ยืดอกพกถุง
““เก้า จิรายุ” ควง “แม่ก้อย” เคลียร์ข่าวเรื่องถุงยางอนามัยว่าแค่เตือนให้ป้องกันเผื่อฉุกเฉินจะได้ไม่พลาดพลั้งทำผู้หญิงท้อง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ให้พกติดตัว รอให้ถึงวัยที่เหมาะสมก่อน ไม่ผิดหากจะมีเพศสัมพันธ์แต่ควรที่จะรู้จักป้องกันตัวเองและผู้อื่นด้วย”
ข่าวบันเทิงตอนนี้นอกจากเรื่องความสัมพันธ์ของสาวปู-ไปรยา กับ หนุ่มโน้ต เจ้าของฉายาหล่อเลือกได้ อดีตแฟนหนุ่มสาวสวยเลือกได้ อั้ม-พัชราภา ที่กำลังฮอตสุดๆ จนต้องซื้อหนังสิมพิมพ์ข่าวบันเทิงกอสซิปมานั่งอ่านทุกวันเลยทีเดียว (จะรอซ้อเจ็ดก็ไม่ไหว เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเขียนข่าวเลย ปรกติจะมาสัปดาห์ละครั้ง ทุกเย็นวันจันทร์ เดี๋ยวนี้เดือนละครั้งเท่านั้น สงสัยมัวไปประชุมศาลโลกเรื่องเขาพระวิหารอยู่แน่ๆ...คริคริ) ก็ยังมีข่าวที่กลายเป็นประเด็น ‘สังคม’ ที่ตอนนี้หลายเว็บบอร์ดกำลังลุกเป็นไฟ ซึ่งก็คือข่าวของน้องเก้า-จิรายุ พระเอกหนุ่มวัย 15 ปี จากหนังเรื่อง ‘SuckSeed ห่วยขันเทพ’ กับแม่ก้อย คุณแม่ที่ออกมาให้ข่าวว่าแนะนำให้ลูกชายพกถุงยางเพื่อป้องกัน หากมีเพศสัมพันธ์ จนกลายเป็นข่าวดังในประวัติศาสตร์วงการบันเทิงไทย เพราะยังไม่มีคุณแม่คนไหนออกมาให้ข่าวว่าซื้อถุงยางให้ลูกชายพก ที่สำคัญลูกชายอายุเพียง 15 ปี!!! (ที่ใส่เครื่องหมายตกใจเนี่ย ดิฉันไม่ได้ตกใจนะคะ ตามข่าวเขาตกใจกัน)
ก่อนจะไปอ่าน ‘เสียงตอบรับ’ ของข่าวที่ทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นฮอตสังคม ขอเล่าเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย สมัยที่หนังเรื่องสมเด็จพระนเรศวรกำลังถ่ายทำอยู่ ดิฉันได้รับใบสั่งให้ไปตกระกำลำบากที่กองถ่าย สัมภาษณ์นักแสดง และหนึ่งในนั้นคือน้องเก้า-จิรายุ ซึ่งยังตัวกะเปี๊ยกเดียว อายุแค่ 8-9 ขวบ ไม่นึกเลยว่าโตขึ้นมาและหล่อเซี๊ยะซะขนาดนี้ รู้อย่างนี้น่าจะสานต่อความสัมพันธ์กับแม่ก้อยไว้ (เบอร์โทรแม่ก้อยยังอยู่ในสมุดบันทึกอยู่เลย) จะได้ช่วยดูแลน้องเก้าตอนโต จะได้แบ่งเบาภาระแม่ก้อย ไม่ต้องมานั่งซื้อถุงยางให้น้องเก้า เดี๋ยวพี่รุ้งช่วยเอง!
