Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 58130 articles
Browse latest View live

กสทช.เผย ร่างระเบียบฯ ไกล่เกลี่ยฉลุย! เชื่อเพิ่มประสิทธิภาพระงับข้อพิพาทโทรคมนาคม

$
0
0

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กสทช. แจงความคืบหน้าการปรับปรุงและพัฒนากลไกระงับข้อพิพาทด้านกิจการโทรคมนาคมเผยยกร่างระเบียบ กสทช.ฯ แล้วเสร็จเตรียมเสนอ กทค.พร้อมเร่งสร้างความเข้าใจ-เปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ

ตามที่แผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการส่งไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา ได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม และได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในด้านนี้ ให้มีการพัฒนาและปรับปรุงระบบจัดการเรื่องร้องเรียนและการระงับข้อพิพาทโดยการไกล่เกลี่ย รวมถึง กสทช.โดย คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ได้กำหนดกรอบภารกิจในปี 2555 ให้มีการปรับปรุงและพัฒนากลไกระงับข้อพิพาทด้านกิจการโทรคมนาคมให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการวางระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วย

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกฎหมาย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบูรณาการและปรับปรุงกฎหมายและระเบียบด้านโทรคมนาคม เปิดเผยว่า เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และกรอบภารกิจของ กทค. จึงมีการจัดทำบันทึกข้อตกลงระหว่างสำนักงาน กสทช. กับ สำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งหนึ่งในสาระสำคัญของบันทึกข้อตกลง ก็คือ ให้สำนักงานศาลยุติธรรมช่วยสนับสนุนการวางระบบการระงับข้อพิพาทโดยการไกล่เกลี่ย จึงเป็นผลให้คณะผู้บริหารของสำนักงาน กสทช.ไปศึกษาดูงาน ณ สำนักระงับข้อพิพาทของสำนักงานศาลยุติธรรม และศูนย์ไกล่เกลี่ยของศาลแพ่ง รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการในเรื่องไกล่เกลี่ยมาอย่างต่อเนื่อง
 
และเพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในด้านนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพจึงได้มีการยกร่างระเบียบ กสทช.ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมและผู้ใช้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. .... โดยได้มีการพิจารณาในชั้นของคณะอนุกรรมการบูรณาการและปรับปรุงกฎหมายฯ ในการประชุมหลายครั้ง ก่อนที่จะนำเสนอให้ที่ประชุม กทค.พิจารณาต่อไป ตามที่ได้มีการนำเสนอการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
 
ความคืบหน้าล่าสุดในเรื่องนี้ ดร.สุทธิพล กล่าวว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการบูรณาการและปรับปรุงกฎหมายฯ ได้มีการพิจารณาร่างระเบียบดังกล่าวที่มีการแก้ไขปรับปรุงหลายครั้งจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้มีการพิจารณากันอย่างรอบด้าน อีกทั้งยังได้กำหนดบทบาทและวิธีปฏิบัติในกระบวนการไกล่เกลี่ยไว้อย่างชัดเจน โดยเน้นที่จะสร้างความเป็นธรรมให้กับคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะทำให้การระงับข้อพิพาทเป็นประโยชน์ต่อคู่กรณีและกระบวนการพิจารณาของ กสทช. เพราะการไกล่เกลี่ยนอกจากจะเป็นผลให้ข้อพิพาทเสร็จสิ้นไปได้โดยความรวดเร็วแล้ว ยังเป็นผลให้ข้อพิพาทระงับลงด้วยความพอใจของคู่กรณีด้วยกันทั้งสองฝ่าย และจะเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อคู่กรณี
 
สำหรับสาระสำคัญของร่างระเบียบไกล่เกลี่ยฉบับนี้ คือ กรอบการบังคับใช้จะใช้เฉพาะการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมและผู้ร้องเรียนตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 และประกาศ กทช.เรื่องกระบวนการรับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ใช้บริการ โดยสำนักงาน กสทช.จะเป็นผู้ดำเนินงานธุรการที่เกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยดังกล่าว โดยจะจัดให้มีทะบียนรายชื่อผู้ไกล่เกลี่ย ซึ่งเป็นผู้ชำนาญเฉพาะด้านจากภายนอก และอาจเป็นพนักงานของสำนักงานก็ได้
 
ร่างระเบียบฯ ยังกำหนดคุณสมบัติเฉพาะของผู้ไกล่เกลี่ยรวมถึงลักษณะต้องห้าม ทั้งนี้ทะเบียนผู้ไกล่เกลี่ยจะมีอายุ 2 ปี และอาจขอขึ้นทะเบียนได้อีก  ในการแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้นให้สำนักงานแต่งตั้งจากผู้ที่ขึ้นทะเบียนรายชื่อไว้ โดยคำนึงถึงลักษณะของข้อร้องเรียนและความเหมาะสมของผู้ไกล่เกลี่ย เว้นแต่คู่กรณีประสงค์ร่วมกันที่จะเลือกบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ย
 
ดร.สุทธิพล กล่าวด้วยว่า ร่างระเบียบฯ นี้ยังเปิดช่องทางให้มีการคัดค้านผู้ไกล่เกลี่ยได้ หากปรากฏข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นเหตุอันควรสงสัยถึงความเป็นกลางของผู้ไกล่เกลี่ย รวมทั้งยังได้กำหนดจริยธรรมสำหรับผู้ไกล่เกลี่ยไว้ด้วย ทั้งนี้การเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยจะต้องเป็นความสมัครใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยมีการกำหนดวิธีการไกล่เกลี่ยเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน ตลอดจนเหตุแห่งการสิ้นสุดกระบวนการไกล่เกลี่ย นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เกี่ยวกับการรักษาความลับของข้อมูลในการไกล่เกลี่ย ซึ่งเนื้อหาในร่างระเบียบนี้สอดคล้องกับกติกาไกล่เกลี่ยของหน่วยงานต่างๆ และสอดคล้องกับกติกาสากลอีกด้วย
           
“การจัดทำร่างระเบียบการไกล่เกลี่ยดังกล่าวจึงเป็นทางเลือกของคู่กรณีที่จะมีส่วนร่วมกันในการยุติข้อพิพาทบนพื้นฐานความสมัครใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย ในขณะเดียวกันร่างระเบียบฯ นี้หากนำมาใช้ก็เปรียบเสมือนการเพิ่มท่อระบายขึ้นมาอีกหนึ่งท่อเพื่อระบายเรื่องร้องเรียนด้านโทรคมนาคมที่เข้ามาสู่การพิจารณาในลักษณะคอขวดให้ได้รับการระบายออกไปจากสาระบบได้อย่างรวดเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมต่อคู่กรณี”
 
ดร.สุทธิพล กล่าวว่า นี่คือตัวอย่างหนึ่งของความมุ่งมั่นที่จะพัฒนากลไกระงับข้อพิพาทด้านโทรคมนาคมของ กสทช.ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเริ่มจากการจัดให้มีกลไกไกล่เกลี่ย ซึ่งคงจะต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนากลไกด้านอื่นๆ เช่น พัฒนากระบวนการรับเรื่องร้องเรียน พัฒนากระบวนการพิจารณาเรื่องร้องเรียน ฯลฯ ให้มีความรวดเร็วมากขึ้น และถึงแม้ว่าในอนาคต เมื่อบริการโทรคมนาคมมีการเติบโตมากขึ้น จนอาจส่งผลให้ปริมาณเรื่องร้องเรียนเข้าสู่การพิจารณาของ กสทช.มากขึ้นก็ตาม แต่เมื่อเราสร้างท่อระบายรองรับไว้อย่างนี้แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ต่อการบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนให้เสร็จสิ้นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
 
กรรมการ กสทช. กล่าวด้วยว่า แม้จะได้ข้อสรุปในชั้นของคณะอนุกรรมการบูรณาการฯ แล้ว แต่กระบวนการจัดทำระเบียบไกล่เกลี่ยยังไม่แล้วเสร็จ เพราะยังมีขั้นตอนที่สำคัญ คือจะต้องนำเสนอให้ที่ประชุม กทค.พิจารณา และเมื่อผ่านการพิจารณาของ กทค.แล้ว ก็ยังจะต้องเร่งสร้างความเข้าใจและเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อไป โดยเรื่องนี้จะดำเนินการด้วยความรอบคอบเพื่อให้ระเบียบไกล่เกลี่ยฉบับนี้เป็นประโยชน์ต่อการระงับข้อพิพาททางด้านโทรคมนาคมอย่างแท้จริงและเป็นธรรม
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“กรรมการปฏิรูป” แนะแก้ “กฎหมายที่ดิน” ยกฉบับ สางปัญหา “คดีคนจน”

$
0
0

“เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์” เรียกร้องภาคประชาชนเข้าชื่อเดินหน้าแก้ไขความไม่เป็นธรรม ตัวแทนชาวบ้านสะท้อนปัญหาระบบกฎหมายสร้างความเหลื่อมล้ำ ด้านกรมคุ้มครองสิทธิฯ เผยปี 2554 ชาวบ้านเข้าขอความช่วยเหลือกว่า 3,800 ราย

 
 
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา สำนักงานปฏิรูปเพื่อสังคมที่เป็นธรรม จัดเสวนาวิชาการเรื่อง “คดีที่ดิน ว่าด้วยคนจน เหยื่อของการเข้าถึงที่ดิน” ในเวทีสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 2 โดยมีผู้ร่วมเสวนาจากตัวแทนภาครัฐ และภาคประชาชน
 
 
แนะการแก้ปัญหา ต้องแก้ไขกรอบกฎหมายเดิมๆ
 
นายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ กรรมการปฏิรูปและอนุกรรมการปฏิรูปที่ดิน ฐานทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และน้ำ กล่าวว่าคดีที่ดินเริ่มเป็นปัญหาตั้งแต่ปี 2530 เนื่องจากนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า มีการเปิดตลาดเสรี ทำให้ที่ดินกลายเป็นที่ต้องการขึ้นในทันที มีการซื้อขายเก็งกำไร จนทำให้ประชาชนที่ไม่มีข้อมูล รู้ไม่เท่าทัน ถูกแย่งที่ดินทำกิน จนเกิดเป็นปัญหาคดีความ ซึ่งจากการสำรวจเบื้องต้นพบว่ามีคดีอยู่ระหว่างการพิพากษากว่า 800 คดี ซึ่งคงเป็นเพียง 1 ใน 100 ของคดีทั้งหมด ที่เป็นผลมาจากกระบวนการของระบบทุนนิยม
 
“จำนวนคดีที่เพิ่มขึ้น การบังคับคดี การจำคุก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำความผิด เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรม และการพิพากษาคดี เพราะตามกระบวนการศาลจะรับฟังพยานเอกสาร มากกว่าพยานบุคคล ดังนั้นแม้ชาวบ้านจะยืนยันว่าอยู่มานานกว่า ก็ไม่มีน้ำหนัก ดังนั้นกว่าร้อยละ 90 คดีที่ดิน คนจนจึงแพ้คดี และมีหลายคดีที่ถูกตัดสินพิพากษาให้ย้ายออก โดยไม่ได้รับการเยียวยา ดังนั้นกรมคุ้มครองสิทธิจะต้องทำหน้าที่มากขึ้น”
 
นายเพิ่มศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ตามความจริงประเทศไทยมีที่ดินเพื่อใช้ในภาคเกษตร 110 ล้านไร่ และประเทศเรามีเกษตรกร 5.8 ล้านครอบครัว ดังนั้นหากแบ่งสรรกันจะได้ครอบครัวละ 20 ไร่ แต่ความจริงกว่าร้อยละ 70 ต้องเช่าทื่ดินของเอกชน
 
“การแก้ไขในเรื่องนี้จะต้องมีการแก้ไขกรอบกฎหมายเดิมๆ ทบทวนประมวลกฎหมายที่ดินทั้งหมดตั้งแต่มาตรา 6 เรื่องการครอบครองเป็นต้น รวมทั้งภาคประชาชนเองก็ควรลุกขึ้นมารวบรวมรายชื่อ เพื่อยื่นเสนอกฎหมายแก้ปัญหาเรื่องที่ดินที่ไม่เป็นธรรม” กรรมการปฏิรูปกล่าว
 
 
ชี้ปัญหาที่ดินทำกินกระจุกตัว คนจนกว่า 60 ล้านคนยังไร้ที่ทำกิน
 
ด้านประยงค์ ดอกลำไย ที่ปรึกษาเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คดีที่ดินมีความขัดแย้งอยู่ 2 ประเภท คือความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชาวบ้าน และความขัดแย้งระหว่างรัฐกับเอกชน ซึ่งทำให้ชาวบ้านกว่า 1 ล้านครอบครัวต้องประสบปัญหาถูกฟ้องร้องว่าอาศัยอยู่ในพื้นที่บุกรุก โดยจากการสำรวจของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมื่อปี 2550 ที่รายงานต่อคณะรัฐมนตรี พบว่ามีคดีความเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดิน บุกรุกพื้นที่ป่า ทั้งหมด 6,711 คดี หรือถูกจับกุมวันละ 19 ราย ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และถูกพนักงานของรัฐฯ คิดค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 150,000 บาทต่อไร่ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมที่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้โลกร้อน กลับไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ
 
“เมื่อก่อนทุกคนทำกินบนที่ดินสาธารณะ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็นำสู่ความต้องการครอบครองอย่างเป็นปัจเจก เกิดการค้าขายที่ดิน ทำให้เกิดการกระจุกตัว โดยกว่าร้อยละ 80 อยู่ในความครอบครองของคนเพียงล้านคน แต่อีกกว่า 60 ล้านคน ยังไม่มีที่ดินทำกิน ซึ่งหากไม่มีระบบและมีกระบวนจัดการที่ดี คนไทยทุกคนควรมีที่ดินเฉลี่ยคนละ 2 ไร่” ที่ปรึกษาเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยกล่าว
 
 
ชาวบ้านสะท้อนระบบยุติธรรม ระบบกฎหมาย สร้างความเหลื่อมล้ำ
 
ขณะที่นายสนิท แซ่ซั่ว ตัวแทนชุมชนชาวเลอูรักลาโว้ย บ้านหาดราไวย์ ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากกรณีปัญหาเรื่องที่ดิน กล่าวว่า ชาวเลอูรักลาโว้ยมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และเป็นผู้บุกเบิกเกาะภูเก็ต แต่ปัจจุบันเราถูกกดขี่ และถูกฟ้องร้องเรื่องบุกรุกที่ดินจนถูกฟ้องร้อง ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าเหตุใดชาวบ้านถึงถูกรังแก เพราะเราอยู่แบบสันโดษ เรียบง่าย และเราคงไม่มีเงินที่จะไปต่อสู้หรือจ่ายเป็นค่าประกันใดๆ
 
ขณะที่นายดิเรก กองเงิน ประธานกลุ่มปฏิรูปที่ดินโดยชุมชนบ้านโป่ง อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ กล่าวย้ำว่า “ในสังคมไทยที่ระบุว่าให้ความสำคัญในเรื่องเกษตรกรรม แต่ไม่เคยหันมามองภาคเกษตรกรรมอย่างแท้จริง เพราะที่ดินทำกินของเกษตรกรส่วนใหญ่ทุกวันนี้กลายเป็นของนายทุน
 
“เมื่อมีการฟ้องร้องคดีนายทุนก็มีเอกสารสิทธิ์ ส่วนชาวบ้านมีแค่พยานบุคคล ซึ่งกฎหมายไม่รับฟัง ทั้งๆ ที่ ที่ดินเหล่านั้นเคยเป็นของชาวบ้านมาตั้งแต่อดีต”นายดิเรกกล่าว
 
 
กรมคุ้มครองสิทธิฯ เผยปี 2554 ชาวบ้านกว่า 3,800 ราย เข้าขอความช่วยเหลือ
 
ด้านนางนงภรณ์ รุ่งเพชรวงศ์ ผู้อำนวยการกองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐก็มีมาตรการในการช่วยเหลือสำหรับชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดี โดยสถิติเมื่อปี 2554 มีผู้เข้าขอรับการ ช่วยเหลือจากกรมคุ้มครองสิทธิ์กว่า 3,800 ราย ทั้งในเรื่องการให้คำปรึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะชาวบ้านไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ์เพราะไม่ทราบถึงการครอบครองที่ดินและส่วนใหญ่ยากจน รายได้น้อย”
 
นอกจากนี้มีได้จัดตั้งกองทุนยุติธรรมเพื่อช่วยเหลือประชาชนในเรื่องค่าใช้จ่ายของการดำเนินคดี เช่น กรณีการประกันตัว ขอค่าจ้างทนายความ การตรวจสอบทรัพย์สินตารางวัดพื้นที่ ค่าเดินทางไปขึ้นศาล การย้ายที่อยู่หากเกรงว่าไม่ปลอดภัยระหว่างการพิจารณาคดี เป็นต้น
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ตำรวจจับ "ปราโมทย์ นาครทรรพ" ข้อหาปิดสุวรรณภูมิ

$
0
0

ตำรวจส่งฟ้องอัยการ - เจ้าตัวปฏิเสธทุกข้อหา ก่อนได้รับการปล่อยตัว ขณะที่อัยการเตรียมนัดแกนนำพันธมิตรฯ 48 รายฟังคำสั่งเมษายนนี้

มติชนออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 เมษายน เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามเข้าควบคุมตัวนายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นักเขียนของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและผู้ต้องหาในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในเหตุการณ์ปิดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง เมื่อปี 2551 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขณะเดินทางกลับจากต่างประเทศ และนำตัวไปทำการสอบสวนที่กองปราบปรามแล้ว

ต่อมา เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก  พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายปราโมทย์มาส่งให้อัยการฝ่ายคดีอาญา พร้อมสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติมข้อหาฝ่าฝืนพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่งของหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน

น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความ ระบุว่า นายปราโมทย์ได้ให้การปฏิเสธกับพนักงานสอบสวนทุกข้อหาแล้ว และเดินทางกลับได้โดยไม่ต้องยื่นประกันใหม่กับอัยการอีก ส่วนกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งหมด 46 คนที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมขณะนี้คงเหลือนายการุณ ใสงาม อดีต ส.ว. เพียงคนเดียวเท่านั้น โดยการพิจารณาสำนวนอัยการนัดฟังคำสั่งประมาณเดือนเมษายนนี้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กลุ่มปฏิญญาหน้าศาลย้อนปมผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จี้ปฏิรูป ยกต้นแบบฝรั่งเศส

$
0
0

 

เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 55 เสวนาบาทวิถีหน้าศาลอาญาของกลุ่มปฏิญญาหน้าศาลหยิบประเด็น “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร?” มาแลกเปลี่ยนในมุมมองของทนายผู้ว่าความคดีเสื้อแดง อาคม ศิริพจนารถ  ทนายนักสิทธิมนุษยชน, ภาวิณี ชุมศรี ผู้มีประสบการณ์ว่าความคดีความรุนแรงภาคใต้ และเหยื่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, เจียม ทองมาก ซึ่งติดคุกในคดีปล้นทรัพย์เซ็นทรัลเวิลด์มานาน 1 ปี 6 เดือน ก่อนศาลชั้นต้นยกฟ้อง

อาคม  ศิริพจนารถ เท้าความว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศใช้ในปี 2548 เพื่อใช้บริหารสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความรุนแรงให้กลับสู่ความสงบโดยเร็ว  แต่การชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงทั่วโลกก็รู้ว่าชุมนุมด้วยมือเปล่า ซึ่งผิด พ.ร.บ.จราจรเท่านั้น โทษปรับอย่างสูง 1,000 บาท การที่อภิสิทธิ์อ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงและเขาต้องรักษากฎหมายเป็นข้ออ้างที่ผิด  คนเสื้อแดงชุมนุมเป็นเดือนไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรง แต่ทุกครั้งที่รัฐบาลขอคืนพื้นที่ กระชับพื้นที่ต้องมีคนตาย การสั่งให้ทหารเรือนหมื่นพร้อมอาวุธสงครามและรถถังออกมาในเมืองหลวงนั้นยากต่อการควบคุม คุณควบคุมให้ทหารยิงเอ็ม 16 ตั้งแต่หัวเข่าลงไปไม่ได้หรอก นั่นหมายความว่ารัฐบาลมีเจตนาฆ่าประชาชน

ทนายอาคมเสนอว่า ควรมีการรวบรวมรายชื่อ เสนอให้พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลทำการทบทวนและตรวจสอบการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่ามีเหตุที่สมควรหรือไม่  และเมื่อมีคนเสียชีวิตแล้ว ทำไมจึงไม่ยกเลิก

เจียม ทองมาก เล่าเหตุการณ์ในวันที่ 19 พ.ค.53 หลังแกนนำประกาศสลายการชุมนุม มีระเบิดลงหลังเวที ต่างคนต่างหนีกระจัดกระจาย เวลานั้นความเป็นความตายอยู่ในที่เดียวกัน เราจะทราบได้อย่างไรว่าที่ไหนจะปลอดภัย ตนเองหนีลูกปืนที่ไล่ยิงอย่างหมาเข้าไปในเซ็นทรัลเวิลด์ ไม่ได้คิดเข้าไปลักทรัพย์ ตอนนั้นคิดแค่ว่าจะได้เห็นหน้าลูกอีกไหม ไม่ได้แตะต้องของในห้าง ตนเองคลานลงไปถึงชั้นล่างสุด ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงตัว จึงร้องขอความช่วยเหลือ แต่พอออกมา ตำรวจให้นั่งลงแล้วนอนคว่ำ เอาเชือกมัดมือไพล่หลัง แล้วจับคอเสื้อตนเองขึ้น โดยหัวเข่าตำรวจกดหน้าขาทั้งสองข้างของตนเองไว้  มือข้างหนึ่งจับปืนอยู่ตลอดเวลา มีลูกกระสุนปืนซึ่งทราบจากศาลว่าเป็นเอ็ม 60 สะพายอยู่  แล้วขู่ถามว่าปืนอยู่ไหน เธอเป็นผู้หญิงต้องรู้ว่าปืนอยู่ไหน ตนเองตอบว่าไม่ทราบ คนเสื้อแดงหลายคนที่ถูกฉุดกระชากออกมาแล้วซ้อม บ้างก็ถูกไฟช็อต  ได้แต่นั่งมองกันอย่างปวดร้าว จากนั้นก็ถูกจับไปติดคุกแล้วยัดข้อหา ถูกย่ำยีหัวใจในเรือนจำ ที่อยู่ได้เพราะต้องการสู้เพื่อความบริสุทธิ์ของตัวเอง

ภาวิณี ชุมศรี  อธิบายถึงตัว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าในกรณีที่มีสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ภัยธรรมชาติ หรือความมั่นคงต่อรัฐ รัฐธรรมนูญให้อำนาจฝ่ายบริหารคือ นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยมีมาตรการพิเศษมาจัดการกับปัญหาในช่วงนั้นได้เป็นการชั่วคราว เช่น ปิดสื่อ ห้ามใช้เส้นทาง ห้ามออกนอกเคหสถาน  ดังนั้นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต้องมีเหตุ ซึ่งในวันที่ 7 เมษายน รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งกฎหมายให้ทำได้หากมีการประทุษร้ายหรือก่อการร้าย และให้อำนาจมากขึ้น เช่น เรียกให้มารายงานตัว หรือควบคุมตัวได้ 30 วัน  รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศโดยอ้างเหตุมีการยุยงปลุกปั่น ทำให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง  ประเด็นปัญหาคือ เหตุเหล่านั้นมีอยู่จริง หรือร้ายแรงพอที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงหรือไม่ เป็นการก่อการร้ายหรือแค่ใช้สิทธิในการชุมนุมและแสดงความคิดเห็น  นอกจากนี้ ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไม่มีใครตรวจสอบได้  เพราะนายกฯ ประกาศแล้ว ไม่ต้องรายงานต่อรัฐสภา ตุลาการก็เข้าไปตรวจสอบไม่ได้ จึงง่ายมากที่ฝ่ายบริหารจะใช้อำนาจโดยบิดเบือนกฎหมาย  เช่น กรณีปิดเว็บไซต์ประชาไท  ศอฉ.ให้เหตุผลว่าจะทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นอีก  และเนื่องจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินตัดอำนาจศาลปกครอง   ทางประชาไทจึงต้องฟ้องร้องต่อศาลแพ่ง ซึ่งเป็นศาลยุติธรรม และมีอุดมการณ์ต่างจากศาลปกครอง  ศาลปกครองมีอุดมการณ์ในการตรวจสอบการใช้อำนาจบริหารของรัฐว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่ศาลยุติธรรมพิจารณาแค่ว่าการใช้อำนาจเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ไม่ได้พิจารณาว่าการใช้อำนาจนั้นชอบหรือไม่ชอบ  ดังนั้น ในกรณีประชาไทศาลจึงยกฟ้องโดยไม่มีการสืบพยาน และให้เหตุผลว่า ศอฉ.มีอำนาจในการปิดเว็บไซต์  ไม่ได้พิจารณาว่ามีเหตุที่เพียงพอในการปิดหรือไม่ ศอฉ.ทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติในกระบวนการยุติธรรมไทย

ทนายนักสิทธิฯ กล่าวอีกว่า อำนาจอีกอันหนึ่งของ พ.ร.ก. คืออำนาจในการจับและควบคุมตัวบุคคลได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานว่ากระทำความผิด เพียงแต่เป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน  ประเด็นปัญหาก็คือ กรณี บก.ลายจุด และคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวตาม พ.ร.ก. และขยายระยะเวลาควบคุมตัว โดยที่ไม่ได้เป็นตัวแปรว่าจะทำให้สถานการณ์ฉุกเฉินมากขึ้น ดังนั้น การควบคุมตัวดังกล่าวจึงเป็นการจำกัดสิทธิที่มากเกินไป และง่ายต่อการที่เจ้าหน้าที่รัฐจะใช้อำนาจควบคุมตัวตามอำเภอใจ  นอกจากนี้ การฝ่าฝืน พ.ร.ก.ยังมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ในช่วงแรกที่มีการจับกุม ศาลก็ตัดสินจำคุก 2 ปี ถึงแม้จะมีการรับสารภาพและลดโทษเหลือ 1 ปี ก็ถือว่าเป็นโทษที่สูงมากสำหรับประเทศประชาธิปไตย อีกทั้ง ไม่มีการรอลงอาญา และไม่ได้ประกันตัว  ซึ่งไม่ได้สัดส่วนกับโทษ   ดังนั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารโดยแท้   รัฐบาลสามารถอ้างได้ว่าการชุมนุมเป็นภัยต่อความมั่นคง ทั้งๆ ที่เป็นความมั่นคงของรัฐบาลเอง ไม่ใช่รัฐ  รัฐบาลก็ประกาศใช้กฎหมาย ใช้อำนาจในการสลายการชุมนุม จำกัดสิทธิ ทำให้คนกลัว ดำเนินคดี ทำร้ายร่างกาย ถามว่าการที่คนออกมาชุมนุมแล้วใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างนี้มันได้สัดส่วนกันหรือไม่ พอสมควรแก่เหตุหรือไม่  เช่นเดียวกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงต่อเนื่องกันมากว่า 6 ปี แล้ว โดยการขยายระยะเวลา 27 ครั้ง อ้างเหตุผลเหมือนเดิมทุกอย่าง  อำนาจตาม พ.ร.ก.อย่างเดียวที่รัฐใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ อำนาจในการจับกุมและควบคุมตัว 30 วัน  จากนั้นก็ซ้อมเพื่อให้ได้ข้อมูลข่าวสารและคำรับสารภาพ  แล้วนำไปดำเนินคดีอาญา  ไม่ได้ใช้เพื่อคุ้มครองความสงบสุขของประชาชน  สุดท้าย คดีเหล่านั้น 70-80% ศาลยกฟ้อง  ศาลจึงได้ตระหนักว่าไม่ควรออกหมายควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ง่ายๆ  การใช้อำนาจเช่นนี้แก้ไขปัญหาความไม่สงบก็ไม่ได้  เป็นเพียงการใช้อำนาจที่มากขึ้นกว่าปกติเท่านั้น

ทนายภาวิณี กล่าวสรุปว่า แม้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะให้อำนาจแก่รัฐบาล แต่การใช้อำนาจต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย คือพอสมควรแก่เหตุ เท่าที่จำเป็น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญของสิทธิเสรีภาพของบุคคลไม่ได้   และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในปี 53 ต้องมีการพูดคุยให้ชัดเจนว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  หากชัดเจนว่าไม่ชอบ ก็ต้องเป็นบรรทัดฐานว่าไม่ควรมีการใช้ต่อไป  แต่ ณ ปัจจุบันยังไม่มีการตั้งคำถามและทำให้ชัดเจนว่า การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกับผู้ชุมนุมชอบหรือไม่ชอบแค่ไหน อย่างไร  ถ้าเป็นเช่นนี้ก็มีแนวโน้มว่ารัฐบาลจะใช้อำนาจในการละเมิดสิทธิประชาชนได้อีก  แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายความมั่นคง 3 ฉบับ คือ กฎอัยการศึก พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน   ควรจะต้องมีการยกเลิกหรือแก้ไขในบางฉบับ และมีกฎหมายที่บูรณาการใหม่ มีมาตรการใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น  กฎหมายความมั่นคงในฝรั่งเศส ซึ่งให้ประกาศใช้ได้ 12 วัน เกินกว่านั้นต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ให้รัฐสภาตรวจสอบความจำเป็น  และประชาชนสามารถไปฟ้องศาลปกครองได้ เพื่อให้ศาลปกครองตรวจสอบว่าการใช้อำนาจถูกต้องหรือไม่

อ.สุดา รังกุพันธ์ ผู้ดำเนินรายการกล่าวเน้นถึงความต้องการของคนเสื้อแดงที่ต้องการเห็นการปฏิรูปกฎหมายความมั่นคงอย่างชัดเจน เพื่อที่ประชาชนจะไม่ต้องเผชิญอาชญากรรมโดยรัฐอีก  จากนั้น ผู้เข้าร่วมการเสวนากว่า 50 คน ร่วมกันกล่าวคำปฏิญญาประจำวันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2555 “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 53 ต้องไม่มีผลทางกฎหมาย ปล่อยนักโทษการเมือง ผู้ประกาศใช้ต้องได้รับโทษ“  และยืนไว้อาลัยให้นายสุรชัย นิลโสภา อดีตผู้ต้องขังคดียิง ฮ.ซึ่งศาลยกฟ้อง แต่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา

กลุ่มปฏิญญาหน้าศาลจะจัดกิจกรรมเสวนาบาทวิถี หน้าศาลอาญารัชดา ทุกวันอาทิตย์ เพื่อรณรงค์ให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และปล่อยตัวนักโทษการเมือง

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผู้เชี่ยวชาญระบุยังไม่ใช่เวลา "ออง ซาน ซูจี" เปลี่ยนพม่า

$
0
0

เสวนา "อนาคตประชาธิปไตยพม่าหลังการเลือกตั้งที่ มธ. ท่าพระจันทร์ “ดุลยภาค ปรีชารัชช” เตือนแม้ซูจีจะได้ที่นั่งทั้งหมดแต่ก็ไม่มีที่ทางในโครงสร้างทางการเมืองอยู่ดี เพราะเสียงในสภายังน้อย-แม้จ่อขึ้นแท่นเลือกตั้งซ่อม พร้อมแนะจับตาบทบาท "ซูจี" ระยะยาว สร้างคอนเนคชั่น-ฐานอำนาจลุ้นเลือกตั้งปี 58 ด้าน “ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” ชี้กระแสประชาธิปไตยไม่น่าไหลย้อนกลับ ส่วน “สุภัตรา ภูมิประภาส” ตั้งคำถาม แท้จริงแล้ว ซูจีจะได้ดอกผลจากการเลือกตั้งคราวนี้มากเพียงใด

เมื่อวานนี้ (2 เม.ย.) โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาสาธารณะในหัวข้อ อนาคตประชาธิปไตยพม่าหลังการเลือกตั้ง

โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตคณบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า การเลือกตั้งซ่อมพม่าเมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา นับเป็นข่าวดีในแง่การเปลี่ยนแปลงในพม่าเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ต้องระวังว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจเป็นไปอย่างฉาบฉวย เพื่อให้ประเทศตะวันตกยกเลิกการคว่ำบาตรพม่าเท่านั้น

เขามองว่า พม่าอาจจะสร้างประชาธิปไตยและการปรองดองได้ เพราะระยะ 50 ปีที่ผ่านมา น่าจะสอนให้ชนชั้นนำได้เรียนรู้ถึงบทเรียนทางประวัติศาสตร์ว่าไม่สามารถฝืนกระแสความเปลี่ยนแปลงในโลกได้ ประกอบกับการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนส่วนใหญ่มีเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะพยายามกีดกันอองซาน ซูจี ซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยมากเท่าใด เธอก็ยังได้รับชัยชนะอยู่ดี

“ผมคิดว่า กระแสภายในไม่น่าให้เผด็จการดำเนินการต่อไปอย่างที่ดำเนินการต่อไปได้ บวกกับกระแสของโลกาภิวัฒน์หรือ Global Politics มันไม่อนุญาตแล้ว มันกลับไปไม่ได้แล้ว” ชาญวิทย์กล่าว และเสริมว่า แม้แต่กองทัพเองก็ไม่ได้รับการสนับสนุนมากเท่าแต่ก่อน

อดีตอธิการบดีม.ธรรมศาสตร์ ยังชี้ด้วยว่า ข่าวการเลือกตั้งของพม่าไม่ค่อยได้รับความสำคัญในสื่อมวลชนกระแสหลักภาษาไทยมากนัก ถึงแม้ว่าไทยจะแบ่งปันชายแดนกับพม่าและมีปัญหาหลายด้านร่วมกันอย่างมาก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ไทยอยู่ในอันดับล่างๆ ในแง่ของการรับรู้การตื่นตัวเรื่องอาเซียน

ดุลยภาค ปรีชารัชช ผู้เชี่ยวชาญพม่า และอาจารย์ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า การเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันอาทิตย์ทีผ่านมา เป็นหนึ่งในการวางแผนสถาปัตยกรรมทางการเมืองของพม่าที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งซ่อมในปี 2010 การตั้งรัฐสภาและประธานาธิบดีในปี 2011 และการเลือกตั้งซ่อมในปีนี้ ซึ่งจะปูทางอนาคตไปสู่การเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ในปี 2013 การเป็นประธานอาเซียนในปี 2014 และการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2015

