื่อออนไลน์ยึด นั่นก็ ถูกส่วนหนึ่งครับ แต่ถ้าชาติบ้านเมืองยังปกครองในระบอบประชาธิปไตยอยู่มันก็จะไม่ซ้ำเติมแรงเร็วขนาดนี้ สื่อสิ่งพิมพ์สามารถที่จะทำสื่อออนไลน์ควบคู่ไปได้ ก็พอจะอยู่รอดได้ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้แล้วครับ เพราะ Shutdown Bangkok. ผมก่อบาป ตัวผม ผู้จะสิ้นสภาพนักหนังสือพิมพ์ในวันที่ 31 ธ.ค.59 ก็ขอฝากแก่นักข่าวทุกคนที่ยัง มีชีวิตอยู่ และยังได้ทำงานต่อไป หรือ คนที่กำลังอยากเป็นนักข่าว เอาไว้สั้นๆ ว่า "เป็นนักข่าว-อย่าฝักใฝ่เผด็จการ" |
รับอิสรภาพชั่วคราว ศาลให้ประกันตัว 'ไผ่ ดาวดิน' คดี 112 หลักทรัพย์สี่แสนบาท
ศาลจังหวัดขอนแก่น ให้ประกันตัว ไผ่ ดาวดิน ยื่นหลักทรัพย์สี่แสน หลังถูกจับกุมฐานทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เหตุแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC เจ้าตัวระบุ ระหว่างถูกควบคุมตัว เจ้าหน้าที่พยามยามกดดันสอบสวน โดยไม่ให้ผู้ต้องหาติดต่อกับทนายความ
4 ธ.ค. 2559 เวลา 11.45 น. ศาลจังหวัดขอนแก่นอุญาตให้ปล่อยตัว จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน นักศึกษาและนักกิจกรรมมหาวิทยาลัยขอนแก่น หลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2559 เนื่องจากที่การกระทำที่เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอพิวเตอร์ มาตรา 14 จากการแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thailand
วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาตัวจตุภัทร์ จาก สภ.น้ำพอง มายังศาลจังหวัดขอนแก่น เพื่อขออำนาจศาลฝากขัง ผัดที่ 1 โดยศาลได้อนุญาตให้ฝากขังตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอ โดยศาลเห็นว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีที่มีโทษสูง ต่อมาทนายความได้ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว พร้อมยื่นหลักทรัพย์ 400,000 บาท โดยให้เหตุผลประกอบการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวว่า จตุภัทร์ เป็นผู้ต่องหาคดีการเมืองอยู่ 4 คดี แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีพฤติกรรมหลบหนี อีกทั้งในวันที่ 8 ธ.ค. ผู้ต้องหามีสอบเป็นวิชาสุดท้าย หากไม่ได้เข้าสอบวิชาดังกล่าวจะส่งผลให้เขาเรียนไม่จบตามหลักสูตร ศาลจึงพิจารณาให้ประกันตัว
สำหรับการดำเนินการจับกุม จตุภัทร์ ได้ให้ข้อมูลว่า หลังจากมีการแจ้งความโดย พันโทพิทักษ์พล ชูศรี เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2559 ต่อมาได้มีการประสานงานให้มีการจับจุม โดยมี พ.ต.อ. สันต์ชัย มัยญะกิต ผกก.2 บก. ส. 1 ได้เดินทางจากกรุงเทพเพื่อทำหน้าที่หัวหน้าชุดจับกุม
จตุภัทร์กล่าวต่อว่า การแชร์บทความจาก BBC Thailand พร้อมกับโควทข้อความในสี่ย่อหน้าสุดท้ายเป็นสิ่งที่ทำโดยสุจริตใจ ทั้งยังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนมากแชร์บทความชิ้นนี้ นอกจากนี้เขายังรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนๆ นักกิจกรรมประชาธิปไตยอีกหลายคนที่แชร์บทความดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าการจับกุมครั้งนี้มีเจตนากลั่นแกล้ง
จตุภัทร์เล่าว่าขณะที่ถูกควบคุมตัวที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามกดดันให้เข้าไปห้องสอบสวนโดยที่ไม่ยอมให้ติดต่อกับครอบครัวหรือทนายความ แต่ได้เตรียมทนายความไว้ให้เป็นที่เรียบร้อย แต่จตุภัทร์ไม่ยอมที่จะเข้าไปในห้องสอบสวน โดยยืนยันว่าต้องการติดต่อทนายความที่ทางตัวเองไว้วางใจเท่านั้นจึงจะยอมเข้าสู่กระบวนการ ต่อมาทางเจ้าหน้าที่จึงยินยอม ที่จะไปรับทนายความที่ทางครอบครัวของจตุภัทร์ มาร่วมประกอบการสอบสวนซึ่งผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและยืนยันเข้าสู่การพิจารณาคดี จตุภัทรกล่าวว่ากระบวนการดังข้างต้นเป็นการจงใจที่จะละเมิดสิทธิ์ผู้ต้องหาอย่างร้ายแรง
สปสช.ออกแนวปฏิบัติผ่าข้อเข่าเสื่อม กระจายให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษา
พบแอปประกันสังคม 'my SSO' ออกแบบผิดพลาด ข้อมูลอยู่ในความเสี่ยง
ปภ.แจ้งด่วนเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันใต้
ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลฟ้องรัฐกรณีลูกชายถูกวิสามัญปี 2555
TCIJ: ประชากรเมืองกว่า 700 ล้านคนในโลกยังขาดแคลน ‘ห้องสุขา’ ถูกสุขลักษณะ
รายงานพิเศษจาก TCIJ เนื่องในวัน ‘สุขาโลก’ องค์กรพัฒนาเอกชน Water Aid เผยตัวเลขประชากรเมืองของประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ กว่า 700 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในทวีปแอฟริกา ยังขาดห้องสุขาถูกสุขลักษณะ ส่วน ‘อินเดีย’ อีกหนึ่งประเทศที่ขาดแคลนห้องสุขาอย่างหนัก ถึงขั้นนายกอินเดียต้องประกาศว่า การสร้างห้องสุขาเป็นผลงานสำคัญ
ห้องสุขาในหลายเมืองของโลกยังขาดความเป็นส่วนตัวและขาดความปลอดภัย หลายแห่งเมื่อแรกเห็น เราแทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่านั่นคือห้องสุขา (ที่มาภาพ: Water Aid)
ห้องสุขาถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ยุคสมัยใหม่ แต่ปัจจุบัน ยังพบว่าผู้คนในแถบประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ไม่มีห้องสุขาที่ถูกสุขลักษณะเพียงพอต่อจำนวนประชากร ปัญหาการขาดแคลนห้องสุขาที่สุขลักษณะนั้น ทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคสู่แหล่งน้ำ คุกคามต่อระบบสาธารณสุขแต่ละท้องถิ่น และในแต่ละปีมีเด็กหลายแสนคนทั่วโลกต้องเสียชีวิตจากโรคท้องร่วง ซึ่งสาเหตุสำคัญของโรคนี้ก็คือแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด จากสาเหตุที่กล่าวมา