เอาล่ะ...มาดูกันว่าเกิดอะไรบ้างหลังจากข่าวออกไป ตอนแรกมาดูมุมน้ำเงินฝ่ายสนับสนุนเสียก่อน
“ก็ถูกแล้วนี่...สมัยนี้พ่อแม่ต้องสอนลูกแบบนี้แหละ”
“เห็นด้วยค่ะ เรื่องพกถุงยางไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด ควรเปลี่ยนความคิดซะใหม่ อย่างน้อยก็ช่วยป้องกันโรค ป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม และอาจป้องกันการที่ผู้หญิงมาอ้างว่าเป็นพ่อของลูกได้”
“ลูกโตก็จะสอนแบบแม่น้องเก้าค่ะ”
“กันไว้ดีแล้ว เด็กสมัยนี้ไวมากๆ”
“เป็นการป้องกันไว้ก่อน ไม่อยากให้เกิดกรณีศึกษาแบบ ฟิล์ม กับ แอนนี่ ไง”
“พกไว้น่ะดีแล้ว สมันนี้เอดส์ยังเยอะอยู่นะ”
“ชื่นชมแม่น้องเก้าค่ะ”
“พกถุงแล้วอย่าลืมใส่ถุงนะ”
ต่อมาเชิญที่มุมแดง กับฝ่ายค้านค่ะ...
“จะชิงสุกก่อนห่ามทำไม”
“ยังเด็กอยู่เลย สอนแบบนี้แล้วเหรอ”
“วัฒนธรรมไทยหายไปไหน”
“อย่างนี้แหละ เด็กสมัยนี้”
“ถึงเวลากับเรื่องแบบนี้แล้วเหรอ ทำไมไม่รู้จักหักห้ามใจ”
“เด็กสมัยนี้มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรทั้งนั้น”
“ประเทศไทย สิ่งดีงามแต่อดีตไม่มีอีกแล้ว”
หนักสุดเห็นจะเป็นกรณีของอาจารย์แม่ รศ. สุนีย์ สินธุเดชะ ที่ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
““กรณี นี้คำว่าถูกหรือผิดต่อกรณีนี้ไม่มีมีคำว่าควรหรือไม่ควร จริงๆ ในวัฒนธรรมของเรามันต้องรู้จัดคิดการวางตัว และรู้จักระวังตัวเรา เราต้องรู้จักคิดที่จะวางใจเราให้รู้จักรักให้เป็นรักให้พอ แล้วที่เขาประกาศลั่นว่ามีถุงยางติดตัว แบบนี้เขาเรียกกามอารมณ์ เรื่องตัณหา ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย ในวัฒนธรรมของเรา จะทำอะไรต้องรู้จักคิดควรหรือไม่ควร ไอ้การที่จะไปบอกว่ามีถุงยางหรือไม่มีออกมาว่ามันเป็นการป้องกัน มันคนละเรื่องกัน ดังนั้นถ้าจะบอกว่าถุงยางเป็นของติดตัวตั้งแต่เด็กๆ มันก็บ้าไปใหญ่แล้ว”
“สิ่ง ที่ขาดไปกับสังคมไทยก็คือ การเรียนการสอนความเป็นวัฒนธรรมไทยวันนี้แทบจะไม่เรียนกันแล้ว 'เอาอย่างเขาจนไม่รู้จักคิด เขาก็เอ็นดูเราเหมือนลูกหมาที่นั่งได้' พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงตรัสเอาไว้เพราะไม่อยากให้ใครตามอย่างสิ่งที่ไม่งาม ไม่ใช่ว่าเตือนด้วยความห่วงแบบนี้เดี๋ยวพวกถุงยางก็มาโกรธเราอีก ฟังแล้วต้องตีความกันให้แตก คือในเนื้อในตัวคนเรามีมีสิ่งจำเป็นอยู่ไม่กี่อย่าง 1. เงิน 2. บัตรประจำตัว แต่โลกสมัยนี้ดันสอนว่าให้มีถุงยางติดตัวตลอด 24 ชม. มันจะบ้าแล้ว สอนแบบนี้ไม่ถูกต้อง”