ทั้งนี้ ดุลยภาคตั้งข้อสังเกตว่า การจัดการเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากแรงกดดันจากภาคประชาสังคมและประชาคมนานาชาติต่างประเทศ หากแต่เป็นความริเริ่มโดยชนชั้นนำทหารของพม่า ซึ่งได้กำหนดโครงสร้างทางการเมืองไว้เรียบร้อยแล้ว และเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่จะได้จากการปรับยุทธศาสตร์ กล่าวคือ การได้เป็นประธานอาเซียนอย่างภาคภูมิ การผ่อนคลายแรงกดดันจากนานาชาติ รวมถึงการเปิดการลงทุนจากต่างชาติที่มีความชอบธรรมมากกว่าแต่ก่อน

เขาชี้ว่า ผลคะแนนที่มีการรายงานข่าวว่าพรรคเอ็นแอลดีชนะอย่างถล่มทลายนั้น ต้องรำลึกว่าผลคะแนนที่ออกมานั้นยังไม่เป็นทางการจึงอาจเปลี่ยนแปลงได้ และวิเคราะห์ต่อว่า สถานการณ์หลังจากนี้มีความเป็นไปได้หลายด้าน โดยถ้าหากเป็นไปตามคะแนนที่ออกมาจริง ก็จะทำให้ชาติตะวันตกยกเลิกการคว่ำบาตรตามที่รัฐบาลพม่าปรารถนา แต่ขณะเดียวกัน พรรค USDP ซึ่งได้รับชัยชนะถล่มทลายเมื่อปี 2010 อาจรู้สึกว่าถูกหักหน้า อย่างไรก็ตาม หากผลคะแนนทางการออกมาและพบว่าพรรคเอ็นแอลดีแพ้ ต่างชาติก็อาจจะไม่ยุติการคว่ำบาตร ทำให้มองว่ารัฐบาลพม่าไม่น่าจะให้สถานการณ์ออกมาในทิศทางนี้

ดุลยภาคมองว่า ทางที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด คือรัฐบาลอาจจะยอมให้เอ็นแอลดีชนะการเลือกตั้งราว 30 ที่นั่ง และที่นั่งที่เหลือยกให้กับพรรค USDP เพื่อผลักดันให้ซูจีสามารถเข้าไปนั่งในสภา และผ่อนคลายบรรยากาศทางการเมือง ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาความชอบธรรมของพรรครัฐบาลให้อยู่ได้

ทั้งนี้ พรรคการเมืองห้าพรรคหลักๆ ที่ลงแข่งการเลือกตั้งนัดนี้ ได้แก่พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) พรรคพลังแห่งประชาธิปไตย (NDF) พรรคเอกภาพแห่งชาติ (NUP) และพรรคประชาธิปไตยแห่งชาติไทใหญ่ (SNDP) โดยหากดูจากเขตการเลือกตั้งโดยรวมแล้ว พื้นที่การแข่งขันจะกระจุกอยู่ที่คนพม่าอาศัยอยู่มาก มีเก้าอี้ในบริเวณรัฐฉานไม่กี่ที่นั่งเท่านั้น โดยดุลยภาคมองว่า หากดูจากสถิติการเลือกตั้งซ่อมในปี 2010 แล้ว พรรคเอ็นแอลดี น่าจะได้ที่นั่งมากในพม่าตอนล่าง เช่น เมียวดี รัฐมอญ รัฐกะเหรี่ยง เป็นต้น ในขณะที่ในพื้นที่พม่าตอนบน เช่น เมืองเนปิดอว์ มัณฑะเลย์ พรรค USDP น่าจะได้รับชัยชนะเนื่องจากเป็นเขตที่อยู่อาศัยของข้าราชการ และชาวบ้านในชนบทที่ยังมีทัศนคติทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า

ส่วนในพื้นที่ในเขตชาติพันธุ์คือรัฐฉาน เมื่อวิเคราะห์จากสถิติปี 2010 จะเห็นว่า พรรคที่ได้รับคะแนนเป็นอันดับหนึ่ง คือพรรค USDP ตามมาด้วยพรรคฉานและพรรคโกกั้ง ซึ่งเป็นพรรคของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งคู่ จึงต้องน่าจับตาว่าพรรคเอ็นแอลดีจะสามารถเจาะพื้นที่ตรงนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

ในส่วนของอนาคตทางการเมืองของนางอองซาน ซูจี ดุลยภาคชี้ว่า จำเป็นต้องดูสถาปัตยกรรมทางการเมืองของพม่าด้วย เพราะจะเห็นว่าในส่วนของสภาประชาชนและสภาชนชาติ จะมีทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ที่มาจากการเลือกตั้งและแต่งตั้งในสัดส่วนแต่งตั้งร้อยละ 25 เลือกตั้งร้อยละ 75

ทั้งนี้ เขาชี้ว่า มีองค์กรหนึ่งในโครงสร้างทางการเมืองที่สะท้อนว่าชนชั้นนำยังกุมอำนาจทางการเมืองอย่างแน่นหนา คือ สภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติ ที่ประกอบไปด้วยผู้นำทางการเมือง เช่น ประธานาธิบดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ และรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย

“ตรงนี้เป็นตัวสะท้อนว่าระบอบอำนาจนิยมไม่หายไปไหน เพราะทหารควบคุมกลไกเสียส่วนใหญ่ในสภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติ และอย่าลืมว่า ต่อให้พม่าจะเลือกตั้งและมีการพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยก็ตามแต่ แต่รัฐธรรมนูญ 2008 ให้อรรถาธิบายชัดเจนว่า เมื่อใดที่ผบ.สส. เห็นสมควร มองว่าบ้านเมืองสับสนวุ่นวายไร้ระเบียบ ผบ.สส. สามารถประกาศสภาวะฉุกเฉินได้ และประธานาธิบดีต้องถ่ายโอนอำนาจให้กับ ผบ. สส. ปกครองประเทศ เพราะฉะนั้นพม่าจะเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้ามันจะตีกันระสำระส่าย กองทัพสามารถแทรกแซงการเมืองได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย” ดุลยภาคกล่าว

เขามองว่า แม้ว่าการเข้าไปในสภาของซูจีอาจยังไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในระยะใกล้ๆ นี้ แต่ในระยะยาว อาจจะทำให้เธอช่วยสะสมเครือข่ายและอำนาจในสภาสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2015 ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น การปรับนโยบายของประธานาธิบดีเต็งเส่งที่มาทางสายพิราบมากขึ้น เสนอนโยบายประชานิยม และขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ อาจทำให้เขาได้รับความนิยมจากประชาชนไม่ต่างจากนางซูจีเองก็เป็นได้ นอกจากนี้ แง่ของทายาททางการเมืองที่จะมารับช่วงต่อ ก็ยังเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่พรรคเอ็นแอลดีและฝ่ายค้านอื่นๆ จำต้องเผชิญด้วย

 

สุภัตรา ภูมิประภาส สื่อมวลชนอิสระ มองว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ถึงแม้ว่าอาจทำให้ซูจีได้เข้าไปมีที่นั่งในสภาก็จริง แต่เธอก็จะเปลี่ยนสถานะจาก “นักเคลื่อนไหวทางการเมือง” มาเป็น “นักการเมือง” ซึ่งหมายความว่าเธอจะได้ไม่ได้อภิสิทธิ์บางอย่างที่เคยได้ เช่นการเลี่ยงไม่ตอบคำถามหรืออธิบายบางอย่างต่อสื่อมวลชน ทั้งนี้ สุภัตราอภิปรายถึงการเมืองหลังการเลือกตั้งโดยดูจากกลุ่มปัญหา 6 ด้าน ได้แก่

1.    ปัญหานักโทษการเมือง โดยข้อมูลจากองค์กร Assistance Association for Political Prisoners (Burma) ล่าสุดระบุว่า ยังคงมีนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่ 952 ในจำนวนนี้ มีจำนวน 487 คนที่ครอบครัวทราบว่าถูกคุมขังอยู่ที่ไหน ส่วนที่เหลือไม่รู้ชะตากรรม สุภัตราชี้ว่าปัญหานักโทษการเมืองเป็นภาระประการใหญ่ที่ซูจีไม่อาจปฏิเสธ เพราะนี่ก็เป็นเงื่อนไขหลักที่พรรคเอ็นแอลดีประกาศบอยคอตต์การเลือกตั้งเมื่อปี 2010 และต่อมาเมื่อซูจีได้รับการปล่อยตัว เรื่องนี้จึงภาระที่หนักอึ้งของเธอที่จะถูกคาดหวังจากสาธารณะ

2.     เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ซูจีได้เคยหาเสียงช่วงเลือกตั้ง รวมถึงการแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมอื่นๆ ที่สหประชาชาติชี้ว่าละเมิดสิทธิอีก 11 ฉบับ ซึ่งอันนี้จะเป็นภาระอีกอย่างที่หนักอึ้งของเธอเพราะความเป็นไปได้ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมีน้อยมาก เพราะต่อให้พรรคชนะได้ที่นั่งทั้งหมด ก็ยังคิดเป็นร้อยละ 7 ของทั้งรัฐสภาเท่านั้น และถึงแม้ว่ารวมกับพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี เพราะรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่าการแก้รัฐธรรมนูญต้องมีเสียงเห็นชอบอย่างน้อยร้อยละ 75

นอกจากนี้ ซูจีก็ยังยืนยันว่า เธอจะไม่เข้าร่วมเป็นรัฐบาล เพราะมีข่าวว่ารัฐบาลได้เตรียมที่นั่งพิเศษให้เธอไว้ คาดว่าจะเป็นกระทรวงที่เกี่ยวกับทางสังคม อย่างไรก็ตาม หากเธอไม่ยอมเข้าร่วม ในขณะที่ประธานาธิบดีเต็งเส่งยังคงดำเนินนโยบายประชานิยม ก็อาจไม่มีโอกาสได้สร้างผลงานและอาจทำให้ไม่สามารถไปแข่งขันได้เมื่อถึงการเลือกตั้งปี 2015

3.    ปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ โดยกลุ่มชาติพันธุ์ 12 กลุ่มได้รวมเป็นสภาสหพันธรัฐชาติสหภาพพม่า (UNFC) เพื่อเจรจากับรัฐบาล ที่ผ่านมา รัฐบาลสามารถเจรจาข้อตกลงหยุดยิงได้สำเร็จกับกองกำลังชนชาติว้า, กองกำลังพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติของรัฐฉานภาคตะวันออก และกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ แต่ที่ยังอยู่ปะทะกันอยู่คือ กองกำลังอิสระคะฉิ่น กองกำลังไทใหญ่ส่วนเหนือ และกองกำลังกะเหรี่ยงแห่งชาติ

ทั้งนี้ สุภัตรามองว่า แม้ว่าจะมีความหวังว่าเธอสามารถเป็นตัวกลางในการเจรจา แต่ทำได้ดีไหมนั่นคือคำถาม เพราะสิ่งที่กลุ่มชาติพันธ์เรียกร้องมาตลอดคือ ความเสมอภาค การปกครองแบบสหพันธรัฐ และวัฒนธรรมของตนเอง ไม่ว่าผู้ปกครองจะเป็นใครก็ตาม เมื่อสภาพการเมืองเปิดมากขึ้น ทำให้ความจำเป็นในการมีตัวกลางเจรจาเช่นนางซูจี ไม่มีความจำเป็นมากเท่าใดนัก

4.    เศรษฐกิจ การคว่ำบาตรของชาติตะวันตกนั้นส่งผลกระทบต่อประชาชนมากกว่าผู้นำทหารมาก ฉะนั้นเมื่อพม่าเปิดประเทศ แน่นอนว่าเม็ดเงินที่ไหลเวียนก็จะส่งผลดีขึ้นต่อประชาชน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 มี.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลพม่าเพิ่งผ่านกฎหมายการลงทุนของพม่าที่บังคับให้เอกชนต้องใช้แรงงานพม่า และออกกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เอื้อการลงทุนจากต่างชาติ ฉะนั้นการเข้ามาของเม็ดเงินต่างชาติจะไหลเข้ามาอย่างฉุดไม่อยู่ พรรคเอ็นแอลดีเองก็ไม่อาจปล่อยให้หน้าที่นี้เป็นแต่เพียงของรัฐบาลอย่างเดียว มิเช่นนั้นก็ไม่มีผลงานเป็นของตัวเองเช่นกัน

5.    สื่อมวลชน โดยเจาะจงเฉพาะสื่อลี้ภัยเช่น มิซซิม่า นิวส์ (Mizzima news) เสียงประชาธิปไตยแห่งพม่า (Democratic Voice of Burma) หรือนิตยสารอิระวะดี เมื่อเดือนที่ผ่านมาบรรณาธิการและนักข่าวของสื่อเหล่านี้สามารถกลับเข้าประเทศได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี และได้ไปพูดคุยกับรัฐมนตรีกระทรวงสื่อสาร คณะกรรมการเซ็นเซอร์สื่อ ซึ่งพวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปรายงานข่าวในประเทศได้ แต่ได้รับสัญญาณว่าให้รายงานอย่างประนีประนอมกับรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ก็นับเป็นความพยายามของประเทศที่ถือว่ามีเสรีภาพสื่อต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

6.    ประชาสังคม ที่จริงแล้วมีพลเมืองพม่าที่แอคทีฟทางการเมืองอยู่ในเมืองไทยเยอะ โดยเฉพาะปัญญาชนจากรุ่น 8888 (การประท้วงนำโดยกลุ่มนักศึกษาในเดือนสิงหาคม 1988) บางส่วนก็ได้ลี้ภัยไปยังประเทศที่สามแล้ว แต่ส่วนที่ยังอยู่ในประเทศก็ยังคงถูกจองจำในคุก และเมื่อการเมืองพม่าเปิดมากขึ้น ปัญญาชนก็ยิงเป็นที่ต้องการเนื่องจากขาดมากไม่ว่าจะในฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายของพรรคเอ็นแอลดี เพราะมหาวิทยาลัยในพม่าถูกปิดลงตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ภาระในชีวิตหรืออุดมการณ์ของนักศึกษาในรุ่นนั้นก็เปลี่ยนไปตามอายุ จึงคาดว่าคงใช้เวลาอีกนานที่ภาคประชาสังคมจะสามารถเข้าไปมีสวนร่วมในการปฏิรูปประเทศได้อย่างจริงจัง

"ขอสรุปว่า จากการสังเกตการณ์ เห็นว่าอนาคตของพม่าจะเป็นสายน้ำที่ไม่ไหลกลับ แต่ไม่แน่ใจว่า พรรคของซูจี จะได้ดอกผลจากตรงนี้แค่ไหน ก็ต้องติดตาม" สุภัตรากล่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: 10 ฐานรากของประเทศ พิมพ์เขียวของประเทศไทย

$
0
0

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวปาฐกถาระหว่างงาน "จับมือรวมพลัง ออกแบบประเทศไทย" ที่อิมแพค ชี้ต้องหยุดใช้คนจนหาเสียง แต่ต้องเอาจริงกับโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม แล้วให้ความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชนทั้งเรื่องทรัพยากร ทั้งเรื่องสิทธิ เพื่อเดินหน้าประเทศต่อไป 

หมายเหตุ: เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 55 ที่อิมแพค เมืองทองธานี มีการจัดงาน "จับมือรวมพลัง ออกแบบประเทศไทย" โดยเว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ รายงานว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “10 ฐานรากของประเทศ พิมพ์เขียวของประเทศไทย” มีรายละเอียดดังนี้

พี่น้องชาวประชาธิปัตย์ พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ ประมาณ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา เราจะได้ยินตัวแทนของพี่น้องประชาชนที่ไม่ใช่ตัวแทนในระบบของพรรคการเมืองได้แสดงออกถึงความห่วงใยประเทศชาติบ้านเมืองได้มีข้อเสนอแนะในการที่จะเดินหน้าออกแบบประเทศไทยกันต่อไป ผมอยากให้พวกเราปรบมือให้กำลังใจทั้งผู้แทนทั้ง 8 กลุ่ม ตลอดจนพี่น้องประชาชนที่สละเวลามาร่วมในการทำสมัชชาทั้ง 8 กลุ่มอีกครั้งหนึ่งครับ (เสียงปรบมือ)

วันนี้ที่เราบอกว่าเราจะมาจับมือรวมพลังออกแบบประเทศไทย ทำไมต้องมาออกแบบกันใหม่ เราเห็นชัดเจนครับว่า ถ้าเราปล่อยสภาพของการเมืองและบ้านเมืองเป็นไปอย่างทุกวันนี้ อนาคตข้างหน้าที่เรามองเห็นจะมีแต่ปัญหา มีแต่ความทุกข์ ความเดือดร้อน เห็นไม๊ครับว่าการเมืองที่ยึดอยู่กับเรื่องของผลประโยชน์ การเมืองที่ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน สุดท้ายมันเป็นวงจรที่กลับมาทำร้ายประชาชน

การเมืองที่เป็นการเมืองผูกขาด การเมืองที่ไม่สุจริต มีเครื่องมือใหม่ ๆ เสมอครับ ที่กำลังสร้างปัญหาให้กับบ้านเมือง เราต้องก้าวให้พ้นครับ วันนี้เครื่องมือหนึ่งที่เราต้องก้าวให้พ้นคือสิ่งที่เรียกว่า “ประชานิยม” ต้องก้าวให้พ้นตรงนี้ให้ได้ครับ

ประชานิยม ที่เป็นนโยบายที่ไม่ยั่งยืน ประชานิยม ที่เป็นนโยบายที่มีไว้เพื่อประโยชน์ของนักการเมืองในการหาคะแนนเสียง ไม่ได้แก้ปัญหาให้กับประชาชน คนที่อวดอ้างว่าแก้ไขปัญหาให้กับคนยากคนจน กลับกลายเป็นคนที่ทำให้หนี้สินของประชาชน และครัวเรือนเพิ่มมากที่สุดในประวัติศาสตร์

วงจรนั้นกำลังกลับมาอีกแล้วครับ ที่จะ “แดงทั้งแผ่นดิน” คือบัญชีของทุกครัวเรือนที่รายจ่ายสูงกว่ารายได้ เราต้องหยุด เราต้องพอกับสิ่งเหล่านี้ เราต้องก้าวข้ามให้พ้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องมาออกแบบเพื่อสร้าง “พิมพ์เขียวประเทศไทย” เราทำได้ครับ

ไม่ใช่เฉพาะที่เราเห็นเมื่อวานนี้ ไม่ใช่เฉพาะที่เราเห็นเมื่อสักครู่นี้ แต่เห็นไม๊ครับ ในช่วงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ก็ใครล่ะครับ แต่พี่น้องประชาชนที่มีจิตอาสาทั้งหลายที่ทำให้เราผ่านพ้นภัยพิบัตินั้นมาได้ นั่นคือพลังของพี่น้องประชาชนที่เราจะใช้

ผมคงไม่สามารถสรุปสิ่งที่เป็นข้อเสนอ สิ่งที่เป็นการสะท้อนปัญหาได้ครบถ้วนทุกกลุ่มหรอกครับ แต่ผมบอกว่า วันนี้เป็นวันเริ่มต้น ผมเพียงแต่จะเสนอกรอบความคิดในการสร้างพิมพ์เขียวประเทศไทย ที่เรากำลังจะออกแบบ โดยขอเสนอว่า เราต้องวาง 10 ฐานราก เลข 10 เลขดีนะครับ แต่ 10 ฐานราก ผมกลัวว่าจะจำยาก ก็บังเอิญครับ ภรรยาเป็นนักคณิตศาสตร์ 10 นั้นเท่ากับ 4 + 3 + 2 + 1 ผมเสนอ 4 ฐานรากสังคม 3 ฐานรากเศรษฐกิจ 2 ฐานรากการเมืองเพื่อนำให้ประเทศไทยเป็น 1 ในอาเซียน

4 ฐานรากทางสังคมที่จะต้องเป็นฐานรากสำคัญของประเทศไทยที่เรากำลังออกแบบ ผมขอเริ่มจากคำว่า “สังคมอบอุ่น ปรองดอง” แต่เอากันชัด ๆ ก่อนนะครับว่า ปรองดอง แปลว่าอะไร

ปรองดอง เป็นสิ่งที่ผมเป็นคนเริ่มต้นในวันที่เป็นนายกรัฐมนตรี ปรองดองคือการที่ต้องการให้คนไทยรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แม้จะมีความแตกต่างทางความคิด พรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าการสนับสนุนการปรองดองที่รวมคนไทยเป็นหนึ่งทั้งที่มีความแตกต่างทางความคิดแน่นอน แต่ปรองดองสร้างไม่ได้ ด้วยการบังคับ ด้วยการใช้เสียงข้างมาก ด้วยการข่มขู่ ด้วยการใช้อำนาจ และอย่าให้ใครปล้นคำว่าปรองดองไปใช้บังหน้า เพื่อล้างผิดให้กับคนโกง

ปรองดองต้องเริ่มจากสังคมที่อบอุ่นครับ และวันนี้ฐานรากสำคัญที่สุดในสังคมที่อบอุ่น เราต้องเริ่มต้นจากสถาบันครอบครัว ทำไมต้องกลับมาที่สถาบันครอบครัว เพราะวันนี้ครับ ปัญหาสังคม ปัญหาการศึกษา ปัญหาอีกหลายต่อหลายปัญหา ไปจนถึงอาชญากรรม ยาเสพติด เป็นเพราะเราปล่อยให้สถาบันครอบครัวในประเทศ ค่อย ๆ เสื่อมถอย ถึงขั้นที่จะล่มสลาย เรามีเด็กที่กำลังเติบโตมาโดยไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ มากขึ้น ๆ ตลอดเวลา เรามีเด็กที่โตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นไม่พร้อมที่จะมีครอบครัว แต่ที่สุดมีลูก สุดท้ายนี่คือที่มาของปัญหาสังคมมากมาย และความอ่อนแอในประเทศของเรา ฐานรากนี้เป็นฐานรากสำคัญที่พรรคประชาธิปัตย์จะจับมือกับพี่น้องประชาชนเพื่อสร้างสังคมที่อบอุ่นให้ได้ ต่อยอดจากนโยบายหลายอย่างที่เราได้ทำมา

รัฐบาลประชาธิปัตย์ทุกยุค ทุกสมัยครับ ต้องการสร้างโอกาสให้กับลูกหลานเรา ทำนโยบายเรื่องการศึกษา แต่ไม่ได้พูดเฉพาะเรื่องการเรียน ใครล่ะครับ เริ่มต้นโครงการ “นมโรงเรียน” โครงการอาหารกลางวัน และรัฐบาลที่แล้ว เอาจริง เอาจังมาก บอกว่า เด็กเล็กต้องได้รับการดูแล ส่งเสริมให้มีสถานดูแลเด็กเล็กในสถานประกอบการ และสถานที่ทำงานต่าง ๆ ฐานรากนี้สำคัญเพื่อที่จะเป็นภูมิคุ้มกันและการป้องกันปัญหาอื่น ๆ มากมายที่จะตามมา ผมเชื่อมั่นครับว่า ถ้าเราทำให้ครอบครัวอบอุ่น สังคมอบอุ่นปรองดอง ชุมชนของเราจะมีความสงบสุข สังคมของเราจะมีความเข้มแข็งและจะเป็นฐานรากที่สำคัญที่สุดของประเทศที่เรากำลังจะร่วมออกแบบกัน นั่นคือข้อที่ 1 ในส่วนของสังคม

ส่วนที่ 2 ครับ เราต้องวางฐานรากให้เกิดสังคมเรียนรู้ หรือสังคมแห่งการเรียนรู้ เรื่องนี้ เราจะเห็นว่าพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มที่มาสมัชชา ให้ความสำคัญมาก เมื่อวานผมเดินเยี่ยม ทุกห้อง ยังแปลกใจ นึกว่าเวลาไปพบกับกลุ่มที่บอกว่าเป็นกลุ่มธุรกิจจะคุยกันเรื่องธุรกิจ ไม่ใช่ครับ เริ่มต้นคุยกันบอก เริ่มที่เรื่องการศึกษา การเรียนรู้ ผมเดินไปกลุ่มคนทำงานอิสระก็ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษา เดินไปเกือบทุกห้องเขาบอกว่าการศึกษาการเรียนรู้ สำคัญ ประชาธิปัตย์ยังทำงานไม่เสร็จครับ ที่จริงทำงานมาตั้งแต่บอกว่า เรียนฟรี 6 ปี ทำจนถึง 15 ปี มีกองทุนกู้ยืมให้ สนับสนุนเรื่องการศึกษาและเด็กอีกหลายแนวทาง แต่ก็ยังไม่พอ วันนี้ต้องเดินหน้าในเรื่องของคุณภาพ เราจะปล่อยให้คะแนนโอเน็ต เอเน็ต มันต่ำลงทุกปี ๆ ๆ ไม่ได้ เราจะปล่อยให้เด็กที่เรียนจบมา ปรากฎว่ามีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของระบบเศรษฐกิจ ตกงานต่อไปไม่ได้ การปฏิรูปการศึกษาที่เราทำมาทุกครั้ง ตั้งแต่สมัยรัฐบาลของท่านนายกฯ ชวน มาจนถึงรัฐบาลที่แล้ว เริ่มต้นวางรากฐานไว้ แต่ที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่มีคนทำต่อ วันนี้เราต้องทำต่อให้ได้ และเราต้องจับมือ ร่วมมือกันสร้างเครือข่าย เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และผมเห็นด้วยกับหลายท่านที่ขึ้นมาบนเวทีนี้ที่บอกว่า การศึกษาวันนี้ไม่ใช่เฉพาะเรื่องวิชาการ แต่ต้องให้ทักษะในเรื่องชีวิต คุณธรรม จริยธรรม สร้างพลเมืองที่เข้มแข็งของสังคมไทย และประเทศไทย พร้อมๆ  ไปกับความรู้

สำคัญที่สุดครับ วันนี้การศึกษาสายอาชีพ จะต้องได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง ต้องไม่ถูกทอดทิ้ง ต้องไม่ถูกละเลย ผมเสียใจครับว่า นโยบายของรัฐบาลวันนี้บอกให้ 15,000 บาท แต่ให้เฉพาะคนจบปริญญา ในระบบราชการวันนี้ ช่องว่างระหว่างคนจบปริญญากับการจบสายอาชีพเงินเดือนอาจจะต่างกันถึงเดือนละ 6,000 บาท ซึ่งไม่ถูกต้องครับ

เราต้องการสังคมที่คนเรียนรู้ว่ามีทักษะ สอดคล้องกับความต้องการของประเทศอย่างเป็นธรรม และกระบวนการเรียนรู้ไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อออกจากโรงเรียนหรือสถานศึกษา เดินหน้าสร้างสภาวะแวดล้อมให้คนทุกกลุ่ม ทุกวัย สามารถเรียนรู้ได้ และเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งของประเทศต่อไป

ฐานรากที่ 3 ทางสังคมที่สำคัญ คือสังคมสวัสดิการครับ สังคมสวัสดิการต้องทำอย่างต่อเนื่อง ประชาธิปัตย์เราพยายามให้ทุกฝ่ายตระหนักว่า หลายสิ่งหลายอย่างเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถ้วนหน้า เบี้ยคนพิการถ้วนหน้า รักษาฟรี ปรับระบบการรักษาสุขภาพหรือหลักประกันสุขภาพต่าง ๆ ให้เกิดความเป็นธรรม ให้เกิดความสอดคล้องมากขึ้นตามความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ต้องเดินหน้า และไม่ใช่เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นเรื่องต่อรองในเรื่องของการสนับสนุน ไม่สนับสนุนรัฐบาล ไม่ใช่เป็นบุญคุณของรัฐบาลใด แต่ต้องเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานสวัสดิการของทุกคน

ไม่ต้องเอาเรื่องเหล่านี้มาเล่นการเมือง มาเล่นเรื่องการตลาด ผมเรียกร้องเฉพาะหน้าเลยครับ รักษาฟรีแล้วอย่ากลับไปเก็บ 30 บาท เพียงเพราะให้มันเป็นยี่ห้อ 30 บาท

นี่เป็นฐานรากที่เป็นความแตกต่างสำคัญที่สุดกับการต่อสู้กับปัญหาของประชานิยม เพราะถ้าเราสามารถทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิ เป็นระบบ นั่นเท่ากับเรากำลังเพิ่มเสรีภาพความมั่นคงให้กับชีวิตคนไทยทุกคน และเราจะต้องเดินหน้าเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และประชาธิปัตย์รวมทั้งพี่น้องประชาชนที่จะมาร่วมกับเรา จะคิดและสร้างสังคมสวัสดิการแบบยั่งยืน เราไม่ได้บอกว่าสังคมสวัสดิการเกิดขึ้นได้เพราะมีเงินจากรัฐบาลมาแจกครับ แต่เห็นไม๊ครับว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ ได้เริ่มต้นวางรากฐานว่า พี่น้องประชาชนต้องมีเงินออมมากขึ้น เราส่งเสริมกองทุนสวัสดิการชุมชน สมทบเงินเข้า เราออกกฎหมายกองทุนเงินออมแห่งชาติ เพื่อที่จะให้มันเป็นรากฐานรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต และที่สำคัญที่สุด เราเริ่มต้นกระบวนการดึงแรงงานทั่วประเทศที่ยังเหลืออีก 20 กว่าล้านคนเข้ามาสู่ระบบประกันสังคม สิ่งเหล่านี้ต้องเดินหน้าต่อไปเป็นรากฐานสำคัญของสังคมสวัสดิการ

ฐานรากที่ 4 ทางสังคมครับ คือเราจะต้องร่วมกันสร้างขึ้นมา คือสังคมที่เป็นธรรม วันนี้ เราได้ยินเสียงจากพี่น้องประชาชน จากหลากหลายกลุ่มมาก ที่ยังเข้าไม่ถึงทรัพยากรบ้าง เข้าไม่ถึงสิทธิบ้าง ถูกเลือกปฏิบัติบ้าง สังคมที่เราปรารถนาจะเห็น ที่จะเป็นธรรมนั้น เราต้องแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง ผมไม่อยากเห็นประเทศไทยมีคนที่ไร้ที่ทำกิน ไร้ที่อยู่อาศัยอีกต่อไป ประชาธิปัตย์เคยทำงานเรื่องปฏิรูปที่ดินมาจนถึงโฉนดชุมชน จนกระทั่งเริ่มตั้งธนาคารที่ดิน และเตรียมที่จัดเก็บภาษีที่ดินและทรัพย์สินให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม นั่นยังเป็นสิ่งที่เราต้องการออกแบบระบบความเป็นธรรมในประเทศต่อไป และผมแปลกใจครับ รัฐบาลที่อ้างคนจนตลอดเวลา กลับล้มเลิกแผนที่จัดเก็บภาษีทรัพย์สินและที่ดิน อย่างที่คุณกรณ์ เคยเสนอเอาไว้ ไม่มีเหตุผล

ผมต้องใช้คำว่า หยุดใช้คนจนหาเสียง แต่ต้องเอาจริงกับโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม แล้วให้ความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชนทั้งเรื่องทรัพยากร ทั้งเรื่องสิทธิ เพื่อเดินหน้าประเทศของเราต่อไป นั่น 4 ฐานรากทางสังคม

มาทางเศรษฐกิจบ้าง ฐานรากที่ 1 ครับ ก็กลับมาอยู่ที่ภาคการเกษตร เราต้องมีเกษตรเข้มแข็ง ผมไม่ต้องการเห็นมันสำปะหลังมาเทอยู่หน้าสภา ผมไม่ต้องการเห็นสัปปะรดกองอยู่ที่ถนนเพชรเกษม ผมไม่ต้องการเห็นพี่น้องประชาชนจะเป็นชาวนา ชาวไร่ ต้องขนผลิตภัณฑ์ของตนเอง หวังที่จะไปเข้าโครงการจำนำแล้วถูกโกง โกงน้ำหนัก โกงความชื้น โกงปริมาณ โกงทุกอย่าง และผมไม่ต้องการเห็นประเทศไทย เสียแชมป์ ผู้ส่งออกข้าว เพราะนโยบายที่ผิดพลาดอย่างนโยบาย “จำนำพืชผล”

เราไม่มาออกแบบให้ประเทศไทย กลับมาเป็นประเทศที่เกษตรเข้มแข็ง เกษตรกรประกอบอาชีพแล้วมีกำไร แล้วทำอย่างเป็นระบบ ทำโดยไม่มีการทุจริต และทำแล้วอาหารไทย เกษตรไทย แข็งขันได้ทั่วโลก เอานโยบายประกันรายได้กลับมาครับ

แล้วเดินหน้าส่งเสริมเรื่องการเพิ่มมูลค่าเพิ่มเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์การเกษตรของเราเพื่อแข่งขันในตลาดโลกให้ได้ เพราะนี่จะเป็นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ ผมยืนยันว่า ถ้าพี่น้องเกษตรกรไทย มีรายได้ดี มีความมั่นคง เศรษฐกิจไทยก็จะไปดี และมีความมั่นคงอย่างแน่นอนครับ

ฐานรากทางเศรษฐกิจ ฐานรากที่ 2 คือเศรษฐกิจนวัตกรรม อาจจะฟังดูยาก แต่ความจริงตรงนี้ประชาธิปัตย์ได้เริ่มต้นไว้แล้วจากเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Creative Economy รัฐมนตรีอลงกรณ์ พลบุตร ทำงานอย่างเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้มาก ผมกำลังจะบอกว่า ประเทศไทยวันนี้เศรษฐกิจไทยวันนี้อย่าหวังแข่งขันด้วยค่าแรงที่ต่ำ อย่าหวังแข่งขันจากการที่ทำหน้าที่ในการประกอบชิ้นส่วนที่นำเข้ามาแล้วก็ส่งออกไป แต่ต้องสร้างรายได้บนความคิด สร้างรายได้โดยไม่ไปกินทุนที่เป็นทรัพยากรของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติ หรือทรัพยากรทางด้านอื่น ๆ ซึ่งหมายความว่าหลายเรื่องที่พี่น้องประชาชนที่ร่วมสมัชชานำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนาทักษะ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันได้เสรีมากขึ้น และที่สำคัญก็คือไม่ว่าจะเป็นการต่อยอดการเรียนรู้ในเรื่องของการวิจัย และพัฒนา นี่คือหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต และเราจะต้องทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมแข่งขันในเรื่องนี้ได้ เป็นเศรษฐกิจนวัตกรรมอย่างแท้จริง

ฐานรากทางเศรษฐกิจที่ 3 ครับ ผมสรุปว่าประเทศไทยสีเขียว เพราะวันนี้ประเทศไทย สังคมไทยเราก็มีความรับผิดชอบต่อมวลมนุษยชาติ ต่อปัญหาโลกร้อน ต่อปัญหาการทำลายระบบนิเวศน์ การพัฒนาเศรษฐกิจของเราต่อไปนี้ จะต้องเป็นมิตรกับทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศน์ ต้องไม่มีปัญหาหมอกควันจากการเผาป่า ต้องไม่มีการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมแล้วพี่น้องประชาชนเจ็บป่วยจากมลพิษ เราต้องมาช่วยกันออกแบบมาตรการนโยบาย ออกแบบสังคม ออกแบบประเทศให้เป็นสีเขียวอย่างแท้จริง

