Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 58138 articles
Browse latest View live

นายกสมาคมนักข่าวฯ จ่อทวีความเคลื่อนไหว ค้าน ร่าง กม.คุมสื่อของ สปท.

$
0
0

นายกสมาคมนักข่าวฯ โพสต์อัด ร่าง กม.สื่อมวลชน ของ สปท. ชี้เป็นการ “ปิดปาก” สร้างนักข่าวภายใต้รัฐ จี้เลิกตีทะเบียนสื่อ ครอบงำประชาชน ลั่นตรียมทวีความเคลื่อนไหว ค้าน

ปราเมศ เหล็กเพ็ชร์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (แฟ้มภาพ : ประชาไท)

26 เม.ย. 2560 จากกรณี พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ รองประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เปิดเผยว่าจะนำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ….. เข้าสู่การพิจารณาของวิป สปท. คาดว่าจะสามารถบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ สปท. ในวันที่ 8-9 พ.ค. นี้ โดยเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาคือเรื่องโทษ กรณีหากนักข่าวไม่ไม่มีใบอนุญาต ตามเวลาที่กำหนดจะมีความผิด จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท รวมทั้งการขึ้นทะเบียนสื่อออนไลน์ ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์นั้น

วานนี้ (25 เม.ย.60) ปราเมศ เหล็กเพ็ชร์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความวิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Pramed Lekpetch' ในลักษณะสาธารณะ ในหัวข้อว่า "หยุด ตีทะเบียนสื่อ ครอบงำประชาชน"

ปราเมศ ระบุ ถึงสื่อภาคสนามทุกท่าน พร้อมระบุต่อว่า วันนี้มาถึงช่วงเวลาที่เราทุกคน ต้องรับรู้เรื่องจริงเกี่ยวกับวิชาชีพของเรา ที่เรากำลังเข้าสู่ช่วงที่ยากลำบากมาก เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจจะเลวร้ายจนเราคาดไม่ถึงด้วยซ้ำไป กฎหมายคุมสื่อ ภายใต้ชื่อที่เป็นวาทกรรมสวยหรู พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ขยับเข้ามาใกล้มากแล้ว 
 

เพื่อ “ปิดปาก” สร้างนักข่าวภายใต้รัฐ

นายกสมาคมนักข่าวฯ อธิบายว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ คือกฎหมายที่กำหนดนิยามคำว่าสื่อใหม่ และมีเป้าหมายเพื่อ “ปิดปาก” พวกเราอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนพวกเราจะไม่สามารถหาข้อมูล ค้นข้อเท็จจริง การตรวจสอบโครงการต่างๆ ที่ไม่ชอบมาพากลของรัฐ นำเสนอให้ประชาชนได้รับทราบได้เลย พวกเรา จะกลายไปเป็นนักข่าวภายใต้การดูแลขององค์กรที่รัฐสร้างขึ้นมาที่ชื่อว่า สภาองค์กรวิชาชีพสื่อ ซึ่งหมายถึงการใช้อำนาจรัฐเข้ามาควบคุมพวกเราอย่างแน่นอน
 
"คุณต้องไปทำบัตรขึ้นทะเบียนเป็นนักข่าวกับสภาองค์กรวิชาชีพ ถ้าเราที่ทำหน้าที่เป็นหมาเฝ้าบ้าน ไม่ทำบัตร แต่ออกไปทำข่าว จะมีโทษจำคุก 6 เดือน และเรายังต้องผ่านการประเมินทุกๆ ปี สภาองค์กรวิชาชีพสื่อที่ว่า จะเป็นคนประเมินคุณ 
แล้ว ถ้าคุณ เขียนข่าว ไม่เป็นที่ชื่นชอบของรัฐ จะได้ต่อบัตรไหม ยังไม่รวม ความคลุมเครือ ว่า เนื้อหาข่าว ที่จะเป็นปัญหา คืออะไร" ปราเมศ โพสต์
 
อีกไม่นานแล้ว ที่ร่างกฎหมายนี้จะผ่านสภา ในขณะที่พวกเรายังตั้งตัวกันไม่ติด เรายังรับรู้เรื่องนี้น้อยเกินไป ทั้งที่จะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างหนักหน่วง ที่สำคัญกว่าหน้าที่การงานของพวกเรา คือ วิชาชีพนี้ กำลังถูกทำลาย เราทุกคนจะกลายเป็นสื่อภายใต้อำนาจของรัฐ สุดท้ายถ้ากฎหมายผ่าน บรรยากาศการเขียนข่าว รายงานข่าว คงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความแหลมคมและความสวยงามบนตัวอักษรในวิชาชีพเราที่ใช้ตรวจสอบอำนาจรัฐ คงขาดหายไป และตอนนี้เขาตั้งกระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัลไปแล้ว เขาเอา กสทช. ที่เป็นองค์กรอิสระ ซึ่งเราต่อสู้เรียกร้องให้เกิดมานานนับ 10 ปี แต่ตอนนี้กำลังกลับเข้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไปแล้ว ทั้งที่เป็นองค์กรที่มีอำนาจมาก เขาเพิ่งปิดทีวีช่องหนึ่งไป 7 วัน ปิดสถานีวิทยุคลื่นหนึ่งไป 5 วัน นี้ขนาดเป็นองค์กรอิสระยังใช้อำนาจไม่ตรงกับเจตนารมณ์ขององค์กรอิสระ เมื่อกสทช.ตกอยู่ในอำนาจรัฐแล้ว เชื่อได้เลยสถานการณ์การปิดปากสื่อ ปิดหูปิดตาประชาชนจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น และถ้าร่างกฎหมายคุมสื่อฯผ่านอีกละ ทุกอย่างก็เข้าไปสู่อำนาจรัฐทั้งหมด 

เตรียมทวีความเคลื่อนไหว

"พี่น้องสื่อครับ วันนี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยที่เป็นองค์กรตัวแทนวิชาชีพของเรา และองค์กรวิชาชีพสื่ออื่นๆพยายามต่อสู้เรื่องนี้ภายใต้อำนาจรัฐที่ต้องการควบคุมสื่อเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด วันนี้ พลังของพี่น้องนักข่าวภาคสนามทุกคน เป็นความหวังของวิชาชีพ เราหวังให้พี่น้องจากสนามร่วมกันออกมาแสดงพลัง  ร่วมกันฉีกกฎหมายที่มีเจตนารมณ์อันอัปยศ ปิดปากสื่อ ปิดทางตรวจสอบการอำนาจรัฐฉบับนี้ และครอบงำประชาชนคนไทย ด้วยจิตคารวะ  แล้วรอติดตามเคลื่อนไหวไปด้วยกันที่ทวีจะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ" ปราเมศ โพสต์ทิ้งทั้าย
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แอมเนสตี้ฯ ร้องผู้นำอาเซียน ต้านการฆ่านอกกระบวนการยุติธรรมในสงครามปราบยาเสพติดฟิลิปปินส์

$
0
0

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์ ร้องผู้นำอาเซียนแสดงจุดยืนต่อต้านสิ่งที่อาจเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรมหลายพันครั้งใน “สงครามปราบปรามยาเสพติด” ในฟิลิปปินส์

26 เม.ย. 2560 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์ เรียกร้องผู้นำในภูมิภาคให้แสดงจุดยืนต่อต้านสิ่งที่อาจเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ระหว่างเข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งที่ 30 ของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่มะนิลาในสัปดาห์นี้ ในขณะที่มีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เตเกี่ยวข้องกับการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรมหลายพันครั้งใน “สงครามปราบปรามยาเสพติด” ในฟิลิปปินส์

แชมพา พาเทล (Champa Patel) ผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า ระหว่างที่ผู้นำอาเซียนกำลังนั่งประชุมในสถานที่อันสะดวกสบาย พวกเขาควรระลึกบ้างว่าประชาชนหลายพันคนถูกสังหาร ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการปราบปรามที่โหดร้ายของนายดูเตอร์เต เหยื่อเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากชุมชนชายขอบที่ถูกละเลย ซึ่งเท่ากับเป็นการทำสงครามกับคนยากจน

“ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น มีหลักฐานมากขึ้นเช่นกันว่า ทางการฟิลิปปินส์มีบทบาทในการนองเลือดครั้งนี้ การที่ฟิลิปปินส์เป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ท่ามกลางความอื้อฉาวที่โหดร้าย ควรเป็นสิ่งกระตุ้นให้รัฐบาลกำหนดเป็นวาระเร่งด่วนในการสอบสวนการสังหารอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้อย่างเป็นอิสระและมีประสิทธิภาพทั้งต้องประกาศอย่างชัดเจนว่า จะมีการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และยุติการละเมิดที่น่าตกใจเช่นนี้”

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องผู้นำอาเซียนให้ร่วมกันพิจารณาว่าการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์อาจถึงขั้นเป็น “การละเมิดอย่างร้ายแรง”ต่อธรรมนูญอาเซียน และโดยเฉพาะอาจถือเป็นการฝ่าฝืนต่อคำปฏิญาณตามธรรมนูญที่จะคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ตามข้อ 20(4) ของธรรมนูญ อาจจัดให้มีการประชุมสุดยอดอาเซียนในโอกาสดังกล่าวและพิจารณาแนวทางปฏิบัติร่วมกันได้

ในจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของฟิลิปปินส์ที่เผยแพร่ไปก่อนหน้านี้  ซึ่งลงนามโดยตัวแทนของแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่แนลกว่า 20 คนทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยุโรป และอเมริกา ระบุว่าแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังกระตุ้นให้ทางการฟิลิปปินส์ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้มีการสอบสวนโดยทันที อย่างไม่ลำเอียง และมีประสิทธิภาพต่อการสังหารที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งหมด และให้ดำเนินคดีอาญาต่อผู้ใดก็ตามที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีตำแหน่งหรือสถานะใด

นับแต่เดือนกรกฎาคม 2559 มีผู้ถูกสังหารมากถึง 9,000 คนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งกลุ่มติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย

เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูง และโดยเฉพาะตัวประธานาธิบดีดูเตอร์เตได้เรียกร้องอย่างเปิดเผยหลายครั้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งพลเมืองทั่วไปสังหารบุคคลที่ต้องสงสัยว่าใช้หรือจำหน่ายยาเสพติด แทนที่จะปฏิบัติตามกฎหมายในประเทศและเคารพพันธกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้แถลงว่า หากไม่มีการดำเนินงานอย่างจริงจังโดยทันที ทางศาลอาญาระหว่างประเทศควรพิจารณาเริ่มการไต่สวนในเบื้องต้นกรณีการสังหารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในระหว่างสงครามปราบปรามยาเสพติดที่รุนแรงและอาชญากรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในฟิลิปปินส์ รวมทั้งการเกี่ยวข้องของเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ว่าจะมีตำแหน่งและสถานะใด โดยใช้อำนาจตามธรรมนูญกรุงโรม (Rome Statute)  

สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นการประชุมทุกครึ่งปีของบรรดาผู้นำรัฐภาคี 10 แห่งของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่ออภิปรายถึงประเด็นปัญหาที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลตัดสินจำคุก 1 ปี ปรับ 5 พัน มือโพสต์หมิ่น 'เจ้าแม่จามเทวี' ผิด พ.ร.บ.คอมฯ

$
0
0

ศาลตัดสินคงจำคุก 1 ปี ปรับ 5,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี คุมประพฤติ 1 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้ง กรณีโพสต์เฟซบุ๊กหมิ่น 'เจ้าแม่จามเทวี' ผิด พ.ร.บ.คอมฯ

เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า ศาลจังหวัดลำพูนได้มีการอ่านคำพิพากษาตัดสินคดีหมายเลขดำที่ อ.2547/ 59 คดีหมายเลขแดงที่ 1086/60 พนักงานอัยการจังหวัดลำพูน โจทก์ และ ทรงพล พุ่มมีศรี จำเลย คดีอาญา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4-5 ก.พ. 2559 ได้มีผู้ที่ใช้นามแฝงในเฟซบุ๊กว่า Songpol TheBoom Phoommesri , ไม่เชื่อต้องลบหลู่ และสมเด็จ รวมถึงนามแฝงอีกหลายชื่อ ร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายลามกอนาจาร ลักษณะเชิงดูหมิ่นดูแคลนเจ้าแม่จามเทวี หรือพระนางจามเทวี ปฐมกษัตรีผู้สร้างเมืองหริภุญไชย ตามประวัติศาสตร์ ซึ่งมีการสร้างอนุสาวรีย์พระนางจามเทวีไว้กลางเมืองลำพูน 
       
หลังจากมีการโพสต์ข้อความดังกล่าวในเฟซบุ๊ก ประชาชนทั่วไปในโลกโซเชียลฯ ต่างพากันแสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วยต่อการกระทำดังกล่าวนั้น จึงมีการนัดกันทางโซเชียลฯ รวมตัวกันเพื่อล่ารายชื่อบริเวณลานอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี และถนนคนเดินจังหวัดลำพูน

ต่อมาวันที่ 29 ก.พ. 59 ตัวแทนกลุ่มประชาชนได้นำเรื่องดังกล่าวไปร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมกับดำเนินการแจ้งความต่อ ร.ต.อ.จิราวัฒน์ ประเสริฐกุลศิริ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองลำพูน เพื่อดำเนินการสอบสวนสืบสวนหาคนที่โพสต์ข้อความดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย เช่น ข้อหาหมิ่นประมาท, ข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
       
จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลก็พบว่าผู้ที่โพสต์ข้อความดังกล่าวคาดว่าจะเป็น ทรงพล พุ่มมีศรี อายุ 23 ปี ชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงได้ออกหมายเรียกมาสอบสวน และแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบตามลำดับ นำตัวส่งดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม
       
รายงานข่าวระบุว่า ศาลจังหวัดลำพูนได้ออกบัลลังก์อ่านคำพิพากษา ตัดสินลงโทษจำเลยตามความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ม.14 (4) ป.อ.ม.91, ป.อ.ม.78 จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลตัดสินคงจำคุก 1 ปี ปรับ 5,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี คุมประพฤติ 1 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้ง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'องค์กรสิทธิกระเทย' ร้อง จนท.-สื่อ หยุดตีตรา-เลือกปฏิบัติต่อสาวประเภทสองและคนข้ามเพศในพัทยา

$
0
0

องค์กรส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง หยุดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อสาวประเภทสองและคนข้ามเพศในพัทยา 

26 เม.ย. 2560 จากกรณีที่ได้มีการนำเสนอผ่านสื่อออนไลน์ เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา กรณีตำรวจเข้าจับกุมสาวประเภทสองและคนข้ามเพศในพื้นที่พัทยา อันเนื่องมาจากจากการนำเสนอข่าวผ่านสื่ออังกฤษระบุว่าพัทยาเป็น 'นครแห่งบาป' เป็นเมืองหลวงแห่งเซ็กส์ ส่งผลให้มีการดำเนินการปราบปรามการค้าประเวณี และเหตุการณ์ การทำร้ายร่างกายน้องสาวประเภทสอง ซึ่งเข้ามาร้องเรียนให้ดำเนินคดีวันที่  21 เม.ย. 2560 ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี แต่กลับถูกเหมารวมจนเป็นข่าวในโลกออนไลน์และมีผู้แชร์เป็นจำนวนมาก ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา

ล่าสุด 25 เม.ย.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูลนิธิซิสเตอร์และองค์กรที่ดำเนินงานด้านส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ออกแถลงการณ์ เรื่อง การตีตราและเลือกปฏิบัติต่อสาวประเภทสองและคนข้ามเพศในพัทยา  เรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติดังนี้ 1. เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายต้องไม่นำเอาความแตกต่างทางเพศสภาพและเพศวิถีมาเป็นเงื่อนไขในจับกุมและดำเนินคดี และไม่เหมารวมว่าสาวประเภทสองทุกคนเป็นอาชญากร 2. เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายต้องเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยไม่ข่มขู่ คุกคามและล่วงละเมิดทางเพศ การจับกุม และใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ในดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรม

3. สื่อมวลชนต้องนำเสนอหาเนื้อที่เป็นกลางและข้อมูลที่รอบด้าน และไม่ใช้ภาษาและถ้อยคำในการนำเสนอข่าวที่มีอคติและตีตรา เช่น สายเหลือง, กวาดล้าง, และเร่ค้ากาม เป็นต้น 4. ควรมีการศึกษาฝึกอบรมแก่เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายอื่นๆ ให้เกิดความเข้าใจเรื่องเพศสภาพและเพศวิถีบนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน 5. สร้างกลไกการมีส่วนร่วม และ/หรือ ระบที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาระหว่างรัฐกับหน่วยงานภาคประชาสังคม เช่นจัดให้มีการประชุมและการสร้างการมีส่วนร่วมในพื้นที่ร่วมกันโดยเร็ว และ 6. กลไกคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของหน่วยงานภาครัฐต้องเข้าไปดำเนินการปกป้องคุ้มครองสิทธิและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้ทันต่อสถานการณ์

แถลงการณ์ระบุด้วยว่า มูลนิธิซิสเตอร์ ซึ่งเป็นองค์กรที่ดำเนินงานด้านการส่งเสริมระบบบริการสุขภาพและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของสาวประเภทสองและคนข้ามเพศ ร่วมกับองค์กรที่ดำเนินงานด้านส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ รายชื่อปรากฏด้านล่าง ร่วมแสดงความคิดเห็นว่า มนุษย์ทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม เคารพต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และต้องไม่เลือกปฏิบัตติด้วยเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศ ทั้งในการกระบวนการยุติธรรมและการนำเสนอข่าวของสื่อ โดยต้องคำนึงถึงความละเอียดอ่อนทางเพศสภาพซึ่งเป็นส่วนสําคัญของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จะเห็นได้ว่า

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้มีการกำหนดมาตรการไว้ เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า “...ห้ามการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความแตกต่างทาง เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม การเมือง และเพศ หมายความถึง เพศสภาพ อัตลักษณ์ทางเพศ และรสนิยมทางเพศ...”

พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้ “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” หมายความว่า การกระทําหรือไม่กระทําการใด อันเป็นการแบ่งแยก กีดกัน หรือจํากัดสิทธิประโยชน์ใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยปราศจากความชอบธรรม เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกําเนิด

หลักการยอกยาการ์ต้า หลักการข้อ 9. สิทธิในด้านการปฏิบัติในลักษณะความเป็นมนุษย์ระหว่างถูกควบคุมตัว มนุษย์ที่ถูกจํากัดเสรีภาพทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมและอย่างเคารพต่อศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์และอัตลักษณ์ทางเพศเป็นส่วนสําคัญของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของแต่ละบุคคล

สำหรับ รายชื่อองค์กรภาคีและบุคคลที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนของของกะเทย สาวประเภทสองและคนข้ามเพศ ที่ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์นี้ประกอบด้วย  1. มูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน 2. มูลนิธิธีรนาถ กาญจนอักษร 3. มูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมระหว่างเพศ 4. มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ 5.สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย 6.มูลนิธิเอ็มพลัส 7.มูลนิธิเอเชียแปซิฟิคทรานเจนเดอร์เน็ทเวริ์ค 8. กลุ่มพะยูนศรีตรัง 9. องค์กรอันดามันพาวเวอร์ 10. กลุ่มโรงน้ำชา 11. มูลนิธิเดอะพอสโฮมเซ็นเตอร์ 12. องค์กรแคร์แมทเชียงใหม่ 13. องค์กรพิ้งมังกี้เพื่อความหลากหลายทางเพศประเทศไทย 14. องค์กรบางกอกเรนโบว์ 15. องค์กรสายรุ้งโพธาราม 16. เครือข่ายสุขภาพและโอกาส และ 17.มูลนิธิโอโซน

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้ร่าง กม.ดักฟัง แจงโลกเสรียึดมั่นหลักนิติรัฐทั่วโลก ก็มี ย้ำมุ่งคุ้มครองเหยื่อ

$
0
0

ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ โพสต์แจงเหตุเสนอกฎหมายดักรับข้อมูลของตำรวจ มุ่งคุ้มครองเหยื่ออาชญากรรม ไม่ใช่อยากได้อำนาจเข้าทำร้ายใคร  ยันในโลกเสรี ที่ยึดมั่นหลักนิติรัฐทั่วโลก เขาก็มีกฎหมายนี้

พ.ต.อ.ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ (ภาพจาก iLaw)

27 เม.ย. 2560 จากกรณีเมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) ซึ่งเกี่ยวกับการให้อำนาจการเข้าถึงพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยถอดเรื่องนี้ออกจากชั้นความลับที่สุด เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้แล้ว กฎหมายทุกฉบับต้องผ่านการรับฟังความเห็นจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีเรื่องเกี่ยวกับการดักฟังข้อมูลด้วย แต่ไม่อยากให้วิตกกังวล เพราะเจ้าหน้าที่จะเข้าถึงข้อมูลได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุมัติจากศาล และทำได้เฉพาะในคดีอาญา จึงไม่ต้องกังวลว่าภาครัฐจะล้วงความลับหรือดักจับข้อมูลของประชาชน

ล่าสุดวันนี้ (27 เม.ย.60) พ.ต.อ.ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รอง.ผบก. (International Law Enforcement Academy : ILEA ) โพสต์บันทึก 'การเสนอกฎหมายดักรับข้อมูลของตำรวจ' ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'SIRIPHON KUSONSINWUT' ในลักษณะสาธารณะ อธิบายถึงเหตุผลของการกฎหมายถึงกล่าวในฐานะคนร่างกฎหมาย และร่วมคณะผู้แทนตำรวจชี้แจงกฎหมายต่อคณะกรรมการประสานงานรัฐบาล (วิป) เพื่อชี้แจงร่างกฎหมาย การดักรับข้อมูล ก่อนนำเข้า สนช.   

"ผมยืนยันว่า โลกเสรี ที่ยึดมั่นหลักนิติรัฐทั่วโลก เขาก็มีกฎหมาย Intercept Law ทั้งนั้นครับ ถ้าบอกกฎหมายนี้ เผด็จการ แม่งเผด็จการทั้งโลกแหละครับ ... สุดท้าย ในฐานะผู้ยกร่าง ผมยืนยันว่า เรามุ่งคุ้มครองเหยื่ออาชญากรรม ไม่ใช่อยากได้อำนาจเข้าทำร้ายใคร แต่ใครจะ Abuse of Power ทำระยำตำบอนนั้น ผู้ร่างไม่เกี่ยว และผู้ร่างคิดว่า เราทำดีที่สุด เท่าที่จะทำได้แล้ว" พ.ต.อ.ศิริพล โพสต์
 
รายละเอียดดังนี้ 
 
1 ) หลักการกฎหมาย มีปรัชญาสำคัญ คือ คุ้มครองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรม เพราะมีคดีกว่า 600,000 คดีต่อปี ที่เหยื่ออาชญากรรม ไม่มีสิทธิอะไร นอกจากการแจ้งความ กับการไปเบิกความต่อศาล หรือไปเรียกร้องเงินค่าปลงศพ กับค่ารักษา จากกองทุนยุติธรรม  แต่เสียงของเหยื่อ ไม่ได้รับการดูแล  และไม่ได้รับการฟัง อีกทั้ง ตำรวจยังไม่มีเครื่องมือในการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อประโยชน์ของเหยื่อ นอกจากหมายเรียกฯ เท่านั้น เหยื่ออาชญากรรม จึง ไม่ได้รับการดูแลเท่าฝ่ายผู้กระทำผิดเลย แม้แต่น้อย  ถึงเวลาที่จะต้องสร้างสมดุลย์ให้กับสิทธิของเหยื่อกับสิทธิของผู้กระทำผิด ?
 