เนื่องในวัน ‘สุขาโลก’ (World Toilet Day) เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2016 ที่ผ่านมา Water Aid องค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศที่รณรงค์เรื่องการเข้าถึงน้ำสะอาดและสุขอนามัย ได้เผยแพร่รายงาน Overflowing cities: The State of the World's Toilets 2016 ซึ่งในรายงานได้ระบุว่า นับเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ ที่ประชากรในโลกมากกว่าครึ่งหนึ่ง (54% หรือประมาณ 3.9 ล้านคน) ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในตัวเมืองหรือมหานครต่าง ๆ และจะเพิ่มเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของประชากรโลกในปี ค.ศ. 2050 ทั้งนี้คลื่นมหาชนที่หลั่งไหลเข้าสู่เมืองนั้นได้กลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเมืองในประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ เนื่องจากจำนวนห้องสุขาที่ถูกลักษณะไม่มีจำนวนเพียงพอ ปัจจุบันประชากรในเมืองของประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ ทั่วโลกประมาณ 1 ใน 5 หรือกว่า 700 ล้านคน ไม่สามารถเข้าถึงห้องสุขาที่ถูกสุขลักษณะ โดยกว่า 100 ล้านคน ยังขับถ่ายในที่โล่งแจ้ง และอีกกว่า 600 ล้านคน ใช้ห้องสุขาที่ไม่เข้าเกณฑ์ด้านสุขอนามัยขั้นต่ำ ในรายงานของ Water Aid ประมาณการว่า หากรวมจำนวนคนรอเข้าคิวห้องสุขาสาธารณะในเมืองของประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น แถวต่อคิวนี้จะยาวรอบโลกได้ถึง 29 รอบเลยทีเดียว
อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าตกใจ จากรายงานของ Water Aid พบว่าชุมชนแออัดในย่านเวสต์พอยต์ (Westpoint) ในกรุงมอนโรเวีย (Monrovia) ประเทศไลบีเรีย ซึ่งมีประชากร 75,000 คน แต่มีห้องสุขาถูกสุขลักษณะเพียง 4 แห่งเท่านั้น (ที่มาภาพ: WaterAid/ Ahmed Jallanzo)
การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของอหิวาตกโรคและอีโบล่ารวมทั้งอีกหลายโรค ในย่านชุมชนแออัดของเมืองในประเทศกำลังพัฒนานั้น ก็สืบเนื่องมาจากความสกปรกและการขาดสุขลักษณะดังกล่าว โดยเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา สหประชาชาติ (UN) ได้ตั้งเป้าหมายเพื่อความยั่งยืน (Global Goals for Sustainable Development) ไว้ 6 เป้าหมาย 1 ในนั้นก็คือการตั้งเป้าว่าในปี 2030 ประชากรโลกทุกคนจะต้องเข้าถึงห้องสุขาพื้นฐานได้
ตัวอย่างประเทศและเมืองที่ขาดแคลนห้องสุขาที่ถูกสุขลักษณะเข้าขั้นวิกฤต จากรายงานของ Water Aid อาทิเช่น กานา ประเทศที่มีรายได้ต่อหัวของประชากร (GDP) สูงสุดในทวีปแอฟริกา ก็ยังพบว่าประชาชนถึง 79.8% (ประมาณ 11,639,000 คน) ยังขาด แคลนสุขาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว ประชากรในเมืองกว่า 45% (ประมาณ 984,000 คน) ต้องขับถ่ายในที่โล่งแจ้ง ในประเทศไลบีเรีย ที่ชุมชนแออัดย่านเวสต์พอยต์ (Westpoint) ในกรุงมอนโรเวีย (Monrovia) มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นถึง 75,000 คน แต่มีห้องสุขาถูกสุขลักษณะเพียง 4 แห่งเท่านั้น ทั้งนี้ เมื่อเทียบสัดส่วนต่อประชากรแล้ว ไลบีเรียมีประชากรที่ขาดแคลนสุขาที่ ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวถึง 72% หรือประมาณ 1,620,000 คน นอกจากนี้ประชากรกว่า 612,000 คน ยังขับถ่ายในที่โล่งแจ้ง ในด้านผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยนั้น พบว่า มีเด็กในไลบีเรียเสียชีวิตมากกว่าปีละ 500 คน จากโรคท้องร่วง เป็นต้น
การขาดแคลนสุขาที่ถูกสุขลักษณะในประเทศกำลังพัฒนา
จากรายงานของ Water Aid ได้ระบุถึงตัวเลขประเทศที่ขาดแคลนสุขาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากที่สุด เมื่อเทียบสัดส่วนต่อประชากร รวมทั้งเมื่อเทียบเป็นตัวเลขจำนวนประชากรที่ขาดแคลน ไว้ดังนี้
ที่มาภาพ: รายงาน Overflowing cities: The State of the World's Toilets 2016 โดย Water Aid
ประเทศที่ขาดแคลนสุขาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากที่สุด เมื่อเทียบสัดส่วนต่อประชากร ซูดานใต้ถือเป็นประเทศที่ขาดแคลนสุขาที่ปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวมากที่สุด เมื่อเทียบอัตราส่วนต่อประชากร ซึ่งส่วนใหญ่สุขาในซูดานใต้นั้น มักจะมีแค่โครงสร้างพื้นฐานอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ปิดบังไว้เท่านั้น โดยประชากรของซูดานใต้ขาดแคลนสุขาที่ถูกสุขลักษณะกว่า 83% โดย 10 อันดับแรกของประเทศที่ขาดแคลนสุขาที่ปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว นั้นเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปแอฟริกาทั้งหมด ได้แก่ อันดับ 1) ซูดานใต้ 83.6% อันดับ 2 มาดากัสการ์ 82.0% อันดับ 3 คองโก 80.0% อันดับ 4 กานา 79.8% อันดับ 5 เซียราลีโอน 77.2% อันดับ 6 โตโก 75.3% อันดับ 7 เอธิโอเปีย 72.8% อั นดับ 8 ไลบีเรีย 72.0% อันดับ 9 ดีอาร์คองโก 71.5% และอันดับ 10 อูกานดา 71.5%
ที่มาภาพ: รายงาน Overflowing cities: The State of the World's Toilets 2016 โดย Water Aid
ประเทศที่ขาดแคลนสุขาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากที่สุด เมื่อเทียบเป็นตัวเลขจำนวนประชากร อินเดีย ประเทศซึ่งมีประชากรเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน แต่กลับมีจำนวนประชากรในเมืองที่ขาดแคลนสุขาสุขาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ที่ 157,191,476 คน ตามมาด้วยอันดับ 2 คือจีน 104,166,548 คน อันดับ 3 ไนจีเรีย 58,920,884 คน อันดับ 4 อินโดนีเซีย 38,044,712 คน อันดับ 5 รัสเซีย 24,231,920 คน อันดับ 6 บังกลาเทศ 23,272,773 คน อันดับ 7 ดีอาร์คองโก 21,632,993 คน อันดับ 8 บราซิล 20,945,314 คน อันดับ 9 ปากีสถาน 14,023,089 คน และอันดับ 10 ปากีสถาน 12,321,093 คน
เมื่อ ‘สุขา’ กลายเป็นวาระทางการเมืองสำคัญที่อินเดีย
อินเดียเป็นประเทศที่ประชากรขาดแคลนสุขาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากที่สุดในโลกถึง 157,191,000 คน (ที่มาภาพ: wikimedia.org)
ข้อมูลจากรายงานของ Water Aid ในปี 2016 นี้ระบุว่าเมื่อเทียบสัดส่วนต่อประชากรแล้วอินเดียมีประชากรที่ขาดแคลนสุขาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวเพียง 37.4% แต่หากนับรายหัว พบว่าอินเดียเป็นประเทศที่ประชากรขาดแคลนสุขาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากที่สุดในโลกถึง 157,191,000 คน ประชากรในเมืองกว่า 41,039,000 คน ยังขับถ่ายในที่โล่งแจ้ง ในด้านผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยนั้นพบว่ามีเด็กในอินเดียเสียชีวิตมากกว่าปีละ 68,000 คน จากโรคท้องร่วง