ผมได้หารือกับหลายท่านในพรรคครับ มูลนิธิควง อภัยวงศ์ จะเป็นผู้ขับเคลื่อนในเรื่องของการปลูกป่าเอาจริง เอาจังกับเรื่องนี และจะช่วยป้องกันปัญหาภัยพิบัติ และน้ำท่วมได้ด้วย แล้วเราจะต้องมีนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายอุตสาหกรรมที่คำนึงถึงเรื่องของความเป็นมิตรกับทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง พลังงานทดแทนก็ดี การนำเอาเทคโนโลยีที่สะอาดก็ดี มาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของเรา จะเป็นฐานรากที่สำคัญของเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และประเทศไทยที่เราอยากจะเห็น

4 ฐานรากสังคม 3 ฐานรากเศรษฐกิจ ก็มาสู่ 2 ฐานรากทางการเมือง ฐานรากทางการเมืองที่สำคัญข้อแรก คือการเมืองเสรี การเมืองเสรีเริ่มต้นจากความเชื่อมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และประชาธิปไตย ต้องอยู่ในจิตใจของทุกคน ไม่ใช่เสื้อคลุมที่ซ่อนคนที่มีใจเป็นเผด็จการ

ประเทศประชาธิปไตย ที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงทั่วโลก การเมืองเสรี เสรีอย่างไร เสรีในการเปิดกว้างให้คนแสดงความคิดเห็น ใช้สิทธิ์ เคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การเมืองที่ลากกันด้วยเสียงข้างมากอย่างเดียว ไม่อยากฟัง ไม่ยอมฟัง ก็ปิดอภิปราย ไม่อยากฟัง ไม่ยอมฟัง คิดปิดอภิปรายไม่ทัน ก็ปิดไมค์ ไม่มีประชาธิปไตยในโลกที่ไหนเป็นแบบนี้ แล้ววันนี้ผมก็ขอขอบคุณผู้แทนของสมัชชา กลุ่มผู้ทำงานอิสระ ยืนขึ้นหน่อยสิครับ

พูดตรงประเด็นที่สุด เรื่องปัญหาความเป็นกลางในสังคม

ความเป็นกลาง หรือไม่เป็นกลาง ไม่ได้วัดกันที่ว่าอยู่ข้างไหน ความเป็นกลางไม่เป็นกลางอยู่ที่ว่า “คุณอยู่กับความจริงหรือไม่” ดีก็คือดี ชั่วก็คือชั่ว การบอกว่าคนชั่ว ไม่ชั่ว ไม่ได้เป็นกลาง

ผมจึงเรียกร้องว่าวันนี้ถ้าการเมืองจะเสรี พื้นที่สื่อต้องเปิด และผู้ที่ประกอบวิชาชีพทุกคน ต้องกล้าหาญที่จะเสนอความจริง เราไม่มีทางจะมีการเมืองเสรี และมีฐานรากทางการเมืองที่แข็งแกร่งได้ถ้าสิทธิ เสรีภาพอย่างนี้ ถูกจำกัด เดินหน้าเพื่อให้การเมืองของเรานั้น เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เราจึงจะสามารถผลักดันแนวคิด พิมพ์เขียวของประเทศทั้งเรื่องเศรษฐกิจ และสังคมได้ เพราะถ้าเราปล่อยให้มีการผูกขาดการเมือง มันก็ย้อนกลับไปการเมืองเพื่อนักการเมือง การเมืองเรื่องผลประโยชน์ การเมืองเรื่องช่วงชิงอำนาจ แล้วก็อ้างประชาชนเป็นเพียงเบี้ยในกระดาน

การเมืองนี้ ที่เป็นการเมืองเสรี ต้องร่วมกันสร้างและเราต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา ต้องต่อสู้ร่วมกันให้ได้มา พลังของพวกเราทุกคนจะมีความสำคัญมาก ในภาวะที่เขาพยายามปิดกั้นทุกช่องทาง และผมยืนยันครับ พวกเราทุกคนในพรรคประชาธิปัตย์หลายคนเป็นห่วงเป็นใย บอกสู้ได้หรือเปล่า เขามีทุกสิ่งทุกอย่าง ปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ผมบอกว่าพวกผมที่ยืนกันอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครกลัว และไม่มีใครถอยแน่นอน

มิฉะนั้นพวกเราไม่ยืนมา 66 ปี ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการกดขี่ และรูปแบบของเผด็จการที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ฐานรากที่สำคัญข้อที่ 2 ทางการเมืองครับ คือ รัฐต้องโปร่งใส ยุติธรรม

วันนี้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น รุนแรงมากขึ้นโดยลำดับ ผมอยากจะย้ำครับว่าแม้แต่ภาคธุรกิจ เอกชนวันนี้ เขาตื่นขึ้นมาแล้ว เขาสร้างเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นแล้ว แต่เขาต้องการการสนับสนุนจากประชาชน วันนี้รัฐกำลังจะใช้เงินมากมายมหาศาล โครงการหลายแสนล้าน หรืออาจจะเป็นล้านล้าน เพราะรัฐบาลนี้กู้เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์

สมัยรัฐบาลที่แล้ว โครงการแก้ปัญหาน้ำท่วม ถ่ายรูปมาให้ดูหมดครับ จะไปฟื้นฟูที่ไหน ด้วยเงินเท่าไหร่ ขึ้นเวปไซต์ตรวจสอบได้ ร้องเรียนมาได้ วันนี้เราเรียกร้องว่า รัฐบาลต้องทำเช่นเดียวกับโครงการฟื้นฟูแก้ปัญหาน้ำท่วม และลงทุนในเรื่องของน้ำท่วม และโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดทุกโครงการ เพราะทุกบาท ทุกสตางค์เป็นภาระของพี่น้องประชาชน

วันก่อนผมหลงดีใจ เขาบอกว่ามีเวปไซต์ที่จะให้ดูว่าโครงการของรัฐบาลอยู่ที่ไหนอย่างไร อนุมัติไปแล้วเท่าไหร่ ผมเข้าไปครับ เสร็จแล้วเขาก็ขอผู้ใช้กับรหัสผ่าน ซึ่งเขาก็ไม่ให้ แล้วก็ไม่บอกด้วยว่าจะไปเอาอย่างไร รัฐที่ไม่โปร่งใส ไม่มีทางเป็นรัฐที่ให้ความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชนได้

พวกเราทุกคนต้องเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานในการรับรู้ข้อมูลก่อน นั่นเป็นเพียงขั้นแรก และเมื่อได้ข้อมูลแล้ว เรานี่แหละครับ ทุกคนต้องเป็นหูเป็นตาว่า ที่บอกว่าจะมาทำถนน ที่บอกจะมาขุดลอก ที่บอกจะมาทำแหล่งน้ำ ทำจริง อย่างที่ว่า สมราคาหรือไม่ ถ้าเราจับมือกันอย่างนี้ ผนึกกำลังกันอย่างนี้ เราจึงจะสร้างรัฐที่โปร่งใสได้ แต่โปร่งใสอย่างเดียวไม่พอครับ ผมใช้คำว่า โปร่งใส และยุติธรรม

การบังคับใช้กฎหมาย เป็นปัญหาที่สังคมไทยมีปัญหามาโดยตลอด ที่ต้องออกแบบกันใหม่เพราะเราต้องหลุดพ้นจากปัญหา หรือจุดอ่อนตรงนี้ของสังคมไทยให้ได้ และเราไม่มีทางหลุดพ้นได้หรอกครับ ถ้าเราตั้งเป้าว่าใครทำผิด ไม่เป็นไร มีอำนาจเมื่อไหร่ มาล้างผิดได้ อย่างนี้ไม่ได้ครับ

เราต้องรักษากฎหมาย ความถูกต้อง เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ต้องไม่มี “2 มาตรฐาน” 2 มาตรฐานไมได้แปลว่า เวลาผมแพ้คดีเป็น 2 มาตรฐาน ไม่ใช่ครับ ถ้าคดีชนะก็ไม่เป็นไร ถ้าคดีแพ้เป็น 2 มาตรฐาน อย่างนั้นไม่ใช่คำนิยามของ 2 มาตรฐาน

2 มาตรฐานคือ ต้องให้ระบบกฎหมายเดินไปตามข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายอย่างตรงไป ตรงมา ถ้าใครใช้กฎหมายแล้วบอกคนเป็นพวกหลุดคดี ใครอยู่ฝ่ายตรงข้ามต้องถูกกลั่นแกล้ง สังคมจะไม่มีความยุติธรรม และจะไม่มีความสงบสุข รากฐานทางการเมืองที่สำคัญจึงต้องเป็นรากฐานทางการเมืองที่รัฐโปร่งใส ยุติธรรม เพื่อประโยชน์สุข ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

4 ฐานรากสังคม 3 ฐานรากเศรษฐกิจ 2 ฐานรากทางการเมืองครับ วันนี้ต้องทำให้เรามาสู่ 1 ฐานรากของการที่ประเทศไทยจะต้องเป็นศูนย์กลางอาเซียน

วันนี้ขออนุญาตครับ มีเลขาธิการอาเซียนมาอยู่กับเราตรงนี้ครับ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ครับ ใกล้ครบวาระแล้วครับ ครบแล้วก็จะไม่ไปไหนใช่ไม๊ครับ มาออกแบบประเทศไทย กับพี่น้องคนไทย เราจะต้องเป็นศูนย์กลางอาเซียน เพราะเราตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของอาเซียน จับมือกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย พัฒนาเชื่อมโยง ทางโลจิสติกส์ ทางการขนส่ง ทางการคมนาคม ตามแนวทางที่จะผลักดันให้ 10 ประเทศในอาเซียน เป็น 1 ประชาคม

ถนนหาทางนี่ครับ ที่จะต้องทำเราได้เริ่มต้นโครงการต่าง ๆ เอาไว้มากมาย จะเปิดประตูทางตะวันตกออกสู่ทวาย นั่นก็เป็นสิ่งที่เราเริ่มต้นไว้ จะเชื่อมโยงไปทางอินโดจีน ตามแนวการพัฒนาตะวันออก ตะวันตก ทั้งที่มาผ่านทางตอนล่าง ก็คือกัมพูชา แลเวียดนาม หรือทางตอนบน ที่มี 4 แยกอินโดจีน อยู่ที่พิษณุโลกไปลาว และเวียดนาม ต้องมีการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยง ลดต้นทุนต่าง ๆ เชื่อมโยงทางพลังางนให้เราสามารถใช้ศักยภาพของเครือข่ายทางพลังงานของ 10 ประเทศร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พัฒนาระบบขนส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถไฟความเร็วสูง ที่เราเป็นผู้เริ่มต้นในการเจรจาดึงจีนเข้ามาร่วม เพื่อเชื่อมตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศจีน ไปสู่สิงคโปร์

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราจะต้องช่วยกันออกแบบและผลักดันเพื่อให้ประเทศไทยนั้นได้ประโยชน์สูงสุดจากการเป็นที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน และจากการที่เราเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน ที่จะเกิดขึ้น ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปีข้างหน้า

4 – 3 – 2 – 1 บวกกันได้ 10 เป็น 10 ฐานราก ที่เราจะต้องใช้ในการร่วมกันออกแบบประเทศไทยเพื่อสร้างพิมพ์เขียวใหม่

วันนี้เราเริ่มต้นแล้วครับ แต่เรายังต้องทำงานกันอีกหนัก หลังจากวันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากปิดสมัยประชุมสภา ซึ่งผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะปิดสักทีนะครับ หลังจากปิดสมัยประชุมสภา ผม และเพื่อน ๆ พรรคประชาธิปัตย์ จะออกไปทั่วทุกภูมิภาค ทำสมัชชากับประชาชนทุกกลุ่ม

หยิบปัญหาทุกปัญหา เอามาคิดทุกความคิดมาร้อยเรียงกันบนฐานราก 10 ข้อนี้ สร้างพิมพ์เขียวประเทศไทยด้วยกัน และตั้งใจว่าภายในเดือน สิงหาคม พิมพ์เขียวประเทศไทย ฉบับใหม่เสร็จ

ผมยืนยันว่า ประชาธิปัตย์ทำเรื่องนี้โดยลำพังไม่ได้ ประชาธิปัตย์จะทำเรื่องนี้ เคียงข้างพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มและทุกสีด้วย

เพื่อเดินหน้าประเทศไทยต่อไป ผมไม่ต้องการเห็นความล้มเหลว ที่เกิดขึ้นจากการเมืองอีกต่อไป นอกจากสถานการณ์ปัญหาการเมืองเฉพาะหน้า ความไม่ถูกต้องที่เราต้องต่อสู้ และจะต่อสู้อย่างเข้มแข็งแล้ว เราต้องเตรียมตัวของเราครับ เพราะเวลาไม่คอยประเทศไทย โลกไม่คอยประเทศไทย เราต้องก้าวเดินตั้งแต่วินาทีนี้

เราจะรอให้ประชาคมอาเซียนเกิด เราจะรอให้เรากลายเป็นสังคมผู้สูงอายุไปแล้ว เราจะรอให้ทั่วโลกเขาเดินหน้า ก้าวหน้าไป แล้วเราจะวนเวียนอยู่กับการเมืองเพื่อนักการเมือง มันไม่มีอนาคตสำหรับลูกหลานเราแบบนั้น ดังนั้นวันนี้ครับ ผมขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งหนึ่งที่ได้มาร่วมในกระบวนการที่สำคัญยิ่งของงานของพรรคประชาธิปัตย์จากวินาทีนี้ไป และเชิญชวนพวกเราครับ จับมือรวมพลัง ออกแบบประเทศไทยให้เป็นประเทศไทยที่สงบ ร่มเย็น เพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนคนไทย ทุกคนครับ ขอบคุณครับ

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คอป.รอบ3 เสนอเยียวยารายเดือนแทน จี้ตอเดิมเลิกตีตรวน-สิทธิประกันตัว-ม.112

$
0
0

ย้ำยกเลิกตีตรวนผู้ต้องหา,ดันสิทธิการประกันตัวผู้ต้องหาคดีการเมือง,ย้ำรัฐบาล-สภากล้าแก้ม.112,เสนอใช้งบรัฐเยียวยา แต่ควรจ่ายเป็นรายเดือนไม่ผลักภาระให้ผู้ได้รับผลกระทบดูแลตนเอง,ต้องใช้ “เวลา” ไม่ควรเร่งรัดกระบวนการปรองดอง

2 เม.ย.55คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้ส่งรายงานรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของคอป.ครั้งที่3ช่วงเดือนกรกฎาคม2554ถึงเดือนมีนาคม2555ให้นายกรัฐมนตรี โดยย้ำข้อเสนอและเหตุผลที่ควรยกเลิกการตีตรวนผู้ต้องหา, ตามความคืบหน้าการผลักดันสิทธิการประกันตัวผู้ต้องหาในคดีการเมือง, เน้นให้รัฐบาลและรัฐสภาใช้ความกล้าหาญในการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ให้กลับไปก่อนการแก้ไขเพิ่มโทษจากคณะรัฐประหารปี 2519, เสนอให้รัฐจ่ายค่าชดเชยเป็นรายเดือนเพื่อไม่ผลักภาระให้ผู้ได้รับผลกระทบดูแลตนเอง และเป็นการคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์, ไม่ควรเร่งรัดกระบวนการใดๆ ในการปรองดอง

 

ส่วนของข้อเสนอแนะที่ปรากฏในรายงานระบุว่า

“ตามที่คอป. เคยมีข้อเสนอแนะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งและผู้ที่มีส่วนในการสร้างความปรองดองในชาติทุกฝ่ายใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวดในการกระทำการใดๆซึ่งอาจเป็นการกระทบกระเทือนต่อบรรยากาศในการปรองดองของชาตินั้นคอป. เห็นว่าในขณะนี้ปัญหาความขัดแย้งยังคงดำเนินอยู่และบรรยากาศของความปรองดองยังไม่เกิดขึ้นในสังคมไทยคอป. จึงขอเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง..ร่วมกันประคับประคองสถานการณ์ความขัดแย้งและให้ความสำคัญต่อการสร้างบรรยากาศของความปรองดองในชาติ”

“กระบวนการปรองดองเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเวลาความอดทนและการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายและทุกภาคส่วนในประเทศเครื่องมือและกลไกต่างๆในการสร้างความปรองดองเช่นการเปิดเผยความจริงและรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งการเยียวยาฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบการอำนวยความยุติธรรมแก่เหยื่อการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดซึ่งต้องเป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติการเจรจาไกล่เกลี่ยและการจัดทำเวทีประชาเสวนาเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจร่วมกันในสังคมโดยการสนับสนุนของรัฐล้วนแต่ต้องอาศัย “เวลา” ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่สำคัญอย่างยิ่งของการปรองดองด้วยเหตุนี้คอป. จึงเห็นว่าการดำเนินการใดๆของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยพยายามที่จะรวบรัดหรือเร่งรัดกระบวนการปรองดองนั้นเป็นการกระทำที่ไม่เอื้อต่อบรรยากาศของการปรองดองทำให้สังคมเกิดความหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันและถือเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อความพร้อมในการเจรจาร่วมกันเพื่อหาทางออกไปสู่ความเข้าใจที่ดีของคนในสังคมและการปรองดองในชาติต่อไป”

“ก่อนที่คอป. เสนอรายงานความคืบหน้าครั้งที่1 เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความปรองดองในชาติก่อนหน้าที่รัฐบาลปัจจุบันเข้าบริหารประเทศคอป. ได้มีข้อเสนอแนะมาแล้ว2 ครั้งคือ

ครั้งแรกคอป. ได้ปรารภถึงการใช้เครื่องพันธนาการกับผู้ถูกกล่าวหาของกรมราชทัณฑ์ซึ่งขาดความเหมาะสมและความถูกต้องตามหลักเกณฑ์อันเป็นสากลสมควรจักได้ปรับปรุงให้เหมาะสมและถูกต้องตามหลักเกณฑ์อันเป็นสากลและว่าการปรับปรุงดังกล่าวนี้ชอบที่จะกระทำเป็นการทั่วไป

ครั้งที่สองคอป. ได้เสนอเกี่ยวกับการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐของกระบวนการยุติธรรมที่ยังไม่ถูกหลักกฎหมายสมควรที่กระบวนการยุติธรรมของประเทศทุกองค์กรจะได้ทำความเข้าใจกันเสียใหม่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมซึ่งความเป็นธรรมนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความปรองดองและเกิดสันติในชาติ

เกี่ยวกับข้อเสนอแนะครั้งแรกในเรื่องเครื่องพันธนาการคอป. ขอเรียนว่าการตอบรับต่อข้อเสนอแนะจากภาครัฐยังไม่เป็นที่น่าพอใจนักและคอป. ขอเรียนยืนยันว่ารัฐสามารถหยิบยกเรื่องดังกล่าวนี้ขึ้นมาดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักอันเป็นสากลได้

คอป. เห็นว่ามาตรฐานของกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์ของไทยเราสอดคล้องกับมาตรฐานสากลเป็นอย่างยิ่งเหตุนี้คอป. จึงใคร่ขอให้รัฐบาลได้สั่งการให้แก้ไขทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติและการแก้ไขแนวทางปฏิบัติชอบที่จะกระทำเป็นการทั่วไปเพื่อให้เกิดผลสำหรับผู้ต้องขังทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

เกี่ยวกับข้อเสนอครั้งที่2ในเรื่องการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐนั้นการตอบรับจากองค์กรในกระบวนการยุติธรรมของรัฐก็เป็นไปในทิศทางที่ไม่น่าพอใจเช่นเดียวกันด้วยเหตุนี้จึงควรมีการปรับปรุงและเสริมสร้างความเข้าใจหลักการของการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐ”

“คอป. ใคร่ขอย้ำว่าการที่กระทรวงยุติธรรมได้นำเอาเงินของ “กองทุนยุติธรรม”เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการปล่อยชั่วคราวนั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดในหลักการเป็นอย่างยิ่งเพราะเรื่องการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมโดยตรงที่จะต้องทำความเข้าใจและปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักการแห่งกฎหมายในการเรียกร้องหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวเพราะตามหลักกฎหมายนั้นกฎหมายไม่ได้เรียกร้องหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวแต่ประการใด”

“ดังนั้นการที่องค์กรในกระบวนการยุติธรรมมีการเรียกหลักประกันในทางปฏิบัติอยู่ตลอดมาเกือบจะทุกกรณีนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและเหมาะสมและข้อนี้คอป. ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนดังกล่าวมาแล้วเนื่องจากยังมีความไม่ถูกต้องในหลักกฎหมายของทางปฏิบัติที่ดำรงอยู่ในการเรียกหลักประกันดังกล่าวมาแล้วคอป. จึงใคร่ขอเรียนว่าความพยายามในการสกัดกั้นการทำมาหากินของ“นายประกันอาชีพ” และ “บริษัทประกันภัย”นั้นเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายทางการเมืองและทุกองค์กรในกระบวนการยุติธรรมของประเทศจักต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกล่าวคืออย่างน้อยฝ่ายบริหารควรทำความเข้าใจกับองค์กรในกระบวนการยุติธรรมทางฝ่ายเจ้าพนักงานอันได้แก่พนักงานสอบสวนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตำรวจหรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษรวมตลอดถึงพนักงานอัยการควรศึกษาและทำ
ความเข้าใจเกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราวกันใหม่ส่วนองค์กรศาลนั้นคอป. เห็นว่าหากมีทางใดที่ทุกฝ่ายสามารถทำให้ความเข้าใจหลักกฎหมายที่ถูกต้องเกิดขึ้นได้ด้วยก็เป็นการสมควรที่จะต้องกระทำเพราะจะทำให้รัฐสามารถนำเงิน “กองทุนยุติธรรม” ของกระทรวงยุติธรรมไปใช้ในทางที่ถูกต้องและเหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“คอป. ได้เสนอแนะให้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปแล้วคอป. จึงหวังว่ารัฐบาลและรัฐสภาจักได้ร่วมกันแสดงความกล้าหาญในทางการเมืองเพื่อขจัดเงื่อนไขปัญหาของสังคมอันจะเป็นแนวทางในการสร้างความปรองดองและสันติของคนในชาติต่อไป”

“ในเรื่องเกี่ยวกับการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบนั้นการประชาสงเคราะห์คือการดูแลประชาชนของรัฐในประเทศไทยที่มีมาโดยตลอดกล่าวคือเมื่อประชาชนมีความเดือดร้อนไม่ว่าจะเกิดจากภัยใดๆรัฐก็จะใช้ “มิติการสงเคราะห์” เข้าขจัดความเดือดร้อนนั้นซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่หลักของรัฐ”

“นอกจากนี้การดูแลและเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจะต้องไม่เป็นการกระทำที่เป็นการลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลกล่าวคือต้องเป็นการกระทำใน “มิติการขอโทษ” โดยไม่เป็นการดูแลและเยียวยาที่กระทำไปในทางที่อาจส่งเสริมให้บุคคลเกิดความโลภอันเป็นกิเลสของมนุษย์การเยียวยาด้วยเงินจำนวนมากในครั้งเดียวเป็นการที่รัฐผลักภาระให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบต้องดูแลตนเองและจัดการกับเงินจำนวนนั้นอย่างไม่มีความยั่งยืนการดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเป็นรายเดือนจึงเป็นตัวอย่างหนึ่งของการเยียวยาที่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเป็นการเยียวยาที่มีความยั่งยืน”

“สุดท้ายคอป. เห็นต่อไปว่าเงินที่ใช้ในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เป็นการเยียวยาเป็นรายเดือนดังกล่าวชอบที่จะปรากฏในงบตามพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีของรัฐทั้งนี้เพื่อว่าในทุกปีงบประมาณรัฐบาลที่บริหารประเทศที่เสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีและรัฐสภาที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีจักได้ร่วมกันรำลึกและตระหนักในการขอโทษต่อประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงเพื่อนำไปสู่การให้อภัยอย่างแท้จริงทั้งจะเป็นการร่วมกันรำลึกและตระหนักรู้ในการเยียวยาที่มีความยั่งยืนที่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ดังกล่าวมาแล้ว”

 

ดาวน์โหลด: รายงานความคืบหน้า คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ครั้งที่ 3 (กรกฎาคม 2554 - มีนาคม 2555)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ประชาไทบันเทิง: ร้ายสไตล์บายรุ้งรวี ‘ศักดิ์ศรีของพริตตี้’

$
0
0

“อาชีพพริตตี้เป็นอาชีพที่สุจริต เราไม่ได้ทำอาชีพนี้บนความเดือดร้อนของผู้อื่น และอย่าด่าโง่แบบเหมารวม เพราะว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ต้องใช้สมอง ใช้ไหวพริบสติปัญญา ถ้าไม่เชื่อเราท้าแข่งความรู้รอบตัว ทั้งภาษาไทยและอังกฤษกับคุณระเบียบรัตน์ เอาไหมพริตตี้ที่คุณว่าโง่ๆ อย่างเราๆ คิดว่าก็ไม่แพ้คุณ”

นี่คือหนึ่งในประโยคที่ตัดตอนมาจากคำสัมภาษณ์ในหัวข้อข่าว ‘พริตตี้ปริญญา จัดหนัก ถล่มระเบียบรัตน์ ตกยุค ท้าดีเบตความรู้รอบตัว !” (หาอ่านฉบับเต็มกันที่ได้ http://www.thairath.co.th/content/life/249265) ซึ่งเป็นผลมาจากที่ป้าเบียบของเราออกมาฉะเรื่อง (เดิมๆ) ว่าพริตตี้นั้นแต่งตัวไม่เหมาะสม ตามข่าวปรากฏว่า

“ส่วนค่ายรถที่เอานางแบบฝรั่งใส่บีกินี โชว์เนื้อหนังมังสา คงคิดว่าจะหลบคำวิจารณ์ได้ แต่ยิ่งเห็นภาพที่ใส่ชุดขาวบางอำพรางอวัยวะเพศ แต่มันวาบหวิว ดิฉันว่ามันน่าเกียดมาก เป็นการเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ เอาธุรกิจมาเป็นตัวนำหาผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงความเหมาะสม ดังนั้น การจัดงานมอเตอร์โชว์ที่ยังเหลือเวลาอีกหลายวัน จึงอยากจะให้ผู้จัด และค่ายรถยนต์ต่างๆ ช่วยดูแลการแต่งกายให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การจัดงาน ส่วนสาวๆ พริตตี้ ที่อยากทำงาน อยากได้เงิน ก็ควรมีสมอง ไม่ใช่อยากได้เงิน แต่สมองฝ่อ เพราะจะเป็นการทำลายบ้านเมืองด้วย” (เดลินิวส์)

 

มันเป็นเรื่องเดิมๆ ที่เกิดขึ้นทุกปีเมื่อมีการจัดงาน ‘มอเตอร์โชว์’ กับกระแส ‘โปร’ และ ‘คอน’ ที่มีทั้งการเผยแพร่น้องพริตตี้น่าตาน่ารักกับยานยนต์รุ่นใหม่ตามเว็บต่างๆ และมีคำวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการแต่งกาย ความโป๊เปลือยตามมา ดังเช่นเจ๊เบียบ ที่ออกมาพูดเรื่องนี้ทุกปี ชวนให้สงสัยว่า เอ๊ะ! เรายังไม่อาจก้าวข้ามเรื่องแบบนี้ไปได้อีกหรือ หรือเรายังไม่อาจชี้ให้คนในสังคมใช้วิจารณญาณของตนเองตัดสินในเรื่องแบบนี้ได้อีกหรือ จึงมีการออกมาฉะ ออกมาตอบโต้กันทุกๆ ปี คาดว่าสงกรานต์นี้เดี๋ยวก็มีเรื่องคล้ายๆ ปีก่อน ทั้งเรื่องการรณรงค์ไม่ให้ผู้หญิงแต่งโป๊เปลือยไปเล่นน้ำ รวมถึงอาจมีมือปราบศีลธรรมของสังคมสักคนไปถ่ายคลิปอะไรมาแล้วเอาโพสต์เป็นข่าวต้องรีบหาตัวผู้กระทำการให้ศีลธรรมในสังคมเสื่อมเสียมาลงโทษอีกเช่นเคย

ในกรณีของเจ๊เบียบ ดิฉันขอข้าม ไม่ขอกล่าวถึงหรือวิพากษ์วิจารณ์ เพราะมันคงเป็นการต่อสู้เดิมๆ กับความเชื่อเดิมๆ ที่ไม่มีประโยชน์อันใดจะมานั่งต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไปแล้ว (แต่แน่นอนว่าเราก็ต้องสู้กับวาทกรรมแบบนี้ต่อไป ซึ่งในประเด็นที่ดิฉันจะกล่าวต่อไปนั้นคงครอบคลุมถึงการต่อสู้กับวาทกรรมแบบเจ๊เบียบนี้เช่นเดียวกัน) ความน่าสนในของประเด็นนี้จึงอยู่ที่การอกมาต่อสู้ของพริตตี้ ผ่านการทำข่าวของสื่อมวลชน ที่คัดเฟ้นประเด็น รวมถึงตัวบุคคล หรือคุณสมบัติของตัวบุคคลของพริตตี้ในการออกมาต่อสู้กับวาทกรรมของเจ๊เบียบ ซึ่งทำให้เราได้เห็นถึง 2 มุมมองที่ไปด้วยกันได้ดีนั่นก็คือในมุมของพริตตี้ และมุมมองของสื่อมวลชนที่พยายามจะต่อสู้เรื่องนี้ไปด้วยกัน (เช่นเดียวกันกับกระแสสังคมตามกระทู้ต่างๆ ที่เห็นไปในทิศทางการ ‘เชียร์’ ฝ่ายพริตตี้)

จำได้ว่าหลายปีก่อนหน้านี้ สกู๊ปข่าวแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่เป็นการสัมภาษณ์พริตตี้ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และธรรมศาสตร์ ในการทำงานเป็นพริตตี้ พูดง่ายๆ เข้าประเด็นก็คือ ในท่ามกลางกระแสการโจมตีการแต่งตัวไม่เหมาะสมของพริตตี้ หรือการนำเอาผู้หญิงมาแต่งตัวสวยๆ เซ็กซี่หน่อยๆ ยืนข้างรถ ที่ถูกมองว่าขายความน่ารัก และรูปร่างหน้าตานั้น การทำสกู๊ปข่าวอันนี้เป็นความพยายามที่จะโต้แย้งว่า ถึงแม้พริตตี้ซึ่งเป็นอาชีพที่ขายรูปลักษณ์ รูปร่างหน้าตาจะดูเหมือนไม่ได้ใช้สมองอะไร แต่เด็กพวกนี้ฉลาด มีความรู้มากนะ เรียนมหาวิทยาลัยดังเชียวแหละ และงานพริตตี้ก็ไม่ใช่ที่ใครจะมาดูถูกได้นะ เห็นไหม เด็กนักศึกษามหาวิทยาลัยอันโด่งดังของประเทศก็ยังมาทำงานนี้เลย และทำอย่างภูมิใจเสียด้วย

นั่นคือหลายปีที่ผ่านมา...

 

Pretty Motor Show 2012
Pretty Motor Show

 

พอมาถึงปีนี้ เมื่อมันมีชนวนมาจากการสัมภาษณ์ของเจ๊เบียบ จึงมีการทำข่าวในทำนองเดียวกันเพื่อตอบโต้ประเด็นดังกล่าวดังที่ปรากฏข้างบน โดยเนื้อหาการตอบโต้ หรือการนำเสนอก็ไม่ต่างจากที่ผ่านมามากนัก เพียงแต่ขยายสถาบันการศึกษาของพริตตี้ให้มากขึ้น แต่เน้นไปที่ ‘การจบเกียรตินิยม’ ‘เกรดเฉลี่ย’ ‘นักศึกษาปริญญาโท’ และ ‘กตัญญูหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว’

คำถามที่ตามมาก็คือ...แล้วไง ? นี่มันใช่ประเด็นในการตอบโต้ หรือหักล้างวาทกรรมอย่างเจ๊เบียบแล้วหรือ โอเค...หากเราเชื่อตามนั้น ขอถามหน่อยว่า...นักศึกษาที่ไม่ได้เรียนจุฬา ธรรมศาสตร์ ไมได้จบเกียรตินิยม เกรดเฉลี่ยไม่สูงสวยงาม นำเงินให้พ่อแม่บ้าง ซื้อกระเป๋าหลุยส์วิตตองมาใช้บ้าง แล้วเธอพวกนี้อยู่ใน ‘ประเภท’ ไหนของการพริตตี้ สมมติ (ต้องสมมตินะคะ แม้ความสวยจะผ่านก็ตามที) ถ้าดิฉันเป็นพริตตี้คนหนึ่งจบจากมหาวิทยาลัยชื่อไม่ดัง (จบ ม.6 ก็ได้ ไม่รู้ว่าเกณฑ์การเป็นพริตตี้ต้องการศึกษามหาวิทยาลัยด้วยหรือเปล่า) เกรดเฉลี่ยก็แกนๆ ไม่ได้เกียรตินิยม ไม่ได้เรียนต่อปริญญาโท นั่นหมายความว่า ดิฉันตองลาออกจากการเป็นพริตตี้ไหม ดิฉันไม่อาจอวดอ้าง เสนอหน้าในฐานะพริตตี้ออกมาต่อสู้กับเจ๊เบียบเลยใช่ไหม

เรื่องนี้จะกล่าวโทษน้องสาวสวยพริตตี้ ผู้มีโปรไฟล์เลอเลิศทั้งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง ได้รับเกียรตินิยม เกรดเฉลี่ยสวยงาม เป็นถึงนักศึกษาปริญญาโท และเลี้ยงดูครอบครัว แต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะการ ‘ชง’ ลูกเพื่อตอบโต้กับข้อกล่าวหาของเจ๊เบียบนั้นมาจากสื่อมวลชนที่ทำสกู๊ปข่าวนี้ขึ้นมา ในขณะที่เพื่อนพ้องน้องพี่ชาวพริตตี้ทั้งหลาย (ซึ่งไม่รู้ว่ามีสมาคมพริตตี้แห่งประเทศไทยหรือยัง) สมควรจะออกโรงมาต่อสู้ร่วมกัน เพื่อศักดิ์ศรีในอาชีพ ในความเป็นผู้หญิง แต่กลับกลายเป็นว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ได้กีดกันและแบ่งชนชั้นพริตตี้ออกไปโดยการอวดอ้างถึงโปรไฟล์อันเลอเลิศต่างๆ ของบรรดาพริตตี้ที่ให้สัมภาษณ์ในการออกมาตอบโต้เจ๊เบียบในครั้งนี้ เพื่อที่จะให้พ้นข้อความกล่าวที่ว่า ‘พริตตี้’ ไม่มีสมอง ด้วยการโชว์มหาวิทยาลัยที่เรียนจบมา เกรดเฉลี่ย เกียรตินิยม การเรียนต่อปริญญาโท (และมีหมายเหตุเอาไว้แก้ตัวในทุกๆ ข้อกล่าวหาอันเป็นยันต์วิเศษสุดคลาสสิกก็คือ ‘เลี้ยงดูครอบครัว’)

แล้วเหล่าพริตตี้ที่เหลือที่ไม่ได้มีโปรไฟล์อย่างนั้นล่ะ ?