2 ) ความจำเป็นในการมีกฎหมายนี้ คือ ผู้กระทำผิดใช้เทคโนโลยีทันสมัยและพยานหลักฐานทั้งหลายอยู่ในมือและครอบครองของผู้กระทำผิด สามารถทำลายได้ง่าย ในขณะที่ตำรวจ ตาม ป.วิ.อาญา จะมีอำนาจเพียงการออกหมายเรียก และการตรวจการณ์ทั่วไป การรวบรวมพยานหลักฐานจึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะคดีความมั่นคง พยานหลักฐานน้อย ถูกยกฟ้องประมาณ ร้อยละ 70 กันเลยทีเดียว 
 
3 ) วิธีการดักรับข้อมูล จะต้องถูกตรวจสอบภายในองค์กร คือ ผู้การเห็นชอบ แล้วจึงขออนุมัติต่อศาล ซึ่งจะต้องเป็น อธิบดีศาลอาญา หรือ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเท่านั้น ซึ่งศาลที่มีประสบการณ์สูงเหล่านี้ จะมีดุลพินิจที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์มายาวนาน ไม่ใช่ผู้พิพากษาทั่วไป ที่อาจจะทำให้ดุลพินิจแตกต่างกันได้ง่าย 
 
4 ) แนวทางการขอดักรับข้อมูล ประกอบด้วย 
 
4.1 ) มีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่ามีการกระทำผิด คือ Probable Cause ว่ากระทำผิดจริง ในความผิดไม่กี่ฐาน เช่น ความผิดต่อความมั่นคง ความผิดฐานก่อการร้าย ความผิดที่สลับซับซ้อนที่มีอัตราโทษอย่างสูงเกิน 10 ปี ไม่ใช่คดีขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง เล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไป แต่เป็นคดีที่มีโทษร้ายแรง และถ้าไม่ใช้วิธีการนี้ เหยื่ออาชญากรรม จะไม่มีทางได้รับการเยียวยา หรือ ความยุติธรรมจะเสียหาย เพราะไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริงเข้าสู่ระบบกระบวนการยุติธรรมได้ 
 
4.2 ) ไม่สามารถสืบสวนได้ด้วยวิธีการปกติแล้ว เช่น ออกหมายเรียกไม่ได้ หรือ ไปเฝ้าฝังตัว ตำรวจก็จะตายเปล่า หรือ ทางเทคนิคจะต้องได้พยานหลักฐานด้วยการเข้าถึงเท่านั้น 
 
4.3 ) ตำรวจจะต้องแสดงให้ศาลเห็นว่า ทำไม จึงต้องได้ข้อมูลเช่นนั้น ตำรวจต้องการข้อมูลระดับไหน และจะเข้าถึงด้วยวิธีการอย่างไร จึงจะกระทบสิทธิประชาชนน้อยที่สุด 
 
4.4 ) ศาลสามารถตรวจสอบและสั่งการเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ตลอดเวลา เช่น หยุดดักรับ หรือ กำหนดเงื่อนไข 
 
4.5 ) ต้องรายงานผลการดำเนินการต่อศาลต่อเนื่อง 
 
4.6 ) ต้องเก็บข้อมูลเป็นความลับ อะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีต้องทำลาย
 
4.7 ) การเปิดเผยข้อมูล ไม่ว่าโดยประชาชนที่อาจจะรู้เห็น ต้องโทษจำคุก 3 ปี ถ้าเป็นตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ จำคุก 3 เท่า และปรับหลักแสนบาท 
 
หมายเหตุ : abuse of power คือ การใช้อำนาจในทางที่ผิด, Probable cause คือ การพิสูจน์ให้เห็นถึงเหตุอันมีพยานหลักฐานเพียงพอ  และ Intercept Law กฎหมายเกี่ยวกับการดักฟัง 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อุทธรณ์ยืนจำคุก 9 ปี โบรกเกอร์ โพสต์เฟซบุ๊ก หมิ่นฯ กษัตริย์

$
0
0
คดี 'ปิยะ  โบรกเกอร์' ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก 9 ปีจากความผิด 1 กรรม แต่ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 6 ปี เหตุจำเลยให้การเป็นประโยชน์  ผิด ม.112 เขียนข้อความลงพระบรมฉายาลักษณ์ โพสต์ลงเฟซบุ๊กปี 56 เจตนาให้ปชช.เสื่อมศรัทธา 

 

แฟ้มภาพ

27 เม.ย. 2560 จากรเมื่อ 20 ม.ค. 59  ที่ศาลอาญา รัชดา ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่ ปิยะ จุลกิตติพันธ์ โบรกเกอร์ วัย 48 ปีตกเป็นจำเลยในความผิดตามมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊ก พงศธร บัญชร โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทกษัตริย์ ศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 9 ปีจากความผิด 1 กรรม แต่ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 6 ปี เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ในชั้นสอบสวน นั้น

ล่าสุดวันนี้ (27 เม.ย.60) สื่อหลายสำนัก เช่น มติชนออนไลน์ผู้จัดการออนไลน์และคมชัดลึกออนไลน์รายงานตรงกันว่า ต่อมาจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวนายปิยะ จำเลยมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งตลอดการพิจารณาคดี จำเลยไม่ได้รับการประกันตัว

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า จำเลยประกอบอาชีพเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต้องมีความรู้และความเข้าใจระบบคอมพิวเตอร์รวมถึงการใช้โปรแกรมเฟซบุ๊ก โดยจำเลยใช้บัญชีเฟซบุ๊กในชื่อ พงศธร บัญชร มาตลอด และพบภาพพร้อมข้อความที่ไม่เหมาะสมในคดีนี้ จำเลยอ้างทำนองว่ามีผู้อื่นใช้บัญชีเฟซบุ๊กของจำเลย อันเป็นการเบิกความลอยๆ และง่ายต่อการกล่าวอ้าง หากมีบุคคลอื่นแก้ไขใช้บัญชีเฟซบุ๊กของจำเลย และกลับไม่สนใจรวมทั้งมิได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ กับบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าว ยังคงใช้บัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวตลอดมา รวมถึงมิได้ดำเนินการใดๆ ซึ่งผิดปกติวิสัย ที่จำเลยอ้างนำสืบว่า เหตุที่จำเลยไม่ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะเกรงว่าจะถูกดำเนินคดีเนื่องจากมีผู้ใช้ชื่อ พงศธร บัญชร นั้นก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยทราบได้อย่างไรว่ามีการดำเนินคดีแก่จำเลยในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งความร้ายแรงของความผิดไม่อาจนำมาเป็นเหตุกล่าวอ้างได้ ที่จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ได้แจ้งไปทางเฟซบุ๊กและกูเกิลให้ลบภาพและข้อความที่ไม่เหมาะสมออกบางส่วนแล้ว แต่กลับปรากฏว่ายังคงเหลือพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมข้อความอยู่ และทราบจากเอกสารประกอบคำให้การของจำเลยว่า จำเลยได้แจ้งลบภายหลังจากที่มีการแจ้งความดำเนินคดีนี้แล้ว และที่จำเลยอ้างว่า เพิ่งทราบว่ามีการโพสต์พระบรมฉายาลักษณ์เมื่อปี 2557 ก็ไม่ได้นำพยานอื่นมาเบิกความแต่อย่างใด ดังนั้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้จัดทำและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้ชื่อนายพงศทอน บันทอน จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงอาฆาตมาดร้ายต่อพระมาหากษัตริย์ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน 
 
รายงานข่าวระบุถึง คำฟ้องโจทก์ด้วยว่า ว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2556 เวลาใดไม่ปรากฏชัด ถึงวันที่ 28 พ.ย. 2556 เวลาใดไม่ปรากฏชัด ต่อเนื่องกัน จำเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระมหากษัตริย์ โดยการโพสต์ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จำนวน 2 ข้อความ อยู่บนพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 2 ภาพ ในบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลยที่ใช้ชื่อว่า พงศธร บัญชร (SIAMAID) โดยเจตนาทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะ เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. ตำบลสำโรงกลาง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ, อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม, อำเภอเมือง จังหวัดน่าน และที่นอกราชอาณาจักร เกี่ยวพันกัน จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี
 
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์มีพนักงานสอบสวนและผู้ที่ตรวจสอบระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งได้รวบรวมพยานหลักฐานแจ้งความดำเนินคดีเบิกความว่ามีผู้โพสต์ข้อความที่อยู่บนพระบรมฉายาลักษณ์ แล้วนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยการนำลงไปโพสต์ในเฟซบุ๊กชื่อ พงศธร บัญชร (SIAMAID) การกระทำดังกล่าวมีเจตนาให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีผู้แชร์จำนวนมากจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (3), (5)
 
นอกจากนี้ยังฟังได้จากคำเบิกความจำเลยว่าเคยใช้เฟซบุ๊กระหว่างปี 2553-2554 ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่าได้แจ้งให้กูเกิลลบข้อความดังกล่าวไปแล้วนั้น จำเลยไม่ได้นำพยานอื่นมานำสืบให้ชัดเจนและการแจ้งให้ลบข้อความดังกล่าวนั้นก็เป็นช่วงหลังเกิดเหตุแล้วประมาณ 1 ปี พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
 
ทั้งนี้ ปิยะ ถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. 57 และถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.57 เรื่อยมาจนปัจจุบัน นอกจากนี้ยังยังถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เพิ่มเติมอีกเป็นคดีที่ 2 ในระหว่างถูกคุมขังในคดีนี้ โดยถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ส่งข้อความหมิ่นไปยังอีเมล์หลายชื่อ
 
ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความของปิยะ กล่าวถึงคดีนี้เมื่อครั้งที่ศาลชั้นต้นตัดสิน  20 ม.ค. 59 ด้วยว่า คดี 112 คดีนี้ถือเป็นคดีแรกที่ศาลาอาญาลงโทษจำคุกจำเลยหนักใกล้เคียงกับศาลทหาร ที่ผ่านมาหากจำเลยต่อสู้คดีในศาลอาญา โทษต่อกรรมของคดีนี้จะอยู่ที่ 5 ปีมาโดยตลอด เป็นที่น่าสังเกตว่าการเพิ่มขึ้นของโทษคดีลักษณะนี้เกิดขึ้นในยุคนี้ และน่าจะทำให้จำเลยที่คิดว่าตนเองบริสุทธิ์และอยากต่อสู้คดีจะยิ่งมีน้อยลงไปอีก

ศศินันท์ เคยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพยานหลักฐานในการต่อสู้คดีและการสืบพยานจากทนายความว่า หลักฐานอิเล็กทรอนิกส์มีเพียงรูปภาพที่แคปเจอร์มา 1 ภาพ และพยานบุคคลที่สำคัญ 1 ปากซึ่งศาลรับฟังและนำมาเป็นส่วนหนึ่งในคำพิพากษา ขณะที่พนักงานสอบสวนของปอท.และพยานปากอื่นๆ ไม่มีใครสามารถยืนยันว่ามีบัญชีเฟซบุ๊กนี้อยู่จริงเพราะไม่สามารถเข้าถึงได้ นอกจากนี้พนักงานสอบสวนได้ขอไอพีแอดเดรสของบัญชีดังกล่าวไปยังผู้ให้บริการเฟซบุ๊กแล้วแต่เฟซบุ๊กปฏิเสธการให้ข้อมูล

ทนายความขยายความถึงหลักฐานรูปภาพว่า เป็นภาพตัดต่อเฟซบุ๊กที่ถูกกล่าวหา-ข้อความหมิ่น-รูปโปรไฟล์ที่เป็นรูปของปิยะมาไว้รวมกันไว้ใน 1 ภาพซึ่งปริ๊นท์ออกมาเป็นกระดาษ ภาพดังกล่าวถูกแชร์ในโลกโซเชียลและมีบุคคลเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับปิยะหลายราย โดยมีผู้แจ้งความมาเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้รวม 5 คน แบ่งเป็น 3 คนแรกมาจากจังหวัดน่าน อีก 1 คนเป็นหมอจากจังหวัดนครปฐม ทั้งหมดเบิกความได้เห็นรูปภาพดังกล่าวจึงเข้าแจ้งความกับตำรวจ โดยไม่เคยเข้าถึงบัญชีเฟซบุ๊ก พงศธร บัญชร หรือเห็นข้อความต้นฉบับจากเฟซบุ๊กดังกล่าวมาก่อน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลสหรัฐฯ เบรกทรัมป์ตัดงบประมาณ 'เมืองที่ให้การคุ้มครองผู้อพยพ'

$
0
0

หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ พยายามตัดงบประมาณ "เมืองที่ให้การคุ้มครองผู้อพยพ" ล่าสุดศาลอุทธรณ์ภาค 9 ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีคำตัดสินไม่ให้ตัดงบประมาณดังกล่าว โดยผู้พิพากษา วิลเลียม เอช ออร์ริค ตัดสินเอื้อประโยชน์ให้กับเทศมณฑลซานตาคลาราและท้องที่อื่นๆ โดยเขาบอกว่าการขู่ตัดงบประมาณจากเมืองที่ให้การคุ้มครองผู้อพยพเหล่านี้มีโอกาสที่จะกลายเป็นเรื่องไม่ถูกต้องตามหลักการรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ

โดนัลด์ ทรัมป์ ในวันสาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อ 20 มกราคม 2560 (ที่มา: แฟ้มภาพ/The White House)

 

ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยประกาศใช้คำสั่งพิเศษชื่อว่า "การเสริมสร้างความปลอดภัยสาธารณะจากภาคส่วนภายในของสหรัฐอเมริกา" เรื่องนี้ไม่แค่ส่งผลกระทบต่อภายในประเทศอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นการปราบปรามผู้ลี้ภัยหรือแม้กระทั่งนักท่องเที่ยวจากประเทศมุสลิมบางประเทศที่รัฐบาลทรัมป์มองว่าเป็นภัยด้วย

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2560 ซีเอ็นเอ็นรายงานการตัดสินของผู้พิพากษาออร์ริคว่าเฉพาะนโยบายของทรัมป์ไม่ได้ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าหากเมืองต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ฟ้องร้องโดยอ้างเรื่องละเมิดรัฐธรรมนูญพวกเขาก็มีโอกาสชนะ เนื่องจากการตัดงบประมาณด้วยเหตุผลนี้จะส่งผลเสียหายอย่างไม่อาจทดแทนได้

ทางด้านทำเนียบขาววิจารณ์การตัดสินในเรื่องนี้ว่าเป็นการที่ศาล "ใช้อำนาจเกินขอบเขต" แต่พวกเขาก็ระบุว่าพวกเขาจะสามารถชนะได้ในศาลสูงสุด ไม่ว่าจะในเรื่อง "เมืองที่ให้การคุ้มครองผู้อพยพ" (sanctuary cities) หรือเรื่องการสั่งห้ามเดินทาง ทรัมป์เองทวีตวิจารณ์เรื่องนี้ในช่วงวันพุธ (27 เม.ย.) ว่าเป็นการตัดสินที่ "น่าขัน" ส่วนไรนซ์ พรีบัส เสนาธิการทำเนียบขาวกล่าวว่ามันเป็นเรื่องน่าแปลกที่ทำไมรัฐบาลถึงจำกัดการใช้งบประมาณของตัวเองไม่ได้

อย่างไรก็ตามคำตัดสินของศาลยังพอจะให้ช่องทางจัดการของรัฐบาลทรัมป์อยู่บ้างเนื่องจากไม่ได้ห้ามการจำกัดเงื่อนไขการให้งบประมาณโดยรัฐบาลกลางรือไม่ได้ห้ามรัฐบาลในการแก้ไขนิยาม "เมืองที่ให้การคุ้มครองผู้อพยพ" โดยที่ผู้พิพากษาระบุว่าการสั่งระงับเงินงบประมาณเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างไม่อาจทดแทนได้และถึงแม้ว่าคำสั่งจะยังไม่ออกมาแต่การขู่ว่าจะนำงบประมาณออกก็สร้าง "ความไม่แน่นอนทางด้านงบประมาณ" ได้

ทางด้านเจมส์ วิลเลียมส์ ทนายความของฝ่ายเทศมณฑลซานตาคลาราบอกว่าเรื่องนี้เป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของพวกเขา ทางด้านเดนนิส เฮอร์เรรา กล่าวว่านี่คือเหตุผลในการมีอยู่ของศาลคือปรามการใช้อำนาจของประธานาธิบดีหรืออัยการสูงสุดที่ละเลยรัฐธรรมนูญ

ออร์ริค ยังชี้ให้เห็นโดยการนำโวหารของทรัมป์เทียบกับถ้อยแถลงของตัวแทนกฎหมายของทรัมป์ในศาลว่าข้อความของทรัมป์ขัดแย้งกับ "การตีความใหม่ที่แคบลง" ของทนายความฝ่ายรัฐบาล เพราะทรัมป์เคยบอกว่ามาตรการของเขาจะถูกใช้เป็น "อาวุธ" ในการจัดการกับการพิจารณาใดๆ ก็ตามที่ไม่ตรงกับนโยบายที่เขาปรารถนาเกี่ยวกับผู้อพยพ

นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องที่การระงับงบประมาณจากส่วนกลางจะมีผลต่องบประมาณด้านการบังคับใช้กฎหมายด้วยซึ่งเหล่าเมืองที่ให้การคุ้มครองผู้อพยพต่างก็บอกว่าพวกเขามีนโยบายเป็นเมืองคุ้มครองเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยกับประชาชนอยู่แล้วโดยการให้ผู้อพยพที่ไม่มีใบอนุญาตรู้สึกปลอดภัยที่จะทำงานโดยมีผู้บบังคับกำหมายคอบดูแลไม่ให้เกิดอาชญากรรม

เรียบเรียงจาก

Judge blocks part of Trump's sanctuary cities executive order, CNN, 26-04-2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยิ่งลักษณ์ ชี้ 'จำนำข้าว' เงินถึงมือชาวนา อัดซื้อเรือดำน้ำใช้วาระลับ ปิดกั้นสาธารณชนร่วมตรวจสอบ

$
0
0

หวัง สตง. และ ป.ป.ช. เข้ามาตรวจสอบให้เข้มข้น เหมือนกับที่เคยทำกับรัฐบาลพลเรือนในอดีตโดยไม่เลือกปฏิบัติ ระบุใช้วาระลับ ทำให้ไม่มีการเปิดโอกาสให้หน่วยงานหรือสาธารณชนร่วมตรวจผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ

แฟ้มภาพ

27 เม.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ เมื่อเวลา 16.17 น. ที่ผ่านมา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Yingluck Shinawatra' วิจารณ์กรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้จัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน โดยใช้วาระลับ โดยระบุว่า การใช่วาระลับดังกล่าว ทำให้ไม่มีการเปิดโอกาสให้หน่วยงานหรือสาธารณชนร่วมตรวจผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินที่ต้องมีภาระคำนึงถึงความจำเป็น ความเหมาะสมความคุ้มค่าและการเปรียบเทียบราคาอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทางราชการและประเทศชาติ และยังเป็นการใช้ภาระงบประมาณสูง ผูกพันหลายปีงบประมาณจนเป็นภาระหนี้ให้กับรัฐบาลถัดๆ ไปในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากนั้น

กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ได้ออกมากล่าวหาถึงโครงการรับจำนำข้าวว่าทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก ต้องมาผ่อนชำระ ชดใช้หนี้ต่างๆ ในระบบการเงินการคลังของประเทศนั้น ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ถือเป็นการให้ร้ายต่อรัฐบาลตน ทั้งที่ตนก็อยากจะบอกว่า ถ้า นายกฯประยุทธ์ กล่าวหาว่าโครงการรับจำนำข้าวทำให้ประเทศเสียหาย ก็น่าจะเทียบได้กับการจัดซื้อรถถัง และเรือดำน้ำ แถมยังมีแผนจะจัดซื้อเพิ่มเติมในอนาคตอีก

"ดิฉันขอยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าว เป็นการนำเงินทุกบาททุกสตางค์โอนเงินผ่าน ธ.ก.ส. จ่ายถึงมือชาวนาโดยตรงซึ่งมีผลทำให้ชาวนาได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก เศรษฐกิจดีขึ้น แต่วันนี้พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศมาถึง 3 ปีแล้วยังพบปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องแก้ไขถึงขั้นจะยกเลิกโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ดูแลสุขภาพประชาชน และปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ แต่กลับใช้เงินงบประมาณไปกับการซื้อรถถัง เรือดำน้ำซึ่งในอนาคตก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องซื้ออีกกี่ลำถึงจะสามารถป้องกันประเทศได้ ทั้งๆ ที่อ่าวไทยนั้นตื้นเขิน และยังต้องคำนึงถึงปัญหาเทคนิคด้านประสิทธิภาพที่ยังไม่เป็นข้อยุติ และประเทศก็อยู่ในสภาวะปกติที่ยังไม่มีภัยคุกคามจากเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ข้ออ้างของการจัดซื้อเพื่อใช้ดูแลทรัพยากรชายฝั่งก็คงไม่จำเป็นที่ต้องใช้เรือที่มีราคาแพงขนาดนี้ อย่างนี้ไม่รู้ว่าท่านในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารเลือกที่จะให้น้ำหนักความมั่นคงหรือปากท้องของประชาชนกันแน่ โดยเฉพาะภายใต้การบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ คณะรัฐมนตรีต้องปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐและแผนยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งยังร่างไม่แล้วเสร็จ ก็หวังว่าปัจจุบันรัฐบาลนี้อยู่ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะปฏิบัติตาม" ยิ่งลักษณ์ โพสต์

อดีตนายกฯ โพสต์ด้วยว่า ตนหวังว่าหน่วยงานราชการทั้ง สตง. และ ป.ป.ช. จะไม่ละเลยอำนาจหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ โดยเข้ามาตรวจสอบให้เข้มข้น เหมือนกับที่เคยทำกับรัฐบาลพลเรือนในอดีตโดยไม่เลือกปฏิบัติ และมีความเท่าเทียมกัน และไม่ควรมีการอ้างเรื่องชั้นความลับของทางราชการแต่อย่างใด เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาก็มีข้อคิดเห็นหรือทักท้วง ข้อเสนอแนะมาโดยตลอดทั้งทางเทคนิคด้านประสิทธิภาพ ความเหมาะสมกับการใช้งานในการดูแลความมั่นคงรวมถึงภาระหนี้ที่จะเกิดถึงในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วย

ยิ่งลักษณ์ ระบุอีกว่า ในที่สุดเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 60 ครม. ก็ได้เห็นชอบให้ซื้อเรือดำน้ำและเป็นวาระลับโดยไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ ทั้งๆ ที่บทบัญัญัติตามรัฐธรรมนูญใหม่บังคับให้ “การบริหารราชแผ่นดิน คณะรัฐมนตรี ต้องเปิดเผยและมีความรอบคอบและความระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม”

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จัดอันดับเสรีภาพสื่อ-ไทยร่วงมาอยู่อันดับ 142 ผลพวงรัฐควบคุม-คุกคามหนัก

$
0
0

องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนจัดอันดับเสรีภาพสื่อโลก ไทยยู่อันดับ 142 ร่วงลงมา 6 อันดับจากปีก่อน เหตุเพราะรัฐควบคุม คุกคามหนัก ขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกติดอันดับโลกด้านคุกคามสื่อหลายประเด็น นับเป็น “หลุมดำของข้อมูลและข่าวสาร” เลขาธิการสื่อไร้พรมแดนชี้ ประชาธิปไตยถดถอย เผด็จการผงาด ทำสื่อทั่วโลกอยู่ยาก

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ที่ผ่านมา องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (Reporter Without Borders: RSF) ประกาศดัชนีเสรีภาพของสื่อทั่วโลกประจำปี 2017 ในรายงานระบุว่า เสรีภาพสื่อของไทยได้คะแนน 44. 69 อยู่อันดับที่ 142 จาก 180 ประเทศ ต่ำกว่าพม่าซึ่งอยู่อันดับที่ 131 และกัมพูชาอันดับที่ 132 โดยไทยหล่นจากอันดับที่ 136 จากปีที่แล้ว

RSF ระบุว่าสื่อไทยนั้น “ถูกปิดปากด้วยความสงบและระเบียบ” ภายใต้รัฐบาล คสช. และหัวหน้าคณะ คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ RSF ระบุว่าเป็น “นักล่าเสรีภาพสื่อ (Press freedom predator) สื่อและประชาชนถูกควบคุมอย่างถาวร มีการเรียกไปสอบสวนและกักขังตามอำเภอใจบ่อยครั้ง การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล คสช. มักจะถูกตอบโต้ด้วยการใช้มาตรการที่รุนแรงผ่านกลไกนิติบัญญัติและกระบวนการยุติธรรมจากคำสั่งของ คสช. นอกจากนี้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฉบับแก้ไขล่าสุดยังให้อำนาจรัฐในการเซ็นเซอร์และตรวจสอบสื่อมากขึ้น นอกจากนั้น กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กลายเป็นเครื่องมือในการป้องปรามสื่อและนักกิจกรรมบนพื้นที่ออนไลน์

กระแสโลกเลี้ยวขวาทำสื่ออยู่ยาก

RSF ระบุว่า กระแสเลี้ยวขวา หรือภาวะประชาธิปไตยถดถอยในหลายปีที่ผ่านมาได้คุกคามเสรีภาพสื่อ เพราะรัฐเข้ามาตรวจสอบและละเมิดสิทธิการสงวนตัวตนของแหล่งข่าวมากขึ้น เสรีภาพสื่อลดลงในทุกประเทศที่มีผู้นำประเภทเผด็จการ เช่นโปแลนด์ที่ใช้สื่อวิทยุ โทรทัศน์สาธารณะเป็นเครื่องมือดำเนินโฆษณาชวนเชื่อจากทางรัฐ และใช้มาตรการทางการเงินบีบสื่อที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล และตุรกีภายใต้ประธานาธิบดีเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ที่ปีนี้ได้อันดับที่ 155 ที่มีมาตรการจับกุมสื่อจนได้ชื่อว่าเป็นคุกสำหรับสื่อที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว

คริสตอฟ เดโลอาร์ เลขาธิการ RSF กล่าวว่า “กระแสที่ประชาธิปไตยกำลังอยู่บนจุดพลิกผันเป็นสัญญาณเตือนให้คนที่มีความเข้าใจอยู่แล้วว่า ถ้าเสรีภาพสื่อไม่ถูกคุ้มครองแล้ว ก็ไม่สามารถการันตีว่าเสรีภาพอื่นๆ จะปลอดภัย”

สื่อถูกคุกคามหนักที่สุด เอเชีย-แปซิฟิกแย่เป็นที่สาม แต่โหดทะลุสถิติโลกหลายรายการ

รายงานระบุว่า อัตราของสื่อที่ถูกควบคุมและล่วงละเมิดทั่วโลกสูงขึ้น 14 เปอร์เซนต์ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ปีที่แล้วมีจำนวนประเทศที่เข้าเกณฑ์เสรีภาพสื่อย่ำแย่ลงถึง 2 ใน 3 ในขณะที่จำนวนประเทศที่เสรีภาพสื่ออยู่ในระดับดี หรือดีพอใช้ ตกลงมา 2.3 เปอร์เซนต์

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีการล่วงละเมิดสื่อมากที่สุดเป็นอันดับ 3 แต่มีตัวเลขที่เป็นสถิติโลกหลายรายการ ดังนี้

จีนและเวียดนาม(อันดับที่ 176 และ 175 ตามลำดับ) คุมขังนักข่าวและบล็อกเกอร์ (blogger) มากที่สุดในโลก

ปากีสถาน ฟิลิปปินส์และบังกลาเทศ (อันดับที่ 139 127 และ 146 ตามลำดับ)เป็นประเทศที่สื่อตกอยู่ในสภาวะอันตรายมากที่สุดในโลก

ภูมิภาคเอเชียมีจำนวนผู้นำเป็นนักล่าเสรีภาพสื่อมากที่สุดในโลก หมายรวมถึงจีน เกาหลีเหนือและลาวด้วย (อันดับที่ 176 180 และ 170 ตามลำดับ) โดย RSF ระบุว่า ภูมิภาคนี้เป็น “หลุมดำของข้อมูลและข่าวสาร”

ดัชนีชี้วัดของ RSF ในระดับภูมิภาคและโลกนับจากคะแนนที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกประเมินจากแบบสอบถาม บวกกับการนำเอาการวิเคราะห์เชิงคุณภาพมาสนับสนุน โดยคะแนนบ่งบอกถึงระดับความตึงเครียดและการล่วงละเมิดเสรีภาพสื่อ ยิ่งมีคะแนนสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแย่เท่านั้น โดยประเทศที่สื่ออยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดได้แก่นอร์เวย์ โดยมีคะแนนเพียง 7.60 ในขณะที่ลำดับสุดท้าย ได้แก่ เกาหลีเหนือ มีคะแนนสูงถึง 84.98

 

แปลและเรียบเรียงจาก

Reporter Without Border, 2017 World Press Freedom Index, https://rsf.org/en/ranking#

Reporter Without Border, Thailand: Gagged by “Peace and Order”, https://rsf.org/en/thailand

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ ยังไม่เห็นด้วยกับ ร่าง พ.ร.บ.สื่อฯ ระบุฟังความเห็นจากปชช.ก่อน

$
0
0

พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เห็นด้วย ร่าง พ.ร.บ.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลสื่อฯ ระบุฟังความเห็นจากประชาชนก่อน แต่เคยมอบสมาคมสื่อฯ ดู ก็ไม่สามารถหาคนที่รับผิดชอบได้ จึงจำเป็นต้องมีการพูดคุยเรื่องนี้ 'มีชัย' แนะสื่อแจงเหตุผล หากไม่เห็นด้วย

แฟ้มภาพ

27 เม.ย. 2560 กรณีที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้ยืนยันหลักการ การตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ และการออกใบอนุญาตวิชาชีพสื่อสารมวลชน ตามรายงานการปฏิรูปสื่อสารมวลชน ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การคุ้มครอง สิทธิ เสรีภาพ และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ....จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และเคลื่อนไหวต่อต้าน โดยเฉพาะจากสื่อมวลชน

วันนี้ (27 เม.ย.60) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลสื่อฯ ซึ่งส่วนตัวยังไม่เห็นด้วย และจะต้องฟังความเห็นจากประชาชนก่อน 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่เป็นปัญหาคือ การที่มอบความรับผิดชอบให้กับสมาคมสื่อฯ แต่ก็มีการยอมรับว่า ไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด เพราะเมื่อเกิดปัญหาไม่สามารถหาคนที่รับผิดชอบได้ จึงจำเป็นต้องมีการพูดคุยเรื่องนี้ เพื่อนำไปสู่ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และการยอมรับในตัวขององค์กร

“ขออย่ากังวลว่า รัฐบาลจะมาปิดกั้นสื่อฯ เพราะรัฐบาลก็ต้องทำงานร่วมกับสื่อฯ ในการขยายความเข้าใจของรัฐบาลไปสู่ประชาชน  สิ่งใดที่ไม่ดีและสื่อฯได้ตักเตือนขึ้นมา ก็มีการติดตามและตรวจสอบให้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พร้อมระบุว่า  การพิจารณาจะใช้หลักการพื้นฐานที่ต่างประเทศให้การยอมรับ และรับรองหลักการเหล่านี้ เพื่อมาดำเนินการ  ทุกคนต้องช่วยกันหาทางออกว่าจะทำอย่างไร ให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างที่ทุกคนต้องการ ให้สื่อทุกสื่อเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง และไม่ไปเป็นเครื่องมือของคนที่ไม่ดี