ก่อนหน้านี้ ในช่วงวันรำลึกการประกาศเอกราชของอินเดียเมื่อเดือน ส.ค. 2016 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) ได้ประกาศว่าภายในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียได้สร้างห้องสุขากว่า 20 ล้านแห่ง และนำกระแสไฟฟ้าเข้าถึงหมู่บ้านต่าง ๆ หลายพันหมู่บ้าน ซึ่งเป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนว่า รัฐบาลจะจัดหาพลังงานและห้องสุขาให้กับทุกครัวเรือนในประเทศ โดยนับตั้งแต่ที่โมดีขึ้นครองอำนาจเมื่อปี 2014 เขาได้ถือเอาการสร้างสุขานี้เป็นวาระทางการเมืองที่สำคัญอย่างหนึ่ง โดยกำหนดให้ทุกครัวเรือนมีห้องสุขา เพื่อหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคและการล้มป่วยจากโรคท้องร่วง นอกจากนี้รัฐบาลอินเดียยังได้เริ่มต้นการรณรงค์เพื่อกระตุ้นความตื่นตัวของประชาชนเกี่ยวกับผลเสียของการขับถ่ายในที่โล่งแจ้ง ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้คนติดเชื้อโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคท้องร่วง ไทฟอยด์ และการติดเชื้อพยาธิชนิดต่าง ๆ
จากรายงานของ Water Aid เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา ระบุว่าสัดส่วนผู้ขับถ่ายในที่โล่งแจ้งที่อินเดียมีมากถึง 173 คนต่อพื้นที่เปิด 1 ตารางกิโลเมตร ทั้งนี้ประมาณการว่า หากประชากรในอินเดียทุกคนที่ไม่มีห้องสุขาส่วนตัวในบ้าน มาเข้าแถวเพื่อใช้ห้องสุขาสาธารณะ แถวเข้าคิวนี้จะยาวจากโลกไปถึงดวงจันทร์เลยทีเดียว
หมายเหตุประเพทไทย #134 บทเรียนเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาถึงสื่อมวลชนไทย
คำ ผกา และเจนวิทย์ เชื้อสาวะถี อภิปรายถึงบทเรียนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปัจจัยที่ทำให้ฐานเสียงในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐอเมริกาเทคะแนนมาทางรีพับลิกันจนเป็นเสียงชี้ขาดผลการเลือกตั้ง ยุทธศาสตร์การใช้โซเชียลมีเดียโดยทีมงานโดนัลด์ ทรัมป์ เทียบกับการทุ่มซื้อโฆษณาและเน้นภาพลักษณ์โดยทีมงานฮิลลารี คลินตัน และข้อสังเกตเรื่องสื่อมวลชนสหรัฐอเมริกาที่มีจุดบกพร่องในการรายงานข่าว จนประเมินสถานการณ์ผิดไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น ทั้งหมดนี้เป็นบทเรียนมาถึงสื่อมวลชนไทยอย่างไรติดตามได้จากหมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้
ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai หรือ
https://www.youtube.com/playlist?list=PLyjd9jzMpO2Xby4FyxWMwY8auIFY01eVQ
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหนัาที่ประธานองค์มนตรี
สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า วันนี้ (4 ธ.ค.2559) เวลา 18.11 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559 เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่เป็นประธานองคมนตรี ในรัชกาลปัจจุบัน
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เกิดวันที่ 26 สิงหาคม 2463 ด้านการศึกษา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เมื่อปี 2484 จากโรงเรียนทหารม้า ในปี 2490 จาก U.S. Army Armor School, Company officer Course และ U.S. Army Armor Schoo, Officer Career Course ในปี 2496 จากวิทยาลัยการทัพบก ปี 2503 และจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 9 ปี 2509 ตำแหน่งที่สำคัญในอดีต อาทิ เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้บัญชาการทหารบก เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 16 เป็นองคมนตรีและประธานองคมนตรี ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 และเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
วัยรุ่นผู้ชนะเลือกตั้งตัวแทนรัฐ ประกาศร่วมโหวตประท้วง 'โดนัลด์ ทรัมป์' ในการลงมติคณะผู้เลือกตั้ง
ในสหรัฐฯ กำลังมีกลุ่มคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) จำนวนหนึ่งจัดตั้งกลุ่มขึ้นมา ชื่อว่า "คณะผู้เลือกตั้งแฮมิลตัน" (Hamilton Electors) และพยายามต่อต้านการโหวตลงมติอย่างเป็นทางการให้ประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ ภายในวันที่ 19 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ หนึ่งในนั้นมีวัยรุ่นอายุ 19 เลวี กเวรา สมาชิกคณะผู้เลือกตั้งจากเมืองแวนคูเวอร์ รัฐวอชิงตัน ผู้ที่ประกาศตนว่าจะเข้าร่วม "คณะผู้เลือกตั้งแฮมิลตัน" เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา
คณะผู้เลือกตั้งในสหรัฐฯ เหล่านี้เป็นตัวแทนตามระบบเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่มีอยู่รวม 538 คน กลุ่มแฮมิลตันมีความเชื่อว่าคณะผู้เลือกตั้งเหล่านี้ควรแสดงความกล้าหาญทางจริยธรรมในการสกัดกั้นไม่ให้ผู้ที่พวกเขาเรียกว่าเป็น "จอมหลอกลวง" อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าสู่ทำเนียบขาวได้
กเวรา ประกาศว่าเธอจะ "ยืนเคียงข้างคณะผู้เลือกตั้งแฮมิลตัน" และสัญญาแก่ผู้ที่เลือกเธอเข้ามาว่าเธอจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี เดอะการ์เดียนระบุว่าในระบบโครงสร้างการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีไม่ได้มาจากประชาชนทั้งหมดโดยตรงแต่ได้มาทางอ้อมจากคณะผู้เลือกตั้งที่เป็นตัวแทนจากแต่ละรัฐเข้าไปลงมติเลือกประธานาธิบดี
โดยกเวราเป็นตัวแทนจากรัฐวอชิงตันที่มีคะแนนเสียงหนุนฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครตร้อยละ 53 เทียบกับทรัมป์ร้อยละ 37 ทำให้คณะผู้เลือกตั้งทั้ง 12 คน ในรัฐวอชิงตันมาจากพรรคเดโมแครตและกเวราก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่โดยรวมจากทุกรัฐแล้วจำนวนคณะผู้เลือกตั้งฝ่ายฮิลลารีมีอยู่ 232 คน น้อยกว่าทรัมป์ที่มีอยู่ 306 จากการนับคะแนนปัจจุบัน ทำให้เหมือนกับว่าทรัมป์ได้รับการปูทางสู่ชัยชนะแล้ว อย่างไรก็ตามกเวราบอกว่าในการประชุมคณะผู้เลือกตั้งเธอจะไม่โหวตให้ฮิลลารี แต่จะใช้มันเป็นพื้นที่ประท้วงด้วยการเขียนลงไปในใบโหวตว่า "รีพับลิกันสายทางเลือก" ที่แสดงให้เห็นว่าถึงคนที่มีแนวทางสายกลางทางการเมืองและหวังว่าคณะผู้เลือกตั้งฝ่ายรีพับลิกันจะทำตามเธอ
