อัจฉรา รักยุติธรรม
คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้ ผู้เขียนได้เขียนขึ้นเพื่อนำเสนอในเวที "วิกฤติสิ่งแวดล้อมในมุมมองสังคมนิยม" เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2555 เวลา 17.00 -18.45 น. ในงานสัมมนา Marxism ณ สำนักงานมูลนิธิ 14 ตุลา จัดโดยกลุ่มประกายไฟ
เมื่อเร็วๆ นี้มีเสียงบ่นจากนักสิ่งแวดล้อมชื่อดังทางเฟซบุ๊กทำนองที่ว่ามีแต่คนพูดเรื่องการเมือง แต่ไม่ค่อยมีคนพูดเรื่องสิ่งแวดล้อม ทั้งๆ ที่เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์หรือการต่อรองของฝ่ายต่างๆ เพื่ออำนาจ ได้ยินทัศนะแบบนี้ก็น่าแปลกใจกึ่งเศร้าใจที่ยังมีคนคิดแบบนี้อยู่ ซึ่งคิดไปคิดมาก็คงมีอีกมากโดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูงและชนชั้นกลางที่มีมุมมองแบบสิ่งแวดล้อมนิยม โดยไม่เห็นความเชื่อมโยงกับเรื่องทางการเมือง
เรื่องที่จะพูดวันนี้คงไม่ใช่เรื่อง "สังคมนิยม" เพราะไม่ถนัด แต่จะพูดเรื่องนิเวศวิทยาการเมืองที่ใช้เป็นกรอบทำความเข้าใจปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นแนวทางที่ได้รับอิทธิพลมาจากเศรษฐศาสตร์การเมืองของมาร์กซิสต์โดยตรง
จะขอพูด 3 ประเด็น
1.นิเวศวิทยาการเมืองคืออะไร เกี่ยวข้องกับมาร์กซิสม์อย่างไร
2.ใช้กรอบนิเวศการเมืองวิพากษ์การใช้ระบบกรรมสิทธิ์ร่วม ที่พยายามผลักดันกันอยู่ในปัจจุบัน
3.ชี้ให้เห็นว่าการพยายามแก้ไขปัญหาทรัพยากรมีความเชื่อมโยงกับปัญหาการเมืองและความเป็นประชาธิปไตยอย่างมาก
นิเวศวิทยาการเมืองคืออะไร
นิเวศวิทยาการเมืองมีหลายแนว แต่แนวที่ใช้อยู่มีพัฒนาการมาจากนักคิดแนวภูมิศาสตร์มนุษย์ ที่พยายามจะถกเถียงในสองประเด็นหลัก
หนึ่ง เถียงกับนักวิทยาศาสตร์ที่มองแต่เรื่องทางกายภาพ โดยเสนอว่าเรื่องของ "ธรรมชาติ" การขาดสมดุลของระบบนิเวศ หรือจำนวนประชากรที่มากเกินไป แต่เกี่ยวโยงกับเงื่อนไขทางสังคมการเมืองอย่างมาก
สอง เถียงกับแนวคิดการพัฒนาที่มองว่าความยากจนและคนยากจนเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม การกล่าวหาคนจนเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาทางนิเวศวิทยาการเมืองในประเทศโลกที่สาม เพื่อจะสร้างคำอธิบายใหม่ว่าการถูกครอบงำทางเศรษฐกิจการเมืองโดยประเทศโลกที่หนึ่ง การขูดรีดทรัพยากรตั้งแต่สมัยอาณานิคม และการถูกผนวกเข้ากับระบบทุนนิยมโลกต่างหากที่ทำให้ทรัพยากรในประเทศโลกที่ 3 ถูกทำลาย และคนยากคนจนในประเทศโลกที่ 3 ได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้นมากกว่าคนรวยเพราะอยู่ในภูมิประเทศที่สุ่มเสี่ยงมากกว่า มีเงินและทุนในการรับมือกับปัญหาน้อยกว่า
เช่น กรณีน้ำท่วมที่ผ่านมา แม้จะบอกว่าเป็นภัยธรรมชาติ แต่ก็จะพบว่าผู้คนได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน มีคนชั้นในที่ไม่ถูกน้ำท่วม คนรวยรอบนอกก็หนีออกไปตั้งแต่น้ำยังมาไม่ถึง แต่คนจนคนจนลอยคอ ทุกวันนี้หลายคนก็ยังรอคอยการฟื้นฟูอยู่ ขณะที่คนรวยล้างบ้านอบโอโซนฆ่าเชื้อราทาสีใหม่ไปเรียบร้อย