“หากไม่มีความจำเป็น ก็คงไม่มีการตั้งเรื่องดังกล่าวขึ้นมา แต่จะทำอย่างไรนั้น เป็นสิ่งที่ต้องหาทางออกร่วมกัน หากค้านทุกอย่าง ก็จะเดินหน้าไม่ได้ และเกิดความวุ่นวายในวันหน้าขึ้นอีก จึงฝากให้ทุกคนช่วยคิด ย้ำว่า วันนี้ทำเพื่อคนไทยทุกคน สื่อฯ ก็คือคนไทย และคนไทยก็บริโภคสื่อฯ  วันนี้มีหลายอย่างที่ไม่ถูกต้องบนโซเชียลมีเดีย ทำให้ประเทศเกิดปัญหา เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ จึงต้องดูแลเรื่องเหล่านี้เป็นพิเศษ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

มีชัยแนะสื่อแจงเหตุผล หากไม่เห็นด้วย

มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวยังไม่เห็นเนื้อหาของรายงานฉบับดังกล่าว แต่ขึ้นอยู่กับผู้ที่ผลักดันกฎหมายจะต้องอธิบายเหตุผลที่ต้องมีการออกใบอนุญาต ทั้งนี้ เห็นว่าแนวทางดังกล่าวไม่เป็นการครอบงำสื่อ เพราะว่าอาชีพอื่นๆ ในประเทศไทยก็มีใบอนุญาตจำนวนมาก เพื่อติดตามการปฏิบัติหน้าที่ว่าถูกต้องตามหลักวิชาชีพหรือไม่ ดังนั้น รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 จึงเขียนว่าหากไม่จำเป็นก็ไม่ควรมีระบบใบอนุญาต แต่ความเห็นส่วนตัวยังไม่สามารถตอบได้ว่าอาชีพสื่อสารมวลชนควรมีใบอนุญาตหรือไม่ เพียงแต่พูดตามหลักการเท่านั้น ดังนั้น สมาคมสื่อมวลชน ควรรวมตัวกันเพื่อชี้แจงเหตุผลว่าเหตุใดจึงไม่ควรมีใบอนุญาต

มีชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า องค์ประกอบของกรรมการในสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ที่มีสัดส่วนกรรมการจากภาครัฐ 2 คน คือ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม จากจำนวนกรรมการทั้งหมด 15คนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพราะตัวแทนของภาครัฐ ถือเป็นเสียงข้างน้อยในสภาวิชาชีพสื่อสารมวลชนแห่งชาติ ทั้งนี้การที่เพิ่มตัวแทนจากภาครัฐเข้ามาเป็นกรรมการด้วย ก็เพื่อไม่ให้คนในวิชาชีพกีดกันกันเองจนเปิดปัญหา อย่างไรก็ตาม หากสื่อมวลชนเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ก็ต้องร่วมกันคิดหาเหตุผลโต้แย้งพร้อมเสนอแนวทางการกำกับดูแลกันเองของสื่อโดยที่คนนอกไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว

 

ที่มา : สำนักข่าวไทย, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ และเว็บไซต์วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สวนสัตว์มนุษย์ในโรงเรียนจีน-ติดกล้องไลฟ์สดๆ ให้คนแปลกหน้าดูพฤติกรรมนักเรียน

$
0
0

โรงเรียนในจีนกำลังละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวอย่างหนักด้วยการติดกล้องในโรงเรียนแล้วไลฟ์สดให้ผู้คนนอกห้องเรียนดูจนนักเรียนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นสัตว์ในสวนสัตว์ ด้านผู้อำนวยการโรงเรียนรายหนึ่งบอกช่วยให้เด็กทำตัวดีขึ้น แต่ก็มีความกังวลว่ากดดันเด็กมากเกินไปและเรื่องความปลอดภัยเพราะการให้คนแปลกหน้าคอยดูเด็กนักเรียนอยู่ตลอดเวลา อาจส่งผลให้เกิดการข่มเหงรังแกหรือการทำร้ายร่างกายได้

ภาพส่วนหนึ่งจากกล้องที่ใช้สอดแนมพฤติกรรมของนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่มณฑลซานตง ประเทศจีน

นิวยอร์กไทม์รายงานข่าวโรงเรียนหยูโจว ซึ่งเป็นโรงเรียนไฮสคูลอันดับหนึ่งของจีน และกำลังเป็นที่กล่าวขานในหมู่นักเรียนเกี่ยวกับเรื่องกล้องที่คอยสอดส่องพวกเขา กล้องที่ว่านี้จะทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้า เผยให้เห็นภาพเด็กนักเรียนในห้อง ไม่ว่าจะงีบหลับช่วงพัก หรือแอบส่งข้อความกระดาษถึงกัน โดยมีคนดูเป็นคนทั่วไปกว่าหลายพันคนไม่เพียงพ่อแม่หรือครูเท่านั้น พวกเขาดูชีวิตเด็กพวกนี้ราวเรียลลิตีโชว์ผ่านออนไลน์แล้วก็แสดงความคิดเห็นกันเรื่อยเปื่อยโดยไม่ได้อยู่ในสถานการณ์จริง

ตัวอย่างของความคิดเห็นเหล่านี้ บ้างก็วิจารณ์ว่าเด็กคนนั้นดูไม่ทำอะไรเลย หรือเด็กคนนั้นกำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ ไม่เว้นแม้แต่การแคปภาพต่างๆ ไว้

ในยุคที่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีการไลฟ์สดเป็นประวัติการณ์ในจีน ทำให้ความบันเทิงต่างๆ เปลี่ยนไป แต่การที่ถึงขั้นเอากล้องส่องไลฟ์สดเด็กเรียนหนังสืออยู่เช่นนี้ก็ทำให้มีบางคนไม่พอใจ

ไม่เพียงแค่โรงเรียนหยูโจวเท่านั้น นิวยอร์กไทม์ระบุว่ามีโรงเรียนหลายพันแห่งทั้งโรงเรียนรัฐและเอกชน ตั้งแต่ระะดับอนุบาลไปจนถึงวิทยาลัยต่างก็มีการติดกล้องถ่ายทอดสดจากห้องเรียนสู่สาธารณะ โดยอ้างว่าการที่มีคนจ้องมองจะช่วย "เสริมแรงจูงใจ" ให้นักเรียนได้ แม้ว่าจะมาจากสายตาของคนที่ไม่รู้จักด้วย ขณะเดียวกันการฉายภาพออกไปสู่สาธารณะพวกเจ้าหน้าที่โรงเรียนก็บอกว่าเป็นการเอาภาระการตรวจตราไปให้คนทั่วไปเป็นผู้ช่วยกระทำการ นั่นหมายความว่าพ่อแม่ก็ใช้มันสอดส่องการคบเพื่อนได้ด้วย

แต่ไต้ต้องสงสัยเลยว่านักเรียนจะเกลียดการถูกล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวเช่นนี้ ซึ่งชวนให้เกิดข้อถกเถียงในเรื่องจริยศาสตร์การศึกษาและการเลี้ยงลูกแบบตามติดเกินไปไม่ทำให้รู้จักโต หนึ่งในนักเรียนอายุ 17 ปี ของหยูโจวบอกว่าเขาเกลียดการติดกล้องนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็น "สัตว์ในสวนสัตว์"

ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญก้มองว่าการสอดส่องในโรงเรียนจะทำให้วัยรุ่นชาวจีนกลายเป็นเเคยชินกับการถูกสอดแนมหรือเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา เช่นรองประธานสถาบันวิจัยการศึกษาศตวรรษที่ 21 วิจารณ์ว่าเป็นการละเมิดสิทธิของนักเรียนและเสรีภาพทางวิชาการ

หลังจากที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ในหนังสือพิมพ์เบจิงนิวส์ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ชื่อดังในจีน โรงเรียนหลายแห่งกประกาศว่าพวกเขาจะเลิกการแพร่ภาพ แต่ก็ยังมีจำนวนมากที่ยังคงเผยแพร่วิดีโอนักเรียนตัวเองผ่านทางออนไลน์อยู่ โดยในจีนมีช่องทางเผยแพร่เรื่องเหล่านี้หลายแห่งที่ๆ น่าจะได้รับความนิยมท่สุดคือเว็บ Shuidi ที่มีเจ้าของคือบริษัทเทคโนโลยี Qihoo 360

ผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในมณฑลเจียงซูเชื่อว่าการสอดแนมนักเรียนเช่นนี้จะทำให้พวกเขา "ทำตัวดี" มากขึ้น เพราะการที่มีพ่อแม่คอยดูอยู่ทำให้พวกนักเรียนรู้สึก "เหมือนมีมีดดาบแขวนอยู่เหนือหัวพวกเขา"

นักวิทยาการคอมพิวเตอร์จากศูนย์ดีพบลูชิลเดรนโรบอตบอกว่า "คนที่มีคุณธรรมไม่มีอะไรจะต้องซ่อน" เขามีความเชื่อว่าคนทุกคนจะต้องถูกเปิดปรากฎให้คนทั่วโลกได้เห็น แล้วศูนย์ดีพบลูฯ นี้เองก็เป็นพวกที่ส่งเสริมให้มีการเผยแพร่การเรียนของนักเรียนแบบไลฟ์สด

นิวยอร์กไทม์ระบุว่าระบบการศึกษาของจีนมีการกดดันเด็กอย่างหนักจากพ่อแม่ที่บูชาเกรดเฉลี่ย แล้วก็มองว่าการตั้งกล้องส่องเด็กจะทำให้เด็กมีการเรียนที่ดีขึ้น การตั้งกล้องแบบนี้เป็นที่นิยมแม้แต่กับโรงเรียนในชนบทที่พ่อแม่ซึ่งมักจะต้องไปทำงานต่างเมืองจะใช้ดูลูกของตัวเองได้

แต่การตั้งกล้องส่องเด็กในห้องเรียนก็ไม่ได้ถือกำเนิดในจีนเสียทีเดียว ในความเป็นจริงแล้วมันเริ่มมากจากโรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนในกำกับของรัฐในประเทศสหรัฐฯ ในอังกฤษเองก็กำลังทดสอบการตั้งกล้องสำหรับครูเพื่อบันทึกหลักฐานการทำผิดวินัย

อย่างไรก็ตามมีพ่อแม่บางคนที่เห็นต่างออกไปบ้าง เช่นแม่ของเด็กคนหนึ่งที่เรียนในโรงเรียนคนชั้นสูงในกรุงปักกิ่งบอกว่าเธอเข้าใจเรื่องความต้องการสอดส่องดูแลลูกตัวเองและครูแต่คิดว่าพอถึงจุดหนึ่งก็ควรปล่อยให้ลูกไปเอง

ทนายความคนหนึ่งในกรุงปักกิ่งที่คัดค้านเรื่องการสอดส่องนักเรียนในชั้นเรียนเสมอมาบอกว่าหลายโรงเรียนก็ใช้กล้องสอดส่องนักเรียนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนักเรียนหรือผู้ปกครองแต่อย่างใด แล้วการเผยแพร่ออกสู่สาธารณะยยังเป็นอันตรายต่อเด็กนักเรียนเองด้วย รวมถึงกิจกรรมใน้องเรียนควรจะเป็นพื้นที่ปิดมีความเป็นส่วนตัว การคอยถูกสอดส่องอยู่ตลอดเวลาส่งผลเสียต่อการเติบโตของนักเรียน

Qihoo 360 เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโฆษณาขายกล้องในฐานะเครื่องมือป้องกันโจรกรรมแต่ขายไม่ค่อยได้ในโรงเรียนและอ้างว่าพวกเขาไม่ได้รับการแจ้งร้องเรียนเรื่องความเป็นส่วนตัวแต่อย่างใด ขณะเดียวกันรายงานของเครดิตสวิสก็ระบุว่าการไลฟ์สดก็กำลังเติบโตมากขึ้นเป็นสองเท่าในจีนปี 2559 ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่รัฐบาลจีนจะกำกับจัดการ

นักเรียนที่โรงเรียนหยูโจวต่างก็บอกว่าโรงเรียนหมายเลขหนึ่งของพวกเขาควรจะเรียกว่า "คุกหมายเลขหนึ่ง" มากกว่า ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขายังแสดงความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง เช่นว่า "จะมีอันธพาลคอยจับจ้องพวกเขาอยู่ไหม" รวมถึงการไลฟ์สดเช่นนี้อาจจะส่งผลทำให้เกิดการข่มเหงรังแกกันในโรงเรียนได้ โดยที่นัดเรียนไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะต่อกรกับมัน

 

เรียบเรียงจาก

In China, Daydreaming Students Are Caught on Camera, New York Times, 25-04-2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทีดีอาร์ไอระบุดัชนีคอร์รัปชั่นไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ซื้อเรือดำน้ำอาจมีปัญหาความโปร่งใส

$
0
0

ทีดีอาร์ไอ ระบุ ดัชนีคอร์รัปชั่นไม่ได้ดีขึ้นหรือแย่ลง แต่ถ้าบวกปัจจัยเสรีภาพสื่อ-ประชาธิปไตย ทำให้ได้คะแนนน้อยมาก เผย ปชช.ตระหนักเรื่องคอร์รัปชั่นมากขึ้น ชี้การซื้อเรือดำน้ำจีนไม่เปิดเผยเรื่องเหตุผลและความจำเป็นต่อ ปชช. น่าจะมีปัญหาความโปร่งใส 

เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานเสวนา “ติดตามนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” ซึ่งจัดโดย สถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) นั้น  เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัย ทีดีอาร์ไอ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงกิจกรรมดังกล่าวว่า ได้ทบทวนดัชนีคอร์รัปชั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยข้อสรุปมี 3 ข้อหลักๆ ด้วยกัน หนึ่งคือดัชนีโดยทั่วไปไม่ได้ดีขึ้นหรือแย่ลง  แต่ CPI (Corruption Perceptions Index) ที่แย่ลงในปีนี้ เราตกลงไปเยอะเกิดมาจากมันมีการเอาดัชนีใหม่เข้ามาวัด คือ ดัชนีที่เกี่ยวกับเรื่องระบบการปกครอง ซึ่งเราจะได้คะแนนน้อยมาก เรายังไม่มีการเลือกตั้ง และอีกตัวคือเรื่องเสรีภาพสื่อ ซึ่งเกี่ยวโยงกับเรื่องของประชาธิปไตยด้วย  เมื่อนำดัชนี 2 ตัวนี้มาคำนวนกับดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชั่นในภาพรวมคะแนนเราก็เลยตกลง แต่ดัชนีตัวอื่นที่ไม่มี 2 ตัวนี้ ก็จะเท่าเดิม เราไม่ได้ดีขึ้น เราไม่ได้แย่ลง
 
เดือนเด่น กล่าวด้วยว่า ส่วนดัชนีของประเทศไทยที่ทำเอง คือ CSI หรือ Corruption Situation Index ของหอการค้าไทย ซึ่งทำมาทุก 6 เดือน ทำมาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว เห็นแนวโน้มค่อนข้างชัด โดยสรุปได้หลักๆ ว่า หนึ่ง คนไทยมองว่าสถานการณ์คอร์รัปชั่นของไทยดีขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แต่ช่วงปีสุดท้าย 59 นี้ ค่อนข้างนิ่ง ดีขึ้นนิดเดียว
 
เดือนเด่น กล่าวว่า สิ่งที่ชัดเจนเมื่อย้อนดู 7 ปี ของดัชนีตัวนี้ จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ดีขึ้นอย่างชัด คือ เรื่องของความตระหนักรู้ของประชาชนไทยเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น มีความตื่นตัวกับเรื่องนี้มากขึ้น รวมทั้งมีความคิดว่าพร้อมร่วมต่อต้านการคอร์รัปชั่นมากขึ้นด้วย แต่ข้อจำกัดก็คือเมื่อถามถึงความมั่นใจในหน่วยงานต่างๆ ในการต่อต้านการคอร์รัปชั่น ประกอบด้วย หนึ่ง องค์กรอิสระต่างๆ ของภาครัฐ เช่น ป.ป.ช. สตง. ภาคสื่อ ภาควิชาการ ภาคประชาชน และภาคธุรกิจ ปรากฎว่าคำตอบจากการสำรวจได้คะแนนเพียง 5-6 กันทุกคน และไม่ได้ดีขึ้น ซึ่งความเป็นจริงอาจต่างกัน แต่ในภาพลักษณ์ที่ฉายต่อประชาชนคนไทยโดยทั่วไปแล้ว ยังไม่มีภาคส่วนไหนที่จะสามารถแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นได้ 
 
สำหรับคำถามที่ว่าการจัดซื้อเรือดดำน้ำจากจีนที่ไม่เปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะ จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของการคอร์รัปชั่นหรือไม่นั้น เดือนเด่น กล่าวว่า เขาคงไม่ได้มองเป็นเรื่องๆ แต่ก็จะมองว่า หนึ่ง สื่อมีสิทธิตั้งคำถามหรือไม่ คนทั่วไปสามารถตั้งคำถามได้ไหม สามารถวิจารณ์ได้ไหมว่าไม่เห็นด้วย ออกมาแสดงออกผ่านสื่อต่างๆ ได้อย่างเสรีไหม หรือมีความพยายามจะปิดกั้น สอง ถ้าหากมีการคัดค้านหรือไม่เห็นด้วยแล้ว ภาครัฐมีกระบวนการอะไรไหมที่จะทบทวนหรือที่โปร่งใส ที่จะแสดงให้เห็นว่าการจัดซื้อจัดจ้างมีความจำเป็น การคัดเลือกคู่ค้าไม่ว่าจะจีน มีผู้เสนอขายหลายเจ้าทำไมต้องเลือกจีน อันนี้เป็นตัวอย่าง
 
 
"ถ้ามีการเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดทั้งหมด หรือความจำเป็นในการจัดซื้อจัดจ้างที่ทำให้สังคมยอมรับได้ การซื้อเรือดำน้ำก็จะไม่เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าเผื่อไม่ได้รับการชี้แจงและมีการปกปิดอันนั้นก็น่าเป็นห่วง" เดือนเด่น กล่าว
 
ต่อกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีออกมาอธิบายว่าการจัดซื้อเรือดำน้ำมีความจำเป็นแต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดนั้น เดือนเด่น กล่าวว่า หากเป็นมุมมองในเรื่องความโปร่งใส น่าจะมีปัญหา ที่เราต้องเปิดเผยเรื่องเหตุผลและความจำเป็น
 
สำหรับข้ออ้างเรื่องความมั่นคงของประเทศที่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้นั้น เดือนเด่น กล่าวว่า ความมั่นคงของประเทศ เราใช้กันเยอะ ตนก็เชื่อว่าบางเรื่องเป็นเรื่องของความมั่นคง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ก็ต้องบอกว่าส่วนไหนเป็นเรื่องของความมั่นคง และมันเกี่ยวกับความมั่นคงตรงไหน แต่ถ้าบอกว่าไม่เปิดหมดเลย ทั้งในเรื่องของรายละเอียด ความจำเป็นทั้งหลาย ตนคิดว่าไม่น่าจะใช่ น่าจะเปิดได้บางส่วน
 
เดือนเด่น กล่าวด้วยว่า สำหรับในต่างประเทศงบประมาณในด้านกลาโหมส่วนมากจะเป็นเรื่องลับอยู่แล้ว มีการปฏิบัติที่พิเศษ แต่ก็ไม่ได้มายความว่าจะไม่มีการตรวจสอบเลย ในกระบวนการทางการเมืองของเขามันก็ต้องมีการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการในรัฐสภา ก็จะตั้งคำถามมาตลอดว่ามีความจำเป็นในการซื้อแค่ไหน มีความคุ้มค่าแค่ไหน ผลประโยชน์ที่จะได้คืออะไร เอาไปใช้อะไร เป็นกระบวนการในการตรวจสอบซึ่งคงมีอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นการซื้ออะไร
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: ใครเอาไป?

$
0
0

อยากสุขสันต์กันไหมจ๊ะพี่น้อง
มาร่วมกันดื่มฉลองให้หมุดใหม่
หมุดสองสี่เจ็ดห้ามาจากไป
หมุดหน้าใสไฉไลใครมาวาง

ตรงกลางลานพระบรมรูปทรงม้า
เสด็จพ่อ ร.๕  หยุดม้าขวาง
ทรงอาชามองดูอยู่รู้ทุกอย่าง
ใครขุดหมุดด้านข้างทางท่านยืน

ยืนยันเถิดท่านพยานวันเกิดเหตุ
ว่าผีเปรตตนใดให้ขุดผืน
-ดินถนนหน้าวังยามค่ำคืน
ใครหนอตื่นเมื่อคนอื่นสู่ภวังค์

พลเมืองแจ้งความโดนหามกลับ
ถูกแจ้งจับปรับความคิดปิดความหวัง
จงยอมรับหมุดใหม่แสนน่าชัง
หมุดของขลังไสยเวทย์ ..น่าเวทนา

เสด็จพ่อเมตตาบอกข้าเถิด
ใครหนอ เปิดเผยผล คนถามหา
ลักขโมยประชาชนปล้นชิงมา
หมุด 2475... ใครเอาไป???
ลักขโมยประชาปล้นชิงมา
อธิปไตยมวลประชาใต้ฝ่าตีน!!!

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พิธีการเข้าเบิก: กรณีสมโภช 1188 ปี เมืองแพร่ว่าด้วยการกลับมาของประเพณีเก่าในหน้าที่แบบใหม่

$
0
0

 

"สวดเบิกล้านนา" นับเป็นมนต์เมืองเหนืออย่างหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าการเทศธรรมคำเมืองนี้ ใช้บทสวดธรรมพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ตามความเชื่อของชาวล้านนาที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ[1]ประเพณี[2]การเข้าเบิกเป็นประเพณีที่เก่าแก่ ปัจจุบันทำกันน้อยมากและมักไม่ได้ทำทุกปี โดยประเพณีนี้ทำเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นในหมู่บ้าน เช่น โรคระบาด แต่ถ้าเกิดเหตุร้ายไปแล้วจะไม่ทำพิธีนี้ การทำพิธีคนในหมู่บ้านจะร่วมกันกำหนดวันและสถานที่ ต้องนิมนต์พระสงฆ์ไว้ล่วงหน้าหลายวัน เพื่อพระสงฆ์จะได้ฝึกซ้อมการสวดเบิก[3]ซึ่งคำสวดแต่เก่าเดิมนั้นสืบทอดกันมาแบบมุขปาฐะ[4]จึงจำเป็นต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝน ทั้งนี้การสวดเบิกได้แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ในปัจจุบันการสวดเบิกไม่ได้เกิดขึ้นบนการต่อรองระหว่าง สงฆ์กับชาวบ้าน แต่ขยับขึ้นไปเป็นการต่อรองระหว่างส่วนกลางกับคณะสงฆ์ จะเห็นได้จากการปรากฏการสวดเบิกในพิธีสมโภชใหญ่ต่างๆ และถือได้ว่าเป็นการรับอิทธิพลจากพุทธศาสนาสายมหายาน[5]โดยบทสวดจะกล่าวถึงพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในบทสวด คือเรื่อง “พระพุทธเจ้าชนะมาร”

การเข้าเบิกในอดีตนั้น จะกระทำกันบริเวณทางแยกเข้าหมู่บ้าน โดยพิธีจะเริ่มในตอนหัวค่ำ ชาวบ้านจะนำน้ำส้มป่อย ขมิ้น ดอกไม้ธูปเทียน ทราย มาร่วมพิธี เมื่อถึงเวลาที่สงฆ์มายังบริเวณพิธีโดยไม่จำกัดว่ากี่รูป ชาวบ้านนำดอกไม้ธูปเทียนมารวมกันในที่จัดไว้บูชาพระรัตนตรัย รับศีล สวดเบิก เมื่อเสร็จพิธีชาวบ้านจะนำทรายและน้ำส้มป่อย ขมิ้นที่นำมาร่วมในพิธีซัดสาดให้ทั่วหมู่บ้าน เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งชั่วร้ายและให้เกิด ศิริมงคลแก่บ้านตน[6]สิ่งที่น่าสังเกตคือการสวดเบิกในแต่ละจังหวัดของล้านนานั้น จะกระทำในวาระโอกาสที่ต่างกัน อาทิ แพร่ทำในช่วงหลังปีใหม่เมือง แต่ไม่ใช่ว่าจะกระทำเป็นกิจทุกปี ลำปางทำในช่วงยี่เป็ง แพร่จัดพิธีสวดเบิก 4 มุมเมือง เพื่อสืบชะตาเมือง เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา[7]และในปีถัดมาเมืองแพร่ก็สมโภชใหญ่ 1188 ปี[8]ซึ่งก็เสมือนหนึ่งว่าได้ทำการต่อชะตา สะเดาะเคราะห์เมืองเตรียมย่างเข้าสู่ศักราชใหม่ ในลำปางที่บ้านไหล่หิน อ.เกาะคา ก็มีการ “สวดเบิก” ซึ่งเป็นการสวดทำนองของพระสงฆ์ที่ใช้สวดในการสมโภชพระพุทธรูปและเป็นการสวดเบิกในประเพณียี่เป็ง[9]ซึ่งมักจะสวดจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่ เพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับตนเองและครอบครัว และเมื่อพิธีการสวดเบิกจบในวารสุดท้ายชาวบ้านที่มานั่งฟัง จะแย่งกันดึงด้ายสายสิญจน์ที่ผูกโยงกับอาสนะสวดเบิกกลับบ้าน เพื่อนำไปผูกข้อมือให้แก่ลูกหลานที่อยู่ทางบ้าน หรือนำไปผูกรถหรือนำติดตัวไปในที่ต่าง ๆ[10]

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเวลาในช่วงจัดกระทำพิธีนั้นอาจจะต่างกัน แต่ขนบและจุดประสงค์ก็มีส่วนที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือการสวด เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลและปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย เสมือนหนึ่งว่าเป็นการเบิกเนตรพระเจ้า[11]ซึมซับพระธรรม และได้แจ้งแก่โลกด้วยสายตาเช่นเดียวกับ “ผะเจ้า” ที่เห็นความเป็นไปของโลก ซึ่งข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ การผูกโยงตัวตนของชาวบ้านเข้ากับพระพุทธศาสนา บนการต่อรองทางความเชื่อ การต่อรองระหว่างชาวบ้านกับสงฆ์ เพื่อให้ได้มาซึ่งพิธีอันเป็นสิริมงคลนั้นนับเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะนั่นคือพลังของชุมชนชาวบ้าน ที่กระทำสืบเนื่องกันมาอย่างยาวนาน ถึงแม้ว่าระยะเวลาช่วงของการจัดกระทำพิธี จะไม่ได้เหมือนกันเสียทุกที่ในล้านนา นั่นก็ด้วยจุดประสงค์เพื่อการได้มาซึ่งความเป็นสิริมงคล จึงอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับเวลาที่ตายตัว แต่สิ่งที่ผู้เขียนได้กระทำการศึกษา หรือตั้งข้อสังเกตคือข้อต่อรองทางชุมชนนี้ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก วิถีทางของการต่อรองนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับชุมชนอีกต่อไป จึงเป็นที่มาของคำถามวิจัยที่ว่า “การต่อรองระหว่างสงฆ์และชาวบ้าน ภายใต้พิธีการสวดเบิกได้แปรเปลี่ยนไปอย่างไร และอะไรเป็นตัวกระทำที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น” โดยผู้เขียนจะแบ่งประเด็นศึกษาออกเป็น 3 แนวทางคือศึกษาประวัติของการสวดเบิกในบริบททางประวัติศาสตร์ ที่ได้มีการบันทึกไว้ในตำราและคำบอกเล่า วิเคราะห์ให้เห็นถึงข้อต่อรองทางสังคมระหว่างชุมชนและสงฆ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน วิเคราะห์ให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนของพลังการต่อรอง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของชาวบ้านกับสงฆ์ และแปรไปเป็นส่วนหนึ่งของพลังการต่อรองแทน