“หมาเห็นมัน เดินถนนมันเห็นตัวเมียมันก็มีขอบเขตเหมือนกัน หรือตัวเมียไม่ใช่จะวิ่งร่านไปหาเรื่อยไป มันยังรู้จักคิด ต้องมีกรอบมีขอบเขต และจำกัดตัวเองได้ จำกัดอารมณ์ได้ มนุษย์แปลว่าผู้มีใจประเสริฐ คำว่ามนุษย์มาจาก มานะ แปลว่า ใจ สนธิกับ อุษย์ แปลว่า ประเสริฐ หากนำสองคำนี้สนธิกันกลายเป็น “มนุษย์” แปลว่าผู้มีใจประเสริฐ มันก็ชัดเจน จงทำตัวให้ประเสริฐ ทำตัวให้ถูกให้ควรกับคำว่ามนุษย์ ดังนั้นควรจะมีเซ็กซ์ ต้องตอนแต่งงาน”
ซึ่งหลังจากนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่โต สองแม่ลูกคนดัง ก็ออกมาให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า
คุณแม่ก้อย: "พี่ตั้งคำถามข้อหนึ่งว่ามีเด็กผู้ชายคนไหนได้แต่งงานกับผู้หญิงคนแรกในชีวิต ถามอีกว่าน้องที่ยืนอยู่นี่มีคนไหนที่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนแรกในชีวิต 2 คำถามนี้คือคำตอบว่าสังคมเปลี่ยนแปลง ถามว่าพี่สอนให้หลานผู้หญิงรักนวลสงวนตัวไหม สอน และสอนให้ลูกชายรักนวลสงวนตัวและไม่ทำอะไรผู้หญิงไหม ก็สอน สังคมที่เปลี่ยนไปเราก็ต้องปล่อยให้ลูกออกไปใช้ชีวิตเมื่อโตขึ้น เราไม่สามารถตามเขาไปได้ตลอด เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือสอนให้ลูกรู้จักป้องกันตัวเอง วันนี้เขายังไม่ได้พกนะค่ะ ถ้าพี่เองมีลูกสาวและลูกสาวมีแฟน พี่ก็จะบอกให้เขาพกนะ เพราะมันคือการป้องกันตัวเอง ฉะนั้นถ้าผู้ชายไม่รับผิดชอบ จุดจบคุณก็คือบ้านพักฉุกเฉิน"
เก้า: "ถึงเวลา ผมว่าเปอร์เซ็นต์ส่วนมาก ถ้าไปอยู่ตรงนั้นแล้วคงห้ามตัวเองไม่ได้หรอก ด้วยความที่มีฮอร์โมนวัยรุ่น มีโอกาสเหมาะๆ ขนาดนั้น...มันไม่ผิดหรอกถ้าจะทำอะไร แต่ถ้าเราได้ป้องกันไว้ สุดท้ายถ้าเราเลิกกันมันก็ไม่มีปัญหา ถ้ายิ่งกว่าการตั้งครรภ์ก็คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทุกอย่างมันคืออนาคตของเรา ถ้าผู้ชายรับผิดชอบกันทุกคนแล้วจะมีบ้านพักฉุกเฉินไว้ทำไม ก็อยากเตือนผู้หญิงให้ระวังตัวเองนิดนึงด้วยครับ"
คุณแม่ก้อย: "คำถามที่เป็นข่าวมันเป็นคำถามที่บอกว่า แม่มีวิธีการดูแลน้องยังไง พี่ก็บอกว่าสุดท้ายเมื่อถึงวัยที่น้องโตพอที่จะออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ไปเรียนรู้ในสังคม พี่ก็เลยบอกว่าถ้าน้องต้องไปก็ต้องป้องกันตัวเองและคนที่เขาจะไปมีอะไรด้วย ในอนาคตนะ เด็กทุกคนอยากรู้อยากเห็นฉะนั้นเราก็ต้องเปิดโอกาสให้เขาได้รู้และเห็น ดีกว่าให้เขาพลาด ส่วนเรื่องความรับผิดชอบก็สอนกันมานานแล้วล่ะค่ะ ให้รับผิดชอบต่อตัวเองและต่อบุคคลอื่น"