"ฉันยังอายุแค่ 19 ปี และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันมีส่วนร่วมกับการเมือง แต่ฉันก็หวังว่าความตั้งใจที่จะเอาประเทศมาก่อนพรรคที่ฉันสังกัดจะแสดงให้เห็นว่าคุณรุ่นของฉันใส่ใจชาวอเมริกันทุกคน" กเวรากล่าว
กลุ่มแฮมิลตันระบุว่าพวกเขาต้องการโน้มน้าวให้ตัวแทนพรรครีพับลิกัน 37 คน โหวตคนอื่นในพรรคแทนทรัมป์ ซึ่งถ้าพวกเขาทำสำเร็จก็จะทำให้การตัดสินใจตกไปอยู่ในมือของสภาผู้แทนราษฎรแต่เว็บไซต์ Politico ก็ประเมินว่าสภาฯ ก็จะโหวตให้ทรัมป์อยู่ดี
กลุ่มแฮมิลตันก็โต้แย้งว่าพวกเขามีพันธกิจต้องป้องกันไม่ให้ "คนที่ไม่เหมาะสม" เป็นประธานาธิบดีซึ่งอ้างว่าเป็นสิ่งที่มีระบุไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ รวมถึงอ้างอิงคำกล่าวของอเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน หนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ ว่ากระบวนการของคณะผู้เลือกตั้งนั้นไม่ควรให้ผู้ที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมมาเป็นประธานาธิบดี
นอกจากกลุ่มแฮมิลตันแล้วมีตัวแทนคณะผู้เลือกตั้งฝ่ายรีพับลิกันคนหนึ่งจากเท็กซัสชื่อ อาร์ต ซิสเนรอส ผู้ประกาศสละสิทธิ์จากการเป็นสมาชิกคณะผู้เลือกตั้งโดยบอกว่าเขาไม่พร้อมที่จะโหวตให้กับผู้แทนพรรครีพับลิกัน เขาให้สัมภาษณ์ต่อเดอะการ์เดียนว่าเมื่อพิจารณาจากความเชื่อทางศาสนาของเขาเองแล้วทรัมป์เป็นคนที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเพราะเป็นคนขี้โกหกและหาผลประโยชน์ใส่ตัว แต่ซิสเนรอสก็บอกว่าการตัดสินใจของเขาทำให้เขาและครอบครัวถูกข่มขู่คุกคามแต่เขาก็ไม่แยแสเพราะคิดว่าเป็นแค่พวกคนระบายอารมณ์
แต่รัฐวอชิงตันก็มองว่าการพยายามแสดงออกสกัดกั้นการโหวตเลือกประธานาธิบดีก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปตามหลักการรัฐธรรมนูญ เบรต ชิอาฟาโร หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งคณะผู้เลือกตั้งแฮมิลตันถูกรัฐวอชิงตันสั่งปรับโทษฐานที่ไม่ยอมทำตามระเบียบของพรรคในการที่จะแสดงออกด้วยการไม่โหวตให้คลินตันร่วมกับคนอื่นๆ โดยชิอาฟาโรบอกว่เขาจะนำคดีค่าปรับนี้เข้าสู่ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เพื่อสู้คดี
อย่างไรก็ตามชิอาฟาโรประเมินว่าจะมีกลุ่มคนที่แสดงการต่อต้านทรัมป์นอกเหนือจากกลุ่มพวกเขา น่าจะมีคณะผู้เลือกตั้งราว 50-100 รายทั่วประเทศที่จะโหวตแสดงออกต่อต้านทรัมป์
เรียบเรียงจาก
Teen becomes seventh 'faithless elector' to protest Trump as president-elect, The Guardian, 30-11-2016
https://www.theguardian.com/us-news/2016/nov/30/faithless-electors-electoral-college-donald-trump
19-year-old Electoral College member Levi Guerra joins movement to block Trump presidency, Mic, 01-12-2016
10 ข้อสังเกตกรณี ไผ่ ดาวดิน กับการแชร์พระราชประวัติเวอร์ชั่นบีบีซีไทย
ภาพเก่า จากเฟซบุ๊ก Pai Jatupat
1.พระราชประวัติรัชกาลที่ 10 ในเว็บและเพจของบีบีซีไทยได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางแทบจะทันทีที่เผยแพร่ เพราะเป็นการเขียนเล่าเรื่องที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงในโลกของ “ภาษาไทย” หลายคนคาดว่าเป็นการแปลงานเขียนของฝรั่งมาอีกชั้นหนึ่ง ยอดไลค์และแชร์อย่างมากมายเป็นตัวสะท้อนถึงความสนใจและความขาดแคลนข้อมูลของคนในสังคมได้อย่างดี ไม่นานก็ตามมาด้วยการเปิดฉากโจมตีบีบีซีไทยและตัว บก.คนไทย จากเซเลปและสำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมหลายคนหลายสำนัก แต่ดูเหมือน “การล่า” ตัวบุคคลในกรณีนี้ดูไม่ขยายตัวรวดเร็วเช่นสมัยก่อน จนบางคนถึงขั้นคาดหวังว่า แนวโน้มของการล่าแม่มดออนไลน์อาจลดลง คลี่คลายมากขึ้นใน “ยุคสมัยใหม่” นี้
2.วันต่อมา ไผ่ ดาวดิน ถูกจับขณะร่วมกิจกรรมธรรมยาตรากับพระไพศาล วิสาโล เหตุเพราะแชร์ข่าวดังกล่าว สร้างความตื่นตระหนกและประหลาดใจอย่างยิ่ง หากเป็นการตั้งใจเคลื่อนไหวเช่นที่ผ่านมา เช่น การชู 3 นิ้วในขณะพล.อ.ประยุทธ์กำลังกล่าวปาฐกถา หรือการแจกเอกสารรณรงค์ไม่รับประชามติหลังมีการจับกุมคนต่างๆ มาแล้วมากมาย เราอาจพอเข้าใจได้ว่านั่นคือการต่อสู้เพื่อยืนยันความเชื่อบางอย่างของผู้กระทำการ แต่กรณีนี้มีผู้แชร์ชิ้นงานนี้ในเวลานั้นประมาณ 2,700 ครั้ง ไลค์อีกหลายหมื่น คำถามจึงดังระงมโลกโซเชียล ทำไมเป็นไผ่? บีบีซีไทย ต้นฉบับโดนแจ้งข้อหาด้วยไหม ?
3.การแจ้งความเกิดขึ้นจากนายทหารที่ดูแลพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นผู้แจ้งความไผ่และนักเคลื่อนไหวหลายคนมาตลอดปีที่ผ่านมา นั่นคือ พ.ท.พิทักษ์พล ชูศรี หรือ เสธ.พีท ที่ผ่านมาทหารแต่ละพื้นที่มักต้อง “ดูแล” “เป้าหมาย” ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักกิจกรรมหรือใครก็ตามที่มีศักยภาพในการต่อต้านและการชี้นำมวลชน ไผ่เป็นหนึ่งในลิสต์อย่างไม่ต้องสงสัย เขาถูกดำเนินคดีมาแล้ว 5 คดีในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา บางคนตั้งข้อสังเกตว่านี่เป็นการกลั่นแกล้งกันในระดับบุคคลหรือไม่ บางคนแย้งว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะปกติคดี 112 ซึ่งเป็นคดีพิเศษและเป็นคดีนโยบายนั้นจะทำสิ่งใดต้องมีการรายงานผู้บังคับบัญชาระดับสูง ดูอย่างกรณีตำรวจยังมีคณะกรรมการกลางระดับชาติที่ทุกพื้นที่ต้องส่งเรื่องไปให้พิจารณาว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง
4. กรณีของไผ่หากดูจากหลักฐานที่นำมาใช้แจ้งข้อกล่าวหาจะพบว่า เจ้าหน้าที่มุ่งเน้นที่ “ตัวหนังสือ” ที่ประกอบอยู่กับการแชร์ข่าวชิ้นนั้น ถือว่าเป็นการโพสต์สเตตัสของไผ่เอง โดยไม่สนใจว่าตัวหนังสือที่ว่าจะเป็น 4 ย่อหน้าสุดท้ายที่ไผ่ก็อปปี้มาจากข่าวที่แชร์ และไม่ได้เพิ่มเติมความเห็นใดๆ ของตัวเอง ในขณะที่คนอื่นมักแชร์ข่าวนี้เงียบๆ ไม่มีความเห็นประกอบ หรือหากมีความเห็นประกอบก็เป็นการพูดในลักษณะอื่น เช่น การวิจารณ์การใช้มาตรา 112 การตั้งคำถามกับความน่าเชื่อถือของชิ้นงาน หรือกระทั่งการด่าว่าชิ้นงานอย่างรุนแรง เป็นต้น