ภาคที่ 1 “ความเชื่อ”

ล้านนาและพุทธศาสนานั้น ต่างมีสายใยที่ผูกพันกันมาอย่างยาวนาน ความเชื่อและความศรัทธานั้นต่างหยั่งรากลงไปถึงในระดับตัวบุคคล หากกล่าวอีกนัยหนึ่งคือสามารถเข้าไปจัดกระทำต่อการรับรู้ หรือสำนึกของตัวบุคคล อาทิ ความเชื่อเรื่องชุธาตุ[12]พระธาตุประจำปีเกิด ที่ทุกปีหรือในชั่วชีวิตหนึ่งควรต้องไปไหว้สักครั้งในชีวิต หรือแม้กระทั่งการกำหนดกฎข้อห้ามต่างๆขึ้น ภายใต้การกระทำที่เป็นปกติทั่วไป เช่น ห้ามดมดอกไม้ที่จะนำไปบูชาพระ เพราะเชื่อว่าจะทำให้จมูกเน่า[13]การห้ามนี้คงเกิดจากเหตุผลที่กลัวดอกไม้จะช้ำ หรือกลัวเกิดอันตรายจากแมลงที่อาจอยู่ในดอกไม้ ถ้ามองอย่างผิวเผินอาจเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องปกติโดยทั่วไป หากแต่เรื่องปกติที่มีอยู่ให้เห็นกันอย่างหลากหลายนี้ กลับตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ โดยจะกล่าวถึงในลำดับถัดไป ซึ่งแน่นอนว่าความสัมพันธ์ที่ปรากฏให้เห็น ณ ขณะนี้คือ การที่บุคคลหนึ่งๆเลือกที่จะเข้าถึงความเชื่อบางอย่าง และความเชื่อดังกล่าวสามารถส่งผลต่อการกระทำของตัวบุคคลนั้นๆได้

แม้นว่าพุทธศาสนาจะหยั่งรากในสังคมล้านนา นับตั้งแต่สมัยที่วัฒนธรรมทวารวดี ได้ขยายตัวจากเมืองละโว้มาสู่ดินแดนใหม่ แอ่งที่ราบเชียงใหม่ตั้ง“หริภุญไชย”ขึ้น[14]เมื่อนั้นพุทธศาสนาก็ได้ถือกำเนิดและหยั่งรากลงบนแผ่นดิน ที่ภายหลังได้กลายมาเป็นแผ่นดินล้านนาแล้วก็ตาม แต่ทว่าพุทธศาสนาที่ได้ถือกำเนิดบนแผ่นดินล้านนานั้น หาได้เป็นดั่งพุทธศาสนาที่องค์สมเด็จพระศาสดาได้วางรูปแบบไว้ไม่ หากแต่เป็นการผสมปนเอาระหว่างของเก่า(ความเชื่อเดิม) และของใหม่(พุทธศาสนา) เข้าไว้ด้วยกัน และปรับเปลี่ยนให้คล้อยตามแต่ละยุคสมัย หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการเลือกและปฏิเสธนั้นเอง[15]ซึ่งความเชื่อเดิมที่ว่านั้นผู้เขียนได้สรุปรวบ และแยกย่อยไว้อย่างกระชับ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ อันประกอบไปด้วย

1 ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์ แต่มีอิทธิพลน้อยกว่าศาสนาพุทธ เช่นเรื่องพระอินทร์และเทวดาต่างๆ เชื่อเรื่องเจ้าที่ เป็นต้น

2 ความเชื่อในเรื่องภูตผีปีศาจ เชื่อในผีของบรรพบุรุษซึ่งเรียกว่า “ผีปู่ย่า” เชื่อในผีประจำหมู่บ้าน ผีประจำเมือง ผีประจำสถานที่ต่างๆ และผีที่แฝงในร่างคน เช่น ผีโพง ผีสือ ผีกะ เป็นต้น

3 ความเชื่อในเรื่องโชคลาง ฤกษ์ ลาง คือสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า เช่น ข้าวที่นึ่งมีสีคล้ายสีเลือดเป็นลางบอกเหตุร้าย ต้องเอาข้าวนั้นไปตักบาตรและต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ เป็นต้น[16]

หากมองในมุมของความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา มักเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด แนวความเชื่อในเรื่องศาสนานี้มักมีความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ปะปนเข้ามาด้วย[17]เช่น เชื่อว่ามีสวรรค์เป็นที่อยู่ของเทวดา นรกเป็นที่อยู่ของเปรต เป็นต้น ดังนั้นพิธีกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบูชาเท้าทั้งสี่ สวดเบิก ตั้งกัณฑ์สลาก สืบชะตาคน ฯลฯ ล้วนแต่จัดกระทำขึ้นบนการผสมสานระหว่างพุทธและผี บ้างกระทำเพื่ออุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว บ้างก็กระทำเพื่อให้ผู้ที่ยังอยู่ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งล้วนแต่สัมพันธ์กับชีวิตของผู้ที่เชื่อและศรัทธาทั้งสิ้น แม้นว่าการกระทำนั้น จะไม่ได้มีผลโดยตรงต่อชีวิตของผู้กระทำเลยก็ตาม แต่ผลของการกระทำนั้น กลับตอบสนองต่อจิตใจของผู้ที่กระทำเอง[18]

เมื่อกล่าวถึง “พิธีการเข้าเบิก” หรือ “สวดเบิก” นั้น จะพบได้ว่าเป็นการผสานเอาความเชื่อระหว่างผี ที่จัดกระทำโดยพุทธ คือใช้พระสงฆ์มาจัดกระทำพิธี การเข้าเบิกของล้านนานั้น ถือได้ว่าเป็นประเพณีอย่างหนึ่ง และแน่นอนว่า การที่จะเป็นประเพณีได้นั้น ย่อมต้องเป็นกิจกรรมหรือพิธีกรรมที่จัดกระทำกันทุกปี[19]และในล้านนาเองต่างกระทำพิธีคล้ายคลึง แต่ไม่เหมือนกัน เช่น การสวดทำนองของพระสงฆ์ในลำปางจะใช้สวดในการสมโภชพระพุทธรูป และเป็นการสวดเบิกในประเพณียี่เป็ง[20]ในแพร่นั้นแทบไม่พบเห็นประเพณีการเข้าเบิกเลย แม้จะถือเป็นประเพณีเก่าแก่ของแพร่ก็ตาม แต่ก็ได้มีการจัดสวดเบิกในปี 2558 ที่ผ่านมา ทว่าก่อนหน้านี้กระทำกันน้อยมาก และมักไม่ได้ทำกันทุกปี โดยจุดประสงค์ของการจัดประเพณีนี้ คือการป้องกันเหตุร้าย ที่จะเกิดกับหมู่บ้าน[21]สิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ผ่านพิธีสวดเบิกคือ การกระทำเพื่อปกป้องคนในหมู่บ้าน ให้พานพบแต่เรื่องดี ขับไล่สิ่งชั่วร้าย เสมือนหนึ่งว่าเป็นการสืบชะตาให้หมู่บ้าน และเป็นการกระทำพิธี ที่ตั้งอยู่บนความเชื่อเก่าเดิมของชุมชน คือเรื่องเจ้าที่ ผีของบรรพบุรุษ ผีประจำหมู่บ้าน โชคลาง ฤกษ์ยามต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นความเชื่อที่ฝังราก ทั้งยังดำรงอยู่มาก่อนการผสานเข้ากับพุทธศาสนาเสียอีก

ดังนั้นเบื้องต้นจะเห็นได้ว่าความเชื่อและพุทธศาสนานั้นต่างมีพลังในการธำรงไว้ซึ่งพิธีกรรมหนึ่งๆ และพิธีกรรมนั้นได้ตอบสนองต่อความต้องการของคน ทั้งในชีวิตประจำวัน และในวาระโอกาสสำคัญ แน่นอนว่าทั้งความเชื่อ และพุทธศาสนาต่างก่อร่างและหลอมรวมกันมาอย่างยาวนาน ในอดีตผู้คนนั้นโหยหาเครื่องยึดเหนี่ยว ไม่ว่าจะทั้งความเชื่อเดิม อันเป็นรากฐานของสังคมในอดีต ก็ล้วนแต่เป็นต้นร่างให้เกิดความต้องการ แนวการดำเนินไปของชีวิต หรือสิ่งช่วยเหลือทางจิตวิญญาณเพื่อให้ชีวิตดำรงต่อไปได้ สุขทั้งทางใจและร่างกาย เมื่อการตอบสนองถูกผสานรวมเข้ากันกับความเชื่อใหม่ คือพุทธศาสนา การเลือกรับเอามาปฏิบัติจึงได้ถือกำเนิดตาม ทั้งศาสนาและความเชื่อ จึงดำรงอยู่ได้ภายใต้การเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และส่งผลให้เกิดการก่อรูปของพิธีกรรมหนึ่งๆ ที่สร้างขึ้นบนความศรัทธาที่มีต่อศาสนาและความเชื่อเดิม สวดเบิก จึงเป็นหนึ่งในพิธีกรรมที่ผสมผสานซึ่งความเชื่อเก่า และพุทธศาสนา เข้าไว้ด้วยกัน รูปแบบของการสวดเบิกเป็นไปเพื่อลดทอน หรือสร้างความสุขทางใจต่อผู้คนในชุมชน ลดทอนความกังวลที่มีต่ออนาคตข้างหน้าที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ การสวดเบิกก็เพื่อขจัด หรือสกัดภัยอันตรายที่จะเกิดต่อหมู่บ้าน จึงเป็นสิ่งที่ผสานเอาทั้งความเชื่อในเรื่องโชคลาง หมายรวมถึงฤกษ์ยามที่ต้องกระทำในเวลาค่ำมืดอีกด้วย ซึ่งทุกอย่างต้องดำเนินไปควบคู่กัน อาจเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ในการกระทำพิธี หรือเพื่อเป็นการกำหนดหมุดหมายเป้าประสงค์ของพิธีให้ชัดแจ้ง เผื่อว่าชนรุ่นต่อไปจักได้กระทำพิธีให้ต้องตามแบบที่เคยดำรงอยู่ แต่กระนั้น “ความเชื่อ” ดังกล่าว ก็ได้หยั่งรากฝังลึกอยู่ในวิถีของชุมชน ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีรูปแบบที่แปรเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม แต่ในยุคสมัยหนึ่งๆ รูปแบบแม่บทดังกล่าวก็เคยเป็นต้นร่าง ให้กับชุมชนคนล้านนาได้กระทำพิธีดั่งว่าสืบต่อมานับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน


ภาคที่ 2 “การต่อรองระหว่างชุมชนและสงฆ์”

สังคมชนบท มักถูกมองว่าเป็นสังคมที่ห่างชั้นกับสังคมเมืองอยู่มาก ทั้งความรู้ วิทยาการ และความศิวิไลซ์ แต่ในทางกลับกันสังคมชนบทนั้น กลับมั่งคั่งไปด้วยภูมิปัญญา และอัดแน่นความหลากหลายทางวัฒนธรรม ที่คนกรุงต่างโหยหาอยากสัมผัส ชนบทในอุดมคติคนกรุงจึงเต็มไปด้วยคุณค่า และประเพณีอันดีงาม แน่นอนว่าเป็นภาพลักษณ์ที่พึ่งถูกรังสรรค์ขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ และยังไม่เกี่ยวข้องอะไรมากนักในส่วนที่ผู้เขียนกำลังนำเสนออยู่นี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องแน่นอนคือ สังคมในภาพของความเป็นชนบท ที่อุโฆษไปด้วยความหลากหลายทางความเชื่อ

ชนบท ชายขอบ คำเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความห่างไกลความ ศิวิไลซ์[22]ที่ ความทันสมัย ดูจะใกล้เคียงนัยยะของมัน สังคมชายขอบนี้ไม่ได้จำกัดแต่เพียงว่า เป็นสังคมชายแดนที่แร้นแค้นและห่างไกล หากแต่หมายรวมไปถึง ต่างจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองใหญ่อีกด้วย แน่นอนว่าบทความนี้ผู้เขียนได้เสนอหลักใหญ่ ของงาน ผ่านการศึกษาโดยใช้จังหวัดแพร่ มาเป็นตัวแบบหลักของการศึกษาความเปลี่ยนแปลง ด้วยเพราะปัจจัยหลายอย่างของจังหวัด นั้นเอื้อต่อการนำมาศึกษา อาทิมีขนาดเล็ก และเป็นเมืองที่เปลี่ยนแปลงแบบเนิบช้า ซึ่งเนิบช้าในการคงรูปแบบเดิม กิจกรรม ร้านค้า บ้านเรือน กระทั่งในต่างอำเภอล้วนแต่ยังคงเดิมแทบไม่เปลี่ยนแปลง[23]อีกทั้งยังเป็นบ้านเกิดของตัวผู้เขียนเอง ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการเขียนงานของผู้เขียนทั้งสิ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความเปลี่ยนแปลงที่แฝงเร้น อยู่ในการเป็นเมืองที่เปลี่ยนแปลงแบบเนิบช้าที่ทำให้เกิดข้อสังเกตและเป็นที่มาของการจุดประกายให้หันมาศึกษาเรื่องนี้ คือการดำเนินไปของ พิธีกรรมการเข้าเบิก ซึ่งแพร่ได้สะท้อนออกมาให้เห็นในหลากหลายแง่มุม และน่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์ของภาคแสดงที่ 2 ที่ผู้เขียนกำลังจะกล่าวถึงนี้ คือเรื่อง “การต่อรองระหว่างชุมชนและสงฆ์” แน่นอนว่าเราไม่อาจระบุลงไปอย่างชัดแจ้งได้ว่า โลกทัศน์หรือสำนึกรู้ของคนจะเป็นเช่นไร หรือมีภาพอย่างไร ซึ่งผู้เขียนเองก็ได้พยายามสะท้อนภาพผ่านหลักฐานให้มากที่สุด เพื่อพอให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของประเด็นนี้ เพราะต้องการสะท้อนภาพของการต่อรอง ระหว่างชุมชนที่กระทำต่อพระสงฆ์อย่างไร และสงฆ์เองสนองตอบต่อการต่อรองนี้อย่างไร โดยใช้กรณีเมืองแพร่เป็นสำคัญ

ดังที่เคยกล่าวไปในข้างต้นที่ว่า ประเพณีการเข้าเบิก เป็นประเพณีเก่าแก่ที่ปัจจุบันทำกันน้อยมากและมักไม่ได้ทำกันทุกปี ประเพณีนี้ทำเพื่อป้องกันเหตุร้าย หากเกิดเหตุร้ายไปแล้วจะไม่ทำพิธีนี้ การทำพิธีคนในหมู่บ้านจะร่วมกันกำหนดวันและสถานที่ ต้องนิมนต์พระสงฆ์ไว้ล่วงหน้าหลายวันเพื่อพระสงฆ์จะได้ฝึกซ้อมการสวดเบิกให้คล่อง การเข้าเบิกในอดีตนั้น จะกระทำกันบริเวณทางแยกเข้าหมู่บ้าน โดยพิธีจะเริ่มในตอนหัวค่ำ ชาวบ้านจะนำน้ำส้มป่อย ขมิ้น ดอกไม้ธูปเทียน ทราย มาร่วมพิธี เมื่อถึงเวลาที่สงฆ์มายังบริเวณพิธีโดยไม่จำกัดว่ากี่รูป ชาวบ้านนำดอกไม้ธูปเทียนมารวมกันในที่จัดไว้บูชาพระรัตนตรัย รับศีล สวดเบิก เมื่อเสร็จพิธีชาวบ้านจะนำทรายและน้ำส้มป่อย ขมิ้นที่นำมาร่วมในพิธีซัดสาดให้ทั่วหมู่บ้าน เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งชั่วร้ายและให้เกิด ศิริมงคลแก่บ้านตน[24]สอดคล้องกับคำบอกเล่าของ นางแฝง มูลแก้ว ที่ว่า

“ตะก่อน เขาเอาตุเจ้ามาจ้อมกั๋นกลางข่วง นั่งสวดกันสดแจ้ง พอแล้วอิแม่กะเดินตวยเขาเอาขี้ดินขี้ทราย ขนไปอ่วยตวยตางหั้น มะเด่วกะบ่หั๋นมี มีไปฮ่อมปีแล้วนิ”[25]

คำบอกเล่าของ นายสี กรุณา ก็มีถ้อยความที่คล้ายคลึงกัน แต่ทว่าเป็นภาพทรงจำในวัยเด็กของนายสี ที่เมื่อก่อนเป็นคนน่าน แล้วอาศัยเดินทางเกวียนมาแพร่เพื่อบุกเบิก และสร้างครอบครัวในสมัยวัยหนุ่ม ดังนั้นภาพที่นายสีเล่าจึงเป็นภาพสะท้อนการสวดเบิกที่หมู่บ้านจากฝั่งน่าน ซึ่งก็มีความใกล้เคียงและคล้ายคลึงกับที่แพร่

“เขาตุ้มคัวกั๋นไปฟังตุเจ้าเตดธรรม เขาเบิกกะเบิกกั๋นกลางข่วงหั้นเนาะ กะว่าจะใดเป็นละอ่อนมันกะม่วน อิป่อกะฮกไปสุบใส่ตุ๊เจ้า เอ้? แก่ว่าใด แก่ว่ามึงมาฮกเล่นกั๋นนี่ เด่วผีสือมาจับไปมึงบ่กั๋วก่ะ”[26]

จากคำบอกเล่าของ นางบุษบา หอไชย สะท้อนให้เห็นถึงความห่างหายไปของพิธีสวดเบิก

“แม่กะบ่เกยหั๋นเฮาะ กำลังหามาหั๋นตอนปีแล้วนี่กะ วัดบ้านเฮาเขาเอาตุ๊เจ้าลุกตางใดมาบ่ฮู้ เอามาสวดตั้ดหน้าโรงเรียนหั้น กะเอามาสวดหลังวันตี่เขาฉลองกั๋นในเวียงนั้นเนาะ(โรงเรียนอยู่ตรงข้ามวัด และวัดก็คือวัดปงท่าข้าม วัดเดียวกันกับที่นางแฝง มูลแก้วเล่าถึงสมัยตอนเป็นสาว)”[27]

หากสังเกตจะพบว่า ในถ้อยความนี้สะท้อนออกมาให้เห็นถึงการผสานกัน ทางความเชื่อระหว่างพุทธและผีเข้าไปด้วย ซึ่งท่านทั้งสองได้สะท้อนให้เห็นถึงพิธีสวดเบิกที่ดูจะกระทำบ่อยครั้งในอดีต กล่าวคือนายสีผู้พ่อ ก็ประสบการสวดเบิกในวัยเด็ก และนางแฝงผู้ลูกก็ประสบการสวดเบิกในวัยสาวเช่นกัน ซึ่งทั้งสองหากพิจารณา ระยะเวลาแล้ว จะเห็นได้ว่าการสวดเบิกนั้นมีมาอย่างยาวนาน และเป็นพิธีกรรมที่ชาวบ้านให้ความสำคัญ สังเกตจาก “เขาตุ้มคัวกั๋นไป” คือคนหอบข้าวหอบของไป เพื่อนั่งฟังสวดเบิก หรือแม้แต่ถ้อยความที่ว่า “อิแม่กะเดินตวยเขาเอาขี้ดินขี้ทรายไปอ่วยตวยตาง” คือเดินตามเขาเอาดินเอาทรายไปรวดตามทาง ซึ่งแน่นอนว่าต้องเดินกันไปเป็นหมู่มาก สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนชาวบ้านนั้น ยังให้ความสำคัญต่อพิธีนี้เป็นอย่างมาก และที่สำคัญคือมีการจัดกระทำกันทุกปี ทว่ากลับลดทอนลงไป เมื่อถึงสมัยของนางบุษบาบุตรสาวของนางแฝงมูลแก้ว พิธีการสวดเบิกนั้นได้ห่างหายไปจากชุมชน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือถ้อยความเหล่านี้ ประกอบกับข้อมูลที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดนั้น ได้สะท้อนการต่อรองระหว่างชุมชนและสงฆ์ออกมาด้วย กล่าวคือ ในอดีตการทำพิธีคนในหมู่บ้านจะร่วมกันกำหนดวันและสถานที่[28]สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะการต่อรองระหว่างชุมชนที่มีต่อวัด และหากย้อนกลับไปยังคำสัมภาษณ์ จะพบว่าสวดเบิกนั้น ล้วนแฝงไปด้วยความครึกครื้นและมากด้วยผู้คนในชุมชนมาเข้าร่วม ซึ่งการต่อรองระหว่างชุมชนกับสงฆ์นั้น ชุมชนจัดอยู่ในฐานะของผู้ที่“ต้องการ”จัดกระทำพิธี เพื่อสกัดหรือปัดป้องภัยอันตรายให้พ้นจากหมู่บ้าน กลับกันชาวบ้านต้องนิมนต์พระสงฆ์ไว้ล่วงหน้าหลายวัน เพื่อพระสงฆ์จะได้ฝึกซ้อมการสวดเบิกให้คล่อง[29]พระสงฆ์จึงตกอยู่ในฐานะผู้“กระทำ”พิธี กระธรรมในเชิงพิธีกรรม ส่วนพื้นที่หรือสถานที่จัดเตรียมนั้น เป็นภาระของชุมชน[30]

อย่างไรก็ตามแม้นว่าในปัจจุบัน การต่อรองระหว่างสงฆ์และชุมชนได้แปรเปลี่ยนรูปแบบไปตามยุคสมัยแล้วก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นในส่วนของภาคที่ 2 นี้คือการสะท้อนภาพของการต่อรองระหว่างสงฆ์และชุมชน ซึ่งการต่อรองของสงฆ์และชุมชนนั้น ในอดีตถือได้ว่า ชุมชนมีพลังการต่อรองที่สูง ซึ่งสามารถเสนอความต้องการให้แก่พระสงฆ์ และสงฆ์เองก็ได้ดำเนินการจัดกระทำพิธีสวดเบิกเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของชุมชน การขจัดโรคภัย เรื่องร้ายอันตรายของชุมชนนั้น อาจสะท้อนภาพของความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งผูกติดกับสังคมชายขอบมาอย่างยาวนาน แต่ทว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่า คือภาพของความร่วมมือระหว่างสงฆ์และชุมชน ที่ชุมชนอยู่ในฐานะผู้มีเสียงในการต่อรองกับวัด และวัดก็เป็นผู้สนองตอบต่อชุมชน สะท้อนให้เห็นว่าวัดเป็นของชุมชนตามประเพณีดั่งเดิม ก่อนที่มันจะถูกริบเอาไปเป็นของรัฐส่วนกลางในภายหลัง[31]ซึ่งผู้เขียนจะกล่าวถึงต่อไป ถึงกรณีของการแปรผันของคู่ต่อรอง จากชุมชนไปเป็นรัฐส่วนกลาง ฉะนั้นแล้วในส่วนนี้ ผู้เขียนได้กล่าวโดยสรุปว่า สวดเบิกล้านนาในอดีตนั้น เป็นสิ่งที่แพร่หลายและกระทำกันเป็นประจำ ซึ่งเป็นการจัดกระทำพิธีบนการต่อรองระหว่างชุมชนและวัด อีกทั้งยังเป็นการค้ำจุลซึ่งกันและกัน เมื่อใดที่ชุมชนหวั่นเกรงจะเกิดเรื่องร้ายในชุมชน เมื่อนั้นก็จะมีการต่อรองระหว่างชาวบ้านและวัด การต่อรองยังผลให้เกิดความร่วมมือในชุมชนและส่งเสริมให้ชุมชนนั้นเข้มแข็ง และจะเจริญมั่นคงได้ ก็ด้วยเพราะความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเกื้อกูลกัน ระหว่างพระกับชาวบ้านเป็นสำคัญ[32]เมื่อพระสงฆ์กับชาวบ้านเริ่มห่างเหิน วัดกับชุมชนก็อ่อนแอลงไปทั้งคู่[33]และเมื่อกาลเวลาได้ผันผ่านจากอดีตเข้าสู่ช่วง 40 ปีให้หลังจวบปัจจุบัน พิธีการเข้าเบิกแทบเรียกได้ว่า ปรากฏไม่บ่อยครั้ง เพราะการจัดกระทำขึ้นอยู่กับจังหวัดหรือส่วนกลางแทน เห็นได้จากการจัดสวดเบิก ของชุมชนบ้านปง เมื่อปี 2559 ที่ผ่านมาโดยเป็นการจัดกระทำขึ้นภายหลัง การเข้าเบิกใหญ่ของจังหวัดเมื่อ 18 เมษายน 2558 และหลังจากสมโภชเมือง 1188 ปี ซึ่งการสวดเบิกก็ได้หวนกลับมายังหมู่บ้านอีกครั้ง แต่ทว่าการต่อรองนั้นได้แปลเปลี่ยนคู่ต่อรอง จากชุมชนเป็นส่วนกลางแทน

ภาคที่ 3 “จุดเปลี่ยน”

ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวไปในข้างต้น ถึงประเด็นเรื่องเมืองแพร่ เมืองที่เติบโตหรือเปลี่ยนแปลงอย่างเนิบช้า เขนาดของมืองที่เล็กเสมือนทางผ่านไปยังจังหวัดอื่น สมดั่งคำติดประตูเมือง หากเดินทางเข้าแพร่ผ่านเส้นอุตรดิตถ์เด่นชัย จะพบคำว่า “เมืองแพร่ ประตูสู่ล้านนา” ราวกับสถานะของเมืองแพร่นั้น ตกเป็นเสมือนทางผ่าน และสถานที่ท่องเที่ยวไม่ดึงดูดนักท่องเที่ยว อีกทั้งหากมองตามประวัติศาสตร์ เมืองแพร่นับเป็นเมืองแทบรั้งท้ายแถว ในยุคสมัยแห่งการปฏิรูปสยาม[34]รัฐสมัยใหม่นั้นมีอำนาจกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้การดึงอำนาจการปกครองสงฆ์ เข้าสู่ส่วนกลางเป็นไปได้ง่ายขึ้นเท่านั้น หากยังหมายความว่ารัฐสามารถครอบงำคณะสงฆ์ได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ด้วยการครอบงำดังกล่าวสามารถแผ่ลงไปถึงท้องถิ่นที่ห่างไกล กรณีครูบาศรีวิชัยซึ่งต้องอาญาบ้านเมืองเพราะไม่ยอมขึ้นต่อคณะสงฆ์ส่วนกลางนั้น แสดงถึงอำนาจของรัฐในกรุงเทพฯ[35]แต่กระนั้นก็ตาม ผลกระทบจากส่วนกลางเอง ก็ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเมืองแพร่เช่นกัน