พวกเธอเหล่านั้นคือพริตตี้ที่ ‘ไม่มีสมอง’ อย่างนั้นหรือ พวกเธอเหล่านั้นต้องปิดปากเงียบ ต้องทำเป็นตัวไร้ตัวตนแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป เพราะไม่อาจออกมาต่อสู้ปกป้องได้ เพราะมีพริตตี้แถวหน้าออกมาต่อสู้แล้ว แล้วดันเคลมโปรไฟล์สูงส่งต่างๆ นานา ที่พวกเธอดันไม่มีอย่างนั้นหรือ ?

พริตตี้มีสมองและสื่อมวลชนที่ทำข่าวนี้กำลังต่อสู้เพื่อใคร ?

ดิฉันไม่รู้ว่าจำนวนสาวที่ทำงานเป็นพริตตี้มีมากน้อยเท่าไร และเมื่อจัด ‘ประเภท’ ตามระดับการมีสมองนั้น ใครจบอะไร เกรดเท่าไหร่ หรือกำลังเรียนปริญญาโทที่ไหน เป็นจำนวนเท่าไหร่บ้าง (ขออภัยที่ทำการบ้านมาน้อย) จำนวนพริตตี้ที่มี ’สมอง’ (แน่นอน...บางคนอาจกล่าวว่าไม่จำต้องมีโปรไพล์ตามแบบนั้นก็ถือว่ามีสมองได้ หากทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ การกล่าวอ้างของดิฉันอาจเป็นการลบหลู่เกียรติของเหล่าพริตตี้ แต่ขอให้สังเกตตามข่าวเอาเองว่า แล้วการคัดเลือกพริตตี้เพื่อออกมาตอบโต้เรื่องนี้ ทำไมการมีสมองถึงคัดด้วย ‘โปรไฟล์’ เช่นนั้น ?) ทั้งหลายคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่กับพริตตี้ทั้งหมด ในเมื่อดิฉันไม่รู้ตัวเลขที่แน่นอน จึงไม่อาจกล่าวอ้างได้ แต่ก็ยังขอเดาสุ่มอย่างข้างๆ คูๆ ว่า ก็คงมีพริตตี้จำนวนไม่น้อยแหละ ที่ไม่ได้เข้าข่าย ได้มาตรฐาน ‘พริตตี้ที่มีสมอง’

สิ่งนี่เองที่ทำให้ดิฉันทำใจเชียร์เหล่าพริตตี้ที่ออกโรงมาต่อสู้ในประเด็นนี้ไม่ได้ เพราะในขณะที่เธอกำลังต่อสู้ประเด็นเรื่อง ‘ผู้หญิง’ เธอก็ได้กีดกัน แบ่งกลุ่ม ถีบส่ง ผู้หญิงร่วมอาชีพของเธอไปมิใช่น้อย แล้วที่สำคัญนั่นไม่ใช่สาระสำคัญของประเด็นที่จะยกขึ้นมาต่อสู้ในเรื่องนี้เลย

ประเด็นที่เหล่าสาวๆ พริตตี้ทั้งหลายถูกโจมตีเสมอมาก็คือ การโชว์ความสวยงามเซ็กซี่ของเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิง และถูกกดทับซ้ำซ้อยด้วยวาทกรรมที่ว่าร่างกายเป็นของต่ำ สมอง (ความคิด) เป็นของสูง การใช้เนื้อตัวร่างกายในการทำมาหากินจึงดูไม่สมศักดิ์ศรีเท่ากับการใช้สมองหากิน (ซึ่งทำให้พวกเธอต้องออกมาปกป้องว่าฉันมีสมองนะ ด้วยโปรไฟล์ต่างๆ นานาและท้าดีเบตนั้น เพื่อให้ตัวเองไม่ถูกมองว่า ‘ต่ำ’)

สิ่งที่ดิฉันเห็นว่าหากเราจะต่อสู้เรื่องนี้ ไม่ใช่การอวดอ้างโปรไฟล์ทั้งหลายที่ไปกีดกัน แบ่งกลุ่ม ทำร้ายผู้หญิงคนอื่นๆ (ที่ทำงานร่วมสาขาอาชีพเดียวกัน) แต่เป็นการพลิกกลับวาทกรรมนั้น ให้เห็นว่า แล้วทำไมล่ะ ? การใช้เนื้อตัวร่างกายในการทำมาหากิน (อย่างเช่นการเป็นพริตตี้ที่เราต้องยอมรับว่ารูปลักษณ์นั้นคือเครื่องมือทำมาหากินอันดับหนึ่ง) มันผิดตรงไหน ? นี่ไม่ใช่เรื่องต่ำเรื่องสูง ไม่ใช่เรื่องมีสมอง ไม่มีสมอง แต่มันเป็นเรื่องของการ ‘ทำมาหากิน’ ถ้าอาชีพที่ทำไม่ได้ต้องการ ‘ความมีสมอง’ แต่ต้องการ ‘คุณสมบัติอย่างอื่น’ ในเมื่อเรามีคุณสมบัติอย่างอื่นที่อาชีพนั้นต้องการ เราจะทำไม่ได้หรือ เราก็ต้องยืนยันไปตามเนื้อผ้าสิ (ก็พริตตี้ต้องสวย ฉันสวยฉันก็ทำได้ ยิ่งสวยมาก ยิ่งได้ค่าตัวสูง เหมือนดารานั่นไง ผิดตรงไหน เรื่องนี้มีสมอง หรือไม่มีสมองไม่เกี่ยว) นี่ไม่ใช่แค่การย้อนแย้งอย่างทื่อๆ แต่มันเป็นการยืนยันถึงความภูมิใจ สิทธิ ในเนื้อตัวร่างกายของตัวเองของผู้หญิง ที่ไม่ควรได้รับการดูถูก ไม่ควรได้รับการประเมินค่าว่าต่ำต้อย ไม่ควรต้องเอาคำว่า ‘การศึกษา’ หรือสมอง ‘มาช่วยยกระดับร่างกาย ‘ หรือเป็นข้ออ้างในการเปิดเผยเนื้อตัวร่างกาย’ (ที่สามารถทำได้มากกว่าผู้หญิงที่มีการศึกษาต่ำกว่า หรือโปรไฟล์ที่ต่ำกว่า) การใช้เนื้อตัวร่างกายเป็นเครื่องมือหากินนั้นมันด้อยค่า ด้อยศักดิ์ศรีตรงไหน สิ่งที่เราควรกระทำคือการยืนยันในสิทธิ และศักดิ์ศรีตรงนี้ของผู้หญิงในตรงนี้ต่างหาก

เพราะถ้าหากน้องๆ พริตตี้มีสมองทั้งหลาย อยากจะโชว์ความรู้ มันสมอง จริงๆ ไม่ต้องมาดีเบตหรอก ขอแนะนำว่าไปออกรายการเกมส์โชว์ตอบคำถามความรู้รอบตัวดีกว่าค่ะ หรือถ้าอยากจะสวยทั้งรูปทั้งจิตใจทั้งสมองจริงๆ ก็ไปสมัครเป็นครูชายแดนไหมคะ ? รับรองคนทั่วประเทศสรรเสริญในคุณงามความดีและมันสมองของน้องแน่ๆ ไม่ต้องมาเป็นพริตตี้หรอก ไปทำอย่างอื่นที่ได้ใช้ ‘สมอง’ จริงๆ เหอะ แต่แน่นอนว่า การเป็นพริตตี้นั้นได้รับ ‘ราคา’ ที่มากกว่า (ในบทสัมภาษณ์กล่าวถึง ‘พริตตี้เงินล้าน’) เพราะฉะนั้นก็รับมาอย่างซื่อๆ กันไปเลยว่า งานพริตตี้นี้ เป็นงานที่ได้เงินดี ไม่ต้องทำอะไรเยอะ เพราะจุดขายของพริตตี้คือเนื้อตัว ร่ายกาย รูปลักษณ์ รูปร่างหน้าตา และก็จงยืนยันต่อไปถึงสิทธิและศักดิ์ศรีในงานของตัวเองว่า การใช้ เนื้อตัว ร่ายกาย รูปลักษณ์ รูปร่างหน้าตา เป็นความชอบธรรมโดยบริสุทธิ์ ที่กระทำได้ ไม่ได้ไร้ศักดิ์ศรี ไม่จำเป็นต้องเอาใบปริญญามาอ้าง เพราะน้องไม่ได้ถือใบปริญญา เกียรตินิยม ไปยืนในงานมอเตอร์โชว์ด้วย และจะได้ไม่ไปกีดกัน แบ่งกลุ่ม ถีบส่ง เพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ จงยืนหยัดเชิดหน้าสวยๆ ขึ้นสู่ว่า ฉันเป็นพริตตี้ ฉันใช้ความสวยงามของเนื้อตัวร่างกายทำมาหากิน และได้เงินดีมากๆ และฉันก็ภูมิใจ ด้วยการทำงานวิธีนี้ลักษณะนี้รูปแบบนี้แหละ เพราะฉะนั้นจงเคารพในเนื้อตัวร่างกายของฉันและฉันก็จะเคารพยกย่องมัน (เช่นเดียวกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เดินอยู่ข้างถนน ที่ไมได้ยืนเคียงข้างรถสวยหรู)

ถ้าจะมีสมองก็ขอให้มีสมองอย่างไม่ใจร้าย! และซื่อสัตย์ต่อตัวเองกว่านี้หน่อย

การปฏิเสธซึ่งวาทกรรมแบบเจ๊เบียบ และยืนยัน ภูมิใจในสิทธิของเนื้อตัวร่างกาย ความสวยงามของตัวเองในฐานะการเป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพ โดยไม่ได้ใช้ใบปริญญา เกียรตินิยม สถาบันการศึกษามาเป็นเกราะกำบังเพื่อเอาตัวรอดนั้น มันไม่ใช่แค่การปกป้องตัวเองเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องถึงสิทธิของผู้หญิงทุกคนบนโลกใบนี้ (ให้ได้รับความเคารพในเนื้อตัวร่างกาย แม้จะแต่งตัวสวยเซ็กซี่ แต่ถ้าไม่ได้ยืนข้างรถหรู หรือยู่ในทีวี ก็ควรได้รับการเคารพและไม่ถูกล่วงละเมิด ไม่ว่าในระดับใด) ทุกสาขาอาชีพ (แม้จะไม่ได้ใช้ความสวยงามของเนื้อตัวร่างกายประกอบอาชีพก็ตาม) ทุกระดับการศึกษา ในการดำรงตนในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงทั่วไปในสังคม อย่างเช่น วันนี้อากาศร้อน อาจใส่สายเดี่ยว กางเกงขาสั้น พอดีว่านมใหญ่ เลยล้นออกมานิดนึง นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีสมอง ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี ดูไม่เป็นลูกผู้หญิงที่ดี อาจถูกล่วงละเมิดได้ แต่นั่นคือสิทธิภายใต้ร่างกายของตนเองที่เราสามารถจะกระทำต่อมันได้ และไม่จำเป็นต้องพกบัตรปริญญาเดินไปทุกที่เพื่อป้องกันข้อครหาอันเกิดจากการเปิดเผยเนื้อตัวร่างกายของตัวเอง การศึกษา สมอง และร่างกายนั้นมันคนละส่วนกัน และสมองกับร่างกายก็ไม่ควรจะมีอันใดอันหนึ่งที่ถูกให้ค่ามากไปกว่ากัน

ปัญหาของสังคมไทยอยู่ที่ว่าร่างกาย (โดยเฉพาะของผู้หญิง) มักจะถูกกดให้ ‘ต่ำ’ อยู่เสมอ โดยเฉพาะถ้าเมื่อใดที่มันเปิดเผย ‘มากเกินไป’ และมักยกย่องหัวสมอง จิตใจ ให้อยู่สูงและเป็นใหญ่กว่าร่างกาย (ดูอย่างการปะทะคารมกันครั้งนี้ ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างการ ‘มีสมอง’) ซึ่งจะว่าไปแล้ว ถือเป็นสังคมปากว่าตาขยิบซะเหลือเกิน เพราะในขณะที่อั้ม พัชราภา ออกงานอีเวนต์ ‘โชว์ตัว’ (นี่ก็ใช้เนื้อตัวร่างกายความสวยงามรูปลักษณ์ ทำมาหากินใช่หรือเปล่า ? และอั้มพัชราภา กับพริตตี้แต่งตัวผิดไปจากกันมากน้อยกันเชียว ? ดิฉันไม่เห็นอั้ม พัชราภา จะเดือดร้อนเรื่องมีสมองหรือไม่มีสมองเลย) ไปไม่กี่ชั่วโมง (ดีไม่ดีไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ) ได้ค่าตัวเรือนแสน (คาดว่าน่าจะสองแสนต่องานได้) เช่นเดียวกัน นางสาวรุ้งรวี ศิริธรรมไพบูลย์ นั่งเขียนบทความ พยายามเค้นเนื้อหาสาระให้ออกมาจากสมอง (ที่ไม่ค่อยมี) ให้ได้บทความ 3-4 หน้ากระดาษนั้น สิริรวมได้ค่าต้นฉบับ เอ่อ...อย่าบอกตัวเลขเลยค่ะ อ๊าย....อาย หลักพันต้นๆ เท่านั้นเอง

นี่หรือคือสังคมที่ยกย่องสมองเหนือกว่าร่างกาย ?

โอ๊ยยยย...ถ้าดิฉันเป็นอั้มพัชราภาได้ ก็คงไม่มานั่งเขียนต้นฉบับแบบนี้หรอกค่ะ ดิฉันคงเลือกหากินด้วยการใช้เนื้อตัวร่างกายเหมือนกัน เพราะคาดว่าถ้าใช้สมองคงอดตายกันก่อนพอดี ดิฉันก็ไม่ได้ยุยงให้ไม่ว่าใครก็ตามไปด่าประนามอั้ม พัชราภา หรือผู้หญิงคนอื่นๆ เพราะถ้าหากคุณคิดว่าสมองนั้นสูงว่าเนื้อตัวร่างกายจริง สิ่งที่ควรจะทำไม่ใช่การประณามคนที่ทำงานด้วยการใช้เนื้อตัวร่างกาย ความสวยงามรูปลักษณ์เป็นเครื่องมือทำมาหากิน แต่คุณควรให้ ‘ราคา’ ของการทำงานด้วยสมองให้มากเท่าเนื้อตัวร่างกายต่างหาก

เพราะฉะนั้น กรุณาออกมาก่อหวอดประท้วงให้นักเขียนทั่วประเทศไทยด้วยค่ะ

สิ่งที่เหล่าพริตตี้มีสมองได้กระทำลงไป จึงไม่ใช่การปกป้องอาชีพของตัวเอง หรือปกป้องศักดิ์ศรีของผู้หญิง แต่เป็นการปกป้องตัวเอง และถีบหัวคนอื่น ที่สำคัญไม่ได้ช่วยต่อสู้เพื่อผู้หญิงเลยสักนิด เช่นเดียวกันกับสื่อมวลชนที่ทำข่าวนี้ เขาก็ไม่ได้ปกป้องอะไรนอกจากการหล่อเลี้ยงวาทกรรมที่ว่าร่างกายของหญิงสาวนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เป็นสิ่งที่ต่ำ แต่ถ้าจะไม่ต่ำและขายได้ ผู้หญิงคนนั้นต้องมีสมอง (ในความหมายคือ การศึกษาดี มหาวิทยาลัยดี เกรดเฉลี่ยดี เกียรตินิยมด้วย) เนื้อตัว ร่างกาย ของผู้หญิงจึงยังเป็นสิ่งที่ถูกปฏิเสธ และถูกดให้ต่ำเสมอมา และปัญหานี้ก็จะไม่มีวันจบสิ้น มันจะย้อนวนเวียน (แต่เปลี่ยนกรณี) มาให้เราได้อ่านข่าวแบบนี้ต่อไป ในเมื่อสิทธิในร่างกายของผู้หญิงนั้น ไม่ได้รับการยืนยัน การให้ค่า ให้ศักดิ์ศรี (ด้วยตัวของมันเอง) โดยเฉพาะด้วยตัวผู้หญิงด้วยกันเอง ทั้งเจ๊เบียบ และเหล่าพริตตี้แสนสวย มีสมองทั้งหลาย

 

Pretty Motor Show 2012 IMG_0431
Pretty Motor Show

 

ภาพประกอบจาก: Pretty Motor Show 2012 (ตอนที่ 1)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สถาบันพระปกเกล้าเบรกสภา ขู่ดึงกลับรายงาน “ปรองดอง” แนะต่อเวลาศึกษา

$
0
0

3 เม.ย.55 สถาบันพระปกเกล้าออกแถลงการณ์ชี้แจงปมรายงานร้อน “ปรองดองแห่งชาติ” ยืนยันทำตามเสรีภาพวิชาการ เสนอสภาผู้แทนฯ ลงมติวันที่ 4 เม.ย.นี้เพียงรับทราบเบื้องต้น พร้อมขยายเวลาศึกษา จัดเวทีทุกระดับทั่วประเทศ ไม่เร่งรัดนำไปปฏิบัติ เพราะอาจเป็นปม “สงครามปองดอง” หากไม่ทำตามข้อเสนอ เจ้าของลิขสิทธิ์ขู่ดึงรายงานกลับ

 0000


สถาบันพระปกเกล้าออกแถลงการณ์ เรื่อง รายงานการวิจัย
การสร้างความปรองดองแห่งชาติ” 

ตามที่มีการวิพากษ์วิจารณ์รายงานการวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติที่คณะผู้วิจัยได้เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา แนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎรไปตามที่คณะกรรมาธิการดังกล่าวได้ขอให้ศึกษาแล้วนั้น

สถาบันพระปกเกล้าขอแถลงข้อเท็จจริง และข้อเสนอแนะทางออกเพื่อร่วมกันสร้างบรรยากาศความปรองดองในชาติ ดังนี้

1. หน้าที่ทำการวิจัยที่คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรขอ

โดยใช้เงินสถาบันพระปกเกล้าเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ.
2541 ภายใต้กำกับดูแลของประธานรัฐสภา และมีหน้าที่ตามมาตรา 6(8) ซึ่งบัญญัติว่า ให้สถาบัน ส่งเสริมงานวิชาการของรัฐสภา

ดังนั้น เมื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีมติเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2554 ให้สถาบันทำการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ โดยตั้งคำถามว่า อะไรคือปัจจัย หรือกระบวนการที่ทำให้การปรองดองแห่งชาติประสบความสำเร็จ สถาบันจึงนำเรื่องเสนอเสนอสภาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อพิจารณาคำขอดังกล่าว สภาสถาบันได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินการโดยใช้งบประมาณของสถาบันเอง

การดำเนินการวิจัยดังกล่าวจึงเป็นการทำหน้าที่ส่งเสริมวิชาการรัฐสภาตามหน้าที่ของสถาบันในกฎหมาย โดยไม่มีการรับจ้างดังที่วิพากษ์วิจารณ์กันแต่อย่างใดดังนั้น ลิขสิทธิ์ของรายงานดังกล่าวจึงเป็นของสถาบันตามมาตรา 14 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537

2. การรับทำงานวิจัยได้พิจารณาโดยรอบคอบแล้วจากสภาสถาบันพระปกเกล้า

เนื่องจากการขอให้ทำงานวิจัยดังกล่าว สถาบันไม่ได้ตั้งงบประมาณไว้ และผลการวิจัยมีผลกระทบทางการเมือง สถาบัน จึงนำคำขอของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาสถาบันในการประชุมสภาสถาบัน ครั้งที่
11 /2554 เมื่อ 30 พฤศจิกายน 2554 สภาสถาบันซึ่งประกอบด้วยประธานรัฐสภาเป็นประธานสภาสถาบัน ประธานวุฒิสภาเป็นรองประธาน กรรมการโดยตำแหน่ง คือ ผู้นำฝ่ายค้าน ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ประธานกรรมาธิการสามัญฯ ของสภาผู้แทนราษฎร 2 คน ประธานคณะกรรมาธิการสามัญวุฒิสภา 1 คน และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีก 11 คน โดยมีเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าเป็นกรรมการและเลขานุการ ได้พิจารณาโดยรอบคอบแล้ว มีมติให้รับทำการศึกษาโดยมีข้อสังเกตหลายประการ อาทิ ให้ขยายเวลาจาก 30 วัน เป็น 120 วัน ให้ดำเนินการโดยอิสระ และมีเสรีภาพทางวิชาการอย่างแท้จริง มิให้ยกร่างกฎหมายเสนอคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งสถาบันก็ได้ดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวทุกประการ

3. รายงานการวิจัยเป็นเสรีภาพทางวิชาการ และความรับผิดชอบของคณะผู้วิจัย

เมื่อรับทำการศึกษาแล้ว สถาบันก็แต่งตั้งคณะผู้วิจัยขึ้นตามกระบวนการปกติที่เคยปฏิบัติมาประกอบด้วย ผู้วิจัย 20 คน โดยมี รศ.วุฒิสาร ตันไชย เป็นหัวหน้าคณะได้ใช้เวลาศึกษา 120 วัน ตามกรอบเวลาที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขอ เมื่อมีการทักท้วงและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ สถาบันก็ได้ลงไปตรวจสอบทั้งระเบียบวิธีวิจัย (research methodology) และเนื้อหาสารัตถะ (content) ของงานวิจัย และข้อเสนอก็พบว่า กระบวนการดำเนินงานดังกล่าวมีความถูกต้องตามหลักวิชาการควรแก่กรณี

แม้ว่าเลขาธิการจะขอให้คณะผู้วิจัยนำข้อท้วงติงของทุกฝ่ายมาพิจารณาประกอบแล้ว คณะผู้วิจัยก็ได้ปรับแก้บางส่วนแต่คงยืนยันผลการวิจัย โดยเฉพาะข้อที่ว่า ปัจจุบันบรรยากาศความปรองดองยังไม่เกิด เพราะทุกฝ่ายยังมีพฤติกรรมและท่าทีเหมือนเดิม คณะผู้วิจัยจึงเสนอให้มีการสร้างบรรยากาศความปรองดองทั้งระดับบน คือในฝ่ายการเมือง และระดับล่าง คือประชาชนทั้งประเทศ ด้วยการจัดพูดคุยหาทางออกร่วมกัน (dialogue) จนมีฉันทามติในระดับเหมาะสม โดยนำข้อเสนอที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิไปเป็นประเด็นในการพูดคุยหาทางออกร่วมกัน คณะผู้วิจัยยืนยันว่า ข้อเสนอแนะดังกล่าวไม่ใช่ข้อสรุปที่ให้นำไปปฏิบัติทันทีแต่อย่างใด

ด้วยเหตุนี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม คณะผู้วิจัยจึงได้ทำหนังสือแถลงจุดยืนต่อประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2554 และได้เตือนไว้ในหนังสือดังกล่าวว่า การรวบรัดใช้เสียงข้างมาก โดยไม่ทำตามข้อเสนอของคณะผู้วิจัย จะนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงรอบใหม่ได้

การยืนยันผลการวิจัยของคณะผู้วิจัยดังกล่าวจึงเป็นความอิสระและเสรีภาพทางวิชาการซึ่งมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองไว้ ที่สถาบันและผู้ใดก็มิอาจก้าวล่วงได้

4. สถาบันไม่จำต้องเห็นพ้องด้วยกับงานวิจัย

ในฐานะผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวิจัย สถาบันทรงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการให้ใช้ หรือของานวิจัยกลับคืนได้ตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ความเห็นและข้อเสนอในรายงานการวิจัยหรืองานวิชาการอื่น ซึ่งสถาบันให้จัดทำทุกเรื่องตั้งแต่ก่อตั้งสถาบันมาจนถึงการวิจัยเรื่องนี้ย่อมเป็นความเห็นของผู้วิจัยเอง สถาบันไม่จำต้องเห็นพ้องด้วย แต่เมื่อลิขสิทธิ์เป็นของสถาบันตามมาตรา 14 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 สถาบันก็ทรงไว้ซึ่งอำนาจในการขอรายงานการวิจัยดังกล่าวกลับคืน และห้ามทำซ้ำ หรือดัดแปลง หรือเผยแพร่ต่อสาธารณะชนได้ตามมาตรา 27 โดยเฉพาะเมื่อมีการเลือกนำรายงานบางส่วนไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง และอาจจะเกิดความขัดแย้งและความรุนแรงขึ้น หรือมีการรวบรัดนำประเด็นซึ่งผู้วิจัยเสนอให้นำไปพูดคุยแสวงหาทางออกร่วมกันไปปฏิบัติทันที โดยไม่ได้นำไปพูดคุยให้กว้างขวางทั้งประเทศ

5. ทางออก

ทางออกเพื่อความปรองดองแห่งชาติอย่างแท้จริง สภาผู้แทนราษฎรพึงมีมติในวันที่ 4 เมษายน 2555

ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่อันจะนำไปสู่ความรุนแรง และเพื่อสร้างบรรยากาศความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศ สถาบันจึงเสนอให้

(1) คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เสนอสภาผู้แทนราษฎร และสภาผู้แทนราษฎรโดยพรรคการเมืองเสียงข้างมากควรมีมติรับทราบรายงานของคณะ กรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งอ้างอิงผลงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าไว้ชั้นหนึ่งก่อน และขยายอายุคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ออกไปจนสิ้นสมัยประชุมสามัญสมัยหน้าเป็นอย่างน้อยและให้นำรายงานดังกล่าวไปจัดพูดคุยหาทางออกร่วมกัน ทั้งระดับพรรคการเมืองและในระดับประชาชนทั่วประเทศอย่างกว้างขวาง โดยไม่เร่งรีบรวบรัดเลือกนำข้อเสนอที่ตนหรือพรรคของตนได้ประโยชน์ไปปฏิบัติ ทั้งที่ข้อเสนอดังกล่าวเป็นเพียงประเด็นที่นักวิจัยเสนอให้นำไปพูดคุยหาทางออกจนได้ข้อยุติร่วมกันเท่านั้น

(2) ขอร้องให้พรรคฝ่ายค้าน และคนไทยทุกกลุ่มที่ต้องการเห็นบ้านเมืองก้าวไปข้างหน้า ด้วยความปรองดอง โดยมีภราดรภาพต่อกัน ให้ความร่วมมือในการพูดคุยหาทางออกร่วมกันทำนอง สุนทรียสนทนา (appreciative dialogue) หรือการเสวนาที่สร้างสรรค์ (Constructive dialogue) เพื่อยุติข้อขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานนี้ลง

(3) ขอร้องให้สื่อมวลชนรายงานข่าวให้ครบถ้วนเพื่อความปรองดองอย่างแท้จริง

(4) ขอร้องให้ประชาชนอย่าเพิ่งเชื่อคำพูดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนกว่าจะได้อ่านรายงานการวิจัยฉบับย่อ และรายงานการวิจัยฉบับเต็มใน www.kpi.ac.th แล้ว จึงค่อยตัดสินตามหลักกาลามสูตร

สถาบันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเสนอดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาอย่างแท้ จริง หากสภาผู้แทนราษฎรมีมติตามข้อเสนอในข้อ 1 สถาบันก็พร้อมจะให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ในการเปิดเวทีพูดคุยหาทางออกทั่วประเทศ โดยเฉพาะผ่านศูนย์การเมืองภาคพลเมืองของสถาบันซึ่งมี 48 จังหวัดทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม หากสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบกับรายงาน และแจ้งคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังข้อเสนอเดิมของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อันจะนำไปสู่ความสับสนของประชาชน และนำไปสู่ สงครามความปรองดองอันเป็นการสถาปนา ความยุติธรรมของผู้ชนะขึ้น ทั้งยังจะเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง และความรุนแรงนั้น สถาบันก็มีความเสียใจที่จะต้องขอรายงานการวิจัยดังกล่าวกลับคืนมา และหากผู้ใดจะทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่งานดังกล่าวต่อสาธารณะชนจะต้องขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากสถาบันก่อน

สถาบันเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นความสงบ และปรองดองในบ้านเมืองจึงขอเรียกร้องให้ผู้แทนปวงชนทุกฝ่าย ตอบสนองความต้องการของปวงชน โดยใช้วิจารณญาณที่รอบคอบ ปราศจากมานะทิฐิ และประโยชน์ส่วนตน หรือส่วนพรรคอย่างแท้จริง

00000

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สัมภาษณ์พิเศษ 'จักรภพ เพ็ญแข': คงต้องปล่อยให้ลิ้มรสของการปรองดองกันเสียก่อน

$
0
0

บ่ายแก่ของวันที่ 30 มี.ค.2555 ทีมข่าวของประชาไทนัดพบกับจักรภพ เพ็ญแข ในร้านกาแฟแห่งหนึ่งกลางกรุงพนมเปญ เราถามเขาในฐานะคนไกลบ้านที่ลี้ภัยการเมืองมานานกว่า 3 ปี นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญการต่างประเทศที่อยู่ในขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยซึ่งไม่เป็นเนื้อเดียวกับแกนนำในขบวนการต่อสู้ด้วยกันนัก และถูกกล่าวหาด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

3 ปีที่ไม่ได้อยู่เมืองไทย เขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างไร และกำลังคิด-ทำอะไรอยู่

จักรภพตั้งประเด็นที่น่าสนใจ 3 ประการ ประการแรกคือ เขามองเห็นว่าเมืองไทยภายใต้กระแสปรองดองนั้นเป็นวาระพักรบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ทางเลือกที่สามของการเรียกร้องประชาธิปไตยเกิดขึ้น แม้จะยังไม่เห็นรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจนของทางสายนี้ แต่เขาเห็นว่า นี่เป็นโอกาสที่จะตั้งคำถามให้คนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้เลือกว่า จะสู้เพื่อเปลี่ยนสังคมหรือสู้เพียงเพื่อรวบสังคมมาเป็นของตัวเอง

เราถามเขาถึงบทบาทของทักษิณในขบวนต่อสู้ ซึ่งจักรภพยังคงแสดงความหวังว่าทักษิณมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมแต่นั่นเป็นสิ่งที่ทักษิณต้องเลือกเองว่าจะเลือกทางสบายหรือลำบาก

และสุดท้าย เงื่อนไขในการกลับประเทศ แม้ว่าจะข้อกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นอัยการจะสั่งไม่ฟ้องไปแล้วในวันเดียวกับที่เขาให้สัมภาษณ์ประชาไท (30 มี.ค.) แต่นั่นไม่ใช่แรงจูงใจที่จะทำให้เขาเดินทางกลับเข้าประเทศ

0 0 0

สัมภาษณ์พิเศษจักรภพ เพ็ญแข:  คงต้องปล่อยให้ลิ้มรสของการปรองดองกันเสียก่อน

“ประวัติศาสตร์มองเห็นชัดเมื่อมองย้อนหลัง แต่ระหว่างสร้างไม่มีใครรู้ว่าใครถูกใครผิด แล้วถ้าเราเชื่อในประชาธิปไตย ไม่ควรคิดว่ามีใครคิดถูกใครคิดผิดก่อน เพราะมันไม่ควรจะรู้ก่อน ถ้ารู้ก่อน คนนั้นก็ควรจะเป็นผู้นำตลอดชีพของประเทศ แต่ถ้ามันไม่มี เราก็ต้องหาความคิดที่ดีที่สุดของขณะนั้น”

 

ประชาไท: ตั้งแต่ออกจากเมืองไทยมาทำอะไรบ้าง
ผมออกจากเมืองไทยมาเมื่อเดือนเมษายน ปี 2552 ก็สามปีพอดีนับถึงตอนนี้ ออกมาแล้วก็ไปอยู่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะช่วงสองปีแรกก็ไปอยู่ประมาณ 4-5 ประเทศ และก็มีฐานที่มั่นอยู่บางที่ซึ่งเราพอจะนั่งนิ่งๆ ได้วางแผนการดำเนินการ หรือส่งเสริมการปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับขบวนเรา

งานก็จะแบ่งเป็นสองสามอย่างคือ งานประสานงานภารกิจเพื่อประชาธิปไตย ที่มีทั้งปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมและปฏิบัติการสื่อเพื่อการเรียนรู้

ส่วนแง่ของความคิดช่วงสามปี อาจจะแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกคือการสานต่อภารกิจที่ชะงักไปในวันที่ 19 พฤษภาคม ปี 53 นั่นก็คือการแสดงพลังมวลชนเพื่อสื่อสารถึงความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมไทย พูดตรงนี้ต้องมีฟุตโน้ตนิดหนึ่งว่า คนที่เรียกว่าแกนนำในขบวนการประชาธิปไตยได้หยุดชะงัก ณ วันที่ 19 พฤษภาคม ปี 53 ไม่ได้คิดถึงเป้าหมายปลายทางตรงกันทุกคน บางคนก็มองว่าขู่กรรโชกหรือว่าแบล็คเมลเพื่อให้เหตุการณ์นั้นหยุดลงคล้ายๆ เดือนพฤษภาคม 35 หรือพฤษภาประชาธรรม บางคนก็รวมพลังเพื่อจะสื่อสารความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง บางคนก็รวมพลังมวลชนเพื่อบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง มันมีดีกรีของความแตกต่างหลากหลายเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม แต่เมื่อหยุดชะงักมันก็ไม่มีการถกเถียงกันต่อว่าจะทำอะไรเหนือจากนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่มาทำนอกประเทศก็คือการสานต่อความคิดของคนที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม

ผมก็ยอมรับว่าไม่ได้คิดถึงการเปลี่ยนแปลงอำนาจในรัฐบาล แต่คิดถึงอำนาจในโครงสร้าง แต่ก็รู้เช่นเดียวกันว่า คนที่ทำร่วมกันอยู่นี้ก็ไม่ได้เห็นตรงกันทุกคน เราเคยเปรียบเทียบการต่อสู้ระยะที่ผ่านมาว่าเหมือนการขึ้นรถประจำทางซึ่งมันมีหลายป้าย เราอาจจะอยากไปจนสุดทางแต่ก็อาจมีบางคนบนรถที่ขอลงป้ายก่อน หรือหลายคนเปรียบเทียบกับบางซื่อ หัวลำโพงในตอนช่วงนั้น ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่ถือว่าเป็นปัญหา ผมถือว่าเป็นวุฒิภาวะของขบวนประชาธิปไตย และที่สำคัญประวัติศาสตร์จริงก็มักจะเป็นเช่นนี้ ก็คือประวัติศาสตร์มองเห็นชัดเมื่อมองย้อนหลัง แต่ระหว่างสร้างไม่มีใครรู้ว่าใครถูกใครผิด แล้วถ้าเราเชื่อในประชาธิปไตย ไม่ควรคิดว่ามีใครคิดถูกใครคิดผิดก่อน เพราะมันไม่ควรจะรู้ก่อน ถ้ารู้ก่อน คนนั้นก็ควรจะเป็นผู้นำตลอดชีพของประเทศ แต่ถ้ามันไม่มี เราก็ต้องหาความคิดที่ดีที่สุดของขณะนั้น หรือที่ประชาชนสนับสนุนมากที่สุดขณะนั้น ซึ่งก็ผิดได้เหมือนกัน นี่คือความคิดที่สะท้อนออกมาเป็นภารกิจระหว่างอยู่นอกประเทศ

ที่เล่าให้ฟังว่าแบ่งความคิดเป็น 2 ระยะใน 2 ปีแรก เป็นระยะของการสางภารกิจ 19 พฤษภาคม 2553 แต่ว่าปีก่อนหน้านี้เป็นเรื่องการมองหาแนวทางที่ 3 ในการเดินไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศ แต่ทางสายที่ 3 หมายความว่า ถ้าหากฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐมาแต่เดิมตัดสินใจเข้าร่วมปรองดองกับฝ่ายที่เป็นตัวแทนของมวลชนเพื่อผลระยะสั้น เราก็ควรจะมีคนทำงานต่อเนื่องไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการจะไปถึงจริงๆ โดยที่คนเหล่านี้ไม่ต้องเข้าร่วมในขบวนการปรองดองก็ได้ ไม่ต้องเข้าร่วมในขบวนการต่างตอบแทนก็ได้ ไม่ต้องมีอำนาจรัฐก็ได้ ถามว่าคนเหล่านี้คิดว่าตัวเองเป็นเทวดาหรือยังไง คิดว่าตัวเองต้องถูกต้อง เปล่า ก็เหมือนคนที่มีความเชื่อในระบอบประชาธิปไตยทั่วไป คนเกิดมาก็มีคุณค่าชีวิต เราเชื่ออะไรก็วางชีวิตไว้บนนั้น แล้วถ้าเรายอมสละชีวิตเพื่อสิ่งนั้น เราก็ตอบโจทย์คนอื่นได้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร แต่จะถูกไม่ถูกเป็นเรื่องอนาคตที่คนอื่นที่จะตัดสินเรา นี่ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวล เลยตอบอย่างนี้ว่ามันเป็นทั้งนามธรรมและรูปธรรมปะปนกันไป มันก็เลยเป็นคำตอบว่าทำไมผมตัดสินใจอยู่ต่อ ไม่กลับเข้าประเทศ

มีความพยายาม มีแรงกดดัน มีการติดสินบน มีการขอร้อง มีการขู่เข็ญ พูดตรงๆ มีการหลอกล่อใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ หลอกล่อให้กลับเข้าไป เหตุผลไม่ใช่เราสำคัญ เป็นเพราะต้องการให้ทุกคนเข้าไปสู่กระบวนการปรองดอง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีอำนาจต่อรองเต็มที่ในการที่จะจบศึกครั้งนี้หรือพักรบครั้งนี้ โดยที่ตัวเองได้ประโยชน์มากที่สุด แต่เผอิญว่าประเทศมันคงไม่ได้เป็นอย่างนั้น

แต่คำถามก็คือว่าในกระบวนการที่คุณจักรภพทำอยู่นอกประเทศ สามารถรับประกันได้หรือว่าจะส่งผลได้จริงมากกว่าการกลับเข้าไปอยู่ในประเทศ
ไม่ได้หรอกครับ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เรามีอิสรภาพที่จะทำงานได้โดยไม่ต้องไปต่อรองกับระบบกฎหมายหรือระบบกดดันทางสังคม ผมขอย้อนไปนิดหนึ่ง จากคำตอบเมื่อกี้ผมขอสรุปท้ายว่า การต่อสู้ 2 เฟสมันเป็นอย่างนี้ 2 ปีแรกมันต่อจากเหตุการณ์พฤษภา 53 แต่ปีหลังกลายเป็นต่อจาก 24 มิถุนา 2475

อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าต้องเปลี่ยน กระบวนการปรองดองหรือ
ผมขอพูดจากข้อเท็จจริงดีกว่านะ ผมตอบเท่าที่รู้ก็คือว่า เหตุที่การปรองดองเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วจนเกือบจะสัมฤทธิ์ผลตามความต้องการของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เป็นเพราะฝ่ายแรกหรือฝ่ายที่สอง แต่เป็นเพราะนิติราษฎร์ การเกิดขึ้นของนิติราษฎร์เป็นการสร้างความรู้สึกคุกคามให้กับฝ่ายอำนาจเก่าอย่างรุนแรง

นิติราษฎร์เป็นกลุ่มที่ฝ่ายอำนาจเก่ากลัวมากกว่า นปช.และคุณทักษิณเยอะ ทุกครั้งที่นิติราษฎร์ออกโรงมีความเคลื่อนไหว จะมีการยอมจากฝ่ายอำนาจเก่ามาก มากในทุกเรื่องในทุกมิติ ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้อยากยกหางนิติราษฎร์ ไม่อยากให้นิติราษฎร์กลายเป็นเทวดาใหม่เหมือนกัน แต่เพื่ออยากให้รู้ว่ามีผล และคนที่สนับสนุนนิติราษฎร์ไม่ควรไปเยินยอนิติราษฎร์จนกลายเป็นเทวดาไป แต่ช่วยเขาคิดช่วยเขาทำ ตรงไหนเริ่มจะไม่ไหว ก็ต้องประคองก็ช่วยกันด้วย เพื่อให้มันเป็นขบวนการประชาชนต่อไป

ทุกขบวนการการเมือง เมื่อมีความนับสนุนมากๆ จากประชาชน จะมีคนที่เรียกว่าผู้ดำรงชีพจากการเมือง เข้ามาแทรกกลาง ถ้าพูดไม่เพราะคือ นายหน้าการเมืองเข้ามาแทรกกลาง จนกระทั่งยกผู้นำการเมืองขึ้นไปอยู่บนหิ้ง และประชาชนไปอยู่ข้างล่าง ตัวเขาจะได้เป็นชนชั้นที่จะเชื่อมโยงทั้งสองราย เพื่อประโยชน์ทางการเมือง มันเกิดขึ้นกับทุกขบวนการเมื่อเวลาผ่านไป เพราะฉะนั้น ไม่อยากเห็นแบบนั้นกับนิติราษฎร์ เพราะฉะนั้นการที่นิติราษฎร์มีตัวตนที่ชัดเจน แล้วก็มีคนอย่างอาจารย์สมศักดิ์ (เจียมธีรสกุล) ทั้งเห็นด้วยและวิจารณ์นิติราษฎร์จะทำให้ขบวนการมันอยู่ได้อย่างดี มันเป็นสมดุลใหม่ อยากให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ หรือมีอย่างอาจารย์นิธิ (เอียวศรีวงศ์) หรือมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ยืนอยู่ห่างๆ แล้วตะโกนไกลๆ มาว่า เอาเลย แต่ไม่เข้าร่วม อย่างนี้เป็นวิธีการประคอง

เมื่อกี้ไม่ได้พูดจากความคิดนะ พูดจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผมก็เป็นนักศึกษาจากของจริงเหมือนกัน ผมก็นั่งดู เอ๊ะ ทำไมนักวิชาการ 7 คนซึ่งไม่มีฐานอำนาจทางการเมืองใดๆ เลย ไม่มีลักษณะเชื่อมโยงทางการเมืองใดๆ เลย ไม่มีทุนทางการเมืองที่สนับสนุนอย่างชัดเจนใดๆ เลยถึงได้เป็นที่ครั่นคร้ามของผู้ที่มีอำนาจสูงสุด แล้วเรียกว่าสามารถชี้นำทุกอย่างโครงสร้างในสังคมปัจจุบันได้ ผมก็เลยได้คำตอบกับตัวเองว่า อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเปลี่ยนแปลงประเทศจากนี้ไป คืออำนาจในการเปลี่ยนแปลงความคิด มาสู่การเคารพในสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นสิทธิทางการเมืองนะ สิทธิในการประกอบอาชีพ สิทธิของเด็ก สิทธิของคู่สมรส สิทธิของ sexual orientation สิทธิในทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะมันจะกลับไปตอบโจทย์เดียวกัน หรือแม้แต่สิทธิของอภิชาติพงศ์ที่เป็นอภิชาติพงศ์ สิทธิของโจอี้บอยที่เป็นโจอี้บอย สิทธิของใครต่อใครที่จะเป็นตัวของตัวเองมันกลายเป็นปราการใหญ่ที่ทำให้ทุกคนมีจุดร่วมกันโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นแนวร่วมโดยที่ไม่เหมือนกันเลย แบบที่หลายประเทศเป็น อย่างสหรัฐอเมริกาเป็น อย่างในยุโรปเป็น ไปถามเลยนั่งกันอยู่ 3 คน มีความเห็น 4 อย่าง แต่สามารถทำงานร่วมกันได้ เพราะมีลักษณะร่วมก็คือว่าแบบเธอๆ ก็ไม่อยากเปลี่ยน แบบฉันๆ ก็ไม่อยากเปลี่ยน แบบคุณๆ ก็ไม่อยากเปลี่ยน ตกลงมีลักษณะร่วมกันคือ ไม่อยากให้มายุ่ง มันก็จะมาผนึกกำลังกัน นี่คือสิ่งที่นิติราษฎร์กำลังนำความคิดนี้เข้ามา สุดท้ายคนที่หนุนนิติราษฎร์อาจจะไม่ใช่คนที่เชื่อตามนิติราษฎร์ แต่จะเป็นคนที่ออกมากป้องให้นิติราษฎร์ได้คิดอย่างนิติราษฎร์ต่อ เพื่อวันหนึ่งฉันจะได้คิดแบบฉันบ้าง นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมากของความคิดแบบเดิมของไทย ซึ่งเชื่อว่ามันต้องมีความคิดหนึ่ง ก็คือความคิดปรองดอง มันก็ความคิดเดียวกับที่ชูสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์นั่นแหละ หลักคิดเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนเรื่อง

สัมภาษณ์พิเศษจักรภพ เพ็ญแข:  คงต้องปล่อยให้ลิ้มรสของการปรองดองกันเสียก่อน

“ขบวนการเสื้อแดงที่กำลังต่อสู้อยู่นี่ เราต่อสู้เพื่อที่จะปลดปล่อยสังคม หรือเราต่อสู้เพื่อที่จะรวบสังคมมาเป็นของเราแทน”

 

ตอนนี้กลุ่มที่มีพลังผลักดันขับเคลื่อน แน่ๆ ก็มีสองฝั่งคือ ฝั่งที่เป็น นปช.กับอีกฝั่งคืออำนาจเก่า พูดตามตรงทั้งสองก็ปฏิเสธนิติราษฎร์ทั้งคู่ นิติราษฎร์อาจเป็นการจุดประกายให้คนจำนวนหนึ่ง แต่นิติราษฎร์ก็เผชิญความท้าทายว่าอยู่เหมือนกันว่าจะสานความคิดต่อไปยังกลุ่มคนที่ไกลตัวได้ยังไง
เหตุที่อำนาจเก่า จะเรียกมวลชนใหม่ นปช.หรือเพื่อไทย หรือผู้ที่รักนายกฯ ทักษิณก็ตาม มีปัญหากับนิติราษฎร์ทั้งคู่เลย เพราะสองกลุ่ม อำนาจเก่ากับมวลชนใหม่มีลักษณะที่เหมือนกันระหว่างเขามากกว่าที่จะเหมือนกับนิติราษฎร์ เขาแปลกแยกกับนิติราษฎร์ทั้งคู่ สุดท้ายมันถึงได้เป็นตัววัดไงว่า ขบวนการเสื้อแดงที่กำลังต่อสู้อยู่นี่ เราต่อสู้เพื่อที่จะปลดปล่อยสังคม หรือเราต่อสู้เพื่อที่จะรวบสังคมมาเป็นของเราแทน นี่คือหัวใจของเรื่องนะ ผมบอกไม่ได้ว่าทางที่สามจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร บอกได้แต่เพียงว่าทางที่สามจะเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่การเข้าสู่อำนาจอาจจะมีการสวนกันโดยคนใหม่ๆ ตามเงื่อนไขเวลาในขณะนั้น คนที่สู้เพื่อทางสายที่สามอาจจะสู้แล้วตายไป สู้แล้วหมดไฟไป แต่จะมีคนมาแทน ที่ผมพูดว่าอยู่คือทางนะ ไม่ใช่คน คนอาจจะไปตามเวลาเพราะมันสู้ไม่ไหว อำนาจที่ต้องสู้มันเยอะ แต่ทางมันจะยังอยู่นี่คือสิ่งที่ผมเห็นว่าที่เขาต้องรีบปรองดองกันระหว่างสองทางเพราะลึกๆ แล้วเขาไม่อยากให้ทางที่สามนั้นเกิดขึ้น แต่ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่มันจะก่อรูปไปทางนั้นยังไม่เห็นชัด และด้วยความที่ไม่ชัดนี่แหละที่ทำให้ทางสายที่สามน่ากลัว เพราะมนุษย์กลัวสิ่งที่ตัวไม่รู้

ดังนั้นแล้ว การปรองดองก็อาจจะไม่บรรลุเป้าหมายได้
ผมมองว่าการปรองดองเป็นสถานีพักกลางทางของการต่อสู้ทางการเมือง มีประโยชน์ เพราะอย่างต่ำสุดก็ทำให้คนไม่ต้องฆ่ากันอย่างชัดเจนเพราะไม่มีเหตุที่จะต้องฆ่ากันตรงจุดนี้ แต่จะไปฆ่ากันในอนาคตหรือไม่ ไม่รู้ แต่ในขณะนี้ก็หยุดฆ่ากันและจับมือกันอยู่ ไม่มีใครจะเถียงได้ว่าไม่ดีเพียงแต่สิ่งที่จะเถียงได้ก็คือว่ามันอาจจะไม่ได้หยุดจริง เป็นเพียงแค่หยุดพัก ซึ่งก็ไม่เป็นไร คนที่ทำให้ช่วยหยุดความรุนแรงได้ก็ควรจะได้รับความดีได้รับเครดิต เพราะฉะนั้นถ้าถามผม ผมก็สนับสนุนกระบวนการปรองดอง แต่จะให้ผมไปร่วมไหม ผมไม่เข้าร่วมด้วยไม่คัดค้านแต่ ผมขออยู่ข้างทางสายที่สามนี้ดีกว่า

ถามว่าปรองดองจะสำเร็จหรือไม่ ผมกลับมองว่ามันเป็นกิจกรรมเรียนรู้ของสังคมไทย สนุกจะตาย สนธิ สนั่น ฉีกร่างกฎหมายปรองดอง อภิสิทธิ์น็อตหลุด ผมว่าสนุกจะตายไป เหมือนว่าอยู่ในสถานีพักรบแต่ก็ยังนั่งคนละมุม

แต่คนกลุ่มหนึ่งเขาคงไม่สนุกด้วย เช่นคนที่เสียลูก หรือเสียญาติไปในความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมา
แน่นอน แม่น้องเกด เขาก็พูดถูก ก็ยังหาคนที่รับผิดชอบในการตายของลูกสาวเขาไม่ได้แล้วจะมาปรองดองกันได้ยังไง ผมก็คิดว่าเป็นคำถามที่ชอบธรรมนะ แล้วคำถามนี้แม้จะถามเป็นโจทย์ง่ายๆ เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า อ้าวแล้วลูกฉันล่ะ เธอจูบปากกันแล้วลูกฉันล่ะ เป็นคำถามที่พื้นฐานมากนะ แต่มันมีพลังมาก เพราะมันทำให้คนตอบไม่ได้ นอกจากจะมีคนไปแอบโอบกอดแล้วบอกว่า ใจเย็นๆ น่า วันหลังค่อยคุยกัน มันจะตอบด้วยอะไรล่ะ

นี่เป็นประเด็นที่คุณจักรภพเคยพูดกับคนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยว่าอย่าให้ใครมาหลอกใช้ ขณะที่ตอนนี้กำลังมีกระบวนการปรองดอง คนเสื้อแดงควรจะทำความเข้าใจกับกระบวนการปรองดองอย่างไร
มันต้องยอมให้ทั้งสังคมเดินไปสู่ถนนสายมึนงงสับสนแบบนี้แหละ แล้ววันหนึ่งเราจะได้เกิดคำตอบในใจตัวเราเองขึ้นมา ตรงนี้ไงล่ะที่คำว่านักการเมืองมันถึงได้เกิดขึ้นมา คำว่านักการเมืองมีขึ้นมาเพราะว่าในการสับสนความไม่รู้และความไม่ได้สื่อสารกันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง มันจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่บอกว่าฉันรู้คำตอบ แล้วฉันขอเสนอเลือกฉันก็แล้วกัน นี่คือสิ่งที่เรียกว่านักการเมือง เพราะฉะนั้นนักการเมืองถึงมีตั้งแต่ดีที่สุดเป็นรัฐบุรุษ จนถึงชั่วที่สุดเป็นโสเภณีการเมือง ถามว่าจำเป็นไหมต้องมี พี่ว่าในยามนี้ นักการเมืองมีความจำเป็นน้อย ในช่วงเวลานี้นะ และเรากำลังรอให้มันมีฮีโรใหม่ในสังคมไทยเยอะแยะ นิติราษฎร์เมื่อก่อนใครรู้จักกันบ้างล่ะ แต่ตอนนี้กลายมาเป็นฮีโร่ของคนเยอะแยะ และบางคนยังยอมรับ ป้าคนหนึ่งที่ให้สัมภาษณ์ในทีวีช่องแดงว่าอ่านที่นิติราษฎร์เขียนนี่ไม่รู้เรื่องเลย แต่แกสนับสนุนเพราะว่าแกรู้สึกว่ามันตรงกับแก ผมถึงได้พูดไงว่าทางสายที่สามมันใหญ่กว่าภาษาพูด ใหญ่กว่านิติราษฎร์ กลายเป็นความรู้สึกว่าไม่เอาทางโน้นแต่จะเอาทางนี้ เวลาทีพูดถึงรูปการเปลี่ยนแปลงที่นอกกรอบปัจจุบันนั้น คนจะเชียร์ ทั้งๆ ที่การพูดแบบนิติราษฎร์ถ้าเป็นเมือสิบปีก่อนหน้านี้จะกลายเป็นการเพ้อฝัน คนไม่เอาด้วย ประการต่อมาคือคนเริ่มเชื่อมโยงกับคำนามธรรม เช่น สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ โอกาส แต่คำที่เคยทำให้คนเชียร์ คนเฮสมัยก่อน เช่น คนจน การต่อสู้ ปฏิวัติ โค่นล้ม กลับไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่แล้ว เหมือนว่าคนไปตั้งเป้าหมายไกลกว่าเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ไปถึงเสรีภาพ ทำอย่างไรก็ได้ให้ไปถึงโอกาส ทำอย่างไรก็ได้ให้ไปถึงความเป็นคน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทุกอย่างมันเปลี่ยนนะ แต่ปัญหาคือประเทศไทยที่อยู่บนกองปรักหักพังจะทำอย่างไรให้ไปถึงตรงนี้

ผมเองซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งก็กำลังนั่งใช้ความคิด กำลังคิดว่าจะต้องเขียนอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเพื่อให้เป็นเป้าไว้ให้โยนลูกดอก ไม่ได้ทำให้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่เป็นที่ปาเป้าเพราะมันต้องมีสิ่งที่จูงความคิดไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น เหมือนที่เรานั่งกันอยู่แล้วบอกไม่ได้ว่าอยากกินอะไร รู้แต่ว่าไม่อยากกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เหมือนทำเมนูขึ้นมา สุดท้ายเราก็อาจจะได้คำตอบซึ่งอาจจะเป็นน้ำเปล่าก็ได้ ก็ต้องให้คนคิด คลำทาง ให้คนอย่างแม่น้องเกด คนอย่างภรรยาอากงถามคำถามมากขึ้น

การเกิดขึ้นมาจากกองซากปรักหักพัง หรือเรากำลังรอการหักพัง
เป็นไปได้ มันพังไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่สำหรับผมอะไรที่มันหยุดฟังก์ชั่นแล้ว มันก็คือการพัง ไม่ต้องรอให้มันพังลงมากองกับพื้น ผมถามง่ายๆ ว่า ตัวอย่างเช่น เอ็นจีโอจำนวนหนึ่งทำไมถึงยังรอไม่เข้าร่วมกับฝ่ายทักษิณ หรือฝ่ายอำนาจเก่า ทำไม-ก็เพราะมันยังไม่ใช่ทางนั้นไง ที่ผ่านมา เอ็นจีโอก็งงนะ คือทั้งแดงทั้งเหลือง ก็งงทั้งคู่ มันก็ไม่ใช่ทั้งคู่สำหรับทัศนะของสายที่สาม เพราะเอ็นจีโอวางตัวเองอยู่ในสายที่สามมาตลอด และถ้าหากว่าทางสายที่สามเข้าสู่อำนาจ เอ็นจีโอก็จะออกมาแล้ววิจารณ์ทางนั้น นี่คือหน้าที่ของเอ็นจีโอซึ่งควรจะเป็น คือเป็นใครก็ได้ที่ไม่มีอำนาจแต่สามารถจะเป็นแนวร่วมกับใครก็ได้ที่จะมีอำนาจ แล้วเมื่อเขามีอำนาจก็วิจารณ์เขาต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะมันเป็นหน้าที่ของเอ็นจีโอ

แต่เวลาเราพูดถึงซากปรักหักพัง ในเชิงโครงสร้างอำนาจที่กำลังจะเปลี่ยนผ่าน ความรุนแรงจะเกิดขึ้นมากแค่ไหน
ผมกลับมองว่า เวลาที่เราจะเข้าไปดูหนังสยองขวัญแล้วมีคนบอกว่ามันน่ากลัวทุกช็อตเลย หายใจไม่ได้เลยนะทุกช็อตเลย สุดท้ายมันจะไม่น่ากลัวมากเท่าไหร่ เพราะเราระวังมาก ฉะนั้นถ้าบอกว่า ลมหยุดพักเมื่อไหร่จะตายแน่ประเทศนี้ ก็จะทำให้กลุ่มคนที่เสียประโยชน์มากเตรียมตัวและผลจากการเตรียมตัวนั้นมันไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด แต่มันจะเหมือนมะเร็ง คือมาอุดทางนี้ก็ไประเบิดทีหลัง พูดง่ายๆ ก็คือในระยะปะทุมันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อจะมีใครจากไปแต่มันจะเกิดขึ้นในระยะที่พยายามจะอยู่ด้วยกันแล้วอยู่ไมได้

ผมพูดแบบสมมติว่า ถ้าผมเป็นคนที่มีอำนาจเบอร์สองเบอร์สาม ผมจะยอมให้คนเบอร์ร้อยมาไล่บี้ผมเหรอ ผมก็ต้องจัดการซะก่อนที่สิ่งนี้จะเกิดแต่อำนาจก็มีเรื่องตลกก็คือความคิดที่ว่าอีกฝ่ายจะใช้อำนาจอาจจะทำให้ตัวเองชิงใช้อำนาจก่อน สงครามเกิดขึ้นเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะทำก่อน ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะว่ามีการกระทำเกิดขึ้นแต่เกิดขึ้นเพราะความกลัว

ซึ่งการเมืองไทยที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนั้น
ถึงจุดนั้นเกิดขึ้นจริงๆ เราประชาชนก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดขึ้น เขาไม่บอกหรอกจนกว่าเขาจะจัดเสร็จหมดแล้ว ผมจะบอกได้ไหมว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ผมก็เหมือนทุกคนคอยโทรเช็คว่าจริงหรือเปล่า ผมได้ข่าวลือมาอย่างนั้นอย่างนี้

มันจะไม่ส่งผลถึงประชาชนบ้างหรือ
ส่งผลสิ นี่เป็นสิ่งที่ย้อนกลับไปถามคำถามแรก คือกิจกรรมที่ผมทำคือการทำกิจกรรมกับประชาชนเพื่อลดความเสี่ยงระดับผู้นำกับผู้นำที่จะกระทบกับประชาชน มันจะลดผลกระทบที่คนมีอำนาจทำกับประชาชน แต่ถ้าเราไม่มีกิจกรรมกับประชาชน ก็เหมือนกับจอหนังมืดแล้วประชาชนไม่รู้จะทำอะไร เราต้องมีกิจกรรมแจกไฟฉายบอกทางออกเพื่อเตรียมตัวในกรณีที่จอหนังขาดก็เดินออกได้ ไม่ลำบาก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการอยู่ข้างนอกประเทศทำกิจกรรมได้มากกว่า ได้พบปะคนมากกว่า
มีโอกาสมากกว่าอยู่ที่เมืองไทยด้วยซ้ำ หลายเรื่องที่อยู่เมืองไทยต้องกระซิบกระซาบกัน ต้องใช้รหัส แต่อยู่ข้างนอกนี้ไม่ต้องใช้ พูดได้ชัดเจนว่าเรากำลังพูดเรื่องอะไร เพราะบางทีเราใช่รหัสเราไม่ได้พูดถึงตัวคน ผมว่าผมมีโอกาสมากกว่า ทำงานได้เยอะกว่าอยู่เมืองไทย สมัยผมอยู่พีทีวี มาเป็น นปช. แล้วมาเป็น นปก. ผมว่าผมเป็นตัวแสดงมากกว่าผู้ขับเคลื่อนนะ บทบาทการแสดงน้อยลง

โดยศักยภาพของคุณ คุณเลือกที่จะไม่ทำก็ได้นี่
ได้ แต่ผมมีชีวิตเดียว ก็ต้องลองดูสิ การอยู่ทุกวันนี้มีความสุขดี แต่ถ้าอยู่ที่บ้านคงมีความสุขกว่านี้มากกว่าอยู่หลายๆ ประเทศแบบนี้ แต่ผมเป็นทาสความคิดตัวเอง เมื่อเรามีความคิดความเชื่อเราก็อยากเห็น ชีวิตเราจะมีความหมายจากสิ่งนั้น ผมก็บอกกับคนที่ผมรักทุกคน ญาติพี่น้องของผม ว่าถ้ามันจบลงอย่างสูญเปล่า ก็ขอให้มีความสุขกับประสบการณ์ ผมไม่ได้รอที่จะมีความสุขจากเป้าหมายอย่างเดียว ถ้ากลับไปรับตำแหน่งสูงๆ โก้ๆ แล้วมีบทบาทประหนึ่งว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงผมก็เลือกได้ แต่ผมเลือกจะทำสิ่งนี้มากกว่า แล้วผมก็ไม่ทำตัวเองให้ชัดเจนนักด้วย มีคนหลายคนคิดว่าผมเป็นคนจริงใจแต่ก็ไม่แน่ใจว่าจริงใจหรือเปล่า คือว่าเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถ้ามีอำนาจเต็มที่แล้วจะเป็นอย่างไร แล้วสุดท้ายก็มาจากเรื่องส่วนตัวเพราะผมเป็นคนที่ไม่เปิดเผยเรื่องส่วนตัว ไอ้ความที่เราไม่บอกคนมันทำให้คนรู้สึกว่าไม่รู้จัก ก็ใม่กล้าสนับสนุนเต็มที่ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมสามารถจะถอยจากการแสดงบทบาทได้

เป้าที่คิดไว้ มีคุณทักษิณด้วยไหม ทางที่สามยังมีคุณทักษิณหรือเปล่า
ผมตอบเพื่อให้ลงประชาไทนะ ว่าคุณทักษิณจะเป็นเป้าที่มีก็ได้ไม่มีก็ได้ ถ้ามี ก็เป็นสิ่งที่คุณทักษิณเลือกที่จะเสนอตัวเองเข้ามาอยู่ในเป้าใหม่ ถามว่าวันนี้คุณทักษิณอยู่ในทางปรองดองนะ ไม่ได้อยู่ในแนวทางที่สามนะ แต่อยู่ในแนวทางที่สอง และท่านก็พูดชัด ว่าอยากจะปรองดอง ไอ้เรื่องที่ออกมาแหย่นิดแหย่หน่อยจะตั้งจตุพรเป็นรัฐมนตรีบ้าง มารดน้ำดำหัวที่ลาวที่กัมพูชา เหล่านี้เป็นเพียงกิจกรรมการตลาดของท่านภายในเส้นทางสายที่สอง ไม่ใช่เป็นสะพานมาสู่สายที่สาม ฉะนั้นไอ้เป้าหมายของผมที่จะให้คนปาลูกดอกว่าจะเอานั้น ถ้าจะมีทักษิณก็คือการที่ท่านเลือกจะขยายตัวเองจากแนวทางที่สองมาสู่สายที่สาม ผมก็เคยพูดกับท่านตรงๆ ว่าท่านอยู่ในฐานะที่ดีที่สุด เป็น First among equal นะ ท่านก็เท่ากับประชาชนคือท่านมีโอกาสมากกว่าประชาชนอีกหลายล้านคนในการที่จะนำขบวนนี้ไป แต่ว่ามันขึ้นกับท่านว่าจะพอใจที่จะมีความสุขจากการนี้หรือเปล่า ถ้าท่านไม่สนุกกับการเดินทางตรงนี้ท่านไปไม่ไหวหรอกเพราะมันหนักมันเหนื่อย แต่ถ้าหากว่าท่านไม่เอาตรงนี้จะกลับไปสบายก็ต้องถามว่าท่านอยู่ได้ไหมกับสิ่งที่ท่านเริ่มต้นมาอย่างสวยงามแล้วบอกว่าเอาแค่นี้ ผมมองว่าท่านเป็นผู้นำปฏิวัติได้แต่ท่านเลือกหรือไม่ ก็ยังไม่ชัด

ตรงนี้แหละที่ทำให้มองได้เช่นกันว่า ถึงที่สุดคนเสื้อแดงก็ไม่ได้ก้าวพ้นทักษิณไป เพราะไม่ว่าจะมีทางเลือกไหน มีข้อเสนอใหม่อย่างไรก็ยังต้องอาศัยทักษิณเป็นผู้นำ
ผมก็จะถามกลับทุกครั้งว่า ลองเสกคาถาให้คุณทักษิณหายไปจากจอภาพ คนเหล่านี้จะกลับไปบูชาสิ่งเดิมไหม ถ้าเขากลับไปผมจะเชื่อเสื้อเหลือง แต่ถ้าไม่กลับไปต้องหาสีใหม่ไว้ให้เขานะ สีอื่นนะ สีบานเย็นหรืออะไรก็ได้ (หัวเราะ)

คนที่ฟังนิติราษฎร์ก็ยังเชียร์ทักษิณนะ
ก็ไม่เป็นไร เพราะคุณทักษิณยังเป็นทางที่สองหรือสามก็ได้ แต่ถ้าเขาบอกว่าหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ไปทางที่สาม แต่เขาคงไม่พูดหรอก เพราะเขาฉลาด

แต่ก็ทำให้ขบวนของเสื้อแดงปั่นป่วน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะทักษิณไม่มีความชัดเจน
ก็เป็นอย่างนั้น แต่ผมเข้าใจนะ ผมเข้าใจในความเหนื่อยยากของท่าน ในชีวิตนั้นท่านเลือกแล้วว่าจะเป็นนักธุรกิจ ชีวิตเลือกมาตั้งแต่อายุสามสิบ คนเป็นนักธุรกิจเขาตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยตัวเขาก่อนแล้วช่วยสังคมทีหลัง เขาเลือกแล้วนะ เขาตั้งร้านเขาจะขายเราก่อนนะ เขาไม่ใช่จะแจกคนเร่ร่อนก่อนนะ ถูกไหม ถึงตรงนี้ต้องแฟร์กับเขานะ เขาไม่ได้ปกปิดอำพรางนะ เขาบอกแล้ว เราก็ต้องเอามาบวกลบคูณหารเอา ผมก็ต้องพูดว่าเพื่อให้เกิดความชัดเจนในขบวนการก็ต้องเป็น นายกทักษินพลัส คือนายกทักษิณแล้วบวกกับอะไรอย่างใหม่ถึงจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าไม่มีคุณทักษิณก็เหนื่อยตายเลย ต้องไปสร้างอะไรใหม่อีกเยอะเลย แต่ถ้าคุณทักษิณไม่มีอะไรใหม่คนก็จะบอกว่า เอ๊ะ เวลาผ่านไปไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย ผมก็บอกกับท่านตรงๆ ท่านก็เลยสบอารมณ์กับผมบ้างไม่สบอารมณ์บ้าง

แต่ผมมาร่วมกับท่านไม่ได้อยู่กับบริษัทท่าน คือนายกทักษิณเหมือนนักธุรกิจที่ตั้งบริษัทหาเงินและทำสมาคมการกุศลด้วยน่ะ ผมไม่ได้อยู่ตรงบริษัทนะ ผมอยู่ตรงสมาคม ท่านก็ต้องเข้าใจ แต่เผอิญลูกน้องท่านสองกลุ่มมันก็ดูคละกันแล้วเวลาไปเจอกันใหนแต่ละที่ทุกคนก็หน้าตาเหมือนกันหมด เลยไม่รู้คนไหนบริษัท คนไหนสมาคม แต่วันนี้ผมขอบอกผ่านประชาไทว่าผมอยู่ตรงสมาคมไม่ได้อยู่ตรงบริษัท

