Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 57985 articles
Browse latest View live

ชาวกาฬสินธุ์ถูกกั้นไม่ให้ยื่นหนังสือกับ ประยุทธ์ อีก

0
0

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เผยชาวกาฬสินธุ์ผิดหวัง ถูกตำรวจกั้นไม่ให้ยื่นหนังสือขณะ ประยุทธ์ ลงพื้นที่ ขณะที่ชาวสกลนคร นักศึกษา นักกิจกรรม พลอยโดนด้วย ถูกติดตามถึงบ้าน กลัวไปยื่นหนังสือ

ภาพและคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ขณะลงพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที ่13 ธ.ค.ที่ผ่านมา จัดทำโดย เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

14 ธ.ค.2560 จากกรณีวานนี้ (13 ธ.ค.60) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ลงพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อติดตามความก้าวหน้าของนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ภาคอีสาน โดยมีประชาชนในพื้นที่มารอต้อนรับ นั้น

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า มีรายงานว่า ประชาชนที่เตรียมเดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนกับนายกฯ โดยตรง เช่น กลุ่มรักษ์สิ่งแวดล้อม ต.หนองใหญ่ อ.หนองกุงศรี ที่เตรียมมาร้องเรียนปัญหาการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมแหล่งดงมูล ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ และปัญหาการขาดแคลนแหล่งน้ำ แต่ถูกกั้นไว้ไม่ให้เข้าไปในจุดที่นายกฯ จะเดินทางไป แล้วจัดให้ไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับศูนย์ดำรงธรรมเฉพาะกิจที่ ร.ร.บ้านม่วง แทน ทั้งนี้ ตัวแทนกลุ่มฯ เปิดเผยว่า เขาสังเกตเห็นว่ามีชาวบ้านหลายกลุ่มที่ไปรอยื่นหนังสือ แต่ก็ไม่ได้พบนายกฯ ต้องไปยื่นเรื่องที่ศูนย์ดำรงธรรมเฉพาะกิจเช่นกัน ส่วนกรณีของกลุ่มฯ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปติดตามสอบถามถึงการไปยื่นหนังสือในครั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา 

จันทร โพธิจันทร์ ผู้ประสานงานเครือข่ายไทบ้านผู้ไร้สิทธิสกลนคร ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ให้ข้อมูลเช่นกันว่า เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ก่อนหน้านายกฯ มากาฬสินธุ์ 1 วัน ปลัดอำเภอวาริชภูมิ จ.สกลนคร พร้อมด้วยทหาร 1 นาย และเจ้าหน้าที่ ปปส. 2 นาย ขับรถฮัมวี่ไปพบเธอที่บ้าน พบแต่พ่อวัยชราที่นอนป่วยอยู่ จึงกลับออกไป และกลับมาอีกครั้งหลังจากนั้น 20 นาที จึงพบเธอ เจ้าหน้าที่ถามจันทรว่า จะไปไหนมั้ย ไม่อยากให้ไปไหน ปลูกผัก เลี้ยงหมูอยู่แบบนี้ดีแล้ว จันทรเปิดเผยว่า เธอรู้สึกไม่พอใจมาก เนื่องจากในเวลาไม่ถึง 30 วันนี้ เจ้าหน้าที่มาหาเธอ 3 ครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้ก็กลัวว่า เธอและชาวบ้านในเครือข่ายฯ จะไปร่วมงาน 70 ปี สิทธิมนุษยชนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มาติดตามถามถึง 2 ครั้ง ซึ่งตอนนั้นเธอก็แจ้งเจ้าหน้าที่แล้วว่า ถ้าจะมาหาอีกอย่าไปที่บ้าน ให้มาที่สวน เพราะพ่อไม่สบาย หากเห็นเจ้าหน้าที่ไปเกรงว่าอาการจะทรุดไปกว่านี้ แต่ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ก็ยังขับรถทหารเข้ามาถามหาเธอกับพ่อที่บ้าน พอเจอกันเธอถามว่า ทำไมมาที่บ้าน เขาบอกว่า ไปหาที่สวนผักไม่เจอ โทรติดต่อไม่ได้ เลยเข้ามาดูที่บ้าน “เราก็คิดในใจว่า เพื่อให้งานของคุณสำเร็จ พ่อเราจะเป็นยังไงก็ไม่สนใช่มั้ย”

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมาประชุมร่วมกับ กรอ. ที่ จ.นครพนม เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 60 จันทร ก็เป็นเป้าหมายหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ติดตามว่า จะเคลื่อนไหวไปยื่นหนังสือหรือไม่

รายงานระบุอีกว่า ตัวแทนชาวบ้านจัดระเบียบ อ.ภูพาน จ.สกลนคร ซึ่งเคยไปยื่นหนังสือและนำเสนอปัญหา กรณีที่พื้นที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า ถูกดำเนินคดีและตัดฟันต้นยาง ก็มีทหารไปตามหาตัวและโทรศัพท์หา เพื่อถามว่า จะไปยื่นหนังสือกับนายกฯ ที่ จ.กาฬสินธุ์ หรือไม่

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ได้รับข้อมูลว่า นักศึกษาและนักกิจกรรมที่ทำกิจกรรมกับชาวบ้านในพื้นที่ที่มีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และมีภูมิลำเนาอยู่ จ.กาฬสินธุ์ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงโทรศัพท์ติดตาม รวมถึงไปหาที่บ้านเพื่อสอบถามความเคลื่อนไหวในวันที่นายกฯ ลงพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ เช่นเดียวกับที่ไปติดตามแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์และสกลนคร ซึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับการมาของนายกฯ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: เลือก

0
0



เธอบอกฉันโง่ ให้ฉันจงเชื่อ
การเมืองจงเบื่อ ล้วนคนบ่ดี
กลับใจสัทธา ชาติวุฒิยศศรี
สุขอยู่กับที่ เพียงมีแค่พอ

เธอลองมองซี ฉันมีตรงไหน
แตกต่างหลากไป ไม่เหมือนเธอเป็น
ก้อนสมองสองมือ แขนขาเกลียวเอ็น
หูยินตาเห็น ตีนเดินตามใจ

เธอเอาเมียผัว เกิดลูกออกหลาน
เติบใหญ่ทะยาน แหวกฟ้าค้นดาว
ลูกหลานฉันเกิด ก้มหน้าขุดเอา
แหวกดินเจอเหง้า ฝันงอกดอกงาม

เธอบอกฉันโง่ ฉันจะไม่เชื่อ
การเมืองต้องเพื่อ เกื้อคนหมู่ใหญ่
ตัดถนนหนเดิน เลือกเองทางไป
ลูกหลานเราได้ เงยหน้าเสมอกัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุรพศ ทวีศักดิ์: ความคิดและบทบาทผิดที่ผิดทางของพระกับการเมือง

0
0

 

งานวิจัยเรื่อง “แนวโน้มบทบาทพระสงฆ์กับการเมืองไทยในสองทศวรรษหน้า (2556-2576)” ของพระมหาหรรษา ธัมมหาโส สรุปผลการวิจัยจากการค้นคว้าเอกสาร สัมภาษณ์ ประชุมกลุ่มย่อย และการจัดสัมมนาในเวทีต่างๆ ว่า บทบาทของพระสงฆ์กับการเมืองที่พึงประสงค์ มี 6 บทบาทหลักๆ คือ

1. บทบาทในฐานะวิศวกรจัดการความขัดแย้งโดยพุทธสันติวิธี

2. บทบาทพระสงฆ์กับการชี้แนะและชี้นำทางการเมือง

3. บทบาทในการพัฒนาพลเมืองของรัฐตามระบอบประชาธิปไตย

4. บทบาทในการใช้สิทธิวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองและนโยบายแห่งรัฐ

5. บทบาทในการชุมนุมเพื่อเรียกร้องความต้องการทางการเมือง และ

6. บทบาทในการใช้สิทธิเลือกตั้งนักการเมือง

ผู้วิจัยให้เหตุผลสนับสนุนบทบาทแรกว่า ในขณะที่ชุมชน และสังคมกำลังเผชิญหน้ากับความแตกแยกและแบ่งฝ่ายอย่างร้าวลึกในช่วง 10 กว่าปี บทบาทที่ถือได้ว่าเป็นภารกิจเร่งด่วนของของพระสงฆ์คือการเข้าไปหน้าที่ “วิศวกรสันติภาพ” เพื่อเสริมสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นแก่สังคมไทยตามนโยบายของรัฐบาล และข้อเสนอแนะ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติที่ว่า“บุคลากรทางศาสนาควรเพิ่มบทบาทในการลดความแตกแยก ส่งเสริมสันติภาพ และแก้ไขความขัดแย้งในสังคมโดยสันติวิธี” ฉะนั้น “ทุกฝ่ายควรให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูหลักศีลธรรมและจริยธรรม และสนับสนุนให้สถาบันศาสนาเข้ามามีบทบาทในการลดความขัดแย้ง และยุติการใช้ความรุนแรง”โดยการเปิดพื้นที่ให้พระสงฆ์เข้าไปเป็นผู้นำกระบวนการกลุ่มเปิดเวทีพูดคุยเพราะคุณสมบัติเด่นของพระสงฆ์คือ “การเป็นนักฟังที่ดี” (Mindful Listening) เพราะดำรงความเป็นกลางระหว่างผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในกลุ่มต่างๆ

ด้วยความเคารพนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าพระสงฆ์กลุ่มไหนในไทยที่จะมีศักยภาพเป็น “วิศวกรสันติภาพ” ได้ เพราะในสภาวะที่สังคมเกิดความขัดแย้งในเชิงความคิดและอุดมการณ์ลึกซึ้งมากขนาดนี้ สถาบันสงฆ์ของรัฐเองก็เป็นกลไกสนับสนุนอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมอยู่แล้ว ไม่ได้มีสถานะเป็นอิสระและมีความ “เป็นกลาง” ที่ทุกฝ่ายวางใจได้ อีกทั้งพระที่มีชื่อเสียง พระกลุ่มต่างๆ ก็เลือกข้างเลือก “สี” และออกมาชุมนุมทางการเมือง ไม่ต่างจากฆราวาส  

ส่วนที่ว่าคุณสมบัติเด่นของพระสงฆ์คือ “การเป็นนักฟังที่ดี” นั้น ดูจะหาได้ยาก เพราะไม่บ่อยนักที่เราจะพบพระที่มีจิตใจเปิดกว้างและเข้าใจความซับซ้อนของสังคมประชาธิปไตย เท่าที่เห็นพระมักจะถนัดเทศนาสอนคนอื่นมากกว่าจะเปิดกว้างรับฟัง ยิ่งพระที่เทศน์เก่ง พระเซเลบ ยิ่งแสดงความเห็นทางการเมืองอย่างไม่ยึดหรือยืนยัน “ความขอบธรรม” ตามระบอบประชาธิปไตยเลย ซ้ำยังแสดงความเห็นสนับสนุนรัฐประหารอีกต่างหาก

บทบาทข้อที่ 2 และ 3 สะท้อนว่าพระไทยไม่เข้าใจสถานะและบทบาทของตนเองในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ เพราะในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ หรือเสรีประชาธิปไตย (liberal democracy) นั้น ถือว่ารัฐเป็น “รัฐโลกวิสัย” (secular state) ที่เป็นกลางทางศาสนา มีหน้าที่รักษาเสรีภาพและความเสมอภาคในการนับถือและไม่นับถือศาสนาเท่านั้น ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ได้จริงต้องแยกศาสนจักรกับรัฐเป็นอิสระจากกัน และแยกการเมืองจากศาสนา

ดังนั้น พระสงฆ์จะอ้างประเพณีในอดีตในที่พูดถึงในงานวิจัยว่า สมัยราชาธิปไตยพระเคยมีบทบาทเป็นที่ปรึกษากษัตริย์ ปัจจุบันพระก็ควรมีบทบาทชี้แนะชี้นำทางการเมืองแบบที่เคยทำมาแต่อดีต อ้างแบบนี้ไม่ได้แล้วครับ เพราะศีลธรรมทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตยคือ “ศีลธรรมโลกวิสัย” (secular morality) ไม่ใช่ศีลธรรมศาสนา (religious morality) พระจะใช้ศีลธรรมศาสนาไปชี้แนะชี้นำทางการเมืองและสร้างพลเมืองดีในสังคมประชาธิปไตยย่อม “ไม่เวิร์ค” อีกแล้ว

เนื่องจากสังคมประชาธิปไตยถือว่า ศีลธรรมศาสนาเป็นเรื่องของ “ความเชื่อส่วนบุคคล” แต่ศีลธรรมโลกวิสัยเป็นเรื่องหลักการสาธารณะ เมื่อพระนำศีลธรรมศาสนามาชี้แนะชี้นำทางการเมือง เช่นอ้างธรรมาธิปไตย เผด็จการโดยธรรม ฯลฯ ผลก็คือเป็นการลดทอนคุณค่าของประชาธิปไตย หรือคุณค่าหลักการสาธารณะอื่นๆ เช่นหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคในตัวมันเอง เพราะในที่สุดแล้วการชี้นำทางศีลธรรมของพระก็มักไปเน้นที่ความดีนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ และเป็นเรื่องความเชื่อเรื่อง “คนดี” เหนือหลักการ และเป็นการออก “ใบอนุญาตทางศีลธรรม” ให้ “คนดี” (?) สามารถละเมิดหลัก “ความชอบธรรม” ตามระบอบประชาธิปไตยได้เสมอไป

ดังข้อเท็จจริงที่เราเห็นอยู่แล้วว่า ความขัดแย้งทางการเมืองกว่าสิบปีมานี้ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการอ้างศีลธรรม ความดี คนดีในกรอบคิดแบบศาสนามาชี้นำในทางการเมืองและการเคลื่อนไหวทางการเมืองนั่นเอง ฉะนั้น การที่พระไทยยังเชื่อว่าตนเอง “ควร” มีบทบาทชี้แนะชี้นำทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตย จึงเป็นความเชื่อที่ขัดหลักการของรัฐโลกวิสัย แสดงให้เห็นว่าพระไทยไม่ได้สรุปบทเรียนอะไรเลยว่า การที่ศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างผิดที่ผิดทางมาตลอดนั้น มันคือการซ้ำเติมปัญหาให้ยุ่งยากและรุนแรงมากขึ้นเสมอมา

ทางออกเรื่องนี้ควรจะเป็นว่า รัฐต้องยืนยันหลักการของรัฐโลกวิสัย เพื่อแยกศาสนจักรจากรัฐ ยกเลิกการสอนศีลธรรมศาสนาในโรงเรียน เน้นการสอนศีลธรรมโลกวิสัยที่เป็นรากฐานของประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนแทนการอสนศีลธรรมศาสนาในโรงเรียนที่ผูกโยงอยู่กับการเชิดชูอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม

ส่วนพระไทยควรจะเรียนรู้ว่า เมื่อสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ถือว่า เรื่องศาสนาเป็นเสรีภาพส่วนบุคคลซึ่งรับรองโดยหลักสิทธิมนุษยชน และศีลธรรมศาสนาเป็นศีลธรรมส่วนบุคคล (individual morality) พระจึงไม่ควรยัดเยียดศีลธรรมศาสนาให้เป็น “ศีลธรรมทางสังคม” (social morality) ไม่เช่นนั้นพระเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายที่ “ไม่มีศีลธรรมทางสังคม” เสียเอง คือเป็นฝายที่ไม่เคารพเสรีภาพทางศาสนาและสิทธิมนุษยชนเสียเอง เมื่อพยายามทำในสิ่งที่ขัดหลักการพื้นฐานประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนจะเป็นการช่วยสร้าง “พลเมืองดี” ในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างไร  