นิเวศการเมืองวิเคราะห์ด้วย Interactive Approach คือวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงอำนาจของผู้คนในสังคมที่เป็นเงื่อนไขของภัยธรรมชาติและปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยอธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอาจเกิดขึ้นจริง แต่มันถูกหยิบยกให้เป็นปัญหาในสังคมเพราะเงื่อนไขทางการเมือง เช่น ไฟป่าเกิดขึ้นตามธรรมชาติทุกปี แต่วันหนึ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ของโลก เพื่อจะบอกว่าคนในป่าเผาป่าและควรถูกอพยพออกจากป่า หรือเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของบประมาณจัดการไฟได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น
โดยสรุปคือนิเวศวิทยาการเมืองพยายามชี้ว่ากระบวนการทางเศรษฐกิจการเมือง มีส่วนกำหนดรูปแบบการใช้และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ บางครั้งพวกนักสิ่งแวดล้อมมีข้อเสนอดีๆ ให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ใช้รถพรีอูซเราเองก็เห็นด้วย แต่ทำไมเราทำตามไม่ได้ แอนโธนี กิดเดนส์ มาร์กซิสต์คนหนึ่ง อธิบายเรื่องนี้ว่าก็เพราะเราอยู่ภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจสังคมที่กำกับควบคุมอยู่นั่นเอง
คุณูปการจากมาร์กซิสม์
1) นิเวศวิทยาการเมืองแนวที่นี้ รับอิทธิพลมาจากเศรษฐศาสตร์การเมืองของมารกซิสต์ ได้อิทธิพลของวัตถุนิยมวิภาษวิธีคือวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติที่ขับเคลื่อนความเป็นไปทางสิ่งแวดล้อม
2) เป็นการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์
3) เป็นการวิเคราะห์โครงสร้างทางสังคมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะใช้การวิเคราะห์ชนชั้นมาแสดงให้เห็นว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจของผู้คนในสังคม จะแก้ไขปัญหามลพิษด้วยการออกรถไฮบริด หรือการทำไบโอดีเซลคงไม่พอ ตราบเท่าที่คนในสังคมมันยังไม่เท่ากันไม่เสมอภาคกัน
4) นิเวศวิทยาการเมืองวิจารณ์รัฐ และระบบทุนนิยม ว่าเป็นตัวการของปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
บทวิจารณ์ของนักนิเวศวิทยาการเมืองต่อมาร์กซิสต์มีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นการนำไปต่อยอด เพราะเห็นว่ายังมีข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้วิเคราะห์ปัญหาไม่ครอบคลุม แต่วันนี้คงไม่มีเวลาลงรายละเอียดเรื่องนี้
ระบบกรรมสิทธิ์ร่วม Common Property ผ่านมุมมองนิเวศวิทยาการเมือง