เมื่อย้อนกลับไปยัง 40 ก่อน จะพบว่าตรงกับช่วง 2510 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยแห่งรัฐอุตสาหกรรม[36]นโยบายสร้างชาติได้ส่งผลให้เกิดการไหลบ่าของ ลัทธิวิทยาศาสตร์นิยมและบริโภคนิยม ที่ท่วมทะลักเข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง[37]จนแทบกล่าวได้ว่าอริทางฐานคิดนี้ ได้เข้ามาเบียดบังพื้นที่ของพุทธรรมศาสนาให้ตกขอบเวทีไป ซึ่งแน่นอนว่าบทบาทของผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนารายใหม่ย่อมตกไปอยู่ที่รัฐส่วนกลางด้วย เนื่องจากผู้คนในชุมชนต้องเข้าสู่กระบวนการทางสังคมใหม่นี้ สังคมอุตสาหกรรมได้ดูดเอาทรัพยากรในสังคมชนบทเข้าสู่วงศูนย์กลาง ซึ่งทำให้ผู้คนห่างไกลจากวัดมากขึ้น และแน่นอนว่าสิ่งเก่าเดิม ย่อมแปรเปลี่ยนตามไปด้วย วิถีชีวิต ความเชื่อและการต่อรองล้วนแปรเปลี่ยนไปสิ้น ผู้คนไม่ได้ใช้วัดเป็นศูนย์กลางพบปะทางชุมชนอีกต่อไป[38]ดังนั้นวัดจะดำรงอยู่ในสภาวะเช่นนี้ได้ ย่อมต้องปรับตัวให้ทันตามกระแสของโลก ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นได้ว่า วัดในสมัยหลังล้วนแต่ผันตัวกลายเป็นพุทธแบบบริโภคนิยม บุญกรรมจับต้องได้ บูชา แลกเปลี่ยนได้ ด้วยสิ่งที่เรียกว่าปัจจัย(เงิน) จริงอยู่ที่การต่อรองทางชุมชนนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่ต่อรองหลักของคณะสงฆ์ แต่ทว่าปัจจุบันชุมชนและสงฆ์กลับไม่ใช่คู่ต่อรอง หากแต่เป็นรัฐส่วนกลางที่เข้ามาต่อรองด้วย โดยการเสนอนักท่องเที่ยว แลกกับการที่วัดและชุมชนกลายเป็นผู้จัดกระทำทั้งคู่ ดังนั้นลักษณะของพิธีกรรม หรือการกระทำจึงเป็นไป เพื่อการ “โชว์” มากกว่าเป็นการธำรงไว้ซึ่งนัยยะความหมายเดิมของมัน[39]ดังนั้นความศักดิ์สิทธิ์ที่เคยมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน หากแต่สิ่งที่หายไปคือ ประสงค์ที่แท้จริงในการจัดกระทำพิธี

“...วันนี้ 18 เมษายน พ.ศ.2558 เทศบาลเมืองแพร่ จัดพิธีสวดเบิก 4 มุมเมือง และสืบชะตาเมืองแพร่ เพื่อความเป็นสิริมงคล ตามขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อของชาวจังหวัด ซึ่งสวดเบิกทั้งสี่มุมเมืองนั้น ได้แก่ ที่บริเวณประตูชัย ,ประตูมาร ,แยกศรีชุม และประตูยั้งม้า ซึ่งเทศบาลเมืองแพร่ จัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลต่อบ้านเมืองหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นวันปีใหม่ของไทย...”[40]

ข่าวการจัดพิธีสวดเบิกนี้ เผยแพร่ทั้งในหนังสือพิมพ์และ โลกออนไลน์ เป็นการประชาสัมพันธ์เพื่อการท่องเที่ยว โดยนายศักดิ์ สมบุญโต ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่กล่าวว่า จังหวัดแพร่มีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวเป็น 2.2 ล้านล้านบาทในปี 2558[41]และเพื่อเป็นการส่งเสริมประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดแพร่ในช่วงฤดูการท่องเที่ยว ให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยวและสนใจที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวในจังหวัดแพร่ ช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่จังหวัดแพร่มากขึ้น พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม ประเพณี การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์และสุขภาพ “โดยใช้กิจกรรมการท่องเที่ยวเป็นสื่อกลาง”[42]จะดำเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกรูปแบบทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ สื่อออนไลน์ ป้ายโฆษณา แผ่นพับ แล้วยังได้เตรียมจัดกิจกรรมภายใต้คอนเซปท์ แอ่ว...ปี๋ใหม่แป้...ยิ่งฮู้จัก....ยิ่งฮักแป้[43]

การสนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาลนี้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของชุมชนหนึ่งๆ แพร่ได้ดำเนินการภายใต้นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ในคอนเซปท์ แอ่ว...ปี๋ใหม่แป้...ยิ่งฮู้จัก...ยิ่งฮักแป้ นโยบายได้ปลุกกระตุ้นให้แพร่ขุดค้นสิ่งที่เรียกว่า วัฒนธรรมอันเก่าเดิมของตนขึ้นมาอีกครั้ง หนึ่งในนั้นคือสวดเบิกด้วย การจัดกระทำพิธีสวดเบิกนั้นทำหลังจาก พ้นผ่านวันสงกรานต์ไป 1 วัน นับเป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวไว้ กล่าวคือ แพร่มีการเล่นสงกรานต์นับตั้งแต่ วันที่ 13 – 17 เมษายน เป็นประจำของทุกปี และเมื่อปี 2558 นี้เองที่ วันและเวลาได้ปรับเปลี่ยน ททท.แพร่ ได้เชิญชวนนักท่องเที่ยวมาเที่ยวงานสงกรานต์เมืองแพร่ โดยจัดกิจกรรมเต็มที่ตลอด 15 วัน ระหว่างวันที่ 3-17 เม.ย. 58 ถือได้ว่าเป็นสงกรานต์ที่นานที่สุดในภาคเหนือ[44]ซึ่งทำให้รูปแบบหรือแบบแผนอันเก่าเดิมนั้น มีอันต้องแปรเปลี่ยนไป การนำเอาวัฒนธรรมมาเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยว การขับเน้นอัตลักษณ์ของตน ก็เป็นไปเพื่อแสดงให้ “ผู้มาเยือน” ได้ชื่นชมและดื่มด่ำ ความศักดิ์สิทธิ์และรูปแบบพิธีถูกกระทำให้ ตอบสนองต่อความสนใจของผู้มาเยือน หาได้สนองตอบต่อความต้องการของชุมชนดั่งแต่ก่อน การดำเนินตามรูปแบบนโยบายของรัฐ สะท้อนให้เห็นถึง ชุมชนที่ถูกลดทอนความสำคัญลง จนตกอยู่ในสถานะของผู้แสดง วัดเองก็มิได้อยู่บนการต่อรองระหว่างสงฆ์กับชุมชนอีกต่อไป เห็นได้จาก การจัดกิจกรรมต่างๆส่วนกลางเข้ามามีส่วนในการควบคุม และจัดแสดง กำกับดูแล วัดและชุมชน อยู่ในฐานะของผู้ร่วมแสดง การเดินขบวนแห่เพื่อเชิดชูบางสิ่ง ได้แต่งแต้มสีสันให้พิธีหรือการโชว์นั้นมีความยิ่งใหญ่ ดูตื่นตาตื่นใจมากขึ้น นักเรียน คนหนุ่มสาวในหมู่บ้าน ล้วนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมโชว์ทั้งสิ้น เพื่อเป็นการแสดงออกถึงศักยภาพของจังหวัดและดึงดูดนักท่องเที่ยว

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้อาจหมายรวมได้ว่า ททท.เป็นหน่วยงานที่เข้ามามีบทบาท และส่งเสริมการจัดการทุกอย่างให้ดำเนินไป[45]แต่เปล่าเลย ททท.เป็นเพียงหน่วยงานที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่สิ่งที่อยู่เหนือไปกว่านั้น คือการเปลี่ยนแปลง มันเกิดขึ้นจากตัวชุมชนเอง เกิดขึ้นจากตัวจังหวัดแพร่เอง เมื่อมองย้อนกลับไปในภาคที่ 2 เราจะพบการเปลี่ยนแปลงที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง การเหินห่างระหว่างชุมชน และพิธีกรรมนั้น ได้ดำเนินมาอย่างยาวนานตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา การรับรู้ของชุมชนได้รับการปรับเปลี่ยนมาอยู่เสมอ ตามกระแสโลกที่เปลี่ยนไป สวดเบิกที่น้อยครั้งการกระทำพิธีจะถูกจัดขึ้น ก็ด้วยเพราะ การรับรู้ของชุมชนนั้นเปลี่ยนไป สำนึกร่วมของชุมชนได้มลายลง เหลือเพียงสำนึกแบบปัจเจก สังคมได้ดำรงลักษณะของการใช้ชีวิตแบบครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น และมากขึ้น ย่อมส่งผลให้สังคมนั้น แยกออกจากกัน การร่วมประเพณีก็เป็นไปตามกิจกรรมที่ตรงกับวันสำคัญตามปฏิทินเท่านั้น ภาพเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ชุมชนไร้สิ้นซึ่งพลังในการต่อรอง สงฆ์เองก็ดำรงอยู่ตามนโยบายจากส่วนกลาง กล่าวคือ วันสำคัญตามปฏิทินทางศาสนาเท่านั้น ที่มักจะพบผู้คนเข้าวัดทำบุญ แทบไม่ปรากฏวันอื่นๆที่มีการต่อรองระหว่างวัดและชุมชนอีกเลย การแต่งงาน งานศพ เหล่านี้ผู้เขียนไม่นับว่าเป็นการต่อรองระหว่างชุมชน เพราะการต่อรองระหว่างชุมชนคือการต่อรองของคนหมู่มากเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก และแน่นอนว่าเพื่อประโยชน์ของคนในชุมชนเอง ฉะนั้นภาพเหล่านี้ได้หายไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ความร่วมมือภายในชุมชนในการรังสรรค์ประเพณีพิธีกรรม ได้ห่างหายไป การที่ ททท. ออกนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวก็เสมือนหนึ่งว่า ได้ช่วยเป็นสื่อกลางในการ นำเอาพิธีกรรมเก่าเดิมที่เคยห่างหายไป กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง จุดเปลี่ยนสำคัญจึงอยู่ที่ตัวชุมชนเอง การกลับไปค้นหาอดีต เพื่อรังสรรค์มันขึ้นมาใหม่ ก็นับเป็นการสร้างภาพความร่วมมือของสังคมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หากแต่ว่าเป็นภาพที่ใหญ่ขึ้น รัฐจัดอยู่ในฐานะของผู้ต้องการจัดกระทำพิธี และวัดก็กลายมาเป็นผู้จัดกระทำพิธี แต่ทว่าเพิ่มหุ้นส่วนเข้าไปคือชุมชน ดังนั้นวัดและชุมชนจึงดำรงอยู่ในฐานะของผู้ร่วมจัดกระทำพิธี เพื่อสนองตอบต่อนโยบายหรือความต้องการของรัฐส่วนกลาง แม้นว่ารูปแบบของการต่อรองจะแปรเปลี่ยนไปอยู่ในมือของรัฐ แต่สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นอีกครั้งคือการกลับมาสร้างความร่วมมือกันระหว่างชุมชนและวัดอีกครั้งหนึ่ง


สรุป

มนุษย์ทุกผู้ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อเป็นของตน อดีตหรือปัจจุบัน ความเชื่อก็ยังคงดำรงสถานะและตัวตนของมันให้คงอยู่เสมอ เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ ผีบรรพบุรุษ เวียนว่ายตายเกิด เชื่อในวัตถุ เชื่อในพระเจ้าใหม่แห่งโลก เงิน ศรัทธาของผองชน ผู้คนล้วนแล้วแต่มากด้วยความเชื่อ หากแต่ความเชื่อใดเล่าที่จะสามารถ หล่อหลอมให้คนในชุมชน ต่างพบปะและร่วมสร้างสำนึกร่วมกัน “สวดเบิก”พิธีกรรมที่ดูจะเป็นประเพณีที่หล้าหลัง อัดแน่นไปด้วยความเชื่อที่มีต่อสิ่งที่มองไม่เห็น “อนาคต” เราไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าสืบไปเมื่อหน้า กาลสมัยจะดำรงอยู่ในสภาวะเช่นไร แต่เราเลือกที่จะนำเอาสิ่งจรรโลงใจ เพื่อเป็นการบรรเทา สะกัดกั้นความรู้สึกหวาดเกรงต่ออนาคตที่มาถึง และเป็นอนาคตที่ไม่ได้มุ่งหวังต่อตัวเอง หากแต่เป็นการมุ่งหวังที่จะนำเอามนุษย์ทั้งมวลผ่านพ้นความทุกข์นั้นไปด้วย[46]ความเชื่อที่ระคนไปด้วยพุทธและผีนั้น ต่างดำเนินไปควบคู่กัน ก่อกำเนิดเป็นพิธีกรรม ที่กระทำสืบเนื่องกันมาจนเป็นประเพณี การกระทำเพื่อช่วยปัดเป่าภัยที่จะเกิดต่อชุมชน ได้ดำรงอยู่นานนับเท่าที่โลกอุตสาหกรรมยังมาไม่ถึง แต่เมื่อการมาถึงของโลกอุดมคติใหม่ สังคมได้หลุดพ้นจากกรอบของโลกทัศน์แบบพุทธศาสนา หากกล่าวถึงการแปรเปลี่ยนไปของการต่อรองระหว่างชุมชน ได้แปรรูปเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรนั้น ก็อาจกล่าวได้ว่า การต่อรองระหว่างชุมชนและวัดนั้นมีได้เพราะวัดเป็นสมบัติทางประเพณีของชุมชน ซึ่งชุมชนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินไปของวัด การที่วัดและชุมชนร่วมมือกัน ในการก่อประกอบพิธีกรรมหนึ่งๆขึ้นย่อมสะท้อนถึงสภาวะความแข็งแกร่งของชุมชน แข็งแกร่งในที่นี้หมายถึงสภาพชุมชนที่แนบแน่น บนสำนึกร่วมแบบเดียวกัน หากแต่ว่าถูกทลายลงด้วยความเชื่อใหม่ ความเชื่อที่มาพร้อมกันกับโลกแบบทุนนิยม อุตสาหกรรมได้ทวีความสำคัญมากขึ้น ผู้คนหลุดออกจากกรอบพุทธศาสนา ส่งผลให้ทั้งวัดและชุมชนต่างแปรเปลี่ยนรูปแบบของตัวเองมาโดยตลอด

สวดเบิกก็ยังคงทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม คือการสวดเพื่อขจัดป้องภัยอันตรายที่จะเกิดแก่ชุมชน หากแต่การแปรเปลี่ยนขั้วของการต่อรอง จากชุมชนเป็นรัฐส่วนกลางแทน แต่สิ่งที่ผู้เขียนได้จากการศึกษาครั้งนี้คือ การเกิดขึ้นใหม่ของสำนึกร่วมของคนในชุมชน แต่เป็นสำนึกร่วมในรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากเดิม กล่าวคือ เป็นการเกิดสำนึกร่วมบนชุดประสบการณ์ที่สั่งสม การสวดเบิกที่ยังคงนัยยะความหมายของมันเอาไว้ การจัดกระทำพิธี ในวันที่ 18 เมษายน 2558 เพื่อเป็นการสืบชะตาเมือง หรือเสมือนหนึ่งว่าเป็นการสวดเพื่อป้องภัยให้แก่คนในชุมชนนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการขยับขึ้นมาในภาพที่ใหญ่กว่าชุมชน การต่อรองของรัฐส่วนกลางและวัด ได้ส่งผลให้ พิธีสวดเบิกได้ทวีความสำคัญขึ้นเพื่อเป็นการรองรับ การครบรอบ 1188 ปีเมืองแพร่ที่จะตามมาในปี 2559 การส่งเสริมการท่องเที่ยวของ ททท.นั้นถือได้ว่ามีส่วนในการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือของชุมชนกับวัดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเกิดขึ้นของสำนึกร่วมของชุมชนเอง แม้นว่ารัฐจะเป็นผู้อำนวยในการจัดงานกรรมพิธี แต่ผู้เข้าร่วมและผู้จัดกระทำก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านและสงฆ์ในชุมชน นับเป็นการเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งของ ความร่วมมือระหว่างชุมชนและวัดอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่ารูปแบบและเป้าประสงค์ที่แท้จริงของการจัดพิธีในครั้งนี้จะไม่ได้เป็นไปตามแบบฉบับเก่าเดิม แต่ก็เป็นเสมือนแม่แบบให้เกิดการตื่นตัวในที่ต่างๆ หรือการจัดสวดเบิกในตามหมู่บ้านและชุมชนอื่นๆในจังหวัดตามมา ซึ่งล้วนแต่เกิดขึ้นภายหลังจากที่จังหวัดได้จัดพิธีสมโภชไป นับเป็นการตื่นขึ้นใหม่ของการสวดเบิกเมืองแพร่ อีกทั้งยังเป็นการส่งต่อแม่แบบชุดใหม่ไปยังรุ่นต่อๆไป

 

 

บรรณานุกรม

เอกสาร สิ่งพิมพ์

ทรงศักดิ์ แก้วมูล,. "ตัวตนจากเหมืองฝายของคนไหล่หิน", (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร,2551).

 

ธงชัย วินิจจะกุล, บทความ ,ภาวะอย่างไรหนอที่เรียกว่า ศิวิไลซ์ เมื่อชนชั้นนำในสมัยรัชกาลที่ 5 แสวงหา           สถานะของตนเอง ผ่านการเดินทางและพิพิธพันธ์ทั้งในและนอกประเทศ.

เธียรชาย อักษรดิษฐ์, กรกนก รัตนวราภรณ์, วันดี สันติวุฒิเวธี, ล้านนา จักรวาล ตัวตน อำนาจ, (กรุงเทพ :           ศูนย์มานุษยวิทยาสืรินธร, 2545).

นิธิ อียวศรีวงษ์, ท่องเที่ยวบุญบั่งไฟในอีสาน, (กรุงเทพ : มติชน , 2536).

พระครูอดุลสีลกิตติ์. (2552). สาระล้านนาคดี ภาคพิธีกรรม(ฉบับปรับปรุง).เชียงใหม่: กองทุนพระครูอดุล          สีลกิตติ์.

พระไพศาล วิสาโล, พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจากวิกฤต, (กรุงเทพฯ : สำนักงาน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 2546).

พัชราภรณ์ พันธุรัตน์, เอกสารการสอนรายวิชา ส071 ท้องถิ่นของเรา1(จังหวัดแพร่) (จังหวัดแพร่ : โรงเรียน       นารีรัตน์จังหวัด  แพร่, 2535).

พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล, ความเชื่อพระศรีอาริย์, (กรุงเทพ : สำนักพิมพ์สร้างสรรค์ , 2527).

สุเมธ เมธาวิทยกุล, สังกัปพิธีกรรม, (กรุงเทพ : โอ เสส พริ้นติ้ง เฮ้าส์, 2532).

สุรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสนตร์ล้านนา, (กรุงเทพ : อมรินทร์, 2557).

สัมภาษณ์

นางแฝง มูลแก้ว อายุ 65ปี (สัมภาษณ์) 12 มีนาคม 2560.

นายสี กรุณา อายุ 92 ปี (สัมภาษณ์) 12 มีนาคม 2560.

นางบุษบา หอไชย อายุ 42 ปี (สัมภาษณ์) 12 มีนาคม 2560.

 

 

สื่อออนไลน์

MGR Online, จัดเต็มสงกรานต์เมืองแพร่ สนุกสุดๆ นานสุดๆ, (ออนไลน์),(สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560), เข้าถึงได้จาก             http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000039790&Html=1&TabID=        1&.

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา,ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทย พ.ศ. 2558 – 2560,(ออนไลน์),(สืบค้นข้อมูล         วันที่ 18 มีนาคม 2560) เข้าถึงได้จาก : http://www.mots.go.th/ewt_dl_link.php?nid=7114.

จังหวัดแพร่จัดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558, (ออนไลน์), (สืบค้น          เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560), เข้าถึงได้จาก         http://pr.prd.go.th/phrae/ewt_news.php?nid=1201&filename=index.

ณัฐพล กาวิน, พิธีสวดเบิก 4 มุมเมือง และสืบชาตาเมืองแพร่, (ออนไลน์),(สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560),      เข้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/raorakkonPhrae/posts/670149093111730.

แพร่จัดใหญ่ ฉลองสมโภช 1,188 ปี สืบชะตาเมือง-ส่งเสริมท่องเที่ยว, (สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560),           เข้าถึงได้จาก http://www.matichon.co.th/news/16002.

สวดเบิกสมโภชน์เมืองแพร่ 1188 ปี, นาทีที่ 00:02:20-00:02:46 (ออนไลน์),(สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560), เข้าถึงได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=61YRzDUAK1o.

อาสาสมัครวิกิพีเดีย , ประเพณี, [ออนไลน์] วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี , เข้าถึงเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560,             https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8      %9E%E0%B8%93%E0%B8%B5

 

เชิงอรรถ

[1]พัชราภรณ์ พันธุรัตน์, เอกสารการสอนรายวิชา ส071 ท้องถิ่นของเรา1(จังหวัดแพร่) (จังหวัดแพร่ : โรงเรียนนารีรัตน์จังหวัดแพร่, 2535), หน้า 125.

[2]พระยาอนุมานราชธน ได้ให้ความหมายของคำว่าประเพณีไว้ว่า ประเพณี คือ ความประพฤติที่ชนหมู่หนึ่งอยู่ในที่แห่งหนึ่งถือเป็นแบบแผนกันมาอย่างเดียวกัน และสืบต่อกันมานาน ถ้าใครในหมู่ประพฤติออกนอกแบบก็ผิดประเพณี หรือผิดจารีตประเพณี (อาสาสมัครวิกิพีเดีย , ประเพณี, [ออนไลน์] วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี , เข้าถึงเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560).

[3]พัชราภรณ์ พันธุรัตน์, เอกสารการสอนรายวิชา ส071 ท้องถิ่นของเรา1(จังหวัดแพร่)(จังหวัดแพร่ : โรงเรียนนารีรัตน์จังหวัดแพร่, 2535), หน้า 125.

[4]“เปิ่นสวดกันได้บ่นัก เขาจำๆกั๋นมา กู่วันนี้เหลืออยู่บ่กี่วัดที่เขาหยะกั๋น ฮ่อมปี๋แล้วเขากะมาสวดที่บ้านเฮานิ ตั้ดสามแยกหน้าวัดหั้น” นางแฝง มูลแก้ว อายุ 65ปี (สัมภาษณ์) 12 มีนาคม 2560.

[5]สวดเบิกสมโภชน์เมืองแพร่ 1188 ปี, นาทีที่ 00:02:20-00:02:46 (ออนไลน์),(สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560), เข้าถึงได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=61YRzDUAK1o.

[6]พัชราภรณ์ พันธุรัตน์, เอกสารการสอนรายวิชา ส071 ท้องถิ่นของเรา1(จังหวัดแพร่)(จังหวัดแพร่ : โรงเรียนนารีรัตน์จังหวัดแพร่, 2535), หน้า 125.

[7]ณัฐพล กาวิน, พิธีสวดเบิก 4 มุมเมือง และสืบชาตาเมืองแพร่, (ออนไลน์),(สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560), เข้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/raorakkonPhrae/posts/670149093111730.

[8]แพร่จัดใหญ่ ฉลองสมโภช 1,188 ปี สืบชะตาเมือง-ส่งเสริมท่องเที่ยว, (สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560), เข้าถึงได้จาก http://www.matichon.co.th/news/16002.

[9]ทรงศักดิ์ แก้วมูล,. "ตัวตนจากเหมืองฝายของคนไหล่หิน", (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร,2551) หน้า 100.

[10]พระครูอดุลสีลกิตติ์. (2552). สาระล้านนาคดี ภาคพิธีกรรม(ฉบับปรับปรุง).เชียงใหม่: กองทุนพระครูอดุลสีลกิตติ์. หน้า 91.

[11]เรื่องเดียวกัน.

[12]เธียรชาย อักษรดิษฐ์, กรกนก รัตนวราภรณ์, วันดี สันติวุฒิเวธี, ล้านนา จักรวาล ตัวตน อำนาจ, (กรุงเทพ : ศูนย์มานุษยวิทยาสืรินธร, 2545), หน้า 28.

[13]พัชราภรณ์ พันธุรัตน์, เอกสารการสอนรายวิชา ส071 ท้องถิ่นของเรา1(จังหวัดแพร่), (จังหวัดแพร่ : โรงเรียนนารีรัตน์จังหวัดแพร่, 2535), หน้า 109.

[14]สุรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสนตร์ล้านนา, (กรุงเทพ : อมรินทร์, 2557), หน้า 76.

[15]เธียรชาย อักษรดิษฐ์, กรกนก รัตนวราภรณ์, วันดี สันติวุฒิเวธี, ล้านนา จักรวาล ตัวตน อำนาจ, (กรุงเทพ : ศูนย์มานุษยวิทยาสืรินธร, 2545), หน้า 24.

[16]สุเมธ เมธาวิทยกุล, สังกัปพิธีกรรม, (กรุงเทพ : โอ เสส พริ้นติ้ง เฮ้าส์, 2532), หน้า 73.

[17]พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล, ความเชื่อพระศรีอาริย์, (กรุงเทพ : สำนักพิมพ์สร้างสรรค์ , 2527), หน้า 45.

[18]พระไพศาล วิสาโล, พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจากวิกฤต, (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 2546), หน้า 163.

[19]อาสาสมัครวิกิพีเดีย , ประเพณี, [ออนไลน์] วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี , เข้าถึงเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560, https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5

[20]ทรงศักดิ์ แก้วมูล,. "ตัวตนจากเหมืองฝายของคนไหล่หิน", (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร,2551) หน้า 101.

[21]พัชราภรณ์ พันธุรัตน์, เอกสารการสอนรายวิชา ส071 ท้องถิ่นของเรา1(จังหวัดแพร่)(จังหวัดแพร่ : โรงเรียนนารีรัตน์จังหวัดแพร่, 2535), หน้า 125.

[22]ธงชัย วินิจจะกุล, บทความ ,ภาวะอย่างไรหนอที่เรียกว่า ศิวิไลซ์ เมื่อชนชั้นนำในสมัยรัชกาลที่ 5 แสวงหาสถานะของตนเอง ผ่านการเดินทางและพิพิธพันธ์ทั้งในและนอกประเทศ,หน้า 17.

[23]ณัฐพล กาวิน, พิธีสวดเบิก 4 มุมเมือง และสืบชาตาเมืองแพร่, (ออนไลน์),(สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560), เข้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/raorakkonPhrae/posts/670149093111730.

[24]พัชราภรณ์ พันธุรัตน์, เอกสารการสอนรายวิชา ส071 ท้องถิ่นของเรา1(จังหวัดแพร่)(จังหวัดแพร่ : โรงเรียนนารีรัตน์จังหวัดแพร่, 2535), หน้า 125.

[25]นางแฝง มูลแก้ว อายุ 65ปี (สัมภาษณ์) 12 มีนาคม 2560.

[26]นายสี กรุณา อายุ 92 ปี (สัมภาษณ์) 12 มีนาคม 2560.

[27]นางบุษบา หอไชย อายุ 42 ปี (สัมภาษณ์) 12 มีนาคม 2560.

[28]พัชราภรณ์ พันธุรัตน์, เอกสารการสอนรายวิชา ส071 ท้องถิ่นของเรา1(จังหวัดแพร่)(จังหวัดแพร่ : โรงเรียนนารีรัตน์จังหวัดแพร่, 2535), หน้า 125.

[29]เรื่องเดียวกัน.

[30]สุเมธ เมธาวิทยกุล, สังกัปพิธีกรรม, (กรุงเทพ : โอ เสส พริ้นติ้ง เฮ้าส์, 2532), หน้า 52.

[31]พระไพศาล วิสาโล, พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจากวิกฤต, (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 2546), หน้า60.

[32]เรื่องเดียวกัน หน้า 86.

[33]เรื่องเดียวกัน.

[34]สุรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสนตร์ล้านนา, (กรุงเทพ : อมรินทร์, 2557), หน้า 499.

[35]พระไพศาล วิสาโล, พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจากวิกฤต, (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 2546), หน้า 84.

[36]ทักษ์  เฉลิมตียรณ, การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ, (กรุงเทพ : มูลนิธิโครงการตำรา , 2552),หน้า 269.

[37]พระไพศาล วิสาโล, พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจากวิกฤต, (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 2546), หน้า 5.