สำหรับข้อ 4 “บทบาทในการใช้สิทธิวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองและนโยบายแห่งรัฐ” นั้น ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งพระย่อมมีสิทธิดังกล่าวนี้อยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าพระใช้หลักการอะไรในการวิจารณ์ ไม่ใช่เอาแต่อ้างศีลธรรมมาวิจารณ์นักการเมืองที่ตรวจสอบได้ แต่ขณะเดียวกันก็อ้างศีลธรรมสดุดีอำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้พระก็ไม่มีความชอบธรรมอะไรในการอ้างศีลธรรม เพราะกำลังอ้างศีลธรรมแบบสองมาตรฐานหรือไร้มาตรฐาน

จริงๆ แล้วการอ้างศีลธรรมทางศาสนาในทางการเมืองก็อ้างได้ แต่ต้องอ้างบนหลักการที่ว่าต้องยึดหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเป็นตัวตั้ง แล้วตีความหลักศีลธรรมสนับสนุน ไม่ใช่ยกศีลธรรมศาสนาสูงส่งกว่า แล้วก็อ้างอย่างสองมาตรฐานดังที่เป็นมายาวนาน

อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดอย่างถึงที่สุด สถานะของนักบวชในโครงสร้างสถาบันศาสนาของรัฐ ก็ไม่มีความชอบธรรมในการวิจารณ์ทางการเมืองดอกครับ เพราะโครงสร้างที่เป็นอยู่ขัดกับหลักการของรัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่ที่เป็นรัฐโลกวิสัยอยู่แล้ว นักบวชเองจึงมีสถานะเป็นอภิสิทธิชนเหนือหลักการพื้นฐานประชาธิปไตยอยู่แล้ว ถ้าแยกศาสนาจากรัฐ องค์กรสงฆ์เป็นเอกชน เมื่อนั้นจึงจะเป็นไปได้ที่นักบวชจะมี “ความชอบธรรม” ในการวิจารณ์ทางการเมือง

ส่วนเรื่องพระควรมีสิทธิเลือกตั้งนั้นผมเห็นด้วย แต่ก็ไม่เคยเห็นพระเรียกร้องสิทธินี้ให้กับตนเองจริงจังอะไร ที่เห็นเรียกร้องจริงจังคือ เรียกร้องให้บัญญัติพุทธศาสนาเป็น “ศาสนาประจำชาติ” ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการใช้เวทีประชาธิปไตยเพื่อเป้าหมายที่ขัดหลักการพื้นฐานของรัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่ที่รัฐต้องเป็นกลาง รักษาเสรีภาพ และความเสมอภาคทางศาสนา การที่พระออกมาเรียกร้องเช่นนี้ ย่อมเป็นการถ่วงการพัฒนาประชาธิปไตยให้ล้าหลังเสมอไป

สุดท้ายผู้วิจัยสรุปว่า แนวโน้มบทบาทพระสงฆ์กับสิทธิการเลือกตั้งในอนาคตขึ้นอยู่ตัวแปร 3 ประการ คือ (1) การดำเนินนโยบายของรัฐต่อพระพุทธศาสนาที่ขาดความเข้าใจและไม่สนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ของสังคมไทยจะนับถือพระพุทธศาสนาก็ตาม (2) การขาดการตระหนักรู้ของนักการเมืองต่อชาตากรรมของพระพุทธศาสนาทั้งในเชิงพฤตินัยและนิตินัย (3) การดำเนินนโยบายของศาสนิกและศาสนาอื่นๆ ที่กระทบต่อความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนหรือการไม่สามารถที่ป้องกันมิให้ศาสนาหรือศาสนิกของศาสนาอื่นๆ ทำร้ายหรือกระทำการณ์ที่บั่นทอนพระพุทธศาสนาในลักษณะต่างๆ

ข้อสรุปนี้ สะท้อนให้เห็นว่า พระยังมองความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาด้วย “จิตสำนึก” และ “มาตรฐานแบบยุคเก่า” คือยังยึดความคิดที่ว่า รัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่มีหน้าที่อุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาแบบยุคเก่า แล้วจึงอยากได้ “สิทธิเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นสิทธิตามกรอบคิดสมัยใหม่เพื่อปกป้องจิตสำนึกและมาตรฐานแบบยุคเก่า

นี่คือความขัดแย้งในตัวเองในวิธีคิดของพระไทย เพราะกำลังเรียกร้องสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยเพื่อเป้าหมายที่ขัดหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยที่ปกครองด้วยหลักการโลกวิสัย ไม่ใช่หลักการทางศาสนาที่ถือว่าผู้ปกครองเป็นพระพุทธเจ้าอยู่หัว เป็นพระโพธิสัตว์ หรือสมมติเทพที่มีหน้าที่อุปถัมภ์ศาสนาแบบยุคเก่า

นอกจากนี้ยังสะท้อนทัศนคติที่มองศาสนาอื่นเป็น “ภัย” ต่อศาสนาตัวเอง ซึ่งเป็นทัศนคติล้าหลัง ยิ่งหวังให้รัฐมาคุ้มครองศาสนาตนเองจากศาสนาอื่น ทั้งๆ ที่อ้างว่าคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งสะท้อนความกลัวที่ไร้เหตุผล และเป็นความกลัวที่ไม่เข้าใจหน้าที่ความเป็นกลางทางศาสนาของรัฐ

งานวิจัยนี้จึงไม่ได้สะท้อนแนวโน้มบทบาทพระสงฆ์กับการเมืองในอนาคตที่ชวนให้มีความหวัง แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นปัญหาของพระไทยในการเข้าใจสถานะ ตำแหน่งแห่งที่ และบทบาทของตนเองในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ สะท้อนความไม่สมจริงในการประเมินศักยภาพของตนเอง รวมๆ แล้วก็คือสะท้อนความสับสน ผิดที่ผิดทางทั้งเรื่องความคิด สถานภาพ และบทบาทของพระสงฆ์ในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่

 

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Something Missing บางสิ่งเกิดขึ้น บางสิ่งหายไป แต่บางสิ่ง...ดำเนินต่อไป

0
0

มีโอกาสได้ไปดู Something Missing ละครเวทีแบบ Physical theatre ที่เน้นการเคลื่อนไหวร่างกายในการแสดง เป็นความร่วมมือของกลุ่ม B-floor Theatre จากประเทศไทย และ Theatre Momggol จากประเทศเกาหลีใต้

ละครเอาหลายๆ องก์มาเชื่อมโยงกันและมักจะมีอะไรที่เราคาดไม่ถึงออกมาตลอดเวลา ตั้งแต่ปั่นจักรยานตามหาบางสิ่ง ใน มัธธิว 2:2-1 ปั่นไปแบบไม่รู้จุดหมายปลายทาง, คอยโกโดต์ โดย ซามูเอล แบ็กเก็ต, บางเรื่องถึงอยากพูดก็พูดไม่ได้ พูดออกมามีแต่อันตราย ความอึดอัดที่เห็นบางสิ่งแล้วอยากจะบอกออกไป นิทานพื้นบ้านเกาหลี พระราชาหูลา, เดอะครูซิเบิ้ล โดย อาเธอร์ มิลเลอร์, การเล่าเรื่องของนนทก จากเรื่องรามเกียรติ์ สนุกและลึกลับในคราวเดียวกัน, แม้แต่ปีศาจ โดย เสนีย์ เสาวพงศ์ ยังทำให้รู้สึกถึงปีศาจในตัวคน การล่าแม่มด ความสยดสยองจากการที่เห็นคนถูกทรมานแล้วเลือดสาดไปทั่ว และส่งท้ายที่ความเศร้าโศก ที่แม้จะโศกเศร้าแต่ความเศร้าจะไม่อยู่กับเราตลอดไป และสิ่งที่ทำให้ความเศร้าหายไปได้อาจจะเป็นโซจูกับเบียร์...

นักแสดงทั้งไทยและเกาหลีใต้แสดงอย่างมีพลังและแข็งแรง เท่มากๆ การจัดฉากหลังให้เป็นกำแพงสีขาวมีสีแดงสาดเป็นรูปร่างคนก็สร้างความสงสัยและชวนมองอย่างประหลาด แสงและเสียงดนตรีประกอบที่สร้างบรรยากาศให้เราตื่นเต้นและลุ้นไปกับเรื่องราว ฉากฮาๆ ก็หัวเราะกันแรงมาก บางฉากก็ลุ้นจนเกร็ง ภาษาที่ใช้มีทั้งไทย อังกฤษและเกาหลี แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะละครสื่อสารกับเราด้วยท่าทางของร่างกายมากกว่าบทสนทนา

เคยดูละครของ B-Floor มาก่อนเรื่องหนึ่งแต่นานมากแล้ว เรื่อง Lear & His 3 Daughters (2012) เท่าที่จำได้เป็นละครวิพากษ์และจิกกัดสังคมถึงการแสดงออกถึงความรัก การเชิดชูบูชาในขณะนั้นได้อย่างค่อนข้างหวาดเสียวเลยทีเดียว ขณะที่ Something Missing ก็นำเสนอปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมเหมือนกัน อย่างในองก์ของพระราชาหูลา ที่มีคนเห็นหูลาของพระราชา แล้วอึดอัดอยากจะบอกใครๆ แต่ก็ถูกห้ามว่าอย่าพูด และถึงขั้นถูกปิดปาก เหมือนสถานการณ์ที่ไม่คงที่ในประเทศไทยเองที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากในช่วงสามปีที่ผ่านมา มีการจำกัดในเรื่องการแสดงออกและการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ไม่เว้นแม้แต่ในวงการศิลปะเองก็ถูกปิดกั้นไปด้วย บางสิ่งที่พูดไม่ได้ก็ยังคงพูดไม่ได้เหมือนเดิม

Something Missing เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อปี 2015 เป็นการทำงานร่วมกันของ B-Floor และ Momggol ได้เปิดการแสดงทั้งที่เกาหลีใต้และไทย ใช้ชื่อการแสดง Something Missing ต่อมาในปี 2016 ใช้ชื่อการแสดงว่า Rite of Passage พูดถึงความเชื่อ ปรากฏการณ์ในสังคมและเรื่องหมิ่นเหม่ทั้งในไทยและเกาหลีใต้ และในปี 2017 เป็นปีที่ 3 แล้วที่ทั้งสองคณะทำงานร่วมกัน ปีนี้พูดถึงบางสิ่งที่หายไปในสังคมและวัฒนธรรม เราจะทำอย่างไรเมื่อรู้ว่ามีบางสิ่งที่หายไป เป็นละครที่ควรดูส่งท้ายปี 2017 เปิดรอบการแสดง‪เวลา 19.30 น. ทุกวัน‬จนถึงวันที่ ‪17 ธ.ค. นี้ที่ ‬BACC หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร จองบัตรได้ที่ ‪094 4945104‬, ‪bfloortheatre@gmail.com‬, inbox FB: B-floorหรือ Something Missing 2017 in Bangkok

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกาหลีใต้เรียกร้องจีนขอโทษกรณีช่างภาพข่าวถูกรุมทำร้าย

0
0

รัฐบาลเกาหลีใต้เรียกร้องให้จีนออกมาขอโทษ กรณีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจีนรุมทำร้ายนักข่าวชาวเกาหลีใต้ที่กำลังตามทำข่าวประธานาธิบดีมุนแจอินไปเยือนจีน โดยการไปเยือนจีนของมุนแจอินในครั้งนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

15 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานว่ามีช่างภาพข่าวชาวเกาหลีใต้รายหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจีนทุบตีทำร้ายในขณะที่เขากำลังพยายามทำข่าวการไปเยือนจีนของประธานาธิบดีมุนแจอินของเกาหลีใต้ ในงานประชุมแสดงสินค้าระหว่างจีนกับเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่มุนแจอินจะเข้าร่วมประชุมกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน

เดอะการ์เดียนระบุว่าทางการเกาหลีใต้เรียกร้องให้ทางการจีนแถลงขอโทษอย่างเป็นทางการในกรณีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจีนราวสิบกว่าคนทุบตีนักข่าวสัญชาติเกาหลีใต้

มุนแจอินมีกำหนดการไปเยือนจีน 4 วัน จากที่ก่อนหน้านี้เคยไปเยือนเมื่อเดือน พ.ค. โดยการไปเยือนครั้งล่าสุดนี้มีเป้าหมายต้องการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศหลังจากที่มีความขัดแย้งกรณีเกาหลีใต้ยอมรับการติดตั้งระบบยิงสกัดขีปนาวุธในบริเวณพิกัดตำแหน่งสูง THAAD จากสหรัฐฯ เพื่อรับมือกับเกาหลีเหนือ โดยที่มุนแจอินมีกำหนดการพบปะกับสีจิ้งผิงในช่วงกลางคืนของวันที่ 14 ธ.ค.