สิทธิเหนือทรัพยากรเป็นเรื่องหนึ่งที่นิเวศวิทยาการเมืองให้ความสำคัญ เพราะทำให้เกิดปัญหามากมาย โดยมองว่าจำเลยสำคัญอยู่ที่รัฐ กับ ทุนนิยม ในกรณีของประเทศไทย ตามกฎหมายสิทธิเหนือที่ดินป่าไม้มีแค่สองแบบคือกรรมสิทธิ์ของรัฐ และกรรมสิทธิ์เอกชนที่บริหารจัดการด้วยกลไกตลาดเป็นหลัก คนฐานะดีจึงซื้อที่ดินกักตุนได้ แต่คนจนไม่สามารถเข้าถึงที่ดินทำกิน
มาร์กซิสต์เห็นว่าการควบคุมผูกขาดปัจจัยการผลิตโดยเฉพาะแรงงานและที่ดินของนายทุนเป็นปัญหาสำคัญของระบบทุนนิยม ทำให้แรงงาน และชาวนาชาวไร่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ขบวนการชาวไร่ชาวนาไทยตั้งแต่กลางทศวรรษ 2510 เรื่อยมาก็ได้รับอิทธิจากแนวคิดนี้ มีการต่อสู้เรื่องสิทธิในที่ดิน ค่าเช่านา การกระจายการถือครองที่ดิน และแนวทางนี้มีอิทธิพลมาถึงขบวนการชาวนาในปัจจุบัน
ขณะที่มาร์กซิสต์เสนอเรื่องการผลิตร่วมและกรรมสิทธิ์ส่วนร่วม ก็มีแนวคิดเรื่อง Tragedy of the Commons (1968) ของ Garrett Hardin ซึ่งเป็นนักนิเวศวิทยาที่บอกว่าหากทรัพยากรกลายเป็นของส่วนรวมเมื่อไหร่จะกลายเป็นโศกนาฏกรรม เพราะแต่ละคนจะเข้าไปแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่สนใจดูแลรักษา
แต่ไม่นานก็มีการแย้งว่าในชุมชนท้องถิ่นที่ระบบการจัดการทรัพยากรดูแลร่วมกันได้ มีกฎเกณฑ์การใช้ทรัพยากรร่วมกัน เป็นระบบ Common Property เพื่อจะบอกว่ารัฐอย่ามาผูกขาดอำนาจเหนือทรัพยากร หรือเอื้อประโยชน์ให้นายทุนด้วยการใช้ระบบกรรมสิทธิ์เอกชนที่ใช้กลไกตลาดในการจัดการทรัพยากร
แนวคิดเรื่อง Common Property ได้รับความสนใจมากในแวดวงนิเวศวิทยาการเมือง เช่นเดียวกับในแวดวงเศรษฐศาสตร์การเมือง และเศรษฐศาสตร์สถาบัน งานพัฒนาในประเทศโลกที่สามก็มักจะหยิบเอาเรื่องนี้มาเผยแพร่และส่งเสริมชุมชนท้องถิ่น
ในประเทศไทยพูดเรื่องนี้กันมากช่วงปลายทศวรรษ 2520 เมื่อมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับระบบเหมืองฝาย และต่อมาก็ป่าชุมชน ซึ่งพยายามไปเข้าใจวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อเรื่องผีซึ่งเป็นอุดมการณ์อำนาจที่ควบคุมการจัดการทรัพยากร ต่อมาก็พูดเรื่องสิทธิชุมชน เรื่อยมาจนถึงโฉนดชุมชนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาลแรกที่รับลูก
ปัญหาของการพยายามใช้ระบบกรรมสิทธิ์ร่วม
ข้อแรก เรื่องสิทธิเหนือทรัพยากรไม่ใช่เรื่องของคนกับทรัพยากรเท่านั้น แต่เป็นการกำหนดสิทธิระหว่างคนกับคนในสังคมด้วยกันเอง งานศึกษาและข้อเสนอในเรื่อง Common Property จึงเน้นไปที่การจัดความ "ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ" ระหว่างผู้คน แต่ก็มักพูดถึงแต่ความสัมพันธ์หรือความขัดแย้งระหว่างชุมชนท้องถิ่นกับรัฐ หรือชุมชนกับนายทุนหรือคนภายนอกเนื่องจากบริบทปัญหาในขณะนั้นเป็นเช่นนั้น เช่น รัฐให้นายทุนมาสัมปทานทำไม้ รัฐประกาศเขตป่าทับที่ ฯลฯ งานศึกษาและงานเขียนพยายามแสดงให้เห็นการจัดการทรัพยากรของชุมชน มีแนวโน้มไปทางโรแมนติก คือชุมชนจัดการดีไปหมด เกรงว่าถ้าบอกว่าไม่ดี หรือขัดแย้งกันภายในก็จะหมดความชอบธรรมในการอ้างอำนาจเหนือทรัพยากร