หลังจากนั่งอ่านคอมเมนต์ในกระทู้มาหลายสิบกระทู้ตามเว็บบอร์ดต่างๆ แล้ว ดิฉันก็งงว่าข่าวนี้ มันลุกลามเป็นประเด็นใหญ่โตได้อย่างไร เพราะกว่า 90% ของความคิดเห็นในกระทู้ข่าวตามเว็บบอร์ดต่างๆ ต่างมีความเห็นว่าการที่คุณแม่ก้อยแนะนำให้ลูกชายพกถุงยางนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ประกอบไปด้วยเหตุผลการป้องกันเรื่องโรคที่เกิดจากเพศสัมพันธ์ การลดอัตราการมีลูกในวัยเด็ก ซึ่งอาจจะตามมาด้วยปัญหาสังคม และความจริงในสังคมสมัยนี้ ที่เด็กมีเซ็กซ์กันตั้งแต่อายุยังน้อย (ซึ่งที่จริงก็ฟังดูแปลกๆ อยู่นะ เพราะที่จริงน่าจะบอกว่าทุกสมัยมากกว่า แม้อัตราการช่วงอายุที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกจะต่ำลงเรื่อยๆ แต่อย่าลืมว่ากว่าจะมีการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ มนุษยชาติผ่านการมีเพศสัมพันธ์ผ่านมาแล้วกี่ปี การศึกษาวิจัยเก็บตัวอย่างกว้างขวาง มากน้อยแค่ไหน และอีกประการคือ ช่วงอายุการแต่งงานในสมัยนี้เริ่มอยู่ในช่วงอายุที่สูงขึ้นเรื่อยๆ นะคะ) ในขณะที่ฝ่ายที่ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าไม่เห็นด้วย (เห็นแต่อาจารย์แม่ และไม่เกิน 10% ในเว็บบอร์ด) ไม่ถูกต้องนั้น ให้ความเห็นถึงเรื่องวัฒนธรรมไทยอันดี ความเป็นเด็ก ส่งเสริมให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควร
แล้วข่าวที่บอกว่าเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ (ในแง่ลบ) มาจากไหน ? เพราะหากอ้างกระแสสังคมจะเห็นว่าสนับสนุนมากว่าคัดค้านด้วยซ้ำ ทำไมไม่มีข่าวออกมาว่า สังคมเห็นด้วยกับการสอนลูกชายวัยรุ่นของแม่ก้อย พร้อมยกย่องให้เป็นแม่ดีเด่นในวันแม่นี้ ?
ดิฉันชักสงสัยการทำข่าวของนักข่าวแล้วสิ !
ดิฉันจะไม่มานั่งวิเคราะห์เรื่องวาทะกรรมเรื่องพศในสังคมไทย ขี้เกียจลากเรื่องการรับอุดมคติในสังคฝรั่งยุควิกตอเรียนในชนชั้นสูงสมัยที่ต้องการยกประเทศให้ศิวิไลซ์ หรือความจริงในสังคมไทยเองที่การมีเพศสัมพันธ์ก็ไม่มี ‘วัยอันสมควร’ มาแต่ไหนแต่ไร หรือเรื่องทางชีวะวิทยาว่าเมื่อใดมีเพศสัมพันธ์ได้ หรือวาทกรรมของคำว่า ‘วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของไทย’ (อ้าว...แล้วการป้งกันโรค ป้องกันการตั้งครรภ์ เมื่อไม่พร้อม มันไม่ ‘ดีงาม’ ตรงไหน ถ้าคนกว่า 90% เห็นว่าดีงาม ทำไมไม่บรรจุให้เป็นประเพณีวัฒนธรรมไทยอันดีงามของวัยรุ่นล่ะ) หลายๆ ท่านคงได้ยิน ได้อ่าน เรื่องแบบนี้มาจนเอียนแล้ว แต่ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์แบบนี้ คำว่า ‘ประเพณีวัฒนธรรมไทยอันดีงาม’ ก็จะรีบออกโรงมาปกป้องสังคม (ของใคร ?) อย่างกับเม้ดเลือดขาวเมื่อมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเลยแหละ
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ร่างกายของคำว่าประเพณีวัฒนธรรมไทยอันดีงามกำลังอ่อนแอลงทุกทีหรือเปล่า ?