5.ไผ่ถูกสอบสวนในพื้นที่พิเศษ ไม่ใช่ที่สถานีตำรวจเช่นกระบวนการปกติทั่วไป เขาถูกควบคุมตัวไปเพียงลำพังและนำตัวไปที่ศูนย์ฝึกและอบรมตำรวจภูธรภาค 4 ริมถนนมิตรภาพ โดยในชั้นแรกถูกห้ามติดต่อญาติและทนาย เจ้าหน้าที่บอกว่าเตรียมทนายไว้ให้แล้ว นี่อาจเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับตำรวจ ปกติแล้วกระบวนการเช่นนี้เราจะพบเห็นในปฏิบัติการของทหาร ซึ่งอำนาจใช้กฎอัยการศึก ใช้มาตรา 44 คุมตัวคนไปไว้ในค่ายทหารแบบหายไปจากความรับรู้ของโลกได้ 7 วัน ขณะที่ตำรวจมักดำเนินการตามขั้นตอนปกติ สอบปากคำและควบคุมตัว 48 ชม.ที่สถานีตำรวจที่เป็นเจ้าของเรื่องก่อนนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขัง กรณีนี้ไผ่ไม่ให้ความร่วมมือจนกระทั่งตำรวจยินยอมให้ทนายของเขาได้เข้าพบและร่วมการสอบปากคำด้วย นั่นเป็นจุดแข็งของผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองมายาวนานที่ทราบและพร้อมจะปกป้องสิทธิของตน หากเป็นประชาชนธรรมดาการต่อรองนี้อาจไม่เกิดขึ้น เบื้องต้นเขาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด
6.นอกจากนั้น หลังสอบปากคำเสร็จสิ้น เขาก็ไม่ได้ถูกควบคุมตัวที่ สภ.เมืองขอนแก่น ทั้งที่เป็นเจ้าของคดีและพนักงานสอบสวนของที่นี่เป็นผู้ขอศาลออกหมายจับไผ่ ทนายความสอบถามตำรวจว่าทำไมจึงนำตัวไปควบคุมที่อื่น ตำรวจตอบเพียงสั้นๆ ว่าผู้บังคับบัญชาของเขาสั่งการลงมาให้นำตัวไผ่ไปควบคุมไว้ที่ สภ.น้ำพอง เพื่อ "ความปลอดภัย" และเพื่อ "ความสงบเรียบร้อย"
7.หลังนอนสถานีตำรวจหนึ่งคืน ไผ่ถูกนำตัวไปฝากขังยังศาลขอนแก่น ผู้คนต่างคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าผลการประกันตัวจะเป็นเช่นไร เพราะไผ่นั้นอยู่ระหว่างประกันตัวคดีอื่นๆ อยู่ด้วย ขณะเดียวกันเงิน 400,000 บาทถูกระดมหามาอย่างรวดเร็วเพื่อให้ความช่วยเหลือกับชายหนุ่มนักกิจกรรมคนนี้ ทนายยื่นคำร้องระบุว่า เขามีสอบตัวสุดท้ายก่อนจบการศึกษาวันที่ 8 ธ.ค. หากไม่ไปสอบเขาจะไม่จบการศึกษา และท้ายที่สุดศาลอนุญาตให้ประกันตัว
ถามว่าเคยมีกรณีคดี 112 ที่ประกันตัวได้หรือไม่ในยุคที่ผ่านมา คำตอบคือ ยากมาก การประกันตัวไม่ได้ระหว่างสู้คดีทำให้กระบวนการยุติธรรมไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก และนั่นทำให้ผู้ต้องหาหลายคนเลือกรับสารภาพแทนการสู้คดีเพราะการติดคุกที่ยาวนานระหว่างกระบวนการ แต่บางกรณีก็สามารถประกันได้ แม้แต่ช่วงหลังรัฐประหาร 2557 ที่คดีเหล่านี้พิจารณาที่ศาลทหารแล้วก็ตาม ข้อสังเกตสำหรับข้อยกเว้นที่เกิดขึ้นนี้คือ เป็นผู้ต้องหาที่อายุมากมีปัญหาสุขภาพ และ ข้อความหรือพฤติการณ์ความผิดที่ถูกกล่าวหา “อาจพอพิจารณา” ได้ว่าไม่ร้ายแรงนัก เช่น กรณีของบัณฑิต อานียา ที่ได้ประกันตั้งแต่ฝากขังผัดแรก หรือกรณีคดีสุนัขทรงเลี้ยงก็ได้ประกันในการฝากขังผัด 4 หรือ 5 เป็นต้น กรณีของไผ่ก็เช่นกัน ข้อความที่นำมาโพสต์นำมาจากต้นฉบับของบีบีซีไทย ขณะที่เรื่องนี้ยังไม่มีถูกทำให้ “ผิดอย่างเป็นทางการ” การคุมขังไผ่ยาวน่าจะยิ่งทำให้เกิดกระแสต่อต้าน กระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในและนอกประเทศอย่างรุนแรง ซึ่งในที่สุดก็ย่อมไม่เป็นผลดีต่อสถาบันกษัตริย์ของเราแต่อย่างใด
8.มีผู้เรียกร้องว่าทางบีบีซีไทยหรือบีบีซีสำนักงานใหญ่น่าจะมีการชี้แจงหรือออกแถลงการณ์ในกรณีนี้ แต่สิ่งที่พบกลับคือความเงียบ เพจบีบีซีไทยก็ทำงานไปตามปกติ เราเห็นข่าวสารมากมายปรากฏต่อเนื่องในเพจ รวมถึงคลิปสัมภาษณ์พสกนิกรที่ถวายความจงรักภักดีต่อรัชกาลที่ 10 แม้เราจะพยายามติดต่อสอบถามทั้งจากบีบีซีไทยและ โจนาธาน เฮด ซึ่งอยู่ในแผนก world service แต่ประจำอยู่ประเทศไทยมานานจนกลายเป็น “ยี่ห้อ” ของบีบีซี แต่ทุกคนก็ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ หากให้คาดเดาก็พอหาเหตุผลได้ว่า สำนักข่าวใหญ่อย่างบีบีซีที่มีประสบการณ์ภายใต้ความขัดแย้งในประเทศต่างๆ มายาวนาน อาจเห็นว่าการชี้แจงยิ่งเพิ่มเชื้อไฟ และทำให้เรื่องราวขยายใหญ่โตขึ้น การทำหน้าที่ตรงไปตรงมาตามที่เชื่อไปเงียบๆ ปล่อยให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นและคลี่คลายเอง ปล่อยให้ผู้คนชื่นชมและก่นด่าต่อผลงานนั้นๆ ตามแต่มุมมองแต่ละคน อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด
9.คาดเดาได้ไม่ยากว่ารัฐไทยคงไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่การจัดการ “ทางกฎหมาย” หรือ
“การกดดันนอกกฎหมาย” กับสำนักข่าวใหญ่ระดับโลกก็เป็นโจทย์ที่ไม่ง่าย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องการเสถียรภาพในช่วงเปลี่ยนแปลง บางคนจึงตั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็นความชาญฉลาดที่เลือก “เชือดไผ่ให้ลิงดู” เพื่อส่งสัญญาณให้ผู้คนระลึกถึงเพดานของเสรีภาพที่มองไม่เห็นไว้เสมอ ประชาชนจะได้ทำหน้าที่ควบคุมสอดส่องระแวดระวังกันเอง ขณะเดียวกันก็สามารถจำกัดผลกระทบต่างๆ จากปฏิบัติการได้พอสมควร อย่างไรก็ตาม ในบนท้องน้ำที่คลื่นลมสงบ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร อย่างน้อยก็มีข่าวแว่วว่าตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) กำลังรวบรวมหลักฐานส่งให้คณะกรรมการกลางพิจารณาว่ามีข้อมูลของบีบีซีไทยเข้าข่าย 112 หรือไม่ ขณะเดียวกันก็แว่วว่าในแวดวงสื่อเองก็มีผู้ที่ไม่พอใจต่อการกระทำของบีบีซีไทยและอยากให้สมาคมวิชาชีพเข้าจัดการ กระทั่งมีข่าวอีกว่ามีบุคคลทั่วไปริเริ่มรวบรวมรายชื่อร้องเรียนต่อสถานทูตอังกฤษด้วย
10.ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า กลไกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะทำงานต่างกันหรือไม่ ระหว่างยุคสมัยใหม่และยุคสมัยเก่า เป็นเรื่องต้องจับตาดูต่อไปอย่างใกล้ชิด แต่ชิ้นงานนี้ของบีบีซีไทยยังเผยแพร่อยู่ สเตตัสของไผ่ก็ยังอยู่ โดยเขายืนยันว่าเขาแชร์ข้อมูลข่าวสารโดยบริสุทธิ์ใจและคิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นไม่ใช่ความผิดแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ต้องกล่าวไว้ด้วยว่ายอดแชร์ชิ้นข่าวนี้ลดลง 200-300 หลังเกิดกรณีไผ่ขึ้น (4 ธ.ค.16.00 น.)