เหตุทำร้ายนักข่าวเกิดขึ้นในงานแสดงสินค้าจีน-เกาหลีที่ศูนย์ประชุมซึ่งมีบริษัทเกาหลีใต้เข้าร่วมราว 200 บริษัทและมีผู้ซื่อจากจีนที่คาดการณ์ไว้ราว 500 บริษัท เหตุเกิดหลังจากที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของจีนสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มนักข่าวเกาหลีใต้ 14 รายทำข่าวประธานาธิบดีมุนแจอินขณะที่เขากำลังเดินดูตามบูธต่างๆ นักข่าวเหล่านี้พยายามประท้วงการถูกสกัดกั้นดังกล่าวจนกระทั่งช่างภาพข่าวรายหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ทางการจีนนำตัวออกไปข้างนอก

ช่างภาพข่าวคนดังกล่าวถูกล้อมรุมทำร้ายแม้ว่าเพื่อนร่วมงานของเขาและเจ้าหน้าที่ชาวเกาหลีใต้ในงานพยายามทักท้วง รวมถึงเจ้าหน้าที่จากทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ มีสื่อเกาหลีใต้หลายแห่งรายงานว่าช่างภาพข่าวคนดังกล่าวถูกชกต่อยและถูกเตะจนทำให้ช่างภาพข่าวดังกล่าวต้องถูกส่งไปรับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยหนัก

นอกจากกรณีนี้แล้วยังมีอีกกรณีหนึ่งคือช่างภาพจากหนังสือพิมพ์รายวันฮันกุกอิลโบแจ้งว่าเขาก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของจีนจับคอเสื้อแล้วทุ่มลงกับพื้น

เจ้าหน้าที่จากทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้กล่าวว่าพวกเขาส่งเรื่องเรียกร้องให้ทางการจีนแถลงขอโทษในเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าการสืบสวนเบื้องต้นจะพบว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจีนเหล่านี้ถูกจ้างมาโดยผู้จัดงานที่เป็นชาวเกาหลีใต้แต่ก็เป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของตำรวจจีน

เดอะการ์เดียนระบุว่าเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่จีนใช้ความรุนแรงต่อสื่อยังเคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2558 ในขณะที่กำลังมีการไต่สวนคดีของนักกิจกรรมด้านเสรีภาพสื่อจีน มีความรุนแรงเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบพยายามสกัดกั้นให้ผู้สนับสนุนนักกิจกรรม นักการทูต และนักข่าว ออกไปจากพื้นที่

ในกรณีเมื่อปี 2558 นี้สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน (FCCC) กล่าวประณามการที่นักข่าวต่างประเทศหลายคนถูกจับทุ่มลงกับพื้นว่าเป็น "การละเมิดกฎหมายของรัฐบาลจีนเอง" และในกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวันท่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา FCCC ก็แถลงว่า "ความรุนแรงต่อผู้สื่อข่าวเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้" และเรียกร้องให้รัฐบาลจีนสืบสวนและออกมาพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนให้สัมภาษณ์ต่อสื่อว่าถ้าหากมีคนได้รับบาดเจ็บก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างแน่นอน และหวังว่านี่จะเป็นแค่เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ

 


เรียบเรียงจาก

(LEAD) Chinese guards assault S. Korean journalist ahead of Moon-Xi summit, Yonhap News, 14-12-2017
http://english.yonhapnews.co.kr/news/2017/12/14/0200000000AEN20171214007051315.html

South Korea demands apology from Beijing over attack on journalist, The Guardian, 14-12-2017
https://www.theguardian.com/world/2017/dec/14/south-korea-demands-beijing-apology-attack-on-journalist-china

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กองทัพสรุป 'น้องเมย' ตายเพราะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ยันไม่มีใครสั่งลงโทษหรือทำร้าย

0
0

กองทัพในนาม กก.สอบสวนข้อเท็จจริง การตายของนักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ สรุปผลตายเกิดจากปัญหาสุขภาพ ด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ไม่ได้เกิดจากการลงโทษหรือปรับปรุงวินัย หวั่นตอบโต้กัน ไม่เชิญญาติมาร่วมแถลง รอฟังผล 18 ธ.ค.นี้ แทน

น้องเมย หรือ ภคพงศ์ ตัญกาจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา

15 ธ.ค. 2560 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหารกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง การเสียชีวิตของ นักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย ได้แถลงข่าวสรุปผลการสอบสวนฯการเสียชีวิตของน้องเมย ที่กองบัญชาการกองทัพไทย แถลงสรุปผลการสอบสวนว่า การเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ เกิดจากปัญหาสุขภาพ ด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ไม่ได้เกิดจากการลงโทษ หรือปรับปรุงวินัยแต่อย่างใด เป็นการสอบปากคำจากผู้เกี่ยวข้อง 42 คน 

โดย บีบีซีไทยรายงานรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในการแถลงข่าววันนี้ กองบัญชาการกองทัพไทย ไม่ได้เชิญครอบครัวของ น้องเมย มาฟังผลด้วย เนื่องจากกองบัญชาการกองทัพไทยไม่ใช่คู่กรณี จึงไม่ต้องการให้มีการตอบโต้กัน แต่ทางคณะกรรมการฯ จะเชิญครอบครัวของ ภคพงศ์ มาฟังผลในวันจันทร์ที่ 18 ธ.ค.นี้ แทน

"ยืนยันจากผลทางการแพทย์ ว่าเป็นการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร ภคพงศ์มาจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน" พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าว

รองเสนาธิการทหารระบุว่า วันที่นักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์เสียชีวิต คือวันที่ 17 ต.ค. โดยภคพงศ์มีอาการคล้ายโรคหอบจากอารมณ์ (hyperventilation) ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในนักเรียนเตรียมทหารช่วงหลัง เช่น มีอาการเกร็ง ชา หายใจถี่และเร็วมาก จนออกซิเจนในเลือดมีระดับเพิ่มมากขึ้น ทำให้หมดสติ สูญเสียการรู้สึก ซึ่งแพทย์แพทย์บอกว่าสาเหตุหลักน่าจะเกิดจากความเครียด ภคพงศ์ได้รับการรักษาตัวที่กองแพทย์จนอาการเป็นปกติ แต่หลังจากนั้นเมื่อช่วงบ่ายของวันนั้นมีการใช้มือขวากุมอกด้านซ้ายในขณะเดิน ซึ่งเพื่อนสนิทของเขาสองคนกล่าวว่าภคพงศ์ก็บอกว่าตนมีความเครียดสูง ในเวลาต่อมาเวลาเกือบ 4 โมงเย็นภคพงศ์ก็เซล้ม และมีอาการคล้ายโรคหอบจากอารมณ์อีกรอบ ทางโรงเรียนจึงนำไปส่งโรงพยาบาลนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

คณะกรรมการชุดดังกล่าวระบุว่า ชายโครงซี่ที่ 4 ของ ภคพงศ์ที่หัก แพทย์ระบุว่าไม่ได้เกิดจากสาเหตุอะไร แต่ก็ยังไม่ตัดกรณีการทำ CPR ที่มีการกระทำบริเวณหน้าอกเป็นเวลา 4 ชม. ออกไป
 
ทั้งนี้ กรณีการเสียชีวิตของ นักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ ได้ก่อให้เกิดเสียวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก หลังครอบครัวออกมาแถลงข่าวช่วงกลางเดือนที่แล้ว ทั้งประเด็นความสงสัยในสาเหตุการณ์เสียชีวิต และอวัยวะภายในของศพคือ หัวใจ กระเพาะอาหาร และสมอง หายไปทั้งหมด ขณะที่ผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในขณะนั้น ออกมาให้ข่าวไปคนละทิศคนละทาง จนเกิดกระแสเรียกร้องให้เกิดความชันดเจน มีผู้ร่วมลงชื่อใน change.org กว่า 8 หมื่นคน เพื่อเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่และผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตลาออกด้วย
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ก้าวคนละก้าว: ก้าวที่หลงทาง (5)

0
0



ความไม่สมดุลของจำนวนแพทย์ในต่างจังหวัดมีผลให้ชาวต่างจังหวัดหลายคนเลือกที่จะเดินทางเข้ามารักษาในกรุงเทพ ส่งผลให้คนไข้ในโรงพยาบาลรัฐในกรุงเทพล้นโรงพยาบาล การกระจายการบริการสาธารณสุขจึงเป็นสิ่งสำคัญ

5. การกระจายการบริการสาธารณสุข: สาเหตุสำคัญที่ทำให้โรงพยาบาลรัฐในกรุงเทพมีคนไข้ล้นโรงพยาบาลเกิดจากการกระจายการรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ

แต่ละปีโรงพยาบาลรัฐมีคนไข้เฉลี่ยกว่า 400,000 ครั้ง (ผู้ป่วยบางคนพบแพทย์หลายครั้งต่อปี เช่น โรคเบาหวาน) หรือเฉลี่ยกว่า 1,100 ครั้งต่อวัน

หากเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลศิริราช มีคนไข้มากกว่า 3.5 ล้านครั้งต่อปี หรือเฉลี่ยกว่า 9,500 ครั้งต่อวัน

ในจำนวนคนไข้เหล่านี้แบ่งเป็นผู้ป่วยนอก (ไม่ต้องอยู่ค้างโรงพยาบาล) กว่าร้อยละ 90 ขณะที่ผู้ป่วยใน (นอนค้างโรงพยาบาล) มีน้อยกว่าร้อยละ 10

ดังนั้นความแออัดของโรงพยาบาลจึงเกิดขึ้นจากผู้ป่วยนอกเป็นหลัก ผู้ป่วยนอกหลายคนเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง พวกเขาต้องพบแพทย์บ่อยครั้ง ส่งผลให้คนไข้ล้นโรงพยาบาล

ผู้ป่วยนอกมีความยุ่งยากในการรักษาน้อยกว่าผู้ป่วยใน แต่ชาวต่างจังหวัดหลายคนเลือกที่จะเข้ารักษาในโรงพยาบาลรัฐในกรุงเทพ

- ต่างจังหวัด: มีสถานีอนามัยกระจายทุกตำบล หลายแห่งได้รับการยกฐานะเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สถานบริการสาธารณสุขเหล่านี้สร้างมาเพื่อรองรับผู้ป่วยนอกเป็นหลัก

อย่างไรก็ตามการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์, งบประมาณ และเครื่องมือแพทย์มีผลให้การรักษาในสถานบริการสาธารณสุขเหล่านี้เป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ชาวต่างจังหวัดหลายคนจึงเลือกที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในกรุงเทพ

- กรุงเทพ: ไม่มีสถานีอนามัย-โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ส่งผลให้คนไข้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐแทน

ดังนั้นการแก้ปัญหาคนไข้ล้นโรงพยาบาลจึงไม่ใช่การสร้าง-ขยายโรงพยาบาลขนาดใหญ่ แต่เป็นการกระจายการรักษาผู้ป่วยนอกไปที่สถานบริการสาธารณสุขขนาดเล็ก

- ต่างจังหวัด: รัฐควรพัฒนาคุณภาพของสถานีอนามัย-โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเพื่อรองรับผู้ป่วยนอก หากผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรงอาจให้พักรักษาในสถาบริการสาธารณสุขเหล่านี้ 1-3 วัน หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงจึงจะส่งตัวเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลรัฐ

- กรุงเทพ: รัฐควรสร้างโพลีคลินิก (ไม่มีเตียงคนไข้) กระจายทั่วกรุงเทพเพื่อรองรับผู้ป่วยนอก หากผู้ป่วยจำเป็นต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจึงจะส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลรัฐ

ขณะที่รัฐบาลที่ผ่านมามีการตั้งศูนย์แพทย์ศาสตร์ชั้นคลินิกเพื่อสร้างแพทย์ชั้นคลินิกรองรับผู้ป่วยนอกโดยเฉพาะ แนวทางนี้ถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง

นอกจากนี้รัฐควรสร้างฐานข้อมูลประวัติคนไข้แห่งชาติเพื่อเก็บข้อมูลคนไข้ทั้งประเทศเป็นศูนย์เดียวเพื่อให้การส่งต่อการรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

หากรัฐลดขนาดกองทัพที่ไม่จำเป็นจะช่วยให้รัฐประหยัดงบประมาณไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี รัฐจะมีงบประมาณมากพอที่จะสร้างโครงข่ายสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

4 องค์กรสิทธิฯ ขอ จนท. ยุติฟ้องคดี ทนายอานนท์

0
0

องค์กรสิทธิมนุษยชนขอให้ยุติการฟ้องคดีเพื่อปิดปากนักกิจกรรมหรือประชาชนกรณีทนายความ นักกิจกรรมด้านสิทธิเสรีภาพ อานนท์ นำภา

15 ธ.ค.2560 จากกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาหมายเรียก อานนท์ นำภา ทนายความของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในความผิดฐานดูหมิ่นศาลและความผิดตามพ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 จากกรณีโพสต์เฟซบุ๊กตั้งคำถามกับศาลขอนแก่นนั้น

วันนี้ องค์กรสิทธิมนุษยชน ประกอบด้วย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน และมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม ออกแถลงการณ์ ขอให้ยุติการฟ้องคดีดังกล่าว พร้อมแสดงความกังวลว่าการใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ ของทางเจ้าหน้าที่ต่อทนายความและนักกิจกรรมอาจเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจนเกินสมควร และอาจเป็นปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจการสาธารณะ และการตรวจสอบหน่วยงานรัฐและบุคคลสาธารณะ โดยในกรณีนี้อาจถูกกล่าวอ้างว่าการแจ้งความของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีวัตถุประสงค์ในการกลั่นแกล้ง คุกคามนักกิจกรรมด้านสิทธิเสรีภาพ เนื่องจาก อานนท์ มีบทบาทในการจัดกิจกรรมด้านส่งเสริมสิทธิเสรีภาพตามหลักการประชาธิปไตยตลอดหลายปีที่ผ่านมา อีกทั้งเป็นทนายความให้ความช่วยเหลือต่อผู้ได้รับผลกระทบการการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายโดยตรงและอย่างต่อเนื่อง การที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อ้างถึงข้อความในการสื่อสารทางสาธารณะด้วยข้อหาดูหมิ่นศาลและความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อาจเข้าข่ายการฟ้องคดีเพื่อปิดปากนักกิจกรรมหรือประชาชน หรือ SLAPPs (Strategic Litigation against public participation) อันถือว่าเป็นการกระทำของรัฐที่ขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะข้อบทที่ 19 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ระบุว่าบุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง

องค์กรสิทธิมนุษยชนที่ร่วมแถลงการณ์ เรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดี ต่อ อานนท์ ดังกล่าวอย่างไม่มีเงื่อนไข และขอให้ยุติการใช้การดำเนินคดีที่เข้าข่ายการฟ้องคดีปิดปากต่อนักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชน และทนายความที่ทำหน้าที่ของตนในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในฐานะนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามหลักการในปฏิญญาสากลว่าด้วยนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ

แถลงการณ์ ระบุด้วยว่า คดีนี้ ผู้กล่าวหา คือ พ.ต.ท.สุภารัตน์ คำอินทร์ กล่าวหาว่าทนายอานนท์กระทำความผิด โดย “ดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี หรือกระทำการขัดขวางการพิจารณาหรือพิพากษาของศาล โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนอันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา”

องค์กรสิทธิมนุษยชนที่ร่วมแถลงการณ์ เมื่อเดือน พ.ค. 2560  พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ มาตรา 14 ที่มีการแก้ไขใหม่ ได้ระบุให้ชัดเจนขึ้นว่า การกระทำที่ถือเป็นความผิดตามมาตรานี้ ต้องเป็นการจงใจ หรือมีเจตนาหลอกลวง นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และทำให้เกิดความเสียหายในเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กรณีการหมิ่นประมาท  ซึ่งในคดีที่มีหมายเรียกจากพนักงานสอบสวนเป็นข้อหาดูหมิ่นศาลซึ่งไม่ได้ถูกยกเว้นไว้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับแก้ไขที่มีผลบังคับใช้แล้ว

รายละเอียดเกี่ยวกับข้อเกฎหมายที่ฟ้องในคดีนี้ : 

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198  ผู้ใดดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี หรือกระทำการขัดขวางการพิจารณาหรือพิพากษาของศาล ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จ่านิวอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนอกสภาฯ พร้อมจี้ สนช.ทำหน้าที่ด้วย

0
0

ที่มาภาพ Banrasdr Photo

15 ธ.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ เมื่อเวลาประมาณ 18.20 น. ที่ Sky Walk แยกปทุมวัน กลุ่มประชาธิปไตยศึกษา นำโดย สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว จะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเผด็จการ 

Banrasdr Photoโพสต์ภาพพร้อรายงานว่า สิรวิชญ์ กล่าวถึงการล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาลและการคอรัปชั่นของรัฐบาล คสช. พร้อมเรียกร้องให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทำการตรวจสอบด้วยการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หาก สนช. ละเลยไม่ทำ ทางกลุุ่มและประชาชนจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเอง และในวันที่ 22 ธ.ค.นี้จะเดินทางไปยื่นข้อเรียกร้องแก่ สนช. ที่รัฐสภา

แถลงการณ์ กลุ่มประชาธิปไตยศึกษา :

แถลงการณ์เบื้องต้น ถึง ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

เรื่อง ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล คสช.