เรื่องนี้ทำให้ดิฉันนึกถึงข่าวเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ ข่าวขององค์สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 ที่ออกมากลับคำพูดว่าในปัจจุบันการใช้ถุงยางอนามัยไม่ควรถูกมองว่าเป็น ‘เรื่องศีลธรรม’ โดยองค์สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเปิดใจยอมรับการใช้ถุงยางอนามัย หลังจากสำนักวาติกันเคยห้ามการคุมกำเนิดทุกวิธี โดยตรัสว่า
“เฉพาะในกรณีนี้ ซึ่งใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ควรคำนึงถึงการใช้ถุงยางอนามัยในแง่ของการป้องกันเป็นอันดับแรก มากกว่าประเด็นมนุษยธรรมในการคุมกำเนิด”
อย่างที่รู้กันว่าศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอันเก่าแก่ ซึ่งมีพระสันตะปาปาเป็นผู้นำ (มีผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกทั่วโลกว่า 1,100 ล้านคน) มีคำสอนว่าที่เดียวที่ผู้ชายจะหลั่งอสุจิได้ก็คือช่องคอลดของภรรยาตนเอง และ จากหนังสือคำสอนเล่มใหม่ที่ประกาศใช้โดยพระสันตะปาปายอห์นพอลที่สอง ข้อที่ 2396 บอกว่าการช่วยตัวเองทางเพศเป็น ‘บาป’ รวมทั้งบาป Fornication, (การใช้เพศนอกศีลแต่งงาน) Homosexual, Pornography) เป็นบาปที่ตรงกันข้าม หรือผิดต่อความบริสุทธิ์
การที่องค์พระสันตะปาปาในยุคปัจจุบันนั้น เหมือนว่าจะกลับการตีความคำว่า ‘บาป’ ใหม่ให้เป็นไปตามยุคสมัย โดยคำนึงถึงเรื่องการติดเชื้อเอชไอวี จากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันนั้น (ทั้งชายหญิงและเกย์ ซึ่งเรื่องเกย์ในสังคมคาธอลิกดูเหมือนจะผิดบาปกว่าผู้ชายหลั่งนอกมดลูกของภรรยาเสียอีก) ซึ่งแม้พระองค์จะไม่ได้บอกว่า ‘ไม่บาป’ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีแข็งกร้าวอย่างแต่ก่อนท่บอกว่าการใช้ถุงยางอนามัยนั้นเป็นเรื่องผิดศีลธรรม (ตามคำสอนของคาธอลิกอย่างเคร่งครัด)
ดิฉันไม่ได้มาชวนให้ตีความเรื่องน้องเก้าบาปไม่บาป ผิดศีลธรรมไม่ผิดศีลธรรม เพราะดิฉันก็ไม่รู้ว่าน้องเก้านับถือศาสนาใด แต่ที่ยกเรื่องนี้มาพูดถึงนั้นเห็นว่าในขณะที่คำสอนของศาสนาอันเก่าแก่ ยังถูกปรับเปลี่ยนได้ไปตามเหตุผลของยุคสมัย และที่สำคัญนั้นผู้ที่ออกมายอมรับการปรับเปลี่ยนนั้นคือคือผู้นำศาสนาอันยิ่งใหญ่ด้วย แล้วทำไม ความเชื่อ (อันงมงาย) ของคำว่าเพศภายใต้กรอบของวาทกรรมของคำว่าวัฒนธรรมไทยอันดีงาม มันถึงได้แข็งแกร่งนัก
หลายคนอาจจะบอกว่า มันไม่แข็งแกร่งอีกต่อไปแล้ว เพราะอย่างที่ดิฉันยกตัวอย่างและชี้ให้เห็นเองว่ากว่า 90% ของความเห็นในเว็บบอร์ดนั้นเห็นด้วยกับแม่น้องเก้าเสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นหมายถึงว่าเรื่องเพศได้รับการยอมรับในวงกว้างตามเหตุผลของปัจจุบันสมัย และกรอบของเรื่องเพศภายใต้สาทกรรมของคำว่าวัฒนธรรมไทยอันดีงามได้สั่นคลอน ไม่ได้แข็งแกร่งอีกต่อไปแล้ว