แล้วรัฐบาลยิ่งลักษณ์ล่ะ อยู่ตรงบริษัทหรือสมาคม
(หัวเราะ) บริษัท ... แต่ทั้งหมดที่ผมพูดไม่ได้ชี้ปัญหาของฝ่ายเรา แต่ชี้ให้เห็นวุฒิภาวะว่าอยู่ตรงไหน ผมก็บอกแล้วว่าต้องทักษิณพลัส ฉะนั้นเมื่อเรามีตรงนี้แล้ว เราก็ต้องสร้างพลัสต่อไปที่เราต้องเอื้อมมือไปหาคนที่จะพลัสต่อ เพียงแต่เราต้องเข้าใจว่าความสัมพันธ์....สมมติว่าเรามีบริษัทจะไปคุยกับอีกบริษัทหนึ่งพ่อค้ากับพ่อค้าคุยกันง่ายนะ แต่ถ้าหากจะคบกันเอ็นจีโอขึ้นมา จะเลี้ยงข้าวเขาสักมื้อเขาไม่ยอมรับนะ เขาไม่ขาย เราจะคุยกับเขาอย่างไร นี่คือสิ่งที่บริษัทงง เพราะการสังสรรค์ทางความคิดไม่ใช่คนที่คนทุกประเภทเป็นคนบางเรื่องมองว่าเป็นเรื่องเสียเวลาเพราะไม่เคยทำ บางคนเขาเคยทำก็เห็นว่าเป็นไปได้ การจูนคลื่นความคิด ทำให้คนที่เป็นนักคิดที่อยู่ในซีกฝ่ายบริษัทถึงได้อยู่ยาก อยู่เหมือนไม่อยู่เพราะไม่รู้จะพูดกับใคร แม้แต่คนในรุ่นเก่าๆ อย่างคุณปองพล อดิเรกสาร ที่มาจากตระกูลอภิสิทธิ์ชนที่รู้สึกว่าอยากจะเปลี่ยนตัวเอง ก็แสลงกับพรรคไทยรักไทยเพราะมันสื่อสารไม่ได้ระหว่างคนสองกลุ่ม นี่คือตัวอย่างถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้ก็เกิดทักษิณพลัสไม่ได้

คนเสื้อแดงจะจัดวางตัวเองในความสัมพันธ์นี้อย่างไร คือกระแสความนิยมของรัฐบาลในกระแสปรองดองก็ลดลงเรื่อยๆ
ตอบยาก ดีที่สุดที่จะตอบได้คือ พวกเราทุกคนควรจะรู้สึกดีใจที่เราจะมีตัวเลือก มีทางเลือกว่าจะเอาหรือไม่เอา มากกว่าทางเลือกรุ่นพ่อแม่เราที่มีแต่เพียงว่าจะปรับตัวเขาหาเขาหรือไม่ แม่กระทั่งธุรกิจที่ไม่อยากเดินไปสู่ธุรกิจอำมาตย์หรือทุนนิยมล้าหลัง ก็ยังเลือกเป็น SMEs ได้ นี่เป็นทางเลือกของชีวิตนะ ทำธุรกิจของตัวเองขึ้นมาได้นี่ ผมไม่ได้มองว่านี่อยู่นอกกรอบประชาธิปไตย มันเป็นเรื่องเดียวกันนะ เหมือนคนรุ่นหลังได้ซื้อเวลาที่จะตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร มันเหมือนกับการวัดใจกัน ถ้าเราเป็นชาวต่างประเทศเราจะมองประเทศไทยได้ง่ายกว่าตัวเราเองเพราะเรารู้สึกมันยากที่จะพูด แต่สมมติว่าเราเป็นฟิจิ เรามองไทยว่าคนไทยบางคนตายไป บางคนเกษียณตัวเอง บางคนแก่ บางคนทะเลาะกันเองในหมู่พี่น้องครอบครัว บางคนเบื่อการเมืองขอไปทำธุรกิจก่อน บางคนเบื่อประเทศไทยขอไปทำงานต่างประเทศ ความคิดของคนเหล่านี้สุดท้ายจะกลับมาให้คำจำกัดความใหม่ของประเทศไทยว่าจะมีหน้าตาอย่างไร เราไปจำกัดตัวเองให้คิดเสกลประเทศไทย แต่ถ้าเราคิดสเกลภูมิภาคหรือระหว่างประเทศมันจะแก้ปัญหาประเทศไทยไดมากกว่านี้ โดยเฉพาะระยะนี้ซึ่งเป็นระยะคอย อย่างผมเองผมเป็นคนทำงานการเมือง ถ้าผมกลับประเทศผมก็ต้องเทคไซด์ข้างนี้ ผมก็ไม่กลับ ทำอย่างอื่นของผมดีกว่า

จากพื้นฐานทีเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญการต่างประเทศเมื่ออยู่ข้างนอกยังติดตามประเด็นการต่างประเทศไหม
ยังติดตามใกล้ชิด แต่ไม่ได้พูดออกไป ไม่อยากพูดเรื่องการเมืองช่วงนี้แต่อยากดูสถานะไทยในโลก กำลังจะเริ่มหาแพลตฟอร์มอยู่ อาจจะผ่านเว็บนี่แหละ

คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งยังติดคุกอยู่ รวมถึงคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งถูกกล่าวหาด้วยมาตรา 112 จากการเป็น บ.ก.เรดพาวเวอร์ มีข้อเสนออะไรในการช่วยเหลือคนเหล่านี้
การลงโทษทางการเมืองเป็นหลักฐานที่ชี้สภาพการณ์ทางการเมือง คุณสมยศถ้าอยู่นอกประเทศก็ทำประโยชน์ได้เยอะ แต่ด้วยความที่แกมีภารกิจในประเทศสูงก็ไปถูกจับกุม ผมทำได้ก็คือการประชาสัมพันธ์ในประชาคมระหว่างประเทศในปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ความอับจนของประเด็นนี้ก็คือว่า ถ้าประชาชนในประเทศยังไม่ลุกขึ้นมาชี้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน มันไม่มีประเทศภายนอกที่ไหนจะเข้าไปแทรกแซงได้ ที่ต่างชาติเข้าไปแทรกแซงลิเบีย ตูนีเซียได้ เพราะเขาแสดงให้เห็นว่าเขาสู้กับอำนาจในประเทศนะ แต่คนไทยไม่ได้แสดงแบบนั้นนะ ยังคงแสดงว่าถ้าปรองดองได้ก็ดี ความกดดันในทางระหว่างประเทศที่จะเข้าไปช่วยคุณสมยศ ช่วยคุณสุรชัย ช่วยนักโทษการเมืองจึงทำไม่ได้เต็มที่ และยังมีเรื่องของการเปรียบเทียบอีกอย่างเราเอาเรื่อง 91 ศพเข้าศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) หลังจากนั้น 3 วัน ซีเรียมีกรณีเก้าพันกว่าศพ เรื่องไทยกลายเป็นเรื่องเล็กเรื่องน่าตกใจน้อยกว่า ก็เป็นความโชคร้ายของเราอันหนึ่ง ส่วนที่ว่าจะไปติดคุกแทนดีไหม ติดคุกเป็นเพื่อนดีไหม ผมคิดว่าไม่น่าจะประเป็นประโยชน์และผมคิดว่าคุณสมยศเข้าใจ

ข้อวิพากษ์วิจารณ์หลักสำหรับนักวิชาการ หรือคนที่อยู่ในต่างประเทศคือ มีข้อได้เปรียบ สามารถที่จะพูดได้ ปลุกเร้าคนได้ แต่ถึงที่สุดคนที่ตื่นขึ้นมาไม่รู้จะแสดงออกได้แค่ไหน กลับกลายเป็นเหยื่อทางการเมือง แกนนำหรือคนที่ปลุกเร้าจะตอบตัวเองอย่างไร รับผิดชอบอย่างไร
การต่อสู้ทางการเมืองมันลงเอยด้วยการเสียสละหลายรูปแบบ การติดคุกเป็นเรื่องหนึ่ง ยังมีเรื่องการเสียชีวิต การพิการ เสียโอกาสทางเศรษฐกิจและผลกระทบต่อครอบครัว หลายคนไม่ได้บาดเจ็บล้มตายเลย แต่ครอบครัวไม่มีกิน ลูกหลานหลายบ้านไม่มีเงินเรียนหนังสือ ถึงได้มีเรื่องการเยียวยาและยังไม่เป็นระบบ ซึ่งถ้าทำไม่ดีก็เหมือนกับการรับจ้างต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งถ้าทำไม่ดีจะน่าเกลียดมาก กลายเป็นโรงทานคนเสื้อแดง โรงทานมวลชน ซึ่งถ้าทำไม่ดี เราจะไม่มีเกียรติในการต่อสู้ครั้งต่อไป

และเราต้องอย่าลืมว่าคนที่ต้องพลัดบ้านพลัดเมืองมาอยู่นอกบ้านเกิดเมืองนอน ก็เป็นคนที่ถูกกระทำอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะแสดงความทุกข์หรือคร่ำครวญ พูดตามคำพระก็เหมือนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์แต่เป็นทุกข์ที่ต่างรูปแบบกันไป ฉะนั้นถ้าถามว่าจะรับผิดชอบอย่างไรก็ต้องตอบว่า ต้องผลักดันให้การต่อสู้ของเราประสบผลสำเร็จเร็วที่สุด

สัมภาษณ์พิเศษจักรภพ เพ็ญแข:  คงต้องปล่อยให้ลิ้มรสของการปรองดองกันเสียก่อน

“จุดอ่อนของระบอบประชาธิปไตยไทยตรงนี้ก็คือ เรากระเหี้ยนกระหือรือที่จะปรองดอง ไม่มีความอุตสาหะพอที่จะหาจุดตัดขาด ถ้าคนเรารอมชอมเร็วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราทนได้แค่ไหน”

 

ในการต่อสู้ทางการเมืองต้องขยายแนวร่วม แต่จุดอ่อนอะไรที่ฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าเราเชื่อว่าคุณทักษิณเป็นประชาธิปไตย หรือแนวทางที่สามที่คุณจักรภพยังพยายามหาอยู่นี้ มีจุดอ่อนอะไรที่ทำให้ไม่สามารถขยายแนวร่วมดึงคนจากอีกฝั่งเข้ามาได้เสียที
มีสองสามจุด จุดแรกและน่าจะสำคัญมากคือตัวนายกทักษิณเองเป็นตัวแทนของประบอบทุนนิยมไม่ใช่ตัวแทนของประชาสังคมทำให้เครือข่ายที่จะร่วมต่อสู้นั้นลังเล ข้อสองคือ ขบวนการประชาธิปไตยรอบหลังที่เริ่มต้นด้วยรัฐบาลไทยรักไทยจนบัดนี้เป็นการต่อสู้เพื่อโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยแทบไม่ได้พูดเรื่องความเสมอภาคหรือความเป็นธรรมทางสังคม มันทำให้คนที่ตอสู้เพื่อความเป็นธรรมทางสังคมเกิดความรู้สึกไม่ศรัทธา ยิ่งขณะนี้เป็นเรื่องการเยียวยา การชดเชย มันทำให้หลายคนรู้สึกว่านี่มันอะไรกัน เพราะถ้าพูดกันอย่างไม่เกรงใจกันแล้ว พูดแล้วจะถูกว่าก็ยอม ถึงที่สุดคือการต่อสู้ทางการเมืองต้องเป็นเรื่องการเสียสละไม่ได้อะไรกลับคืนเลยสักคนหนึ่ง จะจนยากอย่างไรก็ต้องรับผลนั้น ผมต้องขอพูดประโยคนี้ แต่แน่นอนล่ะคนด้วยกันเราก็เห็นใจกัน แต่ต้องอย่าให้ตรงนี้มาแทนจิตสำนึกของการต่อสู้ เพราะเราต้องไม่ลืมความดีงามว่ามวลชนเขามาต่อสู้ก็ไม่ได้หวังผลการเยียวยาตรงนี้ แต่เมื่อสู้แล้วลำบากก็ต้องเยียวยา ไม่ใช่เขามาสู้เพื่อให้ได้รับการเยียวยา และคนให้ต้องระวัง

สาม จุดอ่อนของระบอบประชาธิปไตยไทยตรงนี้ก็คือ เรากระเหี้ยนกระหือรือที่จะปรองดอง ไม่มีความอุตสาหะพอที่จะหาจุดตัดขาด ถ้าคนเรารอมชอมเร็วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราทนได้แค่ไหน รอมชอม สมานฉันท์หรืออะไรก็ตาม มันฟังดูดีมากนะ แต่มันทำให้เราเก็บความไม่เด็ดขาด ตกลงไม่รู้ว่าขอบของสังคมอยู่ตรงไหนเพราะเรามีสิ่งนี้มาคลุมไว้แล้ว แต่แน่นอนว่าผมพูดไปผมก็ขัดกับตัวเองว่าอะไรที่ทำใหไม่ต้องเสียหายอีกก็คงวรจะดีใจ

คิดว่าจะกลับเมืองไทยเมืองไหร่ ด้วยเงื่อนไขอะไร
ไม่มีกำหนดกลับ แต่เงื่อนไขที่จะกลับคือ ผมอยากเห็นทางสายที่สามเป็นรูปธรรมขึ้น สองคือ (ยิ้ม) อยากให้ทุกคนได้รู้รสของปรองดองเสียก่อนว่า มันเปรี้ยวหวานมันเค็มอร่อยแค่ไหน หรือเป็นพิษแล้วค่อยคิดกลับ สาม ซึ่งเป็นเป้าหมายส่วนตัว ไม่ได้พูดให้เท่ห์น่ะ ผมคงกลับหลังประชาคมอาเซียนเกิดขึ้นก่อน เพราะผมอยากขยายฐานการต่อสู้ของไทยให้กลายเป็นงานของประชาคมอาเซียน

ซึ่งยากมาก เพราะรัฐบาลในอาเซียนก็ไม่ได้มีระดับความเป็นประชาธิปไตยที่แตกต่างกับไทยสักเท่าไหร่
(ยิ้ม) มีมาเฟียที่เลวร้ายกับคนในบ้านตัวเอง และทำตัวเป็นเศรษฐีใจบุญนอกบ้านก็มีนะครับ ที่พูดนี่ไม่ใช่เป็นไอเดีย พูดเพราะมันมีอย่างนั้นจริงๆ

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายที่ดินเขาบรรทัด จี้กรมอุทยานฯ หยุด! แย่งยึดที่ดินชุมชน ประเคนนายทุน

$
0
0

เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2  จี้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ต้องยุติการแย่งชิงทรัพยากรจากชุมชนท้องถิ่นไปเพื่อสนองนายทุนและภาคอุตสาหกรรม

 
วันนี้ (3 เม.ย.55) เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 “กรมอุทยานแห่งชาติฯ ต้องยุติการแย่งยึดที่ดินชุมชน เพื่อไปประเคนให้นายทุน” จากกรณีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ใช้โอกาสในช่วงเวลาปัจจุบันที่รัฐบาลยังไม่มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาการจัดการที่ดิน ปราบปรามชุมชนท้องถิ่นที่อยู่อาศัยในเขตป่าทั่วประเทศ โดยไม่ได้แยกแยะ พิจารณาถึงข้อเท็จจริงว่าชุมชนเหล่านั้นอยู่อาศัยและทำกินมาก่อนการประกาศเขตป่า
 
ตั้งข้อสังเกตได้ว่า การปราบปรามครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในพื้นที่ป่า รวมทั้งเป็นการเปิดทางให้นายทุนเข้ามาทำธุรกิจการท่องเที่ยว และแย่งชิงทรัพยากรจากชุมชนท้องถิ่นไปเพื่อสนองนายทุนและภาคอุตสาหกรรม
 
แถลงการณ์ระบุข้อมูลว่า ในส่วนภาคใต้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตั้งเป้าหมายจับกุมและรื้อถอนสวนยางพื้นที่หลายแสนไร่ให้แล้วเสร็จอย่างเร่งด่วน โดยระดมเจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เร็วจากทั่วประเทศ รวมทั้งสนธิกำลังทหาร ตชด. ฝ่ายปกครอง ร่วมกันดำเนินการ
 
ในกรณีจังหวัดตรัง เจ้าหน้าที่ได้เริ่มปฏิบัติการปราบปรามแล้ว โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มี.ค.55 นายสุรเชษฐ์ วันดีเรืองไพศาล หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัดได้จับกุมชาวบ้านในพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนบ้านตระ ม.2 ต.ปะเหลียน อ.ปะเหลียน จ.ตรัง 2 ราย ในขณะที่นำหมากแห้งออกไปจำหน่าย แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความเนื่องจากเห็นว่าเป็นวิถีชีวิตปกติของชาวบ้าน
 
ต่อมาวันที่ 30 มี.ค.55 นายสมชัย แสงแก้ว หัวหน้าเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้จำนวน 50 นาย เข้าไปตัดฟันสวนยางของชาวบ้านจำนวน 3 ราย ซึ่งเป็นเกษตรกรรายย่อยที่มีที่ดินถือครองเพียง 4 ไร่ ในพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู ม.1 ต.ช่อง อ.นาโยง จ.ตรัง ทั้งที่พื้นที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช.) แล้วว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน สามารถบริหารจัดการที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐได้
 
แต่อีกด้านหนึ่งกรมอุทยานแห่งชาติฯ กลับละเลยให้มีการตัดไม้ทำลายป่าในหลายพื้นที่ รวมถึงการปล่อยให้นายทุนชาวไทยและต่างชาติดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์มิชอบ สร้างโรงแรมหรูริมทะเลหลายแห่ง นอกจากนั้นยังมีแผนการเตรียมเพิกถอนเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา พื้นที่ 5,000 ไร่ เพื่อให้กรมเจ้าท่าถมทะเลสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมปากบารา และมีแผนให้กรมชลประทานสร้างเขื่อน 7 เขื่อนในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด จ.สตูล และจ.สงขลา เพื่อรองรับอุตสาหกรรมต่อเนื่องในเนื้อที่ 150,000 ไร่ ใน จ.สตูล และหลายหมื่นไร่ ในจ.สงขลา ภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์สตูล-สงขลา
 
ขอเรียกร้อง ของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด มีดังนี้ 1.รัฐบาลต้องสานต่อนโยบายโฉนดชุมชน ทั้งนี้เพื่อให้ส่วนราชการต่างๆ ปฏิบัติงานไปในแนวทางเดียวกัน นายกรัฐมนตรีควรมอบหมายนโยบายที่ชัดเจนเรื่องโฉนดชุมชนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการทำหนังสือเวียนถึงส่วนราชการต่างๆ เพื่อให้มีการปฏิบัติตามนโยบายและแนวทางโฉนดชุมชน
 
2.กรมอุทยานแห่งชาติฯ ต้องหยุดการดำเนินการปราบปรามชาวบ้าน และหันกลับมาทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นในการดูแลรักษาป่า โดยเคารพสิทธิของชุมชนท้องถิ่นในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติร่วมกับรัฐ 3.ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ต้องกำกับหน่วยงานป่าไม้และหน่วยงานราชการอื่นภายใต้การบริหารงานของจังหวัดตรัง เพื่อให้เกิดการปราบปรามผู้บุกรุกป่าตัวจริง และยุติการกลั่นแกล้ง ข่มขู่คุกคามดำเนินคดีกับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ชุมชนดั้งเดิม และ 4.สังคมต้องร่วมกันตรวจสอบความถูกต้อง และขอบเขตการใช้อำนาจรัฐของกรมอุทยานแห่งชาติฯ
 
 
 
แถลงการณ์ฉบับที่ 2 เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด
กรมอุทยานแห่งชาติฯ ต้องยุติการแย่งยึดที่ดินชุมชน เพื่อไปประเคนให้นายทุน
 
รัฐบาลชุดปัจจุบัน ประกาศจะสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ โดยได้แถลงนโยบาย ข้อ 5.4 ต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ว่าจะ “ปฏิรูปการจัดการที่ดินโดยให้มีการกระจายสิทธิที่ดินอย่างยั่งยืนโดยใช้มาตรการทางภาษีและจัดตั้งธนาคารที่ดินให้แก่คนจนและเกษตรกรรายย่อย...ผลักดันกฎหมายในการรับรองสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากร ที่ดิน น้ำ ป่าไม้ และทะเล ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหาการดำเนินคดีโลกร้อนกับคนจน” แต่จนถึงปัจจุบัน นโยบายเหล่านี้ยังไม่มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน
 
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ฉกฉวยโอกาสในช่วงเวลาปัจจุบัน ปราบปรามชุมชนท้องถิ่นที่อยู่อาศัยในเขตป่าทั่วประเทศ โดยไม่ได้แยกแยะ พิจารณาถึงข้อเท็จจริง ว่าชุมชนเหล่านั้นอยู่อาศัยและทำกินมาก่อนการประกาศเขตป่าหรือไม่ ในส่วนภาคใต้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตั้งเป้าหมายจับกุมและรื้อถอนสวนยางพื้นที่หลายแสนไร่ให้แล้วเสร็จอย่างเร่งด่วน โดยระดมเจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เร็วจากทั่วประเทศ รวมทั้งสนธิกำลังทหาร ตชด. ฝ่ายปกครอง ร่วมกันดำเนินการ
 
กรณีจังหวัดตรัง เจ้าหน้าที่ได้เริ่มปฏิบัติการปราบปรามแล้ว โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2555 นายสุรเชษฐ์ วันดีเรืองไพศาล หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัดได้จับกุมชาวบ้าน ในพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนบ้านตระ ม.2 ต.ปะเหลียน อ.ปะเหลียน จ.ตรัง 2 ราย ในขณะที่นำหมากแห้งออกไปจำหน่าย แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความเนื่องจากเห็นว่าเป็นวิถีชีวิตปกติของชาวบ้าน ต่อมาวันที่ 30 มีนาคม 2555 นายสมชัย แสงแก้ว หัวหน้าเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้จำนวน 50 นาย เข้าไปตัดฟันสวนยางของชาวบ้านจำนวน 3 ราย ซึ่งเป็นเกษตรกรรายย่อยที่มีที่ดินถือครองเพียง 4 ไร่ ในพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู ม.1 ต.ช่อง อ.นาโยง จ.ตรัง ทั้งที่พื้นที่โฉนดชุมชนบ้านตระ และบ้านทับเขือ-ปลักหมู ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช.) แล้วว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน สามารถบริหารจัดการที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐได้
 
ในขณะที่การปราบปรามประชาชนคนเล็กคนน้อยเป็นไปอย่างเข้มข้น ในอีกด้านหนึ่งกรมอุทยานแห่งชาติฯ กลับปล่อยปละละเลยให้มีการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่หลายแห่ง รวมถึงการปล่อยให้นายทุนชาวไทยและต่างชาติดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์มิชอบ สร้างโรงแรมหรู ริมทะเลหลายแห่ง นอกจากนั้นยังมีแผนการเตรียมเพิกถอนเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา พื้นที่ 5,000 ไร่ เพื่อให้กรมเจ้าท่าถมทะเลสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมปากบารา และมีแผนให้กรมชลประทานสร้างเขื่อน 7 เขื่อนในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด จังหวัดสตูล และสงขลา เพื่อรองรับอุตสาหกรรมต่อเนื่องในเนื้อที่ 150,000 ไร่ ในจังหวัดสตูล และหลายหมื่นไร่ ในจังหวัดสงขลา ภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์สตูล-สงขลา
 
จากพฤติกรรมดังกล่าว จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่ากรมอุทยานแห่งชาติฯ มีเจตนาปราบปรามประชาชนและชุมชนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในเขตป่า โดยไม่แยกแยะว่าชุมชนเหล่านั้น จะอยู่มาก่อนหรือมีสิทธิอันชอบธรรมในที่ดินของตนเองหรือไม่ จึงเป็นไปได้เช่นกันว่า การปราบปรามครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในพื้นที่ป่า รวมทั้งเป็นการเปิดทางให้นายทุนเข้ามาทำธุรกิจการท่องเที่ยว และแย่งชิงทรัพยากรจากชุมชนท้องถิ่นไปเพื่อสนองนายทุนและภาคอุตสาหกรรม
 
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ขอเรียกร้องให้กรมอุทยานแห่งชาติ กลับมาทำหน้าที่ที่เหมาะสมในการปกป้องอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดย
 
1. รัฐบาลต้องสานต่อนโยบายโฉนดชุมชน ทั้งนี้เพื่อให้ส่วนราชการต่างๆ ปฏิบัติงานไปในแนวทางเดียวกัน นายกรัฐมนตรีควรมอบหมายนโยบายที่ชัดเจนเรื่องโฉนดชุมชนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการทำหนังสือเวียนถึงส่วนราชการต่างๆ เพื่อให้มีการปฏิบัติตามนโยบายและแนวทางโฉนดชุมชน ซึ่งจะต้องมีการคุ้มครองพื้นที่และรับรองสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร ทั้งในส่วนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอื่นๆ
 
2. กรมอุทยานแห่งชาติฯ ต้องหยุดการกระทำที่ป่าเถื่อนและแอบแฝงด้วยทุจริต และหันกลับมาทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นในการดูแลรักษาป่า โดยเคารพสิทธิของชุมชนท้องถิ่นในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติร่วมกับรัฐ ตามแนวทางโฉนดชุมชนและสิทธิชุมชน มาตรา 66 ในรัฐธรรมนูญ
 
3. ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ต้องกำกับหน่วยงานป่าไม้และหน่วยงานราชการอื่น ภายใต้การบริหารงานของจังหวัดตรัง เพื่อให้เกิดการปราบปรามผู้บุกรุกป่าตัวจริง และยุติการกลั่นแกล้ง ข่มขู่คุกคามดำเนินคดีกับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ชุมชนดั้งเดิม
 
4. สังคมต้องร่วมกันตรวจสอบความถูกต้อง และขอบเขตการใช้อำนาจรัฐของกรมอุทยานแห่งชาติฯ
 
ด้วยความเชื่อมั่นในพลังประชาชน
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
วันที่ 3 เมษายน 2555
 
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

มองก้าวต่อไปของพม่า ผ่านสายตา “โก โก จี” ผู้นำนักศึกษายุค ‘88’

$
0
0

อัจฉรา อัชฌายกชาติ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์สัมภาษณ์ “โก โก จี” (Ko Ko Kyi) ถึงมุมมองต่ออนาคตของพม่าหลังการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 1เมษายน เขาเป็นอดีตผู้นำนักศึกษาพม่ารุ่น 8888 ผู้ได้รับโทษจำคุก 65 ปีจากกิจกรรมทางการเมือง และถูกจองจำเป็นเวลา 4 เดือนครึ่ง ก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา 

 

ถาม: เมื่อคุณถูกจองจำอยู่ คุณได้คาดหวังไหมว่าการปฏิรูปในพม่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น

ตอบ: ผมก็ไม่แปลกใจมากนัก ตอนที่อยู่ในคุก พวกเราไม่ได้แค่นั่งอยู่เฉยๆ หรือถอดใจ เราก็พยายามหาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับภายนอกอยู่เรื่อยๆ เรารู้ว่าผู้นำทหารจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเนื่องจากแรงกดดันจากประชาคมนานาชาติที่ไม่ชอบรัฐบาลที่กดขี่ประชาชน เขาจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนจากระบอบทหารมาเป็นรัฐบาลพลเรือน

 

มีกระแสมองโลกในแง่ดีค่อนข้างมากในพม่า แต่ประวัติศาสตร์การปราบปรามประชาชนที่โหดร้ายก็ยังคงเลือนรางอยู่ คุณมองสถานการณ์หลังการเลือกตั้งว่าอย่างไรบ้าง

นี่เป็นช่วงเวลาที่สนใจมากในประวัติศาสตร์ของเรา เพราะเราจะได้เห็นทหารและกลุ่มฝ่ายค้านนั่งอยู่ร่วมกันในสภาเป็นครั้งแรก และนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่แปลกมากสำหรับเรา

ด้วยเก้าอี้ 45 ที่นั่ง ถึงแม้ว่าพรรคเอ็นแอลดีจะได้ที่นั่งทั้งหมด แต่มันก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่ดี เพราะเมื่อเทียบกับที่นั่งที่เหลือราว 86% ที่อยู่ภายใต้การควบคุมโดยกองทัพและพรรค USDP ที่สนับสนุนทหารก็นับว่าเป็นส่วนน้อยมากๆ

อย่างไรก็ตาม อองซานซูจีก็เป็นบุคคลที่มีความน่าเกรงขามที่แตกต่าง เธอสามารถพูดเสียงดังกว่าสมาชิกรัฐสภาคนอื่นๆ

 

คุณคิดว่าภาคประชาชนสังคมจะสามารถเบ่งบานภายใต้สภาพแวดล้อมทางการเมืองเช่นในปัจจุบันได้อย่างไร

แน่นอนว่า นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในประเทศของเราเพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ภายใต้ระบอบการเมืองพรรคเดียว มันก็พอมีองค์กรด้านสันติภาพ การพัฒนาและอาสาสมัครบ้าง แต่หลังจากขบวนการเคลื่อนไหวรุ่น 8888 และการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมหลังเหตุการณ์นาร์กิส ประชาชนชาวพม่าก็เล็งเห็นแล้วว่าพวกเขาจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในประเด็นแห่งชาติและของชุมชน

รัฐบาลทหารได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาไม่สามารถจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้าได้ ประชาชนรุ่นใหม่จึงค่อนข้างกระตือรือร้นในการเข้าไปมีส่วนร่วมกับปัญหาต่างๆ ในสังคม

 

คุณมองว่าจังหวะของการปฏิรูปทางการเมืองเป็นอย่างไร เมื่อพิจารณาจากว่ารัฐบาลพลเรือนเพิ่งจะตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้ว

ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติยังลังเลต่อการเปลี่ยนแปลง พวกเขาตอบสนองและกระทำบางสิ่งจากเพียงมุมเรื่องความมั่นคงเท่านั้น แต่ในขณะที่สังคมเราพัฒนาไป พวกเขาจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงการเคารพเสียงของประชาชน สิทธิ เสรีภาพและอิสรภาพของพลเมือง

นอกจากนี้ ยังมีการโต้เถียงด้วยว่าเศรษฐกิจหรือการเมืองจะสำคัญกว่ากัน เหล่าเผด็จการได้พยายามที่จะเปลี่ยนผ่านประเทศเข้าสู่ประชาธิปไตยแบบผสม และทำการปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจในแนวทางที่พวกเขาถนัด

 

มีความคาดหวังต่อการเจรจากับกลุ่มชาติพันธุ์และการปรองดองแห่งชาติอย่างไร

นี่เป็นประเด็นที่ค่อนข้างซับซ้อนมาก เพราะเป็นปัญหาที่มีมาถึงครึ่งศตวรรษ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในคราวเดียว

ผู้นำคนก่อนๆ พยายามจะแก้ปัญหาประเด็นชาติพันธุ์ โดยเสนอการหยุดยิง แต่มันก็เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขากล่าวถึงเรื่องนี้ผ่านงานพัฒนาในพื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์ด้วย แต่นั่นก็ยังไม่พอ

พวกเขาจัดการปัญหานี้จากมุมมองของกองทัพและความมั่นคง พวกเขาควรต้องจัดการมันจากมุมมองที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมุมทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและการเมือง ไม่เช่นนั้น เราจะไม่สามารถแก้ปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ได้ นอกจากนี้ ที่ผ่านมา การพูดคุยมักถูกจัดขึ้นระหว่างผู้นำพม่าและผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ โดยที่เสียงของคนรากหญ้าไม่ได้มีส่วนร่วม

คนกลุ่มชาติพันธุ์นั้นยากจนและไร้เดียงสา พวกเขาไม่รู้สิทธิ ไม่รู้ว่าจะแสดงความต้องการของตัวเองอย่างไร เสียงส่วนมากของพวกเขาหายไป (จากกระบวนการปรองดอง) ดังนั้น หากพวกเราต้องการสันติภาพที่ยั่งยืนในประเทศ พวกเราจะต้องกระตุ้นและยอมให้เสียงเงียบปรากฏออกมา

 

ภารกิจต่อไปของคุณคืออะไร - - จะรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน?