เนื่องด้วยปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนเดือนร้อนจากการบริหารประเทศของรัฐบาล คสช. อีกทั้งนานาประเทศไม่ให้การยอมรับในรัฐบาล คสช. จึงส่งผลกระทบให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะเสี่ยงมากยิ่งขึ้น รวมถึงการบริหารประเทศของ คสช.ไม่ฟังเสียงเรียกร้องของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ อย่างที่เห็นกันอยู่ เช่น การจับกุมคุมขังประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลหรือประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล คสช. รวมถึงการใช้ความรุนแรงในการจับกุมนักศึกษาประชาชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นหรือเรียกร้องจนได้รับอันตรายทั้งกายและจิตใจ และสิ่งที่หนักไปกว่านั้นรัฐบาล คสช. ได้อ้างตนเป็นผู้มาปราบโกง. แต่ในทางกลับกันรัฐบาล คสช.เป็นรัฐบาลที่ตรวจสอบการทำงานได้ยากประชาชนเข้าไม่ถึง และที่ร้ายไปกว่านั้น องค์กรตรวจสอบก็มาจากการแต่งตั้งของรัฐบาล คสช. จนไม่มีองค์กรใดกล้าตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลว่ามีความโปร่งใสหรือไม่ ในห้วงระยะเวลาที่รัฐบาล คสช. เข้ามามีอำนาจโดยการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทุกวันนี้ข่าวการทุจริตคอรัปชั่น ภายในรัฐบาล คสช.ยิ่งหนาหูขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้าง การจัดสรรงบประมาณที่ไม่โปร่งใส การบริหารเงินแผ่นดินโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน และที่สำคัญการเอื้อประโยชน์ในวงการพักพวกพี่น้องในรัฐบาล คสช. กระทำกันอย่างแพร่หลายโดยไม่เกรงกลัวต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ

ดังนั้น ทางกลุ่มจึงขอเรียกร้องไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผู้ซึ่งทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎร์(สส.) และเป็นผู้ซึ่งรับเงินเดือนจากภาษีของประชาชนเช่นกันนั้น ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

1. ขอให้ประธาน สนช. และสมาชิก สนช. เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล คสช. และเปิดมติ ไว้วางใจ/ไม่ไว้วางใจ

2. การเปิดอภิปรายรัฐบาล คสช. ถือเป็นหน้าที่ของ สนช.ผู้ทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น สนช. ต้องเปิดอภิปรายรัฐบาล คสช. ตามข้อเรียกร้องของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ

3. เมื่อประชาชนสงสัยในการทำงานของรัฐบาลว่ามีความโปร่งใสหรือไม่ จึงต้องเป็นหน้าที่ของ สนช. ผู้ซึ่งทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎรในการเปิดอภิปราย

4. ทางกลุ่มจึงขอเรียกร้องให้ สนช. เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล คสช.หาก สนช. ไม่ทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว ทางกลุ่มและประชาชนจะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล คสช. โดยจะจัดให้ประชาชนทั่วประเทศได้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล คสช.จนกว่าประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศจะได้รับความเป็นธรรม

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"มวลชนคนดี": คนชั้นกลางระดับบนและคนใต้ย้ายถิ่นในกรุงเทพฯ | ชลิดา บัณฑุวงศ์-ธร ปิติดล [คลิป]

0
0

คลิปจากการสัมมนาสาธารณะ “การเมืองคนดี”: ความคิด ปฏิบัติการ และอัตลักษณ์ทางการเมืองของผู้สนับสนุน  “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” 15 ธันวาคม 2560 | ห้องประชุมบุญชู โรจนเสถียร อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

โดยช่วงเช้าเป็นการนำเสนอช่วง “มวลชนคนดี”: คนชั้นกลางระดับบนและคนใต้ย้ายถิ่นในกรุงเทพฯ" แบ่งเป็นการนำเสนอหัวข้อย่อยประกอบด้วย 1) ความคิดและปฏิบัติการ “การเมืองคนดี” ของคนใต้ย้ายถิ่นในกรุงเทพฯ โดยชลิตา บัณฑุวงศ์ และ 2) การเติบโตและการหันหลังให้กับประชาธิปไตยของคนชั้นกลางระดับบนในประเทศไทยโด ยธร ปิติดล และ ชานนทร์ เตชะสุนทระวัฒน์ ร่วมให้ความเห็นโดยโกวิท วงศ์สุรวัฒน์, สามชาย ศรีสันต์ และอรรถจักร์ สัตยานุรักษ์

"ความคิดและปฏิบัติการ “การเมืองคนดี” ของคนใต้ย้ายถิ่นในกรุงเทพฯ" นำเสนอโดย ชลิตา บัณฑุวงศ์

"การเติบโตและการหันหลังให้กับประชาธิปไตยของคนชั้นกลางระดับบนในประเทศไทย" 
นำเสนอโดย ธร ปิติดล

 ช่วงให้ความเห็นโดยโกวิท วงศ์สุรวัฒน์, สามชาย ศรีสันต์ และอรรถจักร์ สัตยานุรักษ์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มสังคม-นักการเมืองสหรัฐฯ ประกาศต่อสู้กับคำสั่งยกเลิก 'ความเป็นกลางทางเน็ต'

0
0

ในสหรัฐฯ มีการสั่งยกเลิกการคุ้มครอง 'ความเป็นกลางทางเน็ต' (Net Neutrality) จากคณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารสหรัฐฯ (FCC) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางกระแสต่อต้านทั้งจากนักการเมืองและกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านไอที และผลสำรวจที่ระบุว่ากลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกัน 80% ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกความเป็นกลางทางเน็ต

15 ธ.ค. 2560 เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารสหรัฐฯ (FCC) ลงมติ 3 ต่อ 2 เห็นชอบให้ยกเลิกการคุ้มครองความเป็นกลางทางเน็ต (Net Neutrality) สมัยประธานาธิบดีบารัก โอบามา ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง โดยดิอินดิเพนเดนต์ระบุว่าการยกเลิกเช่นนี้จะทำให้อำนาจส่วนใหญ่ตกไปอยู่ในมือของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในการกำหนดสิ่งต่างๆ โดยไม่ต้องคำนึงถึงการให้ผู้คนมีช่องทางเข้าถึงเว็บไซต์โดยเท่าเทียมกันอีกต่อไป

คณะกรรมการ FCC จากพรรครีพับลิกันสามรายคือ อจิต ไป, ไมเคิล โอ'ไรลี และเบรนดัน คารร์ ลงมติให้มีการยกเลิกกฎหมายความเป็นกลางทางเน็ต คณะกรรมการจากพรรคเดโมแครตอีกสองรายคือเจสสิกา โรเซนวอร์เซล และมิยอน คลีเบิร์น ลงมติให้กฎหมายดังกล่าวคงอยู่ต่อ

นิวยอร์กไทม์ระบุว่านโยบายการกำกับดูแลความเป็นกลางทางเน็ตจากยุคของโอบามาที่ออกมาเมื่อปี 2558 ห้ามไม่ให้ผู้ให้บริการเว็บไซต์ปิดกั้นเว็บไซต์ต่างๆ หรือชาร์จเงินเพิ่มเพื่อการเข้าถึงเนื้อหาบางอย่างหรือเพื่อบริการที่มีคุณภาพสูงกว่า

แม้ว่าต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ถึงจะมีการบังคับใช้การยกเลิกคุ้มครองความเป้นกลางทางเน็ต และผู้ใช้งานก็อาจจะไม่ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงโดยทันที แต่ก็มีแรงต่อต้านทั้งทางการเมืองและทางกฎหมายเกิดขึ้นโดยทันทีหลังจากที่มีการลงมติในเรื่องนี้

ส.ส. พรรคเดโมแครตจำนวนมากเรียกร้องให้มีการออกกฎหมายซึ่งจะทำให้เกิดการกำกับดูแลความเป็นกลางทางเน็ตอีกครั้ง อิริก ที ชไนเดอร์มัน อัยการสูงสุดของนิวยอร์กและอัยการสูงสุดแห่งรัฐอื่นๆ ที่เป็นสายเดโมแครตกล่าวว่าพวกเขาจะฟ้องร้องเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อความเป็นกลางทางเน็ต ส่วนสก็อตต์ วีนเนอร์ กล่าวว่าเขาจะออกกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อคุ้มครองความเป็นกลางทางเน็ตเอง

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่นๆ ที่ประกาศจะฟ้องร้อง คือกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมหลายกลุ่มเช่น พับลิคโนวเลดจ์ และกลุ่มแนวร่วมสื่อฮิสแปนิคแห่งชาติสหรัฐฯ รวมถึงกลุ่มบริษัทเอกชนอย่างสมาคมอินเทอร์เน็ตที่ประกอบด้วยบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ อย่างกูเกิลและเฟซบุ๊ก

ประธาน FCC ซึ่งมาจากพรรครีพับลิกัน อจิต ไป พูดปกป้องการตัดสินใจของพวกเขาว่าเพื่อให้ผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตสามารถให้ทางการเลือกการบริการได้หลายรูปแบบมากขึ้นและเชื่อว่าพวกเขา "กำลังช่วยเหลือผู้บริโภคและส่งเสริมการแข่งขัน" จากการที่จะสร้างแรงจูงใจในการสร้างเครือข่ายมากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ที่อินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึง

แต่บ็อบ เฟอร์กูสัน อัยการสูงสุดจากวอชิงตันก็โต้แย้งว่าการให้อำนาจผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในการเลือกปฏิบัติจากเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตจะเป็นการทำลายอินเทอร์เน็ตที่เปิดกว้างและเสรี เรื่องนี้จะกลายเป็นภัยต่อผู้บริโภค รวมถึงส่งผลทางลบต่อนวัตกรรมและบริษัทขนาดเล็ก


BattlefortheNet.com ชวนให้คนเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ต้านคำสั่งของ FCC 

 

กลุ่มแนวร่วมนักกิจกรรม 'ทีมอินเทอร์เน็ต' และ BattlefortheNet.com ประกาศว่าจะมีการเคลื่อนไหวในวงกว้างทางอินเทอร์เน็ตเรียกร้องให้สภาคองเกรสพลิกคำสั่งของคณะกรรมาธิการ FCC ด้วยการผ่านมติไม่เห็นชอบภายใต้กฎหมายการพิจารณาของสภาคองเกรส (CRA) ที่อาศัยการโหวตลงมติเสียงข้างมากจากสภาบนและสภาล่างของสหรัฐฯ

อีกองค์กรหนึ่งที่ให้ความสำคัญในการต่อสู้เรื่องนี้คือ ไฟต์ฟอร์เดอะฟิวเจอร์ (FFTF) พวกเขาออกแถลงการณ์ว่า "พวกคนออกกฎหมายไม่สามารถซ่อนประเด็นนี้จากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้" "แรงต้านการยกเลิกความเป็นกลางทางเน็ตของ FCC กำลังดำเนินมาถึงจุดเดือด" และ "สมาชิกสภาคองเกรสทุกคนจะถูกจดจำไว้ว่าพวกเขาได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่ออินเทอร์เน็ตที่เสรีและเปิดกว้างหรือจะต้องเผชิญกับผลทางการเมืองจากความโกรธแค้นของประชาชนในช่วงปีเลือกตั้ง"

สื่อคอมมอนดรีมส์เคยรายงานผลสำรวจของมหาวิทยาลัยแห่งแมรีแลนด์เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ระบุว่าประชาชนชาวอเมริกันส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ต่อต้านการพยายามทำลายความเป็นกลางทางเน็ตของคณะกรรมาธิการ FCC มีร้อยละ 75 เชื่อว่าการยุบการคุ้มครองความเป็นกลางทางเน็ตเสมือนเป็นการ "อนุญาตให้ผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตขโมยจากผู้บริโภค"

"อินเทอร์เน็ตให้พลังกับประชาชนคนธรรมดามากขึ้นกว่าแต่ก่อน" FFTF สรุป "พวกเราจะต่อสู้อย่างดุดันเพื่อทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครฉกชิงพลังนั้นไป"

 

 


เรียบเรียงจาก

F.C.C. Repeals Net Neutrality Rules, New York Times, 14-12-2017
https://mobile.nytimes.com/2017/12/14/technology/net-neutrality-repeal-vote.html

NET NEUTRALITY VOTE: FCC ABOLISHES PROTECTIONS IN LATEST BLOW TO INTERNET FREEDOM, The independent, 14-12-2017
http://www.independent.co.uk/life-style/gadgets-and-tech/news/net-neutrality-latest-update-fcc-vote-ajit-pai-regulation-internet-freedom-coporation-donald-trump-a8110726.html

Net Neutrality Fight 'Not Over': Groups Launch Internet-Wide Campaign Pushing Congress to Overrule FCC Vote, Common Dreams, 14-12-2017
https://www.commondreams.org/news/2017/12/14/net-neutrality-fight-not-over-groups-launch-internet-wide-campaign-pushing-congress

Poll: Almost Nobody Likes Plan To Kill Net Neutrality. GOP FCC Chair Ajit Pai: We're Doing It Anyway, Common Dreams, 13-12-2017
https://www.commondreams.org/news/2017/12/13/poll-almost-nobody-likes-plan-kill-net-neutrality-gop-fcc-chair-ajit-pai-were-doing


 
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยกเลิกแสดงหมอลำแบงค์ เหตุ คสช.บ่ม่วน สนธิกำลังอ้าง กม.ลิขสิทธิ์/การค้ากดดันเจ้าของสถานที่

0
0

ผู้จัดแจ้งยกเลิกคอนเสิร์ต FAIRLY TELL FOUNDING AND THE หมอลำ ม่วนคัก คืนเงินผู้ชม หลังทหารตำรวจ สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เข้ากดดันเจ้าของสถานที่ให้ยกเลิกการใช้สถานที่จัดงาน อ้างความสงบ ปรองดอง และ ไม่อยากให้คนมีประวัติเคยก่อคดีมาแล้วมาจัดงานช่วยเหลือผู้ต้องขังคดีการเมือง 


16 ธันวาคม 2560 น.ส.ภรณ์ทิพย์ มั่นคง ผู้ประสานงานกลุ่ม FAIRLY TELL ผู้จัดงาน  FAIRLY TELL FOUNDING AND THE หมอลำ ม่วนคัก คอนเสิร์ต เพื่อระดมทุนทำกิจกรรมฟื้นฟูสภาพจิตใจและศักยภาพของอดีตนักโทษการเมือง แจ้ง ขอประกาศยกเลิกการจัดคอนเสิร์ตที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคม 2560 เวลา 19.00-21.00 น.