ชาตรี ประกิตนนทการ: สถาปนิกสยามบนการเปลี่ยนแปลงสู่ความ (ไม่) เป็นสมัยใหม่
งานวิจัยของชาตรี ประกิตนนทการ นำเสนอการก่อรูปของ "สถาปนิก" ในสังคมไทยสมัยใหม่ช่วงต้นทศวรรษ 2470 เช่นเดียวกับอาชีพนายช่างและวิศวกรที่นิยามตัวเองและแยกตัวออกจาก "ช่าง" ในแบบประเพณี การเกิดขึ้นของสมาคมวิชาชีพ การสร้างโรงเรียน องค์ความรู้ และกระบวนการสร้างกฎหมายเพื่อรองรับวิชาชีพ
ในการนำเสนองานวิจัย "โครงการวิจัยเมธีวิจัยอาวุโส พัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของความคิดว่าด้วยความ(ไม่)เป็นสมัยใหม่ในสังคมไทย" เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2559 ที่ห้องประชุมริมน้ำ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์นั้น
ในช่วงเช้า ชาตรี ประกิตนนทการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร นำเสนอหัวข้อ "สถาปนิกสยามบนการเปลี่ยนแปลงสู่ความ (ไม่) เป็นสมัยใหม่" โดยมาจากงานวิจัยฉบับเต็มที่ชื่อ "กำเนิดสถาปนิกสยาม บทบาทและอำนาจในสังคมสมัยใหม่ ในช่วง 2459 ถึง 2508"
ชาตรีเริ่มอธิบายว่าโจทย์ของการศึกษาคือ เมื่อพูดเรื่องความเป็นสมัยใหม่ของศิลปวัฒนธรรมโดยเฉพาะสถาปัตยกรรม เราจะพูดถึงแนวคิด สไตล์ หรือไอเดียของสถาปัตยกรรม แต่งานที่ผ่านมาส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจสิ่งที่เป็นองค์กรทางวิชาชีพของสถาปนิกเท่าไหร่ หรือมีคนทำบ้างแต่น้อย จึงลองศึกษาเรื่องความเป็นสมัยใหม่ผ่านการก่อรูปของสิ่งที่เรียกว่าวิชาชีพ ไม่ได้เน้นไปที่รูปแบบของสถาปัตยกรรมที่มีผู้ศึกษาผ่านงานวิชาการด้านประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมมากมาย แต่จะเน้นที่ตัววิชาชีพเป็นหลัก
สมมติฐานคือ ตัวของสิ่งที่เรียกว่า "สถาปนิก" เป็นสิ่งใหม่เกิดขึ้นเมื่อประมาณไม่ถึง 100 ปีที่ผ่านมา ถ้าเราอ่านงานประวัติศาสตร์ในอดีตโดยเฉพาะในวงการสถาปัตยกรรม ก็จะอธิบายสถาปนิกว่าก็คือช่างในแบบประเพณี อธิบายว่าสถาปนิกคือลูกหลานของช่างในอดีต แต่ขอเสนอในงานของผมคือสถาปนิกไม่ใช่ลูกหลานของช่าง และช่างไม่ใช่บรรพบุรุษของสถาปนิก สถาปนิกเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นไม่ถึง 100 ปีที่ผ่านมา แน่นอนเวลาเราดูตึกหรืองานก่อสร้างในอดีต ที่เราเรียกว่าช่างทำ ก็คือคนที่ทำหน้าที่ออกแบบหรือก่อสร้างตึกมีมานาน แต่ช่างกับสถาปนิกมีความต่างมากกว่าความเหมือนในทัศนะของผม
โดยงานศึกษาของชาตรี มีการศึกษาผ่านปัจจัย 5 ส่วนที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "สถาปนิก" ขึ้นได้แก่ 1. วิธีการสร้างศัพท์บัญญัติว่าสถาปนิกคือใครและทำอะไร 2. ผ่านสมาคมวิชาชีพคือ "สมาคมสถาปนิกสยาม" 3. การสร้างโรงเรียนหรือสรุปรวบยอดคือการให้ปริญญาบัตรโดยเฉพาะปริญญาตรี 4. การสร้างความรู้แบบไทย ก็คือ ต้องเป็นการดึงความรู้ในอดีตอธิบายผ่านกระบวนการ หรือมาตรฐาน หรือเครื่องมือแบบตะวันตก หรือสากล ความรู้แบบไทยเพียวๆ ประเภทขุดมาจากอดีต ลงรักปิดทองทำอย่างไร จะถูกจัดว่าเป็นช่างแบบโบราณ ไร้สถานะ เมื่อใดก็ตามที่คุณอธิบายความรู้แบบไทยผ่านเครื่องมือหรือวิธีการแบบสมัยใหม่ หรือจริงๆ ก็คือที่ตะวันตกในภาพศิวิไลซ์ เมื่อนั้นจะเป็นความรู้แบบไทยที่เหมาะสม 5. สุดท้ายกระบวนการสร้างกฎหมายเพื่อรองรับวิชาชีพ
สำหรับศัพท์บัญญัติ คำว่า "สถาปัตยกรรม" (architecture) "สถาปนิก" (architect) เป็นการแปลเป็นภาษาไทยในช่วงรัชกาลที่ 6 โดย หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร ซึ่งไปเรียนสถาปัตยกรรมอย่างจริงจังในฝรั่งเศสและเป็นคนแรกๆ โดยกระบวนการในช่วง 40-50 ปี จนถึงช่วงหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ ทำให้วงการก่อสร้างที่เดิมเรียกว่า "ช่าง" มีการแตกตัวออกไปเยอะมาก และคนหลายกลุ่มไม่ยอมรับที่จะจัดตัวเข้าไปอยู่เป็นช่างอีกต่อไป เช่นแยกออกไปเป็น "นายช่าง" "วิศวกร" และ "สถาปนิก" ซึ่งไม่เรียกตัวเองว่าช่าง และในช่วง 40-50 ปีดังกล่าวมีความพยายามในการอธิบายว่าตัวเองต่างจากช่างอย่างไร ทั้งนี้ หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์และสถาปนิกรุ่นบุกเบิกแรกๆ พยายามนิยามขอบเขตวิชาชีพตัวเองว่าสถาปนิกคือใคร และต่างจากช่างแบบไหน
โดยในที่นี้ชาตรีศึกษาผ่านงานเขียนของหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ และกลุ่มสถาปนิกยุคแรก โดยสรุปจะพบว่าเนื้อหาของเขา โดยหลักนอกจากพูดเรื่องวิชาการที่เหมือนการให้ความรู้ทั่วไปแล้ว ครึ่งหนึ่งของบทความในยุคแรกคือช่วงต้นทศวรรษ 2470 ถึง 2490 เป็นการสร้างขอบเขตและพื้นที่ของตัวเองว่า "สถาปนิก" คือใคร และพยายามอธิบายสังคมว่าสถาปนิกทำแบบนี้ ดีกว่าแบบนี้ และขณะเดียวกันการนิยามตัวเอง ยังเป็นไปเพื่อแยกตัวเองกับช่างแบบโบราณ และแข่งกับพวกที่เรียกว่านายช่าง และวิศวกร ไปด้วย การแข่งนี้ก็เพื่อไปจัดอันดับสถานะทางวิชาชีพของตนเองเพื่อไปอยู่ในยอดสุดของพีระมิดวงการก่อสร้าง สถาปัตยกรรม
นักกิจกรรม-ทหารผ่านศึกอเมริกัน ร่วมปกป้องผู้ชุมนุมต้านท่อส่งน้ำมันดาโคตา
เหล่าทหารผ่านศึกในสหรัฐฯ ผู้บอกว่า "มีหน้าที่ต้องคุ้มครองประชาชน" ร่วมกับกลุ่มนักกิจกรรมเข้าไปคุ้มครองกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านท่อส่งน้ำมันดาโคตาแอคเซสไปป์ไลน์ หลังจากที่ผู้ชุมนุมถูกปราบปรามจากเจ้าหน้าที่ทั้งสายรัฐและเอกชน พวกเขาเน้นคุ้มครองแบบสันติวิธีด้วยการร่วมปักหลักและส่งตัวแทนเข้าไปเจรจากับฝ่ายผู้ปราบปรามการชุมนุม และล่าสุดหน่วยวิศวกรรมกองทัพสหรัฐฯ ยกเลิกการอนุญาตก่อสร้างท่อส่งน้ำมันผ่านแหล่งน้ำสำคัญ นับเป็นชัยชนะสำคัญของกลุ่มต่อต้าน
แฟ้มภาพชนพื้นเมือง "สแตนดิงร็อคซูส์" เข้าประท้วงด้วยวิธียึดอุปกรณ์ก่อสร้างโครงการท่อส่งน้ำมัน "ดาโคตาแอคเซสไปป์ไลน์" และยังล่ามตัวเองด้วยโซ่เข้ากับรถจักรกลและอุปกรณ์ก่อสร้างด้วย (ที่มา: UnicornRiot.Ninja/Commondreams)
5 ธ.ค. 2559 เหล่านักกิจกรรมอย่างนาโอมิ ไคลน์ และนักการเมืองจากฮาวาย ทัลซี กาบบาร์ด ร่วมกับกลุ่มทหารผ่านศึกในสหรัฐฯ รวมแล้วมากกว่า 3,000 คน เดินทางไปสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านท่อส่งน้ำมันคาโคตาแอคเซสไปป์ไลน์ เพื่อร่วมแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและร่วมปกป้องกลุ่มชนพื้นเมืองสแตนด์ดิงร็อคซูส์จากความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ หลังจากในช่วงที่ผ่านมากลุ่มผู้ปักหลักชุมนุมถูกปราบปรามและจับกุมอย่างหนัก
แบรนดี ไปซาโน ทหารผ่านศึกที่เป็นชนพื้นเมืองสหรัฐฯ กล่าวว่าเขาสมัครเป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติและรับใช้ประชาชนพวกเขาจึงต้องการเดินทางไปเป็นโล่มนุษย์และนักสู้ผู้ไม่ติดอาวุธเพื่อช่วยปกป้องผู้ชุมนุมต่อต้านดาโคตาแอคเซสไปป์ไลน์ที่ถูกปราบปรามอย่างหนักจากตำรวจที่ติดอาวุธแบบทหาร