แต่สิ่งที่มักขาดไปคือไม่แสดงให้เห็นความแตกต่างหลากหลายและความขัดแย้งภายในชุมชนที่มากพอ ถ้ามองแบบมาร์กซิสต์ก็คือขาดการวิเคราะห์ทางชนชั้น ซึ่งไม่ได้หมายถึงเฉพาะระหว่างชาวบ้านกับกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ แต่งานทางมานุษยวิทยาเศรษฐกิจจะให้ความสำคัญกับความแตกต่างของฐานะทางสังคมเศรษฐกิจภายในชุมชน โดยที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างทางสังคมภายนอกว่าทำคนในชุมชนไม่เท่าเทียมอย่างไร และมีการจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจภายในชุมชนอย่างไร
เมื่อไม่วิเคราะห์ความแตกต่างจึงทำให้มีข้อเสนอที่โรแมนติก คือชุมชนจัดการกันเองได้ ไม่สนใจรัฐหรือกลไกอำนาจและสถาบันต่างๆ ในรัฐ ไม่เห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่ปรากฏในทุกๆ หน่วยทางสังคม คู่ขัดแย้งไม่ได้มีเฉพาะรัฐหรือนายทุนกับประชาชน แต่มีความไม่เสมอภาคระหว่างประชาชนด้วยกันเองด้วยซึ่งที่สุดแล้วย่อมส่งผลกระทบต่อการจัดการทรัพยากรและวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น ที่แม้จะสามารถจัดการทรัพยากรด้วยระบบกรรมสิทธิ์ร่วมได้ก็อาจไม่ช่วยทำให้ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้
ปัญหาข้อที่สอง งานศึกษาเกี่ยวกับ Common Property ในต่างประเทศ รวมทั้งในไทย เป็นการศึกษาระบบที่เคยมีอยู่แล้วในชุมชนท้องถิ่น หรือท้องถิ่นปรับประยุกต์ขึ้นเองเพื่อต่อรองกับอำนาจภายนอก แต่ขณะนี้มีความพยายามส่งเสริมแนวคิดนี้โดยสร้างให้เป็นโมเดล กลายเป็นกรอบการจัดการทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่นที่แข็งตัว ซึ่งมีธงว่าชุมชนท้องถิ่นต้องปกปักษ์รักษาทรัพยากรเอาไว้ให้ได้ และต้องเป็นวิถีทางแห่งการอนุรักษ์ โดยไม่ได้พิจารณาเงื่อนไขปัจจุบันว่าชุมชนเป็นอยู่อย่างไรจริงๆ ผลที่เกิดขึ้นกลายเป็นการควบคุมชุมชนมากกว่าจะช่วยต่อรองให้ชุมชนมีอำนาจเหนือทรัพยากรมากขึ้น
ความจริงเป้าหมายของการจัดการทรัพยากรแบบนี้ดีอยู่แล้วคือ เพื่อกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรจากรัฐมาสู่ประชาชนอย่างเป็นธรรมมากขึ้น แต่ยังต้องใคร่ครวญว่าแนวทางปฏิบัติจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายแค่ไหนอย่างไร
การจัดการร่วมจะบรรลุก็ต่อเมื่อดำเนินการอย่างเป็นประชาธิปไตย คือต้องให้ทั้งเสรีภาพ และทำให้ปัจเจกมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เหตุผลหนึ่งที่สังคมคอมมิวนิสต์มีปัญหาก็เพราะเป็นการบังคับปัจเจกให้ทำเพื่อส่วนรวม คือให้ใช้แรงงานทำการผลิตในที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วม แล้วให้ปัจเจกได้รับส่วนแบ่งตามความจำเป็นพื้นฐาน ซึ่งมีปัญหาในการนิยามความ "จำเป็น" เพราะเป็นเรื่องของการประกอบสร้างทางสังคม (social construction) ที่แต่ละคน "จำเป็น" ไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน
กรณีตัวอย่าง
หลายปีก่อนมีโอกาสลงพื้นที่ ทั้งศึกษาเอง และไปสังเกตการณ์ การทดลองใช้ระบบกรรมสิทธิ์ร่วม จะยกตัวอย่างให้เห็นว่ามีปัญหาอย่างไร
กรณีแรก มีความพยายามทดลองการทำนารวมในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ภาคเหนือ และอีกแห่งที่อีสาน เป็นระบบการผลิตร่วมกัน มีเป้าหมายให้ชุมชนได้ใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน นารวมที่ภาคเหนือใช้ที่ดินที่นายทุนปล่อยรกร้างว่างเปล่า ปรากฏว่าคนมาทำนาส่วนใหญ่เป็นคนอายุมาก ซึ่งก็ทำมั่งไม่ทำมั่ง เพราะไม่ไหว ผลผลิตที่ได้จึงต่ำมาก
ส่วนที่ภาคอีสานเป็นการเข้าหุ้นที่ดินและปัจจัยการผลิต คนที่เอาที่ดินมาลงหุ้นส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุที่อยากทำนา แต่ไม่มีแรงงาน เพราะลูกหลานออกรับจ้างไปตัดอ้อยทั้งฤดูบ้าง รับจ้างรายวันบ้าง ส่วนคนที่มาออกแรงมีทั้งแกนนำชุมชน ซึ่งทำการผลิตของตนเองอยู่แล้วและขยายกำลังการผลิตเพิ่มมาในที่ดินส่วนรวม การทำนารวมที่นี่ได้ผลผลิตดี แบ่งกันตามส่วน แต่ก็ไม่บรรลุเป้าหมายที่ว่าจะช่วยเหลือชาวนาไร้ที่ดิน หรือช่วยกระจายทรัพยากร เพราะชาวนาไร้ที่ดินก็ไม่ค่อยมาทำ แต่ออกไปรับจ้าง ผู้ที่ร่วมในระบบดังกล่าวกลับเป็นอดีตชาวนาที่มีที่ดินและมีเงินส่งกลับจากลูกหลาน
การทำเกษตรในปัจจุบันต้องลงทุนสูงทั้งแรงงาน และปัจจัยการผลิต การแก้ปัญหาเรื่องที่ดินอย่างเดียวบางทีก็ไม่ตอบโจทย์ว่าจะช่วยให้ชีวิตชาวบ้านดีขึ้นหรือเปล่า มีงานวิจัยเรื่องนี้อยู่มาก แต่ไม่ค่อยนำมาพิจารณากันเท่าที่ควร
กรณีที่สองเป็นชุมชนเมืองในที่ดินของรัฐ สุ่มเสี่ยงจะถูกไล่รื้อ จึงเรียกร้องให้รัฐออกโฉนดชุมชน และมีข้อต่อรองว่าชุมชนจะควบคุมกันเองไม่ให้ขายสิทธิหรือให้เช่าที่ดิน เพื่อยืนยันว่าชาวบ้านต้องการที่ดินเพื่ออยู่อาศัยจริงๆ แต่ความจริงคนในชุมชนไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ-สังคม มีทั้งคนจนและคนฐานะดีมาก
ชุมชนบอกว่าผู้ที่ไม่ร่วมการเคลื่อนไหวจะไม่ให้มีชื่ออยู่ในโฉนดชุมชน ปรากฏว่าคนที่ไม่ร่วมเป็นคนฐานะดีและมีอิทธิพล มีบ้านให้เช่าอยู่ในชุมชน 2-3 หลัง ถ้าออกโฉนดชุมชนได้เขาจะถูก "ชุมชน" ยึดบ้านและที่ดิน ซึ่งเขาคงไม่ยินยอม และใครจะตัดสินว่าเป็นธรรมหรือเปล่า ถ้าเขาจะถูกผลักไสออกจากที่ดินเพราะเขาก็บุกเบิกจับจองหรือซื้อสิทธิมา ไม่ต่างจากคนในชุมชนอื่นๆ เพียงเพราะเขาฐานะดี หรือไม่เข้าร่วมขบวนการเรียกร้อง เรื่องนี้ก็ยังต้องถกเถียงกันต่อ