เนื่องจากวันที่ 15 ธันวาคม 2560 เวลาประมาณ 10.00 น. ขณะที่ร้านยังไม่เปิดทำการ มีเพียงพนักงานร้าน เข้ามาจัดของ ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบ 4 คนเข้ามาพูดคุยและขอให้ยกเลิกการจัดงานคอนเสิร์ตหมอลำดังกล่าว เพราะอาจจะเป็นองค์กรที่ได้รับเงินจากนักการเมืองมาเคลื่อนไหว หลังจากนั้นพนักงานจึงได้โทรแจ้งเรื่องดังกล่าวให้เจ้าของร้านทราบ ก่อนที่ ปลัดอำเภอ ฝ่ายความมั่นคง อำเภอบางบัวทองจะโทรศัพท์ มาพูดคุยกับเจ้าของร้าน โดยอ้างเรื่องกฎหมายการจดทะเบียนพาณิช การขายสุรา และ ลิขสิทธิ์เพลง ที่อาจจะได้รับผลกระทบหากให้มีการจัดงานในสถานที่ของร้าน

หลังจากนั้นในเวลา 14.00 น.โดยประมาณ เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบได้เข้ามาสอบถามถึงผู้จัดงานคอนเสิร์ตในครั้งนี้ ว่าเป็นใครและมีวัตถุประสงค์อะไร พร้อมกับกำชับไม่ให้มีการจัดงานนี้เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในพื้นที่

จนเมื่อเวลา 19.00 น. ของวันดังกล่าวปลัดอำเภอ บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรีพร้อมด้วย กำนัน นายก อบต. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่จาก กอรมน. รวมแล้วประมาณ 10 คน ได้เข้ามาที่ร้าน และสั่งอาหารรับประทาน พร้อมกับเรียกเจ้าของร้านเข้ามาพูดคุยกับเจ้าของร้านอีกครั้ง เพื่อแจ้งเหตุจำเป็นให้ทราบโดยละเอียด เช่น กลุ่มคนดังกล่าวเป็นกลุ่มคนที่เคยโดนคดีมาแล้ว และเป็นคดีทางการเมือง เป็นที่สนใจในสื่อโซเชียลเป็นอย่างมาก เพราะมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือคนที่มีความเกี่ยวข้องกับการเมือง หากเป็นเวทีหมอลำธรรมดานั้นจะไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่มีสื่อและจุดประสงค์ประกาศชัดเจน จึงมีคำสั่งจากเบื้องบนไม่ให้มีการจัดงานดังกล่าวได้

หลังจากทราบเรื่อง ทีมงานผู้จัดจึงได้ระดมกำลังหาสถานที่จัดงานแห่งใหม่ แต่ไม่มีที่ใดสะดวกให้ใช้พื้นที่ในการจัดงาน ดังนั้นทางทีมงานผู้จัดจึงต้องขอยกเลิกการจัดงานคอนเสิร์ต FAIRLY TELL FOUNDING AND THE หมอลำ ม่วนคัก คอนเสิร์ต อย่างเป็นทางการ หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการคุกคามของเจ้าหน้าที่จนต้องเปลี่ยนสถานที่จัดงานมาแล้วครั้งหนึ่ง

“ต้องขออภัยที่ทางทีมงานไม่สามารถจัดงานได้ตามที่ได้รับปากกับแฟนเพลงทุกท่านไว้ ทางทีมงานทุกคนทำงานอย่างเต็มที่แล้ว และจะประสานงานเรื่องการคืนเงินค่าบัตรและขั้นตอนต่างๆ โดยตรงกับผู้ที่ซื้อบัตร และขอขอบคุณการทุ่มเทของมิตรรักหมอแคนแฟนหมอลำทุกๆ ท่านที่มีให้กับพวกเรา ทำให้เราได้เห็นถึงพลังของผู้คนที่ยังไม่ได้หลับใหลไปไหน แม้ว่ามันจะไม่ได้มีคอนเสิร์ตเกิดขึ้นจริงๆ แต่ความหวังของคนเหล่านี้ก็ยังคงอยู่เสมอ ทั้งยังต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายความมั่นคงต่างๆ  ที่ให้ราคาคอนเสิร์ตเล็กๆ ของเรามากขนาดนี้ และถ้าพี่ๆ อยากคุยกับคนจัดงาน ก็สามารถโทรมาได้ตามเบอร์โทรในโชเชียลที่พี่ๆ ได้ข้อมูลมาได้เลยนะคะ  ขอบคุณมากๆ นะคะๆ”

ภรณ์ทิพย์ มั่นคง หนึ่งในผู้ก่อตั้งและประสานงาน กลุ่ม FAIRLY TELL กล่าว

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"มวลมหาอาญาสิทธิ์": อัตลักษณ์คนดีและความรุนแรง | ประจักษ์-อาทิตย์-อาจินต์ [คลิป]

0
0

คลิปจากการสัมมนาสาธารณะ “การเมืองคนดี”: ความคิด ปฏิบัติการ และอัตลักษณ์ทางการเมืองของผู้สนับสนุน  “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” 15 ธันวาคม 2560 | ห้องประชุมบุญชู โรจนเสถียร อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

โดยการนำเสนอช่วงที่ 2 "มวลมหาอาญาสิทธิ์": อัตลักษณ์คนดีและความรุนแรง แบ่งเป็นการนำเสนอหัวข้อย่อยประกอบด้วย1) ธรรมาธรรมะสงคราม ความรุนแรงเชิงศีลธรรม และอนารยะขัดขืนโดย ประจักษ์ ก้องกีรติ 2) การร่วมสร้างอัตลักษณ์คนดีของมวลมหาประชาชนโดย อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล และ อาจินต์ ทองอยู่คง ร่วมให้ความเห็นโดย จันจิรา สมบัติพูนศิริ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ วิริยะ สว่างโชติ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล

ธรรมาธรรมะสงคราม ความรุนแรงเชิงศีลธรรม และอนารยะขัดขืน โดย ประจักษ์ ก้องกีรติ

การร่วมสร้างอัตลักษณ์คนดีของมวลมหาประชาชน โดย อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล และ อาจินต์ ทองอยู่คง

ร่วมให้ความเห็นโดย จันจิรา สมบัติพูนศิริ และวิริยะ สว่างโชติ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มสังคม-นักการเมืองสหรัฐฯ ประกาศต่อสู้กับคำสั่งยกเลิก 'ความเป็นกลางทางเน็ต'

0
0
ในสหรัฐฯ มีการสั่งยกเลิกการคุ้มครอง 'ความเป็นกลางทางเน็ต' (Net Neutrality) จากคณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารสหรัฐฯ (FCC) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางกระแสต่อต้านทั้งจากนักการเมืองและกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านไอที รวมถึงผลโพลล์สำรวจระบุว่ากลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันร้อยละ 80 ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกความเป็นกลางทางเน็ต

 
16 ธ.ค. 2560 คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารสหรัฐฯ (FCC) ลงมติ 3 ต่อ 2 เห็นชอบให้ยกเลิกการคุ้มครองความเป็นกลางทางเน็ต (Net Neutrality) สมัยบารัค โอบามา ซึ่งจะก่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง โดยดิอินดิเพนเดนต์ระบุว่าการยกเลิกเช่นนี้จะทำให้อำนาจส่วนใหญ่ตกไปอยู่ในมือของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในการกำหนดสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ต้องคำนึงให้ผู้คนมีช่องทางเข้าถึงเว็บไซต์โดยเท่าเทียมกันอีกต่อไป
 
เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการจากพรรครีพับลิกันสามรายคือ อจิต ไป, ไมเคิล โอ'ไรลี และเบรนดัน คารร์ ลงมติให้มีการยกเลิกกฎหมายความเป็นกลางทางเน็ต คณะกรรมาธิการจากพรรคเดโมแครตอีกสองรายคือเจสสิกา โรเซนวอร์เซล และมิยอน คลีเบิร์น ลงมติให้กฎหมายดังกล่าวคงอยู่ต่อ
 
นิวยอร์กไทม์ระบุว่านโยบายการกำกับดูแลความเป็นกลางทางเน็ตจากยุคของโอบามาที่ออกมาเมื่อปี 2558 ห้ามไม่ให้ผู้ให้บริการเว็บไซต์ปิดกั้นเว็บไซต์ต่าง ๆ หรือชาร์จเงินเพิ่มเพื่อการเข้าถึงเนื้อหาบางอย่างหรือเพื่อบริการที่มีคุณภาพสูงกว่า 
 
ถึงแม้ว่าต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ถึงจะมีการบังคับใช้การยกเลิกคุ้มครองความเป้นกลางทางเน็ต และผู้ใช้งานก็อาจจะไม่ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงโดยทันที แต่ก็มีแรงต่อต้านทั้งทางการเมืองและทางกฎหมายเกิดขึ้นโดยทันทีหลังจากที่มีการลงมติในเรื่องนี้
 
ส.ส. พรรคเดโมแครตจำนวนมากเรียกร้องให้มีการออกกฎหมายซึ่งจะทำให้เกิดการกำกับดูแลความเป็นกลางทางเน็ตอีกครั้ง อิริก ที ชไนเดอร์มัน อัยการสูงสุดของนิวยอร์กและอัยการสูงสุดแห่งรัฐอื่น ๆ ที่เป็นสายเดโมแครตกล่าวว่าพวกเขาจะฟ้องร้องเพื่อยังยั้งไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อความเป็นกลางทางเน็ต ส่วนสก็อตต์ วีนเนอร์ กล่าวว่าเขาจะออกกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อคุ้มครองความเป็นกลางทางเน็ตเอง
 
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่น ๆ ที่ประกาศจะฟ้องร้อง คือกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมหลายกลุ่มเช่น พับลิคโนวเลดจ์ และกลุ่มแนวร่วมสื่อฮิสแปนิคแห่งชาติสหรัฐฯ รวมถึงกลุ่มบริษัทเอกชนอย่างสมาคมอินเทอร์เน็ตที่ประกอบด้วยบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่างกูเกิลและเฟซบุ๊ก
 
ฝ่ายคณะกรรมาธิการจากพรรครีพับลิกัน อจิต ไป พูดปกป้องการตัดสินใจของพวกเขาว่าเพื่อให้ผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตสามารถให้ทางการเลือกการบริการได้หลายรูปแบบมากขึ้นและเชื่อว่าพวกเขา "กำลังช่วยเหลือบริโภคและส่งเสริมการแข่งขัน" จากการที่จะสร้างแรงจูงใจในการสร้างเครือข่ายมากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ที่อินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึง
 
แต่บ็อบ เฟอร์กูสัน อัยการสูงสุดจากวอชิงตันก็โต้แย้งว่าการให้อำนาจผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในการเลือกปฏิบัติจากเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตจะเป็นการทำลายอินเทอร์เน็ตที่เปิดกว้างและเสรี เรื่องนี้จะกลายเป็นภัยต่อผู้บริโภค รวมถึงส่งผลทางลบต่อนวัตกรรมและบริษัทขนาดเล็ก
 
กลุ่มแนวร่วมนักกิจกรรม 'ทีมอินเทอร์เน็ต' และ BattlefortheNet.com ประกาศว่าจะมีการเคลื่อนไหวในวงกว้างทางอินเทอร์เน็ตเรียกร้องให้สภาคองเกรสพลิกคำสั่งของคณะกรรมธิการ FCC ด้วยการผ่านมติไม่เห็นชอบภายใต้กฎหมายการพิจารณาของสภาคองเกรส (CRA) ที่อาศัยการโหวตลงมติเสียงข้างมากจากสภาบนและสภาล่างของสหรัฐฯ
 
อีกองค์กรหนึ่งที่ให้ความสำคัญในการต่อสู้เรื่องนี้คือ ไฟต์ฟอร์เดอะฟิวเจอร์ (FFTF) พวกเขาออกแถลงการณ์ว่า "พวกคนออกกฎหมายไม่สามารถซ่อนประเด็นนี้จากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้" FFTF แรงต้านการยกเลิกความเป็นกลางทางเน็ตของ FCC กำลังดำเนินมาถึงจุดเดือด สมาชิกสภาคองเกรสทุกคนจะถูกจดจำไว้ว่าพวกเขาได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่ออินเทอร์เน็ตที่เสรีและเปิดกว้างหรือจะต้องเผชิญกับผลทางการเมืองจากความโกรธแค้นของประชาชนในช่วงปีเลือกตั้ง
 
สื่อคอมมอนดรีมส์เคยรายงานเรื่องโพลล์สำรวจของมหาวิทยาลัยแห่งแมรีแลนด์เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ระบุว่าประชาชนชาวอเมริกันส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ต่อต้านการพยายามทำลายความเป็นกลางทางเน็ตของคณะกรรมาธิการ FCC มีร้อยละ 75 เชื่อว่าการยุบการคุ้มครองความเป็นกลางทางเน็ตเสมือนเป็นการ "อนุญาตให้ผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตขโมยจากผู้บริโภค"
 
"อินเทอร์เน็ตให้พลังกับประชาชนคนธรรมดามากขึ้นกว่าแต่ก่อน" FFTF สรุป "พวกเราจะต่อสู้อย่างดุดันเพื่อทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครฉกชิงพลังนั้นไป"
 
 
 
 
เรียบเรียงจาก
 
F.C.C. Repeals Net Neutrality Rules, New York Times, 14-12-2017
 
NET NEUTRALITY VOTE: FCC ABOLISHES PROTECTIONS IN LATEST BLOW TO INTERNET FREEDOM, The independent, 14-12-2017
 
Net Neutrality Fight 'Not Over': Groups Launch Internet-Wide Campaign Pushing Congress to Overrule FCC Vote, Common Dreams, 14-12-2017
 
Poll: Almost Nobody Likes Plan To Kill Net Neutrality. GOP FCC Chair Ajit Pai: We're Doing It Anyway, Common Dreams, 13-12-2017
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 10-16 ธ.ค. 2560

0
0

หนุนสร้างงานคนพิการ ใช้สิทธิ ม.35 แล้วกว่า 2 หมื่นราย/รมว.แรงงานถก ออท.สปป.ลาวตั้งศูนย์พิสูจน์สัญชาติ/สปส.ส่ง SMS เตือนผู้ประกันตน ม.39 อย่าขาดส่งเงินสมทบ/เตือนคนไทยไปตายเกาหลีพุ่ง! โดยเฉพาะแรงงานผิด กม. เหตุหนาวจัด

หนุนสร้างงานคนพิการ ใช้สิทธิ ม.35 แล้วกว่า 2 หมื่นราย

รมว.แรงงานหนุนสร้างงานคนพิการ เผยคนพิการใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มาตรา 35 โดยจัดสถานที่ให้จำหน่ายสินค้าหรือบริการ ให้สัมปทานพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือต่างๆ แล้วกว่า 2 หมื่นราย คิดเป็นร้อยละกว่า 96 จากยอดคนพิการมาขอรับบริการกว่า 2 หมื่นราย ขณะเดียวกันได้นำร่องจ้างงานคนพิการในหน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วม 90 ราย

นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า การสร้างงานให้คนพิการ เพื่อให้มีรายได้ เป็นนโยบายที่พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยได้มอบหมายให้กรมการจัดหางานเร่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับมาตรา 35 ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ให้แก่คนพิการและนายจ้าง/สถานประกอบการ พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้คนพิการได้รับสิทธิมากยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมานั้น กรมการจัดหางานได้สนับสนุนให้คนพิการใช้สิทธิตามมาตรา 35 ใน 7 ประเภทกิจกรรม ได้แก่ 1) ให้สัมปทาน เช่น ให้สัมปทานพื้นที่ทำการเกษตร ตู้เครื่องดื่มอัตโนมัติในบริเวณสถานประกอบการ ให้ช่องสัญญานวิทยุ/โทรทัศน์ จัดสรรเสื้อโปโลของสถานประกอบการให้คนพิการไปจำหน่าย เป็นต้น 2) จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ เช่น โรงพยาบาลจัดพื้นที่ให้คนพิการเปิดร้านขายดอกไม้ สถานประกอบการจัดพื้นที่ให้เปิดบริการรับฝากรถ เป็นต้น 3) จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีพิเศษ เช่น จ้างเหมาบริการให้คนพิการนวดผ่อนคลาย ทำความสะอาดสำนักงาน เป็นต้น 4) ฝึกงาน เช่น จัดหลักสูตรฝึกการเจียระไนอัญมณี การซ่อมคอมพิวเตอร์พื้นฐาน ซ่อมเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น 5) จัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ติดตั้งลิฟท์สำหรับคนพิการทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหว สร้างพื้นผิวต่างสัมผัสสำหรับคนพิการทางการเห็น เป็นต้น 6) ล่ามภาษามือ เช่น จ้างล่ามภาษามือเพื่อคนพิการทางการได้ยินให้สื่อสารกับหัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น 7) ให้ความช่วยเหลืออื่นใด เช่น มอบเงินให้คนพิการซื้ออุปกรณ์ทำไม้กวาดเพื่อจำหน่าย ซื้อสินค้าที่คนพิการทำเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ สร้างร้านจำหน่ายสินค้าในชุมชน สร้างศูนย์การเกษตร เป็นต้น ซึ่งมีหลักเกณฑ์ว่า การจัดทำสัญญาขอใช้สิทธิของทั้งสองฝ่ายเป็นไปโดยสมัครใจ และรายชื่อคนพิการที่ขอใช้สิทธิจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกัน โดยเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่พบคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการว่าได้รับสิทธิเป็นไปตามคำขอใช้สิทธิหรือไม่

จากการดำเนินงานที่ผ่านมา ขณะนี้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการมาใช้บริการขึ้นทะเบียนขอใช้สิทธิตามมาตรา 35 แล้ว จำนวน 21,868 ราย ได้รับสิทธิตามมาตรา 35 จำนวน 21,073 ราย คิดเป็นร้อยละ 96.36 นอกจากนี้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานซึ่งเป็นหน่วยงานหลักนำร่องการจ้างคนพิการทำงานในหน่วยงานภาครัฐได้บรรจุคนพิการเข้าทำงานจำนวน 90 ราย เป็นข้าราชการ จำนวน 2 ราย พนักงานราชการ 1 ราย และจ้างเหมาบริการตามโครงการส่งเสริมคนพิการทำงานในหน่วยงานภาครัฐ โดยทำงานที่กรมการจัดหางานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 87 ราย ติดต่อขอรับบริการหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือโทรสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 นายอนุรักษ์ กล่าว

ที่มา: กระทรวงแรงงาน, 16/12/2560

เอ็มจี ผุดโรงงานเหมราชฯ กำลังการผลิต 1 แสนคันต่อปี

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เทงบ กว่า 1 หมื่นล้านบาท เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์น ซีบอร์ด แห่งที่ 2 จังหวัดชลบุรี ชูการผลิตด้วยนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์อัจฉริยะ ผสาน กับเทคโนโลยีการผลิต และระบบตรวจสอบ คุณภาพที่ดีที่สุด และเป็นเป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม

มร.สือ กั๋ว หย่ง กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี-มอเตอร์ ซีพี จำกัด กล่าวว่าโรงงานแห่งใหม่นี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการพัฒนาแบรนด์เอ็มจีในประเทศไทย จะช่วยให้บริษัท เอสเอไอซี- มอเตอร์ ซีพี มีการเติบโตและพัฒนาได้เร็วขึ้น หลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้นำรถยนต์คุณภาพหลายรุ่นเข้าสู่ตลาด เช่น MG3, MG5, MG6, MG GS และรุ่นล่าสุด MG ZS ที่มาพร้อมระบบอัจฉริยะ "i-SMART" และเป็นรถรุ่นแรกในโลก ที่สามารถสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย

"นับตั้งแต่ รถยนต์ MG ZSใหม่ เป็นต้นไป รถเอ็มจีทุกรุ่นจะผลิตขึ้นในโรงงานแห่งใหม่นี้ ภายใต้สี่ยุทธศาสตร์หลักของเครือ เอสเอไอซี-มอเตอร์ ได้แก่ อินเตอร์เนต คาร์, รถพลังงานทางเลือก, คาร์ แชร์ริ่ง และรถขับเคลื่อนเองอัตโนมัติ พร้อมกับนำเทคโนโลยีเชื่อมต่ออินเตอร์เนต ที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ในรถเอ็มจี รวมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์การเดินทาง และประสบการณ์การใช้บริการที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้บริโภคชาวไทย เพื่อสร้าง เอสเอไอซี- มอเตอร์ ซีพี ให้เป็นฐานผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาระดับโลก ที่ปักหลักในประเทศไทย และครอบคลุมทั่วอาเซียน"

นายธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์และประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า "ความสำเร็จของเรามาจากความร่วมมือและความเชื่อมั่น ระหว่างผู้ร่วมทุนเครือเซี่ยงไฮ้ ออโตโมทีฟ อินดัสทรี คอร์ปอเรชั่น และเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผลมาจากความพยายามมุ่งมั่นของคณะผู้บริหาร และพนักงาน ในฐานะตัวแทนบริษัทร่วมทุน ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นโรงงาน แห่งใหม่ ที่เสร็จสมบูรณ์ตามกำหนด ซึ่งจะเป็นรากฐานที่มั่นคงในการพัฒนาเอ็มจีในระยะยาวต่อไป"

สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์ เอ็มจี แห่งใหม่ ตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์น ซีบอร์ด แห่งที่ 2 จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่กว่า 437.5 ไร่ มีกำลังการผลิต สูงสุด 100,000 คันต่อปี ด้วยนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ (Automations) และหุ่นยนต์อัจฉริยะ (Intelligent Robotics) ผสานกับเทคโนโลยีการผลิตและระบบตรวจสอบคุณภาพที่ดีที่สุดและเป็นโรงงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ที่มา: แนวหน้า, 15/12/2560

รมว.แรงงานถก ออท.สปป.ลาวตั้งศูนย์พิสูจน์สัญชาติ

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การหารือร่วมกับ นายแสง สุขะทิวง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำประเทศไทย มีการพูดคุยเรื่องเพิ่มประสิทธิภาพในการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวสัญชาติลาว กลุ่มบัตรสีชมพูและกลุ่มใบจับคู่ รวมถึงปัญหาและอุปสรรคจากการดำเนินงานของฝ่ายไทยและฝ่ายลาว ซึ่งจากการตรวจสอบการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวสัญชาติลาวที่ผ่านมา พบว่า แรงงานสัญชาติลาวที่จดทะเบียนบัตร สีชมพู มีจำนวนทั้งสิ้น 71,521 ราย ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว 17,024 ราย คงเหลือ 54,497 ราย และกลุ่มใบจับคู่ (MOU) มีจำนวนทั้งสิ้น 87,792 ราย จึงได้เสนอเป็นหลักการให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติลาวกลุ่มใบจับคู่ จากเดิมที่ต้องเดินทางกลับไปยังประเทศต้นทาง เพื่อดำเนินการกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทยในรูปแบบ MOU นั้น สามารถดำเนินการเบ็ดเสร็จที่ประเทศไทย ไม่ต้องเดินทางกลับประเทศต้นทาง ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการดำเนินงาน

พร้อมทั้ง เพิ่มขีดความสามารถของการให้บริการระหว่างประเทศไทย และ สปป.ลาว ให้มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาและกัมพูชา เพื่อให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนด

ทั้งนี้ ท่านทูตลาวได้รับหลักการดังกล่าวไว้พิจารณา โดยขอให้ทางรัฐบาลไทยทำหนังสือและจัดทำแผนปฏิบัติการ เพื่อนำเรียนทางการ สปป.ลาว ต่อไป

ที่มา: ไอเอ็นเอ็น, 14/12/2560

เทงบปี' 2562 ลงท้องถิ่นกระตุ้น ศก.ฐานราก-อุ้มผู้สูงวัย

ที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2560 นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง ร่วมงานประชุมสัมมนาเชิงวิชาการประจำปี 2017 OECD-ASIAN Senior Budget Officials ครั้งที่ 13 โดยมีประเทศสมาชิก เข้าร่วมประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณของประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

รมช.คลัง กล่าวว่า ในส่วนของไทย ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 (เริ่มใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2561-30 กันยายน 2562) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้จัดทำให้เร็วขึ้น ซึ่งจะให้ทุกหน่วยงานเสนอคำขอใช้งบประมาณมายัง สำนัก งบประมาณภายในวันที่ 27 ธันวาคม 2560 นี้

ทั้งนี้ ภายหลังจากทุกหน่วยงานยื่นคำของบประมาณแล้ว จะมีการประชุม 4 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงบประมาณ เพื่อจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม ก่อนพิจารณากรอบวงเงินงบประมาณ 2562ต่อไป

สำหรับการจัดทำงบประมาณ 2562 จะมีการเน้นการจัดสรรลงสู่ท้องถิ่น มากขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจ ชุมชน ซึ่งจะเป็นรากฐานให้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคตต่อไป โดยขณะนี้ได้ให้ความสำคัญกับงบประมาณการพัฒนา การท่องเที่ยวเมืองรองมากขึ้น และ ท่องเที่ยวชุมชนมากขึ้นด้วยเช่นกัน

"การจัดทำงบประมาณยุคใหม่มุ่งเน้นจัดสรรงบประมาณรองรับสังคมผู้สูงอายุตามโครงสร้างประชากร เพื่อออกมาตรการส่งเสริมผู้สูงอายุหลังเกษียณได้ทำงาน เพราะยังมีศักยภาพในการทำงาน การอบรมให้ความรู้ ขณะที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปลี่ยนไปเน้นการรับฟังความต้องการจากท้องถิ่นแทนการจัดสรรจากส่วนกลาง เช่น การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวเมืองรอง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การฟื้นฟู พัฒนา สินค้า วัฒนธรรม เพื่อสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็ง ดังนั้น การจัดทำ งบประมาณรายจ่ายปี 2562 จะเปลี่ยนไปมาก"

ด้านนายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า ในวันที่ 10 มกราคม 2561 จะมีการประชุมร่วมทั้ง 4 หน่วยงาน เพื่อหารือการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 โดยเบื้องต้นจะเป็นงบประมาณแบบขาดดุล แต่จะเป็นการขาดดุลลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น จึงใช้ งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง

ขณะที่การจัดทำงบประมาณ 2562 จะเน้นการรองรับสังคมผู้สูงอายุ การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน โดยเฉพาะในเขต พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่รัฐบาลมีนโยบายผลักดัน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S-Curve และการสาธารณสุขที่เน้นการป้องกันโรคควบคู่การรักษา เป็นต้น

"การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานคุณภาพ ทั้งอีอีซี, เศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการแรงงาน มีคุณภาพและศักยภาพนับล้านคน และการพึ่งพาแรงงานต่างด้าวเพียงอย่างเดียวจะมีความเสี่ยง" นายเดชาภิวัฒน์ กล่าว

ที่มา: แนวหน้า, 14/12/2560

สปส.ส่ง SMS เตือนผู้ประกันตน ม.39 อย่าขาดส่งเงินสมทบ

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สปส.ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนจากการขาดส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน และเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนฯที่สิ้นสภาพกว่า 9.6 แสนคน ได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันสังคมและประสงค์อยู่ในระบบประกันสังคมอีกครั้ง สปส.จึงได้นำระบบการแจ้งเตือนกรณีส่งเงินสมทบไม่ตรงตามกำหนดผ่านระบบบริการส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ (SMS) มาใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประกันตนฯ ต้องสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนเพราะขาดส่งเงินสมทบ โดยตั้งแต่มิ.ย.ถึงก.ย.60 ได้ส่งSMS แจ้ง 52,199 ราย มีผู้ประกันตนฯได้รับ SMS แล้วมาชำระเงิน 28,008 ราย ดังนั้นตนจึงขอเชิญชวนให้แจ้งข้อมูลเบอร์โทรศัพท์มือถือเพื่อขอรับบริการ SMS ได้ที่สปส.ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกในการชำระเงินซึ่งมีหลายช่องทาง เช่น หักผ่านบัญชีเงินฝาก จ่ายผ่าน Pay at Post ที่ทำการไปรษณีย์ หรือจ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น

ที่มา: เดลินิวส์, 13/12/2560

“ซีพีเอฟ” รับรางวัลช่วยคนพิการมีงานทำ

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) มอบโล่ประกาศเกียรติคุณองค์กรสนับสนุนงานด้านคนพิการดีเด่น ประจำปี 2560 แก่บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” และบริษัทในกลุ่ม เชิดชูเกียรติในฐานะองค์กรเอกชนชั้นนำไทยที่มีแผนงาน และจัดจ้างคนพิการทำงานอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม ในงานวันคนพิการสากลประจำปี 2560 โดยมี “พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงานและมอบรางวัล ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

“ปริโสทัต ปุณณภุม” รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ด้านทรัพยากรมนุษย์บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” กล่าวว่า ซีพีเอฟตระหนักดี และให้ความสำคัญของการสร้างสังคมพึ่งตน และเพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐในการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้คนพิการได้รับประโยชน์โดยตรงแทนการจ่ายเงินชดเชยเข้ากองทุนส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ ซีพีเอฟร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์สามารถบรรลุเป้าหมายในการสนับสนุนให้คนพิการในสังคมมีงานทำที่มั่นคงเพิ่มขึ้น ช่วยให้คนพิการพึ่งพาตนเอง และเลี้ยงดูครอบครัว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นำไปสู่สังคมที่มีการพัฒนาที่ยั่งยืน

“ซีพีเอฟภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างโอกาสให้กับคนพิการด้อยโอกาสในสังคมสามารถเข้าถึงการทำงานที่มั่นคง สามารถพึ่งพาตัวเองได้ และช่วยให้คนพิการดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีและได้ทำประโยชน์ตอบแทนคุณสังคมของตนเอง”

ปัจจุบันบริษัทดำเนินการจัดจ้างคนพิการทำงานกับซีพีเอฟ รวม 723 คน ครบถ้วนตามข้อกำหนดของ พ.ร.บ.ส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนเปิดโอกาสให้คนพิการได้มีอาชีพที่มั่นคง ซึ่งช่วยให้คนพิการเอง และครอบครัวได้รับประโยชน์โดยตรงมากกว่าการให้ภาคเอกชนสมทบเงินเข้ากองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

ทั้งนี้ บริษัทได้ส่งเสริมการสร้างอาชีพคนพิการ เป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 อยู่ใน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.จัดจ้างคนพิการทำงานอยู่ในสถานประกอบการของบริษัททั่วประเทศ รวม 184 คน 2.สำหรับคนพิการที่ด้อยโอกาส ฐานะยากจน และมีอุปสรรคในการเดินทาง ซีพีเอฟร่วมมือกับหน่วยงานในชุมชน และองค์กรสาธารณประโยชน์ด้านคนพิการ จัดจ้างคนพิการทำงานช่วยเหลือในชุมชนของคนพิการเอง อาทิ ช่วยโรงเรียน วัด โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รวมถึงองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เป็นต้น