ในนามของกลุ่ม "คนรุ่น '88" ผมได้เดินทางไปเยือนในหลายพื้นที่ของพม่า โดยทริปแรก หลังจากที่ผมได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเมื่อสามเดือนก่อน ผมได้ไปที่ภาคอิระวดี ซึ่งน่าสงสารมาก พวกเขาไม่มีความคิดเรื่องอะไรคือสังคมเปิด อะไรคือความโปร่งใส

แต่ผมก็ยังมองโลกในแง่ดีว่า เราได้หลอมรวมให้เกิดพันธมิตรและเครือข่ายกับกลุ่มต่างๆ มากมายทั้งกลุ่มด้านศิลปวัฒนธรรม กลุ่มศาสนา กลุ่มที่ทำงานพัฒนา และกลุ่มอาสาสมัคร รวมทั้งกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งขึ้นอย่างรัฐคะฉิ่นด้วย

กลุ่ม "คนรุ่น '88" ได้ประกาศด้วยว่าสนับสนุนออง ซาน ซูจี และพรรคของเธอ แต่นอกจากช่องทางรัฐสภา ประชาธิปไตยสาธารณะก็มีความสำคัญสำหรับพม่าด้วย เราจำเป็นต้องทำงานเพื่อเสริมศักยภาพให้กับองค์ความรู้ เพิ่มการตระหนักรู้และความมั่นใจให้กับประชาชน โดยสิ่งเหล่านี้กำลังจะเกิดขึ้น อย่างเช่นการประท้วงเขื่อนมิตซง และโครงการโรงไฟฟ้าทวาย

ตอนนี้ผมเองกำลังนำภารกิจการค้นหาข้อเท็จจริง เพื่อ ส.ส. ชื่อขิ่น หม่อง ยี (KhineMaung Yi) ภายหลังจากที่ประชาชนราว 10,000 คน ที่อำเภอตะโกง ทางตะวันออกของภาคย่างกุ้ง ได้เข้าชื่อกันร้องเรียนว่ารัฐบาลบังคับให้พวกเขาขายที่ซึ่งพวกเขาหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงจากเงินเดือนข้าราชการ

ใช่ นี่คือสิ่งที่พวกเรากำลังดำเนินการในการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คนกูเกิลเสียดาย พ.ร.บ.คอมฯ ทำบรรยากาศปิด ไม่เอื้อลงทุน

$
0
0

ในการอภิปรายหัวข้อ "ประเทศไทยพร้อมหรือยังสำหรับเศรษฐกิจยุคสารสนเทศ?" ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา มีการพูดถึง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ของไทยที่มีบทลงโทษต่อตัวกลาง หรือผู้ให้บริการ เทียบเท่ากับผู้กระทำความผิด กับความสามารถในการแข่งขันของไทย

เควิน แบงสตัน (Kevin Bankston) จากศูนย์เพื่อประชาธิปไตยและเทคโนโลยี Center for Democracy and Technology กล่าวถึงแนวคิด อย่าทำร้ายคนส่งสาร (Don't shoot the messenger) ที่ถูกใช้ในการปกป้องตัวกลางหรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ว่าคนส่งสารไม่ควรถูกลงโทษเพราะไม่ยุติธรรม เนื่องจากตัวกลางไม่ได้เป็นผู้สร้างเนื้อหานั้นๆ และอาจทำให้ไม่ได้รับข้อมูลสำคัญ พร้อมชี้ว่าแนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่มีมาตั้งแต่สมัยกรีก-โรมัน ที่มีการลงโทษผู้ส่งสารที่แจ้งเตือนข่าวร้าย ทำให้ไม่มีใครกล้าส่งสารอีก ส่งผลต่อความพ่ายแพ้ของเมือง หรือจีนในอดีต ที่จะปล่อยคนส่งสารเดินทางกลับอย่างปลอดภัย

เควิน กล่าวว่า ปัจจุบัน คนส่งสารในยุคใหม่ (modern messenger) คือ วิกิพีเดีย เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ซึ่งมีข้อมูลถูกสร้างโดยผู้ใช้จำนวนมหาศาล พร้อมชี้ว่าเฟซบุ๊กของมาร์ค ซักเกอร์เบิร์ค อาจจะเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีกฎหมายของสหรัฐอเมริกาที่ปกป้องตัวกลางจากการรับผิด

ทั้งนี้ เขาชี้ว่า การเก็บล็อคไฟล์ 90 วัน หรือต้องมอนิเตอร์สิ่งที่มีผู้โพสต์ ตลอด 24 ชม. เป็นสิ่งที่ผู้ให้บริการประเภทที่ผู้ใช้สร้างเนื้อหาไม่ต้องทำในสหรัฐฯ หรือยุโรป เช่นนี้แล้วเหตุใดคนจะต้องลงทุนในไทยที่มีสภาพกฎหมายแบบนี้

พิรงรอง รามสูต ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากกรณีที่มีผู้โพสต์คลิปที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในยูทูป และกระทรวงไอซีทีของไทยได้ขอให้ถอดคลิปดังกล่าวออกแต่ยูทูปปฏิเสธเนื่องจากไม่ใช่นโยบายของยูทูป จนนำไปสู่การที่กระทรวงไอซีทีบล็อคเว็บยูทูป นำมาซึ่งการผลักดัน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จนสำเร็จในปี 2550 โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร

พิรงรอง กล่าวต่อว่า จากงานวิจัยของ iLaw พบว่ามีการฟ้องร้องในประเด็นที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ (17%) น้อยกว่าประเด็นที่เกี่ยวกับเนื้อหาในอินเทอร์เน็ต (63%) โดยเธอมองว่าการออกกฎหมายนี้ทำให้ตัวกลางต้องรับผิดชอบแบบเดียวกับบรรณาธิการสิ่งพิมพ์ พร้อมเปรียบเทียบว่า แทนที่กระทรวงไอซีทีจะสร้างถนน แต่กลับสร้างตัวหนอนที่ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างมีข้อจำกัด

วันฉัตร ผดุงรัตน์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Pantip.com กล่าวว่า ก่อนมี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีการใช้กฎหมายสิ่งพิมพ์กับผู้ประกอบการเว็บไซต์ เว็บมาสเตอร์ถูกจัดเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ซึ่งห่างไกลความเป็นจริง เพราะ บก.นสพ.มีโอกาสตรวจเนื้อหาก่อน แต่เว็บมาสเตอร์ไม่มีโอกาสเห็นข้อความก่อนออนไลน์

วันฉัตรเล่าถึงคดีหนึ่งหลังจากมี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งเว็บพันทิปถูกฟ้อง และพันทิปต่อสู้ในประเด็นที่ว่า ข้อความที่มีผู้มาโพสต์เป็นข้อความตรงกับที่มีคนกลุ่มหนึ่งออกประกาศมาจริงๆ จึงไม่ใช่การนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ และเปรียบเทียบระดับการรับผิดของตัวกลางว่า พันทิปเป็นผู้ให้บริการเช่นเดียวกับเฟซบุ๊ก ที่หากมีผู้ทำแฟนเพจขึ้นผู้ดูแลแฟนเพจก็มีสิทธิลบข้อความที่ถูกโพสต์ได้ ดังนั้นพันทิปในฐานะผู้ให้บริการจึงไม่ได้อยู่ในชั้นใกล้ที่สุดที่จะลบได้ โดยคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นยกฟ้อง ขณะนี้อยู่ในศาลอุทธรณ์

วันฉัตรเล่าว่า ในเว็บพันทิป คนที่จะโพสต์ได้ต้องลงทะเบียนเป็นสมาชิกโดยใช้เลขบัตรประชาชน ซึ่งมีผลทางจิตวิทยาทำให้ผู้เขียนระมัดระวัง เพราะหากทำผิด สามารถถูกตามตัวได้ นอกจากนั้นยังมีพนักงานมอนิเตอร์เนื้อหาและให้ผู้อ่านแจ้งเมื่อพบสิ่งไม่เหมาะสม ซึ่งพันทิปโชคดีที่มีผู้อ่านดีๆ จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ข้อความที่ผิดกฎหมายมีผลทำร้ายสังคมสามารถเอาออกได้ทันที แต่ส่วนที่ยากคือข้อความที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย แต่มีประโยชน์ต่อสาธารณะ เช่น การเปิดโปงต่างๆ ซึ่งพันทิปมีแนวทางการจัดการคือ จะไม่ลบหากเนื้อหามีประโยชน์ต่อสาธารณะ นิติกรมีความเห็นว่าเข้าข่ายข้อยกเว้นของกฎหมาย และต้องมั่นใจว่าหาตัวคนเขียนข้อความได้จริงเมื่อขึ้นศาล

เขามองว่า พ.ร.บ.คอมฯ ช่วยให้ผู้ดูแลกฎหมายเข้าใจคนทำเว็บมากขึ้น รวมถึงทำให้ผู้ประกอบการมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ทั้งนี้ เขามองว่าตัวกลางหรือ messenger มีสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นทางผ่านข้อมูล (conduit) ที่ถือเป็นผู้ส่งสาร 100% กับกลุ่มที่เป็นที่เก็บข้อมูล (data storage) ซึ่งเขามองว่าไม่ใช่ผู้ส่งสาร 100% ซึ่งควรจะหาจุดสมดุลในการรับผิดชอบสังคมและภาระหน้าที่ที่ผู้ให้บริการต้องแบกรับ อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ยังมองว่าหาจุดสมดุลได้ยาก เนื่องจากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องยังมีความต้องการที่แตกต่างกัน

แอน เลวิน (Ann Lavin) หัวหน้าฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์และนโยบาย Google เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้ใช้ที่แอคทีฟ โดยในงานที่กูเกิลจัดเมื่อสัปดาห์ก่อน มีผู้เข้าร่วมมากกว่าที่คาดไว้ ไม่แน่ว่าเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กใหม่อาจมาจากไทยก็ได้ แต่เธอมองว่าภายใต้บรรยากาศของไทยเช่นนี้ การลงทุนและนวัตกรรมจะไม่เกิดขึ้น รวมถึงจะไม่มีการสร้างเนื้อหา หากผู้ใช้มองว่าจะเป็นอันตราย

ในช่วงถาม-ตอบ มีคำถามว่าผู้ใช้ตอบสนองต่อระเบียบใหม่ที่ต้องลงทะเบียนด้วยเลขบัตรประชาชนของพันทิปอย่างไร วันฉัตร กล่าวว่า การลงทะเบียนด้วยเลขบัตรประชาชนมีมาก่อนที่จะมี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยช่วงแรก ผู้ใช้จำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วย แต่เขาได้พยายามชี้ให้เห็นว่าการลงทะเบียนจะเกิดเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีประโยชน์ ไม่ใช่เนื้อหารุนแรงที่มาจากคนที่โพสต์แบบไม่รับผิดชอบ ซึ่งต่อมาคนก็เริ่มเห็นด้วยและหันมาลงทะเบียนมากขึ้น ขณะที่เควินกล่าวถึงประเด็นความนิรนามว่ามักมีความคาดหวังว่าการแสดงตัวตนหรือชื่อจริงจะทำให้เกิดชุมชนที่ดี แต่กลับมีงานวิจัยพบว่าผู้ที่ใช้นามแฝงแสดงความเห็นที่มีคุณภาพกว่า

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เหลียวหลังแลหน้า 13 ปี พนักงานในสถาบันอุดมศึกษา

$
0
0

การแปรเปลี่ยนสภาพการบริหารของสถาบันอุดมศึกษาที่อยู่ภายใต้การบริหารงานในระบบราชการไปเป็นแบบอยู่นอกระบบราชการหรือที่เรียกว่า “มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ” มีแนวคิดมาตั้งแต่ พ.ศ. 2507 แต่ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใดๆ เนื่องจากความไม่เข้าใจและความไม่แน่ใจในสถานภาพ รวมถึงสิทธิประโยชน์ของบุคลากรในมหาวิทยาลัย

จนกระทั่งในปี พ.ศ.2531 ในสมัยรัฐบาลของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ที่ออกนอกระบบราชการแห่งแรก คือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โดยมีสาเหตุเนื่องมาจากที่ผ่านมาสถาบันอุดมศึกษาอยู่ในระบบราชการ มีระเบียบหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ มากมาย ขาดความคล่องตัว ไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องการบริหารงานบุคคล การบริหารงบประมาณ การเงินและพัสดุ ซึ่งขัดกับลักษณะการบริหารสถาบันอุดมศึกษาที่ต้องการความเป็นอิสระคล่องตัว เพื่อให้เกิดความเป็นเลิศและความก้าวหน้าทางวิชาการ อีกทั้งได้เกิดภาวะ “สมองไหล” ต้องสูญเสียบุคลากรเก่งๆ ที่มีความรู้ความสามารถสูงไปสู่ภาคธุรกิจเอกชนหรือไม่สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานภาครัฐได้ โดยเฉพาะการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย นับว่าเป็นการบั่นทอนประสิทธิภาพขององค์กรภาครัฐอย่างยิ่ง

ระบบ “พนักงานมหาวิทยาลัย” ได้ถูกนำมาใช้แทนระบบ “ข้าราชการ” อย่างเป็นทางการ ภายหลังวิกฤตทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2542 เพื่อลดรายจ่ายภาครัฐ โดยคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ (ค.ป.ร.) ได้ระงับการกำหนดอัตราข้าราชการใหม่ทุกประเภทให้กับสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒนาอุดมศึกษาที่ต้องการให้เปลี่ยนสถานภาพการบริหารเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2542 ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับการจ้างบุคลากรสาย ก. ในอัตราข้าราชการแรกบรรจุ ซึ่งเป็นอัตราปัจจุบันบวกด้วยอัตราเพิ่มอีกร้อยละ 70 (1.7 เท่า) และให้จ้างบุคลากรสาย ข. และสาย ค. ในอัตราข้าราชการแรกบรรจุ ซึ่งเป็นอัตราปัจจุบันบวกด้วยอัตราเพิ่มอีกร้อยละ 50 (1.5 เท่า) จนกว่าจะปรับเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐภายในปี พ.ศ. 2545

ในขณะที่ทบวงมหาวิทยาลัยในขณะนั้นได้ให้หลักการว่า “พนักงานมหาวิทยาลัย” เป็นพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ภายใต้กฎหมายของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ข้าราชการ ไม่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ และกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม โดยได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่าในปัจจุบัน แต่ไม่ควรต่ำกว่ารัฐวิสาหกิจ สามารถแข่งขันได้ในตลาดแรงงาน โดยจะได้รับตามความสามารถและภาระงาน ซึ่งพิจารณาตามคุณภาพและปริมาณงานวิจัย ดังนั้นอาจารย์แต่ละคนเงินเดือนไม่ควรเท่ากัน สำหรับระบบบัญชีเงินเดือนควรแยกระหว่างบุคลากรสายวิชาชีพและสายปฏิบัติการ ทั้งนี้ทุกมหาวิทยาลัยจะใช้บัญชีเงินเดือนเดียวกันในระยะ 3 ปีแรกของการเปลี่ยนระบบ การกำหนดผลประโยชน์เกื้อกูลจะต้องไม่ต่ำกว่าที่ควรได้รับ งบสวัสดิการของมหาวิทยาลัยในแต่ละปี ควรขอจัดสรรงบประมาณจำนวนร้อยละ 25 ของค่าใช้จ่ายหมวดเงินเดือน โดยมีแนวปฏิบัติในการบริหารงานบุคคลของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ สรุปได้ดังนี้

1. ต้องเป็นระบบที่ดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถและรักษาคนดีไว้ได้

2. ให้สภามหาวิทยาลัยเป็นผู้กำหนดบัญชีอัตราเงินเดือน โดยคำนึงถึงคุณสมบัติและภาระงานเป็นสำคัญ

3. การกำหนดผลประโยชน์และสวัสดิการ พนักงานของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐจะได้รับสิทธิและประโยชน์เกื้อกูลรวมกันแล้วจะไม่น้อยกว่าระบบราชการ เช่น ไม่มีระเบียบบำเหน็จ บำนาญ แต่มีระบบกองทุนเลี้ยงชีพแทน เป็นต้น ทั้งนี้แต่ละมหาวิทยาลัยอาจมีวิธีการที่แตกต่างกันไป

4. กำหนดเงื่อนไขการจ้างและกลไกการประเมิน โดยคำนึงถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานเป็นสำคัญ โดยยึดหลักการ 4 ประการ คือ

1)  วิธีการประเมินต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้และเป็นธรรม

2)  กลไกการประเมินควรใช้องค์คณะบุคคลทั้งภายในและภายนอก

3)  ผลของการประเมินต้องนำไปพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้ได้คุณภาพ

4)  กฎเกณฑ์การดำเนินการต้องเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม

5. การถ่ายโอนเข้าสู่ระบบใหม่ ให้มีคณะกรรมการประเมินศักยภาพบุคคลขึ้น 

6. การขอตำแหน่งทางวิชาการ ภายใต้กฎเกณฑ์ข้อบังคับของสภามหาวิทยาลัย

7. พนักงานมหาวิทยาลัยยังคงให้ได้รับสิทธิการของเครื่องราชอิสริยาภรณ์เช่นเดียวกับข้าราชการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี

ในปัจจุบันมีสถาบันอุดมศึกษาที่ได้เปลี่ยนสถานภาพการบริหารเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ จำนวน 14 สถาบัน คงเหลืออีก 65 สถาบัน ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนสถานภาพการบริหารได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสถาบันอุดมศึกษาไม่สามารถเปลี่ยนสถานภาพการบริหารเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐได้ทั้งหมด แต่บุคลากรที่เข้ามาใหม่ได้ถูกเปลี่ยนสถานภาพจาก “ข้าราชการ” เป็น “พนักงานมหาวิทยาลัย” ไปหมดแล้ว โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พนักงานมหาวิทยาลัยเงินงบประมาณแผ่นดินกับพนักงานมหาวิทยาลัยเงินรายได้ ซึ่งมีจำนวนหลายหมื่นคน การปรับสถานะภาพดังกล่าว ได้ผูกมัดไว้ด้วยระบบ “สัญญาจ้าง” ที่มีระยะเวลาการว่าจ้างตามสัญญา ส่งกระทบต่อ “ความมั่นคง” ในการทำงาน “เสรีภาพทางวิชาการ” ของอาจารย์มหาวิทยาลัย เพราะต้องกังวลกับสัญญาจ้างงานที่อาจถูกประเมินให้ออกจากงานได้โดยไม่เป็นธรรม สะท้อนให้เห็นว่า รัฐหรือผู้บริหารกำลังต้องการควบคุมอาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่ให้แสดงความคิดเห็นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของรัฐ ซึ่งต่างจากในอดีตที่ผ่านมาที่อาจารย์มหาวิทยาลัย คือ ผู้นำความคิดของสังคม โดยเฉพาะเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญๆ เช่น 14 ตุลาคม 2516 และ 16 ตุลาคม 2519 ซึ่งถ้าตัวเองยังขาดความมั่นคงแบบนี้ก็อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะไปสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับใคร

การเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบใหม่นี้ นอกจากจะไม่สามารถดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้สามารถสูงเข้ามาทำงานได้แล้วยังกลับสร้างปัญหามากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในเรื่อง การขาด “ขวัญกำลังใจ” ในการทำงาน “พนักงานมหาวิทยาลัย” ไม่ได้รับค่าตอบแทนและสวัสดิการตามหลักการที่ทบวงมหาวิทยาลัยได้ให้ไว้ ที่สำคัญ คือ การไม่ได้รับค่าจ้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2542 ที่กำหนดให้ 1.7 และ 1.5 เท่าของอัตราเงินเดือนข้าราชการแรกบรรจุที่เป็นอัตราปัจจุบัน ซึ่งเงินเดือนข้าราชการแรกบรรจุในปัจจุบัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2555 ได้กำหนดให้บุคลากรภาครัฐที่จบปริญญาตรีได้รับเงินเดือน 11,680 บาท บวกกับค่าครองชีพอีก 3,320 บาท รวมเป็นเงิน 15,000 บาท (ตามนโยบายรัฐบาล) วุฒิปริญญาโท 15,300 บาท และวุฒิปริญญาเอก 19,000 บาท

นโยบายดังกล่าวไม่ได้ครอบคลุมถึงข้าราชการและพนักงานมหาวิทยาลัยที่ทำงานมานานและเงินเดือนเกินอัตราแรกบรรจุแล้ว ซึ่งเป็นการทำลายระบบโครงสร้างเงินเดือนข้าราชการและพนักงานมหาวิทยาลัยอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งในบางมหาวิทยาลัยยังไม่ได้ปรับเงินเดือนให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยตามการปรับเงินเดือนข้าราชการตลอดสัญญาจ้างที่ผ่านมาเลย และไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ “พนักงานมหาวิทยาลัย” มีภาวะความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ไม่ทุ่มเทในการทำงานหรือการสอนให้มีคุณภาพ ไม่เกิดความผูกพันและความรักภักดีต่อองค์กร ซึ่งจะส่งผลต่อ “ประสิทธิภาพ” ในการทำงานและ “คุณภาพการศึกษา” ของไทยในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนั้น “พนักงานมหาวิทยาลัย” ยังได้สูญเสียสิทธิและผลประโยชน์เกื้อกูลต่างๆ ที่เป็นข้อดีของระบบข้าราชการไปเกือบทั้งหมด เช่น

1. การใช้ระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนประกันสังคม แทนการได้รับเงินบำเหน็จบำนาญ ซึ่งมีสถานะภาพที่แย่กว่า อีกทั้งยังไม่สามารถเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ก.บ.ข.) ได้

2. การใช้ระบบประกันสังคมในการรักษาพยาบาลตนเอง ซึ่งมีปัญหาทั้งเรื่องการให้บริการและคุณภาพของยา ในขณะที่ไม่ได้รับสิทธิในการรักษาพยาบาลบิดามารดา คู่สมรสและบุตร เหมือนกับระบบข้าราชการ

3. ไม่ได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี เงินเดือนในระหว่างการลาศึกษาต่อ เงินตอบแทนพิเศษประจำปี (โบนัส) เงินค่าตอบแทนประจำตำแหน่งทางวิชาการ อีก 1 เท่า (ในบางสถาบันอาจกำหนดให้ได้รับเงินค่าตอบแทนอีก 1 เท่า เช่นเดียวกับข้าราชการ)

4. ไม่สามารถดำเนินการธุรกรรมทางการเงินหรือการค้ำประกันได้ เนื่องจากมีสถานภาพเป็นเพียง “ลูกจ้าง” ซึ่งไม่มีความมั่นคง โดยจะต้องมีการประเมินผลการปฏิบัติงานและต่อ “สัญญาจ้าง” ตามระยะเวลาที่กำหนด

จากสภาพปัจจุบันที่กล่าวมา เกียรติยศและศักดิ์ศรีของข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยเดิม อาจถึงจุดตกต่ำสุดขีด พนักงานในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐกำลังมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ลงหรือไม่

อีกสักระยะหนึ่งเราอาจจะเห็นหนี้สินของคนในมหาวิทยาลัยเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบุคลากรในมหาวิทยาลัยอาจได้เงินเดือนน้อยกว่าครูอาจารย์ในโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา (ถ้าไม่เปิดสอนหลักสูตรภาคพิเศษหรือรับงานภายนอก) ในวันนี้เราอาจเห็นบางคนได้เริ่มละทิ้งอุดมการณ์ไปสมัครสอบเป็นข้าราชการครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว และต่อไปครูอาจารย์มหาวิทยาลัยจะมีหน้าที่เพียงผลิตบัณฑิตตามเป้าหมายของสถาบันอุดมศึกษาในเชิงปริมาณให้สูงขึ้นเท่านั้น สาขาวิชาใดที่ไม่มีผู้เรียนหรือมีคนสนใจน้อยจะอยู่ไม่ได้ เพราะการศึกษากำลังจะกลายเป็นธุรกิจ ลูกศิษย์กลายเป็นลูกค้า ดังนั้นถ้าจ่ายครบก็จะจบแน่ ! แต่คุณภาพของบัณฑิตจะเป็นอย่างไรไม่สามารถตอบได้

หากเราปล่อยไว้ในสภาพเช่นนี้ จะเกิดผลเสียอย่างใหญ่หลวงแก่สังคมไทย ดังนั้นจะต้องสร้าง “เกียรติยศศักดิ์ศรีและความมั่นคง” ของพนักงานในสถาบันอุดมศึกษากลับคืนมาโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ เพื่อคุณภาพของอุดมศึกษาไทยและเยาวชนของชาติ


สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เคลียร์ลานจอดรถ ‘ลีการ์เดนส์’ พบ 40 คันใช้ทะเบียนปลอม

$
0
0

 

เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ร่วมกันเคลียร์รถออกจากที่จอดรถชั้นใต้ดินโรงแรมลี การ์เด้นส์ พลาซ่า โดยทยอยนำรถจักรยานยนต์ขึ้นมาก่อน พบรถใช้ทะเบียนไม่ตรงกับตัวรถมากถึง 40 คัน

 


เคลียร์ลานจอดรถ “ลี การ์เดนส์” พบทะเบียนรถไม่ตรง 40 คัน ย้ายเอาไปเก็บที่ค่ายเสนาณรงค์ รอเจ้าของนำหลักฐานไปยืนยัน จังหวัดสงขลาเร็วทันใจ จ่ายเงินเยียยวยามาเลย์เสียชีวิตแล้ว เลขานายกฯ มาเลย์ยัน ไม่ได้สั่งห้ามนักท่องเที่ยวมาเลย์มาหาดใหญ่

เคลียร์ลานจอดรถ “ลี การ์เดนส์” พบทะเบียนไม่ตรงอื้อ
รายงานข่าวจากโรงแรมลีการ์เด้นส์ พลาซ่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาแจ้งว่า ตั้งแต่เช้าวันที่ 3 เมษายน 2555 เจ้าหน้าที่ได้เข้าเคลียร์พื้นที่และลงไปเคลื่อนย้ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ออกจากชั้นใต้ดินของโรงแรม ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 โดยทยอยนำรถจักรยานยนต์ออกมาก่อน

ทั้งนี้ รถที่ติดอยู่ในชั้นใต้ดินของโรงแรมเกือบ 40 คัน มีปัญหาการครอบครองรถและป้ายทะเบียนไม่ตรงกับที่จดทะเบียนรถไว้ ในส่วนนี้ได้นำไปเก็บไว้ที่ค่ายเสนาณรงค์ อำเภอหาดใหญ่ เพื่อให้เจ้าของนำหลักฐานของรถมายืนยัน จากนั้นได้ทยอยเคลียร์รถยนต์ที่ถูกไฟไหม้อีกเกือบ 50 คัน ส่วนใหญ่เหลือแต่ซากออกมาจากที่จอดรถชั้นใต้ดิน เพื่อเปิดพื้นที่ให้โรงแรมซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย

นายสุกิจ วัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักการช่างเทศบาลนครหาดใหญ่ เปิดเผยว่า ทางวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย จะส่งผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโยธามาร่วมตรวจสอบโครงสร้างของโรงแรมอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณชั้นใต้ดินจุดเกิดเหตุระเบิดว่า ยังใช้งานได้หรือไม่ หรือต้องปรับปรุงโครงสร้างส่วนใดบ้าง

รายงานข่าวจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 แจ้งว่า จากการสืบสวนพบคนร้ายฉวยโอกาสขับรถเข้าไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดินโรงแรมลีการ์เด้นส์ พลาซ่า ในช่วงสับเปลี่ยนเวรยาม เวลาประมาณ 10.00 น. เป็นผลให้รถคันก่อเหตุไม่มีบัตรอนุญาตให้เข้าไปจอดรถ และไม่มีการตรวจค้นรถก่อนเข้าจอด จากการสืบสวนยังพบด้วยว่า รถที่ใช้ก่อเหตุได้เข้าไปพักในอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา 1 วัน ก่อนคนร้ายจะนำมาใช้วางระเบิดคาร์บอมบ์

ขณะเดียวกันพล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางลงตรวจสอบสถานเกิดเหตุและติดตามความคืบหน้าคดี จากเบาะแส 2 ผู้ต้องสงสัยที่ได้มาจากภาพวงจรปิด เชื่อว่าเป็นกลุ่มแนวร่วมขบวนการก่อความไม่สงบที่มีประวัติอยู่แล้ว

เยียวยาญาติผู้เสียชีวิตชาวมาเลย์แล้ว

เมื่อเย็นวันที่ 2 เมษายน 2555 ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายสุรพล พนัสอำพล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้มอบเงินเยียวยาให้กับญาติของ MR. LOW TSIAN HOCK ชาวมาเลเซีย ซึ่งเสียชีวิตจากจากเหตุระเบิดที่โรงแรมลีการ์เดนส์ พลาซ่าแล้ว จำนวน 459,000 บาท แยกเป็นเงินจากจังหวัดสงขลา 150,000 บาท จากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา 309,000 บาท มีดาโต๊ะ ลัตชารีมัน อับดุลเลาะห์ เลขานุการนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะตัวแทนรัฐบาลมาเลเซีย เป็นพยาน โดยศพของนักท่องเที่ยวรายนี้ ญาติจะบำเพ็ญกุศลในจังหวัดสงขลา หลังจากฌาปนกิจแล้วเสร็จจะนำเถ้ากระดูกกลับประเทศมาเลเซียต่อไป ในการนี้ ดาโต๊ะ ลัตชารีมัน อับดุลเลาะห์ ได้เยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บชาวมาเลเซีย ที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ 4 คน ซึ่งทั้งหมดพ้นขีดอันตราย

ดาโต๊ะ ลัต ชารีมัน อับดุลเลาะ กล่าวว่า รัฐบาลมาเลเซียเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอแสดงความเสียใจมายังผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ขอบคุณรัฐบาลไทย จังหวัดสงขลา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันคลี่คลายสถานการณ์ และให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย และรักษาพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บชาวมาเลเซียอย่างเต็มที่และดีที่สุด

“ผมขอยืนยันว่าประเทศมาเลเซียไม่ได้ประกาศห้ามชาวมาเลเซียเข้ามาเที่ยวอำเภอหาดใหญ่ เพราะคนมาเลเซียผูกพันกับเมืองหาดใหญ่ เราเป็นพี่เป็นน้องกัน รู้ดีว่าการเข้ามาเที่ยวอำเภอหาดใหญ่ปลอดภัยแค่ไหน ที่ผ่านมาการรักษาความปลอดภัยเมืองหาดใหญ่อยู่ในระดับดี ดังนั้นการมาเที่ยวเมืองหาดใหญ่ เป็นเรื่องที่ชาวมาเลเซียแต่ละคนพิจารณาได้เอง” ดาโต๊ะ ลัต ชารีมัน อับดุลเลาะ กล่าว

นายสุรพล เปิดเผยว่า สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิดที่โรงแรมลี การ์เดนส์ พลาซ่า เบื้องต้นจังหวัดสงขลา ได้จ่ายเงินช่วยเหลือตามระเบียบของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในกรณีที่เสียชีวิตจ่ายค่าจัดการศพ 25,000 บาท ถ้าเป็นหัวหน้าครอบครัวจ่ายเพิ่มอีก 25,000 บาท กรณีได้รับบาดเจ็บรักษาตัวเกิน 3 วัน จ่าย 3,000 บาท บาดเจ็บเล็กน้อยจ่าย 2,000 บาท พร้อมกับจ่ายเงินช่วยเหลือตามระเบียบของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายละ 2,000 บาท หากเป็นนักท่องเที่ยวเสียชีวิตกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะจ่ายเงินผ่านสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสงขลาอีก 309,000 บาท

สำหรับเหตุระเบิดกลางเมืองยะลา ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 11 ราย เป็นชาย 5 ราย หญิง 6 ราย มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 106 ราย ขณะนี้ยังมีผู้นอนพักรักษาอยู่ตัวที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา 25 ราย จากการสำรวจพบอาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหาย 35 หลัง รถยนต์ได้รับความเสียหาย 11 คัน รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย 18 คัน

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

การรณรงค์หรือการบังคับให้ปฏิญาณตนว่า “จะยึดมั่นหรือจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

$
0
0

จะช้าหรือเร็วรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 จะต้องถูกแก้ แต่ที่แน่นอนในหมวดของสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทยที่ว่าด้วยการนับถือศาสนาที่ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพสมบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” คงไม่ถูกแก้ไขไปด้วย เพราะเป็นแบบมาตรฐานทั่วไปของรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่จะยกมาก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าการรณรงค์หรือการบังคับให้ปฏิญาณตนว่า “จะยึดมั่นหรือจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” นั้นขัดรัฐธรรมนูญ เพราะบุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพที่จะไม่นับถือศาสนา ฉะนั้นการบังคับหรือการรณรงค์ แม้กระทั่งคำกล่าวของบุคคลสำคัญในบ้านเมืองที่ให้ยึดมั่นหรือจงรักภักดีต่อศาสนา จึงเป็นการบังคับขืนใจให้ผู้อื่นกระทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบหรือศรัทธาในแง่ของการปฏิบัติ (หรือไม่ปฏิบัติ) ตามพิธีกรรมตามความเชื่อของตนนั่นเอง

เมื่อกล่าวถึงการไม่นับถือศาสนาสำหรับคนไทยเราแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นของแปลกประหลาดแต่ในต่างประเทศเป็นสิ่งธรรมดามาก จากเว็บไซต์ http://www2.ttcn.ne.jp/~honkawa/9460.html ได้แสดงผลการสำรวจจำนวนร้อยละของผู้ไม่นับถือศาสนาในประเทศต่าง ๆ ดังนี้

เอสโตเนีย 75.5%, อาเซอร์ไบจาน 74%, แอลเบเนีย 60-75%, สาธารณรัฐประชาชนจีน 59-71%, สวีเดน 46-85%, สาธารณรัฐเช็ค 59%(ยังไม่รวมผู้ที่ไม่กรอกข้อมูลในแบบสำรวจอีก 8%), ญี่ปุ่น 51.8%, รัสเซีย 48.1 %, เบลารุส 47.8%, เวียดนาม 46.1%, เนเธอร์แลนด์ 44.0%, ฟินแลนด์ 28-60%, ฮังการี 42.6%, ยูเครน 42.4%, อิสราเอล 41.0%, ลัตเวีย 40.6%, เกาหลีใต้ 36.4%, เบลเยียม 35.4%, นิวซีแลนด์ 34.7% (จาก 87.3% ของผู้สอบถาม), ชิลี 33.8%, เยอรมนี 32.7%, ลักเซมเบอร์ก 29.9%, สโลเวเนีย 29.9%, ฝรั่งเศส 27.2% (ชาย 30.6% หญิง 23.9%,), เวเนซูเอลา 27.0%, สโลเวเกีย 23.1%, เมกซิโก 20.5%, ลิทัวเนีย 19.4%, เดนมาร์ก 19%, ออสเตรเลีย 18.7% (จากผู้ตอบ 88.8% ซึ่งรวมถึง 29.9%ของผู้ที่ไม่ตอบและตอบไม่ชัดเจน), อิตาลี 17.8%, สเปน 17%, แคนาดา 16.2%, อาร์เจนตินา 16.0%, สหราชอาณาจักร 15.5% (23.2% ไม่ตอบ), แอฟริกาใต้ 15.1%, สหรัฐอเมริกา 15.0% (จาก 94.6% ของผู้ตอบ) ฯลฯ น่าเสียดายที่ไม่มีข้อมูลการสำรวจของประเทศไทยเรา แต่ผมเชื่อว่าคงมีจำนวนมากที่ระบุศาสนาลงในเฉพาะทะเบียนบ้าน โดยไม่ได้มีการนับถือหรือปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาที่ตนระบุไว้ แต่ก็ไม่กล้าประกาศว่าตนไม่นับถือศาสนาใดใด เพราะเกรงผลกระทบตามมาทางสังคม

การมีศาสนาก็คงจะเป็นเหมือนกับหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ผลดีของการมีศาสนาก็คือเมื่อมนุษย์เชื่อมั่นในศาสนาที่ตนเองนับถืออย่างแท้จริงแล้ว มนุษย์ก็จะไม่ทำความชั่ว จะทำแต่ความดี ซึ่งย่อมที่จะเป็นผลดีทั้งต่อจิตใจของตนเอง และต่อสังคม โลกก็มีสันติภาพ

ส่วนผลเสียก็คือการแต่งเติมคำสอนออกไปมากมายจนผิดเพี้ยน มีการเพิ่มเติม “พิธีกรรม”จนกลายเป็นการปฏิบัติที่งมงายไร้เหตุผล ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ผู้ที่นับถือเข้าใจหรือเห็นแจ้งในชีวิตขึ้นมาได้ มีการอาศัยศาสนาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ที่นับถือในลักษณะของธุรกิจการพาณิชย์ไป มีการปฏิบัตินอกลู่นอกทางจากคำสอนดั้งเดิมจนเป็นที่กังขาว่า ฤาศาสนานั้นๆจะไม่ใช่ของดีที่แท้จริง

ผลเสียที่สำคัญก็คือ “ความใจแคบของศาสนิก” ที่มักจะเชื่อตามกันมาว่าหากใครที่เปลี่ยนศาสนาไปนับถือศาสนาอื่นหรือเปลี่ยนเป็นไม่นับถือศาสนาเป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรง สมควรที่จะต้องถูกรับโทษทัณฑ์อย่างแสนสาหัสตราบนานเท่านาน แม้จะตายไปแล้วก็ตามสำหรับศาสนาที่เชื่อในโลกนี้โลกหน้า


บางครั้งการนับถือศาสนาก็กลับกลายเป็นการเพิ่มข้อผูกมัดให้แก่ชีวิตของผู้นับถือศาสนามากขึ้น เพราะอันเนื่องมาจากเหตุของข้อบังคับในศาสนานั่นเอง แทนที่ศาสนาจะช่วยให้มีอิสรภาพ ก็กลับเป็นว่าศาสนากลายเป็นสิ่งครอบงำหรือผูกมัดให้ผู้นับถือสูญเสียอิสรภาพในการคิด การพูด และการกระทำที่แม้ว่าจะถูกต้องตามหลักสากลก็ตาม

ฉะนั้น จึงไม่เป็นการแปลกประหลาดอันใดที่ผู้มีปัญญาทั้งหลายจะแสวงหาแนวทางที่บริสุทธิ์ ดีงาม      ไม่งมงาย ไม่ไร้เหตุผล เป็นสากล และช่วยให้เข้าใจในชีวิต บางคนจึงละทิ้งศาสนาเดิมของตนแล้วกลายเป็น “คนไม่นับถือศาสนา (irreligious persons)” ไปในที่สุด ซึ่งนับวันคนไม่นับถือศาสนาเช่นนี้จะเพิ่มทวีมากขึ้นในโลกปัจจุบัน

เมื่อไม่มีศาสนาแล้วจะเป็นอย่างไร

ประเด็นนี้ไม่น่าเป็นห่วงสำหรับผู้ที่มีสติปัญญามาก แต่น่าเป็นห่วงสำหรับผู้ที่มีสติปัญญาน้อยหรือไม่มีสติปัญญา เพราะผู้ที่มีสติปัญญาน้อยค่อนข้างเสี่ยงที่จะทำความชั่วได้ง่าย ด้วยเหตุอันมาจากการขาดเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจหรือภูมิคุ้มกัน เพราะเขาไม่เชื่อในผลแห่งการกระทำ จึงพยายามแสวงหาและเสพความสุขให้เต็มอิ่มในปัจจุบัน เพราะเชื่อว่าตายไปแล้วก็ไม่ได้เสพอีก ซึ่งการแสวงหาและการเสพในทางที่ผิดนี้ยิ่งเพิ่มความทุกข์ให้กับตนเองและสังคมด้วย

ในทางกลับกันสำหรับผู้ที่มีสติปัญญามากย่อมเห็นว่าไม่ว่าจะตายไปแล้วหรือไม่ก็ตาม การทำความชั่วนั้นย่อมมีผลเสีย การทำความดีย่อมมีผลดีในตัวของมันเองอยู่แล้ว ดังนั้น ผู้ที่มีสติปัญญาอย่างแท้จริงแม้ไม่มีศาสนาเขาก็ยังทำแต่ความดีและไม่ทำความชั่วได้เหมือนกับคนที่มีศาสนา เพราะผู้ที่ทำความดีนั้นชีวิตของเขาก็ย่อมที่จะมีแต่ความสงบสุข ไม่เดือดร้อน เพราะการทำความดีของเขาในปัจจุบันแม้ตายไปแล้วถ้าโลกหน้ามีจริงเขาก็ย่อมได้รับอย่างแน่นอน แต่หากโลกหน้าไม่มีจริง เขาก็ไม่ขาดทุนเพราะเขาได้รับผลดีอยู่แล้วในปัจจุบัน ซึ่งผมของดเว้นที่จะยกตัวอย่างบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สังคมเคารพยกย่องว่าเป็น  คนดีหลายๆท่านที่เป็นผู้ไม่ได้นับถือศาสนาใดใด เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นการโฆษณาชวนเชื่อให้หันมาไม่นับถือศาสนาหรือเป็นการสร้างศาสดาใหม่ขึ้นมาในบรรดาของผู้ที่ไม่นับถือศาสนาไปเสีย

กล่าวโดยสรุปก็คือ ใครเชื่อ ใครนับถือศาสนาไหนก็นับถือไป ใครไม่เชื่อ ใครไม่นับถือศาสนาก็ย่อมเป็นสิทธิส่วนตัวที่ย่อมไม่อาจถูกละเมิดหรือถูกบังคับให้ต้องนับถือศาสนาใดใด ดังที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้และดังเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง และถ้าจะให้ดีหาก สสร.55จะบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้ชัดๆไปเลยว่าบุคคลมีสิทธิเสรีภาพในการนับถือหรือไม่นับถือศาสนาก็จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น  ไม่ต้องมาเถียงหรือตีความกันให้ยุ่งยากและเสียเวลา


 

............................................