[38]เธียรชาย อักษรดิษฐ์, กรกนก รัตนวราภรณ์, วันดี สันติวุฒิเวธี, ล้านนา จักรวาล ตัวตน อำนาจ, (กรุงเทพ : ศูนย์มานุษยวิทยาสืรินธร, 2545), หน้า 204.

[39]นิธิ อียวศรีวงษ์, ท่องเที่ยวบุญบั่งไฟในอีสาน, (กรุงเทพ : มติชน , 2536), หน้า 26.

[40]ณัฐพล กาวิน, พิธีสวดเบิก 4 มุมเมือง และสืบชาตาเมืองแพร่, (ออนไลน์),(สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560), เข้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/raorakkonPhrae/posts/670149093111730.

[41]กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา,ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทย พ.ศ. 2558 – 2560,(ออนไลน์),(สืบค้นข้อมูลวันที่ 18 มีนาคม 2560) เข้าถึงได้จาก : http://www.mots.go.th/ewt_dl_link.php?nid=7114. หน้า 13.

[42]จังหวัดแพร่จัดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558, (ออนไลน์), (สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560), เข้าถึงได้จาก http://pr.prd.go.th/phrae/ewt_news.php?nid=1201&filename=index.

[43]เรื่องเดียวกัน.

[44] MGR Online, จัดเต็มสงกรานต์เมืองแพร่ สนุกสุดๆ นานสุดๆ, (ออนไลน์),(สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560), เข้าถึงได้จาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000039790&Html=1&TabID=1&.

[45]นิธิ อียวศรีวงษ์, ท่องเที่ยวบุญบั่งไฟในอีสาน, (กรุงเทพ : มติชน , 2536), หน้า 93.

[46]พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล, ความเชื่อพระศรีอาริย์, (กรุงเทพ : สำนักพิมพ์สร้างสรรค์ , 2527), หน้า 170.

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตรสวนยิ่งลักษณ์ ชี้เอาเงินที่เสียหายจาก 'จำนำข้าว' ซื้อ 'เรือดำน้ำ' ได้ 50 ลำ

$
0
0

พล.อ.ประวิตร ระบุให้กองทัพเรือออกมาชี้แจงปมซื้อเรือดำน้ำจากจีน สวนยิ่งลักษณ์ ชี้เอาเงินที่เสียหายจากรับจำนำข้าวมาซื้อเรือดำน้ำจะซื้อได้ประมาณ 50 ลำ เผยกองทัพเรือเสนอแผนงานจัดซื้อมาแล้ว 10 - 20 ปี กิตติรัตน์ ชี้จำนำข้าวสร้างความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจเกิดจากกลไกของตัวทวีคูณ

28 เม.ย.2560 กลายเป็นประเด็นโต้กันไปมาระหว่างการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนกับโครงการรับจำนำข้าว เริ่มจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ได้ออกมากล่าวหาถึงโครงการรับจำนำข้าวว่าทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก ต้องมาผ่อนชำระ ชดใช้หนี้ต่างๆ ในระบบการเงินการคลังของประเทศ ต่อมาวานนี้ (27 เม.ย.60) ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจของตนตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า การใช่วาระลับในการอนุมัติจัดซื้อเรือดน้ำดังกล่าว ทำให้ไม่มีการเปิดโอกาสให้หน่วยงานหรือสาธารณชนร่วมตรวจผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินที่ต้องมีภาระคำนึงถึงความจำเป็น ความเหมาะสมความคุ้มค่าและการเปรียบเทียบราคาอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทางราชการและประเทศชาติ และยังเป็นการใช้ภาระงบประมาณสูง ผูกพันหลายปีงบประมาณจนเป็นภาระหนี้ให้กับรัฐบาลถัดๆ ไปในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก 

ล่าสดวันนี้ (28 เม.ย.60) มติชนออนไลน์และเนชั่นที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระแสการโจมตีการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือว่า คงไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์เพิ่มไปมากกว่านี้อีกแล้ว ต้องให้กองทัพเรือได้ออกมาชี้แจง

ต่อกรณีที่ยิ่งลักษณ์ โพสต์เฟซบุ๊กโดยนำประเด็นดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับโครงการจำนำข้าวนั้นเป็น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ในส่วนของเรื่องจำนำข้าว ถามว่าเสียหายไปกี่แสนล้าน แต่ในส่วนของเรือดำน้ำซื้อหมื่นกว่าล้าน ถ้าเอาเงินที่เสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวมาซื้อเรือดำน้ำจะซื้อได้ประมาณ 50 ลำ

“คุณยิ่งลักษณ์ก็พูดไป แต่เรื่องเรือดำน้ำที่ซื้อมาก็เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งให้กับกองทัพ เป็นเรื่องการพัฒนาของกองทัพ ผมไม่เห็นว่าเสียหายตรงไหน เสียเงินไปแต่ก็ได้ของมา แต่โครงการจำนำข้าวเงินหายไปหมด ไปไม่ถึงตัวประชาชน แล้วเงินหายไปไหน ขาดทุน 5 แสนกว่าล้าน อยากให้คุณยิ่งลักษณ์ไปตอบพนักงานสอบสวน ไม่ต้องออกมาแบบนี้ ผมก็ชัดเจนในทุกเรื่องที่ทำไป ทำเพื่อความเข้มแข็งและศักยภาพของประเทศ ไม่ใช่ทำเพื่อใครเลย” พล.อ.ประวิตรกล่าว

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า กองทัพเรือได้เสนอแผนงานมานานแล้ว ประมาณ 10 ถึง 20 ปี เพื่อพยายามที่จะซื้อ ซึ่งตนมองว่าไม่เห็นมีปัญหาและไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย เรือดำน้ำเราซื้อมาเพื่อนำไปใช้ดูแลทรัพยากร 5-6 ล้านที่อยู่ในฝั่งอันดามัน 200 ไมล์ทะเล เหตุผลตรงนี้แต่ไม่พูดกัน ไปพูดอะไรบ้าๆ บอๆ อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือจะออกมาชี้แจงเรื่องโครงการเรือดำน้ำในเร็ววันนี้ อย่างช้าที่สุดก็ไม่เกินวันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคมนี้ กองทัพเรือออกมาแถลง ซึ่งเขามีคณะกรรมการกว่า 30 คน ให้ไปถามในวันนั้น

ส่วนกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการล็อกสเปกจากผู้มีอำนาจให้ซื้อของจีนนั้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ใครจะพูดอะไรก็พูดได้ มีหลักฐานหรือไม่ ข้อมูลมาจากใครก็ไม่รู้ ยืนยันตัวตนไม่ได้ ซึ่งตนก็อยากจะพูดว่า เหมือนอย่างสุนัขเห่า ถามว่ารู้หรือไม่ว่าสุนัขมันเห่าใคร สื่อก็ไม่รู้

สำหรับกรณีที่ ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำนั้น รองนายกฯประวิตรกล่าวว่า อยากยื่นก็ยื่นไป ก็ไม่เป็นไร ก็ได้หมด ซึ่งทาง สตง.ก็ต้องเรียกกองทัพเรือไปชี้แจง ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ทุกอย่างโปร่งใส การซื้อขายก็เป็นแบบจีทูจี ทุกอย่างไปพูดกันเองหมด พร้อมทั้งยืนยันว่าคนเหล่านี้ไม่มีใครไปสั่งอะไรได้ เขาต้องนำเรือดำน้ำของประเทศต่างๆ มาเปรียบเทียบทั้งหมด และทำไปตามสเปก ตนมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ขอให้เลิกพูดกันได้แล้วเรื่องเรือดำน้ำ

กิตติรัตน์ ยัน ‘จำนำข้าว’ คุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจ-สังคม ผ่านตัวทวีคูณ

ทั้งนี้โครงกาจำนำข้าวนั้น กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เคยโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจไว้ตั้งแต่ 10 ก.ย.58 ว่า เป็นโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ที่มุ่งดูแลชาวนาที่เป็นกระดูกสันหลังที่กำลังผุกร่อนของชาติ โดยมีจำนวนชาวนาที่ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมของโครงการฯ จำนวนถึงกว่า 3.7 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นประชากรกว่าร้อยละ 23 ของประชากรทั้งประเทศ การรับจำนำข้าวในราคาที่ถูกกล่าวหาว่าสูงเกินสมควรนั้น ถือว่าไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิต และรายได้สุทธิ ที่พวกเขาชาวนาผู้มีพระคุณของเราควรได้รับ แม้ว่า นโยบายสาธารณะที่สำคัญนี้จะต้องจัดสรรงบประมาณรายปี เข้าชดเชยโครงการฯ ที่ดูเหมือนจะมากสักหน่อย ก็ยังอยู่ในกรอบเพียงประมาณร้อยละ 5 ของงบประมาณประจำปีเท่านั้น จึงเป็นโครงการที่คุ้มค่าเพราะสามารถช่วยกลุ่มคนรายได้น้อยที่สุดในภาคเกษตรกรรม ได้ถึงร้อยละ 23 ให้พอลืมตาอ้าปากได้ ตัวเลขห้าแสนล้านที่ถูกหยิบขึ้นมากล่าวอ้างราวกับว่าเป็นภาระความเสียหายนั้น แท้ที่จริงเป็นเพดานเงินหมุนเวียน ที่ใช้ดูแลโครงการฯ มาแล้วถึง 5 ฤดูการผลิต โดยยังมีข้าวในคลังที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาทที่ยังไม่ได้จำหน่ายออกไป การระบายข้าวที่มีความล่าช้าเกินสมควรจนเกิดเป็นต้นทุนที่เพิ่มเติมขึ้นมานั้น รัฐบาลนี้ควรตรวจสอบการดำเนินงานว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้การระบายข้าวของโครงการฯ มีความล่าช้าเป็นอย่างมากในช่วงระยะเวลาปีเศษที่ผ่านมา และเดาว่าทีมเศรษฐกิจชุดเดิมคงไม่เคยใส่ใจที่จะอธิบายถึงประโยชน์ และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากกลไกของตัวทวีคูณ (Multiplier Effect) ผ่านหลักการการบริโภคเมื่อรายได้ดีขึ้น (Marginal Propensity to Consume) ทำให้เศรษฐกิจรวมของประเทศ ขยายตัวได้ปีละกว่า 3 แสนล้านบาทในปี 2555 ถึงปี 2556 หรือคิดเป็น ร้อยละ 2.7 ถึง 2.8 ของ GDP ของประเทศ

ซึ่งแปลว่าผู้คนทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจล้วนได้รับประโยชน์โดยถ้วนทั่ว โครงการรับจำนำข้าวเปลือก เป็นโครงการที่ดี และมีความคุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม ภายใต้การบริหารการเงินและการคลังที่มีวินัยอย่างดี ทั้งในประเด็นระดับหนี้สาธารณะ และการบริหารงบประมาณของรัฐบาล

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เผยต้นปี 60 จ้างงานขยายตัว เตรียมตั้งกรมใหม่ 'สำนักงานเศรษฐกิจการแรงงาน'

$
0
0

รองโฆษกกระทรวงแรงงาน เผยกระทรวงเตรียมตั้ง  'สำนักงานเศรษฐกิจการแรงงาน' เป็นหน่วยงานภายในเทียบเท่าระดับกรม ต้นปี 60 จ้างงานขยายตัว 

เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา รายงานข่าวจากกระทรวงแรงงานแจ้งว่า เพชรรัตน์ สินอวย ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะรองโฆษกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมกระทรวงว่า กระทรวงแรงงานจำเป็นต้องปฏิรูปองค์กร โดยการปฏิรูปโครงสร้างภายในเป็นลำดับแรกจัดตั้ง “สำนักงานเศรษฐกิจการแรงงาน” เป็นหน่วยงานภายในเทียบเท่าระดับกรมขึ้นมา เนื่องจากกระทรวงแรงงานต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศเป็นสำคัญ ให้สอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังคนของประเทศในระยะ 20 ปีข้างหน้าเพื่อรองรับยุทศาสตร์ชาติ 20 ปี

รองโฆษกระทรวงแรงงาน ระบุอีกว่า จะลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 11 พฤษภาคมนี้ เพื่อทำการศึกษาวิเคราะห์และทำงานร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการแรงงาน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการชี้ทิศทางการผลิตกำลังคนของประเทศเพื่อสร้างรากฐานด้านแรงงานวิเคราะห์และชี้นำทิศทางนโยบาย (Policy Adviser) ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้สามารถก้าวเดินในการผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศให้สอดคล้องเชื่อมโยงกัน นอกจากนี้จะทำหน้าที่คาดการณ์และพยากรณ์สถานการณ์ด้านแรงงานของประเทศในอนาคตล่วงหน้า 12 เดือน โดยมีการติดตามสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นจริงเพื่อนำมาปรับปรุงให้การพยากรณ์มีความใกล้เคียงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง การกำหนดท่าทีและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการแรงงานระหว่างประเทศ รวมทั้งติดตามและประเมินผล ทั้งนี้ จะมีการสัมมนาวิชาการประจำปี การนำเสนอผลงานวิชาการจากภาคีเครือข่ายด้านแรงงาน เป็นต้น

เพชรรัตน์ ยังกล่าวถึงสถานการณ์การจ้างงานในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 ตั้งแต่มกราคม - มีนาคม 2560 พบว่า การจ้างงานมีการขยายตัวทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมกราคมขยายตัวจากเดือนธันวาคม 2559 ขึ้นมาที่ร้อยละ 1.42 เดือนกุมภาพันธ์ขยายตัวขึ้นมาร้อยละ 1.56 และเดือนมีนาคม ขยายตัวขึ้นมาร้อยละ 1.71 ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการประกอบกิจการของผู้ประกอบการมีการเจริญเติบโตทำให้การจ้างงานในระบบประกันสังคมในมาตรา 33 ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าระบบเศรษฐกิจยังมีเสถียรภาพดีอยู่

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานยังได้มีการเฝ้าระวังสถานการณ์ด้านแรงงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับข้อมูลจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานแรงงานจังหวัด กรมการจัดหางาน และสำนักงานประกันสังคม พบว่า อุตสาหกรรมการผลิตเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการแปรรูป การถนอมสัตว์น้ำ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์ และแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ จากข้อมูลความต้องการแรงงานเดือนมีนาคมของกรมการจัดหางาน พบว่า ผู้ประกอบการต้องการแรงงานจำนวน 37,488 อัตรา ซึ่งขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมกราคมอยู่ที่ 30,645 อัตรา เดือนกุมภาพันธ์ 33,889 อัตรา และเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นเป็น 37,488 อัตรา ซึ่งยืนยันว่าการจ้างงานยังขยายตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมมาตรา 33  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'สมาน' นำทีมจี้อเมริกาหยุดสงครามกับเกาหลีเหนือ หนุ่มอ้างตัวถอนหมุดคณะราษฎรโผล่ร่วมด้วย

$
0
0

สมาน ศรีงาม นำทีมประท้วงหน้าสถานทูตอเมริกา จี้หยุดก่อสงครามกับเกาหลีเหนือ หันมาสร้างสันติภาพโลกถาวร ขณะที่ 'วิชาญ ภูวิหาร' ผู้เคยอ้างตัวถอนหมุดคณะราษฎรโผล่ร่วมด้วย

ภาพจาก เฟซบุ๊ก 'ฦๅ เฑวฦทธิ์

28 เม.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 16.43 น. เฟซบุ๊ก 'ฦๅ เฑวฦทธิ์' โพสต์ภาพการชุมนุมนั่งสมาธิ ประท้วงสงครามนิวเคลียร์ ที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่ากลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่นำโดย สมาน ศรีงาม ซึ่งก่อนหน้านั้น สมานได้ประกาศผ่านเฟซบุ๊กว่า สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ พรรคการนำใหม่ประชาชนปฏิวัติสันติ (พรรคตามธรรมชาติ) จะไปยื่นหนังสือประท้วงอเมริกาให้หยุดก่อสงครามนิวเคลียร์ล้างโลก กับเกาหลีเหนือ และหันมาสร้างสันติภาพโลกถาวร ในเวลาดังกล่าวด้วย

นอกจาก สมาน แล้ว ยังมี วิชาญ ภูวิหาร ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกันเดินทางมาร่วมประท้วงด้วย โดย วิชาญ เมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา เขาเดินทางไปที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมอ้างตัวว่าเป็นผู้ถอนหมุดคณะราษฎร พร้อมทั้งอ่านแถลงการณ์แสดงความรับผิดชอบ ความหนา 27 หน้า ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่านำหมุดดังกล่าวไว้ที่ใด วิชาญ อ้างว่าเมื่อถอนหมุดแล้วก็วางไว้ที่บริเวณดังกล่าว ขณะนี้อยู่ที่ใดตนไม่ทราบ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวไปพูดคุย นายวิชาญพยายามขัดขืนด้วยการนั่งสมาธิ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องหิ้วปีก พอเจ้าหน้าที่จะนำตัวไปยัง สน.ดุสิต นายวิชาญจึงขอยื่นเอกสารแถลงการณ์ดังกล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวนายวิชาญไปยัง สน.ดุสิต โดย พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ รอง ผบก.น.1 ระบุว่า เมื่อมีผู้มาอ้างว่ากระทำความผิดก็ต้องนำตัวไปสอบปากคำว่ากระทำจริงหรือไม่ รวมทั้งจะพาไปตรวจสอบร่างกายว่าสภาพจิตปกติหรือไม่ โดยยังไม่การแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กะเทาะเปลือกร่าง พ.ร.ป.พรรคการเมือง ฉบับอยู่ยากแต่ยุบง่าย

$
0
0

คงได้เห็นหน้าคร่าตากันไปบ้างแล้ว สำหรับพระราชบัญญัติประกอบร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า พ.ร.ป. พรรคการเมือง ซึ่งถือเป็น 1 ใน 4 กฎหมายสำคัญอันจะนำไปสู่การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 โดยทางคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ที่มีหัวเรือใหญ่คือมีชัย ฤชุพันธุ์ ได้นำร่างกฎหมายดังกล่าว ฉบับที่ผ่านการพิจารณาจาก กรธ. เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2560 ส่งให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(ส.น.ช) ไปเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยกระบวนการระหว่างนี้ สนช. จะเป็นผู้พิจารณากฎหมายดังกล่าวภายในระยะเวลา 60 วันนับตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. เป็นต้นไป

สำหรับร่างกฎหมายพรรคการเมืองที่ กรธ.ได้ส่งไปมีทั้งหมด 145 มาตรา ซึ่งอมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษก กรธ. ได้ให้สัมภาษณ์ว่า กฎหมายดังกล่าวจัดทำโดยยึดกับรัฐธรรมนูญเป็นหลัก ไม่ใช่รับฟังพรรคการเมืองขนาดใหญ่มากกว่าพรรคการเมืองขนาดเล็ก หรือทำเพื่ออุ้มพรรคการเมืองใด พร้อมทั้งได้วางหลักการ ให้พรรคการเมืองสามารถทำประโยชน์ให้ประเทศและประชาชนได้เป็นหลักสำคัญ

ขณะที่มีชัยระบุว่า การปรับแก้กฎหมายหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ สนช. เป็นหลักหากยังมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ทาง กรธ. เชื่อมั่นว่าได้เขียนกฎหมายอย่างดีที่สุดแล้ว และหาก สนช. จะปรับเปลี่ยนก็ต้องมีคำอธิบายด้วยว่าจะปรับเปลี่ยนแก้ไขเพราะอะไร และหากมีแนวทางที่ดีกว่าที่ กรธ. เขียนก็พร้อมที่จะเห็นด้วย

ถ้าจะก่อตั้งพรรคการเมืองได้ คุณต้องมีอะไรบ้าง

ในส่วนของเนื้อหาของกฎหมายพรรคการเมืองที่เป็นประเด็นถกเถียงสำคัญๆ ในช่วงที่ผ่านมามีด้วยกันหลายเรื่อง เช่น เรื่องการก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ที่มีข้อกำหนด ข้อบังคับมากมาย จนทำให้ผู้ที่มีความคิดจะก่อตั้งพรรคการเมืองรู้สึกว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวอาจจะเป็นการปิดกั้นพื้นที่การเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองระดับชาติ มากกว่าที่จะเปิดโอกาสให้เกิดพรรคทางเลือกใหม่ๆ ขึ้นมา

โดยในหมวดที่ 1 ซึ่งว่าด้วยการจัดตั้งพรรคการเมือง ได้กำหนดให้ผู้ที่จะก่อตั้งพรรคการเมืองต้องร่วมกันไม่น้อยกว่า 500 คน เพื่อเข้าชื่อจัดตั้งพรรคการเมือง พร้อมทั้งกำหนดให้พรรคการเมืองต้องมีเงินทุนประเดิมพรรคไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท โดยให้เรียกเก็บจากผู้ร่วมจัดตั้งพรรคการเมืองอย่างน้อยคนละ 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ตามมาตรา 9  ขณะที่กฎหมายเดิมกำหนดเพียงให้มีผู้ร่วมก่อตั้ง ไม่น้อยกว่า 15 คน และไม่ได้กำหนดเรื่องทุนเงินประเดิมพรรคการเมืองไว้

อีกทั้งยังกำหนดให้มีการทำระบบสมาชิกพรรคการเมือง โดยมีความมุ่งหวังที่ไม่ต้องการให้พรรคการเมืองเป็นของกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ต้องการให้พรรคการเมืองเป็นพรรคของทุกคน โดยในกฎหมายดังกล่าวมีรายละเอียดในทางปฏิบัติที่เอื้อเกิดระบบไพรมารี่โหวต (Primary Vote) ซึ่งสมาชิกพรรคการเมืองสามารถจะมีส่วนร่วมในการกำหนดว่าจะให้ผู้ใดลงสมัครรับการลงเลือกตั้งได้ ตามมาตรา 49 ววรค 3

แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องการทำระบบสมาชิกนั้นได้มีการกำหนดให้พรรคการเมืองที่เพิ่งจดทะเบียนใหม่ต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 5,000 คนภายใน 1 ปี และมีไม่น้อยกว่า 10,000 คนภายในเวลา 4 ปี โดยนับจากวันที่จดทะเบียนพรรคการเมือง และภายใน 1 ปี พรรคการเมืองต้องดำเนินการให้มีสาขาพรรคในแต่ละภาค อย่างน้อยภาคละ 1 สาขา โดยสาขาพรรคการเมืองจะต้องมีสมาชิกที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของสาขานั้นๆ มากกว่า 500 คนขึ้นไป ตามมาตรา 33

อีกทั้งสมาชิกพรรคการเมืองทุกคนจะต้องชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองอย่างน้อยคนละ 100 บาทต่อปี ตามมาตรา 15 วงเล็บ 15 และหากสมาชิกคนใดไม่ทำการชำระเงินติดต่อกัน 2 ปี ให้ถือว่าสิ้นความเป็นสมาชิกพรรคทันที ตามมาตรา 27 วงเล็บ 3

และเมื่อมีการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองแล้ว หากพบว่าพรรคการเมืองไม่ได้ส่งผู้สมัครลงรับการเลือกตั้งทั่วไปเป็นเวลา 8 ปีติดต่อกัน จะทำให้สถานะภาพของการเป็นพรรคการเมืองสิ้นสุดลง ตามมาตรา 84 วงเล็บ 5

นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดยิบย่อยอีกมากมาย เช่นการจัดประชุมผู้ก่อตั้งพรรคอย่างน้อย 250 คนเพื่อนำรายชื่อและบันทึกการประชุมไปประกอบการจดทะเบียน ไปจนถึงการจัดเตรียมเอกสารต่างๆอีกมากมาย ซึ่งหากเกิดข้อผิดพลาด หรือพรรคการเมืองไม่ได้ทำตามที่กฎหมายระบุก็จะมีโทษถึงขั้นจำคุก

วิทูวัจน์ ทองบุ คณะกรรมการเฉพาะกาลพรรคสามัญชน

การก่อตั้งพรรคมีเงื่อนไขมาก อาจเป็นการผลักไสชาวบ้านสู่ท้องถนน

ต่อประเด็นดังกล่าว วิทูวัจน์ ทองบุ คณะกรรมการเฉพาะกาลพรรคสามัญชน (พรรคสามัญชนคือ กลุ่มบุคคลซึ่งรวมตัวกันและมีแนวคิดจะจัดตั้งพรรคการเมือง) เห็นว่าพรรคการเมืองต้องเป็นเครื่องมือที่ชาวบ้านใช้ได้ง่าย แต่กฎหมายดังกล่าวอาจจะไม่เอื้อให้กับกลุ่มชาวบ้านที่เคยออกมาต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในประเด็นสิทธิมนุษยชนในมิติต่างๆ ซึ่งมีการรวมตัวเป็นเครือข่ายกัน และมีความประสงค์จะก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่มาจากความต้องการประชาชน เพราะการกำหนดให้มีเงินทุนประเดิมพรรคการเมือง โดยที่ผู้ก่อตั้งจะต้องจ่ายทุกคนอย่างน้อยคนละ 1,000 บาท จะเป็นอุปสรรคสำคัญที่กีดกันชาวบ้าน และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการหรือนโยบายของรัฐ ไม่ให้เข้าสู่การต่อสู้ในเวทีการเมือง และยิ่งไปกว่านั้นอาจจะเป็นการผลักให้ชาวบ้านเดินออกมาบนท้องถนนแทน

“ตามหลักแล้วมันควรจะง่าย ไม่ใช่มีขั้นตอนที่มากขนาดนี้ และหากเป็นแบบนี้มันยิ่งผลักคนออกไปที่ท้องถนน จากเดิม(ร่างแรกของ กรธ.) เขากำหนด 500 คน จ่ายคนละ 2,000 บาท แต่เปลี่ยนมาเป็น 500 คน อย่างน้อยคน 1,000 บาท แต่เมื่อเฉลี่ยรวมกันแล้วก็ต้องหาให้ได้ 1 ล้านอยู่ดี ซึ่งมันก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับชาวบ้านเหมือนเดิม เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขากำหนดแบบนี้ หากจะอ้างการมีส่วนร่วม มันสามารถทำได้โดยวิธีอื่นอยู่แล้ว” วิทูวัจน์ ระบุ

วิทูวัจน์ เห็นว่าการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวเป็นความหวาดกลัวความคิดเก่าๆ ภาพการเมืองเก่าๆ ของผู้ร่างกฎหมาย แต่กลับไม่มีเข้าใจความเติบโตทางการเมืองของกลุ่มชาวบ้าน หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ ที่ต้องการก่อตั้งพรรคการเมืองรูปแบบใหม่ หรือพรรคทางเลือกขึ้นมา เขาเห็นว่าความเป็นเจ้าของพรรคการเมืองไม่สามารถชี้วัดได้ด้วยการดูว่าใครเป็นคนออกเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูที่รูปแบบการบริหารพรรค การกำหนดนโยบายของพรรค ซึ่งสำหรับพรรคสามัญชนได้มีแนวคิดว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องการกับทำงานของพรรคจะให้สมาชิกพรรคเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดได้ ความเป็นเจ้าของพรรคเกิดขึ้นจากตรงนี้ วิทูวัจน์ย้ำในตอนท้าย

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

เช่นเดียวกันกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเห็นว่าร่างกฎหมายดังกล่าว กำหนดบทบาทที่ชัดเจนของสมาชิกเพียงแค่การจ่ายค่าบำรุงพรรค แต่ยังไม่มีการระบุว่าให้สิทธิอะไรบ้างกับผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง เขาเห็นว่าการเป็นเจ้าของ และมีส่วนร่วมในพรรค จะคิดแต่เรื่องของการจ่ายค่าบำรุงพรรคอย่างเดียวไม่ได้ แม้ในอุดมคติการจ่ายเงินบำรุงพรรคจะเป็นเรื่องที่สมควรมี แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันไปสู่การที่ประชาชนสามารถมามีส่วนร่วมทางการเมืองในฐานะสมาชิกพรรคการเมืองได้นั้น การเอาเรื่องเงินมาเป็นตัวตั้งไม่ใช่โจทย์ที่ถูกต้อง