ซึ่งรวมถึงการจัดจ้างนักกีฬาบาสเกตบอลวีลแชร์ทีมชาติไทยเป็นพนักงานบริษัท พร้อมทั้งให้การสนับสนุนด้านค่าใช้จ่าย และอาหารในช่วงการเก็บตัวฝึกซ้อม และเดินทางไปร่วมแข่งขันสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ รวม 328 คน ส่วนในกลุ่มที่ 3 เป็นการจัดจ้างงานตามมาตรา 35 โดยการให้สัมปทานแก่คนพิการ จัดสถานที่ให้จัดจำหน่ายสินค้าในโรงงานและสถานประกอบการของบริษัท

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังได้ติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าคนพิการได้รับการปฏิบัติที่ดี อย่างเสมอภาคและเท่าเทียม รวมถึงดูแลชีวิตความเป็นอยู่คนพิการถึงที่บ้าน เพื่อให้มั่นใจว่าคนพิการทำงานสาธารณประโยชน์ในชุมชนตนเองมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมทั้งได้รับผลตอบรับที่ดีจากทั้งวัด โรงเรียน และหน่วยงานในชุมชนว่าคนพิการได้เข้ามีส่วนสำคัญในการเติมเต็มและช่วยให้การดำเนินงานหลายเรื่องประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย จนนำไปสู่การสร้างสังคมที่มั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 14/12/2560

เตือนคนไทยไปตายเกาหลีพุ่ง! โดยเฉพาะแรงงานผิด กม. เหตุหนาวจัด

แฟนเพจเฟซบุ๊กของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ชื่อ Royal Thai Embassy, Seoul ได้เผยแพร่สถิติการเสียชีวิตของคนไทยที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐเกาหลีว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ซึ่งล่าสุดในปัจจุบันถึงช่วงกลางเดือน ธ.ค.นี้ มีคนไทยเสียชีวิตในสาธารณณัฐเกาหลีแล้ว 66 ราย ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากเส้นเลือดในสมองแตก หัวใจล้มเหลว หรือนอนไหลตาย ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตได้แสดงความกังวลและห่วงใยถึงประชาชนชาวไทย

โดยโพสต์ดังกล่าว ระบุว่า ขอแสดงความกังวลและความห่วงใยมายังชาวไทยที่พำนักอาศัยอยู่ในสาธารณรัฐเกาหลี โดยขอให้เอาใจใส่ดูแลสุขภาพของตนตลอดระยะเวลาการพำนักอยู่ เนื่องจากจำนวนคนไทยที่เสียชีวิตในสาธารณรัฐเกาหลี มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จากจำนวนผู้เสียชีวิต 29 ราย ในปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 72 ราย ในปี 2559 ทั้งนี้ ในปัจจุบัน (กลางเดือนธันวาคมของปี 2560) มีคนไทยเสียชีวิตในสาธารณรัฐเกาหลีแล้วจำนวนทั้งสิ้น 66 ราย โดยสาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่ ได้แก่ เส้นเลือดในสมองแตก หัวใจล้มเหลว/หัวใจวาย นอนไหลตาย ปอดบวม อุบัติเหตุ และขาดอากาศหายใจ

โพสต์ระบุต่อว่า โดยเฉพาะแรงงานไทยที่เดินทาง เข้ามาทำงานในลักษณะผิดกฎหมาย ซึ่งจะไม่ได้รับการคุ้มครอง/ไม่ได้รับสวัสดิการตามกฎหมายท้องถิ่น และมักประสบปัญหาการถูกหลอก/เอารัดเอาเปรียบจากนายหน้า และถูกกดขี่จากนายจ้างให้ทำงานหนัก ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุเจ็บป่วย ต้องรับการรักษาพยาบาล แรงงานผิดกฎหมายจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วย รวมถึงในกรณีเสียชีวิตด้วย อาทิ ค่ารักษาพยาบาลที่มีจำนวนสูงมากจากโรงพยาบาล ค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน หรือค่าจัดการ / ขนส่งศพกลับประเทศไทย ด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลในสาธารณรัฐเกาหลี ถือว่าสูงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ไม่คุ้มค่ากันหรือเพียงพอกับเงินรายได้ที่เก็บออมเงินจากการทำงานอย่างหนักในตลอดระยะเวลาที่พำนักอาศัยในสาธารณรัฐเกาหลี

สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงขอให้พี่น้องชาวไทยที่พำนักอยู่ในสาธารณรัฐเกาหลี โปรดเอาใจใส่ในสุขภาพของตนเป็นลำดับแรก ทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและมีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการดื่มสุราและของมึนเมา ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย ประกอบการงานอย่างมีสติรอบคอบตลอดเวลา และระมัดระวังในการแต่งกายให้อบอุ่นพอเพียงกับอากาศหนาวจัด โดยเฉพาะในช่วง 2-3 เดือนนี้ ที่มีสภาพอากาศหนาวจัดติดลบเกิน 10 องศาในหลายพื้นที่ของสาธารณรัฐเกาหลีด้วย

ที่มา: ข่าวสด, 13/12/2560

กก.ค่าจ้างนัดถกขึ้นค่าแรง คาดปรับ 2-15 บาท ไม่แน่ใจทันปีใหม่

หลังจาก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน เข้ารับตำแหน่งมาเกือบ 2 สัปดาห์ ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ว่า ในวันที่ 13 ธ.ค.นี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ได้เรียกบริษัทจัดนำเข้าแรงงานต่างด้าว 120 บริษัท เข้าประชุมรับทราบนโยบายการทำงานยุคมีอดีต ผบ.ตร.เป็น รมว.แรงงาน และวันเดียวกันยังเปิดรับฟังความเห็นจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย นำโดยนายกลินท์ สารสิน ประธาน กกร. ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าไทย ซึ่ง กกร.เคยไม่เห็นด้วยกับพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ที่มีบทลงโทษที่สูงเกินไป ทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง รวมถึงจะมีการประชุมบอร์ดค่าจ้าง เพื่อเคาะอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2561 ซึ่งเลื่อนมาตั้งแต่เดือน ต.ค.ที่ผ่านมาด้วย ส่วนปมการแก้ปัญหาการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวที่ยังล่าช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน จ.สมุทรปราการนั้น รมว.แรงงาน ก็จะลงพื้นที่ตรวจผลการทำงานในวันที่ 15 ธ.ค. หลังให้เวลากรมการจัดหางาน 15 วัน ไปแก้ปัญหาพิสูจน์สัญชาติแรงงานเมียนมาที่ทำงานอืดอาดและปัญหานายหน้าเรียกค่าหัวคิว พร้อมคาดโทษหากทำไม่ได้ จะให้จัดหางานจังหวัดและอธิบดีกรมการจัดหางานรับผิดชอบ

ด้านนายอรรถยุทธ ลียะวณิช กรรมการค่าจ้างฝ่ายนายจ้าง กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างเพื่อเคาะอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2561 ในวันที่ 13 ธ.ค.นี้ ว่า การพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำยังคงเป็นคณะกรรมการค่าจ้างชุดเดิม หรือชุดที่ 19 ที่หมดวาระแล้วแต่ยังรักษาการรอชุดใหม่ ส่วนจะพิจารณาปรับขึ้น 2-15 บาท ตามกระแสข่าวหรือไม่ต้องรอผลสรุปจากที่ประชุมก่อนที่จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบและยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นของขวัญปีใหม่ในวันที่ 1 ม.ค. ให้กับแรงงานได้หรือไม่

ขณะที่นายอาทิตย์ อิสโม กรรมการค่าจ้างฝ่ายรัฐบาล กล่าวว่า วันที่ 13 ธ.ค. มีการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างแน่นอน ส่วนอัตราที่จะมีการเพิ่มขึ้นนั้นยังไม่นิ่ง จึงยังไม่ขอพูดสำหรับการตั้งคณะกรรมการค่าจ้างชุดใหม่แทนชุดเดิมที่หมดวาระแต่ยังรักษาการ ยังไม่แน่ใจว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน จะเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรีวันไหน แต่หากรัฐบาลอยากให้การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นของขวัญปีใหม่ผู้ใช้แรงงานก็น่าจะตั้งกรรมการชุดใหม่ในสัปดาห์นี้ แต่คณะกรรมการชุดเก่าก็สามารถพิจารณาเคาะได้เลยไม่จำเป็นจะต้องรอ

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์, 12/12/2560

แรงงานติง รบ. คนไทยพ้นความยากจนไม่จริง ย้ำไม่ได้ต่อต้านรัฐ แต่สงสัยขอตัวเลขคิดคำนวณ

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม นายชาลี ลอยสูง รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวถึงกรณีรัฐบาลยกธนาคารโลกระบุว่าประเทศไทยได้เริ่มหลุดพ้นจากความยากจน และกำลังก้าวสู่ความมั่นคั่ง ว่า เ กรณีที่มีผลสำรวจของเวิลด์แบงก์ระบุว่า ค่าเฉลี่ยรายได้ของคนพบว่า เริ่มหลุดจากความยากจนนั้น อาจเป็นมาตรฐานที่คิดของเขาเองหรือไม่ เพราะความเป็นจริงไม่ใช่สำหรับประเทศไทย เพราะหากไทยไปอิงแบบนั้นเราแย่แน่ เพราะข้อเท็จจริงหากจะคำนวณค่าเฉลี่ยรายได้ ควรต้องเอารายได้ของบุคคลที่มีรายได้น้อยไม่ใช่คนมีรายได้ปานกลางถึงมาก เราควรเอารายได้แต่ละบุคคลที่มีรายได้ต่ำที่สุดนำมาคำนวณ แต่แบบนี้ไม่ใช่ เพราะยังมีคนมีรายได้ไม่ถึง 1,000 บาทต่อเดือนอีกเยอะ แบบนี้จะทิ้งคนจนไว้ข้างหลังหรืออย่างไร การคิดแบบนี้ตนไม่ทราบว่า เป็นการคิดแบบเอาคนรายได้สูงมาเป็นตัวตั้งหรือไม่ ซึ่งไม่สะท้อนความเป็นจริง

นายชาลีกล่าวอีกว่า การคำนวณรายได้ของประเทศนั้น ควรต้องเอาตัวเลขคนรายได้ต่ำจึงจะเหมาะสม โดยรายได้สูงต้องตัดไป รัฐบาลต้องทำให้ถูกต้องให้คนยอมรับ โดยเอาคนมีรายได้ต่ำทั้งหมด จากการลงทะเบียนคนรายได้น้อย โดยเอาตัวเลขนี้มาคิดคำนวณ ซึ่งยังมีคนที่ไม่ลงทะเบียนอีกด้วยซ้ำ จริงๆหากเอาคนที่ไปลงทะเบียนประมาณ 11-12 ล้านคนแล้วเอามาคำนวณเป็นค่าเฉลี่ยจะดีกว่า หากเราเอาคนที่มีรายได้ต่ำมาคำนวณเป็นตัวตั้ง เราก็จะได้คิดได้ว่าจะทำอย่างไรให้คนรายได้ต่ำมีรายได้ประจำ และพอยังชีพอย่างสม่ำเสมอ นี่คือโจทย์สำคัญ และจะเป็นเรื่องของความยั่งยืน

“เอาแค่ง่ายๆ ค่าแรงขั้นต่ำของแรงงาน ณ ปัจจุบันยังไม่เพียงพอกับค่าครองชีพด้วยซ้ำ ยิ่งในกรณีคนรายได้น้อยเขาจะพอยังชีพอย่างไร ซึ่งคนกลุ่มนี้มีจำนวนมาก ทั้งคนไม่มีงานทำ พ่อแม่พี่น้องชาวนาที่อยู่ต่างจังหวัด มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ อย่างบางเดือนได้เงินเยอะ ประมาณ 12,000 บาทแค่เดือนเดียว แต่อีก 11 เดือนไม่ได้ แสดงว่ามีใช้แค่เดือนละ 1,000 บาท ดังนั้น จึงไม่ควรพูดว่าค่าความจนหลุดออกไปแล้ว หากพูดเช่นนี้ เอาตัวเลขมาเปิดเผยเลย และเอากลุ่มคนจนมาพูดเลยว่า เขาหลุดพ้นความยากจนจริงหรือไม่ เราต้องคำนวณเชิงมหภาคด้วย แต่ผมก็ยังมองว่ารัฐบาลอาจมีตัวเลขจริงๆ แต่ประชาชนสงสัย รัฐบาลก็ต้องออกมาตอบด้วย ซึ่งเราไม่ได้ต่อต้านรัฐบาล แต่เราต้องการได้เหตุผล หากได้จริงก็ดี หากไม่จริงมาประกาศก็มีปัญหาทางสังคม” นายชาลีกล่าว และว่า ขนาดค่าแรงขั้นต่ำยังไม่เพียงพอเลย จะแก้ปัญหายังไงต่อไปก็ยาก ใครมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็คงยาก เรื่องนี้ต้องช่วยกันหมด ทั้งข้าราชการ ฝ่ายการเมืองด้วย

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 11/12/2560 ประชาชาติธุรกิจ

สนง.สถิติฯ เผยตัวเลขคนว่างงาน ต.ค. 2560 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

สำนักงานสถิติแห่งชาติเผยตัวเลขการทำงานของคนไทยล่าสุดเดือนตุลาคมที่ผ่านมาพบว่า จำนวนคนว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยมีจำนวน 481,000 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายนและช่วงเดียวกันปีที่แล้ว

นายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรเดือนตุลาคม 2560 พบว่า จำนวนผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป 56.05 ล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานหรือผู้ที่พร้อมจะทำงาน 37.22 ล้านคน ซึ่งประกอบด้วยผู้มีงานทำ 36.65 ล้านคน ผู้ว่างงาน 4.81 แสนคน และผู้รอฤดูกาล 8.53 หมื่นคน ส่วนผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงานหรือผู้ที่ไม่พร้อมทำงาน 18.83 ล้านคน ได้แก่ แม่บ้าน นักเรียน คนชรา

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงจำนวนผู้ว่างงานในเดือนตุลาคม 2560 มีทั้งสิ้น 481,000 คน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน ร้อยละ 1.3 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 31,000 คน และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 1.2 เป็นร้อยละ 1.3 และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายน 2560 จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 38,000 คน และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.2 เป็นร้อยละ 1.3

เมื่อพิจารณาอัตราการว่างงานตามเพศในเดือนตุลาคม 2560 เพศชายมีอัตราการว่างงานร้อยละ 1.4 และเพศหญิงมีอัตราการว่างงาน ร้อยละ 1.1 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 จะเห็นได้ว่าอัตราการว่างงานเพศชายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.2 เป็นร้อยละ 1.4 และเพศหญิงอัตราการว่างงานไม่เปลี่ยนแปลง

ที่มา: สำนักข่าวไทย, 11/12/2560

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์' ชี้แนวคิดรีเซ็ตสมาชิกพรรคการเมือง หวังสืบทอดอำนาจ

0
0
อดีต ส.ส. 'เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์' ชี้แนวคิดรีเซ็ตสมาชิกพรรคการเมืองไม่เกิดประโยชน์ เชื่อหวังสืบทอดอำนาจ ระบุมีการเสนอแนวคิด 'ส.ส.ไม่สังกัดพรรค' เพราะต้องการซื้อ ส.ส.ไปหนุนทหารได้ง่ายกว่าการมีพรรคการเมือง