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 4 เมษายน 2555 ในหัวข้อ “สิทธิ เสรีภาพในการไม่  นับถือศาสนา”

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จดหมายถึง รมว.ศึกษาฯ ให้ทบทวนหลักเกณฑ์ 'หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน' รุ่นที่ 3

$
0
0

พวกเรานักเรียนทุนโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน รุ่นที่  1, รุ่นที่  2, นักเรียนทุนอื่นๆ, และบุคคลทั่วไป (ตามรายชื่อด้านล่าง) รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพทางการศึกษาของเยาวชน และได้ดำเนินการโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนต่อเป็นรุ่นที่  3 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสรรทุนให้แก่นักเรียนที่มีผลการเรียนดีแต่มีฐานะ ยากจนจากทุกอำเภอ ได้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาทั้งในและต่างประเทศ อันจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรของชาติ และเป็นรากฐานสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่กระทรวงศึกษาธิการเตรียมจะประกาศรับสมัครเพิ่มเติมทุนโครงการ หนึ่งอำเภอหนึ่งทุนรุ่นที่  3 (ซึ่งขณะนี้เหลืออีกกว่า 600 อำเภอที่ยังไม่มีผู้ผ่านการคัดเลือก) และมีนโยบายที่จะปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การรับสมัคร โดยมีประเด็นที่สำคัญคือ (1) ผู้สมัครทุนนี้ไม่จำเป็นต้องยื่นหลักฐานรับรองรายได้ของครอบครัว และไม่มีการจำกัดสิทธิ์เฉพาะเด็กยากจน และ (2) เพิ่ม เกณฑ์คะแนนขั้นต่ำในการสอบผ่านข้อเขียนจากเดิมร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 80 นั้น พวกเราไม่เห็นด้วยกับการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลดังนี้

1. การปรับความยืดหยุ่นให้ผู้สมัครไม่ต้องยื่นหลักฐานรับรองรายได้ของครอบครัว และการเปิดช่องโหว่ให้ผู้ที่ไม่ได้มีฐานะยากจนจริงสามารถสมัครทุนนี้ได้ ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับวัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ ที่ต้องการกระจายและเปิดโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนที่เรียนดีแต่มีฐานะยากจน หากทางคณะกรรมการเห็นว่าเกณฑ์รายได้ของครอบครัวจากเดิมไม่เกิน 150,000 บาท/ ปี เป็นการจำกัดสิทธิผู้สมัครบางราย ก็อาจปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม (เช่น ไม่เกิน 200,000 บาท/ ปี หรืออาจแบ่งเกณฑ์รายได้แบบเจาะจงพื้นที่ตามอัตราค่าครองชีพในแต่ละจังหวัด หรือแต่ละอำเภอ เป็นต้น) ทั้งนี้ต้องเป็นรายได้ที่อยู่ในข่าย "ยากจน" และ สอดคล้องกับข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น พวกเราเห็นว่ายังมีความจำเป็นที่ต้องกำหนดเงื่อนไขให้ใช้หลักฐานรับรองราย ได้ของครอบครัวประกอบการรับสมัครเพิ่มเติม

2. การเพิ่มฐานคะแนนขั้นต่ำสำหรับการสอบข้อเขียนจากเดิมต้องผ่านร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 80 ไม่ใช่แนวทางเพื่อแก้ปัญหาที่ในหลายอำเภอไม่มีผู้ผ่านการสอบข้อเขียน เพราะผู้ที่จะมาสมัครในรอบใหม่ก็คือนักเรียนกลุ่มเดิมหรือกลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นการยากที่นักเรียนกลุ่มนี้จะสามารถสอบข้อเขียนได้ถึงร้อยละ 80 หรือมากกว่า การแก้ปัญหาด้วยการยืดหยุ่นเรื่องฐานะทางครอบครัวและการให้นักเรียนที่ไม่ได้มีฐานะยากจนสามารถสมัครทุนนี้ได้ ด้วยหวังจะให้จำนวนผู้สอบผ่านข้อเขียนมีมากขึ้นนั้น นอกจากจะขัดกับวัตถุประสงค์ของโครงการแล้ว ยังเป็นการตอกย้ำและผลิตซ้ำอย่างหนักหน่วงถึงความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในสังคมไทยที่นักเรียนยากจน/ในชนบทต้องเสียเปรียบนักเรียนที่มีฐานะดี/ในมืองในหลายๆ ด้าน ซึ่งทุกด้านล้วนมีผลต่อคะแนนในการสอบข้อเขียนทั้งสิ้น

           

3. หากทางคณะกรรมการยังเห็นว่าเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำของการสอบผ่านข้อเขียนมีความสำคัญ เช่นอาจส่งผลต่อการสำเร็จการศึกษาของผู้รับทุน และความคุ้มค่าที่ประเทศจะได้รับจาก "การลงทุน" โดยเฉพาะกับผู้ที่จะเดินทางไปศึกษายังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มฐานคะแนนขั้นต่ำ แต่เห็นควรให้คงไว้ในระดับเดิม (ร้อยละ 60) หรือแม้แต่ต้องมีการยืดหยุ่นให้ผู้ที่ได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 60 อาจเป็นผู้มิสิทธิ์ได้รับทุนในกรณีที่อำเภอนั้นไม่มีผู้้ได้คะแนนถึงร้อยละ 60 และต้องมีมาตรการในการฝึกอบรมและเตรียมความพร้อมอย่างเข้มข้นก่อนการเดินทางไปศึกษาต่อ หรือ อาจกำหนดเป็นเงื่อนไขว่าผู้สมัครที่สอบได้คะแนนข้อเขียนในระดับใดต้องเรียนในประเทศหรือสามารถเลือกไปศึกษายังต่างประเทศได้ หรือ อาจสร้างระบบคัดกรองชั้นที่สองขึ้นเพื่อประเมินผู้ได้รับทุนในด้านอื่นประกอบ  เช่นศักยภาพในการเรียนรู้ การปรับตัวและการพัฒนาตนเอง ฯลฯ เพื่อพิจารณาว่าผู้ได้รับทุนสามารถไปศึกษาต่อต่างประเทศได้หรือไม่ เป็นต้น

ทั้งนี้ เพราะการกีดกันนักเรียนยากจนที่สอบข้อเขียนได้คะแนนน้อย ด้วยการยืดหยุ่นและเปิดช่องโหว่ให้นักเรียนฐานะดีที่มีแนวโน้มจะสอบข้อเขียน ได้คะแนนสูงสามารถสมัครทุนนี้ได้ ขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อีกทั้งยังเป็นการปิดกั้นโอกาสและดูถูกศักยภาพของบุคคลว่าไม่อาจสามารถพัฒนาตนเองได้ ที่สุดแล้วแนวนโยบายดังกล่าวถือเป็นการตอกย้ำและผลิตซ้ำความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาใน สังคมไทยให้ดำรงอยู่ต่อไป

พวกเรา กลุ่มนักเรียนทุนและคนไทยผู้ตระหนักและรู้สึกกังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้น จึงขอเรียกร้องให้ทางกระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาทบทวนนโยบายที่จะปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การรับสมัครเพิ่มเติมทุนโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนรุ่นที่  3 อย่างรอบคอบอีกครั้ง โดยต้องคำนึงถึงหลักการที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของโครงการเป็นสำคัญ

 

            ด้วยความเคารพ

            31 มีนาคม 2555

 

 

นายวิจิตร ประพงษ์                     นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่  1 (อ. มช.) 

นายสุทธิชัย ใจติ๊บ                       นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 (วิศวกรบริษัทเอกชน)

นายดุษฎี บุพการีพร                    นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (ธุรกิจส่วนตัว)

นายภูชิต ม่วงมั่น                        นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาโท)

นายเอกชัย มาตวงศ์                    นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาโท)

นายภัทรพงศ์ ตนเหี่ยม                 นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 (พนักงานบริษัทเอกชน)

นายธิปไตร แสละวงศ์                  นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 และทุนรัฐบาลฝรั่งเศส (นักศึกษาปริญญาโท)

นางสาวแววดาว คุณกัณหา          นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 (วิศวกรบริษเอกชน)

นายอนุชา เบ็ญสลามัน                นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)

นายสุริยา มารศรี                        นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 (วิศวกรบริษัทเอกชน)

นายนที สรวารี                            ผู้สนับสนุน (เลขาธิการมูลนิธิอิสรชน)

นายอัมรินทร์ บัวเจริญ                  นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 (วิศวกรบริษัทเอกชน)

นายนิกร ไชยเครื่อง                      นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1

นายสุวัฒน์ พิมพ์่ประเสริฐ            นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1

นางสาวกาญจนา องคศิลป์          นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 และทุนกระทรวงวิทย์ฯ (นักศึกษาโท-เอก)

นางสาวสุวรรณภา นิลพนมชัย      นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 (นักศึกษาปริญญาโท)

นายวุฒิชัย ระถาพล                    นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (พนักงานราชการ)

นายยุทธนา จันทะขิน                  นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาโท)

นางสาวดุจเดือน อุดมทรัพย์         นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 (นักศึกษาปริญญาเอก)

นายเปรมชัย จินะสาม                  นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1

นายธนูวิทย์ ประมาชิด                 นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1

นายจักรินทร์ ช่างทำร่อง               ผู้สนับสนุน

นายเสกสรร พรมเกษา                 นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาโท)

นางสาวสุนิษา ไชยพรหม นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาโท)

นายพลากร พันธ์เนียม                 นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาโท)

นายเจนรบ เจริญจิตต์                  นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 (วิศวกรบริษัทเอกชน)

นายสุนทร แสงค้า                       นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 และทุนบริษัทเอกชนฝรั่งเศส (นักศึกษาป. โท)

นายสราวุฒิ ไชยนอก                   นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)

นายวุฒินันท์ วงศ์ใหญ่                 นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)

นายยงยุทธิ์ ก้งดี                         นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 (วิศวกรบริษัทเอกชน)

นางสาวขนิษฐา สีเงิน                  นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)

นางสาวทานตะวัน อุณาภาค        นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (พนักงานราชการ)

นางสาวสุพรรณษา ขุนทอง          นักเรียนสอบชิงทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่  3

นายภวินท์ จารย์ลี                       นักเรียนสอบชิงทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่  3

นางสาวนฤมล โรจน์ทองคำ          นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1  (นักศึกษาปริญญาโท)

นางสาวทิพวัลย์ นวลมุสิก            นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)        

นางสาวจันทร์สุดา ภิรมย์ราช        นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)

นายนัฐพล กิจสมัคร                    นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2

นางสาวสุภาคิณี อภิชัย                นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1

นางสาวพัชรีภรณ์ ใจทอง             นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาโท)

นางสาวสุกัญญา บุตรหลำ           นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2

นางสาววรัญญา ช่างแช่ม            นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาโท)    

นางสาวสะใบพร พัฒนพานิชกุล   นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)    

นายวัชรินทร์ ขอเพิ่มกลาง            นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (ธุรกิจส่วนตัว)

นายรุ่งโรจน์ เจริญไทย                  นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)     

นางสาวเดือนเพ็ญ กาละปัตย์       นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)

นางสาวศุภลักษณ์ สีสันต์            นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาโท)
นางสาวนินดาร์ มะลี                   นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (ธุรกิจส่วนตัว)
นางสาวรัตนาพร สิริบาล นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่  2 (เภสัชกร)
นางสาวจิรวดี สารสุวรรณ            นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 (วิศวกรบริษัทเอกชน)
นางสาวคณินสญา เร่งพิมาย        นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)
นางสาวพัชรินทร์ สายสู่               นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)
นายมโนทัย ไชยแสง                    นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1
นายสัญชัย แวดเวียง                   นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2
นายบรรพต รสจันทน์                   นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษา ปริญญาโท)
นายธนัยนันท์ ราชกิตวาณิชย์        ผู้สนับสนุน  

นางสาวเบญจพิศ นาเมืองรักษ์     นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)

นายอาทิตย์ โรจนา                      นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (Analyst - GHRSC -BK, EML.)  
นายแสนศักดิ์ สำเภาทอง             นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1
นายวรเชษฐ์ อุทธา                      นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 และทุนกระทรวงวิทย์ (นักศึกษาปริญญาโท-เอก)
นายอำพล อินทะคง                    นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (วิศวกรเอกชน)

นางสาวอังคณา เก่งเที่ยว นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)

นางสาวเรณู พึ่งบ้านเกาะ นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)

นางสาวระวิวรรณ บัญชาธนากิจ   ผู้สนับสนุน (นักศึกษาปริญญาเอก)

นายยุทธพงษ์ สิงห์จันลา              นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 (นักศึกษาปริญญาเอก)

นางสาวสมสกุล มณีรัตน             นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 1 (นักศึกษาปริญญาเอก)

นางสาวศิริรัตน์ คงสิรพิพัฒน์        นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2

นางสาวอรพรรณ ศรีวิพัฒน์          นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาตรี)

นายภาคภูมิ ทวีสิทธิชาติ             ผู้สนับสนุน (นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5)

นายปณต ศรีโยธา                       ผู้สนับสนุน (นักศึกษาปริญญาตรี)

นายชัยสิทธิ์ หิรัญรัตน์                  นักเรียนทุนหนึ่งอำเภอฯ รุ่นที่ 2 (นักศึกษาปริญญาโท)

 

 

หมายเหตุ : ข่าว/ ลิงค์ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
https://www.facebook.com/note.php?saved&&note_id=10150698163497080
http://www.dailynews.co.th/education/19448
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000039529

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แอพฯ 'Girls Around Me' ถูกถอนหลังโดนวิจารณ์เรื่องความเป็นส่วนตัว

$
0
0

แอพลิเคชั่นมือถือ Girls Around Me ถูกวิจารณ์เรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัว และกลัวว่าโปรแกรมนี้จะสนับสนุนการสะกดรอยตาม จนทำให้ผู้พัฒนาถอนโปรแกรมออกชั่วคราว

2 เม.ย. 2012 - สำนักข่าว BBC รายงานว่า ผู้พัฒนาโปรแกรมแอปปลิเคชั่นของโทรศัพท์มือถือที่ชื่อ Girls Around Me ได้ถอนโปรแกรมดังกล่าวออกเนื่องจากมีผู้ใช้ต่อว่า

โดยโปรแกรม Girls Around Me เป็นโปรแกรมที่สามารถให้ผู้ใช้สำรวจได้ว่ามีผู้หญิงคนใดในละแวกใกล้เคียงกับเขา 'เช็คอิน' อยู่ที่ใดโปรแกรมโซเชียลเน็ตเวิร์กแล้วบ้าง
 
โปรแกรมนี้ใช้ข้อมูลที่เปิดเผยให้บุคคลทัวไปทราบจากเว็บ Foursquare ซึ่งเป็นเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กเกี่ยวกับสถานที่ ตัว Foursquare เองก็ยกเลิกไม่ให้แอปปลิเคชั่นดังกล่าวเข้าถึงข้อมูลของพวกเขาได้แล้ว
 
โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา Foursuqare ได้ตัดการเชื่อมต่อของโปรแกรมนี้โดยให้เหตุผลว่าโปรแกรมแอปฯ ตัวนี้ละเมิดนโยบายด้านข้อมูลการรวมตัวกันตามสถานที่ต่างๆ มีบล็อกจำนวนหนึ่งนำโดย Cult of Mac ตั้งคำถามว่าโปรแกรมแอปฯ นี้กำลังสนับสนุนการแอบสะกดรอยตามหรือไม่
 
i-Free ผู้พัฒนาแอปปลิเคชั่นดังกล่าวจากรัสเซีย เปิดเผยว่า ปฏิกิริยาโต้ตอบต่อโปรแกรมนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างมาก
 
ในแถลงการณ์ของบริษัทผู้พัฒนา Girls Around Me ตีพิมพ์ใน Wall Street Journal กล่าวไว้ว่า "พวกเราเชื่อว่ามันเป็นเรื่องผิดจริยธรรมในการหาแพะรับบาปเพื่อพูดถึงเรื่องความกังวลด้านความเป้นส่วนตัว"
 
แถลงการณ์อธิบายว่า Girls Around Me ไม่อนุญาตให้กลุ่มคนไม่ระบุชื่อใช้โปรแกรมนี้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่งค้นหาตัวบุคคลหรือค้นหาที่อยู่ของพวกเขาโดยใช้โปรแกรม Girls Around Me แต่โปรแกรมนี้อนุญาตให้ผู้ใช้สำรวจสถานที่ใกล้เคียงเท่านั้น เหมือนกับว่าได้เดินผ่านและมองเข้าไปในหน้าต่างบ้าน
 
"พวกเรามองว่ากระแสด้านลบต่อโปรแกรมนี้เป็นการเจ้าใจผิดต่อเป้าหมาย วัตถุประสงค์ ความสามารถและข้อจำกัดของโปรแกรมนี้"
 
"Girls Around Me ไม่ได้ให้ข้อมูลอื่นๆ ที่ไม่ได้เปิดเผยต่อผู้ใช้เมื่อพวกเขาเชื่อมต่อเข้าบัญชีโซเชียลเน็ตเวิร์ก รวมถึงไม่ได้เปิดเผยข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่ต้องการให้เปิดเผยกับคนอื่น"
 
 
กระแสตื่นตัวในเรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy) ?
ทางบริษัทเปิดเผยอีกว่าพวกเขาได้ถอนแอปปลิเคชั่นตัวนี้ออกจาก iTunes app store ซึ่งถูกดาวโหลดไปมากกว่า 70,000 ครั้งแล้ว
 
แอปปลิเคชั่นตัวนี้นำข้อมูลมาจาก Foursquare ที่ผู้คนใช้ 'เช็คอิน' ในการบอกตำแหน่งของตัวเองว่ากำลังอยู่ที่ไหนเช่นในร้านค้า หรือในบาร์ ซึ่งประเทศสหรัฐฯ ที่โปรแกรมแอปปลเคชั่นเป็นที่นิยมสูงสุด เป็นเรื่องปกติที่กลุ่มธุรกิจจะมีข้อเสนอพิเศษให้กับคนที่เช็คอินกับเว็บไซต์
 
นอกจากมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับพื้นที่แล้ว แอปปลิเคชั่นตัวนี้ยังได้เชื่อมต่อกับข้อมูลของเฟสบุ๊คเพื่อเผยแพร่ภาพของผู้ใช้ซึ่งอย่ใกล้เคียง ทำให้ผู้ใช้ Girls Around Me ดูข้อมูลโปรไฟล์จากภาพแผนที่ได้อีกด้วย
 
ข้อมูลอื่นๆ เช่น สถานภาพความสัมพันธุ์และรูปภาพ ก็สามารถเปิดเผยให้ผู้อื่นเห้นได้ ตามแต่การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เอง
 
บล็อกชื่อดังอย่าง Cult of Mac พูดถึงโปรแกรมแอปปลิเคชั่นนี้ว่า เป็น "สิ่งที่ปลุกให้เราตื่นตัวในเรื่องความเป็นส่วนตัว"
 
บล็อกเกอร์ จอห์น บราวน์ลี เขียนไว้ว่า "Girls Around Me ไม่ได้เป็นโปรแกรมที่คุณใช้สำหรับหาคู่หนุ่มสาวหรืออะไรเทือกๆ นั้น"
 
"นี่เป็นแอปปลิเคชั่นที่คุณควรดาวน์โหลดไว้เพื่อสอนให้คนที่คุณห่วงใยเรียนรู้ว่าเรื่องความเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องจริงจัง โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟสบุ๊คและ Foursquare จะเปิดเผยตัวคุณและคนที่คุณรัก หากคุณไม่รู้ว่าคุณได้แชร์ข้อมูลของคุณม่มากเท่าใด"
 
ผู้พัฒนาโปรแกรมเปิดเผยว่า พวกเขาจะพัฒนาแอปปลิเคชั่นตัวนี้เพื่อทำให้แน่ใจว่ามีเพียงการ 'เช็คอิน' ตามสถานที่สาธารณะเท่านั้นที่จะมีการเปิดเผยต่อผู้ใช้ และกำลังพัฒนาเวอร์ชั่นระบบปฏิบัติการ Android ด้วย
 
อย่างไรก็ตามแอปปลิเคชั่นของพวกเขาไม่ว่าเวอร์ชั่นใดก็จะยังไม่สามารถใช้งานได้ หาก Foursquare ป้องกันไม่ให้บริษัท i-Free ใช้ข้อมูลของพวกเขา
 
 
 
ที่มา
Privacy backlash over Girls Around Me mobile app, BBC, 02-04-2012
 
‘Girls Around Me’ Developer Defends App After Foursquare Dismissal, Wall Street Journal, 31-04-2012
 
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีประชาไท: กราบไปใช่ว่ายอม

$
0
0

กราบเถอะนะ หากว่าจำต้องกราบ
มิใช่ยอมศิโรราบเพราะกราบก้ม
เพียงผ่อนคลายจากเงื่อนไขอันโสมม
กลับมาเพื่อสั่งสมกำลังใจ...

เพื่อคืนสู่อ้อมกอดเคยพลอดรัก
เพื่อคืนสู่ชายคาพักที่ร้างไร้
เพื่อนำฟืนกลับมาสุมให้เป็นไฟ
เพื่อบางใครที่ทนรออย่างทรมาน..

กราบเสียเถิดหากจำเป็นต้องกราบ
ใช่ผิดบาปที่ต้องฉาบด้วยยิ้มหวาน
ก็เมืองนี้มันตอแหลพิกลพิการ
ก็ซาตานมันสอนเราให้เท่าทัน!! 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทฤษฎี 'คนดี' ของพลเอกเปรม

$
0
0

เป็นที่ทราบกันว่าในบ้านเรานั้น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้รับการยกย่องว่าเป็น “เสาหลักทางจริยธรรม” ของประเทศ เป็นแบบอย่างของ “คนซื่อสัตย์สุจริต” และเป็นผู้หนึ่งที่ออกมาพูดย้ำเรื่อง “คนดี” และ “คุณธรรมจริยธรรม” มากที่สุด

โดยเฉพาะในช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา เขาออกเดินสายพูดเรื่องคุณธรรมจริยธรรม และคนดีหลายครั้ง กระทั่งรับรองบุคคลที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังรัฐประหารว่า “สุรยุทธ์เป็นคนดีที่สุด” และต่อมายังกล่าวสนับสนุนบุคคลที่จะเป็นนายกฯ ในรัฐบาลที่ไปตั้งในค่ายทหารว่า “ประเทศไทยโชคดีที่ได้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ” (ซึ่งเราได้ประจักษ์แล้วว่า ประเทศนี้โชคดีขนาดไหนที่มีนายกฯสั่งสลายการชุมนุมทางการเมืองซึ่งมีคนตาย 92 ศพ และยังแถมท้ายด้วยการปะทะระหว่างกองทัพไทย-กัมพูชาอีก โดยที่ทั้งหมดนั้นอภิสิทธิ์ยืนยันอย่างแข็งขันว่า “ไม่ใช่ความผิดใดๆ ของเขาเลย”)

วันนี้เมื่อบรรยากาศทางการเมืองทำท่าว่าจะเกิด “สงครามปรองดอง” พลเอกเปรมเริ่มออกบรรยายเรื่อง “คนดี” และ “คุณธรรมจริยธรรม” อีกแล้ว และทิ้งท้ายด้วย “คำสาปแช่ง” ตามเคยว่า "ผมเชื่อว่าชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครมีสิทธิยึดถือเป็นของตนเองได้ ผมเชื่อว่าพระสยามเทวาธิราชมีจริง และจะปกป้องคนดี และสาปแช่งคนไม่ดี คนทรยศต่อชาติบ้านเมืองให้พินาศไป…"


นี่คือคำกล่าวทิ้งท้ายในการบรรยายพิเศษ เนื่องในโอกาสครบรอบ 12 ปี ผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ (ดูมติชนออนไลน์ 3 เมษายน 2555)


คนดีคือคนเช่นไร? พลเอเปรมอธิบายว่า “คนดี” ต้องมีคุณลักษณะ 9 ประการ คือ

1.จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

2.ซื่อสัตย์สุจริต เสียสละและจงรักภักดี

3.คนที่เป็นผู้บังคับบัญชา ต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างกับผู้ใต้บังคับบัญชา คนเป็นนายคนต้องมีความเมตตา เป็นธรรม เป็นนายคนต้องมีแต่ให้ และรับได้อย่างเดียว คือ รับความทุกข์ ความลำบากยากเข็ญของคนอื่น มาแก้ไข

4.หาทางขจัดความยากจน

5.ยึดถือ และปฏิบัติตามพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

6.ต้องทำงานให้คุ้มค่า คุ้มเวลาและคุ้มความเป็นคน ซึ่งตนใช้วิธีทำงานที่ยึดถือมา คือ สะดวก เรียบง่ายและประหยัด หากคนที่นำไปใช้เชื่อว่าจะได้ประโยชน์

7.ดำรงวัฒนธรรมไทย เช่น วัฒนธรรมการละเล่นท้องถิ่นของภาคใต้ กลาง อีสาน เหนือ การพูดภาษาถิ่น โดยตนขอพูดตรงๆ ว่าไม่ควรจะเห่อฝรั่ง ไม่ควรลอกเลียนฝรั่ง จนไม่เหลือความเป็นไทย

8.พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ ต้องถือว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องดูแลยุวชน เยาวชนให้เติบโตมาเป็นคนดีของชาติบ้านเมืองให้ได้

9.ต้องมีจริยธรรมและคุณธรรม ผมว่าคนดีเท่านั้นที่จะมีคุณธรรมและจริยธรรมได้


ผมมีข้อสังเกตมานานว่า พลเอกเปรมมักจะพูดคำว่า “ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน” “จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” “ซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ” แต่ไม่เคยได้ยินเขาพูดคำว่า “ประชาชน ประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ” เลย

ฉะนั้น หลายคนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า “คนดี” ในความหมายของพลเอกเปรมไม่จำเป็นต้องมีความจงรักภักดี และซื่อสัตย์ต่อประชาชน ประชาธิปไตย เคารพและเสียสละปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ ใช่หรือไม่?

เพราะโดยหลักการแล้ว “ค่านิยม” (value) ของ “คนดี” กับค่านิยมของ “สังคมที่ดี” ต้องมีความสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นผลแก่กัน และถ้าสังคมที่ดีหมายถึงสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตย ค่านิยมในการเป็นสังคมที่ดีเช่นนี้ก็ต้องเป็น “ค่านิยมยึดถือความยุติธรรมในการอยู่ร่วมกันบนหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ” ฉะนั้น คนดีที่มีคุณสมบัติส่งเสริมสังคมที่ดีก็ต้องมี “ค่านิยมจงรักภักดี และซื่อสัตย์ต่อประชาชน ประชาธิปไตย เคารพและเสียสละปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ”

หมายความว่า “ความเป็นคนดีไม่อาจแยกขาดจากความเป็นสังคมที่ดี” หรือ “ความเป็นคนดีกับความเป็นสังคมที่ดีต่างสนับสนุนกันและกัน”

ความหมายที่ลึกซึ้งไปว่านั้นคือ “ความเป็นคนดี” ไม่อาจแยกออกจาก “ความเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่ามีศักดิ์ศรีในตนเอง” ซึ่งคุณค่าหรือศักดิ์ศรีของมนุษย์นั้นอยู่ที่การใช้ “เหตุผลและเสรีภาพ” ในการเลือกสิ่งที่ดีแก่ตนเองและสังคมที่ตนเองสังกัด สังคมประชาธิปไตยคือสังคมที่สนับสนุนการใช้เหตุผลและเสรีภาพในความหมายดังกล่าว

ฉะนั้น สังคมประชาธิปไตยจึงเป็นสังคมที่ดีที่สนับสนุน “คนดีที่มีคุณค่าและศักดิ์ศรีในตนเอง”

โดยนัยนี้สังคมประชาธิปไตยจึงเป็นสังคมที่ส่งเสริม “ความเป็นมนุษย์” คือ “ความมีเหตุผลและเสรีภาพ” เพราะเป็นสังคมที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ใช้เหตุผลและเสรีภาพภายใต้หลักการสากลอันเดียวกัน คือหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ซึ่งเป็นรากฐานของ “ความยุติธรรม” ในการที่ทุกคนจะได้ใช้เหตุผลและเสรีภาพของตนเองแสวงหาสิ่งที่ดี หรือการมีชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียม


คนดีในสังคมประชาธิปไตยจึงไม่ใช่ “มนุษย์เครื่องมือ” ของระบบความเชื่อ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ หรืออำนาจพิเศษใดๆ ที่นอกเหนือไปจากอำนาจของประชาชน

หมายความว่า คนดีต้องไม่ถูกใช้เป็น“เครื่องมือ” ค้ำจุนอำนาจอื่นที่นอกเหนือจากอำนาจของพวกเขาในนามของความสวามิภักดิ์ การรับใช้ ปกป้องอะไรก็ตามที่ “กดทับ” การใช้เหตุผลและเสรีภาพของพวกเขา

และเมื่อเขาใช้เหตุผลและเสรีภาพต่อสู้เพื่อความเป็นประชาธิปไตย หรือหลักการสากลคือหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค เขาต้องไม่ถูกถูกสาปแช่ง ถูกจับติดคุกเป็น “นักโทษทางความคิด” หรือถูกฆ่า เพียงเพราะเขาคิดต่าง เชื่อต่าง และ/หรือยืนยันความเป็นเจ้าของสิทธิ อำนาจของตนเอง ซึ่งพูดอย่างถึงที่สุดก็คือการยืนยัน “ศักดิ์ศรีความเป็นคนของตนเอง” นั่นเอง

นี่คือความหมายของ “คนดี” และค่านิยมของคนดีที่สนับสนุนค่านิยมของสังคมที่ดี คือสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตยที่พลเอกเปรมไม่เคยพูดถึงเลย

และคนดีที่ยึดมั่นใน“ค่านิยมจงรักภักดี และซื่อสัตย์ต่อประชาชน ประชาธิปไตย เคารพและเสียสละปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ” ย่อมไม่มีทางจะทำรัฐประหารล้มระบบสังคมที่ดีคือสังคมประชาธิปไตย และไม่มีทางสนับสนุนรัฐประหารทั้งโดยตรงและโดยอ้อมอย่างแน่นอน

ถึงเวลาแล้วที่สังคมเราจำเป็นต้องนิยามความหมายของ “คนดี” และ “ค่านิยม” ของคนดีเสียใหม่ให้ความหมายของ “คนดี” และ “ค่านิยม” ของคนดีสอดคล้องและส่งเสริมค่านิยมการยึด “ความยุติธรรม” ในการอยู่ร่วมกันบนหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ อันเป็นหลักการพื้นฐานของสังคมที่ดี หรือสังคมประชาธิปไตยที่ปกป้องเราทุกคนให้เป็น “มนุษย์ที่มีคุณค่าและศักดิ์ศรีในตนเอง” อย่างแท้จริง!

ซึ่งหมายถึง เป็นมนุษย์ที่สามารถใช้ “เหตุผลและเสรีภาพ” แสวงหาการมีชีวิตที่ดีและสังคมที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เป็นเพียง “มนุษย์เครื่องมือ” เท่านั้น!  

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper
Viewing all 58130 articles
Browse latest View live




Latest Images