ซึ่งดิฉันว่า ‘ยังไม่จริง’ หรอก แม้ความคิดเห็นของคนในสังคม (ส่วนใหญ่ตามเว็บบอร์ด) จะเห็นด้วย แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่า ภายใต้การเห็นด้วยนั้น ยังคงแน่นหนา แข็งแกร่งไปด้วยกรอบอีกกรอบ อย่างความคิดเห็นที่ว่า
“ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัวกว่าผู้ชายอีก”
“ระวังผู้หญิงจะมาอ้างว่าเป็นพ่อของลูก”
ดิฉันคิดว่าหากในกรณีเดียวกันนี้ เปลี่ยนจากแม่น้องเก้า เป็นแม่ของน้องดาราผู้หญิงวัยทีนสักคน สมมติว่าชื่อ ‘รุ้งรวี’ แล้วกัน ออกมาให้ข่าวว่าแนะนำให้ลูกสาววัย 15 ปีพกถุงยางเพื่อป้องกันโรคจาการมีเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ ในกรณีที่ต้องมีเพศสัมพันธ์ เช่น
แม่น้องรุ้ง : ดิฉันคิดว่าเราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าปัจจุบัน เด็กสมัยนี้ หรือสมัยไหน ก็มีเพศสัมพันธ์กันเป็นเรื่องปรกติ ตามวัยที่มีฮอร์โมนเพศ หลั่งน้ำอสุจิ มีเมนส์กันแล้ว ดิฉันจึงแนะนำให้ลูกสาว น้องรุ้งพกถุงยางไว้ เผื่อเด็กผู้ชายมันไม่ยอมพก เพราะถ้าเกิดมีเพศสัมพันธ์กันจริงๆ จะได้สามารถป้องกันโรคติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือการตั้งคครภ์ได้ค่ะ
น้องรุ้ง : ค่ะ คุณแม่แนะนำให้รุ้งพกไว้ เพราะไม่ไว้ใจว่าเด็กผู้ชายจะพก และจะมาบอกให้ผู้หญิงปฏิสธการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายถ้าผู้ชายไม่ใช้ถุงยาง บางสถานการณ์ก็ยากค่ะ บางครั้งผู้ชายก็หว่านล้อมว่ารัก ไม่ปเนไรหรอก จะหลั่งข้างนอก ไม่ท้องแน่นอน ไม่มีโรคแน่นอเพราเพิ่งเป็นแฟนกัน และผู้หญิงเอง ก็ทั้งรักทั้งมีอารมณืร่วมเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวจะพานยอมมีเซ็กซ์แบบไม่ใส่ถุงเอา รุ้งคิดว่าผู้หญิงเราพกไว้ก็ดีค่ะ หรือมีติดหัวเตียงไว้บ้างก็ดี ต้องขอบคุณคุณแม่รุ้งนะคะ ท่านรอบคอบและเป็นห่วงรุ้งจริงๆ แต่รุ้งก็อยากบอกให้ผู้ชายช่วยกันพกด้วยนะคะ
ถ้าเป็นแบบนี้ สังคมไทยจะว่าอย่างไร ? ไม่แคล้วภูมิคุ้มกันในชื่ของวัฒนธรรมไทยอันดีงาม และผู้หญิงไทย ต้องออกโรงมาป้องกันกันอย่างแข็งแกร่ง และคาดว่าแม่น้องรุ้งกับน้องรุ้งคงเจ็บหนักกว่าแม่น้องเก้ากับน้องเก้าแน่
ถามหน่อยเถอะว่าถ้าน้องเก้ามีเซ็กซ์...จะมีเซ็กซ์กับใคร ถ้าไม่ใช่ (ซึ่งเป็นไปได้มากว่า) สาวรุ่นเดียวกัน ? และถ้าน้องเก้าไม่พกล่ะ แต่สาวคนนั้นพกล่ะ ? มันก็ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์เหมือนกันไม่ใช่หรือ
น้องรุ้งคิดว่าน่าจะใช่นะคะ...นะคะ