 
16 ธ.ค. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการรีเซ็ตสมาชิกพรรคการเมืองที่กำลังเสนอกันจากกลุ่มคนหน้าเดิมที่ล้วนเป็นผู้เอาการเอางาน มีบทบาทหลักในฐานะผู้สร้างเงื่อนไขให้เกิดการเข้ามายึดอำนาจจากฝ่ายทหาร เพื่อล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง เป็นคนหน้าเดิมที่สร้างกระแสให้ความต้องการของพวกตนบรรลุไปอีกขั้น เพื่อกระชับอำนาจและสืบต่ออำนาจต่อไป กลุ่มคนเหล่านี้กำลังประเมินค่าความรู้ของพี่น้องประชาชนต่ำไป ที่คิดว่าประชาชนไม่เข้าใจหรือไม่รู้เท่าทันพวกเขา แต่ข้อเท็จจริงในสถานการณ์ที่โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกวันนี้ ประชาชนไม่ได้โง่ หากถึงวันเวลาที่ระบบการเลือกตั้งเปิด ประชาชนจะแสดงความต้องการแท้จริงออกมา และจะเป็นผู้ให้บทเรียนแก่พวกที่มีจิตใจฝักใฝ่เผด็จการเหล่านี้เอง
 
"ผมไม่เห็นว่าการรีเซ็ตสมาชิกพรรคการเมืองจะเกิดประโยชน์ใด ๆ เพราะประชาชนที่เขาชื่นชมและศรัทธาในพรรคการเมืองใด เขาก็ยังคงยึดมั่นเช่นนั้น ความเสื่อมทรามและหรือเบื่อหน่ายในพรรคการเมืองที่ตนนิยม หากจะเกิดขึ้นมันจะเกิดจากพฤติกรรมและอุดมการณ์ของพรรคนั้น ๆ เองที่เปลี่ยนแปลงไป และไม่ยึดมั่นในศรัทธาที่ประชาชนมอบให้ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงความนิยมและศรัทธาประชาชนด้วยวิธีการเช่นนี้ จึงไม่สามารถจะประสบผลสำเร็จได้ ตรงกันข้ามกลับยิ่งเปิดเผยตัวตนของกลุ่มและพวกพ้องตัวเองอย่างเด่นชัดว่า ทั้งหมดที่ทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน คือความพยายามเพื่อกลุ่มและพวกพ้องของตนเท่านั้น หาใช่ปรารถนาดีต่อประเทศ ไม่เป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตย และไม่ได้มุ่งให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อประชาชน  และความรักและความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อพรรคการเมืองในเวลานี้ ไม่ใช่รักเพราะโฆษณาชวนเชื่อ แต่เป็นความรักด้วยปัญญา รักและเป็นเจ้าของ เพราะพวกเขาสามารถตรวจสอบพรรคการเมืองของเขาได้ กลเกมรีเซ็ตสมาชิกพรรคการเมืองน่าจะเป็นเพียงละครอีกฉากเท่านั้น" นายภูมิธรรม กล่าว
 
นายภูมิธรรม กล่าวว่า สิ่งที่คาดว่าจะตามมาต่อไปคือ การพยายามให้เกิดการแก้ไขกฎหมายพรรคการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้องตนจะเกิดขึ้น การยืดเวลาของโรดแมปและการขยายเวลาของการกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย รวมถึงยังคงไว้ซึ่งกลไกมาตรการพิเศษของตนต่อไป จนกว่าฝ่ายผู้มีอำนาจและพวกพ้องทั้งหลายจะมั่นใจว่าตนจะสามารถสืบทอดอำนาจกลับมาได้อีก แต่สำหรับประชาชนยังไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับใด ๆ นอกจากความหวังหรือคำมั่นสัญญาที่เลื่อนลอย และการรอคอยให้ชีวิตของตนเปลี่ยนแปลงที่ดูไร้ความหวังต่อไป
 
ด้านนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมาเสนอให้ ส.ส.ไม่สังกัดพรรคว่าขณะนี้พบความพยายามของบางกลุ่มสร้างกระแสเพื่อนำไปสู่การสืบทอดอำนาจของคสช.ตามที่คณะทหารกำลังเดินเกมอยู่ โดยให้เครือข่ายของตนออกมาเรียกร้องเพื่อนำไปสู่การเซ็ทซีโร่สมาชิกพรรคการเมืองให้มีค่าเท่ากับศูนย์ เพื่อเปิดโอกาสให้อดีต ส.ส.แต่ละพรรคมีข้ออ้างในการย้ายเข้าพรรคทหารได้ง่าย
 
“คนที่ออกมาเรียกร้องให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคเพราะต้องการซื้อ ส.ส.ไปหนุนทหารได้ง่ายกว่าการมีพรรคการเมือง แต่ข้อเสนอดังกล่าวไม่ก่อประโยชน์ในการปฎิรูปการเมืองของประเทศ ส่วนคนที่ออกมาเรียกร้องให้เซ็ตซีโร่สมาชิกพรรคนอกจากทำตามใบสั่งของทหารแล้ว ยังสอดคล้องกับกิเลสของตนเองด้วย เพราะไม่มีใครมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคของตน จึงต้องเรียกร้องให้ยุบสมาชิกพรรคการเมืองอื่นทุกพรรค  เป้าของทหารการเมืองต้องการยุบสมาชิกพรรคการเมืองทุกพรรค สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ประมาณ 3 ล้านคนได้รับผลกระทบ จึงเรียกร้องให้สมาชิกพรรคการเมืองทุกคนช่วยกันรณรงค์คัดค้านต่อต้านแสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ด้วย” นายวัชระ กล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ราชกิจจาฯ เผยแพร่ พ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย พ.ศ.2560

0
0

16 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย พ.ศ.2560 จำนวน 9 มาตรา โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ โดยมีรายละเอียดทั้งหมดดังต่อไปนี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จับไกด์ชาวไทยโพสต์รูปถ่ายเหยียบพระปรางค์วัดอรุณฯ

0
0
ตำรวจตามจับตัวไกด์ชาวไทยโพสต์รูปถ่ายเหยียบพระปรางค์วัดอรุณฯ นำตัวกราบขอขมา เจ้าตัวสารภาพยอมรับผิดทุกกรณีวอนสังคมให้อภัย 

 
16 ธ.ค. 2560 ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก DR.K v.3 โพสต์ภาพนักท่องเที่ยว 2 คน ขณะถ่ายรูปคู่กับพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร โดยหนึ่งในนั้นแขวนป้ายคล้ายกับบัตรมัคคุเทศก์ โพสท่ายืนในลักษณะยกเท้าขึ้นมาเหยียบฐานพระปรางค์วัดอรุณฯ ซึ่งเพิ่งบูรณะเสร็จสิ้นไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมนั้น ทั้งนี้ ทางด้าน พระศากยปุตติยวงศ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณฯ เปิดเผยว่า สำหรับวัดอรุณฯ ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว แต่ยังรวมไปถึงการเป็นปูชนียสถานที่สำคัญ และเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่คนต่างให้ความเคารพกราบไหว้สักการะ ควรจะปฏิบัติให้เหมาะสมในการเข้าเยี่ยมชมสักการะ
 
โดยหลังเกิดเหตุ ทาง พ.ต.อ.จารุภัชร ทองโกมล ผกก.สน.บางกอกใหญ่ ได้เข้าไปดูจุดเกิดเหตุบริเวณชั้นล่างของพระปรางค์วัดอรุณฯ โดยเบื้องต้นทราบชื่อไกด์คนดังกล่าวแล้วชื่อ น.ส.นรนนท นรคามินทร์ อายุ 44 ปี ทั้งนี้ พบว่า ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ กรมการท่องเที่ยว ที่ระบุว่า บุคคลในภาพมีใบอนุญาตมัคคุเทศก์ ประเภททั่วไปให้บริการนำเที่ยวแก่นักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ ซึ่งบัตรจะหมดอายุในวันที่ 22 ม.ค. 62 กระทั่งได้ติดตาม น.ส.นรนนท นรคามินทร์ มาพบแล้วและได้แจ้งข้อหาผิด พ.ร.บ. โบราณสถาน และได้ปล่อยตัวชั่วคราว
 
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (16 ธ.ค.) เวลา 10.00 น. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. พร้อม พ.ต.อ.จารุภัชร ทองโกมล ผกก.สน.บางกอกใหญ่ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม น.ส นรนนท นรคามินทร์ อายุ 44 ปี ไกด์นำเที่ยว ที่เหยียบพระปรางค์วัดอรุณฯ ก่อนที่ น.ส.นรนนท ได้กราบขอขมากับองค์พระปรางค์
 
โดย น.ส.นรนนท เปิดเผยว่า ขอโทษในสิ่งที่ได้กระทำลงไป และยอมรับผิดทุกอย่าง และอยากให้เป็นกรณีตัวอย่าง ไม่ควรทำไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ให้ทั่วโลกรู้ว่าคนไทยเคารพในปูชนียสถาน อย่าทำอะไรแบบนี้เลย และขอให้สังคมให้อภัยกับผมด้วย ก่อนทางเจ้าหน้าที่จะนำตัวไปเพื่อนำตัวส่งศาลแขวงตลิ่งชันต่อไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยืนยันปิด 'คู่สร้างคู่สม' จริง 'ดำรง' ชี้โซเชียลทำท้อใจ แม้แต่ดวงยังลอก

0
0

'ดำรง พุฒตาล' ยืนยันนิตยสารชื่อดัง 'คู่สร้าง คู่สม' จะปิดตัวลง และวางแผงฉบับสุดท้ายในวันที่ 20 ธ.ค. นี้ ระบุ"โซเชียล ทำให้เราท้อใจ มีการลอกเนื้อหาโดยที่เราไม่ยินยอม ระยะหลังเรื่องดวงก็ถูกลอกไปโดยที่เราไม่เต็มใจ ทำให้คนอ่านไปอ่านในโซเชียลกันหมด แทนที่จะซื้อหนังสือ"

 
16 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่าหลังจากตกเป็นกระแสทั่วโลกออนไลน์กับข่าวว่านิตยสาร คู่สร้างคู่สม จะปิดตัวลง และวางแผงฉบับสุดท้ายในวันที่ 20 ธ.ค. นี้ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดำรง พุฒตาล ได้ออกมาเปิดใจในทุกประเด็นในรายการ มองรอบด้าน สุดสัปดาห์ ออกอากาศทางช่อง TNN24 ในวันนี้(16 ธ.ค.) มาว่า นิตยสารคู่สร้างคู่สม ฉบับที่จะวางแผงนี้เป็นฉบับที่ 1005 เป็นปีที่ 38 เริ่มวางแผงในปี 2523 และฉบับล่าสุดนอกจากเป็นฉบับส่งท้ายปีเก่ายังเป็นฉบับสุดท้ายของนิตยสารคู่สร้างคู่สม
 
“ผมหยุดที่จะผลิตหนังสือแล้ว ไม่ทำอีกต่อไป ไม่ทำแล้ว” ก่อนจะเล่าต่อ “เราเป็นแชมป์ ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึงปัจจุบัน ไม่มีใครมียอดพิมพ์เท่าเรา แม้กระทั่งในปัจจุบัน เคยพิมพ์ได้มากที่สุดเดือน ละ 1.6 ล้านฉบับ ยืนยันว่าเดือน ม.ค 61 จะไม่มีอีกแล้ว”
 
เหตุผลก็เพราะสังคมการอ่านออนไลน์มาแทนที่สังคมการอ่านกระดาษ
 
“ในเรื่องของดวง ระยะหลังดวงถูกคัดลอกลงโซเชียลโดยที่เราไม่ยินยอม ทำให้ผู้อ่านหันไปอ่านในโซเชี่ยลแทนที่จะซื้อหนังสือ ทำให้เราสูญเสียผู้อ่าน”
 
"โซเชียลทำให้เราท้อใจ” จึงตัดสินใจลาสังเวียนแต่เพียงเท่านี้
 
"เราเจอแบบนี้ทำให้เราต้องเลิก นับเป็นเหตุผลเดียวกับนิตยสารที่ปิดตัวไปก่อนหน้านี้"
 
"แล้วที่ปิดคือ กระบวนการผลิตของนิตยสารมีขึ้นตอนเยอะ และเมื่อผู้อ่านไม่อ่าน แผงหนังสือกระทบ ตัวแทนขายก็กระทบ ตอนนั้นเราตัดสินใจรับสมัครสมาชิก ปรากฏว่าคนรับสมัครมีแค่หลักพัน ไม่คุ้ม และก่อนหน้านี้เราไปให้พนักงานออกไปแล้ว 3-4 ล็อตแล้ว และที่เขาไม่สมัครสมาชิกเพราะไม่มีใครอ่านหนังสือ"
 
และอีกเหตุผลสำคัญคือ ราชาแห่งนิตยสารจะวางมือเพื่อพักผ่อนแล้ว
 
"ตอนนี้อายุ 70 กว่าปีแล้ว ขอให้ตัวเองพัก ละวาง ปล่อยวาง ปล่อยวางแล้วมีความสุข ตั้งแต่เรียนจบทำงานมาตลอด"
 
“เคยพูดว่างานคือชีวิต มาคิดตอนนี้ว่าโง่มาก ”
 
“เคยฝันว่าอยากหยุดทำตอน ครบ 40 ปี และอายุ 75 แต่ว่าตอนนี้อยากพักแล้ว”
 
สำหรับนิตยสาร ‘คู่สร้างคู่สม’ วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2523 ในราคา 8 บาท เป็นนิตยสารที่พัฒนามาจากรายการโทรทัศน์และวิทยุที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมผู้ฟังมาก่อน โดยได้ ทาริกา ธิดาทิตย์ นักแสดงชื่อดังในสมัยนั้นมาขึ้นปกฉบับปฐมฤกษ์ ส่วนปกล่าสุดที่วางจำหน่ายไปเมื่อ 10 ธันวาคมที่ผ่านมาได้ ณเดช คูกิมิยะ และญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ มาขึ้นปก โดยมีคอลัมน์ดูดวงเป็นคอลัมน์โปรดของใครหลายคน ซึ่งถ้านับถึงตอนนี้เท่ากับว่า ‘คู่สร้างคู่สม’ จะมีอายุครบรอบ 37 ปีในปีใหม่ที่จะถึงนี้ โดยฉบับสุดท้ายจะมีดำรงขึ้นปกอำลาผู้อ่านด้วยตัวเอง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: บันใดแปดขั้น

0
0

 

ขั้นที่หนึ่ง ปกปิดความจริงไว้
สอง อวัยวะภายใน เก็บมาก่อน
สาม  ทิชชู่ยัดสมอง แล้วปล่อยนอน
สี่ คืนศพ ถูกตัดทอนให้ครอบครัว

ขั้นที่ห้า ย้ายศพ แล้วเผาหลอก
ขั้นที่หก คนใน คนนอก ก็รู้ทั่ว
ขั้นที่เจ็ด แกล้งพิสูจน์พิสุทธิ์ตัว
แปดแถลงมั่วมั่ว ตกบันใด!

ทั้งแปดขั้นมีเงื่อนงำการเข่นฆ่า
มีแววตาแสนล้านที่สงสัย
ทั้งโรงเรียน ทั้งนาย มิสนใจ
ยังโยนผิดไปให้คนตายซ้ำ

ตกบันใดแปดขั้นเนื้อตัวแตก
หน้าก็แหกหัวลงคะมำคว่ำ
เห็นกันหมดคราวนี้ที่ระยำ
เห็นธาตุแท้แห่งถ้อยคำอธรรมมาร!


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 57985 articles
Browse latest View live