ความขัดแย้ง "ภายใน" ที่เกิดขึ้นมักกลายเป็นภาระที่ชาวบ้านต้องจัดการกันเอง บนสมมติฐานว่าชุมชนมีศักยภาพ จัดการกันเองได้ แม้ว่าปัญหาจะเกิดจากกลไกใหม่ หรืออำนาจภายนอกก็ตาม ในขณะที่เข้าไปศึกษา การออกโฉนดชุมชนที่นั่นยังไม่คืบหน้านัก ความขัดแย้งต่างๆ จึงไม่ปรากฏ หรืออาจมีความขัดแย้งแล้วแต่นักวิจัยก็ไม่ได้รับอนุญาตให้รับรู้
ตัวอย่างสุดท้ายเป็นที่ดินในเขตป่าภาคเหนือ มีการรังวัดทำขอบเขตทั้งรอบแปลง และแยกแยะที่ดินของแต่ละครัวเรือน ใช้หลักการโฉนดชุมชนคือห้ามซื้อขายเปลี่ยนมือ มีกติกาจัดการร่วมกัน แต่ปรากฏว่าการซื้อขายที่ดินมีมาก่อนนั้นนานแล้ว มีคนต่างหมู่บ้าน และต่างอำเภอเข้ามาซื้อที่ดินทำเกษตร แต่ไม่ได้อยู่ในชุมชน กรรมการหมู่บ้านและกรรมการตำบลจึงไม่สามารถจะเอากฎเกณฑ์ร่วมของหมู่บ้านและตำบลไปควบคุมเขา เป็นเรื่องที่ต้องต่อรองกันต่อไป
การกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรอย่างเป็นธรรมเป็นเรื่องที่ยังคงต้องผลักดันกันต่อไป แต่แนวทางที่เป็นอยู่อาจไม่บรรลุ หรือไม่พอ จะพูดแบบเหมาๆ ว่าเพื่อ "คนยากจน" เพื่อ "คนจนไร้ที่ดิน" หรือจัดการร่วม หรือยั่งยืน หรือเพื่อส่วนรวม แล้วแปลว่าเป็นแนวทางที่ดีเวิร์คยังไม่พอ
เรื่องที่น่าจะพิจารณามากขึ้นคือ
1.เหตุของความไม่เป็นธรรมในการจัดการทรัพยากรมีเฉพาะ "รัฐ ทุนชาติ ทุนข้ามชาติ" เท่านั้นหรือเปล่า ประชาชนด้วยกันเองจะปัญหาด้วยไหม
2.ถ้ามองเห็นแค่รัฐกับทุน ซึ่งรัฐก็มักหมายถึงหน่วยงานรัฐ หรือกฎหมายบางตัวที่มีปัญหา การต่อรองกับรัฐและทุนจึงมีเป้าหมายเพียงแค่ต่อรองกับหน่วยงานหนึ่งๆ หรือพยายามแก้กฎหมาย ร่างกฎหมายบางฉบับ เพื่อให้ชุมชนมีอำนาจจัดการที่ดิน การมองแค่นี้อาจแคบเกินไปจนละเลยปัญหาพื้นฐานที่สำคัญที่เป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น
3.เรื่องกรรมสิทธิ์นั้นสำคัญแต่ทำเรื่องนี้อย่างเดียวไม่พอ เพราะยังตอบโจทย์ชีวิตของคนท้องถิ่นได้ไม่รอบด้าน สถานะของผู้คน ระบบเศรษฐกิจ ระบบและความสัมพันธ์ทางการผลิตในยุคนี้ เป็นอย่างไรแล้ว ชาวไร่ชาวนาหรือคนชนบทยังทำการเกษตรอยู่หรือเปล่า สังคมชนบทยังเป็นสังคมชาวนาอยู่ไหม ความสัมพันธ์ภายในชุมชนเป็นอย่างไร
4.ระบบที่นำไปสวมในชุมชนท้องถิ่นนั้นเป็นระบบที่จะเพิ่มความขัดแย้งภายในให้เพิ่มขึ้นไหม แน่นอนว่าคนท้องถิ่นมีศักยภาพในการจัดการ และแก้ไขปัญหา แต่ระบบใหม่ที่นำเข้าไปจะช่วยให้คนท้องถิ่นมีอำนาจเหนือทรัพยากรมากขึ้น หรือยิ่งไปเพิ่มปัญหาให้ถูกจำกัดควบคุมมากขึ้นกันแน่
5.ระบอบกรรมสิทธิ์ร่วมที่กำลังผลักดันกันอยู่นี้เน้นบังคับใช้กับชุมชนท้องถิ่นที่มีปัญหาเรื่องสิทธิเหนือทรัพยากร แม้จะบอกว่านั่นคือเครื่องมือในการต่อรองกับรัฐ แต่คงต้องถามต่อว่าสำหรับประชาชนคนอื่นภายนอกเล่า ยังสามารถเสพ ซื้อ หรือกักตุนทรัพยากรอย่างไรก็ได้หรือเปล่า หากเป็นเช่นนี้ระบอบนี้จะทำให้เกิดความเสมอภาคต่อประชาชนทั้งมวลได้อย่างไร
แก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิเหนือทรัพยากรไม่ได้ หากประชาชนไม่เสมอภาค