นอกจากนี้ อภิสิทธิ์ ระบุด้วยว่า การครอบงำพรรคการเมืองโดยคนกลุ่มน้อย โดยบุคคล หรือโดยครอบครัวนั้น คงไม่สามารถแก้ได้ด้วยการเก็บค่าบำรุงพรรคการเมือง หากต้องการแก้ปัญหาดังกล่าวต้องเข้าใจว่าที่มาของเงินนั้นไม่ใช่เป็นเงินที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่เป็นเงินที่จ่ายโดยไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งเขายังมีข้อข้องใจว่า ทำไม กรธ. ไม่หาทางจัดการเรื่องนี้ให้ได้

นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

เจตนารมณ์ในการก่อตั้งพรรคการเมืองถูกทำให้เปลี่ยนไป

ขณะที่ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่าเงื่อนไขต่างๆที่เพิ่มเข้ามาในก่อตั้งพรรคการเมือง จะทำให้พรรคการเมืองใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือพรรคการเมืองขนาดเล็กที่มีอยู่มีความลำบากมากขึ้น โดยเขาชี้ให้เห็นว่าความเป็นพรรคการเมืองนั้นไม่ได้หมายความว่า จะต้องมีผู้สมัครลงรับการเลือกตั้งเท่านั้น แต่พรรคการเมืองเป็นพื้นที่สำหรับขยายอุดมการณ์ทางการเมือง และเป็นพื้นที่สาธารณะที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ การลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นเพียงหนึ่งองค์ประกอบหนึ่งของพรรคการเมืองเท่านั้น แต่ในร่างกฎหมายพรรคการเมือง ระบุว่าหากพรรคการเมืองไม่ส่งผู้สมัครลงรับการเลือกตั้ง 8 ปีติดต่อกันจะถูกยุบพรรคทันที

“เราจะเห็นว่าพรรคการเมืองบางพรรค เขาอยู่มานานแต่ไม่เคยมีผู้แทนเลย ไม่ได้ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งเลย แต่สิ่งที่เขามีคือพื้นที่ในการทำนโยบายสาธารณะบางเรื่องเท่านั้นเอง แต่การกำหนดว่าหากพรรคไหนไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง 8 ปี พรรคนั้นจะถูกยุบไปเลย อย่างนี้แสดงว่าเจตนารมณ์ของพรรคการตามรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นใหม่จะต้องเป็นพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งเท่านั้น ฉะนั้นพื้นที่สาธารณะของกลุ่มบุคคลที่มีอุดมการณ์แบบเดียวกัน มารวมตัวกันเพื่อประกาศเจตนารมณ์ พื้นที่ตรงนี้มันก็จะหายไป”

นิพิฏฐ์ ย้ำด้วยว่า ผู้ร่างกฎหมายมองเห็นเพียงแค่ว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองกับพรรคการเมืองนั้นจะทำได้ด้วยการจ่ายเงิน แต่จริงๆ แล้วการกำหนดรายละเอียดยิบย่อยลักษณะนี้อาจจะทำให้พรรคการเมืองมีลักษณะคล้ายกับระบบราชการที่ต้องคอยดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร และทำงานในลักษณะงานประจำมากขึ้น

“เรื่องการจ่ายเงิน พรรคประชาธิปัตย์เคยทดลองให้สมาชิกพรรคร่วมจ่ายเงินบำรุงพรรคมาก่อนหน้าที่จะเกิดรัฐประหารอีก เรามีสมาชิกหลายล้าน แต่กำหนดให้ชำระเพียงปีละ 20 บาทต่อคน แต่เงินที่ได้มาเข้าใจว่าได้ไม่ถึงแสน ทั้งที่ตอนนั้นเรายังไม่เจอสถานการณ์ที่พรรคการเมืองถูกใส่ร้าย ถูกทำให้เป็นที่รังเกียจเหมือนทุกวันนี้ ในขณะที่ตอนนี้สถานการณ์ต่างๆ ก็ไม่เอื้อเพราะคนรังเกียจนักการเมือง มันก็ไม่เอื้อให้คนเดินเข้ามาจ่ายเงินบำรุงพรรค ฉะนั้นหากมาตรการนี้ออกมาพรรคใหญ่ก็ลำบาก พรรคเล็กก็เกิดยาก ผมเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จากเดิมที่มีสมาชิกหลายล้าน อาจจะเหลือแค่ไม่กี่แสน” นิพิฏฐ์ กล่าว

บทลงโทษรวม 36 มาตรา พบโทษสูงสุดจำคุก 20 ปี

สำหรับกรณีบทลงโทษที่เขียนเอาไว้ในร่างกฎหมายฉบับนี้มีด้วยกันทั้งสิ้น 36 มาตรา โดยมีโทษที่เบาสุดคือ มาตรา 127 ระบุว่า หากกรรมการบริหารพรรคการเมืองไม่ปฏิบัติตามมาตรา 83 (ซึ่งกำหนดว่า คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง ที่จะต้องตรวจสอบและควบคุมมิให้มีการนำเงินหรือทรัพย์สินของพรรคการเมืองไปใช้จ่ายเพื่อการอื่นใดนอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 78 มาตรา81 และมาตรา 82) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ขณะที่โทษสูงสุดตามร่างกฎหมายนี้อยู่ที่มาตรา 110 ที่กำหนดว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา  46 (กรณีการซื้อขายตำแหน่งทางการเมือง และตำแหน่งในการบริหารราชการแผ่นดินในหน่วยงานรัฐ) ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10-20 ปีและให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิการรับสมัครเลือกตั้งของผู้นั้น (มาตรานี้มีการปรับแก้ไขบทกำหนดโทษจากเดิมที่ กรธ. วางไว้คือโทษประหารชีวิต)

ขณะที่มาตราที่ดูจะเพิ่มเติมเข้ามาเป็นพิเศษคือ มาตรา 130 โดยกำหนดเอาไว้ว่า บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ถ้าจำเลยอยู่ในอำนาจศาลแล้วแต่ได้หลบหนีไป และศาลได้ออกหมายจับแล้ว แต่ยังจับตัวมาไม่ได้ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดี สืบพยาน และอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยได้

ในขณะที่ ชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย ได้ตั้งข้อสังเกตถึงการกำหนดบทลงโทษในร่างกฎหมายฉบับนี้ว่า มีการคิดบนพื้นฐานอะไร เพราะเหตุใดจึงมีความพยายามทำให้กฎหมายดังกล่าวมีอัตราโทษที่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับโทษทางอาญาอื่นๆ

ชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย

ซ่อนไม้ตาย กกต.ลงดาบ ล้างไพ่คณะกรรมการบริหารพรรคทั้งคณะ

นอกจากนี้ ชวลิต เห็นว่า มาตรา 22 เป็นบทบัญญัติที่ผิดหลักกฎหมายอย่างร้ายแรง โดยมาตรา 22 กำหนดให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแล มิให้สมาชิกกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ รวมตลอดทั้งระเบียบประกาศและคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ทั้งยังระบุให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแล มิให้สมาชิก หรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองกระทำการในลักษณะที่อาจทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริต หรือเที่ยงธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรืออาจเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดซึ่งสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม

ทั้งนี้ เมื่อคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองได้รับแจ้งจากนายทะเบียนว่าสมาชิกกระทำการอันอาจมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืน ให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีมติหรือสั่งการให้สมาชิกยุติการกระทำนั้นโดยพลัน และกำหนดมาตรการหรือวิธีการที่จำเป็นเพื่อมิให้สมาชิกผู้ใดกระทำการอันอาจมีลักษณะดังกล่าวอีก แล้วแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีมติ

ในกรณีที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนว่าคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองไม่ปฏิบัติตาม ให้นายทะเบียนเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อพิจารณามีคำสั่งให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะคำสั่งดังกล่าวให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ชวลิตให้ความเห็นว่า การร่างบัญญัติข้อนี้ยังมีลักษณะกว้างไปและสร้างการตีความครอบคลุมได้ในหลายๆ ประเด็น โดยเขาเห็นว่า การที่จะให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองเพียงไม่กี่คนมีหน้าที่ต้องดูแลกับสมาชิกพรรคการเมือง ซึ่งสำหรับพรรคใหญ่อาจมีจำนวนถึงหลักแสน หลักล้าน เป็นกฎหมายที่ไม่สมเหตุสมผล และยิ่งต้องมีการรับโทษด้วยการถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งด้วยนั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ชอบอย่างยิ่ง โดยเขาเห็นว่ากฎหมายควรกำหนดโทษที่ผู้ที่กระทำผิดโดยตรง และหากมีการตรวจสอบพบว่า กรรมการบริหารพรรคการเมืองคนใดมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด เช่นมีส่วนรู้เห็นกับการฝ่าฝืนกฎหมาย ก็ควรที่จะมีการลงโทษเป็นกรณีไป ไม่ใช่การเหมารวมคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด

พรรคการเมืองยุบง่ายๆ พรรคเล็กอาจจะหายไปภายในไม่กี่ปี พรรคใหญ่ถึงไม่พลาดก็อาจโดน

สำหรับกรณีที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคการเมืองนั้นมีหลากหลายเหตุปัจจัย  เช่น

1. มีข้อบังคับไม่ถูกต้องและไม่ครบถ้วน (มาตรา 85 วงเล็บ 1)

เมื่อพรรคการเมืองไม่แก้ไขข้อบังคับให้ถูกต้องหรือครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 17 วรรคสาม (ว่าด้วยกรณีที่พบในภายหลังว่าข้อบังคับของพรรคการเมืองหนึ่งๆ ที่ได้ยื่นประกอบเพื่อจดทะเบียนพรรคการเมือง ไม่เป็นไปตาม มาตรา 14 ซึ่งระบุว่า ข้อบังคับต้องไม่มีลักษณะดังต่อไปนี้  1.เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและต้องไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ 2.ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน 3.อาจก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างชนในชาติ และ4.ครอบงำหรือเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ)

และมาตรา 15 (ว่าด้วยข้อบังคับต่างๆที่ต้องมีสำหรับพรรคการเมือง ยกตัวอย่างเช่น สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก ความรับผิดชอบของสมาชิกต่อพรรคการเมืองและความรับผิดชอบของพรรคการเมืองต่อสมาชิก มาตรฐานทางจริยธรรมของกรรมการบริหารพรรคการเมืองและสมาชิกหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกสมาชิกเพื่อส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ และการคัดเลือกบุคคลซึ่งพรรคการเมืองเห็นสมควรจะเสนอให้ได้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องกำหนดให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการคัดเลือกด้วยอย่างกว้างขวาง วิธีการบริหารการเงินและทรัพย์สิน)

โดยให้นายทะเบียนพรรคการเมืองรายงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อพิจารณาและมีมติให้เพิกถอนข้อบังคับของพรรคการเมืองนั้น และแจ้งให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองทราบภายใน 7 วัน โดยคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองต้องดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง และครบถ้วนภายในเวลา 30 วันนับจากวันที่ได้รับหนังสือ  หากพ้นไปจากนี้ยังไม่ได้ทีการแก้ไข หรือแก้ไขแล้วแต่ยังไม่ถูกต้องครบถ้วน ให้พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง

2.มีจำนวนสมาชิกไม่ครบตามที่กำหนด (มาตรา 85 วงเล็บ 2) มีจำนวนสาขาพรรคการเมืองไม่ครบตามที่กำหนด (มาตรา 58 วงเล็บ 3)

เมื่อพรรคการเมืองได้รับการจดทะเบียนแล้ว หากหลังจากวันที่จดทะเบียน 1 ปี ไม่สามารถมีสมาชิกมากกว่า 5,000 คนหรือหลังผ่านไป 4 ปี ไม่สามารถมีสมาชิกมากกว่า 10,000 คน เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 90 วัน ให้พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง

หรือหากมีสาขาพรรคการเมืองเหลืออยู่ไม่ครบตามจำนวนที่กำหนด (ต้องมีอย่างน้อยภาคละ 1 สาขา) ติดต่อกันเป็นเวลา 1 ปี ให้พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง

3.กรณีสั่งยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญ ให้สั่งตัดสิทธิทางการเมืองคณะกรรมการบริหารพรรคด้วย

ในมาตรา 86 ได้ระบุว่า หากคณะกรรมการการเลือกตั้งมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคการเมืองได้กระทำการดังต่อไปนี้ ให้ยื่นเรื่องกับศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งของคณะกรรมบริหารพรรคด้วย

การกระทำดังกล่าวประกอบด้วย การกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 20 วรรค 2 มาตรา 28 มาตรา 30 มาตรา 36 มาตรา 44 มาตรา 46 มาตรา 66 หรือมาตรา 68 และมีเหตุอันจำเป็นตามกฎหมายกำหนด

มาตรา 20วรรคสอง พรรคการเมืองต้องไม่ดำเนินกิจการอันมีลักษณะเป็นการแสวงหากำไรมาแบ่งปันกัน

มาตรา 28ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอม หรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกของพรรคขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม

มาตรา 30ห้ามมิให้พรรคการเมือง หรือผู้ใดให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมเพื่อจูงใจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดสมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง ทั้งนี้ เว้นแต่สิทธิหรือประโยชน์ซึ่งบุคคลจะพึงได้รับในฐานะที่เป็นสมาชิกของพรรคการเมือง

มาตรา 36สาขาพรรคการเมือง และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด จะจัดตั้งขึ้นนอกราชอาณาจักรมิได้

มาตรา 44ห้ามมิให้พรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองและสมาชิกรับบริจาคจากผู้ใดเพื่อกระทำการหรือสนับสนุนการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน

มาตรา 45ห้ามมิให้พรรคการเมือง หรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองกระทำการหรือส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือกระทำการอันเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

มาตรา 46ห้ามมิให้พรรคการเมือง สมาชิก หรือผู้ใด เรียกรับ หรือยอมจะรับเงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ใด เพื่อให้ผู้นั้นหรือบุคคลอื่นได้รับแต่งตั้ง หรือสัญญาว่าจะให้ได้รับแต่งตั้ง หรือเพราะเหตุที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแหน่งใดในการบริหารราชการแผ่นดินหรือในหน่วยงานของรัฐ

ห้ามมิให้ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่พรรคการเมืองสมาชิกหรือผู้ใดเพื่อจูงใจให้ตนหรือบุคคลอื่นได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งใดในการบริหารราชการแผ่นดินหรือในหน่วยงานของรัฐ

มาตรา 66 ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 68ห้ามมิให้พรรคการเมือง หรือสมาชิกรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจาก

(1)บุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย

(2)นิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจหรือกิจการหรือจดทะเบียนสาขาอยู่ในหรือนอกราชอาณาจักร

(3)นิติบุคคลที่จดทะเบียนในราชอาณาจักรโดยมีบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยมีทุนหรือเป็นผู้ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละสี่สิบเก้า ในกรณีที่เป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้พิจารณาตามที่ปรากฏในทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทดังกล่าวหุ้นที่ไม่ปรากฏชื่อผู้ถือหรือถือโดยตัวแทนของบุคคลที่ไม่เปิดเผยชื่อ ให้ถือว่าเป็นหุ้นที่ถือโดยผู้ไม่มีสัญชาติไทย

(4)คณะบุคคล หรือนิติบุคคลที่ได้รับทุนหรือได้รับเงินอุดหนุนจากต่างประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์ของบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยหรือซึ่งมีผู้จัดการ หรือกรรมการเป็นบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย

(5)บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคลที่ได้รับบริจาคเพื่อดำเนินกิจการของพรรคการเมือง หรือเพื่อดำเนินกิจการในทางการเมืองจากบุคคล องค์การ หรือนิติบุคคลตาม (1) (2) (3) (4)

(6)บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ที่มีลักษณะทำนองเดียวกันกับ (1) (2) (3) (4) (5) ตามที่คณะกรรมการกำหนด

ความในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับกับกรณีสมาชิกรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดดังกล่าวที่มิใช่เพื่อใช้ในกิจกรรมทางการเมือง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รายงานสัมมนา Thailand Update 2017 ถกปมสถาบันกษัตริย์ ชายแดนใต้ บทบาทเศรษฐกิจของทหาร

$
0
0

รายงานสัมมนาทางวิชาการในหัวข้อ Thailand Update 2017 มหาลัยโคลัมเบีย กับประเด็น ม.112 ระบอบทุนนิยมกับสถาบันกษัตริย์ ประชามติ ชายแดนใต้ บทบาททางเศรษฐกิจของทหารไทย ศาลปกครอง และการปราบปรามโซเชียลมีเดีย

เมื่อวันพุธที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา ณ มหาลัยโคลัมเบีย มลรัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดการสัมมนาทางวิชาการในหัวข้อ Thailand Update 2017 ขึ้น โดยการนำของ ดันแคน แมคคาโก ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และศาสตราจารย์รัฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยลีดส์  งานสัมมนา Thailand Update นี้เป็นงานสัมมนาวิชาการเกี่ยวกับประเทศไทยซึ่งมุ่งครอบคลุมทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยการประชุมนี้ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่สามแล้ว

เนื่องจากปี 2559 ที่ผ่านมาเป็นปีที่มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และการเปลี่ยนผ่านรัชกาล อันก่อให้เกิดความกังวลและคำถามอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับแนวทางในการวางระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศไทยในอนาคต การสัมมนาวิชาการ Thailand Update 2017 นี้ได้รวบรวมเอานักวิชาการหลายท่านที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมานำเสนองานวิจัยและบทวิเคราะห์ที่อาจมีส่วนเชี่อมโยงและเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจสถานการณ์ในประเทศไทยในในมิติต่างๆได้ดียิ่งขึ้น โดยการบรรยายจะแบ่งเป็นสามหัวข้อหลักๆ คือ การเมือง เศรษฐกิจ และสื่อกับความยุติธรรม

นักศึกษากฎหมายและกษัตริย์องค์ใหม่ของไทย

ในหัวข้อการเมืองนี้มีการแบ่งการบรรยายออกเป็นสองส่วน โดยส่วนแรกเป็นเรื่องการเมืองอันเกี่ยวเนื่องกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และสถาบันพระมหากษัตริย์ นำบรรยายโดย ไทเรล ฮาเบอร์คอร์น ( Tyrell Haberkorn ) นักวิจัยประจำภาควิชาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย โดยไทเรลนำเสนอการบรรยายในหัวข้อ “นักศึกษากฎหมายและกษัตริย์องค์ใหม่ของไทย” ซึ่งพูดถึงกรณีการจับกุมและดำเนินคดีกับนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ 'ไผ่ ดาวดิน' นักศึกษาสาขาวิชากฎหมายและแกนนำนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย ภายใต้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการแชร์รายงานข่าว BBC Thai อันมีเนื้อหาเกี่ยวกับพระราชประวัติของรัชกาลที่ 10 โดยคดีของไผ่เป็นคดีแรกในมาตรา 112  ภายใต้การปกครองของกษัตริย์พระองค์ใหม่ การที่ไผ่เป็นเพียงคนเดียวที่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแม้จะมีผู้แชร์รายงานข่าวชิ้นเดียวกันนี้กว่าอีก 2600 คน เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเลือกใช้อำนาจทางกฎหมายอย่างปราศจากเหตุผลของรัฐไทยอันก่อให้เกิดการตั้งคำถามและความกังวลอย่างมากในหมู่นักวิชาการถึงระบอบการเมืองและการปกครองในอนาคตว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไรหลังจากขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์พระองค์ใหม่

ไทเรล นำเสนอว่า กฎหมายพระราชบัญญัติมาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นแท้จริงแล้วเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การแสดงความคิดเห็นหรือตั้งคำถามเกี่ยวสถาบันกษัตริย์อันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันทางการเมืองยากที่จะเกิดขึ้นได้ในสังคมและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำในทางกฎหมาย

ไทเรล สรุปว่า หนทางการกลับเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยหรือการกลับเข้าสู่การเป็นสังคมเปิดกว้างของไทยในอนาคตนั้นยังคงจะเป็นไปได้ยาก หากรัฐบาลไทยภายใต้แกนนำของคณะความสงบและมั่งคงแห่งชาติยังคงใช้กฎหมายมาตรา 112 เป็นเครื่องมือในการควบคุมการแสดงความคิดเห็นและการตั้งคำถามของประชาชนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อันสืบเนื่องและเกี่ยวข้องกับการเมือง

ระบอบทุนนิยมกับสถาบันกษัตริย์

ผู้บรรยายในหัวข้อการเมืองในช่วงแรกนี้อีกท่านหนึ่งคือ ปวงชน อุนจะนำ นักศึกษาปริญญาเอกสาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคูนี่ และอาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดย ปวงชน นำเสนอส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์อันมีเนื้อหาและข้อมูลที่น่าสนใจในหัวข้อ “ระบอบทุนนิยมกับสถาบันกษัตริย์” ( Capital and the Crown ) 
 
ปวงชน ได้เริ่มการบรรยายโดยตั้งคำถามถึงความหมายที่แท้จริงของ “การสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทยในช่วงเปลื่ยนรัชกาล” โดยพูดถึงแนวโน้มการลงทุนจากภาคธุรกิจ ไปจนถึงระบอบทุนนิยมทั้งจากในและนอกประเทศที่ลดลง
 
ปวงชน ได้นำเสนอและเปรียบเทียบถึงพัฒนาการของภาพลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ไทยในปัจจุบันที่ดีขึ้นและแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากภาพลักษณ์กษัตริย์ไทยโบราณในช่วงสมบูรณายาสิทธิราชย์ในช่วงก่อนการเปลื่ยนแปลงการปกครอง โดยปวงชน ได้กล่าวว่า ภาพลักษณ์ดังกล่าวมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนักธุรกิจและนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
 
ปวงชน เรียกแนวคิดของความสัมพันธ์ระหว่างระบอบทุนนิยมจากนักธุรกิจและสถาบันกษัตริย์นี้ว่า “แฝดสยาม” ( Siamese Twins) เนื่องจากเป็นความสัมพันธ์ซึ่งพัฒนาและเติบโตมาพร้อมกันอย่างแน่นแฟ้นและไม่สามารถแยกออกจากกันได้ โดยระบบความสัมพันธ์นี้เข็มแข็งและรุ่งเรืองมากในช่วงรัชกาลที่ 9 เนื่องจากการครองราชย์ยาวนานกว่า 70 ปีของพระองค์ ซึ่งในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยกำลังค่อยๆ เปลื่ยนผ่านจากประเทศเกษตรกรรมเข้าสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมและเกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางอย่างรวดเร็ว โดยผลของแบบความสัมพันธ์ “แฝดสยาม” กับกลุ่มธุรกิจของสถาบันกษัตริย์ดังกล่าวนี้ส่งผลให้เงินในกองทุนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่ทรงต้องการเงินสนับสนุนจากรัฐบาลดังเช่นในอดีตอีกต่อไป
 
โดยท้ายสุด ปวงชน ได้ให้ข้อสังเกตสรุปเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบ “แฝดสยาม” นี้ว่า ระบบดังกล่าวทำให้เกิดความสัมพันธ์ในแง่ผลประโยชน์ต่างตอบแทนระหว่างสถาบันกษัตริย์และภาคธุรกิจ ซึ่งอาจทำให้ระบอบทุนนิยมที่แท้จริงในประเทศนั้นเสียหายได้เป็นอย่างมาก ปวงชน คาดการว่า ในอนาคตระบบความสัมพันธ์นี้จะยังถูกสงวนและรักษาไว้อย่างเหนียวแน่นโดยเครือข่ายพระมหากษัตริย์ และจะยังส่งผลกระทบแก่ระบอบการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมของไทยในระยะยาวอย่างแน่นอน
 

ควบคุม ประณีประนอม และถอยหลังเข้าคลอง

การบรรยายในหัวข้อการเมืองในช่วงที่สอง นำโดย อัลเลน ฮิคกินส์ และ ดันแคน แมคคาโก โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำประชามติรัฐธรรมนูญและข้อสังเกตจากประชามติดังกล่าวที่เชื่อมโยงกับปัญหาสามจังหวัดภาคใต้
 
อัลเลน ฮิคกินส์ ( Allen Hicken ) ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์และประชาธิปไตยใหม่ มหาวิทยาลัยมิชิแกน เริ่มการสัมมนาในช่วงนี้ในหัวข้อ ควบคุม ประณีประนอม และถอยหลังเข้าคลอง : สถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันโดยฮิคกินส์ได้นำเสนอผลการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2559 เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งผลประชามติลงคะแนนเห็นชอบทั้งสองประเด็นทั้งในประเด็นร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง โดยประชาชนลงมติเห็นชอบในประเด็นร่างรัฐธรรมนูญ 61.35% และเห็นชอบ 58.70% ในประเด็นคำถามพ่วง

ฮิคกินส์ ได้ลำดับเหตุการณ์การร่างรัฐธรรมนูญมาจนถึงการลงนามประกาศใช้รัฐธรรมนูญเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และนำเสนอบทวิเคราะห์และผลลัพธ์ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นจากเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 2559 โดยคร่าวสามประการคือ

1. อำนาจส่วนใหญ่ของรัฐบาลเผด็จการยังคงอยู่ โดยรัฐธรรมนูญฉบับ 2559 ได้กำหนดวิธีการเลือกตั้งและวิธีการจัดสรรอำนาจให้ผู้ที่ชนะเลือกตั้งไม่สามารถควบคุมการดำเนินงานของรัฐได้ทั้งหมด และออกแบบวิธีการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมให้มีการใช้บัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว ซึ่งอาจส่งผลให้คะแนนเสียงของพรรคการเมืองใหญ่ลดลง พรรคขนาดกลางมีอำนาจต่อรองสูงขึ้นและส่งผลให้โอกาสที่จะเกิดรัฐบาลผสมที่ขาดเสถียรภาพทางการเมืองมีสูงขึ้น อันสามารถเปิดโอกาสให้เกิดนายกคนนอกซึ่งมาจากการแต่งตั้งได้

2. เผด็จการพรรคการเมือง นอกเหนือจากการออกแบบการเลือกตั้งและข้อกำหนดในการจัดตั้งรัฐบาลแบบใหม่ของรัฐธรรมนูญ 2559 ที่ทำให้อำนาจของพรรคการเมืองและหัวหน้าพรรคการเมืองผู้ชนะการเลือกตั้งมีอำนาจลดน้อยลงแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับ 2559 ยังกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาสองร้อยห้าสิบนายในวาระแรกมาจากการแต่งตั้งอีกด้วย

3. ลดความสำคัญและควบคุมผลคะแนนเสียงเลือกตั้งจากประชาชน โดยในกรณีนี้ฮิคกินส์ชี้ให้เห็นตั้งแต่กระบวนการการทำประชามติที่ไม่เป็นกลางของรัฐบาลคสช. รวมไปจนถึงกลไลการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงประชามติที่ไม่เปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์ต่อสาธารณะของรัฐบาลอีกด้วย

ฮิคกินส์ กล่าวโดยสรุปจากเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 2559 ว่ารัฐบาลและนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคตจะยังคงถูกควบคุมโดยตรงจากคณะคสช. โดยรัฐสภาและรัฐบาลไทยน่าจะยังคงต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะเข้าสู่สภาวะเสถียรภาพและเสรีภาพทางการเมืองอย่างแท้จริง

ภาคใต้ : การจลาจลที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ผู้ดำเนินการบรรยายท่านสุดท้ายในหัวข้อการเมือง ได้แก่ ดันแคน แมคคาโก ( Duncan McCargo ) ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยลีดส์และผู้ผลักดันให้เกิดการสัมมนาวิชาการ Thailand Update 2017 ขึ้นในครั้งนี้ โดยดันแคนได้ร่วมบรรยายในหัวข้อ “ภาคใต้ : การจลาจลที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

เช่นเดียวกับฮิคกินส์ ดันแคนเริ่มการบรรยายโดยการเสนอผลการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2559 เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา โดยดันแคนให้ความสนใจเป็นพิเศษไปที่ผลคะแนนเสียงประชามติที่เปลื่ยนแปลงไปอย่างมากจากเห็นชอบเป็นไม่เห็นชอบของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อันได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส

เนื่องด้วยพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อันประกอบไปด้วยประชากรประมาณ 1.8 ล้านคนนั้น ส่วนมากกว่า 80% เป็นชาวมุสลิม ดันแคนได้เห็นความเห็นว่าการที่คะแนนเสียงประชามติได้เปลื่ยนแปลงไปจากเห็นชอบเป็นไม่เห็นชอบนั้นน่าจะเกิดมาจากรัฐธรรมนูญมาตรา 67 อันระบุไว้ว่า

“รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น

ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการ ป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชน มีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย”

ดันแคน มองว่าการที่รัฐธธรรมนูญกล่าวให้รัฐต้องสนับสนุนพระพุทธศาสนานั้น ย่อมทำให้ชาวมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในเขตสามจังหวัตภาคใต้ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน โดยดันแคนยังได้ยกตัวอย่างความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศอันน่าจะเกี่ยวข้องกับการลงคะแนนเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เช่น การเกิดระเบิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่อำเภอไทรบุรี และการเกิดระเบิดขนาดย่อมขึ้นในหลายพื้นที่ในช่วงเวลาหลังการลงประชามติ เมื่อ 11-12 สิงหาคม ทั้งที่ตรัง หัวหิน ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และพังงา อันทำให้เกิดผู้เสียชีวิตสี่คนและผู้บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก

ดันแคน กล่าวทิ้งท้ายว่าแม้สถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะซับซ้อนวุ่นวาย และดูจะยังไม่มีทางออกที่ดีเนื่องจากรัฐธรรมนูญใหม่ได้ทำให้เกิดความสับสนและต่อต้านอย่างมากจากชาวมุสลิมในพื้นที่ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อพยายามมองในแง่ดีก็คือรัฐบาลคสช.ยังพอมีความพยายามที่จะสานต่อการเจรจาสันติภาพต่อจากที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ดำเนินการไว้ และในขณะเดียวกันกลุ่มขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี ( BRN ) เองก็มีแนวโน้มที่ต้องการเจรจาสันติภาพด้วยเช่นเดียวกัน

เศรษฐกิจไทยภายหลังรัฐประหาร

การบรรยายในหัวข้อเศรษฐกิจนี้นำโดย อาวิภาวี ศรีทองรุ่ง รองศาสตราจารย์ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มหาวิทยาลัยวิชิทตา และกานดา นาคน้อย รองศาสตราจารย์ด้านเศรษศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอนเนคติกัท

อาวิภาวีได้เปิดการบรรยายในด้านเศรษฐกิจภายใต้หัวข้อ “เศรษฐกิจไทยภายหลังรัฐประหาร 2557 : งบประมาณและการประเมินงานด้านการเงิน” โดยพูดถึงภาพรวมและความเป็นมาของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ก่อนรัฐประหารทั้งในแง่อัตราดอกเบี้ยและปริมาณเงินทุนที่ไหลสู่เข้าประเทศ โดยอาวิภาวีได้ให้ข้อสังเกตในส่วนปริมาณหนี้สาธารณะของไทยว่ามีการเปลื่ยนแปลงอย่างผันผวนตั้งแต่ปี 1995 ซึ่งมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาไทยเป็นอย่างมาก รวมถึงนโยบายทางการคลังเกินดุลในขณะนั้นจึงทำให้หนี้สาธารณะลดลงจนแตะระดับ 5 เปอร์เซนต์ และกลับมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปีช่วงปี 2538 – 2545 จนลดลงอีกครั้งในช่วงปี 2545 – 2553 ตามนโยบายทางเศรษฐกิจของนายกฯทักษิณ และกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ปี  2553 เป็นต้นมา เช่นเดียวกับ GDP ที่เพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้าเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นด้วยอัตราค่อนข้างคงที่ในช่วงปี 2541 – 2551

อาวิภาวี ได้ให้ข้อมูลอีกว่านโยบายปัจจุบันของรัฐบาลทางด้านเศรษฐกิจในการอัดฉีดเงินเข้าระบบจะได้ผลเพียงแค่ระยะสั้นในช่วงสองถึงสามปีถัดจากนี้ โดยหลังจากนั้นผลของการอัดฉีดจะลดลงและทรงตัวในระยะยาว ซึ่งเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกำลังอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากรัฐบาลและแบงค์ชาติต้องการเพิ่มเงินสำรองระหว่างประเทศเพื่อลดค่าเงินเฟ้อซึ่งยิ่งเป็นการทำให้เงินไหลออกจากระบบมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน การใช้จ่ายของภาครัฐกลับน้อยลงเนื่องจากรัฐบาลไม่มีเงินทุนมากพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อันจะยิ่งเป็นผลให้การใช้จ่ายในประเทศยิ่งลดลงมากขึ้นไปอีก

ท้ายสุด อาวิภาวี ได้สรุปว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยังน่าจะไม่กระเตื้องขึ้นต่อไปอีกเป็นเวลาอย่างน้อย 4-5 ปี โดยอาวิภาวีได้ให้คำแนะนำแก่รัฐบาลว่าควรควบคุมการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างเข้มงวด และการใช้จ่ายของภาครัฐดังกล่าวควรมุ่งเน้นและส่งเสริมและผลักดันเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างแท้จริง เช่น การลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานของชาติ การศึกษา และกระจายความเจริญออกสู่ชุมชน

บทบาททางเศรษฐกิจของทหารไทย

กานดา นาคน้อย รองศาสตราจารย์ด้านเศรษศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอนเนคติกัท ได้ร่วมเข้าบรรยายเพิ่มเติมในด้านเศรษฐกิจของไทยในหัวข้อ “เศรษฐกิจไทยและบทบาททางเศรษฐกิจของทหารไทย” โดยอาจารย์กานดาเริ่มอธิบายถึงสภาพเศรษฐกิจไทยจากการมองย้อนกลับไปถึงตัวแปรทางเศรษฐกิจที่สำคัญอันได้แก่ GDP ของประเทศ โดย GDP ของไทยตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 จนถึงปี 2559 มีแนวโน้มที่คนข้างทรงตัวอยู่ในระดับที่ไม่เกินกว่า 4% ต่อปีมากนัก โดยมีจุดที่น่าสนใจคือในช่วงปี 2555 ตัวเลข GDP ของไทยพุ่งสูงขึ้นถึง 6% ในช่วงไตรมาสที่สอง และ 15% ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีเดียวกัน โดยกานดาได้ให้ข้อคิดเห็นว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวน่าจะเกิดจากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลัน และการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในระยะสั้นของรัฐ แต่ GDP หลังจากนั้นของประเทศไทยก็ไม่เคยเพิ่มสูงขึ้นจนแตะระดับ 4% ต่อปีได้อีกเลย แม้ตัวเลขดังกล่าวจะเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลของพลเอก ประยุทธ์ได้ตั้งไว้ก็ตาม

จากปี 2555 จนถึงปี 2559 แม้ว่าการส่งออกสุทธิมีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากใน GDP ของแต่ละปี แต่ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นผลมาจากการลดการนำเข้าของสินค้าต่างๆเพื่อการผลิต ที่ทำให้การส่งออกมีมูลค่ามากกว่าการนำเข้าเป็นอย่างมาก ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับการลดตัวลงของการลงทุนของธุรกิจในสินค้าทุน แสดงให้เห็นถึงการขาดความมั่นใจในการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมในการลงทุนภายใต้รัฐบาลทหาร นอกจากนี้ตัวเลขการใช้จ่ายของภาคเอกชนและกระแสเงินไหลเข้าจากต่างประเทศยังลดต่ำลงอย่างมากภายหลังรัฐประหารซึ่งสามารถสะท้อนได้ถึงการคาดการณ์ต่ออนาคตเศรษฐกิจของไทยในเชิงลบของภาคเอกชนและภาคการลงทุนจากชาวต่างชาติอีกด้วย

นอกจากนี้ กานดา ยังได้แสดงความกังวลทางด้านเศรษฐกิจอีกหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเงินทุนไหลออกนอกประเทศ ปัญหาการเติบโตของการส่งออกที่ค่อนข้างต่ำแต่การนำเข้าของไทยกลับยิ่งมีการเติบโตที่ต่ำกว่าการส่งออกเสียอีก และปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน

กานดา ได้เสนอนโยบายที่เป็นไปได้ในการสร้างผลบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศอันได้แก่ การเพิ่มภาษีมรดกและลดการละเว้นภาษีในด้านต่างๆ การเพิ่มภาษีที่ดินการเพื่มความสามารถในการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลการแปรสภาพบริษัทจากรัฐวิสาหกิจสู่เอกชนในบริษัทต่างๆ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย และการบินไทย เพื่อให้ง่ายต่อการหาเงินสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ และการลดขนาดของกองทัพและภาคราชการลง

กานดา กล่าวสรุปทิ้งท้ายถึงสภาพเศรษฐกิจไทยว่า แม้กองทัพจะมีแนวโน้มในการขยายการลงทุนทางเศรษฐกิจในไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เศรษฐกิจไทยจะยังต้องใช้เวลาอีกนานในการฟิ้นตัว และอาจจะเป็นไปได้ยากมากในการทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งหากรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาการไหลออกของเงินทุนไปยังต่างประเทศและปัญหาหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นจนแตะระดับ 50% ของ GDP ตามการคาดการณ์ในปี 2563 

ศาลปกครอง : การพิจารณาคดีความขัดแย้งทางสังคม

ในการบรรยายหัวข้อสุดท้ายของการสัมมนา Thailand Update เกี่ยวกับสื่อและความยุติธรรมนี้เริ่มโดย แฟรงค์ มังเกอร์ ( Frank Munger ) ศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย จากโรงเรียนกฎหมายแห่งนิวยอร์ค  โดยนำเสนอการบรรยายภายใต้หัวข้อ “ศาลปกครอง : การพิจารณาคดีความขัดแย้งทางสังคม”
 
มังเกอร์ ได้เริ่มการบรรยายโดยแนะนำที่มาและหน้าที่ของศาลปกครองว่าเป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามรัฐธรรมนูญปี 2540 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองปี 2542 โดยมีหน้าที่เทียบเท่าศาลยุติธรรม ศาลปกครองมีที่พิจารณาพิพากษา “คดีปกครอง” ซึ่งเป็นคดีพิพาทของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และราชการส่วนท้องถิ่น เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องในการปฏิบัติราชการ โดยศาลปกครองได้ถูกมองเป็นความหวังในด้านสิทธิแก่ประชาชนเนื่องจากเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐได้เป็นครั้งแรก
 
คดีการฟ้องร้องแก่ศาลปกครองมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่เริ่มที่ 5,382 คดี ในปี 2544 และเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดมาถึงกว่า 9,718 คดีในช่วงปี 2556 ซึ่งเป็นช่วงหนึ่งปีก่อนเกิดรัฐประหารรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ และในขณะเดียวกันอัตราการดำเนินคดีของศาลปกครองก็เพิ่มขึ้นอย่างมากก้าวกระโดดในเขตภาคใต้ในช่วงปี 2555 - 2556 และภาคกลางในช่วงปี 2556 จนถึงปัจจุบัน โดยคดีส่วนมากเป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อม
 
ศาลปกครองถูกตั้งขึ้นมาพร้อมกับศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญปีพ.ศ. 2540 โดยถึงแม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะค่อนข้างไม่มีความเป็นกลางอันเนื่องมาจากอำนาจของศาลได้ถูกครอบงำโดยอิทธิพลทางการเมือง แต่ศาลปกครองดูจะพอมีความคาดหวังได้มากกว่าบ้างเนื่องจากยังไม่น่าจะมีอิทธิพลทางการเมืองมาครอบงำมากนัก อย่างไรก็ตาม มังเกอร์ได้ตั้งข้อสังเกตว่าศาลปกครองยังคงมีช่องว่างในการเข้าถึงของประชาชน ตัวอย่างเช่น ประชาชนที่ทำงานในหน่วยงานรัฐก็อาจจะไม่กล้าฟ้องหน่วยงานตนเอง หรือประชาชนทั่วไปก็ยังไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการฟ้องร้องแก่ศาลปกครองได้โดยง่าย และทนายที่ทำงานทางด้านคดีดังกล่าวก็มีจำนวนน้อย และไม่มีความสามารถและความชำนาญที่เพียงพอ
 
มังเกอร์ กล่าวโดยสรุปว่าระบบศาลปกครองของไทยยังคงต้องการการพัฒนาอีกมากทั้งในแง่การพัฒนาบุคลากรโดยยังทนายที่มีความสามารถอีกเป็นจำนวนมาก และในแง่การต่อสู้เพื่อความเป็นกลางและไม่มีอคติทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีคดีที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่งคงของรัฐบาลเอง ซึ่งมังเกอร์คาดว่าการพัฒนาดังกล่าวน่าจะยังเกิดขึ้นได้ยากภายใต้ระบอบการปกครองแบบเผด็จการดั่งเช่นในปัจจุบัน
 

โซเชียลมีเดีย ปราบปรามรอบใหม่ของรัฐบาลทหาร

เพ็ญจันทร์ โพธิ์บริสุทธิ์ อาจารย์ด้านนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัฐแคลิฟอเนียร์ - ฟูลเลอร์ตัน ( California State University-Fullerton ) เป็นผู้ปิดงานสัมมนาวิชาการ Thailand Update 2017 ด้วยการนำเสนอบทวิเคราะห์ “ขอบเขตที่ไม่มีขอบเขตของการต่อต้าน : การปราบปรามรอบใหม่ของรัฐบาลทหาร” ( Deterri-torrializing Dissident Terrains : The Junta’s New Round of Suppression ) โดย เพ็ญจันทร์ ได้มุ่งการนำเสนอไปที่สื่อที่สำคัญในการรับข่าวสารของคนไทยซึ่งก็คือโซเชียลมีเดีย
 
เพ็ญจันทร์ กล่าวว่าตั้งแต่รัฐประหารในปี 2557 สื่อโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ Line ก็ได้กลายมาเป็นพื้นที่สำคัญในการต่อสู้และโต้แย้งกันทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ภาพล้อเลียนและการ์ตูนที่สร้างให้พื้นที่โต้แย้งทางการเมืองบน Facebook เต็มไปด้วยมีม ( meme ) ที่เข้าถึงได้ง่ายแต่เต็มไปด้วยพลังและความสดใส โดยหลังจากที่รัฐได้ล้มเหลวจากการพยายามควมคุมข้อมูลในเครือข่ายอินเตอร์เนตทั้งหมดด้วยนโยบายซิงเกิ้ลเกตเวย์ รัฐบาลทหารจึงได้พยายามมุ่งเข้าควบคุมพื้นที่โซเชียลมีเดียอันเป็นช่องทางสำคัญในการต่อสู้และโต้แย้งกันทางการเมืองแทน
 
โดยการปราบปรามมุ่งเน้นหลักไปที่

1.  การสื่อสารและเครือข่ายส่วนบุคคล อันได้แก่ Facebook, Messenger และ Line โดยรัฐพยายามออกประกาศแนะนำการใช้โซเชียลมีเดียและจำกัดการเข้าถึงผู้ใช้ Facebook บางคนที่มีแนวความคิดต่อต้านรัฐบาลทหารอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ และ นายแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชลล์ โดยมีรายงานว่ารัฐบาลได้มีการเข้าพบกับผู้ก่อตั้ง Facebook เพื่อให้ช่วยจำกัดและกำจัด “เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม” ออกจาก Facebook ซึ่งโดยทาง Facebook เองก็มีนโยบายที่จะปฎิบัติตามกฎหมายของประเทศผู้ใช้งานอยู่แล้วด้วย

2.  รายการวิทยุใต้ดิน เช่น Youtube โดยรัฐได้จับกุมผู้ทำรายการวิทยุและช่องรายการที่ผิดกฎหมายต่างๆ และพยายามจำกัดการเข้าถึงของรายการใต้ดินที่มีเนื้อหาต่อต้านรัฐบาล

3. สื่อและสำนักงานข่าว โดยการออกกฎหมายและพระราชบัญญัติควบคุมสื่อ

เพ็ญจันทร์ กล่าวโดยสรุปปิดท้ายการสัมมนาครั้งนี้ว่าทิศทางเสรีภาพบนอินเตอร์เนตและสื่อของไทยน่าจะยังเป็นในทางที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยื่งหลังจากการที่รัฐบาลใช้มาตรา 112 ในการสร้างความหวาดกลัวและควบคุมการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองบนโซเชียลมีเดีย จากรณีการจับกุมและดำเนินคดีนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” จากเพียงการแชร์รายงานข่าว BBC บน Facebook ส่วนตัว

หมายเหตุ : 

ขอบคุณ พลากร บูรณสัมปทานนท์ ผู้ช่วยแปลข้อมูลในหัวข้อเศรษฐกิจ

สามารถฟังเนื้อหาสรุปเพิ่มเติมจากผู้บรรยายได้ที่ New York Southeast Asia Network

Youtube    : https://www.youtube.com/channel/UCYX9m4gL1ODhryW1tqo37kg

Facebook : https://www.facebook.com/nysea.network

Website    : nysean.org

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ค้านขึ้นค่าไฟ อัดคาดการณ์ราคาก๊าซสวนชาวโลก ปชช.เดือนร้อน แต่ผู้ค้าก๊าซรอฟันกำไร 48%

$
0
0

เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคประชาชนแถลงค้านปรับขึ้นค่าเอฟทีของ กกพ. เป็น 12.52 สต./หน่วย ชี้สวนทางกับค่าก๊าซธรรมชาติปากหลุมที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ตั้งข้อสังเกตเหตุใด 'กำไร' ผู้ขายก๊าซให้ กฟผ. มีช่วงกว้างมากคือ 17-36%

28 เม.ย.2560 รายงานข่าวจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่า วันนี้ (28 เม.ย.60) เวลา 10.30 น. ณ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน (คอบช.), มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค, เครือข่ายสลัมสี่ภาค และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคประชาชน แถลงข่าวคัดค้านการปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ตามมติที่ประชุมของกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 19 เม.ย.60 ซึ่งจะปรับค่าเอฟทีงวดเดือน พ.ค.-ส.ค.60 เพิ่มขึ้น 12.52 สตางค์/หน่วย (จากเดิมปัจจุบันค่าเอฟทีอยู่ที่ -37.29 สต./หน่วย เป็น -24.77 สต./หน่วย) ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 8,538 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับค่าเอฟทีในรอบ 2 ปี 7 เดือน โดยให้เหตุผลว่าหนึ่งในสี่ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับขึ้นค่าเอฟทีในช่วงดังกล่าว เป็นเพราะแนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น 9.35 บาทต่อล้านบีทียู

ผศ.ประสาท มีแต้ม กรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านบริการสาธารณะ  คอบช.  กล่าวว่า การคาดการณ์ของกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่คาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นนั้น สวนทางกับความเป็นจริงจากแนวโน้มของราคาก๊าซธรรมชาติที่ปากหลุมที่มีแนวโน้มลดลงตลอด 18 เดือนที่ผ่านมา โดยอ้างว่า “ตามรอบการปรับราคาสัญญา” จากทั้งอ่าวไทยและพม่า ทั้งที่ราคาก๊าซฯ ทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง (รวมทั้งราคาก๊าซจากพม่าด้วย)

โดยถึงแม้ว่าหากราคาก๊าซฯ เพิ่มขึ้นจริงตามที่ กกพ. คาดการณ์ โดยมีค่าปัจจัยค่าเชื้อเพลิงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เพิ่มขึ้นไม่เกิน 4.08 สต./หน่วย ปัจจัยค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนของ กฟผ. ค่าความพร้อมจ่ายลดลง 0.16 สต./หน่วย ค่าพลังงานไฟฟ้าของเอกชน ควรจะใกล้เคียงกับค่าซื้อเชื้อเพลิงของ กฟผ. และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐบาล เพิ่มขึ้น 0.64 สต./หน่วย ซึ่งรวมกันแล้ว ค่าเอฟทีเพิ่มขึ้น ไม่เกิน 5 สต./หน่วย ยังไงก็ไม่เกิน 12.52 สต./หน่วย

นอกจากแนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติทั่วโลกที่มีแนวโน้มลดลงแล้ว หากพูดถึงความสมเหตุสมผลของราคาก๊าซธรรมชาติที่ปากหลุม และราคาที่ กฟผ.รับซื้อที่โรงไฟฟ้า สถิติตั้งแต่เดือน พ.ค.58 – ก.พ.60 “กำไร” ของผู้ขายก๊าซให้ กฟผ. มีช่วงกว้างมากถึง 17-36% ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่า ทำไมกำไรถึงแกว่งได้มากขนาดนี้ ซึ่งในเดือน ก.พ.60 (ราคาก๊าซธรรมชาติที่ปากหลุมอยู่ที่ 169 บาท/ล้านบีทียู, ราคาที่ กฟผ.รับซื้อที่โรงไฟฟ้า 231 บาท/ล้านบีทียู) กำไรของผู้ขายก๊าซให้ กฟผ. อยู่ที่ 36% และหากสมมติว่าในเดือน พฤษภาคม 60 ราคาก๊าซธรรมชาติที่ปากหลุม (ซึ่งมีแนวโน้มลดลง) ยังคงอยู่ที่ 169 บาท/ล้านบีทียู เหมือนกับเดือน ก.พ.60 และรับซื้อในราคา 250 บาท/ล้านบีทียู (ตามการคาดการณ์ของ กกพ.) ผู้ขายจะได้กำไรเท่ากับ 48% ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติแต่ละ 1% มีมูลค่าในหลักแสนล้านบาท ซึ่งการควบคุมกิจการท่อก๊าซเป็นหน้าที่โดยตรงของ กกพ. ซึ่งไม่เคยสงสัยเลยหรือว่าทำไมอัตรากำไรถึงได้แกว่งมากถึงขนาดนี้

"โดยสรุปท่ามกลางราคาก๊าซธรรมชาติปากหลุมที่ลดลงอย่างต่อเนื่องใน 18 เดือนทีผ่านมา ถ้าสมมติว่าราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นจริงตามที่ กกพ.คาด ค่าเอฟทีที่เพิ่มขึ้นก็ไม่เกิน 5 สตางค์/หน่วย แต่ทำไม กกพ.ถึงคาดการณ์สูง และสูงกว่าที่ กฟผ.คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำ" ผศ.ประสาท กล่าว

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวเสริมว่า เห็นชัดเจนว่าถ้ายึดตัวเลขตาม กกพ.คาดไว้ก็ขึ้นไม่ถึง 12 สตางค์/หน่วย ถือว่าการคาดการณ์นั้นผิดพลาด จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรเลย

จำนงค์ หนูพันธ์ ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัมสี่ภาค กล่าวว่า จากการที่จะประกาศขึ้นค่าเอฟที ทำให้คนจนทั่วประเทศรู้สึกวิตก ขณะนี้บางชุมชนจ่ายค่าไฟหน่วยละ 8 บาท บางชุมชนหน่วยละ 10 บาท ในขณะที่รายได้เท่าเดิมหรือน้อยลง แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามนโยบายลดความเหลื่อมล้ำของรัฐบาล แต่เป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนให้มีมากขึ้น แต่การจะขึ้นค่า เอฟทีมาจากการคาดการณ์โดยไม่มีเหตุผล

ขณะที่ นุชนารถ แท่นทอง ประธานเครือข่ายสลัมสี่ภาค กล่าวว่า ที่ผ่านมาคนในชุมชนแออัดจะใช้ไฟพ่วงกัน มีทั้งบ้านเช่า เวลาได้รับการลดหย่อน ก็ไม่เคยได้รับการยกเว้น เพราะการพ่วงไฟมาใช้ร่วมกันค่าไฟตก 8-12 บาท บางบ้านใช้ค่าไฟเดือนละ 2,000 กว่าบาท การให้เงินลงทะเบียนคนจน 1,500 – 3,000 บาท แต่การขึ้นค่าไฟ เราถือว่าเป็นการทำร้ายพวกเรา ทั้งทางตรงและทางอ้อม การขึ้นค่าไฟฟ้าในครั้งนี้ ถือว่าไม่เป็นธรรมสำหรับพวกเรา และคนทุกกลุ่มในสังคม เพราะประชาชนควรได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่รัฐสนับสนุน

สารี กล่าวเสริมว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนปัญหาการเก็บค่าไฟบ้านเช่า-หอพักราคาแพง จำนวนไม่น้อย เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าโดยตรง จึงได้รับผลกระทบจากการปรับค่าเอฟทีอยู่แล้ว

รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า แหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยทั้งหมดอยู่ในระบบสัมปทาน แต่มีราคาก๊าซธรรมชาติที่ปากหลุมสูงกว่าราคาตลาดโลก ใกล้เคียงกับ LNG ที่นำเข้า ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในประเทศแต่ละแหล่งสูงกว่าราคาตลาดโลกทั้งนั้น ทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นก๊าซในอ่าวไทยราคาที่ผ่านระบบสัมปทานเท่ากับราคา LNG ของต่างประเทศ และสูงกว่าราคาก๊าซธรรมชาติในต่างประเทศเกิน 100% ค่าก๊าซธรรมชาติที่ กกพ. คาดการณ์ถึง 250 บาทต่อล้านบีทียูนั้น เราไม่รู้หรอกว่ารวมค่าผ่านท่อแล้วมีมูลค่าเท่าไหร่ กกพ.ควรมีหรือไม่ เพราะมีหน้าที่กำกับดูแลราคาให้ความเป็นธรรมกับผู้บริโภค

บุญยืน ศิริธรรม นายกสมาคมสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค กล่าวว่า กกพ.มีหน้าที่กำกับกิจการไฟฟ้าให้เกิดความเป็นธรรม ต้องกำกับการลงทุนให้สมเหตุสมผล ตอนนี้มีการผลิตไฟฟ้าเกินจำเป็นซึ่งเป็นภาระ กกพ.ก็ควรออกมาทำหน้าที่บอกคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่ม กกพ.มีหน้าที่กำกับกิจการโดยตรง แล้วเราจะมี กกพ.ไปทำไม ใครอยากจะขึ้นอะไรก็ขึ้น ใครอยากจะโยนภาระให้ประชาชนก็โยน มีหรือไม่มี กกพ. ภาวะก็ไม่ต่างไปจากนี้

สารี กล่าวปิดท้ายว่า อยากเห็น กกพ. ใช้ข้อมูลที่นำเสนอในวันนี้ ไปเป็นเหตุผลในการทบทวน การขึ้นค่าเอฟที 12 สตางค์ เพราะเป็นการคาดการณ์ที่ไม่มีเหตุผล "อยากให้ กกพ.ออกมารับผิดชอบ โดยจะทำจดหมายเป็นทางการขอให้ทบทวนและยุติการขึ้นปรับค่าเอฟที 12 สตางค์ เพราะเงิน 12 สตางค์ต่อหน่วย โดยรวมคิดเป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท เป็นการเอาเงินจากคนจนไปสนับสนุนภาคเอกชนขนาดใหญ่ ซึ่งไม่เป็นธรรม รัฐบาลควรจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน”

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 58138 articles
Browse latest View live




Latest Images