นอกจากกลุ่มนักกิจกรรม นักการเมืองและทหารผ่านศึกแล้วผู้ชุมนุมสแตนดิงร็อคยังได้รับการสนับสนุนจากสหภาพพยาบาลแห่งชาติสหรัฐฯ (NNU) ที่ให้งบประมาณช่วยเหลือผู้ชุมนุมซึ่งถือเป็นการร่วมคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมตามบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับที่ 1 ที่คุ้มครองสิทธิในการรวมกลุ่มประท้วงโดยไม่ถูกโจมตีด้วยความรุนแรง
ในช่วงที่ผ่านมานักกิจกรรมในพื้นที่ประท้วงต่อต้านท่อส่งน้ำมันถูกโจมตีทั้งจากปืนน้ำในช่วงที่อากาศหนาวจัด มีการทุบตี ใช้กระสุนยางและมีบางคนเปิดเผยว่าถูกระเบิดสร้างแรงสะเทือน จนเกือบสูญเสียแขนตัวเอง
เวสลีย์ คลาร์ก จูเนียร์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มทหารผ่านศึกเคียงข้างสแตนดิงร็อค ร่วมกับ คานดี มอสเซตต์ ตัวแทนจากกลุ่มเครือข่ายสิ่งแวดล้อมชนพื้นเมือง และเบรนดา ไวท์ บูลล์ ผู้ที่เคยทำหน้าที่ในหน่วยนาวิกโยธินมา 20 ปี แถลงว่าพวกเขาส่งข้อความถึงตัวแทนของกองกำลังพิทักษ์ชาติ สมาคมทหารผ่านศึก หน่วยงานความมั่นคงเอกชนไทเกอร์สวอนที่ถูกจ้างโดยโครงการท่อส่งน้ำมันคาโคตา และหน่วยงานบังคับกฎหมายของนอร์ทดาโคตาเอง โดยที่พวกเขาไปหารือกับฝ่ายผู้ปราบปรามการชุมนุมว่าพวกเขามาอย่างสงบและสันติ
กลุ่มทหารผ่านศึกเหล่านี้ยังบอกอีกว่าการปิดกั้นสะพานของหน่วยรักษาความสงบไม่เพียงแค่ส่งผลต่อผู้ปักหลักชุมนุมแต่ยังเป็นการปิดกั้นเส้นทางบริการสาธารณะฉุกเฉิน นอกจากนี้พวกเขายังเจรจาสร้างข้อตกลงไม่ให้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐนอร์ทดาโคตาเข้าไปในพื้นที่ปักหลักชุมนุมและเปิดเผยแผนการว่าจะจัดตั้งค่ายที่พักและโรงอาหารของพวกเขาในจุดปักหลักชุมนุมเพื่อช่วยคุ้มกันผู้ชุมนุมโดยพวกเขาบอกว่าพวกเขารู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องปกป้องคุ้มครองสแตนด์ดิงร็อคซูส์
ถึงแม้ว่ากระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ จะเรียกร้องให้ทำอะไรบางอย่างกับการใช้กำลังของตำรวจต่อผู้ชุมนุม โดยที่ ลอเร็ตตา ลินช์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมให้สัญญาว่าจะส่งคนเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อ "รักษาสันติ" แต่คำกล่าวของลินช์ก็ทำให้ผู้ชุมนุมส่วนนึ่งไม่พอใจโดยมองว่าลินช์แค่รักษาหน้าเท่านั้นและการที่จะไกล่เกลี่ยประนีประนอมได้อย่างแท้จริงคือการคืนผืนดินให้กับพวกเขา คอมมอนดรีมรายงานว่า สถานการณ์ของการขุมนุมในตอนนี้มีโอกาสสูงที่จะเกิดความรุนแรงจากตำรวจดำเนินต่อไป
ทารา ฮุสกา นักกิจกรรมชนพื้นเมืองกล่าวผ่านวิดีโอเฟซบุ๊กไลฟ์ว่าถึงแแม้เธอจะชื่นชมประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่สนใจเรื่องราวของชนพื้นเมืองและเคยมาเยี่ยมที่ชุมนุมด้วยตัวเอง แต่เธอก็ผิดหวังที่ไม่มีการทำอะไรเลยกับการที่ผู้ชุมนุมถูกปราบปรามอย่างต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์
หน่วยวิศวกรรมกองทัพสหรัฐฯ ยกเลิกการอนุญาตก่อสร้างท่อส่งน้ำมันผ่านแหล่งน้ำสำคัญ
จนกระทั่งถึงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (4 ธ.ค.) ตามเวลาของสหรัฐฯ หน่วยวิศวกรรมของกองทัพสหรัฐฯ ก็ประกาศยกเลิกการอนุญาตก่อสร้างท่อส่งน้ำมันดาโคตาแอคเซสไปป์ไลน์บนพื้นที่ของกลุ่มชนพื้นเมืองถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของกลุ่มผู้ประท้วงที่ต่อต้านโครงการนี้มาตลอดเกือบทั้งปี
โดยหน่วยวิศวกรรมของกองทัพสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกการก่อสร้างท่อส่งน้ำมันใต้ทะเลสาปโอวาฮีซึ่งเป็นแหล่งเก็บน้ำสำคัญของกลุ่มชนพื้นเมืองเว้นแต่จะมีการทำสำรวจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ซึ่งจะมีการพิจารณาเปลี่ยนเส้นทางการต่อท่อส่งน้ำมันไปยังพื้นที่อื่น
ถึงแม้ว่าคำประกาศนี้อาจจะเป็นแค่การยับยั้งการสร้างท่อส่งน้ำมันชั่วคราวและหลายคนก็มองว่าเป็นชัยชนะที่ใหญ่หลวงหลังจากที่ถูกปราบปรามด้วยความรุนแรงและถูกกวาดต้อนจับกุมมาเป็นเวลานาน แต่ก็มีนักกิจกรรมบางส่วนยังคงแสดงความสงสัยและมองเรื่องนี้อย่างระมัดระวังเพราะรัฐบาลสหรัฐฯ มีประวัติทรยศต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับกลุ่มชนพื้นเมืองมาโดยตลอดและเตือนให้กลุ่มผู้ประท้วงเฝ้าระวังเรื่องนี้ต่อไป
ทางด้านชนพื้นเมืองสแตนดิงร็อคซูส์ออกแถลงการณ์แสดงความขอบคุณที่มีการตัดสินใจยกเลิกการให้อนุญาตสร้างท่อส่งน้ำมันบนผืนดินของพวกเขาที่อาจจะส่งผลกระทบเป็นมลภาวะต่อแหล่งน้ำของคนในชุมชน "พวกเรารู้สึกขอบคุณที่มีผู้นำบางคนในรัฐบาลกลางเล็งเห็นว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง แม้จะทำตามกฎหมาย" เดฟ อาร์ชามบัลต์ ที่ 2 ประธานชนพื้นเมืองสแตนดิงร็อคซูส์กล่าวให้สัมภาษณ์ต่อสื่อเอ็นบีซี "ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชนพื้นเมืองอเมริกันที่พวกเขารับฟังเสียงของพวกเรา นี่เป็นสิ่งที่จะสืบทอดไปในประวัติศาสตร์และถือเป็นการอวยชัยแก่กลุ่มชนพื้นเมืองทั้งหมด"
เรียบเรียงจาก
Naomi Klein, Tulsi Gabbard Travel to Standing Rock Alongside Thousands of Veterans, Common Dreams, 03-12-2016 http://www.commondreams.org/news/2016/12/03/naomi-klein-tulsi-gabbard-travel-standing-rock-alongside-thousands-veterans
Veterans Arrive at Standing Rock to Act as 'Human Shields' for Water Protectors, Common Dreams, 02-12-2016 http://www.commondreams.org/news/2016/12/02/veterans-arrive-standing-rock-act-human-shields-water-protectors
'ประกันสังคม' แจงกำลังตรวจสอบและปรับปรุงระบบแอป 'My SSO' ให้เกิดความปลอดภัยที่สุด
หลังเครือข่ายพลเมืองเน็ต เผยแอปประกันสังคม “my SSO” ออกแบบผิดพลาด ไม่มีการยืนยันตัวตน ทำให้ข้อมูลผู้ประกันตน 14 ล้านคนตกอยู่ในความเสี่ยง ล่าสุด ผอ.ศูนย์สารนิเทศ ยันที่ผ่านมาไม่พบความเสี
5 ธ.ค. 2559 จากกรณีเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา เครือข่ายพลเมืองเน็ต (Thai Netizen Network) รายงานว่า ตั้งแต่ค่ำวันที่ 2 ธ.ค.59 ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และนักความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศหลายรายในเน็ต แชร์ความเห็นและการวิเคราะห์ข้อผิดพลาดของแอปพลิเคชันบริการประกันสังคม “my SSO” ที่ไม่มีมาตรการป้องกันการเรียกข้อมูลโดยผู้ที่ไม่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูล ไม่มีการยืนยันตัวตนในขั้นตอนลงทะเบียนและขั้นตอนเรียกข้อมูลเงินประกันสังคม พร้อมทั้งระบุด้วยว่าข้อมูลผู้ประกันตน 14 ล้านคนตกอยู่ในความเสี่ยง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
วานนี้ (5 พ.ย.59) ประชาไท ได้รับแจ้งจาก สราวุธ สุขสวรรค์ ผู้อำนวยการศูนย์สารนิเทศ สำนักงานประกันสังคม ว่า สำนักงานประกันสังคม ขอขอบคุณท่านที่แจ้งข้อมู
'ประวิตร' ยันไม่ปล่อยไว้ต้องทำตามกฎหมาย ปมบีบีซีไทยรายงานพระราชประวัติ ร.10
ภาพ: เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล
6 ธ.ค. 2559 จากกรณีเว็บไซต์และเฟซบุ๊กแฟนเพจบีบีซีไทย ได้รายงานพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จนได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางเนื่องจากเขียนเล่าเรื่องที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากสื่ออื่นๆ ในโลกของ “ภาษาไทย” ต่อมาได้เกิดโจมตีบีบีซีไทยและตัว บก.คนไทย ทั้งจากเซเลปและสำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมหลายคน จากนั้น จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ 'ไผ่ ดาวดิน' นักกิจกรรมผู้มีบทบาทในการเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหาร ซึ่งแชร์รายงานดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมคัดลอกข้อความบางส่วนจากรายงานดังกล่าวมาโพสต์ประกอบด้วย ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ซึ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในวันต่อมา ด้วยหลักทรัพย์ประกันตัว 400,000 บาท (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
ล่าสุดวันนี้ (6 ธ.ค.59) สำนักข่าวคมชัดลึก เนชั่นทีวีและสปริงนิวส์รายงานตรงกันว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวว่า อะไรที่ทำผิดกฎหมายหรือสร้างความเสียหาย ต้องถูกดำเนินการทั้งหมด บอกเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่า ต้องทำตามกฎหมาย ไม่มีปล่อยไว้และไม่เลือกปฏิบัติ ในภาพรวมเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายไปดำเนินการกับเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว เพราะมีทั้งข่าวจริงและไม่จริง
ผู้นำคิวบาลั่นไม่สร้างอนุสาวรีย์-ตั้งชื่อสถานที่ด้วยนาม 'ฟิเดล คาสโตร'
ราอูล คาสโตร ประธานาธิบดีของคิวบาประกาศว่ารัฐบาลจะไม่ตั้งชื่อถนนหรือทำอนุสาวรีย์สาธารณะของฟิเดล คาสโตร พี่ชายของเขาและอดีตผู้นำคิวบาที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานโดยบอกว่าเป็นความปรารถนาของฟิเดลเองที่ไม่ต้องการให้เกิดลัทธิบูชาตัวบุคคล
4 ธ.ค. 2559 คาสโตรผู้น้องที่เป็นผู้นำต่อจากฟิเดลกล่าวถึงเรื่องนี้ต่อหน้าฝูงชนที่เข้าร่วมแสดงความไว้อาลัยต่ออดีตผู้นำในเมืองซานติอาโกเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. โดยบอกว่าในที่ประชุมสภาครั้งถัดไปพวกเขาจะออกกฎหมายไม่ให้มีการตั้งชื่อถนนหรือสร้างอนุสาวรีย์ในที่สาธารณะตามที่ฟิเดลปรารถนา "เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว ชื่อของเขาและอะไรที่คล้ายๆ กัน จะไม่ถูกใช้เป็นชื่อสถาบัน ถนน สวนสาธารณะ หรือสถานที่สาธารณะอื่นๆ รวมถึงจะไม่มีการสร้างรูปปั้นครึ่งตัวหรืออนุสาวรีย์หรืออะไรที่เป็นการแสดงความเคารพต่อเขา"
ฟิเดล คาสโตร เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมาขณะอายุได้ 90 ปี ถึงแม้ว่าเขาจะบอกไว้ว่าไม่ต้องการให้เกิดลัทธิบูชาตัวบุคคลแต่ในทางตรงกันข้ามคนที่เคยร่วมต่อสู้ปฏิวัติคิวบาอย่าง คามิโล เซียนฟูเอโกส และเออร์เนสโต 'เช' เกวารา ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นทั่วไปในคิวบาหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิตไปแล้วหลายสิบปี
ราอูล นำอัฐิของฟิเดลมาที่ซานติอาโกหลังการเคลื่อนขบวนทั่วคิวบาจากลานปฏิวัติในฮาวานา มีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมในลานปฏิวัติของเมืองซานติอาโกในช่วงค่ำคืนวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา และส่งเสียงคะโกนว่า "ฟิเดล! พวกเราคือฟิเดล!" ในพิธีรำลึกดังกล่าวยังมีผู้นำอื่นๆ ในแถบลาตินอเมริกาเข้าร่วมอย่าง เอโว โมราเลส ประธานาธิบดีโบลิเวีย ดาเนียล ออร์เตกา ผู้นำนิคารากัว นิโกลาส มาดูโร จากเวเนซุเอลา และ อดีตผู้นำบราซิลสองคนคือ ดิลมา รุสเซฟฟ์ กับ ลุลา ดา ซิลวา
หลังจากพิธีการอัฐิของคาสโตรก็ถูกนำไปฝังไว้ข้างที่หลุมศพของ โฮเซ มาร์ติ วีรบุรุษผู้กอบกู้เอกราชของคิวบาที่สุสานซานตาอิพิเจเนียในช่วงเช้าวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา ตามแผนการที่เคยวางไว้
เรียบเรียงจาก
Fidel Castro's name will never appear on a Cuba monument, says brother Raúl, The Guardian, 04-12-2016
https://www.theguardian.com/world/2016/dec/04/fidel-castro-name-cuba-never-on-monument-says-brother-raul
Comandante Fidel Laid to Rest in Heroes' Cemetery, Telesur, 04-12-2016
http://www.telesurtv.net/english/news/Comandante-Fidel-Laid-to-Rest-in-Heroes-Cemetery-20161204-0003.html
โปรดเกล้าแต่งตั้ง 10 องคมนตรี มีชื่อ 'พล.อ.ไพบูลย์-ดาว์พงษ์-ธีรชัย'
กระทรวงดิจิทัลบล็อคหน้ารายงาน 'พระราชประวัติ ร.10' ของบีบีซีไทย
6 ธ.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในไทย ได้แก่ 3BB, TRUE และ AIS ปิดกั้นการเข้าถึงหน้าเว็บบีบีซีไทยที่รายงานเรื่อง พระราชประวัติกษัตริย์พระองค์ใหม่ของไทย โดยเปลี่ยนทางไปที่ http://103.208.24.21/ ซึ่งมีตรากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และข้อความ "เว็บไซต์นี้มีเนื้อหาและข้อมูลที่ไม่เหมาะสม ถูกระงับโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม"
สำหรับรายงานพระราชประวัติ ร.10 ในบีบีซีไทย เป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวางหลังเผยแพร่สู่เว็บไซต์ได้ไม่นาน เนื่องจากเขียนเล่าเรื่องที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากสื่ออื่นๆ ในโลกของ “ภาษาไทย” โดยหลังจากเพจเฟซบุ๊กของบีบีซีไทย แชร์รายงานดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. มีผู้กดถูกใจ 27,887 ราย และมีการแชร์ต่อ 2,524 ครั้ง รวมถึงมีการอภิปรายถึงเนื้อหารายงานอย่างหลากหลาย
วันถัดมา จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ 'ไผ่ ดาวดิน' นักกิจกรรมผู้มีบทบาทในการเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหาร ซึ่งได้แชร์บทความดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมคัดลอกข้อความบางส่วนจากรายงานดังกล่าวมาโพสต์ประกอบด้วย ถูกจับกุมในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในวันต่อมา ด้วยหลักทรัพย์ประกันตัว 400,000 บาท
ล่าสุดวันนี้ (6 ธ.ค.59) สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวว่า อะไรที่ทำผิดกฎหมายหรือสร้างความเสียหาย ต้องถูกดำเนินการทั้งหมด บอกเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่า ต้องทำตามกฎหมาย ไม่มีปล่อยไว้และไม่เลือกปฏิบัติ ในภาพรวมเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายไปดำเนินการกับเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว เพราะมีทั้งข่าวจริงและไม่จริง