การมุ่งเน้นแก้ไขเรื่องสิทธิเหนือทรัพยากรเรื่องเดียวจะกลายเป็นการแก้ไขปัญหาที่มิรู้จบ เพราะปัญหาแก้ไม่ได้ด้วยการแก้ไขกฎหมายป่าไม้-ที่ดิน หรือมติ ครม.ทีละฉบับ ทีละมาตรา ต่อให้มีกฎหมายป่าชุมชน โฉนดชุมชนขึ้นมา แต่หากคนมองคนไม่เท่ากัน กฎหมายดีๆ ก็ยังถูกเลือกใช้ เลือกปฏิบัติเหมือนเดิม
การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนและเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดคือจะต้องทำให้ความเป็น "ประชาชน" มีความหมายในสังคม และทำให้บ้านเมืองเรามี "ประชาธิปไตย" ที่มีความหมายจริงๆ คือยอมรับร่วมกันให้ได้เสียก่อนว่า "คนมีความเป็นคนเท่ากัน" มีความเสมอภาค มีสิทธิที่จะส่งเสียง
เป็นประชาชนที่มีมีความหมายคือ มีอำนาจเหนือรัฐ คือรัฐต้องฟังเสียงประชาชน และปกป้องดูแลไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนถูกเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งก็เป็นคนเหมือนกันข่มขู่คุกคามตลอดเวลาแบบที่เป็นอยู่
ความเป็นประชาธิปไตยยังหมายรวมถึงการจัดความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนด้วยกันเอง ทำให้ประชาชนธรรมดาๆ มีสิทธิที่จะอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี และเสมอภาคกับประชาชนคนอื่น ที่มีที่มีสถานะทางสังคมเศรษฐกิจเหนือกว่า
การจะทำให้คนมีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจเท่ากันคงเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินไป แต่สิทธิ เสรีภาพ โอกาส และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สามารถทำให้เท่าเทียมกันได้ ไม่ใช่บอกให้คนในป่าอยู่พอเพียงกับความอดๆ อยากๆ เพื่อถนอมป่าไว้ให้เป็นปอดของชาติ ที่รอคนมีเงินมานอนตากอากาศ หากคนในเมืองมีสิทธิกินเกินอิ่มได้ ทำไมคนในป่าจะต้องทนหิว บอกว่าคนในป่าโง่ไม่รู้จักอนุรักษ์ทรัพยากร แต่คนรวยเดินตากแอร์กันอย่างไม่รู้สึกผิด หากคนในเมืองชอบไปเที่ยวป่าได้ ทำไมคนในป่าเดินห้างแล้วจะต้องถูกเหยียดหยามดูแคลน
ประชาธิปไตยเป็นเรื่องพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับปัญหาเรื่องทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมง่ายที่สุด ตรงที่สุด เพราะเราจะเห็นได้ง่ายๆ ว่าชาวบ้านที่ต่อสู้ปกป้องสิทธิเหนือทรัพยากรไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐและประชาชนกลุ่มอื่นๆ อยู่บ้านดีๆ ก็ถูกจับ ทำเกษตรก็ถูกขังคุก ต่อสู้เคลื่อนไหวก็ถูกฟ้องร้อง ชุมนุมก็ถูกคนในเมืองด่า
หากไม่มีประชาธิปไตยที่ทำให้คนมีความเสมอภาคกันจริงๆ กรรมสิทธิ์ร่วม หรือระบบสิทธิเหนือทรัพยากรใดๆ ที่ว่าดีที่สุดก็ไม่อาจช่วยให้คนด้อยอำนาจ คนชายขอบ เป็นประชาชนที่มีความหมายขึ้นมาได้ เพราะถึงจะมีสิทธิเหนือทรัพยากรในท้องถิ่นของตัวเอง แต่ออกไปข้างนอกก็ยังถูกคนอื่นกดหัวดูถูกอยู่เหมือนเดิม
แต่น่าเสียดายว่านักเคลื่อนไหวด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในบ้านเรา กลับมองไม่ค่อยเห็นการเชื่อมโยงตรงนี้ ไม่เห็นว่าสิทธิและเสียงของประชาชนมีความหมาย ในที่นี้ไม่ได้พูดถึงเฉพาะการเลือกตั้ง หรือการจะเลือกพรรคไหนเป็นรัฐบาลแค่นั้น แต่กำลังพูดว่าเรามีจุดยืนหรืออุดมการณ์ที่มองเห็นคนเท่ากันหรือเปล่า เราเคารพความเป็นคนของคนอื่นแล้วหรือยัง เคารพสิทธิ เสียง และเสรีภาพในการเลือกของประชาชนคนอื่นไหม ไม่ต้องมาร่วมเคลื่อนไหวอะไรในเรื่องประชาธิปไตยก็ได้ถ้าบอกว่ามีภารกิจการงานมากอยู่แล้ว มีปัญหาที่ต้องแก้ไขมากอยู่แล้ว
"แต่ถามกันจริงๆ จุดยืนในใจที่กั๊กไว้เนี่ยมองประชาชนคนอื่นยังไง..มองชาวบ้านที่ทำงานด้วยยังไง..พูดถึงพวกเขายังไง มองเขาเท่ากับตัวเองหรือเปล่า กล้ายอมรับกันตรงไปตรงมาไหม"
หรือว่าเราจะได้ยินเพียงเสียงของธรรมชาติ และเสียงของประชาชนคนชายขอบในสังกัดของตัวเอง ผู้ที่ถูกมองอย่างโรแมนติกว่าบริสุทธิ์ ซื่อ และไร้เดียงสา และความจริงแล้ว แม้แต่ประชาชนที่เราบอกว่าเราทำงานเพื่อพวกเขา ก็ไม่แน่ว่าจริงๆ แล้วเราจะมองพวกเขาเป็นประชาชนที่มีความหมาย...
ข้อเสนอให้คิดกันต่อ
ข้อเสนอหากว่าจะอยากทราบกันจริงๆ เพราะเห็นคนชอบถามหาข้อเสนอ บอกว่าวิจารณ์แล้วไม่เสนอ ที่ไม่เสนอก็เพราะทราบว่าเสนอไปก็ไม่ทำ
1) คงจะต้องให้ความสำคัญกับความแตกต่างหลากหลายของสถานะทางเศรษฐกิจสังคมในชุมชน และวิถีการดำรงชีวิตของพวกเขาที่เป็นอยู่อย่างจริงจังกว่านี้
2) ระบบสิทธิเหนือทรัพยากรใดๆ ที่จะคิดพัฒนาขึ้นมา จะต้องไม่ใช่เพื่อให้คนในชุมชนควบคุมกันเองอย่างเดียว แต่ต้องทบทวนว่าทำให้ชาวบ้านมีอำนาจเหนือทรัพยากรจริงไหม และคงจะต้องผลักดันการกระจายทรัพยากรจากคนรวยมาสู่คนจนให้มากกว่านี้
3) เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องผลักดันอุดมการณ์ว่าประชาชนต้องเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เชิงรูปธรรมไม่แน่ใจ แต่อุดมการณ์ตรงนี้มีอยู่ในสำนึกของนักสิ่งแวดล้อมแล้วหรือยังคงต้องทบทวนให้หนัก และพยายามปฏิบัติให้ได้ ในสังคมไทย สังคมนักพัฒนา สังคมชาวบ้าน ทำเรื่องเหล่านี้ในทางปฏิบัติให้ได้เสียก่อนแล้วเรื่องกรรมสิทธิ์ร่วม หรือสำนึกรับผิดชอบร่วมในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมันจึงจะเป็นไปได้
"หากออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ไม่ได้ นอนแสดงจุดยืนอยู่ที่บ้านก็ได้ แต่ที่ผ่านมาเห็นแต่ว่ากระตือรือร้นสนับสนุนให้มีการปราบ การฆ่าประชาชน ไม่เห็นว่าจะมีจุดยืนเรื่องการเคารพความเป็นคนของประชาชนเลย"
ความอาวุโส ระบบอุปถัมภ์อะไรที่มีอยู่ในแวดวงนักพัฒนาและสังคมไทยนั้นไม่น่ารังเกียจเกินไปนักหรอก หากวางอยู่บนความสัมพันธ์ที่มองเห็นคนมีศักดิ์ศรีความเป็นคนเท่ากัน.
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper