Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 58138 articles
Browse latest View live

บล็อกเกอร์เวียดนามยื่นหนังสือยูเอ็น ประท้วง ม.258 ละเมิดเสรีภาพอินเทอร์เน็ต

$
0
0

เครือข่ายบล็อกเกอร์เวียดนามยื่นหนังสือพร้อมลงลายมือชื่อกว่า 100 คนที่สำนักงานสหประชาชาติในกรุงเทพฯ ประท้วงรัฐบาลเวียดนามที่ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และเรียกร้องให้เลิก ม.258 ความผิดฐาน "ฉกฉวยเสรีภาพประชาธิปไตยเพื่อทำลายผลประโยชน์ของรัฐฯ" ซึ่งใช้เป็นข้อหาจัดการบล็อกที่วิจารณ์รัฐบาล

วันนี้ (31 ก.ค.) ที่สำนักงานองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย ถ.ราชดำเนิน กรุงเทพฯ ตัวแทนเครือข่ายบล็อกเกอร์ชาวเวียดนาม 6 คน ซึ่งเดินทางมายังกรุงเทพฯ ได้เข้าพบกับเจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติ เพื่อยื่นแถลงการณ์แนบรายชื่อบล็อกเกอร์เวียดนามกว่า 100 คน ที่เข้าชื่อกันประท้วงที่รัฐบาลเวียดนามละเมิดต่อเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และเรียกร้องให้รัฐบาลเวียดนามยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 258 ความผิดฐาน "ฉกฉวยสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยเพื่อทำลายผลประโยชน์ของรัฐและสิทธิหน้าที่อันชอบธรรมขององค์การพลเมือง"

ซึ่งกฎหมาย "มาตรา 258" เป็นกฎหมายที่รัฐบาลเวียดนามใช้จับกุมบล็อกเกอร์ที่เขียนบทความหรือรายงานข่าววิจารณ์รัฐบาลเวียดนาม

แถลงการณ์ยังเรียกร้องให้รัฐบาลเวียดนามทบทวนสถานะด้านสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ และต้องให้หลักประกันแก่ประชาชนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็น รวมถึงสิทธิมนุษยชนด้านอื่นๆ ด้วย

โดยการยื่นหนังสือของเครือข่ายบล็อกเกอร์เวียดนามวันนี้ มีมาเรีย อิซาเบล ซาน การิโด (Maria Isabel Sanz Garido) เจ้าหน้าที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติมารับแถลงการณ์และเรียกสอบถามข้อมูลนานกว่า 2 ชั่วโมงด้วย

และก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 24 ก.ค. เครือข่ายบล็อกเกอร์เวียดนามได้ยื่นหนังสือมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน ต่อสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำเวียดนามด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประมวลภาพ: เมื่อการไฟฟ้าฯ แพ้ผักตบชวา ยอมเปิดประตูเขื่อนปากมูล (บางส่วน)

$
0
0

 

ชาวบ้านในพื้นที่รายงานว่า วันที่ 31 กรกฎาคม 2556 หลังชาวบ้านรอคอยมายาวนาน ก็เป็นอันกว่าเขื่อนปากมูลต้องเปิดประตูระบายน้ำตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา เนื่องจากอั้นไม่อยู่ เหตุเพราะผักตบชวาอัดแน่นหน้าเขื่อนปากมูล จนตาข่ายที่มีไว้กั้นบรรดาเศษสวะรวมทั้งผักตบไม่ให้เข้าไปในช่องปั่นไฟขาด สุดท้ายการไฟฟ้าฯ จึงต้องยอมแพ้ผักตบชวา เริ่มยกบานประตูระบายน้ำแล้ว 3 บาน จากทั้งหมด 8 บาน ขณะที่จังหวัดอุบลเรียกประชุมฉุกเฉินเตรียมมือรองรับน้ำเหนือจากโคราชที่กำลังจะมาถึง พร้อมกับเสนอให้การไฟฟ้าฯ เปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูล ในวันที่ 1 สิงหาคม 2556 นี้

 

 

คนหาปลาแหวกผักตบที่กระจายเต็มแก่งสะพือ เพื่อเอาเรือ

 

ตาข่ายกั้นผักตบไม่ให้ไหลเข้าช่องปั่นไฟขาด เพราะทนแรงดันผักตบไม่ไหว


เขื่อนปากมูลเริ่มยกประตู ระบายผักตบออก

น้ำจำนวนมากทะลังออกจากเขื่อนปากมูล

คนหาปลาท่านา ท้ายเขื่อนปากมูล อ.โขงเจียม

คนหาปลาจะพัก กิน นอน บนเรือ

 

คนหาปลาเข้าคิวรอไหลมอง (หรือการนำตาข่ายดักปลาล่องไปตามแม่น้ำ)


รวมพลคนหาปลา

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แย้งนิธิเรื่องฮิตเลอร์

$
0
0

หลังจากได้อ่านบทความของนิธิ เอียวศรีวงศ์เกี่ยวกับฮิตเลอร์ที่ลงในทั้งมติชนและประชาไทแล้ว  ผู้เขียนใคร่แสดงความอหังการที่จะหยิบยกบทความของเจ้าพ่อวงการประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยมาแย้งแบบหมูไม่กลัวน้ำร้อน อย่างไรก็ตามต้องเกริ่นเสียก่อนว่า ผู้เขียนนั้นเห็นด้วยกับความคิดของนิธิโดยเฉพาะประเด็นที่ว่าตามลำพังตัวตนของฮิตเลอร์หากไม่ถูกกำหนดโดยเงื่อนไขทางการเมืองหรือประวัติศาสตร์ย่อมไม่สามารถมีบทบาทในการสังหารหมู่ชาวยิวหรือก่อให้เกิดสงครามอันล้างผลาญชีวิตหลายสิบล้านได้ แต่ผู้เขียนก็ไม่เห็นด้วยกับนิธิในหลายประเด็นดังต่อไปนี้

1.นิธิมองข้ามความจำเป็นของการห้ามการแสดงสัญลักษณ์

นิธิเห็นว่าการห้ามไม่ให้มีการแสดงสัญลักษณ์เกี่ยวกับฮิตเลอร์และนาซีเกิดจากการที่ไม่ต้องการให้เยอรมันกลับมาเป็นฟาสซิสต์อีกครั้งรวมไปถึงบทบาทของพวกยิวในสหรัฐฯ ข้อแย้งของผู้เขียนคือนิธิไม่ได้กล่าวถึงอันตรายจากขบวนการลัทธินาซีใหม่   (Neo-Nazi) หรือพวกขวาตกขอบซึ่งพยายามสืบทอดมรดกฟาสซิสต์ของพรรคนาซี  ขบวนการนี้ไม่ได้มีเพียงในเยอรมันแต่ยังกระจายไปยังประเทศต่างๆ ในยุโรป หรือ แม้แต่รัสเซียภายหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย การห้ามไม่ให้แสดงสัญลักษณ์แบบนาซีจึงมีประโยชน์คือไม่ให้พวกหัวรุนแรงกลุ่มนี้ได้ใช้ประโยชน์ทางการเมืองนอกจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันสั่งยุบพรรคนาซีใหม่เมื่อปี 1952  การห้ามเข้มงวดแม้กระทั้งว่ารัฐบาลเยอรมันไม่ยอมให้มีการบูรณะบังเกอร์ที่  ฮิตเลอร์ใช้หลบภัยก่อนจะฆ่าตัวตายเมื่อเดือนเมษายน ปี 1945 เพราะไม่ต้องให้เป็นแท่นบูชาสำหรับพวกนาซีใหม่ 

แม้เป็นเรื่องยากที่เยอรมันจะกลับมาเป็นฟาสซิสต์อีกครั้งหนึ่ง แต่กฎหมายดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเยอรมันและที่สำคัญรวมถึงประเทศอื่นทั่วโลกเพราะเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ให้พวกขวาจัดใหม่เข้ามามีอิทธิพลอีกครั้งอันจะส่งผลเสียต่อสังคมโดยรวมเช่นเช่นการต่อต้านชาวต่างชาติที่มีเชื้อชาติหรือศาสนาที่แตกต่างจากชาวยุโรปรวมไปถึงการล่วงละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทั่วไป และแม้จะสามารถโต้เถียงได้ว่าหากสถานการณ์เอื้ออำนวยเช่นปัญหาเศรษฐกิจได้ส่งผลให้เกิดพวกขวาตกขอบที่เต็มไปด้วยอคติทางเชื้อชาติและศาสนาเช่นการต่อต้านพวกอพยพที่เป็นชาวประเทศโลกที่ 3 ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การบังคับห้ามการแสดงออกด้านสัญลักษณ์เปรียบได้ดังการทำสงครามเชิงวัฒนธรรม (Culture War) ซึ่งจะเป็นตัวช่วยเหลือรัฐบาลของยุโรปไปพร้อมกับการแก้ไขปัญหาอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย

2.นิธิเขียนเป็นทำนองว่ารัฐหรือสังคมพยายามให้มีการบังคับให้ลืมฮิตเลอร์ในทุกกรณี

ผู้เขียนคิดว่ารัฐหรือสังคมยุคใหม่เพียงแต่ต้องการไม่ให้นำเสนอสัญลักษณ์ของนาซีและฮิตเลอร์ในเชิงยกย่องหรือเกินความเหมาะสม กล่าวอีกนัยคือประชาชนสามารถนำเสนออย่างเป็นกลางเช่นทางวิชาการหรือทางศิลปะได้ อันเป็นสิ่งที่นิธิได้เรียกร้องในช่วงท้ายๆ ของบทความ ดังในรัฐธรรมของเยอรมันที่ถูกนำออกใช้ในปี 1949 ได้พยายามทำให้เยอรมันปลอดจากความเป็นนาซี (De-Nazification) ในหลังสงครามโลกเช่นสั่งห้ามการแสดงออกหลายอย่างเกี่ยวกับนาซีเพราะเป็นองค์กรที่ผิดรัฐธรรมนูญแต่ในมาตรา 5 บรรทัดที่ 3 ได้กล่าวว่า "ศิลปะและวิทยาศาสตร์ การวิจัยและการสอน (เกี่ยวกับนาซี)จะเป็นอิสระ อันสะท้อนให้เห็นว่ารัฐและสังคมยุคใหม่ไม่ได้บังคับให้ลืมฮิตเลอร์และนาซีไปเสียทุกกรณีเสมอไป ถึงแม้หลายครั้งจะพยายามก็ตาม

ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือสัญลักษณ์ทางอุดมการณ์ของฮิตเลอร์ที่ทรงพลังที่สุดแต่คนจำนวนมากกลับมองข้ามคือหนังสือของฮิตเลอร์ที่ชื่อ Mein Kampf (การต่อสู้ของข้าพเจ้า) ซึ่งถูกเขียนขึ้นในช่วงที่เขาถูกคุมขังในคุกที่แคว้นบาวาเรียเมื่อปี 1923 ภายหลังจากพยายามทำรัฐประหารที่โรงเบียร์  (Beer Hall Putsch) ไม่สำเร็จ หนังสือเล่มนี้เผยแพร่อุดมการณ์แบบฟาสซิสต์ของฮิตเลอร์โดยเฉพาะการต่อต้านยิวซึ่งลุ่มลึกและทรงพลังได้ดีกว่าสัญลักษณ์ทั้งหลาย แม้หนังสือจะไม่สามารถตีพิมพ์ได้ในเยอรมันแต่ได้รับการตีพิมพ์และแปลเป็นภาษาต่างๆ ในหลายประเทศได้โดยมีเงื่อนไขว่าเพื่อการศึกษา และเป็นที่น่าสนใจว่ามีการแปลเป็นไทยและจัดจำหน่ายในเมืองไทยด้วย อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสนใจว่าสถาบันวิจัยประวัติศาสตร์เยอรมันร่วมสมัยพยายามจะนำเอาหนังสือเล่มนี้มาตีพิมพ์อีกครั้งในเยอรมันในปี 2016 เมื่อสิทธิในการตีพิมพ์หนังสือที่ถือครองโดยรัฐบาวาเรียหมดอายุโดยทางสถาบันอ้างถึงเรื่องเสรีภาพทางวิชาการ กระนั้นก็เป็นเรื่องตลกที่ว่าในโลกออนไลน์นั้น เราสามารถโหลดเนื้อหาจากหนังสือเล่มนี้ของฮิตเลอร์มาอ่านได้สบายๆ ทั้งหมด  แม้แต่ในเวลาที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่   วัตถุประสงค์ของผู้เผยแพร่อาจจะนำไปสู่การศึกษาความคิดของฮิตเลอร์เพื่อเข้าใจในตัวเขาและเยอรมันช่วงสงครามโลกดีขึ้นหรือเอาไปวิพากษ์การเมืองยุคใหม่หรืออาจจะเบี่ยงเบนจากเจตนาคือใช้เป็นตำราพิชัยยุทธ์สำหรับสร้างสรรค์การเมืองแบบขวาตกขอบ สิ่งนี้คนอ่าน  Mein Kampf จำนวนมากนับตั้งแต่หลังสงครามโลกเป็นต้นมาคงได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะใช้ประโยชน์จากมันอย่างไรดี

นอกจากนี้ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา นวนิยาย ภาพยนตร์ สื่อต่างๆ มีการนำเสนอตัวตนของฮิตเลอร์อย่างแพร่หลายและมีมิติที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิมในช่วงหลังสงครามอาจเพราะทั้งมีการตีความผสมกับการค้นพบหลักฐานทั้งบุคคลและวัตถุใหม่อยู่เรื่อยๆ หนังสือวิชาการเกี่ยวกับตัวฮิตเลอร์รวมไปถึงบรรดาลูกน้องคนสนิทไม่ว่าเฮอร์มานน์ เกอร์ริ่ง  อัลเบิร์ต สเปียร์ ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ ฯลฯ นับตั้งแต่หลังสงครามโลกเป็นต้นมาคงจะมีเป็นล้านๆ เล่ม หนังสือชื่อดังอย่างเช่นชีวประวัติ "ฮิตเลอร์" ของนักประวัติศาสตร์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับฮิตเลอร์มากที่สุดของอังกฤษคือเอียน เคอร์ชอว์จำนวน  3 เล่มใหญ่ที่ได้รับการยกย่องอย่างมากเพราะทำให้เราเห็นตัวตนของฮิตเลอร์ที่ปราณีตยิ่งไปกว่าคนบ้าที่เสียสติและไม่นานมานี้ก็มีการเปิดเผยห้องสมุดส่วนตัวของฮิตเลอร์ว่ามีหนังสือที่มีคุณค่าจำมากอันทำให้เราสามารถเห็นมุมมองความขัดแย้งในตัวเองของบุรุษซึ่งเคยสั่งให้เผาหนังสือต้องห้ามสำหรับรัฐนาซีแต่แอบมีความหลงใหลในหนังสือ แต่งานเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะนำมาตัดสินว่าเขาเป็นคนดีในที่สุด  สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำว่าโลกบังคับให้ “จำ”  ฮิตเลอร์ไปตามกรอบแนวคิดแบบเสรีนิยมและรักสันติผ่านการบังคับจากกฎหมายของหลายๆ  ประเทศ  สำหรับประเทศที่ไม่มีกฎหมายห้าม ก็ต้องอาศัยแรงกดดันทางสังคมประสานกับบทบาทของศูนย์ไซมอน วีเซนทัลในสหรัฐฯ 

3.นิธิมองว่าการแสดงสัญลักษณ์เกี่ยวกับฮิตเลอร์และนาซีแบบไร้เดียงสาเกิดจากการบังคับให้ลืม

สำหรับที่มีการแสดงสัญลักษณ์ของฮิตเลอร์และนาซีที่ไร้เดียงสาเช่นเกิดจากความเลื่อมใสในลัทธิขวาจัดหรือความคึกคะนองหรือเพียงเพราะเห็นว่าเป็นความเท่ห์ได้เกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ของโลกสมัยใหม่ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยอยู่เรื่อย ๆ นั้น  ผู้เขียนไม่อยากสรุปเอาง่ายๆ เกิดจากความล้มเหลวของการศึกษาในปัจจุบันหรือการบังคับให้ลืมเพียงอย่างเดียวเพราะคิดว่าประเทศทั้งหลายในโลกคงจะถ่ายทอดความชั่วร้ายของฮิตเลอร์ให้กับเยาวชนผ่านตำราเรียนไปทั่วถ้วน แต่ปัญหาคือจะมีการนำเสนอในแบบเดียวกันหรือไม่นั้นก็คงมีปัจจัยของการเมือง สังคม อคติทางเชื้อชาติหรือแม้แต่ศาสนาของประเทศนั้นเข้ามาเป็นตัวแปรในสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไป ถ้าจะให้เดาประเทศประชาธิปไตยโดยเฉพาะอิสราเอลคงใส่ภาพของฮิตเลอร์มืดดำหน่อย (สำหรับญี่ปุ่นเป็นประเด็นน่าสนใจว่าจะนำเสนอภาพของอดีตเพื่อนร่วมฝ่ายอักษะของตนในสงครามอย่างไร)  ส่วนประเทศประชาธิปไตยเทียมหรืออำนาจนิยมเผด็จการก็อาจจะไม่เสนอเรื่องของฮิตเลอร์เลยหรืออาจเสนอภาพไม่แรงนักด้วยความกลัวว่าประชาชนจะใช้ความรู้เกี่ยวกับนาซีมาจับไต๋ของตัวเองอย่างเช่นประเทศในอเมริกาใต้ในช่วงทศวรรษที่ 70 ที่ผู้นำเป็นเผด็จการทหารและคอยให้การช่วยเหลือพวกนาซีที่แอบหนีเข้ามาในประเทศตน หรือในทางกลับกันประเทศเหล่านั้นอาจเสนอภาพของฮิตเลอร์ในด้านดีจนเกินจริงเพื่อสนับสนุนความเป็นบุรุษเหล็กของผู้นำเผด็จการตัวเอง

นอกจากนี้บทบาทของอิสราเอลในการเมืองโลกปัจจุบันและลัทธิเกลียดยิวก็เป็นปัจจัยที่ผลต่อมุมมองของประชาชนในประเทศต่างๆ  ต่อฮิตเลอร์ เช่นเมื่อศูนย์ไซมอน วีเซนทัลออกมาประท้วงการใช้สัญลักษณ์ของฮิตเลอร์และนาซีในประเทศต่างๆ ด้วยเหตุผลว่าฮิตเลอร์ฆ่าชาวยิวไปหลายล้านคน ก็คงมีคนย้อนกลับมาโจมตีบทบาทของอิสราเอลในการสังหารชาวปาเลสไตน์ไปเป็นจำนวนมาก แม้ว่าสัดส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตของทั้ง 2 เหตุการณ์จะต่างกันมากแต่ก็ทำให้อิสราเอลสูญเสียความชอบธรรมในการประณามจอมเผด็จการนาซีไปไม่ใช่น้อยและแน่นอนว่าคงมีคนจำนวนมากโดยเฉพาะชาวมุสลิมในตะวันกลางที่มองว่าการประณามฮิตเลอร์และนาซีคือความพยายามของอิสราเอลในการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐอิสราเอลหรือลัทธิ  Zionism ต่อชาวโลกดังภาพยนตร์เรื่อง Schindler's List (1993) ของสตีเวนส์ สปีลเบิร์ก ที่พรรณนาการสังหารหมู่ของชาวยิวในค่ายกักกันนาซีอย่างน่าสะเทือนใจจึงถูกสั่งห้ามฉายหรือถูกเซนเซอร์อย่างหนักในประเทศตะวันออกกลางหลายประเทศ ความเกลียดยิวยังส่งผลให้ชาวมุสลิมหรือชาวประเทศโลกที่ 3 จำนวนมากที่หันมาเชิดชูหรือยกย่องฮิตเลอร์เพื่อประชดหรือต่อต้านอิสราเอลด้วยความรู้สึกไม่พอใจแทนชาวปาเลสไตน์ที่ถูกอิสราเอลรุกรานรังแก ดังตัวอย่างเจ้าของบาร์ในอินโดนีเซียที่ติดรูปของฮิตเลอร์รวมไปถึงทหารกับสัญลักษณ์นาซีไว้บนผนังร้านเมื่อไม่นานมานี้

แม้แต่ในประเทศในยุโรปเองคงมีพลเมืองจำนวนมากที่เห็นว่าการควบคุมการนำเสนอภาพของนาซีและฮิตเลอร์เป็นการสร้างอำนาจของรัฐในการจำกัดเสรีภาพการแสดง  ดังนั้นจึงกลายเป็นประเพณีใหม่ของพวกหัวเสรีนิยมที่จะท้าทายในการนำเสนอภาพของปีศาจร้ายในสายตาของรัฐบาลในอีกมิติหนึ่งแม้จะถูกโจมตีว่าเสนอไม่ยอมภาพฆาตกรโหดตามรูปแบบที่คาดหวังไว้ก็ตาม หากติดตามข่าวจะพบว่ามีบ่อยครั้งมากที่ฝรั่งจะพยายามท้าทายกฎหมายในด้านศิลปะโดยนำเสนอฮิตเลอร์ในด้านอื่นที่ไม่ใช่ด้านลบเช่นศิลปินชาวเยอรมันหลายคนพยายามแสดงศิลปะที่เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ของนาซีแบบกำกวมหรือผลิตนวนิยายแนวขบขันที่มีฮิตเลอร์เป็นตัวเอก ส่วนที่ทำให้สาธารณชนเยอรมันตกใจเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็คืออุปรากรเรื่อง Tannhauser ของริชาร์ด วาคเนอร์ คตีกวีขวัญใจของฮิตเลอร์ในเมืองดุลเซลดอร์ฟที่ผู้จัดใช้ฉากพวกนาซีสังหารหมู่ชาวยิวโดยอ้างว่าเพื่อสะท้อนถึงปัญหาลัทธิเกลียดยิว แต่ก็ทำให้ถูกวิจารณ์โจมตีอย่างหนัก

สำหรับความคิดของผู้เขียนที่ไม่น่าเหมือนกับนิธิแล้วสิ่งเหล่านี้ย่อมนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่ตรงกันข้ามกับ"กระบวนการทำให้ลืมฮิตเลอร์" คือกระบวนการนำเสนอเรื่องราวของฮิตเลอร์ที่มากล้นเกินไป (Hyper-representation) คือยิ่งรัฐหรือสังคมสั่งห้าม ต่อต้านหรือประณามก็กลายเป็นการส่งเสริมให้เกิดภาพหรือวาทกรรมของฮิตเลอร์ทวีล้นพ้นขึ้นไปอีก สิ่งนี้ย่อมส่งผลถึงมุมมองของคนรุ่นใหม่ที่เกิดภาวะอิ่มตัวกับความล้นนี้ ที่สำคัญการนำเสนอมักได้รับอิทธิพลโดยวัฒนธรรมประชานิยม (Popular Culture) ที่ผลิตซ้ำภาพสัญลักษณ์ต่างๆ ของฮิตเลอร์และนาซีอันน่าตื่นตาตื่นใจอยู่จนถึงปัจจุบันแต่ไม่สามารถทำให้คนรับข่าวสารสามารถเชื่อมโยงหรือวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ได้มากไปกว่าความบันเทิง ซ้ำร้ายภาพอันล้นเกินของฮิตเลอร์ยังกลายเป็นภาพครอบงำหรือเป็นภาพหลอกหลอน  (Specter of Hitler) ทำให้คนรุ่นใหม่มองข้ามหรือไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควรต่อการสังหารหมู่ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในโลกยุคหลังสงครามโลกครั้งที่  2 เช่นทุ่งสังหารของพอล พตในกัมพูชาสงครามกลางเมืองในอดีตยูโกสลาเวีย การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา ฯลฯ เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ดูกระจอกเล็กน้อยเสียเหลือเกินถ้าเทียบกับการฆ่าชาวยิวไปกว่า 6 ล้านคนหรือแม้แต่จอมเผด็จการคนอื่น ๆ ที่ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ดูให้ดีก็ได้มีส่วนหรือสั่งการโดยตรงให้ล้างผลาญชีวิตของเพื่อนร่วมชาติในจำนวนมากยิ่งกว่าฮิตเลอร์ (ซึ่งมุ่งฆ่าชาวยิวที่มาจากประเทศต่างๆนอกจากเยอรมัน) เช่นโจเซฟ สตาลินและเหมา เจ๋อตงก็ไม่สามารถจรัสแสงของการเป็นฆาตกรของมวลมนุษยชาติได้เท่ากับฮิตเลอร์เลย          

ผู้เขียนเคยถามนักศึกษาในห้องเรียนว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยขณะที่เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 กลับมีคนตอบได้น้อยมาก แต่ถ้าถามว่าใครเป็นผู้นำของเยอรมันช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่สามารถตอบได้ แต่ถ้าจะถามต่อว่าค่ายกักกันของนาซีตั้งอยู่ที่ใดหรือเหตุใดฮิตเลอร์จึงสามารถขึ้นมาอำนาจเหนือเยอรมันได้ ก็จะมีจำนวนคนที่ตอบได้ลดน้อยลง  นักศึกษาเหล่านี้ถึงแม้จะอยู่มหาวิทยาลัยต่างกันแต่ความคิดคงไม่ต่างกับพวกที่วาดภาพฮิตเลอร์ปะปนกับบรรดาซูเปอร์ฮีโรทั้งหลายบนฝาผนังกระมัง

4.นิธิเห็นว่าฮิตเลอร์สามารถสร้างรัฐเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จได้สมบูรณ์กว่าสตาลิน

ผู้เขียนรู้สึกสงสัยว่านิธิได้ใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินว่ารัฐของใครเป็นเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จมากกว่ากัน   เพราะความจริงสตาลินนั้นขึ้นมามีอำนาจในโซเวียตตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1920  เขาได้สานต่อการสร้างรัฐเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จจากเลนินโดยเริ่มลัทธิบูชาบุคคล (cult of personality)  ผ่านภาพและโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ชาวโซเวียตเคารพนับถือสตาลินดุจบิดาแห่งชาติที่จะรวมรัฐต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้สหภาพโซเวียต การมีตำรวจลับ เพื่อกำจัดศัตรูฝ่ายตรงกันข้ามโดยการสังหารหรือนำไปเข้าค่ายกักกัน (gulag)  กิจกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนฮิตเลอร์จะขึ้นมามีอำนาจในปี 1933 เสียด้วยซ้ำ ผู้เขียนคิดว่าสิ่งหนึ่งที่สะท้อนว่าสตาลินมีความเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จที่สมบูรณ์กว่าฮิตเลอร์แม้ว่าจะยึดถืออุดมการณ์คนละฝั่งคือความสามารถของสตาลินในการนำอำนาจของรัฐทะลุทะลวงสู่ทุกอณูของสังคมโซเวียตผ่านความกลัวแบบไร้สาระเพื่อให้คนโซเวียตกลายเป็นเครื่องจักรที่ปฏิบัติตามสตาลินโดยปราศจากเงื่อนไข สำหรับเยอรมันนั้นหากใครไม่ใช่พวกรักร่วมเพศหรือพวกยิว และไม่วิจารณ์หรือต่อต้านฮิตเลอร์กับพรรคนาซีก็ปลอดภัยพอสมควร แต่รัฐของสตาลิน ทุกคนที่อยู่รอบตัวสตาลินไม่ว่าภรรยาของเขา กลุ่มผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ที่เคยกอดคอสตาลินในการตั้งพรรคบอลเชวิกมาด้วยกันหรือนายทหารในกองทัพแดง ไม่นับประชาชนธรรมดาที่ไม่ได้มีความสนใจทางการเมืองเลยก็สามารถถูกกำจัด (purge) ออกไปอย่างง่ายดายเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนายทุนแอบแฝงหรือพวกต่อต้านการปฏิวัติ  วิธีการนี้ต่อมาถูกเลียนแบบโดยเหมา เจ๋อตงในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมเมื่อกลางทศวรรษที่ 60 จนเป็นเหตุให้มีคนจีนเสียชีวิตเป็นล้านๆ

นอกจากนี้มีข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อยว่าสำหรับกองทัพเยอรมันที่ไม่ใช่หน่วยเอสเอส ทหารไม่จำเป็นต้องทำท่าเคารพฮิตเลอร์อันสะท้อนว่าบารมีและความศรัทธาต่อตัวฮิตเลอร์ไม่ได้มีมากมายในกองทัพดังที่เข้าใจกันไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีกลุ่มนายทหารพยายามทำรัฐประหารโค่นล้มฮิตเลอร์ในเดือนกรกฎาคม ปี 1944  ตรงกันข้ามกับสตาลินดังฉากที่เขากล่าวคำปราศรัยแล้วคนในห้องปรบมือให้อย่างยาวนานโดยไม่มีใครกล้าเลิกปรบมือเป็นคนแรกเพราะกลัวจะถูกจับผิด จนสตาลินต้องกดกริ่งให้การปรบมือสิ้นสุดลง  ดังนั้นจึงพอตั้งสมมติฐานว่าการนำเสนอภาพของฮิตเลอร์ที่มากล้นเช่นการโฆษณาชวนเชื่อของฮิตเลอร์และนาซีซึ่งถูกผลิตซ้ำผ่านภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 จำนวนมากอาจเป็นผลให้มีความเข้าใจว่าฮิตเลอร์สร้างรัฐเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จได้สมบูรณ์กว่าสตาลิน

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เหตุใด ‘พันธมิตร’ จึงไม่ชุมนุม ?

$
0
0
 
แถลงการณ์ ‘ไม่ชุมนุม’ ของแกนนำ ‘พันธมิตรพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย’ ฉบับล่าสุด ทำเอาผู้เขียน ‘สะดุ้ง’ ถึงสองครั้ง!
 
แน่นอนว่าพันธมิตรฯ ยังคงแถลงต่อต้านการนิรโทษกรรม เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ส่วนนี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่
 
แต่ที่ส่วนที่น่าสนใจจนต้อง 'สะดุ้ง' คือคำอธิบายการไม่ออกมาชุมนุมในช่วงเวลานี้ โดยพันธมิตรฯ ได้อธิบายในแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2556 ว่า
 
…แต่สถานการณ์ปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไป เมื่อแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชน ได้ถูกกลั่นแกล้งโดยยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอันเป็นเท็จ...แม้ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่ศาลอาญาก็ได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อ. 973/2556ให้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไขตั้งแต่เมื่อวันที่ 2เมษายน 2566ว่า
 
“ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อความเสียหายหรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล”
 
และศาลอาญาได้แถลงย้ำคำสั่งดังกล่าวอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่ 30กรกฎาคม พ.ศ.2556ย่อมแสดงให้เห็นว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชนอีกจำนวนมากได้ถูกลิดรอนสิทธิจากคำสั่งดังกล่าวและเป็นข้อจำกัดจนไม่สามารถทำให้การชุมนุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือประสบผลสำเร็จได้จริงในสถานการณ์ปัจจุบัน และวิธีการชุมนุมภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวก็ยังไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ในขณะนี้
 
(ย่อและเน้นคำโดยผู้เขียน คำแถลงฉบับเต็ม ดูที่ http://bit.ly/PAD310713)
 
เมื่อได้อ่านคำแถลงส่วนนี้แล้ว ผู้เขียนต้อง ‘สะดุ้ง’ ถึงสองครั้ง !
 
*** สะดุ้งแรก : พันธมิตรวิจารณ์ศาล ? ***
 
ผู้เขียนสะดุ้งเพราะรู้สึกเป็นบุญตาที่ได้เห็นพันธมิตรฯ ออกมาวิจารณ์ "ศาลไทย" ตรง ๆ ว่าคำสั่งศาลที่กำหนดเงื่อนไขการชุมนุมนั้นเป็นการ  "ริดรอนสิทธิ" ของประชาชน
 
ในขั้นแรก การแสดงจุดยืนเช่นนี้ จะถือว่า ‘ย้อนแย้ง’ ตนเองหรือไม่ ? เพราะในขณะที่พันธมิตรฯ กำลังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการทางศาล แต่แถลงการณ์ฉบับเดียวกันนี้เองก็กลับเห็นว่าศาลกำลังริดรอนสิทธิของประชาชน แล้วเช่นนี้ ประชาชนจะยังพึ่งศาลได้มากน้อยเพียงใด ?
 
หรือพันธมิตรฯ กำลังส่งสัญญาณเพื่อต่อรองกับ "อำนาจเหนือตุลาการ" ให้ยอมผ่อนปรนเงื่อนไขการประกันตัว แลกกับการออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ?
 
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนขอมองในแง่ดีว่า พันธมิตรฯ กำลังแสดงความเห็นวิจารณ์ศาลอย่างสุจริต และเป็นการวิจารณ์ทำนองเดียวกันจากประชาชนทุกสีเสื้อที่ศาลควรรับฟังอย่างยิ่ง
 
ผู้เขียนทราบดีว่า คำสั่งศาลอาญาไม่ได้ปิดกั้นการชุมนุม หรือการไปแสดงออกทางการเมือง โดยหากจำเลยที่ได้การปล่อยตัวชั่วคราวรายใดจะชุมนุมโดยสงบสันติ และไม่ทำผิดเงื่อนไขที่ห้าม "ยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง..."   ศาลท่านก็ย่อมไม่ได้ห้ามแต่ประการใด
 
แต่ผู้เขียนเห็นด้วยกับพันธมิตรฯ ในแง่ที่ว่า การใช้อำนาจออกคำสั่งของศาลโดยใช้ถ้อยคำที่กินความกว้างเช่นนี้ ย่อมทำให้จำเลยเหล่านี้กลายเป็น ‘ประชาชนที่มีตราบาป’ และไม่กล้าใช้สิทธิเสรีภาพ เพราะการใช้สิทธิเสรีภาพนั้นต้อง “ถูกใจศาล” หากไม่ถูกใจก็จะถูกศาลเรียกมาไต่สวนเพื่อแสดงความสำนึกและก้มกราบขอขมาต่อศาล มิเช่นนั้น ก็อาจถูกส่งกลับเข้าคุกได้โดยไม่ต้องพิจารณาคดีใหม่
 
การออกคำสั่งล่วงหน้าที่พ่วงมาด้วยโอกาสติดคุกโดยไม่ต้องรับการพิจารณาคดีใหม่เช่นนี้ ถือเป็นกรณีที่ศาลสร้างเกณฑ์ขึ้นมาปรับใช้เอง ซึ่งเกินเลยไปกว่ารัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่ให้อำนาจไว้
 
แน่นอน ย่อมมีผู้แย้งว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 28 ได้บัญญัติว่า
 
"บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน"
 
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นมาตรานี้ หรือ มาตรา 108/1 ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือจะมาตราใดในระบบกฎหมายไทย ก็ไม่ได้ให้อำนาจศาลออกคำสั่งกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นการทั่วไปดังเช่นที่ศาลอาญากระทำตลอดมา
 
หากว่ากันไปตามตัวบทกฎหมายแล้ว ศาลจะต้องกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวอย่างแคบ เช่น ห้ามจำเลยไปทำลายพยานหลักฐาน หรือทำผิดซ้ำในประเด็นที่เจาะจงกับคดีเดิม ส่วนหากจำเลยจะไปชุมนุมและละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นต่างกรรมต่างวาระ ก็ต้องถูกดำเนินคดีใหม่แยกกันต่างหาก มิใช่นำเรื่องการประกันตัวในคดีเดิมมาตีความปะปนกันประหนึ่งเป็นคำขู่ในการควบคุมความประพฤติ (ผู้เขียนเคยอธิบายข้อกฎหมายไว้แล้วที่ http://bit.ly/trabab)
 
การใช้อำนาจของศาลไทยเช่นนี้ เกิดขึ้นกับจำเลยชาวไทยทุกคน ไม่ว่าเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือเสื้ออะไร ส่งผลให้จำเลยที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอย่างมีเงื่อนไขกลายเป็นประชาชนที่มีตราบาปอย่างไม่เป็นธรรม และถือเป็นการที่ศาลไทยละเมิดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในเรื่องความเสมอภาค และบทสันนิษฐานความบริสุทธิ์อย่างโจ่งแจ้งที่สุด
 
*** สะดุ้งที่สอง : ชุมนุมทั้งที ต้องเอาให้คุ้ม ? ***
 
การสะดุ้งครั้งที่สอง แรงยิ่งกว่าครั้งแรก เมื่อผู้เขียนได้อ่านคำแถลงส่วนท้ายของพันธมิตรฯ ที่ว่า
 
"วิธีการชุมนุมภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวก็ยังไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ในขณะนี้"
 
กล่าวคือ พันธมิตรฯ กำลังจะสื่อว่าหากต้องชุมนุมโดยสงบสันติตามเงื่อนไขของศาลอย่างเคร่งครัด จะถือเป็นการชุมนุมที่ไม่คุ้มค่า ?
 
หรือหากจะชุมนุมให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า จะต้องสามารถ  "ยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ" ?
 
แม้ผู้เขียนไม่คิดว่า พันธมิตรฯ จะเจตนาสื่อเช่นนั้น แต่ข้อความในคำแถลงอาจทำให้เข้าใจเช่นนั้นได้หรือไม่ ?
 
พันธมิตรฯ ไม่ควรลืมว่า ความสำเร็จและเสียงสนับสนุนใดๆ ที่พันธมิตรฯ เคยได้รับจาก "ประชาชนทั่วไป" ในยุคแรกเริ่ม จนกลายมาเป็น "คนเสื้อเหลือง" ในยุคเฟื่องฟูนั้น เริ่มต้นมาจากสมัยที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล จัดปราศรัยวิจารณ์คุณทักษิณ ชินวัตร อย่างสันติ แต่เด็ดขาด และตรงไปตรงมา เช่น รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่สวนลุมพินี ฯลฯ
 
การปราศรัยดังกล่าวเป็นตัวอย่างของการใช้เสรีภาพที่สันติ และถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ใช้พื้นที่สาธารณะงัดข้อมูลและเหตุผลมาถกเถียงกันโดยไม่ต้องสนใจว่าจะต้องสามารถล้มรัฐบาลได้หรือไม่ ซึ่งพลังที่สันติเช่นนั้น คือ พลังที่ขาดหายไปจากสังคมไทยในวันนี้
 
หากพันธมิตรฯ สามารถจุดพลังสันติที่เคยมีมาในอดีต โดยมีหลักการและเหตุผลเป็น "ต้นทุน" ย่อมไม่ต้องกังวลเลยว่าชุมนุมไปแล้ว "คุ้มค่าหรือไม่"
 
แต่หากพันธมิตรฯ จะคิดแบบนักธุรกิจการเมือง ที่มองผล "ความคุ้มค่า" เป็นสำคัญ หลายคนก็คงอดไม่ได้ ที่จะต้อง "สะดุ้ง" ทั้งด้วยความสงสัย และความเสียดาย
 
และนี่อาจเป็นคำตอบส่วนหนึ่งว่าเหตุใด คนที่เคยใส่เสื้อเหลือง ถึงหันมาสวม ‘หน้ากากขาว’ แทน (http://bit.ly/whiteandyellow) .
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จี้รัฐไทยลงนามอนุสัญญาป้องกันการทรมาน-ยูนิเซฟเรียกร้องทั่วโลกหยุดทารุณเด็ก

$
0
0

 31 ก.ค.56   ที่กรุงเจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ ในวาระการประชุมสมัชชาใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ ณ กรุงนิวยอร์กในเดือนกันยายนนี้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้เชื้อเชิญให้รัฐสมาชิกร่วมการลงนามในอนุสัญญาฉบับต่าง ๆ ซึ่ง การประชุมนี้เรียกกันว่า UN Treat Event

สมาคมเพื่อการต่อต้านการทรมาน (The Association for the Prevention of Torture- APT) สนับสนุนให้ประเทศไทยใช้โอกาสดังกล่าวในการยืนยันคำมั่นว่าจะป้องกันการทรมานและการปฏิบัติอย่างโหดร้ายโดยการลงนามในพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาป้องกันการทรมาน (OPCAT) การลงนามในอนุสัญญาป้องกันการทรมานในงาน Treaty Event เป็นก้าวย่างสำคัญสำหรับประเทศไทยที่จะแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการป้องกันการทรมานและการปฏิบัติอย่างโหดร้ายก่อนการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของผู้แทนพิเศษขององค์การสหประชาชาติด้านการทรมานในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2557 และการนำเสนอรายงานประเทศต่อคณะกรรมการขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมานในปีพ.ศ. 2557 ที่จะถึงนี้

การลงนามในพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานหมายถึงรัฐสมาชิกเห็นด้วยที่จะให้มีการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวทั้งในเรือนจำและสถานีตำรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอิสระอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งงจะเป็นกลไกในการป้องกันการทรมาน

ปัจจุบันพิธีสารเลือกรับฉบับนีมuรัฐสมาชิกแล้วทั้งสิ้น 70 ประเทศทั่วโลกที่เริ่มดำเนินการกลไกป้องกันการทรมานนี้ร่วมกัน

สมาคมเพื่อการต่อต้านการทรมานระบุว่า ขอแสดงความยินดีที่ประเทศไทยได้พัฒนาให้มีการป้องกันการทรมานและการปฏิบัติอย่างโหดร้ายในหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างแก้ไขกฎหมายอาญาที่จัดให้มีข้อหาการทรมาน และจะจัดให้มีการศึกษาหาความเป็นไปได้ในการเข้าเป็นรัฐภาคีในพิธีสารเลือกรับอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน อีกทั้งกระทรวงยุติธรรมได้จัดให้มีการปรึกษาหารือกับตัวแทนของหน่วยงานรัฐภาคส่วนต่างๆ ไปแล้ว

สมาคมระบุว่า ในจดหมายที่ทางสมาคมส่งถึงผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กนั้นได้ขอให้ประเทศไทยใช้โอกาสในงาน UN Treaty Event ณ นครนิวยอร์กในระหว่างวันที่ 24-26 กันยายน และวันที่ 30 กันยายนถึง1 ตุลาคม 2556 ลงนามในพิธีสารเลือกรับอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน

ขณะที่ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา ยูนิเซฟก็เปิดตัวโครงการยุติความรุนแรงต่อเด็ก โดยเรียกร้องให้ประชาชนทั่วไป ผู้มีอำนาจออกกฎหมาย และรัฐบาลออกมาพูดคุยและร่วมกันต่อต้านการกระทำรุนแรงต่อเด็ก ซึ่งเป็นปัญหาที่มักมองไม่เห็น และไม่ถูกรายงาน

ยูนิเซฟระบุว่าโครงการนี้ริเริ่มหลังจากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงต่อเด็กๆ ทั่วโลกหลายครั้ง เช่น การยิงเด็กหญิงมาลาล่า ยูซาฟไซ ในปากีสถานเมื่อเดือนตุลาคม 2555 ซึ่งขณะนั้นเธอมีอายุ 14 ปี และเหตุสังหารหมู่เด็กนักเรียนและครู 26 คนที่เมืองนิวทาวน์ รัฐคอนเนคติกัตเมื่อเดือนธันวาคม 2555 ตลอดจนเหตุการณ์รุมข่มขืนเด็กหญิงที่ประเทศอินเดียและแอฟริกาใต้ในปีนี้

นายแอนโทนี่ เลค ผู้อำนวยการบริหารขององค์การยูนิเซฟ กล่าวว่า ในทุกประเทศ ทุกวัฒนธรรม มีเหตุการณ์ความรุนแรงต่อเด็กเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ ไม่ว่าเมื่อใดหรือที่ใดในโลก พวกเราทุกคนต้องแสดงการต่อต้านและประณามอย่างรุนแรงออกมาให้เห็น เพื่อทำให้ปัญหาที่มักมองไม่เห็นนี้เป็นที่ประจักษ์ในสังคม

โครงการยุติความรุนแรงต่อเด็กต้องการผลักดันให้ทุกคนทั่วโลกได้รับรู้ถึงปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก และร่วมกันเคลื่อนไหวทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับโลกเพื่อยุติความรุนแรงนี้ ตลอดจนร่วมกันเสนอความคิดใหม่ๆ ในการทำงานเพื่อต่อสู้กับเรื่องนี้

แม้ว่าข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับความรุนแรงต่อเด็กจะมีจำกัด แต่ก็เพียงพอที่จะชี้ให้เห็นถึงรูปแบบและระดับความรุนแรง ซึ่งต้องการการจัดการอย่างเร่งด่วน ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่า มีเด็กหญิงประมาณ 150 ล้านคน และเด็กชาย  73 ล้านคน เคยถูกกระทำรุนแรงและถูกแสวงประโยชน์ทางเพศ นอกจากนี้รายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศในปี 2548 ยังระบุว่าในแต่ละปีมีเด็กประมาณ 1.2 ล้านคนตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์

 

ดาวน์โหลดจากลิงค์:

http://weshare.unicef.org/C.aspx?VP3=SearchResult_VPage&ALID=2AM4080UHWER

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บ้านทุ่งยาวใช้พลังสตรีกำจัดค่านิยม “ไฮโล” งานศพ

$
0
0

เป็นความเชื่อที่ยาวนานในสังคมไทยว่า การตั้งวงเล่นการพนันในงานศพที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเป็นเรื่องปกติ เพราะนอกจากเป็นการทำให้บรรยากาศการเฝ้าศพไม่เงียบเหงาเกินไปแล้ว การตั้งวงพนันในศาลาวัดหรือ หน้าศพ ยังทำให้มีเพื่อนบ้านมาร่วมงานจำนวนมากอีกด้วย

ในการเสวนาเรื่อง “พนันในสังคมภาคเหนือ”จัดโดย ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ ศูนย์สตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  โครงการขับเคลื่อนสังคมและนโยบายสาธารณะเพื่อลดปัญหาการพนัน มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน และสมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย ได้มีการกล่าวถึงประเด็นการเล่นการพนันในงานศพนี้เช่นเดียวกัน โดยเป็นการถึงพลังของสตรีในการจัดการการพนันในงานศพ

ภาคี วรรณสักผู้นำสตรีชุมชนบ้านทุ่งยาว อ.เมือง จ.ลำพูน ในฐานะที่ปรึกษากลุ่มแม่บ้านทุ่งยาว ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการเป็นผู้นำเคลื่อนไหวเรื่องป่าชุมชน เปิดประเด็นนี้ว่า ในอดีตชาวบ้านเชื่อว่าการตั้งวงพนันในการจัดงานศพเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะทำให้มีคนมาช่วยงานมาก  แต่หากพิจารณาลงไปในรายละเอียดแล้วจะพบว่า การพนันเหล่านี้ล้วนสร้างผลกระทบรุนแรงให้กับครอบครัวเพื่อนบ้าน ต่อเนื่องไปถึงชุมชนทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอเห็นว่า “การเล่นไฮโล” หน้าศพเป็นการพนันที่รุนแรงมาก ทำให้ชาวบ้านหมดเนื้อหมดตัว ล่มจมไปตามๆ กันมาแล้ว

ภาคี กล่าวต่อว่า เธอรู้สึกสงสารกลุ่มแม่บ้านที่มีพ่อบ้านติดการพนันเป็นอย่างมาก เพราะหลายคนมักจะอ้างว่าจะต้องไปช่วยงานศพ ไม่กลับบ้าน แต่ที่จริงแล้วคือไปเล่นการพนัน โดยเฉพาะ “ไฮโล” ที่ถือว่าเป็นการพนันยอดนิยม และทำให้เป็นปัญหามากที่สุด รุนแรงถึงขนาดที่ครอบครัวต้องแตกแยกกัน เพราะพ่อแม่ทะเลาะ ด้วยปัญหาไม่มีเงินในบ้าน ลูกไม่มีเงินไปโรงเรียน

“เราเห็นแล้วมันสลดใจ มันแย่มาก คนในชุมชนเชื่อว่าถ้าไม่มีวงพนันจะไม่มีคนไปช่วยงาน แต่ไปแล้วคนก็กลับมาเดือดร้อนกันหมดเพราะไปเล่นไฮโล”  ป้าภาคีกล่าว

และด้วยการมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากค่านิยมผิดๆ เหล่านี้ ทำให้ ภาคี และ อนันต์ลูกชายซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ตัดสินใจเคลื่อนไหวรณรงค์ไม่ให้เกิดวงพนันในงานศพภายในหมู่บ้าน โดยการออกกฎ  “ห้ามมีการเล่นพนันในงานศพ เด็ดขาด”หากพบว่าเกิดขึ้นที่ใด จะมีการดำเนินการทางกฎหมายอย่างเข้มงวด

การรณรงค์เชิงบังคับด้วยกฎหมายครั้งนั้น แม้ต้องทนต่อแรงกดดันจากความไม่เข้าใจของชาวบ้านในระยะแรก มีการตอบโต้ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการด่าทอ ข่มขู่ หรือทำลายทรัพย์สิน ป้ายรณรงค์ต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป การรณรงค์ที่ทำให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า แม้ไม่มีวงพนันในงานศพ ก็ยังมีคนมาร่วมงานศพไม่ต่างกัน ที่สำคัญแม่บ้านก็ไม่เดือดร้อนจากการที่พ่อบ้านนำเงินมาเล่นพนันแทนการนำไปช่วยงานศพ ความสำเร็จจึงเกิดขึ้นในเวลาต่อมา  จนทุกวันนี้ป้าภาคีบอกว่าที่บ้านทุ่งยาว ไม่มีการเล่นพนันในงานศพในหมู่บ้านอีกแล้ว

แต่กระนั้นก็ตามการเลิกโดยสิ้นเชิง คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะแม้จะไม่มีสถานที่ให้เล่นภายในหมู่บ้าน แต่ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่พร้อมจะเดินออกจากบ้านไป “งานศพ” ในหมู่บ้านอื่น เป้าหมายคือไปร่วมวง “ไฮโล” ซึ่งกลุ่มนี้ต้องยอมรับว่าแก้ไม่ได้

“ในหมู่บ้านเราไม่มี ห้ามเล่น เขาก็ออกไปเล่นที่อื่น เพราะหมู่บ้านอื่นๆ รอบๆ เขายังไม่เลิก ดังนั้นจึงห้ามไม่ได้ มันก็เป็นแบบนี้ แต่อย่างน้อยเราก็ลดจำนวนการเล่นไฮโลในหมู่บ้านเราได้ไปบ้าง เพราะมันรุนแรงจริงๆ น่าสงสารครอบครัวที่พ่อบ้านติด ล่มจมกันทั้งนั้น บ้านหาย ที่ดินหายไปหมด” ป้าภาคีระบุ

อย่างไรก็ตามปัจจุบันแม้จะยังไม่สามารถที่จะทำให้การพนันหายไปได้เด็ดขาด แต่สำหรับในพื้นที่หมู่ 4 ต.ชมพู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ พื้นที่รับผิดชอบของผู้ใหญ่อนันต์ ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ก็สามารถที่จะลดจำนวนการเล่นการพนันในงานมหรสพ รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์ลงไปได้จนกลายเป็นตัวอย่างให้กับพื้นที่อื่นๆ ได้

“จริงๆ แล้ว เจ้าภาพเองก็ไม่ต้องการให้มีกิจกรรมเหล่านี้ เพราะต้องใช้เงินทุนที่ไม่จำเป็น แต่ไม่มีคนแถวหน้าที่จะออกมาพูด ดังนั้นในเมื่อรับรับผิดชอบในหน้าที่นี้และอยากให้สังคม และชุมชนดีขึ้น จึงเป็นหน้าที่และทุกคนก็ตอบรับได้อย่างดี แสดงว่ามีคนเห็นด้วยอยู่มาก ถ้าหากสังคมช่วยกันปัญหาน่าจะลดลงได้”  ผู้ใหญ่อนันต์ตั้งความหวัง

จากประสบการณ์การต่อสู้ของทั้งป้าภาคี และผู้ใหญ่อนันต์ ถือเป็น 2ตัวอย่างความสำเร็จที่สำคัญของการต่อสู้ เพื่อลบค่านิยมผิดๆ ที่แม้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานาน ด้วยขนบประเพณี และความเชื่อในอดีต แต่หากชุมชนให้ความสำคัญ และมุ่งมองไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็งให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะกำจัด การพนัน ออกไปจากชุมชนได้เหมือนกัน

 

 

 

หมายเหตุ: ข่าวเผยแพร่สำหรับวันสตรีไทย  1 สิงหาคม 2556 โดย ฝ่ายสื่อสารสาธารณะ ศูนย์ข้อมูลนโยบายสาธารณะเพื่อลดปัญหาการพนัน มูลนิธิสดศรี-สฤษดิวงส์  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกษตรกรรมในเมือง : ประสบการณ์จากสหรัฐอเมริกา

$
0
0

ในบทความตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้เล่าถึงโครงการเกษตรกรรมในเมืองที่น่าสนใจภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิ Garden City Harvest ในเมืองมิสซูล่า มลรัฐมอนทาน่า สหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยโครงการส่งเสริมเกษตรกรรมในโรงเรียน โครงการสวนชุมชน สวนแห่งเพื่อนบ้าน และโครงการช่วยเหลือเยาวชนกลุ่มเสี่ยง ซึ่งโครงการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เยาวชนมีความรู้ในการทำเกษตรอินทรีย์ แต่ยังทำให้พวกเขามีความมั่นใจในตนเอง สร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ได้ และมองเห็นโอกาสในชีวิตอื่นๆ ด้วย ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น โครงการเหล่านี้เป็นโครงการเกษตรกรรมเพื่อพัฒนาสังคม ที่ช่วยให้คนชายขอบ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่เข้าไม่ถึงอาหาร สามารถมีอาหารคุณภาพดี สดและปลอดภัยบริโภคฟรีหรือในราคาถูก

ในบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอประสบการณ์ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำเกษตรกรรมในเมือง  ภายใต้ความรับผิดชอบของมูลนิธิ Garden City Harvest เริ่มต้นจาก จอร์จ สล็อตนิค ผู้อำนวยการโครงการพีส์ ฟาร์ม (PEAS FARM) ซึ่งเป็นทั้งเกษตรกร คุณพ่อและอาจารย์มหาวิทยาลัย จอร์จเล่าว่าเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา เขาเคยร่วมโครงการนิเวศเกษตรกรรมของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาครูซ ประสบการณ์ในครั้งนั้นได้เปลี่ยนชีวิตของเขา เพราะเขาเกิดความประทับใจกับการทำเกษตรและการทำงานร่วมกับเยาวชน ในเวลาต่อมา เขาได้เริ่มทำโครงการเกษตรกรรมสำหรับเยาวชนขึ้นในมหาวิทยาลัยมอนทาน่า เพื่อผลิตพืชผักสดๆ และอาหารป้อนให้แก่ธนาคารอาหาร (Food bank) ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ให้บริการอาหารสำหรับคนที่ไม่มีอาหารบริโภคในเมืองมิสซูล่า


เยาวชนมาช่วยทำงานปูผ้ายางพลาสติกป้องกันหิมะใน PEAS FARM


จอร์จ ให้คำปรึกษาแก่เยาวชนที่มาช่วยเพาะเมล็ดพันธุ์ผักในโรงเพาะชำ

จอร์จเล่าว่าโครงการเกษตรกรรมสำหรับเยาวชนมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งความมั่นคงทางอาหารในที่นี้ เขาให้ความหมายไว้สองด้าน ด้านแรก ความมั่นคงทางอาหารหมายถึงการที่คนทุกคนควรมีอาหารกิน ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือใครก็ตาม ด้านที่สอง ความมั่นคงทางอาหารหมายถึงการผลิตอาหารควรเป็นสิ่งที่ยั่งยืน การผลิตอาหารในปัจจุบันควรจะเป็นวิธีการที่ใช้ผลิตอาหารได้ในอนาคต โครงการเกษตรกรรมสำหรับเยาวชนทำแปลงเกษตรสำหรับนักศึกษา ซึ่งครั้งแรกตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยมอนทาน่า ต่อมาได้ย้ายออกจากมหาวิทยาลัยมอนทาน่าไปอยู่ในที่ดินสาธารณะซึ่งเช่ามาจากที่ดินของรัฐ  การดำเนินการโครงการเกษตรกรรมเพื่อเยาวชนและโครงการสวนแห่งเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดการตั้งมูลนิธิ Garden City Harvest ขึ้นมา การดำเนินงานของมูลนิธิฯ กลายเป็นที่สนใจของสังคม จนสามารถระดมเงินบริจาคเพื่อใช้ปรับปรุงฟาร์ม ทำรั้ว สร้างโรงเรือนเพาะชำ และทำกิจกรรมต่างๆ ได้สำเร็จ


เยาวชนช่วยหยอดเมล็ดพันธุ์ลงดินใน PEAS FARM

หลังจากนั้นโครงการฯ เปิดรับเยาวชนที่ต้องคดียาเสพติดเพื่อเข้ามาฝึกงานในฟาร์ม ทำให้เยาวชนกลุ่มเสี่ยงมีโอกาสทำงานร่วมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยและเยาวชนทั่วไปที่อาสาเข้ามาทำงานในฟาร์ม ตั้งแต่ดำเนินการโครงการมา มีเยาวชนกว่า 2,000 คนเข้ามาเรียนรู้ประสบการณ์ทำงานในฟาร์มทุกปี นอกจากนั้นเยาวชนยังมีโอกาสรับฟังการบรรยายในห้องเรียน ออกค่ายภาคฤดูร้อน เรียนทำอาหาร โครงการเหล่านี้ช่วยให้เยาวชนเกิดความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอาหาร การเกษตร วิทยาศาสตร์และชีวิตประจำวัน


คอริ แอช อาสาสมัครในโครงการเกษตรกรรมสำหรับเยาวชน
 

คอริ แอช นักเรียนที่ผ่านการฝึกงานภาคสนามในโครงการเกษตรกรรมสำหรับเยาวชน เล่าว่าเธอหลงรักการทำเกษตร และเมื่อเธอมาทำงานเป็นอาสาสมัครในฟาร์มสัปดาห์ละอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เธอพบว่ามันเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญมาก การทำงานในฟาร์มช่วยลดอาการหลงตัวเอง เธอได้เรียนรู้เรื่องดิน การเพาะเมล็ดพันธุ์ การปลูกพืช การรดน้ำต้นไม้ด้วยวิธีการต่างๆ เรียนรู้จักแมลงที่มีประโยชน์และแมลงศัตรูพืช ที่สำคัญที่สุด เธอได้เรียนรู้จักตัวเองและการทำงานร่วมกับคนอื่นๆ มากขึ้น

เธอบอกว่า “ที่ตั้งฟาร์มที่เราใช้ชีวิตร่วมกันสวยงามมาก เราทำงานด้วยกัน และเรียนรู้จักกัน ที่นี่ไม่มีคำว่าวิธีการที่ผิดหรือวิธีการที่ถูกในการทำงาน มีแค่วิธีการแบบที่ได้ผลสำหรับคุณและวิธีการแบบที่ไม่ได้ผล” คอริกล่าวเสริม “วันหนึ่งฉันนำทีมออกภาคสนามให้กับเด็กๆ ที่มาช่วยเก็บหัวกะหล่ำปลีในฟาร์ม แล้วขนไปใส่รถบรรทุกเพื่อนำไปที่มหาวิทยาลัยมอนทาน่า ฉันได้ตระหนักว่า ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างในการทำฟาร์ม มากกว่าที่ฉันเคยเรียนในห้องเรียนเสียอีก ทุกครั้งที่ฉันทำงานกับดิน ดึงหัวแครอทขึ้นมา ฉันรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวฉันเอง  การมีชีวิตที่ดีหมายถึงการทำงานที่ตอบสนองความจำเป็น หากคนทุกคนยังต้องกินอาหาร คนส่วนหนึ่งก็ยังต้องปลูกพืชผัก เมื่อไรก็ตามที่ฉันได้ยินว่ามีคนได้กินอาหารที่เราใส่ใจปลูกมันขึ้นมา ฉันรู้สึกดีและมีความสุขมาก”

ทิม ฮอลล์ ผู้อำนวยการโครงการสวนชุมชน (Community garden) ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 แห่งในเมืองมิสซูล่า เป็นโครงการส่งเสริมการทำเกษตรกรรมของชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตผู้มีรายได้น้อยทั่วเมืองมิสซูล่า พื้นที่ตั้งสวนชุมชนอาจเป็นของเทศบาล โบสถ์หรือองค์กรเอกชนที่นำมาแบ่งสรรเป็นแปลงย่อยเล็กๆ แล้วให้ผู้สนใจเช่าในราคา 35 เหรียญ สำหรับทำสวนปลูกพืชผัก ไม้ดอก สมุนไพร เพื่อบริโภค เพื่อขาย หรือเพื่อพักผ่อน สวนชุมชนแต่ละแห่งจัดหาที่ดินให้สมาชิกขนาดกว้าง 15 ฟุต และยาว 15 ฟุต พร้อมจัดหาอุปกรณ์สำหรับทำเกษตร น้ำ ปุ๋ย ฟาง ตลอดจนให้การอบรมความรู้ในการทำเกษตร นอกจากนี้สมาชิกยังได้รับคำปรึกษาปัญหาการทำฟาร์มจากผู้ประสานงานโครงการด้วย

ทิมเล่าว่าครอบครัวของเขาในอดีตย้อนไปหนึ่งถึงสองรุ่นเคยเป็นชาวนา ทำให้เขามีความทรงจำในวัยเด็กที่ดีเกี่ยวกับการทำฟาร์ม ทิมเรียนจบด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม เขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับการวางแผนการใช้ที่ดินในเมืองนิวยอร์ค ต่อมาเขาย้ายมาอยู่เมืองมิสซูล่า และทำงานในหน่วยงานเกี่ยวกับการวางแผนที่ดินของมลรัฐท้องถิ่น เขาให้คำปรึกษาและช่วยเหลือจอร์จและคนอื่นๆ เพื่อหาที่ดินที่เหมาะสมสำหรับการทำฟาร์มในช่วงที่เริ่มก่อตั้ง Garden City Harvest และเมื่อมีการเปิดรับสมัครคนทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสวนชุมชน เขากลายเป็นเจ้าหน้าที่โครงการในที่สุด


บ้านดินซึ่งเป็นยุ้งฉางเก็บพืชผักของโครงการ Garden City Harvest

ทิมมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการบริหารงานโครงการสวนชุมชนถึง 80 แห่งให้สามารถดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อมีคนเช่าที่ดิน เขาต้องแน่ใจว่าผู้เช่าที่ดินจะได้รับการจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นในการทำเกษตร มีเครื่องมือพร้อม มีการจัดการเรื่องน้ำพร้อม และมีความรู้ในการทำฟาร์ม  องค์กรต้องแน่ใจว่าผู้ดูแลสวนชุมชนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เช่าที่ดิน และทำให้ผู้เช่าที่ดินเกิดความเชื่อมั่นว่าพวกเขาสามารถขอคำปรึกษาได้ทุกเมื่อ หากต้องการความช่วยเหลือ

ทิมเล่าว่า ในสวนของชุมชน เพื่อนบ้านที่อยู่ในละแวกเดียวกันมีโอกาสมาพบปะกัน คนรวยและคนจนได้ปฏิสังสรรค์และสนทนากัน การสำรวจของโครงการพบว่าคนที่ทำสวนชุมชนมีเงินเหลือเพียงพอซื้ออาหารอื่นๆ รวมถึงซื้ออาหารในระบบผู้บริโภคสนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิต (Community Supported Agriculture-CSA) บางคนมีสวนที่บ้านของตัวเอง แต่เลือกที่จะมาทำสวนของชุมชนด้วยเหตุผลบางอย่างเพราะเงินแค่ 35 เหรียญก็สามารถเช่าสิทธิในสวนของชุมชนเพื่อปลูกผัก พร้อมได้รับจัดสรรน้ำ ปุ๋ย ดิน และฟาง แต่สิ่งที่ดึงดูดใจคนให้มาเช่าที่ดินในสวนชุมชนมากที่สุดคือความเป็นชุมชน เพราะที่นี่มีการพูดคุย การสอน การเรียนรู้ หากเรามีแปลงเกษตรอยู่ติดกัน เราอาจรู้จักกันดีขึ้น จนพัฒนากลายเป็นเพื่อนกันเมื่อทำสวนข้างๆ กันไปสักหนึ่งฤดูกาล บางทีคนหนึ่งอาจช่วยรดน้ำผักในช่วงที่อีกคนไม่อยู่ และอีกคนหนึ่งก็อาจแบ่งปันผักที่ปลูกให้แก่อีกคนหนึ่งตอบแทนน้ำใจ


ที่ตั้งสวนแห่งชุมชนและสวนแห่งเพื่อนบ้าน

สิ่งที่น่าทึ่งในโครงการสวนชุมชนคือการที่คนช่วยเหลือกันและกัน  เรามักได้อาสาสมัครที่มาช่วยทำงานทั้งแบบมาเดี่ยวและมาเป็นกลุ่ม เนื่องจากพื้นที่ตั้งสวนของชุมชนเป็นพื้นที่เปิด มีความปลอดภัย และตั้งอยู่ใกล้กับชุมชน ทำให้สมาชิกสวนของชุมชนเกิดความมั่นใจว่า พวกเขาสามารถเดินมาทำสวนของตัวเองได้บ่อย และสามารถพาเด็กๆ มาเรียนรู้จักการทำฟาร์ม มาสัมผัสผืนดินและธรรมชาติได้ยามว่าง    

ครอบครัวคีลลี่ ประกอบด้วยกิตาและเจสัน พร้อมกับลูกอีกสองคน ครอบครัวนี้เป็นสมาชิกสวนชุมชน กิตาเป็นนักผลิตภาพยนตร์สารคดีและอาจารย์มหาวิทยาลัยมอนทาน่า ครอบครัวของเธอมีที่พัก แต่ไม่มีที่ดินสำหรับเพาะปลูกพืชเลย ต่อมาครอบครัวของเธอพบที่ดินรกร้างขนาดเล็กอยู่ใกล้บ้าน ทำให้เธอได้คุยกับเจ้าหน้าที่โครงการสวนแห่งเพื่อนบ้าน (Neighborhood farm) เพื่อลองปรับสภาพพื้นที่เป็นสวนแห่งเพื่อนบ้าน และลองปลูกพืชผัก เธอเดินเคาะประตูเพื่อนบ้านที่อยู่ถัดไปสี่ถึงห้าบล็อคเพื่อถามความเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งสวนแห่งเพื่อนบ้านขึ้นในละแวกนั้น ปรากฏว่ามีเพื่อนบ้านถึง 50 คนที่ให้การสนับสนุน และในจำนวนดังกล่าวมีคนถึง 12-15 คนที่ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขัน

กิตาเล่าว่าครอบครัวของเธอมีความสุขที่ได้ทำสวนครัว เธอสามารถเก็บอาหารสดๆ กินได้ทุกเมื่อยามต้องการ  และสามารถทดลองปรุงอาหารเมนูแปลกๆ จากพืชผักที่ปลูกเอง การทำสวนชุมชนยังทำให้เธอมีโอกาสรู้จักเพื่อนบ้านมากขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้านหลายคน การทำสวนชุมชนยังทำให้เธอมีประสบการณ์ของการเป็นคนท้องถิ่นซึ่งเธอไม่เคยมีมาก่อนตอนอยู่เมืองใหญ่

 


เครก ไพรซ์ ผู้จัดการโครงการสวนชุมชน (เครดิตภาพ เนตรดาว เถาถวิล)

เครก ไพรซ์ ผู้จัดการโครงการสวนชุมชนบนถนน River Road และผู้จัดการโครงการสวนแห่งเพื่อนบ้าน เล่าว่าเขามีความประทับใจกับหนังสือเรื่อง Living the Good Life ที่เขียนโดย สก็อต เนียริ่ง (Scott Nearing) ซึ่งพูดถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างคนกับธรรมชาติ สก็อตสร้างบ้านด้วยก้อนหินโดยใช้แรงงานตัวเองซึ่งกินเวลานานถึง 7 ปี และขุดบ่อน้ำใช้เองในขณะที่เขามีอายุย่างเข้า 95 ปี และนั่นคือแรงบันดาลใจที่ทำให้เครกเริ่มสร้างสวนหลังบ้านขนาดใหญ่ของเขาเองในมลรัฐเพลซิลวาเนีย ต่อมาเครกและภรรยาเดินทางท่องเที่ยวมลรัฐมอนทาน่า เขาประทับใจบรรยากาศของเมืองมิสซูล่าจนอยากย้ายมาอยู่ที่นี่ เมื่อภรรยาของเขาได้งานทำที่เมืองมิสซูล่า ครอบครัวของเขาจึงย้ายมาอยู่ที่นี่ เครกได้ขอฝึกงานในฟาร์มของครอบครัวจอร์จ สล็อตนิค ผู้อำนวยการโครงการ PEAS FARM

ต่อมาเครกได้งานทำในโครงการผลิตผักป้อนธนาคารอาหาร (The Food Bank Garden) นอกจากนั้น เขามีหน้าที่รับผิดชอบโครงการผู้บริโภคสนับสนุนเกษตรกรในฤดูหนาว (a Winter CSA) และโครงการทำงานอาสาแลกผัก (Volunteer for veggies) ซึ่งเปิดรับอาสาสมัครให้มาทำงานในฟาร์มแลกกับการรับผักปลอดสารพิษไปกิน โครงการนี้มีอาสาสมัครทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้ามาทำงานในฟาร์ม ซึ่งเขาต้องดูแลคนจำนวนมากที่ไม่มีทักษะในการทำเกษตรมาก่อน เพื่อให้อาสาสมัครเหล่านี้สามารถทำงานในฟาร์มได้อย่างเหมาะสม PEAS FARM ผลิตอาหารประมาณ 30,000 ปอนด์ในพื้นที่หนึ่งเอเคอร์ ดังนั้นจึงมีรายละเอียดของงานที่ต้องทำมากมายและต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก รวมถึงต้องมีคนที่คอยควบคุมการทำงานไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดด้วย

โครงการส่งเสริมการศึกษาด้านเกษตรกรรมในโรงเรียน ประกอบด้วยโครงการย่อย 3 โครงการ ได้แก่ การฝึกภาคสนามในฟาร์ม การออกค่ายภาคฤดูร้อน และการทำฟาร์มในโรงเรียน ทุกปีนักเรียนเกือบ 2,000 คนจากหลายระดับชั้นจะใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงเพื่อเยี่ยมชม PEAS FARM ดังนั้น PEAS FARM จึงเปรียบเสมือนห้องเรียนกลางแจ้ง ที่เปิดโอกาสให้ครูและนักเรียนสามารถทำความเข้าใจกับความรู้ในเรื่องต่างๆ นักเรียนสามารถเรียนรู้ในเรื่องวงจรชีวิตของพืชและสัตว์ สัตว์เลี้ยง ระบบนิเวศ เทคนิคการทำเกษตร และประวัติศาสตร์การเกษตร

แอรอน บรอค อดีตผู้อำนวยการโครงการธนาคารอาหารแห่งมิสซูล่า เล่าว่าในเมืองมิสซูล่ามีคนอาศัยอยู่ประมาณ 100,000 คน และมีคนมาขอรับบริจาคอาหารประมาณ 12,000 คนทุกปี นั่นหมายความว่าในบรรดา 8 คนที่เดินอยู่ตามท้องถนน จะมี 1 คนที่เปิดประตูเข้ามาขอรับอาหารจากธนาคารอาหาร เขาเล่าว่ามีคนจำนวนมากที่หารายได้แค่พอกินพอใช้เดือนชนเดือน และมีงบประมาณจำกัดมากในการซื้ออาหาร

แอรอนอธิบายเสริมว่า “คุณอาจมีงานทำ 8 ชั่วโมงต่อวัน และคุณต้องใช้รถยนต์เพื่อขับไปทำงาน แต่เมื่อรถยนต์คุณเสีย คุณจึงต้องใช้เงิน 120 เหรียญไปกับการซ่อมรถยนต์ และนั่นเป็นเงินที่คุณสำรองไว้ใช้ซื้ออาหาร หรือคุณอาจเป็นคนที่กำลังประสบปัญหาเจ็บป่วย ครอบครัวผู้ใช้แรงงานอาจประสบปัญหาเพราะไม่มีการประกันสุขภาพ ในขณะที่ลูกของเขาขาหัก ทำให้มีรายจ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่ม และทำให้งบประมาณที่จำกัดหมดไป ในขณะเดียวกันธนาคารอาหารให้บริการผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เราให้บริการแม่ม่ายที่พวกเธอยังชีพจากเงินส่วนแบ่งรายได้ประกันสังคมของสามีซึ่งมีเพียงเดือนละ 670 เหรียญเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เราพบว่าในบรรดาคนที่เราให้บริการราว 40-45 % อายุน้อยกว่า 18 ปี”

พันธกิจของธนาคารอาหารไม่ใช่แค่ให้บริการอาหารแก่คนที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่มุ่งให้บริการอาหารที่มีคุณภาพสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วย แอรอนอธิบายว่าคนที่หิว ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขาอดอยาก แต่พวกเขาหิว เพราะยากจน เพราะไม่มีระบบประกันสุขภาพ เพราะป่วย เพราะตกงาน เพราะอยู่ห่างไกลและเข้าไม่ถึงระบบขนส่งมวลชน เพราะไม่รู้ว่าจะปลูกพืชผักกินเองยังไง ธนาคารอาหารเพียงแค่ช่วยแก้ปัญหาการไม่มีอาหารกินและการไม่มีอาหารให้เด็กๆ ในครอบครัวกินเท่านั้น แต่เราไม่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างให้พวกเขาได้

โครงการ Garden City Harvest นำอาหารสดมาส่งให้ธนาคารอาหารทุกวันเป็นเวลานานถึง 12 ปีแล้ว ในทุกฤดูร้อน โครงการ Garden City Harvest จะนำอาหารมาบริจาคให้ธนาคารอาหาร 20,000-25,000 ปอนด์เสมอ บางครั้งโครงการ Garden City Harvest มีการนำอาหารแปลกๆ มาบริจาคให้ธนาคารอาหารด้วย ทำให้ผู้มาขอรับบริจาคอาหารจากธนาคารอาหารรู้สึกตื่นเต้นที่พวกเขาจะได้ทดลองทำอาหารเมนูใหม่ๆ ในขณะที่พวกเขาไม่มีโอกาสเช่นนั้นเลย เวลาเดินเข้าไปซื้ออาหารในร้านขายของชำ อาสาสมัครของโครงการ Garden City Harvest เช่น เยาวชนที่มาช่วยงานที่ธนาคารอาหารจะได้พบผู้ประสบปัญหาและต้องการอาหาร พวกเขาได้ความรู้สึกชื่นชมยินดีกับสิ่งที่พวกเขาได้มีส่วนทำให้เกิดขึ้น

ผู้เขียนและผู้รับทุนแลกเปลี่ยนในโครงการ Economic Empowerment Fellow Program มหาวิทยาลัยมอนทาน่า ร่วมทำงานเป็นอาสาสมัครในธนาคารอาหารแห่งเมืองมิสซูล่า (เครดิตภาพ พยงค์ ศรีทอง)

การที่อาสาสมัครเหล่านี้ได้ร่วมสังเกตการณ์ นับตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ได้ถูกหว่านเพาะลงในดิน จนถึงวันที่พืชผักถูกเก็บเกี่ยว และส่งต่อมายังธนาคารอาหาร จนส่งถึงมือของผู้ต้องการอาหาร นับเป็นการทำให้วงจรของการทำเกษตรกรรมเพื่อพัฒนาสังคมครบถ้วนสมบูรณ์ ทำให้คนในเมืองมิสซูล่าได้ตระหนักว่าตนเองจะมีส่วนช่วยผลิตอาหารเลี้ยงผู้คนที่ต้องการอาหาร  และตระหนักถึงความหมายของการดำรงอยู่ของตนเองในชุมชนเมืองนี้

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นิธิ เอียวศรีวงศ์: ปรารภบุญ

$
0
0

ในสมัยนี้ พูดอะไรเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา กลายเป็นเครื่องประกาศความเป็นคนดีของตัวเอง ผมจึงขอบอกไว้ก่อนว่า ที่จะพูดต่อไปนี้เป็นคำพูดของปุถุชนคนบาปครับ

ทีวีช่องหนึ่ง ตั้งปัญหาในรายการข่าวว่า การไปทำบุญในวันสำคัญทางศาสนา แล้วถ่ายรูปส่งข่าวให้เพื่อนๆ ออนไลน์รู้ว่าตัวไปทำบุญ เพื่อนๆ ก็กดไลค์กลับมาเพื่ออนุโมทนา ถามว่าการอนุโมทนาเช่นนี้ได้บุญหรือไม่ อย่างน้อยในบุญกิริยาวัตถุก็มีเรื่อง "ปัตติทานมัย" ซึ่งท่านแปลว่าเฉลี่ยส่วนความดีให้ผู้อื่น และ "ปัตตานุโมทนามัย" ซึ่งท่านแปลว่ายินดีในความดีของผู้อื่น

ผมคิดว่าเป็นคำถามที่สะท้อนให้เห็นความสับสนในเรื่อง "บุญ" ของชาวพุทธในปัจจุบันได้ดี เพราะหากเข้าใจแล้ว คำถามนี้ก็ไม่ต้องถามแต่แรก

หนึ่งในคำแปลของคำว่า "บุญ" ก็คือ การกระทำที่ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ถามว่าสะอาดบริสุทธิ์จากอะไร ตอบอย่างสรุปก็คือสะอาดบริสุทธิ์จากความเห็นแก่ตัว หรือยึดมั่นถือมั่นในตัว (เพราะนี่คือความไม่สะอาดที่จรมาจับใจที่เป็นประภัสสรของเรา) ฉะนั้น หากกดไลค์ด้วยใจที่ยินดีกับการทำดีของผู้อื่น หรือด้วยใจที่ยินดีว่าสิ่งดีๆ ในโลก (คือพระศาสนา) จะดำรงอยู่ต่อไปเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น คือไม่ได้คิดถึงตนเอง แต่คิดถึง "ผู้อื่น" อย่างแคบๆ เฉพาะบุคคล หรืออย่างกว้างคือมวลสรรพสัตว์ทั้งหมดก็ตาม ย่อมเป็นบุญอย่างไม่ต้องสงสัย

ตรงกันข้าม หากกดไลค์เพื่อเอาใจเพื่อน เพราะกลัวเขาจะโกรธเรา หรือกดเพื่อทำให้ผู้อื่นเห็นว่าตัวเป็นคนดีมีธรรมะ จะได้เป็นที่ยอมรับของคนอื่น ก็ไม่ได้บุญ แต่อาจได้เพื่อน

สรุปก็คือทำอะไรแล้วจะได้บุญหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่การกระทำ แต่อยู่ที่ใจของผู้ทำว่าทำด้วยทัศนคติอย่างไร ตรงกับความเห็นของผู้ทำบุญท่านหนึ่งซึ่งทีวีไปสัมภาษณ์ แล้วตอบว่า กดไลค์ด้วยจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศลเล่า หากเป็นกุศลย่อมได้บุญเป็นธรรมดา (ผู้รู้ทางพุทธศาสนาท่านหนึ่ง เคยบอกผมว่า ทั้งหมดของพุทธศาสนาคือเรื่องทัศนคติหรือท่าทีต่อชีวิต)

แล้วทีวีก็ไปถามพระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านก็ตอบว่าได้บุญเพราะตรงกับคำบาลีว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ได้บุญไม่เท่ากับการไปทำบุญเอง (ที่วัดกระมัง เพราะคำถามเริ่มต้นจากการไปทำบุญที่วัด) แต่ท่านไม่ได้พูดเรื่องใจเลย

อันที่จริงเราสามารถทำบุญตามคติพระพุทธศาสนาได้ทุกวัน และทุกเวลานาทีด้วยซ้ำ โดยไม่ต้องไปวัดเลยก็ได้ ขับรถด้วยความสำนึกถึงประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้พร้อม จะจอดรถให้คนอื่นออกจากซอยได้ ก็ต้องดูหลังว่าคันหลังเขาจะจอดทันไหม ดูหน้าว่าเป็นจังหวะให้รถวิ่ง หรือถึงแล่นไปก็ติดข้างหน้าเห็นๆ อยู่ เพราะสิทธิบนถนนไม่ใช่ของเราคนเดียว ที่จะเที่ยวยกให้ใครได้ตามใจชอบ ก็เป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง เพราะลดความเห็นแก่ตัวลงได้ ซ้ำยังต้องทำบุญโดยใช้สติและปัญญาด้วย ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

อะไรเกิดขึ้นกับตัวไม่ว่าดีหรือร้าย ย่อมตั้งสติรำลึกพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไว้ให้มั่น จนมองเห็นว่าโลกก็เป็นเช่นนี้เอง นับเป็นการทำบุญยิ่งใหญ่ เพราะความยึดมั่นถือมั่นย่อมลดลงเป็นธรรมดา และฝึกให้รู้เท่าทันความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตไปพร้อมกัน (นี่ก็เป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่มาก โดยไม่ต้องไปวัดเลย)

คำตอบของพระภิกษุเกี่ยวกับเรื่องบุญในทีวีที่กล่าวข้างต้น จึงสะท้อนอะไรสองอย่างที่น่าวิตกในพุทธศาสนาไทยปัจจุบัน

ประการแรก เรื่องของจิตใจหรือทัศนคติดูเหมือนจะหายไปจากองค์กรที่เป็นทางการของพุทธศาสนาเสียแล้ว และนี่คือส่วนหนึ่งของคำอธิบายการทำบุญทางวัตถุกันอย่าง "บ้าคลั่ง" ที่เป็นปรากฏการณ์ทางศาสนาในปัจจุบัน งานวิจัยของอาจารย์ที่นิด้าชิ้นหนึ่งบอกว่า ในบรรดาวัดกว่าสามหมื่นของไทยนั้น มีรายได้จากการทำบุญถึงปีละประมาณ 120 ล้านบาท (รวมกันกว่า 360,000 ล้านบาท) วัดจึงมักใหญ่และแพงกว่าโรงเรียน, โรงพยาบาล, ระบบชลประทาน, ระบบขจัดขยะ ฯลฯ ท้องถิ่น

จะแปลกใจทำไมว่า มีภิกษุบางรูปฉ้อฉลคดโกงเงินบริจาคเหล่านี้ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว และจะแปลกใจทำไมที่วัดต่างๆ พากันสร้างสิ่งก่อสร้างนานาชนิดเพื่อ "บอกบุญ" ชาวบ้านอยู่เป็นประจำ

มีคำอธิบายที่มองการ "ทำบุญ" กันอย่างมโหฬารเช่นนี้ในฝ่ายทายกทายิกาว่า ความสัมพันธ์หลักในระบบทุนนิยมคือการซื้อขายแลกเปลี่ยนซึ่งต้องผ่านเงิน ความสัมพันธ์กับศาสนาก็หนีไม่พ้นรูปแบบดังกล่าว ผู้คนเลือกรูปแบบความสัมพันธ์ในระบบทุนนิยมซึ่งเขาเคยชินไปใช้กับศาสนา

ข้อนี้จะจริงเท็จอย่างไรก็ตาม แต่ผมคิดว่าปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หรือเกิดในอาณาบริเวณกว้างขวางเท่านี้ไม่ได้ หากทางฝ่ายสงฆ์เองไม่ละเลยมิติด้านจิตใจของพระพุทธศาสนา จะออกเงินสร้างพระแก้วมรกตจำลองไปทำไม ถ้าไม่ทำให้ความเห็นแก่ตัวของผู้บริจาคลดลง (จนถึงที่สุดจะสร้างพระแก้วมรกตจำลองไปทำไม)

ประการที่สอง คำสอนของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยขาดมิติทางสังคม (ยกเว้นเรื่องเดียวคือเพื่อยกย่องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์) มิติทางสังคมของการทำบุญจึงไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับ "คนอื่น" ในความหมายถึงสังคมในวงกว้าง หรือมวลมนุษยชาติ อันที่จริงมิติทางสังคมนั้นเป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งในคำสอนของพระพุทธเจ้า ("ชนเหล่าใดปลูกสวน ปลูกป่า สร้างสะพาน จัดบริการน้ำดื่ม และบึงบ่อสระน้ำ ให้ที่พักอาศัย บุญของชนเหล่านั้น ย่อมเจริญงอกงามทั้งคืนทั้งวัน...") ส่วนนี้ในศาสนาแบบไทยแต่ก่อน ฝากไว้กับความเชื่อเรื่องผีเป็นส่วนใหญ่ ครั้นรัฐกล่อมให้เราเลิกนับถือผี พระพุทธศาสนาก็ไม่ได้เข้ามาแทนที่ หรือแทนที่อย่างฉลาด คือต้องปรับให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของสังคมด้วย (ควรกล่าวไว้ด้วยว่า ก่อนการปฏิรูปคณะสงฆ์ใน ร.5 วัดไม่เคยผูกขาดความเป็นศูนย์กลางของชีวิตทางศาสนาของคนไทยมาก่อน)

ผมคิดว่าสองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ใหญ่กว่าพระนั่งเจ็ตส่วนตัว หรือสวมแว่นกันแดดราคาแพง หรือนอนกับผู้หญิง และฉ้อโกง แต่มันใหญ่เสียจนไม่มีใครรับผิดชอบ สำนักงานพระพุทธศาสนาเห็นว่าอยู่พ้นอำนาจหน้าที่ของตน เพราะตัวมีหน้าที่เพียงเป็นไวยาวัจกรของคณะสงฆ์เท่านั้น มหาเถรสมาคมก็ไม่คิดว่าตนมีอำนาจหน้าที่เหมือนกัน ก็ไม่มีอะไรผิดวินัยนี่ครับ ผิดเมื่อไรค่อยว่ากันเป็นเรื่องๆ ไป

แต่เรื่องมันใหญ่กว่าพระรูปนั้นรูปนี้ประพฤติล่วงพระวินัย หากเป็นเรื่องของคุณค่าและความหมายของพระพุทธศาสนาในสังคมสมัยใหม่ ซึ่งนั่งท่องแต่คุณสมบัติของพุทธธรรมว่า "อกาลิโก" อย่างเดียว ไม่แก้ปัญหาอะไร

พระปรมัตถธรรมอาจเป็นอกาลิโก แม้กระนั้นก็ยังต้องมีการตีความให้เข้ากับยุคสมัยอยู่นั่นเอง เล่นหุ้นอย่างไรจึงจะไม่ลืมพระไตรลักษณ์ ทำบุญอย่างไรจึงจะได้ชำระล้างจิตใจให้สะอาด (จากตัวตน) เจตนาเลี่ยงภาษีให้ไม่ผิดกฎหมายเป็นอทินนาทานหรือไม่ ถือหุ้นในบริษัทชำแหละเนื้อสัตว์เป็นปาณาติบาตหรือไม่ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนต้องการการตีความจากผู้รู้ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นนักบวชในพระศาสนา

คิดดูก็แปลกดี มหาเถรสมาคมนั้นเพิ่งมีขึ้นครั้งแรกในสยามตาม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2445 ตั้งขึ้นเพื่อเป็นหัวหอกในการ "ปฏิรูป" ศาสนา และเป้าหมายของการ "ปฏิรูป" ก็คือ ผนวกเอาพระสงฆ์สยามทั้งหมดไว้ภายใต้การกำกับของสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม แม้กระนั้นก็มีผลกระทบต่อการตีความหลักธรรมคำสอนอย่างมาก เมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปถึงบัดนี้ ศักยภาพในการนำเพื่อตีความของมหาเถรสมาคมได้เสื่อมสลายไปหมดแล้ว

เมื่อองค์กรทางศาสนาไม่ทำงานที่สำคัญอย่างนี้ จึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนพากันไปแสวงหาธรรมะจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะสำนักปฏิบัติธรรมของพระภิกษุและฆราวาส ความทุกข์ของโลกทุนนิยมมันเปลี่ยนไป ต่างคนต่างต้องการคำตอบให้แก่ความทุกข์เฉพาะหน้าของตน จึงเป็นธรรมดาที่สำนักทั้งหลายย่อมเน้นการแก้ทุกข์ระดับปัจเจกเป็นสำคัญ และละเลยมิติด้านสังคมเหมือนเดิม

คนชั้นกลางระดับบนอาจไปสำนักที่สอนวิปัสสนากรรมฐาน คนชั้นกลางระดับกลางอาจเดินทางไปแสวงบุญในอินเดีย (ซึ่งถูกเรียกอย่างน่าอัศจรรย์ว่า "พุทธภูมิ") คนชั้นกลางระดับล่างอาจทำบุญเก้าวัด หรือนมัสการอัฐิหลวงพ่อหลวงปู่ต่างๆ ซึ่งได้รับการตัดสินจากฆราวาสว่าเป็นพระ "อรหันต์" ทั้งหมดนี้คือการ "ปฏิบัติธรรม" ทั้งนั้น แตกต่างตามนิสัยปัจจัยของผู้ทำบุญ

การจัดองค์กรทางศาสนาเวลานี้ จัดการได้แต่ปัญหาเล็ก แต่จัดการกับปัญหาใหญ่ไม่ได้ ซ้ำยังจัดการปัญหาเล็กได้อย่างสายเกินไปทุกที จึงถึงเวลาแล้วที่ควรหันกลับมาทบทวนการจัดองค์กรพุทธศาสนากันใหม่ ไม่แต่เพียงการปกครองคณะสงฆ์เท่านั้น แต่คิดทบทวนตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับรัฐ และศาสนากับสังคม ให้เหมาะกับสภาพที่เป็นจริง

มีปัญหาสำคัญๆ ที่ควรถกเถียงอภิปรายกันหลายประเด็น นับตั้งแต่เราควรแยกศาสนาออกจากรัฐให้เด็ดขาดไปหรือไม่ แต่รัฐจะต้องปฏิบัติต่อศาสนาและองค์กรศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน จะคืนวัดให้กลับมาเป็นของประชาชนและอยู่ภายใต้การกำกับของประชาชนได้อย่างไร การจัดองค์กรในพระพุทธศาสนาอาจมีได้หลายรูปแบบ และดังนั้นจึงปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมได้เสมอ (อันที่จริงเวลานี้ก็เป็นอยู่แล้ว หากคิดถึงสันติอโศกและธรรมกาย แต่เป็นเสรีภาพที่ไม่ได้ประกันไว้แก่ "สำนัก" อื่นๆ ทั้งหมด ที่ไม่มีพลังทางการเมือง และ/หรือทรัพย์เท่าสองสำนักนี้) ทำอย่างไรสังคมจึงมีพลังพอจะควบคุมองค์กรศาสนาได้จริง ความเป็นเถรวาทนั้นอยู่ตรงไหนกันแน่ และนักบวชในพระพุทธศาสนาไทยมีเสรีภาพที่จะไม่เป็นเถรวาทได้หรือไม่

จะเชื่อมโยงการศึกษาทางโลกและทางธรรมให้ได้ผลอย่างไร จะมีนักบวชหลายระดับที่ทำหน้าที่ต่อสังคมแตกต่างกันได้หรือไม่ และอย่างไร ฯลฯ

 

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: มติชนรายวัน 29 ก.ค.2556

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อัสซานจ์ออกแถลงการณ์กรณีคำตัดสินคดีแบรดลี่ย์ แมนนิ่ง

$
0
0

จากกรณีศาลสหรัฐฯ ตัดสินคดีของแบรดลี่ย์ แมนนิ่ง ให้มีความผิดฐาน 'จารกรรม' หลังจากที่เขาเปิดโปงข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ แก่สาธารณชน จูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ได้ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลโอบาม่าลิดรอนเสรีภาพ และบอกว่าแมนนิ่ง "เป็นผู้เปิดโปงที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง"

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2013 มีการตัดสินพิพากษาคดีของสิบตรีประจำการแบรดลีย์ แมนนิ่ง ที่ศาลทหารในฟอร์ทมี้ด ผู้ซึ่งถูกตั้งข้อหา 19 ข้อหา จากการเผยแพร่เอกสารของทางการสหรัฐฯ รวมถึงข้อหา 'จารกรรม' อีก 5 ข้อหา ซึ่งทำให้แบรดลี่ย์ถูกตัดสินจำคุกสูงสุด 136 ปี

จูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับกรณีของแมนนิ่งไว้ในเว็บไซต์ โดยกล่าวว่าข้อกล่าวหาของแมนนิ่ง เรื่อง 'การให้ความช่วยเหลือศัตรู' ตกไปแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าข้อกล่าวหานี้จะถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อแค่ให้การตั้งข้อหา 'จารกรรม' จากการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารดูสมเหตุสมผลขึ้นเท่านั้น ซึ่งอัสซานจ์คิดว่าจริงๆ แล้วไม่สมเหตุสมผลเลย

แบรดลี่ย์ แมนนิ่ง เป็นทหารสหรัฐฯ ผู้เปิดโปงเรื่องราวเกี่ยวกับอาชญากรรมสงคราม การยุยงให้เกิดการปฏิวัติ และการปฏิรูปประชาธิปไตย ซึ่งแถลงการณ์ในวิกิลีกส์กล่าวไว้ว่าแมนนิ่ง "เป็นผู้เปิดโปงที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง"

"นี่เป็นการดำเนินคดีต่อข้อหา 'จารกรรม' กับผู้เปิดโปงความลับของรัฐบาลเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นการริเริ่มที่อันตรายและเป็นตัวอย่างของแนวคิดสนับสนุนความมั่นคงของชาติอย่างสุดโต่ง มันเป็นการตัดสินที่ไม่อาจทนรับได้ และต้องมีการพลิกคำตัดสิน การเปิดเผยข้อมูลจริงแก่สาธารณชนไม่ควรถือว่าเป็น 'การจารกรรม' " จูเลียน อัสซานจ์กล่าว

แถลงการณ์ของอัสซานจ์ระบุอีกว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ของสหรัฐฯ ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีข้อหา 'จารกรรม' กับผู้เปิดโปงและสื่อต่างๆ มากกว่าการฟ้องร้องของเหล่าอดีตประธานาธิบดีทุกคนรวมกัน

โดยเมื่อปี 2008 บารัค โอบาม่า ในขณะยังเป็นผู้สมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้กล่าวชื่นชมผู้เปิดโปงข้อมูลว่าพวกเขาทำไปด้วยความกล้าหาญและความรักชาติ

"แต่เขาได้พลิกคำปราศรัยนั้นอย่างสิ้นเชิง" อัสซานจ์กล่าวในแถลงการณ์ "เอกสารของเขาที่กล่าวว่าผู้เปิดโปงข้อมูลเปรียบเสมือนผู้เฝ้าระวังไม่ให้รัฐบาลใช้อำนาจในทางที่ผิดถูกนำออกจากอินเทอร์เน็ตเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา"

แถลงการณ์ของอัสซานจ์ยังได้กล่าวถึงกระบวนการดำเนินคดีที่ปราศจากผู้เสียหาย อัยการไม่ได้นำเสนอหลักฐานหรือแม้แต่กล่าวอ้างว่ามีคนแม้แต่คนเดียวที่ได้รับความเสียหายจากการเปิดโปงของแบรดลี่ย์ แมนนิ่ง และรัฐบาลก็ไม่เคยอ้างว่าแมนนิ่งทำงานให้กับผู้มีอำนาจในต่างแดน

"'ผู้เสียหาย' หนึ่งเดียวคือศักดิ์ศรีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ถูกทำร้าย แต่การใช้อำนาจข่มเหงคนหนุ่มดีๆ คนหนึ่งไม่มีอะไรที่ชดเชยได้เลย แต่การข่มเหงแบรดลี่ย์ แมนนิ่ง จะทำให้คนทั้งโลกรู้สึกขยะแขยง ว่ารัฐบาลโอบาม่าเล่นบทได้ต่ำทรามลงเพียงใด มันไม่ใช่การแสดงความเข้มแข็งเลย แต่เป็นความอ่อนแอ" อัสซานจ์กล่าว

ด้านผู้พิพากษาอนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินคดีหลังจากที่ทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยมีการสรุปสำนวนคดีแล้ว อนุญาตให้มีการสืบพยาน 141 ปาก และมีขั้นตอนการไต่สวนที่ปิดลับ

"รัฐบาลได้ขังแบรดลี่ย์ แมนนิ่ง ไว้ในกรง เปลืองผ้าเขาล่อนจ้อนและขังเดี่ยวเพื่อบีบเอาข้อมูลจากเขา การกระทำเช่นนี้ปกติแล้วจะถูกประณามโดยคณะผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติ (United Nations Special Rapporteur) ว่าเป็นการทารุณกรรม คดีนี้ไม่มีความเป็นธรรมอยู่แล้ว" อัสซานจ์กล่าว

แถลงการณ์ในวิกิลีกส์ระบุอีกว่า รัฐบาลโอบาม่าได้ลิดรอนเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยในสหรัฐฯ และยิ่งมีการลิดรอนมากขึ้นอีกจากการตัดสินคดีในครั้งนี้ ทั้งที่ในบทบัญญัติเพิ่มเติมที่ 1 แห่งรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ระบุว่า "รัฐสภาจะต้องไม่ออกกฎหมายที่ลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความเห็นหรือเสรีภาพสื่อ"

"รัฐบาลจงใจขัดขวางและปิดปากผู้เปิดโปงข้อมูล จงใจทำให้เสรีภาพสื่ออ่อนแอลง" อัสซาจน์กล่าว

 

แปลและเรียบเรียงจาก

Statement by Julian Assange on Verdict in Bradley Manning Court-Martial, 30-07-2013, Wikileaks
http://wikileaks.org/Statement-by-Julian-Assange-on.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักอนุรักษ์ทยอยประกาศคืน ‘รางวัลลูกโลกสีเขียว’ จวก ปตท.สร้างภาพสีเขียว

$
0
0
กลุ่มผู้เคยได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียวจาก ปตท. ทยอยประกาศตัวไม่ขอเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ ปตท.อีกต่อไป เตรียมเดินหน้าคืนรางวัลพร้อมเงินศุกร์ 2 ส.ค.นี้ 
สภาพอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด เมื่อวันที่ 31 พ.ค.56
โดย: Karnt Thassanaphak
 
1ส.ค.56 – ความเคลื่อนไหวในสังคมออนไลน์เฟซบุ๊กกรณีเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วจากท่อส่งน้ำมันกลางทะเลของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ พีทีที จีซี ในเครือ ปตท.ตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้คราบน้ำมันดิบสร้างความเสียหายแก่ชายหาดบนเกาะเสม็ด จ.ระยอง รวมทั้งสัตว์น้ำในทะเล มีการรวมตัวตั้งกลุ่ม "คืนรางวัลลูกโลกสีเขียว ปตท." ขึ้นเพื่อประท้วงเหตุการณ์ดังกล่าว และการแก้ปัญหาของ ปตท. พร้อมมีการนัดหมายกันของกลุ่มผู้เคยได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียวจาก ปตท.เพื่อไปคืนรางวัลที่สำนักงานใหญ่ ปตท.ในวันศุกร์ที่ 2 ส.ค.นี้ 
 
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเริ่มต้นจาก เมื่อช่วงเย็นวันที่ 31 ก.ค.56 นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ อาจารย์ภาควิชาอายุรศาสตร์ หน่วยวิชาระบบ หัวใจและหลอดเลือด คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เจ้าของรางวัลลูกโลกสีเขียว ปี 2550 ในฐานะเป็นผู้เปิดประตูสู่โลกธรรมชาติให้กับเยาวชน ด้วยการจัดกิจกรรมดูนกและให้ความรู้เรื่องของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแก่เยาวชนและผู้สนใจทั่วไป โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว Rungsrit Kanjanavanitประกาศคืนรางวัล พร้อมเงินสด 1 แสนบาท
 
“ผมต้องกราบขออภัยและด้วยความเคารพอย่างสูงต่อ ฯพณฯ ท่าน อานันท์ ปันยารชุน และคณะกรรมการรางวัลลูกโลกสีเขียว ปตท.ผมมีความจำเป็นต้องคืนรางวัลดังกล่าวที่ได้รับมาแก่ทางบริษัท ในปี พ.ศ.2550 ผมรู้สึกขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่ทางคณะกรรมการได้ให้กำลังใจ และเกียรตินี้แก่ผม แต่ ด้วยพฤติกรรมของบริษัท ปตท.ที่ผ่านมา ผมไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพสีเขียว ของบริษัทฯ ได้จริงๆ โดยผมจะนำไปส่งคืนพร้อมเงินหนึ่งแสนที่ได้รับมาในวันศุกร์นี้ครับ ขอกราบขออภัยอีกครั้งครับ” ข้อความจากเฟซบุ๊ก Rungsrit Kanjanavanit
 
 
 
ต่อมา ผู้ใช้เฟซบุ๊กในชื่อ Acharawadee Buakleeซึ่งเป็นเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นางอัจฉราวดี บัวคลี่ ผู้ชำนาญการสื่อพลเมือง สำนักเครือข่ายสื่อพลเมือง ไทยพีบีเอส อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์พลเมืองเหนือ ซึ่งเป็นสื่อมวลชนดีเด่นรางวัลลูกโลกสีเขียว ปี 2550 ก็ได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นด้วยกับแนวคิดของ นพ.รังสฤษฎ์ และจะส่งมอบรางวัลดังกล่าวคืนให้กับ ปตท.เช่นกัน
 
“ต้องขออภัยในกำลังใจที่เคยมีให้กับหนังสือพิมพ์ 'พลเมืองเหนือ' จ.เชียงใหม่ พวกเราเคยรู้สึกภาคภูมิใจที่การร่วมสื่อสารเพื่อปกป้องดูแลทรัพยากรของชุมชนมีคนมองเห็นคุณค่า แม้ขณะนี้หนังสือพิมพ์พลเมืองได้ปิดตัวลงไปนานแล้ว แต่เชื่อว่าผู้ร่วมงานทุกคนยังคงยึดมั่นกับแนวคิดเดิม ดิฉันในนามอดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์พลเมืองเหนือ เห็นด้วยกับแนวคิดของ นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ จึงขอส่งมอบรางวัลดังกล่าวคืนต่อ ปตท. โดยจะส่งคืนทางไปรษณีย์ยัง ปตท.สำนักงานใหญ่ในวันพรุ่งนี้ (1 ส.ค.2556)” ข้อความจากเฟซบุ๊ก Acharawadee Buaklee
 
 
ส่วนในเพจ คนอนุรักษ์ได้รวบรวมชื่อผู้ประกาศจุดยื่นโดยการคืนรางวัลลูกโลกสีเขียวของ ปตท.ว่าล่าสุด มีจำนวน 5 กลุ่ม/คน ประกอบด้วย
 
1.นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ เจ้าของรางรางวัลลูกโลกสีเขียว ปี 2550 ประเภทบุคคล (คลิกอ่านข้อมูล)
2.นายเข็มทอง และนางอาริยา โมราษฎร์ ผู้ก่อตั้ง “กลุ่มเด็กรักป่า” เจ้าของรางวัลลูกโลกสีเขียว ปี 2546 ประเภทบุคคล (คลิกอ่านข้อมูล)
3.หนังสือพิมพ์พลเมืองเหนือ จ.เชียงใหม่ เจ้าของรางวัลลูกโลกสีเขียว ปี 2550 ประเภทสื่อมวลชน (คลิกอ่านข้อมูล)
4.แม้นวาด กุญชร ณ อยุธยา เจ้าของรางรางวัลลูกโลกสีเขียว ปี 2550 ประเภทงานเขียน จากสารคดี "เขา ป่า นา เล : บันทึกที่หล่นหายในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา" (คลิกอ่านข้อมูล)
5.กลุ่มเยาวชนอาสาสมัครปางแฟน เจ้าของรางวัลลูกโลกสีเขียว ปี 2548 ประเภทกลุ่มเยาวชน (คลิกอ่านข้อมูล)
 
 
นอกจากนี้ ในกลุ่ม คืนรางวัลลูกโลกสีเขียว ปตท.มีการเผยแพร่ข้อความของ นายเข็มทองและนางอาริยา โมราษฎร์ ผู้ก่อตั้ง “กลุ่มเด็กรักป่า”ประกาศคืนรางวัลลูกโลกสีเขียว
 
ระบุว่า “เรียน ฯพณฯ ท่าน อานันท์ ปันยารชุน และคณะกรรมการรางวัลลูกโลกสีเขียว ปตท.ผมมีความจำเป็นต้องคืนรางวัลดังกล่าวที่ได้รับมาแก่ทางบริษัท ในปี พ.ศ.2546 ผมรู้สึกขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่ทางคณะกรรมการได้ให้กำลังใจ และเกียรตินี้แก่ผมและภรรยา แต่ด้วยพฤติกรรมของบริษัท ปตท.ที่ผ่านมา ผมไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพองค์อนุรักษ์ธรรมชาติ ของปตท.ได้ ผมกับภรรยาจะนำถ้วยรางวัลมาส่งคืนในวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2556 ณ.ปตท.สำนักงานใหญ่
 
ปล.ผมขออนุญาตท่านอานันท์และกรรมการทุกท่านนะครับ ผมขอคืนเฉพาะถ้วยรางวัล ส่วนเงินรางวัลหนึ่งแสนนั้น ผมใช้ซื้อน้ำมันปตท.ท่านไปหมดแล้ว ขอกราบขออภัยท่านอีกครั้งครับ”
 
ทั้งนี้ ในเว็บไซต์รางวัลลูกโลกสีเขียว (http://pttinternet.pttplc.com/greenglobe/history.html) ระบุถึงความเป็นมาของรางวัลดังกล่าวไว้ว่า รางวัลลูกโลกสีเขียวเป็นโครงการต่อเนื่อง จากโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ ปตท.ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ.2542 เพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 72 พรรษา ด้วยความร่วมมือของผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ โดยมีเป้าหมายสนับสนุนและให้กำลังใจ แก่ผลงานการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของบุคคลและกลุ่มบุคคล ที่ทำด้วยแรงกาย แรงใจ และด้วยความมุ่งมั่น เป็นความดีที่สมควรได้รับการยกย่องและเผยแพร่เป็นแบบอย่างต่อไป
 
นับจากปีแรกจนถึงปัจจุบัน รางวัลลูกโลกสีเขียว มีผลงานประเภทชุมชน บุคคล กลุ่มเยาวชน งานเขียน ความเรียงเยาวชน สื่อมวลชน และรางวัล “สิปปนนท์ เกตุทัต 5 ปี แห่งความยั่งยืน” ได้รับ รางวัลลูกโลกสีเขียว ไปแล้วทั้งสิ้น 249 รางวัล โดยผู้ได้รับรางวัลยังคงมุ่นมั่นสร้างสรรค์ผลงาน ในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง และขยายเครือข่ายแห่งการอนุรักษ์ออกไปมากขึ้นกว่าเดิม
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กิตติ สิงหาปัด

$
0
0

"พวกที่เอาภาพคราบน้ำมันที่ประเทศอื่นมาโพสต์ว่าเป็นที่เสม็ดนี่ ไม่รู้หรือครับว่ามันทำร้ายคนบนเกาะเขา"

@Kitti3Miti

จี้นายกฯใช้ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม แก้ปัญหาน้ำมันรั่ว

$
0
0


(30 ก.ค. 56) เจ้าหน้าที่จากบริษัท ปตท. กำลังเร่งปูกระดาษซับน้ำมันบนชายหาดด้านอ่าวพร้าว เพื่อกำจัดคราบน้ำมันบนชายหาดด้านอ่าวพร้าว ทางตะวันตกของเกาะเสม็ด/ ที่มาของภาพ เริงฤทธิ์ คงเมือง/กรีนพีซ

 

 

(1 ส.ค.56) ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีประกาศใช้มาตรา 9 ของ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535 เพื่อจัดการปัญหาและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกับประชาชนและสิ่งแวดล้อมจากภาวะน้ำมันรั่วไหล

แถลงการณ์ระบุว่า ตามที่เกิดเหตุท่อรับน้ำมันดิบรั่วไหลกลางทะเล ชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุดบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบ (Single Point Mooring)  ขณะกำลังมีการส่งน้ำมันมายังโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เมื่อเวลา 06.50 น. ของวันที่ 27 กรกฎาคม 2556 เป็นต้นมา จนเกิดการแพร่กระจายมากระทบแหล่งท่องเที่ยวมากมาย อาทิ อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด อ่าวบ้านเพ ทะเลระยอง  จนถึงวันนี้ใช้ระยะเวลากว่า 5 วันไปแล้วการขจัดคราบน้ำมันก็ยังไม่แล้วเสร็จ

สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนเห็นว่า เห็นว่ากรณีดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ต่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แหล่งอาหารเริ่มเป็นพิษและการประกอบอาชีพทางการประมงของชาวประมงพื้นบ้าน รวมทั้งแหล่งอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตอุทยานแห่งชาติ เป็นจำนวนมาก ถึงแม้หน่วยงานภาครัฐและบริษัทผู้ก่อเหตุจะได้ร่วมมือกันดำเนินการยับยั้งแก้ไขปัญหาการแพร่กระจายของคราบน้ำมันดิบที่กระทบต่อชายฝั่งบริเวณอ่าวพร้าว และในท้องทะเลระยองไปบ้างแล้วก็ตาม แต่ทว่ามลพิษดังกล่าวยังคงแพร่กระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จำเป็นที่จะต้องกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข และฟื้นฟูสภาพปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ และแหล่งท่องเที่ยวในระยะเร่งด่วนและระยะยาว จากหน่วยงานต่างๆ ที่จะต้องมาบูรณาการในการทำงานกันทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง มิใช่มุ่งแต่โฆษณาชวนเชื่อ หรือรักษาภาพลักษณ์

"เพื่อประโยชน์ต่อการรองรับปัญหาดังกล่าว ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ในการดำเนินการป้องกัน แก้ไข และฟื้นฟูปัญหาดังกล่าว ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในทันที  ทั้งนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าแม้จะมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ.2547 โดยมี “คณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน” หรือ กปน. ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน ไม่สามารถสั่งการหรือดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เต็มศักยภาพตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ เนื่องจากต้องดำเนินการกันในรูปคณะกรรมการไร้อำนาจการสั่งการโดยเร่งด่วนหรือเป็นเอกเทศได้ และที่สำคัญตั้งแต่มีกฎหมายดังกล่าวประกาศบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2547 เป็นต้นมา คณะกรรมการดังกล่าวก็ยังไม่เคยจัดประชุมกันเลย จึงเชื่อว่า “ไม่มีการจัดทำแผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันแห่งชาติ” ตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดไว้ จึงเชื่อแน่ว่าหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไม่มีแผนดังกล่าว หรือมาตรการใดๆ มารองรับในการดำเนินการขจัดการแพร่กระจายของมลพิษน้ำมันอย่างเป็นระบบได้"

แถลงการณ์ระบุต่อว่า ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนและฉุกเฉิน นายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องนำมาตรา 9 ของ พรบ.สิ่งแวดล้อม 2535 มาประกาศบังคับใช้โดยทันทีนับแต่บัดนี้ หรืออาจมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการแทนได้

ทั้งนี้ หากนายกรัฐมนตรีไม่ดำเนินการหรือสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งตามข้อเสนอดังกล่าว ก็อาจเข้าข่ายละเว้นเพิกเฉยต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ อันมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 257 ซึ่งอาจนำไปสู่การถอดถอนนายกฯออกจากตำแหน่งได้ หรือฟ้องร้องเรียนกค่าเสียหายต่อนายกฯได้โดยตรงฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯ

 


มาตรา 9 พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535
เมื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุภยันตรายต่อสาธารณชนอันเนื่อง มาจากภัยธรรมชาติหรือภาวะมลพิษที่เกิดจากการแพร่กระจายของมลพิษ ซึ่งหาก ปล่อยไว้เช่นนั้นจะเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกายหรือสุขภาพอนามัย ของประชาชน หรือก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐเป็น อันมาก ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งตามที่เห็นสมควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบุคคลใด รวมทั้งบุคคลซึ่งได้รับหรืออาจได้รับอันตรายหรือความเสียหาย ดังกล่าว กระทำหรือร่วมกันกระทำการใด ๆ อันจะมีผลเป็นการควบคุม ระงับ หรือบรรเทาผลร้ายจากอันตรายและความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นได้อย่างทันท่วงที ในกรณีที่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้ก่อให้เกิดภาวะมลพิษดังกล่าว ให้นายกรัฐมนตรี มีอำนาจสั่งบุคคลนั้นไม่ให้กระทำการใดอันจะมีผลเป็นการเพิ่มความรุนแรงแก่ ภาวะมลพิษในระหว่างที่มีเหตุภยันตรายดังกล่าวด้วย อำนาจในการสั่งตามวรรคหนึ่ง นายกรัฐมนตรีจะมอบอำนาจให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดปฏิบัติราชการภายในเขตจังหวัดแทนนายกรัฐมนตรีได้ โดยให้ทำเป็นคำสั่งและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งตามวรรคหนึ่ง หรือผู้ว่าราชการจังหวัดใน การปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้สั่งตามวรรคสองแล้ว ให้ประกาศคำสั่ง ดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาโดยมิชักช้า

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รอบโลกแรงงานกรกฎาคม 2556

$
0
0
อัตราว่างงานในยูโรโซนเพิ่มขึ้นแตะ 12.1%
 
1 ก.ค. 56 - สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือยูโรสแตท เปิดเผยว่า อัตราว่างงานของกลุ่ม 17 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรในเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 0.1% แตะ 12.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จาก 12.0% ในเดือน เม.ย.ทั้งนี้ยูโรโซนมีจำนวนผู้ว่างงาน 19.22 ล้านคนในเดือน พ.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้น 67,000 คนจากเดือนก่อนหน้า 
 
ส่วนสหภาพยุโรป (อียู) ที่มีสมาชิก 27 ประเทศ มีอัตราว่างงานที่ 10.9% ในเดือนพ.ค. ทรงตัวจากเดือนเม.ย. โดยคิดเป็นจำนวนผู้ว่างงาน 26.40 ล้านคน
 
 
หนุ่มสาวยุโรปว่างงานสูง-แนะเยอรมนีเป็นแบบแก้
 
2 ก.ค. 56 - เอเอฟพีรายงานจากกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนีว่า นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งเยอรมนี ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่สื่อหนังสือพิมพ์ 6 ฉบับ ก่อนเข้าร่วมประชุมผู้นำรัฐบาลและประเทศต่างๆ ของยุโรป 20 ประเทศ ว่าด้วยปัญหาวิกฤตการณ์ว่างงานในหมู่เยาวชนของชาติยุโรปในวันรุ่งขึ้น
 
 นางแมร์เคิลกล่าวว่า หนุ่มสาววัยต่ำว่า 25 ปี ในกลุ่มประเทศยุโรปนั้น หลายๆ ประเทศมีจำนวนมากเกินไป และยิ่งมีวิกฤตการณ์เศรษฐกิจมาซ้ำเติม ก็ยิ่งไปกันใหญ่ อย่างเช่น ที่กรีซ สเปน และอีกบางประเทศนั้น คนหนุ่มสาวรุ่นนี้ ถึงกับว่างงานสูงเกินกว่าครึ่งของประชากรวัยเดียวกัน จนกลายเป็นคนรุ่นเคว้งคว้าง หมดคุณค่า หรือ "ลอสต์เจเนอเรชั่น"
 
นางแมร์เคิลกล่าวด้วยว่า ปัญหาว่างงานของคนหนุ่มสาวในยุโรป ที่มีมากถึง 6 ล้านคน เป็นเรื่องที่ไปไม่ได้กับโครงสร้างประชากรที่เต็มไปด้วยคนชราของยุโรป ไม่เหมือนกรณีของเยอรมนี ที่คนรุ่นนี้ยังว่างงานอยู่เพียงแค่ 7.6 เปอร์เซ็นต์ของประชากรวัยเดียวกัน เพราะระบบการศึกษาที่ให้นักเรียนนักศึกษา "ฝึกและทดลองงาน" ไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่เอาแต่เรียนโดยไม่คำนึงถึงฝีมืองานช่างหรือความชำนาญงาน
 
"เป็นบทเรียนที่เราชาวเยอรมนีได้จากการปฏิรูปโครงสร้างระบบการศึกษาและการทดลองงานจริง เพื่อลดปัญหาว่างงานหลังการรวมประเทศใหม่ๆ และเป็นประสบการณ์ความรู้จริงที่เราพร้อมแบ่งปัน "นางแมร์เคิลกล่าว หลังตำหนิด้วยว่า กลุ่มชนชั้นนำด้านเศรษฐกิจ-ธุรกิจ แทบจะไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบรรเทาปัญหานี้แต่อย่างใด และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่กลุ่มคนที่ได้รับผลจากความแปรเปลี่ยนหลงทิศผิดทางในระบบเศรษฐกิจมากที่สุด กลับเป็นคนรุ่นหนุ่มสาว หรือคนยากไร้ ที่ไม่ได้มีส่วนทำให้เกิดปัญหาวิกฤตในระบบ
 
 
ฟิลิปปินส์คุมเข้มแรงงานหญิงถูกบังคับค้าประเวณี
 
2 ก.ค. 56 - สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ว่า นิคอน ฟาเมอโรแนก โฆษกกระทรวงแรงงานฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า รัฐบาลฟิลิปปินส์จะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่แรงงานหญิงประจำตะวันออกกลาง ท่ามกลางการสอบสวนข้อกล่าวหาที่ว่า มีเจ้าหน้าที่ทูตฟิลิปปินส์บางกลุ่ม ให้อำนาจหน้าที่บังคับแรงงานชาวฟิลิปปินส์ที่ยากลำบากในตะวันออกกลาง ค้าประเวณี โดยเจ้าหน้าที่ผู้หญิงทั้งหมด 13 คน จะถูกส่งตัวไปยังซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน คูเวต และมาเลเซียด้วย ในเร็ว ๆ นี้ เพื่อทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุดปัจจุบันที่สถานทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศเหล่านี้
 
เจ้าหน้าที่หญิงเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือแรงงานชาวฟิลิปปินส์ ที่เข้าไปขออาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวของสถานทูต เพื่อหลบหนีการถูกล่วงละเมิดจากนายจ้าง การตัดสินใจส่งผู้หญิงเข้าไปดูแลปัญหานี้ เพราะมีแรงงานหญิงจำนวนมากกว่าผู้ชายที่เข้าไปหลบอยู่ในที่พักพิงชั่วคราว ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้หญิงด้วยกันทำงานได้ดีกว่าเจ้าหน้าที่ชาย
 
การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่หญิงถูกประกาศท่ามกลางการสอบสวนของกระทรวงต่างประเทศ กรณีมีข้อกล่าวหาว่า มีเจ้าหน้าที่ทูตอย่างน้อย 2 คน บังคับให้ผู้หญิงชาวฟิลิปปินส์ที่พักอยู่ในที่พักพิงชั่วคราว ขายบริการทางเพศให้กับพวกเขา หรือให้กับชายคนอื่น ๆ โดยการสอบสวนเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากมีสมาชิกรัฐสภาได้แจ้งต่อกระทรวงต่างประเทศว่า เขาได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้จากผู้หญิงบางคน ที่เคยพักอยู่ในสถานที่พักพิงชั่วคราว
 
 
เวียดนาม-ลาว ยังเดินหน้าร่วมมือด้านแรงงาน และสวัสดิการมากขึ้น
 
2 ก.ค. 56 - ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีแรงงานและสวัสดิการของเวียดนาม-ลาว ครั้งที่ 3 ที่ เมืองเว้ของเวียดนาม นายเหวียน ซวนฟุก รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามกล่าวว่า เวียดนามและลาวควรพัฒนาระดับความร่วมมือด้านแรงงาน และสวัสดิการสังคม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้านสังคม และเศรษฐกิจของสองประเทศให้มากขึ้น
 
หลังการประชุม สองประเทศตกลงจะปฎิบัติตามข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงานระดับทวิภาคี โดยทางกระทรวงจะแบ่งปันประสบการณ์ และความร่วมมือด้านแรงงาน และการจ้างงานต่อกัน
 
นอกจากนี้ สองประเทศสัญญาที่จะร่วมมือกับหน่วยงานของ 2 ฝ่ายให้ใกล้ชิดมากขึ้นในการค้นหา และรวบรวมศพที่ยังหาไม่พบของทหารอาสาสมัครเวียดนาม-ลาวที่เสียชีวิตในดินแดนของตัวเองช่วงเกิดสงคราม ทั้งนี้การประชุมครั้งที่ 4 จะจัดขึ้นที่ประเทศลาว ปี2558
 
 
ซาอุฯ ต่อลมหายใจแรงงานต่างด้าว
 
3 ก.ค. 56 - สำนักข่าวซาอุดี เพรส ของทางการซาอุดีอาระเบีย รายงานเมื่อวันอังคารว่า กษัตริย์อับดุลลาห์ แห่งซาอุดีอาระเบีย ขยายเวลาการนิรโทษกรรมแรงงานต่างชาติ เพื่อให้ได้รับสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในการทำงานในประเทศ จนถึงสิ้นปีอิสลาม คือวันที่ 3 พ.ย.นี้ จากกำหนดเส้นตายเดิมวันที่ 3 ก.ค.นี้ โดยเมื่อต้นปี ซาอุดีอาระเบีย ได้เริ่มกวาดล้างแรงงานต่างชาติจำนวนมาก ที่ละเมิดเงื่อนไขหนังสือเข้าเมือง ด้วยการตรวจสอบเข้มทั้งบนถนนและในสำนักงานบริษัทต่าง ๆ
    
ก่อนหน้านี้ มีแรงงานต่างชาตินับหมื่นคนถูกเนรเทศ หรือตัดสินใจเดินทางออกจากซาอุฯ ภายใต้ความกดดันดังกล่าว ซึ่งได้เพิ่มความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจประเทศ หากรัฐบาลยังคงเนรเทศต่อไป เพราะฉะนั้น รัฐบาลจึงประกาศการนิรโทษกรรม ซึ่งระหว่างนี้ แรงงานต่างด้าวจะไม่เสียค่าธรรมเนียม หรือค่าปรับสำหรับการละเมิดวีซ่า เช่นพักอยู่ในประเทศเกินกำหนด หรือเปลี่ยนงาน กองกำลังรักษาความมั่นคงจะเริ่มกวาดล้างแรงงานเถื่อนอีกครั้งในช่วงสิ้นปีอิสลาม
 
 
ค่าแรงเอเชียพุ่งฉุดกำไรหด ไนกี้จ่อลดแรงงาน-ดึงเทคโนโลยีเสริม
 
3 ก.ค. 56 - ไนกี้เตรียมลดคนงานในโรงงานผลิตรองเท้าและเสื้อผ้าแถบภูมิภาคเอเชียลง เพื่อรับมือกับปัญหาค่าแรงที่กำลังพุ่งสูงขึ้น โดยคาดหวังว่าแนวทางดังกล่าวจะสามารถรักษาผลกำไรของบริษัทไว้ได้หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ส รายงานว่า "ดอน แบลร์" ซีเอฟโอ ไนกี้ อิงค์ ออกมาระบุว่า ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นในอินโดนีเซียเป็นผลกระทบสำคัญทำให้บริษัทต้องออกมาตรการลดปริมาณคนในโรงงาน
 
ขณะนี้ไนกี้ และบริษัทข้ามชาติรายอื่นต่างเผชิญกับปัญหาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จากค่าแรงในประเทศจีนที่ปรับสูงขึ้น 
 
"แบลร์" กล่าวว่า ทางออกของปัญหาในระยะยาว คือการหาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่จะเพิ่มขึ้นจากการจ้างแรงงาน 
 
"แบลร์" ชี้ด้วยว่า รองเท้าวิ่งไนกี้รุ่น "Flyknit" ที่ออกแบบมาเพื่อนักกีฬาระดับมืออาชีพ ได้ใช้เทคโนโลยีการปักเย็บด้วยเส้นด้ายโดยใช้เครื่องจักร รวมถึงการใช้เทคนิคการพิมพ์แบบ 3D เข้ามาช่วยในการผลิต
 
การลดจำนวนคนงานในโรงงานยังช่วยให้ไนกี้ลดคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของแรงงาน ที่มีปัญหามาอย่างต่อเนื่องจากการประท้วงที่เรียกว่า "anti-sweatshop campaigns" โดยเริ่มเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา
 
เดือนมกราคมที่แล้ว กลุ่มผู้เคลื่อนไหวได้ออกมาเรียกร้องโรงงานผู้ผลิตสินค้าให้ไนกี้ในอินโดนีเซีย เรื่องการยกเว้นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของบริษัท ซึ่งไนกี้เองภายหลังจากใช้เวลาตรวจสอบปัญหาดังกล่าวก็ได้ออกมา เปิดเผยว่า เป็นสิทธิ์ที่โรงงานสามารถทำได้ตามข้อตกลงในสัญญา 
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อไนกี้ได้รายงานถึงผลประกอบการช่วงไตรมาสที่ผ่านมา พบว่าต้นทุนค่าแรงที่เกิดขึ้นได้ทำให้กำไรลดลง แม้จะสามารถทำกำไรได้มากกว่าปีที่แล้วจากการขึ้นราคาสินค้า ต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลง และการปรับลดภาษี 
 
การที่กระบวนการผลิตสินค้าในกลุ่มรองเท้าและเสื้อผ้ายังคงต้องการใช้แรงงานเป็นหลัก มากกว่าสินค้าประเภทอื่น ๆ ซึ่งอธิบายว่าทำไม 98-99% ของสินค้าที่คนอเมริกันสวมใส่แบรนด์นี้จะถูกผลิตขึ้นในตลาดที่เกิดใหม่แทบทั้งสิ้น สืบเนื่องมาจากค่าแรงที่ต่ำอยู่นั่นเองโดยประเทศที่ไนกี้ใช้เป็นฐานผลิตหลัก ได้แก่ เวียดนาม จีน และอินโดนีเซีย
 
ด้านกำไรของไนกี้ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม เติบโตขึ้น22% หรือคิดเป็นมูลค่า 668 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยยอดขายรวมเติบโต 7% หรือ 6.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ เหนือกว่าความคาดหมายถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐและบริษัทยังคงให้น้ำหนักกับการเป็นสปอนเซอร์ชิปกับนักกีฬาคนดัง เพื่อที่จะกระตุ้นยอดขายสินค้าต่อไป
 
แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไนกี้ต้องประสบปัญหาอย่างไม่คาดคิดกับรายการแข่งขันเทนนิส วิมเบิลดัน เมื่อโรเจอร์เฟเดอเรอร์ ที่บริษัทเป็นสปอนเซอร์ โดนเตือนว่าละเมิดกฎการแต่งตัว จากการใช้รองเท้าเทนนิสพื้นส้ม จากกฎที่อนุญาตให้สวมใส่เครื่องแต่งกายทุกอย่างเฉพาะสีขาวเท่านั้น 
 
ส่วนยอดขายของไนกี้ในไตรมาสที่ผ่านมา แม้ว่าจะเติบโตขึ้นในตลาดสหรัฐและตลาดเกิดใหม่บางที่ แต่กลับพบว่าไม่ค่อยมีการเติบโตมากนักในจีน และตกต่ำลงในญี่ปุ่นกับยุโรปตะวันตก 
 
ในจีนไนกี้จำเป็นต้องจัดการกับปริมาณสินค้าคลังคงเหลือที่อยู่ในตลาดจำนวนมาก และคุณภาพของสินค้ากับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่
 
ขณะที่ "มาร์ค พาร์คเกอร์" ซีอีโอไนกี้ อิงค์ กล่าวว่า "การที่จะกลับมาเติบโตในตลาดจีนได้นั้น ต้องอาศัยความมีวินัยและความอดทน เพราะเรากำลังอยู่ในการแข่งขันวิ่งแบบมาราธอนไม่ใช่การแข่งวิ่งระยะสั้น"
 
นอกจากนี้ ไนกี้ยังได้ปรับเปลี่ยนทีมผู้บริหารเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา โดยประกาศการโยกย้ายรวมถึงการเกษียณอายุของ "ชาร์ลี เดนสัน" ประธานบริษัทของแบรนด์ไนกี้
 
 
โรงงานตัดเย็บผ้าอินเดียถล่มดับ 1 เจ็บ 15
 
4 ก.ค. 56 - สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ในวันนี้ (4 ก.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นของอินเดีย กล่าวถึง อุบัติเหตุอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น เกิดถล่มกะทันหันในย่าน Thane ใกล้กับนครมุมไบ ประเทศอินเดีย ส่งผลกระทบความเสียหายอย่างรุนแรง ทั้งยังทำให้มีเหยื่อเคราะห์ร้าย เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บสาหัส อีก 15 คน เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า อาคารดังกล่าวเป็นโรงงานตัดเย็บผ้า ซึ่งตัวอาคารนั้นอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างเก่าและทรุดโทรมาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้
 
ทั้งนี้ พยานซึ่งเป็นกลุ่มชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่า ย่านดังกล่าวมักมีการก่อสร้างอาคารที่ผิดกฎหมาย ซึ่งล่าสุด กลุ่มนายทุน ยังประกาศจะมีการก่อสร้างต่อเติมเพิ่มอีก 1 ชั้น เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่ไม่คำนึงว่าตัวอาคารมีสภาพเป็นอย่างไร   อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กู้ภัย ได้ลำเลียงผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียงแล้ว
 
 
สายการบินโลว์คอสต์ในอินเดียงดจ้างสจ๊วด เหตุพนักงานหญิงน้ำหนักเบากว่าทำให้ประหยัดค่าเชื้อเพลิง
 
5 ก.ค. 56 - ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคข้าวยากหมากแพงนั้น ทุกบริษัทต่างพยายามเสาะหาวิธีลดรายจ่ายเพื่อความอยู่รอดกันถ้วนหน้า ล่าสุดการรัดเข็มขัดยังลามไปยังธุรกิจสายการบินภายหลังสายการบิน “โก แอร์” ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำในอินเดีย ประกาศจ้างเฉพาะพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน “หญิง” เท่านั้น โดยอ้างว่าเป็นไปตามนโยบายลดต้นทุนทางด้านเชื้อเพลิงนั่นเอง
 
ทั้งนี้ เพราะพนักงานหญิงนั้นมีน้ำหนักเบากว่าพนักงานชายราว 14-19 กิโลกรัม ดังนั้นทางสายการบินจึงสามารถประหยัดรายจ่ายได้สูงถึง 3.3 แสนปอนด์ (ราว 16 ล้านบาท) ต่อปี
 
“การอ่อนค่าลงของเงินรูปีของอินเดีย ซึ่งเมื่อปีที่แล้วอ่อนค่าถึง 27% เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินอย่างหนัก เนื่องจากทำให้รายได้ลดลง” จีออร์โจ เดอ โรนี ประธานสายการบิน กล่าว พร้อมยืนยันว่า พนักงานชายทั้งหมด 132 คนนั้น จะไม่ถูกไล่ออกอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าทางสายการบินจะไม่จ้างพนักงานชายเพิ่มในอนาคต
 
นอกจากนี้ ทาง โก แอร์ ยังเตรียมลดจำนวนหน้าของนิตยสารที่แจกบนเครื่อง รวมทั้งลดปริมาณน้ำในถังกักเก็บบนเครื่องจาก 100% เหลือเพียง 60% เพื่อช่วยให้เครื่องมีน้ำหนักเบาลง
 
 
กรีซป่วน ข้าราชการประท้วงมาตรการปลดพนักงาน
 
8 ก.ค.56 - ข้าราชการชาวกรีซหลายพันคน ผละงานประท้วงในวันนี้ เพื่อต่อต้านการตัดลดพนักงานภาครัฐรอบใหม่ตามกฎหมายที่ออกโดยรัฐบาล ซึ่งก็เป็นไปตามเงื่อนไขเงินกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป หรืออียู และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ โดยในกรุงเอเธนส์ ข้าราชการหลายพันคนที่เป่านกหวีด ชุมนุมประท้วงนอกกระทรวงปฏิรูป ขณะที่ รัฐบาลเตรียมคลอดกฎหมายปลดพนักงานฉบับใหม่
 
ฝูงชนประมาณ 4,000 คน ซึ่งรวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบจำนวนมาก ที่หลายคนอาจต้องตกงานในการปลดพนักงานภาครัฐครั้งนี้
 
สหภาพข้าราชการ เอดีอีดีวาย ระบุในแถลงการณ์ว่า ในประเทศที่มีอัตราการว่างงานทะลุถึงร้อยละ 30 และวัยหนุ่มสาวตกงานมากถึงร้อยละ 60 มาตรการใหม่นี้ ซึ่งจะยิ่งทำให้ประชาชนยากจนมากยิ่งขึ้น ยังจะถูกนำมาใช้อีก
 
เมื่อเช้าวันนี้ เจ้าหนี้ระหว่างประเทศของกรีซ ประกาศในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยมว่า เจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีเกี่ยวกับการปฏิรูปของกรีซ ลงความเห็นให้ปล่อยกู้จำนวน 8,100 ล้านยูโร หรือ 10,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากรายงานดังกล่าวผ่านความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีคลังยูโรโซน ซึ่งมีกำหนดประชุมกันในบ่ายวันนี้ในกรุงบรัสเซลส์ เพื่อตรวจสอบว่า กรีซได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขเงินกู้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพื่อแลกกับเงินกู้งวดต่อไป
 
 
บราซิลประกาศแผนจ้างแพทย์เพิ่มนับหมื่นตำแหน่ง
 
9 ก.ค. 56 - รัฐบาลบราซิลเปิดเผยโครงการจ้างแพทย์เพิ่มเติมราว 10,000 ตำแหน่งในเวลา 3 ปี คิดเป็นมูลค่าการลงทุนถึง 1,207 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่จะเป็นแพทย์บราซิล แต่จะจ้างแพทย์ต่างชาติด้วยหลายพันคนเข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาด ซึ่งแพทย์จะได้เงินเดือนถึง 4,500 ดอลลาร์ โครงการนี้มีขึ้นหลังฝูงชนลุกฮือประท้วงใหญ่ หนึ่งในข้อเรียกร้องคือให้รัฐบาลปรับปรุงระบบบริการสาธารณสุข แต่ถูกแพทย์บราซิลส่วนหนึ่งต่อต้าน แม้รัฐบาลระบุว่าขาดแคลนแพทย์ 54,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ
 
 
สหภาพแรงงานใหญ่กรีซ เตรียมนัดหยุดงานประท้วงสัปดาห์หน้า ต้านแผนปลด พนง.ภาครัฐ
 
10 ก.ค. 56 - รายงานข่าวระบุว่า สหภาพแรงงาน “จีเอสอีอี” ซึ่งเป็นองค์กรด้านแรงงานของภาคเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของกรีซและมีสมาชิกกว่า 2.5 ล้านคนประกาศในวันพุธ (10) ว่า การนัดหยุดงานประท้วงวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงจุดยืนต่อต้านแผนลดตำแหน่งงานภาครัฐอีก 12,500 อัตรา ภายในเดือนกันยายน รวมถึงแผนของรัฐบาลที่เตรียมปลดลูกจ้างของรัฐอีก 25,000 คน จากจำนวนลูกจ้างรัฐที่มีอยู่กว่า 600,000 รายในช่วงสิ้นปีนี้
       
แผนปลดพนักงานภาครัฐดังกล่าวของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอันโตนิส ซามาราส กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แม้ทางรัฐบาลจะอ้างว่าเป็นมาตรการที่จำเป็น เพื่อลดค่าใช้จ่ายภาครัฐตามเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ 2 ครั้ง ในวงเงิน 240,000 ล้านยูโร ที่กำหนดโดยเจ้าหน้าที่ต่างชาติ คือ สหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
       
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน กรีซกลายเป็นหนึ่งในดินแดนที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดในโลกตะวันตก โดยมีตัวเลขว่างงานสูงกว่าอัตราว่างงานเฉลี่ยของกลุ่มยูโรโซนถึง 2 เท่า จากระดับการว่างงานล่าสุดที่สูงถึงเกือบร้อยละ 27
 
 
บราซิลผละงานประท้วงใหญ่เรียกร้องสภาพการทำงานที่ดีขึ้น
 
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ว่า แรงงานภาคอุตสาหกรรมในบราซิลหลายหมื่นคนทั่วประเทศพร้อมใจกันผละงานประท้วง เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐปรับปรุงเงื่อนไขการทำงาน และแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ
 
สหภาพแรงงาน 5 แห่งในบราซิลปลุกระดมให้สมาชิกหลายหมื่นคนออกมาเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดเนื่องใน "วันแห่งการต่อสู้ของชนชั้นแรงงานแห่งชาติ" ใน 18 รัฐทั่วประเทศ จากทั้งหมด 26 รัฐ รวมถึงรัฐรีโอเดจาเนโรและเซาเปาลู ซึ่งผู้ชุมนุมได้นำรั้วมาปิดกั้นเส้นทางการจราจร และจัดการสร้างที่พักชั่วคราวบนถนนหลายสายด้วยความรวดเร็ว ส่งผลให้บริษัท ห้างร้าน โรงเรียนและสถานที่ราชการทุกแห่งต้องหยุดทำการกำหนด รวมถึงท่าเรือขนส่งสินค้าที่เมืองซานโตส ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ด้วย
 
ทั้งนี้ ข้อเรียกร้องหลักของกลุ่มผู้ชุมนุมคือ การขึ้นค่าจ้างแต่ขอให้เวลาการทำงานลดลง ความปลอดภัยในการทำงาน ระบบขนส่งสาธารณะที่ต้องได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเร็วที่สุด การแก้ไขปัญหาเงินเห้อที่รุมเร้าบราซิลมานานหลายปี และการเพิ่มมาตรการกระตุ้นการลงทุนในภาคการศึกษาและสาธารณสุข
 
แม้ภาพรวมของการชุมนุมจะเดินขบวนจะเป็นไปอย่างสงบ แต่มีผู้ประท้วงบางส่วนก่อเหตุกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลที่ตรึงกำลังอยู่ในหลายจุด ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางเพื่อสลายการชุมนุม เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ที่เมืองรีโอเดจาเนโรมีผู้ถูกจับกุมแล้ว 12 คน เป็นผู้เยาว์ 2 คน
 
การประท้วงใหญ่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 หลังการประท้วงให้ลดราคาค่าโดยสารรถประจำทางและแก้ไขระบบการศึกษาในช่วงการแข่งขันฟุตบอล "คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ" เมื่อเดือนที่แล้ว แม้ประธานาธิบดีดิลมา รุสเซฟฟ์ ผู้นำบราซิลให้คำมั่นจะจัดลงประชามติ แต่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการปฏิรูปการเมืองมากกว่าเพื่อความต้องการของประชาชน และอาจส่งผลต่อคะแนนนิยมของเธอในการเลือกตั้งปีหน้าด้วย
 
 
ชาวกรีซผละงานวันนี้ประท้วงแผนเลิกจ้างลูกจ้างภาครัฐ
 
16 ก.ค. 56 - ชาวกรีซหลากหลายอาชีพจะผละงานในวันนี้เพื่อประท้วงรัฐบาลที่เตรียมจะเลิกจ้างลูกจ้างภาครัฐจำนวนมากตามเงื่อนไขการรับความช่วยเหลืองวดใหม่จากเจ้าหนี้ต่างชาติ ขณะที่อัตราว่างงานในประเทศใกล้แตะร้อยละ 27 แล้ว
 
การเดินขบวนของลูกจ้างเทศบาลที่ดำเนินมานานกว่าสัปดาห์จะทวีความเข้มข้นขึ้นในวันนี้ เมื่อพนักงานเก็บขยะ คนขับรถโดยสาร พนักงานธนาคาร ผู้สื่อข่าวและอีกหลายอาชีพจะเข้าร่วมการชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภาในวันนี้ ก่อนที่รัฐสภาจะลงมติในวันพุธเรื่องมาตรการปฏิรูปที่รัฐบาลตกลงกับสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ตามเงื่อนไขความช่วยเหลือมูลค่า 6,800 ล้านยูโร (ราว 278,800 ล้านบาท) เช่น การเลิกจ้างครูอาจารย์ ตำรวจเทศบาล และเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่น รวมหลายหมื่นคน
 
สหภาพแรงงานเอกชนและสหภาพแรงงานภาครัฐ ซึ่งมีสมาชิกรวมกัน 2.5 ล้านคน ประกาศจะเดินหน้าต่อสู้เพื่อยุตินโยบายที่เข่นฆ่าคนงานและทำให้เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงยิ่งกว่าเดิม สหภาพสองแห่งนี้ชักชวนสมาชิกชุมนุมตามท้องถนนมาแล้วหลายครั้งตั้งแต่กรีซเข้าสู่วิกฤตหนี้ในปลายปี 2552 
 
สหภาพการบินพลเรือนพร้อมใจกันผละงานเป็นเวลา 4 ชั่วโมง ซึ่งจะกระทบต่อเที่ยวบินเข้าออกกรุงเอเธนส์ ขณะที่พนักงานขับรถโดยสารและรถรางผละงานในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้าและตอนเย็น รถไฟ สำนักงานสรรพากร และหน่วยงานเทศบาลทุกแห่งปิดทำการ
 
 
สายการบินสปริงแอร์จีน เพิ่มเกณฑ์อายุในการจ้างพนักงานสาวบนเครื่องบิน
 
17 ก.ค. 56 - สายการบินสปริงแอร์ ของประเทศจีนตัดสินใจเพิ่มเกณฑ์อายุในการจ้างแอร์โฮสเตส หรือพนักงานหญิงผู้ให้บริการอำนวยความสะดวกบนเครื่องบิน โดยมีอายุระหว่าง 25-45 ปี จากเดิมที่จะจำกัดอายุไม่เกิน 35 ปี โดยให้เหตุผลว่า ผู้หญิงในวัยดังกล่าวมีพร้อมทั้งระดับการศึกษา วุฒิภาวะทางอารมณ์ และความน่าเชื่อถือมากกว่าเด็กสาวที่อายุน้อยกว่า
 
ขณะเดียวกัน รายงานยังระบุอีกว่า ผู้สมัครหญิงที่สมรสและมีลูกแล้วจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
 
ด้านหนังสือพิมพ์ ไชน่า เรียล ไทม์ รายงานว่า วิธีการคัดเลือกพนักงานแอร์โฮสเตสของสปริง แอร์ไลน์ ครั้งนี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมปฏิบัติที่นิยมของสายการบินทั่วไปของจีน ซึ่งมักเน้นหนักที่ความงามและความอ่อนเยาว์ ถึงขนาดที่บางสายการบินจัดเวทีคล้ายกับเวทีประกวดนางงามเพื่อคัดเลือกพนักงานเข้ามาทำหน้าที่แอร์โฮสเตส หนึ่งในอาชีพที่ได้รับความนิยมจากสาววัยรุ่นทั่วจีน ที่ต้องการโอกาสในการท่องเที่ยวทั่วโลก และค่าตอบแทนที่ดี
 
ทั้งนี้ สปริงแอร์ กล่าวว่า การเพิ่มเกณฑ์อายุครั้งนี้ มีขึ้นภายหลังผลการสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ที่พบว่า 72% ของผู้โดยสารชอบที่ได้รับการบริการจากแอร์โอสเตสที่มากด้วยประสบการณ์มากกว่า พร้อมระบุว่า ผู้สมัครที่มีประสบการณ์การทำงานด้านการบริการบนเครื่องบินอย่างกว้างขวางจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษเช่นกัน และยอมรับว่า แม้แอร์โฮสเตสอายุน้อยจะมีชีวิตชีวาและความกระตือรือร้นมากกว่า แต่แอร์โฮสเตสที่มีอายุเพิ่มขึ้นมาจะน่าเชื่อถือและมีวุฒิภาวะมากกว่า
 
"เราเชื่อว่าผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝันที่จะได้ทำงานในแวดวงอุตสาหกรรมการบินไม่ว่าจะมีอายุเท่าไหร่ก็ตาม" แถลงการณ์ของสายการบินระบุ
 
 
เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์นับหมื่น ในเปรู รวมตัวประท้วงเรียกร้องให้มีการเพิ่มค่าแรง
 
17 ก.ค. 56 - เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ภาคส่วนสาธารณะราว 15,000 คน ในเปรู พากันออกมาประท้วงเพื่อเรียกร้องให้มีการเพิ่มค่าจ้าง ขณะที่ เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขของเปรู กล่าวว่า การประท้วงมีขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ที่คร่าชีวิตประชาชนแล้ว 3 ราย
 
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์กล่าวยืนยันว่า ผู้ป่วยในห้องหน่วยอภิบาล หรือ ห้องไอซียู และหน่วยฉุกเฉิน จะไม่ได้รับผลกระทบจากการลุกฮือประท้วงของเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ในครั้งนี้
 
 
รัฐสภากรีซลงมติผ่านร่างกม.ปลดลูกจ้างภาครัฐมากกว่าหมื่นคน
 
18 ก.ค. 56 - สภากรีซมีมติแบบฉิวเฉียด ด้วยคะแนน 153-140 เสียง ผ่านร่างกฎหมายแก้ไขโครงสร้างระบบบริหารราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการปฏิรูปที่รัฐบาลตกลงกับสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ตามเงื่อนไขความช่วยเหลือมูลค่า 6,800 ล้านยูโร (ราว 278,800 ล้านบาท) เช่น การเลิกจ้างครูอาจารย์ ตำรวจเทศบาล และเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่น รวมหลายหมื่นคน
 
ภายใต้มติดังกล่าว ตามแผนดังกล่าว รัฐบาลจะต้องเลิกจ้างเจ้าหน้าที่มากกว่า 4,000 ตำแหน่ง ซึ่งรวมถึง ครูอาจารย์ และข้าราชการท้องถิ่นภายในปีนี้ และอีกราว 11,000 คน ภายในปี 2014  ทั้งนี้ ลูกจ้างรัฐจะได้รับเงินเดือนร้อยละ 75 ของอัตราเงินเดือนจริง นาน 8 เดือน และหลังจากนั้น หากไม่ได้รับการโอนย้ายไปแผนกหรือหน่วยงานอื่น ก็จะถูกเลิกจ้าง
 
รัฐบาลผสมกรีซ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอันโตนิส ซามาราส  แถลงปกป้องมาตรการดังกล่าวว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบังคับใช้มาตรการที่อาจทำให้หลายฝ่ายเจ็บปวด พร้อมกับประกาศปรับลดอัตราภาษีการขายอีกร้อยละ 10 เพื่อนำเงินที่ได้ไปกระตุ้นภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ขณะที่อัตราว่างงานในประเทศพุ่งขึ้นแตะร้อยละ 27 แล้ว
 
โดยในระหว่างการอภิปราย ผู้ประท้วงหลายพันคนได้มาร่วมตัวกันบริเวณหน้าอาคารรัฐสภาในกรุงเอเธนส์  เพื่อประท้วงคัดค้านการลงมติรับรองร่างกฎหมายใหม่ของรัฐบาล แต่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 ก.ค. แรงงานชาวกรีซหลายแสนคนเข้าร่วมผละงานเป็นเวลา 24 ชม. ตามคำเรียกร้องของสหภาพแรงงาน เพื่อประท้วงแผนการเลิกจ้างลูกจ้างภาครัฐของรัฐบาล
 
 
ILO ชี้สภาพการทำงานของแรงงานกัมพูชาแย่ยิ่งกว่าเดิม
 
18 ก.ค. 56 - องค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO เผยว่า ความพยายามของกัมพูชาในการปรับปรุงสภาพการทำงานในอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปเสื่อมถอยลง หลังเกิดเหตุประท้วงหลายครั้งตามโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปให้แก่บริษัทชาติตะวันตก
       
รายงานของ ILO ระบุว่า กัมพูชาประสบความล้มเหลว และไม่มีความคืบหน้าใดๆ เกิดขึ้นเลย หากพิจารณาถึงเรื่องสภาพแวดล้อมการทำงานในหลายด้าน เช่น แรงงาน การรักษาความปลอดภัยจากเหตุเพลิงไหม้ และการใช้แรงงานเด็ก
       
“จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่า สภาพการทำงานในปัจจุบันของคนงานกัมพูชาเสื่อมถอยลง นับจากช่วงปี 2548-2554 ที่ยังมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น กัมพูชาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนสภาพการณ์เลวร้ายให้ได้ มิฉะนั้น ก็เสี่ยงที่จะต้องสูญสียผลประโยชน์ที่เคยทำให้กัมพูชามีชื่อเสียงในด้านสภาพแวดล้อมการทำงาน” จิลล์ ทัคเกอร์ หัวหน้าที่ปรึกษาด้านวิชาการ ประจำโครงการปรับปรุงสภาพโรงงานกัมพูชาให้ดีขึ้น ของ ILO ระบุ
       
รายงานของ ILO ยังระบุอีกว่า จากการสำรวจโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปมากกว่า 10 แห่ง พบว่าบางแห่งใส่กุญแจปิดตายทางหนีไฟในระหว่างชั่วโมงการทำงาน ในขณะที่บางแห่งก็ไม่ได้จัดการซ้อมรับมือเหตุเพลิงไหม้ทุกๆ 6 เดือน นอกจากนี้ ยังพบปัญหาอากาศภายในสถานทำงานร้อนอบอ้าว ไม่สะอาดถูกหลักอนามัย รวมทั้งมีการจ้างแรงงานเด็กด้วย
       
ปัญหาความวิตกกังวลเรื่องความปลอดภัยของคนงานในโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปของกัมพูชายิ่งทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากเกิดเหตุหลังคาโรงงานผลิตรองเท้าของไต้หวัน พังถล่มลงมา ทำให้คนงานเสียชีวิต 2 คน เมื่อเดือน พ.ค.
       
บรรดาคนงานในอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปได้จัดชุมนุมประท้วงต่อเนื่องหลายครั้ง เพื่อต่อต้านค่าจ้างแรงงานถูก รวมทั้งสภาพการจ้างงานที่ย่ำแย่ ในอุตสาหกรรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่มีการจ้างงานแรงงานราว 650,000 คน และถือเป็นแหล่งรายได้จากต่างชาติที่สำคัญของประเทศ.
 
 
ภาคการเกษตรสหรัฐฯ ขาดแคลนคนงานและต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวอย่างหนัก
 
25 ก.ค. 56 - ภาคการเกษตรของสหรัฐฯ ขาดแคลนแรงงานที่ช่วยทำงานเพื่อการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตในฟาร์มมานานอย่างน้อยถึงสิบปีแล้ว และส่วนหนึ่งต้องอาศัยแรงงานต่างด้าวจากเม็กซิโกและประเทศละตินอเมริกาซึ่งข้ามพรมแดนเข้าไปทำงานในสหรัฐฯ แบบไปเช้าเย็นกลับ ส่วนใหญ่ของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวมีปัญหาในการขอวีซ่าจึงอยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย โดยตัวเลขขณะนี้แสดงว่ามีแรงงานผิดกฎหมายอยู่ในสหรัฐฯ ราว 11 ล้านคนและ 1.2 ล้านคนช่วยงานอยู่ในภาคการเกษตร
 
ขณะนี้สมาคมผู้ผลิตทางการเกษตรในรัฐด้านตะวันตกของสหรัฐฯ และสหภาพแรงงานคนงานในฟาร์ม สนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูประบบคนเข้าเมืองฉบับที่ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาสหรัฐฯ  ซึ่งจะเปิดโอกาสให้แรงงานผิดกฎหมายเหล่านี้ได้สัญชาติอเมริกันภายใน 11 ปี แต่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยังไม่ผ่านร่างของตน และยังมีจุดยืนที่แตกต่างกันอยู่ระหว่างร่างกฎหมายของทั้งสองสภา ซึ่งเกษตรกรในสหรัฐฯ ได้เตือนว่าหากไม่มีกฎหมายเพื่อปฏิรูประบบคนเข้าเมืองนี้แล้ว การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ จะไม่เพียงพอกับความต้องการและต้องนำเข้าจากต่างประเทศมาทดแทน ซึ่งก็หมายถึงว่าผู้บริโภคชาวอเมริกันจะต้องจ่ายเงินซื้อพืชผักผลไม้แพงขึ้นนั่นเอง
 
 
แรงงานประท้วงรบ.ตูนิเซียเหตุยุติบริการเที่ยวบิน
 
26 ก.ค. 56 - เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับแจ้งเกิดเหตุกลุ่มสหภาพแรงงานจำนวนมากนัดประท้วงหยุดงานกลางกรุงตูนิส ท่ามกลางการปะทะเดือดกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลในหลายพื้นที่ มีชนวนสาเหตุมาจากการลอบสังหารผู้นำพรรคฝ่ายค้านคนสำคัญเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา
 
ในขณะนี้ เหตุปะทุความรุนแรงเริ่มเลวร้ายขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบไปถึงการบริการเที่ยวบินเกือบทุกสายการบิน ทั้งไปและกลับ โดยถูกยกเลิกการให้บริการฉุกเฉิน ซึ่งหัวหน้าทีมงาน และประธานบริษัท สายการบินออกมาแถลงการณ์ถึงสาเหตุความเดือดร้อนที่ได้รับผลกระทบนั่นเอง
 
ทั้งนี้ กลุ่มประท้วงสหภาพแรงงาน ยังพยายามเร่งบีบบังคับให้รัฐบาลทำการลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบสำหรับเหตุการณ์ที่พวกเขาต้องสูญเสีย อย่างไรก็ตาม ทางด้านรัฐบาลของตูนิเซีย ยังไม่มีการแถลงการณ์ตอบโต้ หรือ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด
 
 
สเปนตั้งข้อหาพนักงานขับรถไฟมรณะประมาท
 
27 ก.ค. 56 - สำนักข่าวบีบีซี ของอังกฤษ รายงานว่า นายฮอร์เก เฟอร์นันเดซ ดิแอซ รัฐมนตรีมหาดไทยของสเปน ยืนยันว่า นายฟรานซิสโก โฮเซ การ์ซอน อาโม พนักงานขับรถไฟมรณะ ที่ประสบอุบัติเหตุตกราง มีผู้เสียชีวิต 78 คน ถูกตั้งข้อหา ประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต เนื่องจากถูกสงสัยว่า ขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนด
 
รายงานระบุว่า นายการ์ซอน ซึ่งได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากอุบัติเหตุ ถูกนำตัวไปยังสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง เพื่อ
สอบสวน เนื่องจากสงสัยว่า ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดในช่วงเข้าโค้ง เพราะรายงานของการรถไฟ ระบุว่า รถไฟความเร็วสูง วิ่งมาด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดถึง 2 เท่า ในช่วงเกิดเหตุ
 
ขณะเดียวกัน นายจูลิโอ โกเมซ โปมาร์ ประธานบริษัทรถไฟ กล่าวว่า รถไฟไม่มีปัญหาทางเทคนิคอย่างแน่นอน พร้อมกับยืนยันว่า คนขับเป็นพนักงานที่มีประสบการณ์สูงด้วยเช่นกัน 
 
 
 
 
ที่มาเรียบเรียงจาก: ประชาชาติธุรกิจ, มติชนออนไลน์, เดลินิวส์, โพสต์ทูเดย์, สำนักข่าวไทย, VOA, ประชาไท
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีฯ แสดงจุดยืนต้องเอาผิดทหาร เร่งนิรโทษกรรม พร้อมเยียวยา

$
0
0
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย แจงไม่ได้หนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับใดโดยเฉพาะ แสดงจุดยืนต้องเอาผิดทหารทุกระดับ หนุนทุกฝ่ายที่ส่วนร่วมในกมธ.ร่าง หนุนนิรโทษกรรมโดยเร็ว พร้อมเยียวยาความเสียหาย


ภาพจาก https://www.facebook.com/lltd.tu
 

(1 ส.ค. 56) กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ทำกิจกรรมด้านการเมืองและสังคม ได้เดินทางมายังรัฐสภา ในเวลาประมาณ 11.00 น. เพื่อยื่นหนังสือแสดงจุดยืนเรื่องการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองและการแก้ไขความขัดแย้งอันเนื่องมาจากเหตุความรุนแรงทางการเมือง โดยสมาชิกกลุ่มส่วนใหญ่สวมชุดนักโทษ สร้างความสนใจให้กับสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่รัฐสภาเป็นจำนวนมาก
        
นายรัฐพล ศุภโสภณ โฆษกกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีประชาธิปไตย อ่านแถลงการณ์ บริเวณห้องโถงชั้น 1 ของอาคารรัฐสภาต่อหน้าสื่อมวลชน เพื่อแสดงจุดยืนและความเห็นต่อการนิรโทษกรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับต่างๆ ที่กำลังเข้าสู่วาระการพิจารณาของรัฐสภาในสัปดาห์นี้
         
นายรัฐพลกล่าวว่า หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 อันเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 12 ได้ทำให้สังคมไทยกลับเข้าสู่วงจรความขัดแย้งความรุนแรง การแย่งชิงอำนาจ จนนำไปสู่การสูญเสียและการจับกุมประชาชนจำนวนมาก ภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ในสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมถึงการนำประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรง มาใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

ดังนั้นเพื่อให้สังคมไทยก้าวข้ามพ้นความขัดแย้งและความรุนแรงดังกล่าว การนิรโทษกรรมแก่ประชาชนที่กระทำผิดเพราะมีเหตุจูงใจทางการเมือง จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วน โดยไม่รวมไปถึงระดับแกนนำหรือต้นเหตุของความรุนแรงเนื่องจากผู้ที่ตกเป็นผู้กระทำผิดนั้นล้วนเป็นเพียงผู้ร่วมเรียกร้องที่กระทำผ่านการชี้นำของฝ่ายแกนนำเท่านั้น ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหาการ ทำให้การกระทำความผิดของบุคคลเหล่านี้ ล้วนทำไปด้วยแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งในสถานการณ์ปกติ หากไม่มีความขัดแย้งทางการเมือง บุคคลเหล่านี้ก็ย่อมจะไม่ออกมากระทำการต่างๆ ดังเช่นที่ปรากฏ

การนิรโทษกรรมก็เปรียบเสมือนยาที่ช่วยบรรเทาความล้มเหลวจากกระบวนการยุติธรรม เพราะขณะที่ประชาชนถูกจับกุมดำเนินคดี พวกเขากลับไม่สามารถได้รับสิทธิสำคัญในกระบวนการยุติธรรม เช่น สิทธิการประกันตัว อีกทั้งยังถูกละเมิดสิทธิทางร่างกาย เช่น ถูกกลั่นแกล้งหรือถูกซ้อมทรมานในเรือนจำ จากผู้ต้องขังคนอื่นที่มีความเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน
    
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย จึงขอแสดงจุดยืนสนับสนุนการนิรโทษกรรม แต่ไม่ได้สนับสนุนพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับใดโดยเฉพาะ แต่มาให้ความเห็นในฐานะนักศึกษาที่สนใจการเมืองว่า

1. ไม่นิรโทษกรรมทหารในระดับผู้สั่งการและผู้นำฝ่ายพลเรือนเพราะว่ามีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือโดยรวมเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียรวมถึงทหารในระดับปฏิบัติการที่กระทำการเกินกว่าเหตุหรือปฏิบัติตามคำสั่งอันมิชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา

2. สนับสนุนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการเสนอร่างกฎหมายการนิรโทษกรรมฉบับต่างๆ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมาธิการโดยตรงเพื่อถกเถียงในขั้นตอนของการออกกฎหมาย และอนุญาตให้ประชาชนรวมถึงผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการประชุมของคณะกรรมาธิการได้

3. สนับสนุนให้การนิรโทษกรรมดำเนินไปอย่างรวดเร็วที่สุด ในเมื่อเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าบุคคลใดไม่สมควรจะได้รับโทษ บุคคลนั้นก็สมควรที่จะพ้นจากสภาพนักโทษอย่างรวดเร็วที่สุด ความล่าช้าของกระบวนการนิรโทษกรรมย่อมหมายความว่าบุคคลที่ได้รับโทษจะต้องสูญเสียโอกาสในการใช้เสรีภาพ โอกาสในการทำมาหากิน และโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการที่จำเป็น และ

4.ให้มีการเยียวยาผู้ได้รับการนิรโทษกรรมเพราะการที่บุคคลหนึ่งได้รับโทษนั้นจะต้องเกิดความสูญเสียแก่โอกาสและทุนที่ได้สั่งสมมา นอกจากนี้ยังต้องสูญเสียอิสรภาพและทางทำมาหากินที่ย่อมส่งผลกระทบไม่ใช่เฉพาะต่อผู้ได้รับการนิรโทษกรรมเท่านั้นแต่ยังรวมถึงครอบครัวพวกเขาเหล่านั้น ดังนั้นการนิรโทษกรรมอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ รัฐจะต้องมีมาตรการเพื่อเยียวยาแก่ความเสียหายเหล่านั้นอย่างเหมาะสม

จากนั้นเวลาประมาณ 13.30 น. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ได้เดินทางมารับหนังสือแสดงจุดยืนด้วยตัวเอง จากโฆษกของกลุ่มฯ และยังได้ร่วมพูดคุยกับสมาชิกกลุ่มฯ อย่างเป็นกันเองอีกด้วย

ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมที่อาคารรัฐสภาแล้ว ในช่วงบ่ายเป็นต้นไป กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีประชาธิปไตยได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มที่หนึ่ง ไปทำกิจกรรมที่ Sky Walkสถานีบีทีเอส อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และแจกเอกสารเรื่องการนิรโทษกรรมให้กับประชาชนที่สัญจรไปมาในบริเวณดังกล่าว ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดย นายปณิธาน พฤษภาเกษมสุข บุตรชายของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ออฟทักษิณ ผู้ต้องขังคดี 112 เดินทางไปยื่นหนังสือและร่วมพูดคุยกับนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่อาคารรัฐประศาสน์ภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แฉอีก โปรแกรม XKeyscore ช่วย จนท.สหรัฐฯ สืบค้นได้แทบทุกอย่าง

$
0
0

เดอะ การ์เดียน แฉข้อมูลล่าสุดจากสโนวเดน เรื่องโปรแกรม XKeyscore ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลสามารถสืบค้นข้อมูล "กิจกรรมแทบทุกอย่างที่ผู้ใช้งานกระทำในอินเทอร์เน็ต" ตั้งแต่อีเมล, การแชท, การใช้คำค้นหาในเว็บต่างๆ และเลขไอพีของผู้เข้าชมเว็บ


เมื่อวันที่ 31 ก.ค. สำนักข่าวเดอะ การ์เดียน เปิดเผยเอกสารลับชุดใหม่ของสภาความมั่งคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NSA) ที่กล่าวถึงโปรแกรมชื่อ XKeyscore ซึ่งเป็นโปรแกรมที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าค้นข้อมูลอีเมล, การสนทนาออนไลน์ และประวัติการเข้าเว็บของผู้คนจำนวนมากได้

เอกสารล่าสุดนี้มาจากเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ผู้เปิดโปงโครงการสอดแนมของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเอกสารการฝึกอบรมของ NSA ที่ระบุว่ามีความสามารถในการสอดแนมข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตได้ในวงกว้าง

เอกสารการฝึกอบรมการใช้ XKeyscore ระบุถึงรายละเอียดการใช้งานว่าเจ้าหน้าที่สามารถใช้โปรแกรมนี้ร่วมกับระบบอื่นๆ ในการดักจับข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ตของบุคคลได้ทันทีความเวลาจริง (real-time) โดยข้อมูลต่างๆ รวมถึงอีเมล, ประวัติการเข้าเว็บ, การใช้คำค้นหา รวมถึงนิยามข้อมูล (metadata) ของบุคคลนั้นๆ ได้

โดยตามกฎหมายการสืบราชการลับต่างประเทศ (FISA) ปี 1978 ของสหรัฐฯ แล้ว NSA ต้องขอหมายค้นหากเป้าหมายเป็นพลเมืองสหรัฐฯ หรือบุคคลที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ส่วนกรณีการสื่อสารระหว่างชาวสหรัฐฯ กับคนต่างชาติไม่จำเป็นต้องมีหมายค้น แต่โปรแกรม XKeyscore มีความสามารถในการสอดแนมได้แม้กระทั่งชาวสหรัฐฯ โดยไม่จำเป็นต้องมีหมายค้น

ข้อมูลจากภาพสไลด์ของเอกสารแสดงให้เห็นว่า XKeyscore สามารถให้เจ้าหน้าที่ค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่ถูกดักไว้โดยค้นจากหมายเลขโทรศัพท์มือถือ, หมายเลขไอพี หรือคำสำคัญได้

เอกสารของ NSA ยังมีการกล่าวอ้างอีกว่าจนถึงปี 2008 พวกเขาสามารถใช้ข้อมูลจาก XKeyscore จับกุมผู้ก่อการร้ายได้ 300 ราย

ในภาพสไลด์ของเอกสารในเดือน ธ.ค. 2012 ได้บรรยายถึงข้อมูลที่สามารถสืบค้นได้โดยเจ้าหน้าที่เช่น บัญชีรายชื่ออีเมลทุกบัญชีที่ถูกดักข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นชื่อผู้ใช้หรือชื่อโดเมน หมายเลขโทรศัพท์ทุกหมายเลขที่ถูกดัก รวมถึงกิจกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ตั้งแต่เว็บเมล การสนทนา รวมถึงรายชื่อผู้ใช้ รายชื่อเพื่อน และคุกกี้ (ข้อมูลขนาดเล็กซึ่งถูกเก็บไว้ที่โปรแกรมท่องเว็บ เช่น ข้อมูลการเข้าถึงเว็บไซต์ หรือข้อมูลส่วนตัวของเราลงทะเบียนกับเว็บไซต์ต่างๆ)

ภาพสไลด์ที่เดอะ การ์เดียน นำมาเผยแพร่ยังแสดงให้เห็นตัวอย่างการพยายามสาธิตวิธีการให้เจ้าหน้าที่ค้นหาผ่านข้อมูลการสนทนาทางเฟซบุ๊ก การแยะแยกข้อมูลว่าบุคคลผู้หนึ่งมีกิจกรรมค้นหาข้อมูลเช่นไรบ้าง เช่น การที่ผู้ใช้ค้นหาคำว่า "Musharraf" ผ่านเว็บไซต์ BBC

เดอะ การ์เดียนกล่าวอีกว่า โปรแกรม XKeyscore ทำให้เจ้าหน้าที่นักวิเคราะห์ข้อมูลสามารถทราบถึงเลขที่อยู่ไอพีของทุกคนที่เข้าถึงเว็บไซต์หนึ่งๆ ได้ เช่น การที่เจ้าหน้าที่สามารถค้นหาว่ามีบุคคล (หมายเลขไอพี) ใดบ้างในประเทศสวีเดนที่เข้าสู่เว็บบอร์ดเสวนาของกลุ่มหัวรุนแรง



แปลและเรียบเรียงจาก

XKeyscore: NSA tool collects 'nearly everything a user does on the internet', The Guardian, 31-07-2013
http://www.theguardian.com/world/2013/jul/31/nsa-top-secret-program-online-data

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 23 - 29 ก.ค. 2556

$
0
0

“ร.ต.อ.เฉลิม” ย้ำกรมการจัดหางานเร่งหางานให้ผู้มาใช้บริการภายใน 30 วัน

24 ก.ค. 56 - ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงานมหกรรมการจ้างงาน เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และป้องกันการค้ามนุษย์ บริเวณใต้อาคารกระทรวงแรงงาน พร้อมกล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยไม่นิยมทำงานในประเทศ ส่วนแรงงานต่างด้าวเริ่มเลือกงานมากขึ้น กรมการจัดหางานต้องสร้างแรงจูงใจให้คนไทยหันมาทำงานในประเทศเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเกิดความเข้าใจผิดว่าจะมีการนำเข้าหรือเปิดขึ้นทะเบียนใหม่แรง งานต่างด้าวกว่าแสนคน แต่ความจริงคือการเร่งออกเอกสารให้กับแรงงานเดิมที่คงค้าง ส่วนแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายต้องมีการหารืออีกครั้งว่าจะดำเนินการเช่นไร เพราะไทยยังมีความต้องการแรงงาน

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานต้องก้าวไปข้างหน้า คิดแต่สิ่งดีมีประโยชน์แก่ประเทศชาติ ส่วนการจัดหางานต้องดำเนินการให้ได้ภายใน 30 วัน ไม่ควรให้เกิดการรอนานจนไม่เชื่อมั่นในกระทรวงแรงงาน จากนั้นได้ปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามจับกุมแรงงานผิดกฎหมาย พร้อมปล่อยคาราวานรถโมบาย 13 คัน ลงพื้นที่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้ความรู้แก่แรงงานไทยที่จะไปทำงานต่างประเทศ พร้อมให้เจ้าหน้าที่จัดหางานจังหวัดไปเคาะประตูบ้านเพื่อรับฟังปัญหาและให้ ความรู้แก่ชาวบ้าน

(สำนักข่าวไทย, 24-7-2556)

 

เล็งยื่น กก.สิทธิ-ผู้ตรวจ ล้มร่างแก้ไข กม.ประกันสังคม

24 ก.ค. 56 - น.ส.วิไลวรรณ  แซ่เตีย รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ระบุว่าไม่มีความคิดที่จะดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการประกันสังคม(บอร์ด สปส.) และให้ปลัดกระทรวงแรงงาน หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขเนื้อหาร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ... ให้ปลัดกระทรวงแรงงาน กลับมาเป็นประธานบอร์ดสปส.เช่นเดิม ว่า ในฐานะผู้ประกันตนไม่ยอมรับร่างกฎหมายดังกล่าว เพราะให้อำนาจฝ่ายการเมืองเบ็ดเสร็จในการบริหารจัดการกองทุน รวมทั้งไม่ได้มีการวางระบบการตรวจสอบการใช้เงินกองทุน และใช้เสียงส่วนใหญ่ของฝ่ายการเมืองพิจารณาร่างเนื้อหาของกฎหมายโดยขาดการมี ส่วนร่วมของผู้ใช้แรงงาน ดังนั้น  หากร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้จะส่งผลเสียต่อผู้ประกันตนมากกว่าผลดี  ทำให้กองทุนประกันสังคมเกิดความหายนะขึ้นได้ในอนาคต   

น.ส.วิไลวรรณ  กล่าวอีกว่า วันที่ 30 ก.ค. เวลา 09.00 น.  คสรท. จะร่วมกับเครือข่ายแรงงาน หารือกันเพื่อกำหนดท่าทีการเคลื่อนไหวคัดค้านร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.และจะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ด้วย ทั้งนี้มีแนวคิดที่จะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้เป็นผู้แทนผู้ประกันตน ไปยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พิจารณาให้ร่างกฎหมายดังกล่าวตกไป เนื่องจากเป็นการออกกฎหมายโดยละเมิดสิทธิของภาคประชาชนในการมีส่วนร่วมออก กฎหมาย นอกจากนี้อยากเรียกร้องไปยังวุฒิสภาว่า หากมีการตั้งคณะ กมธ.เพื่อกลั่นกรองเนื้อหาร่างกฎหมาย ก็ขอให้ชะลอการพิจารณาไว้ก่อน และตีกลับมายังสภาฯ เพื่อให้สภาฯตั้งคณะ กมธ.วิสามัญ พิจารณาร่างพ.ร.บ.ขึ้นมาใหม่ โดยให้ผู้ประกันตนเข้าไปมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย

(เดลินิวส์, 24-7-2556)

 

สิงห์รถบรรทุก ขาดแคลนหนัก 1.4 แสนคน

25 ก.ค. 56 - นายยู เจียรยืนยงพงศ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการรถบรรทุกกำลังประสบปัญหาการขาดแคลนพนักงานขับรถอย่างหนักกว่า 1.4 แสนคน เนื่องจากขณะนี้คนขับรถหันไปประกอบอาชีพอื่นที่งานเบากว่าแทน และอนาคตหากรัฐบาลไม่มีการเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา  เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 58 คาดว่าปัญหาการขาดแคลนคนขับรถบรรทุกจะรุนแรงขึ้นเพิ่มถึง 2 แสนราย

ทั้งนี้สาเหตุของการขาดแคลนพนักงานขับรถบรรทุก ส่วนหนึ่งมาจากคนขับหันไปขับรถตู้ รถวินมอเตอร์ไซค์ รถแท็กซี่ เพราะเป็นงานเบากว่า และมีรายได้ใกล้เคียงกับค่าตอบแทนของพนักงานขับรถบรรทุก และมีบางส่วนกลับไปทำการเกษตรที่บ้าน หลังจากช่วงที่ผ่านมาราคาสินค้าเกษตรปรับเพิ่มขึ้น  เมื่อรัฐบาลมีการเปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือก 15,000 บาท ทำให้คนขับรถเลือกกลับไปประกอบอาชีพของตัวเอง จึงต้องการให้รัฐบาลหันมาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนขับรถบรรทุก เพราะที่ผ่านมาคนขับมองว่าเป็นงานหนัก และไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากสังคม จึงทำให้ไม่ค่อยมีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำจนเกิดปัญหาขึ้น ทั้งที่จริงรายได้ของคนขับรถบรรทุกสูงถึงเดือนละประมาณ 25,000-30,000 บาทต่อเดือน แต่งานหนัก ความรับผิดชอบสูง และต้องอยู่คนคนเดียวไม่ค่อยมีสังคมนัก เพราะหากไปทำอาชีพอื่น แม้รายได้น้อยกว่า แต่มีเพื่อนมีสังคม และอยู่ใกล้ครอบครัวได้มากกว่า

นายยู กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการได้เสนอรัฐบาลแก้ไขเรื่องนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) บรรจุปัญหาการขาดแคลนและพัฒนาคุณภาพบุคลาการอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับต่อไปเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ขณะเดียวกันควรเร่งยกระดับพนักงานขับรถบรรทุกให้เข้าสู่การรวมตัวเป็นสภา วิชาชีพ เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานและจิตสำนึกความรับผิดชอบของอาชีพเหมือนอาชีพ ทนายความ แพทย์ เป็นต้น

นอกจากนี้ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในการพัฒนาบุคลากรระบบขนส่งให้มี มาตรฐาน ผ่านการจัดทำหลักสูตรการศึกษา จัดอบรม และแนวทางอื่นๆ เพื่อช่วยยกระดับพนักงานขับรถ เพราอนาคตหากเปิดเออีซีไทยยังไม่มีการปรับตัวยอมรับจะอยู่ได้ลำบาก และถ้าบุคลากร คนขับรถของไทยไม่พร้อม อาจกระทบต่อแผนการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางขนส่งในภูมิภาคอาเซียนได้ใน อนาคต
 
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การแก้ปัญหาคนขับรถบรรทุกขาดแคลน นั้น กรมการขนส่งทางบกจะประสานความร่วมมือไปยังกระทรวงแรงงาน ให้ร่วมมือกันพัฒนาบุคคลกรขับรถบรรทุกคุณภาพป้อนให้กับผู้ประกอบการรถบรรทุก ขนส่งให้เพียงพอ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาขับรถเกินเวลาโดยไม่หยุดพัก จนเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะตามกฎหมายกำหนดให้คนขับรถบรรทุกขับได้ไม่เกิน 4 ชม. และหยุดพักได้ 30 นาที

นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกกลับไปศึกษาแนวทางการติดตั้งระบบตรวจจับความ เร็วในรถบรรทุก รวมทั้งกระทรวงจะช่วยผลักดันการจัดตั้งสภาการขนส่งผู้ประกอบการรถบรรทุก เพื่อให้ผู้ประกอบการขนส่งเอกชนเข้ามาเป็นสมาชิกและใช้เป็นกลไกลภายในช่วย กำกับดูแลกันเอง เหมือนสภาวิชาชีพสาขาอื่นในปัจจุบัน.

(สำนักข่าวไทย, 25-7-2556)

 

เปิดตัว "ริชเชอร์ จ็อบ แอดส์" เครื่องมือหางานสำหรับนายจ้าง-ลูกจ้าง

จากผลสำรวจของจ็อบสตรีทดอทคอมเรื่องเว็บหางานจะอยู่หรือจะไปในยุคทองของ โซเชียลเน็ตเวิร์ก พบข้อมูลว่านายจ้างส่วนใหญ่ยังคงเลือกใช้บริการจากเว็บไซต์หางานเป็นช่องทาง หลักในการลงโฆษณาตำแหน่งงานว่าง คิดเป็นร้อยละ 91

นอกจากนี้ยังพบว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กและช่องทางโฆษณาอื่น ๆ ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของนายจ้างได้ ล่าสุดจ็อบสตรีทดอทคอมเปิดตัว "ริชเชอร์ จ็อบ แอดส์" (Richer Job Ads) เพื่อช่วยให้นายจ้างพบผู้สมัครที่มีคุณภาพบนโลกออนไลน์ได้ง่ายขึ้น

โดยเรื่องนี้ "อีริค ซีโต" ผู้จัดการทั่วไป จ็อบสตรีทดอทคอม ภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก เปิดเผยว่า ความท้าทายหนึ่งขององค์กรส่วนใหญ่ที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันคือการแข่งขัน ช่วงชิงคนเก่งในตลาดแรงงานเข้ามาอยู่ในองค์กร หลายองค์กรจึงหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างภาพลักษณ์ หรือการสร้างแบรนด์ เพื่อให้คนเกิดความรู้สึกที่ดีต่อองค์กร และอยากร่วมงานในที่สุด ขณะเดียวกันผู้หางานเองก็ต้องการข้อมูลที่มากขึ้น ก่อนจะตัดสินใจสมัครงานกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

จ็อบสตรีทดอทคอมตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวทั้งในแง่มุมของผู้หางานและนาย จ้าง จึงได้เปิดตัว "ริชเชอร์ จ็อบ แอดส์" (Richer Job Ads) ขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

"ริชเชอร์ จ็อบ แอดส์" เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้หางานสามารถเลือกงานจากบริษัทต่าง ๆ ในอัตราเงินเดือนที่ตนพอใจได้ทันที และสามารถดูรีวิวพร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับงาน, ที่ตั้งบริษัท, และข้อมูลเชิงลึกของบริษัทก่อนตัดสินใจยื่นใบสมัคร

"เราได้สอบถามจากผู้หางานจำนวนมากว่าข้อมูลใดสำคัญที่สุดในการตัดสินใจ เลือกสมัครงาน ซึ่งพบว่านอกจากเงินเดือนและตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่ทำงานแล้ว พวกเขายังอยากรู้ข้อมูลเชิงลึกของบริษัทด้วย"

"ทั้งนี้ ริชเชอร์ จ็อบ แอดส์ จะทำให้ผู้หางานเสมือนได้เห็นสภาพแวดล้อมการทำงานที่แท้จริงผ่านรูปถ่ายและ วิดีโอ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรต่าง ๆ อาทิ ระเบียบการแต่งกาย เวลาทำงาน และภาษาที่ใช้ ความสามารถเหล่านี้อำนวยประโยชน์แก่ผู้หางานในการทำความเข้าใจงานที่ตนสนใจ ได้ดียิ่งขึ้น ในคราวเดียวกันยังช่วยให้นายจ้างคัดกรองผู้สมัครที่จริงจังและมีคุณสมบัติ ตรงตามที่ต้องการได้มากขึ้นด้วย"

ขณะที่ส่วนของนายจ้าง จ็อบสตรีท ดอทคอมเก็บผลสำรวจความคิดเห็นจากองค์กรจำนวน 227 บริษัท พบว่า 43% ขององค์กรที่ตอบแบบสอบถามเคยใช้สื่อโซเชียลเน็ตเวิร์กในการสรรหาบุคลากร

โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการประกาศตำแหน่งงานว่างและสร้างแบรนด์องค์กรไป พร้อม ๆ กัน และเมื่อสอบถามถึงการเลือกใช้ช่องทางในการสรรหาบุคลากร ร้อยละ 91 ของบริษัทที่ร่วมทำแบบสอบถามยังคงใช้และมีแนวโน้มที่จะใช้เว็บหางานในการลง โฆษณาตำแหน่งงานว่าง ในขณะที่ร้อยละ 49 จะประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์กและองค์กรที่มีแผนจะลงโฆษณา ตำแหน่งงานว่างในสื่อสิ่งพิมพ์ คิดเป็นร้อยละ 21

เรื่องนี้ "ฐนาภรณ์ สถิตพันธุ์เวชา" ผู้จัดการสาขาประเทศไทย บริษัท จ็อบสตรีท (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยข้อมูลส่วนแบ่งทางการตลาดการลงโฆษณาประกาศตำแหน่งงานว่า จากการเก็บข้อมูลจำนวนตำแหน่งงานที่ลงโฆษณาบนเว็บไซต์สมัครงานและสื่อดั้ง เดิมอย่างสื่อสิ่งพิมพ์ย้อนหลังไป 3 ปี พบว่าแนวโน้มการลงโฆษณาตำแหน่งงานว่างบนเว็บไซต์หางานเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อ เนื่อง

"ขณะที่การลงประกาศในสื่อสิ่งพิมพ์มีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ในปี 2010 ระดับภูมิภาคเอเชียอาคเนย์มีส่วนแบ่งทางการตลาด สื่อออนไลน์:สื่อสิ่งพิมพ์ คิดเป็น 70:30 ปัจจุบันอัตราส่วนเปลี่ยนไปเป็น 91:9 ตัวเลขส่วนแบ่งทางการตลาดระหว่างช่องทางลงประกาศตำแหน่งงานบนเว็บไซต์สมัคร งานออนไลน์กับสื่อสิ่งพิมพ์มีตัวเลขที่ห่างกันมาก ซึ่งในจุดนี้สื่อดั้งเดิมอย่างสิ่งพิมพ์คงไม่ใช่คู่แข่งที่ท้าทายสำหรับ ธุรกิจเว็บไซต์หางานอีกต่อไป"

นอกจากนั้น "ฐนาภรณ์" ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้โซเชียลเน็ตเวิร์กจะมีการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง และเป็นช่องทางที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่าง สะดวกง่ายดายขึ้น แต่ยังคงไม่ใช่กระแสหลักของกิจกรรมการหางาน และการสรรหาบุคลากรในองค์กรในขณะนี้

"เพราะจากผลสำรวจของบริษัท เดอะนีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด เกี่ยวกับพฤติกรรมการหางานของคนทำงานช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่าช่องทางที่คนทำงานใช้ในการหางานปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังคงเข้าเว็บไซต์หางาน คิดเป็นร้อยละ 85 รองลงมาคือร้อยละ 38 บอกต่อเพื่อนหรือคนรู้จัก อีกร้อยละ 36 เข้าเว็บไซต์บริษัทที่ต้องการสมัครงาน มีเพียงร้อยละ 16 ที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก"

(ประชาชาติธุรกิจ, 25-7-2556)

 

ระวังหลงกลนายหน้าจัดหางานเถื่อน อ้างงานก่อสร้างรายได้ดีในมาเลเซีย

กรมการจัดหางานเตือนคนหางาน หลงเชื่อนายหน้าจัดหางานเถื่อนชาวมาเลเซีย ที่มีพฤติกรรมเข้ามาตีสนิทกับผู้นำท้องถิ่น เพื่อให้ชักชวนลูกบ้านไปทำงานก่อสร้างในรัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย โดยอ้างค่าจ้างที่สูงเกินจริงแล้วเรียกเก็บค่าบริการ แต่เมื่อคนหางานไปทำงานกลับไม่ได้รับค่าจ้างตามที่กล่าวอ้าง

นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กองตรวจและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางานได้รับการประสานจากสำนักงานแรงงานไทยในประเทศมาเลเซีย ให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับนายหน้าจัดหางานเถื่อนชาวไทยและชาวมาเลเซีย ชื่อนาย Liew Chong Hin ซึ่งมีพฤติกรรมเข้าไปตีสนิทกับผู้นำท้องถิ่นในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้บุคคลดังกล่าว แนะนำลูกบ้านให้มาทำงานกับตน โดยให้เงินเป็นค่าตอบแทนในการแนะนำ โดยนายหน้าดังกล่าวได้อ้างว่า จะได้รับค่าจ้างในอัตราที่สูง ซึ่งตนสามารถนำแรงงานไทยเข้าไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายของมาเลย์ ได้หลายคนแล้ว เมื่อคนหางานหลงเชื่อ ก็จะเรียกรับค่าบริการและค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่เมื่อได้ส่งไปทำงานในมาเลย์ฯ กลับไม่ได้รับค่าจ้างตามที่นายหน้าฯ อ้าง คนหางานหลายรายจึงร้องขอให้สำนักงานแรงงานไทยช่วยเหลือกลับประเทศไทย เบื้องต้นสำนักงานแรงงานฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมแรงงานไทยดังกล่าว ที่ทำงานอยู่กับนายจ้างบริษัท Musyati เมืองซีบู รัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือส่งกลับประเทศ พร้อมทั้งได้แนะนำนายจ้างดังกล่าวให้จ้างแรงงานไทยโดยผ่านกรมการจัดหางานของ ไทย ซึ่งนายจ้างฯ ก็ยินดีดำเนินการตามข้อเสนอฯ ในส่วนของกรมการจัดหางาน ได้ดำเนินการแจ้งความต่อสถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ เพื่อดำเนินคดีกับนายหน้าจัดหางานเถื่อนชาวไทย ในมาตรา 30 และมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528

อย่างไรก็ดี เพื่อป้องกันการหลอกลวงคนหางาน กรมการจัดหางานจึงขอแจ้งเตือนคนหางานมิให้หลงเชื่อนายหน้าหรือบริษัทจัดหา งานเถื่อนรายใด ที่ชักชวนให้ลักลอบไปทำงานในต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย เพื่อมิให้ต้องเสียทรัพย์สิน หรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง โดยขอรับคำปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการไปทำงานในต่างประเทศอย่างถูก กฎหมาย หรือร้องทุกข์และแจ้งเบาะแสการหลอกลวงคนหางานไปทำงานในต่างประเทศได้ ที่สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่กองตรวจและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน โทร. 0-2245-6763 หรือ สายด่วน กรมการจัดหางาน โทร.1694

(บ้านเมือง, 26-7-2556)

 

จัดหางานนครปฐมรับสมัครคัดเลือกคนงานไปภาคเกษตรในอิสราเอล-ญี่ปุ่น

จัดหางานนครปฐม ประกาศเปิดรับสมัครคัดเลือกคนงานเพื่อไปทำงานภาคเกษตรในประเทศอิสราเอล และอบรมการทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น
      
นางศุภนา คุ้มวงศ์ดี จัดหางานจังหวัดนครปฐม เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน ประกาศรับสมัครบุคคลเพื่อสุ่มคัดเลือกให้ไปทำงานภาคเกษตรในประเทศอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน ครั้งที่ 4” โดยเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 1-9 สิงหาคม 2556 รายละเอียด และคุณสมบัติของผู้สมัคร ดังนี้...
      
       1.สัญชาติไทย กรณีผู้สมัครเป็นผู้ชายต้องพ้นภาระการรับราชการทหาร
       2.อายุระหว่าง 23-39 ปี (ผู้สมัครที่โครงการได้รับลงทะเบียน และบันทึกไว้ในฐานข้อมูลแล้ว จะมีรายชื่ออยู่ในทะเบียนของโครงการจนอายุครบ 41 ปีบริบูรณ์)
       3.ไม่มีประวัติอาชญากร ไม่เคยทำงานในประเทศอิสราเอล
       4.คู่สมรส บุตร บิดา หรือมารดา ไม่พำนักอยู่ในประเทศอิสราเอล
       5.สุขภาพแข็งแรงพร้อมต่อการทำงานภาคเกษตร ไม่มีอาการตาบอดสี และไม่เป็นโรคติดต่อ ได้แก่ วัณโรค โรคไวรัสตับอักเสบบี และซี โรคเอดส์ กามโรค ซิฟิสิส และโรคเบาหวาน
      
       หลักฐานการสมัคร   
       1.บัตรประชาชนที่ยังไม่หมดอายุ พร้อมสำเนา จำนวน 2 ฉบับ
       2.สำเนาทะเบียนบ้าน จำนวน 2 ฉบับ
       3.สำเนาหนังสือเดินทาง (ถ้ามี)
       4. รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ขนาด 2 นิ้ว ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน จำนวน 2 รูป
       5.สำเนาหลักฐานยกเว้นการเกณฑ์ทหาร จำนวน 2 ฉบับ
       6. สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุล และสำเนาใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ (ถ้ามี) ผู้สนใจสามารถขอรับใบสมัคร และยื่นใบสมัครได้ ระหว่างวันที่ 1-9 สิงหาคม
      
นางศุภนา คุ้มวงศ์ดี จัดหางานจังหวัดนครปฐม เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้ กรมการจัดหางานเปิดรับสมัครคัดเลือกผู้รับการฝึกอบรมเพื่อจัดส่งไปฝึกงาน เทคนิคในประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านองค์การพัฒนาแรงงานระดับนานาชาติประเทศญี่ปุ่น (Public Interest Foundation, International Manpower Development Organization, Japan) หรือ IM ประเทศญี่ปุ่น ปี 2556 ครั้งที่ 4 กำหนดรับสมัครระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม ถึง 6 สิงหาคม 2556 รายละเอียดดังนี้
      
ผู้สมัครต้องเป็นเพศชายอายุ 20 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 30 ปี สูง 160 ซม. สุขภาพแข็งแรง พ้นภาระการรับราชการทหาร สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) หรือระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.-ปวส.) ประเภทวิชาอุตสาหกรรมสาขาเครื่องยนต์ สาขาเครื่องมือกลและซ่อมบำรุง สาขาวิชาโลหการ (ช่างเชื่อม) สาขาวิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และสาขาวิชาช่างก่อสร้าง **ยกเว้นสาขาวิชาสถาปัตยกรรม สาขาวิชาเคหภัณฑ์ สาขาวิชาช่างโยธา สาขาวิชางานสำรวจ** และไม่เคยเป็นผู้ไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นมาก่อน สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายระหว่างการฝึกอบรมในประเทศ และระหว่างการฝึกงานในประเทศญี่ปุ่นได้
      
ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับค่าตอบแทนเดือนละประมาณ 3 หมื่นบาท หากฝึกงานครบ 1 ปี จะได้รับเงินโบนัส 84,000 บาท ฝึกงานครบ 3 ปี จะได้รับเงินโบนัส 252,000 บาท เอกสารประกอบการสมัคร 1.รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 3 ใบ 2.บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน วุฒิการศึกษา และหลักฐานการพ้นภาระการรับราชการทหาร พร้อมสำเนา อย่างละ 1 ฉบับ 3.ประวัติส่วนตัว 4.ใบรับรองแพทย์ 5.ใบผ่านงาน (ถ้ามี) ผู้สมัครไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการสมัคร
      
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติม และสมัครด้วยตนเองได้ที่ สำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ อาคารสำนักงานประกันสังคมพื้นที่ 3 ชั้น 10 กระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี ดินแดง กรุงเทพฯ หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดนครปฐม เลขที่ 898/7-9 ถนนเพชรเกษม ตำบลห้วยจรเข้ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม โทร.0-3425-0861 ต่อ 23 ในวันและเวลาราชการ

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 26-7-2556)

 

สั่งประเมินลูกจ้างชั่วคราวเป็น พนักงาน สธ.ลั่นไม่ผ่านอาจเลิกจ้าง

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจระเบียบ หลักเกณฑ์การจ้างพนักงานกระทรวงสาธารณสุข หลังออกระเบียบและประกาศเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2556 ว่า ส่วนราชการต้องแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการประเมินฯ ลูกจ้างชั่วคราวเข้าสู่ตำแหน่งพนักงานกระทรวงตามหลักเกณฑ์ให้แล้วเสร็จภายใน วันที่ 27 ส.ค.นี้ และให้สัญญาจ้างมีผลวันที่ 1 ต.ค. 2556 โดยขณะนี้ สธ.มีลูกจ้างชั่วคราว ประมาณ 117,000 ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ตนได้ลงนามในประกาศคณะกรรมการบริหารพนักงานกระทรวงสาธารณสุข 7 ฉบับ เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ประกอบด้วย 1.หลักเกณฑ์ว่าด้วยการประเมินลูกจ้างชั่วคราวเข้าสู่ตำแหน่งพนักงานกระทรวง สาธารณสุข 2. การกำหนดประเภทตำแหน่ง ลักษณะงาน และคุณสมบัติเฉพาะของกลุ่ม และการจัดกรอบอัตรากำลัง 3.หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการจ้างพนักงานกระทรวงสาธารณสุข การสรรหาและการเลือกสรร รวมทั้งแบบสัญญาจ้าง 4.ค่าจ้างของพนักงานกระทรวงสาธารณสุข 5.หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขของพนักงานกระทรวงสาธารณสุขที่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่ม สำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ 6.สิทธิประโยชน์ของพนักงานกระทรวงสาธารณสุขทั่วไป และ 7.หลักเกณฑ์การลาออกจากการปฏิบัติงานในระหว่างสัญญาจ้างของพนักงานกระทรวง สาธารณสุข เพื่อให้การจ้างพนักงานกระทรวงสาธารณสุขเป็นไปอย่างมีระบบและเป็นมาตรฐาน เดียวกัน
      
นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า พนักงานกระทรวงสาธารณสุข มี 2 ประเภท คือพนักงานกระทรวงสาธารณสุขทั่วไป ได้แก่ พนักงานซึ่งปฏิบัติงานในลักษณะเป็นงานประจำซึ่งเป็นภารกิจหลักและภารกิจสนับ สนุนทั่วไปของหน่วยบริการในด้านงานเทคนิค งานบริการ งานบริหารทั่วไป งานวิชาชีพเฉพาะ และพนักงานกระทรวงสาธารณสุขพิเศษ ได้แก่ พนักงานซึ่งปฏิบัติงานในลักษณะที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถหรือความเชี่ยว ชาญสูงมากเป็นพิเศษ เพื่อปฏิบัติงานในเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นเฉพาะเรื่องของหน่วยบริการ หรือมีความจำเป็นต้องใช้บุคคลที่มีลักษณะดังกล่าว และไม่สามารถหาผู้ปฏิบัติที่เหมาะสมในหน่วยบริการได้ โดย สธ.ได้ทำบัญชีตำแหน่งไว้ 128 สายงาน แยกเป็น 3 กลุ่มตามลักษณะงาน ดังนี้ 1.กลุ่มเทคนิค บริการ และบริหารทั่วไป เช่น นิติกร นักทรัพยากรบุคคล นักวิชาการเงินและบัญชี นักจัดการงานทั่วไป พนักงานประจำตึก พนักงานพิมพ์ เป็นต้น 2.กลุ่มวิชาชีพเฉพาะหรือกลุ่มที่ต้องปฏิบัติงาน ภายใต้พระราชบัญญัติวิชาชีพ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล เป็นต้น และ 3.กลุ่มเชี่ยวชาญ
      
“สำหรับการจ้างได้ให้จ้างตามกรอบอัตรากำลัง โดยต้องคำนึงถึงภารกิจ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลสอดคล้องกับเป้าหมายการปฏิบัติราชการของหน่วยบริการ ที่สำคัญต้องไม่กระทบต่อการให้บริการสุขภาพของประชาชน ภายใต้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารพนักงานกระทรวงสาธารณสุข (กพส.) ทั้งนี้ พนักงานกระทรวงสาธารณสุขสามารถย้ายสถานที่ปฏิบัติงานภายในกรมเดียวกันได้ โดยยึดประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ” ปลัด สธ. กล่าว
      
ด้าน นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา รองปลัด สธ.กล่าวว่า ลูกจ้างชั่วคราวที่จะเข้าสู่ตำแหน่งพนักงานกระทรวงสาธารณสุข ต้องเป็นลูกจ้างชั่วคราวเงินบำรุงฯ หรือเงินรายได้การศึกษา ที่จ้างไว้เป็นรายเดือน และต้องมีชื่อตำแหน่งตามที่ กพส.ได้จัดระบบตำแหน่งไว้ 128 สายงาน โดย กพส.มีวิธีดำเนินการประเมินเข้าสู่ตำแหน่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.ประเมินโดยผู้บังคับบัญชาชั้นต้นของผู้รับการประเมิน คะแนนเต็ม 50 คะแนน และ 2.ประเมินในรูปคณะกรรมการของส่วนราชการ โดยวิธีสัมภาษณ์ คะแนนเต็ม 50 คะแนน ผู้เข้ารับการประเมินต้องมีคะแนนการประเมินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 โดยผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินหน่วยบริการอาจเลิกจ้างหรือกำหนดวิธีการ จ้างด้วยวิธีอื่นแทน
      
นพ.สุพรรณ กล่าวอีกว่า ในราชการบริหารส่วนภูมิภาค สธ.ได้มอบอำนาจการประเมินลูกจ้างชั่วคราว ให้ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วไป ส่วนราชการบริหารส่วนกลางที่ตั้งในภูมิภาค มอบให้ผู้อำนวยการวิทยาลัยพยาบาลฯและผู้อำนวยการวิทยาลัยการสาธารณสุขเป็น ผู้ประเมิน โดยการนับค่าประสบการณ์ หน่วยบริการที่มีการจ้างลูกจ้างชั่วคราวที่มีลักษณะงาน/หน้าที่ความรับผิด ชอบตรงกับตำแหน่งพนักงานกระทรวง จะได้รับการปรับเงินค่าประสบการณ์ ร้อยละ 5 ต่อทุกประสบการณ์ 2 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 25-7-2556)

 

เตือนแก๊งนายหน้าเถื่อนต้มคนไทยทำงานญี่ปุ่น

กรมจัดหางานเตือนคนไทยระวัง “แก๊งนายหน้าเถื่อน” หลอกลวงพาลักลอบทำงานญี่ปุ่น หลังแดนอาทิตย์อุทัยไขก๊อกวีซ่าเข้าประเทศได้ไม่เกิน 15 วัน ชี้มีปัญหามากอาจกระทบการผ่อนปรน ย้ำญี่ปุ่นเปิดแรงงานต่างชาติแค่ 14 สายงานเท่านั้น
  
นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) เปิดเผยว่า หลังจากญี่ปุ่นยกเลิกการออกวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวไทยที่ต้องการเดินทางไป ท่องเที่ยวญี่ปุ่น มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้คนไทยสามารถเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้ไม่เกิน 15 วัน โดยใช้เพียงหนังสือเดินทางเท่านั้น ทางกรมฯ และสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น เกรงว่า อาจมีกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างเป็นนายหน้า หรือบริษัทจัดหางานเถื่อน ใช้เป็นช่องว่างในการหลอกลวงชักชวนคนไทยลักลอบเข้าไปทำงานในญี่ปุ่น ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะส่งผลกระทบต่อการพิจารณายกเลิกมาตรการผ่อนปรนนี้ รวมทั้งสร้างความเสื่อมเสียให้กับประเทศ ที่สำคัญผู้ลักลอบเข้าไปทำงานยังเสี่ยงต่อการถูกหลอกเสียทรัพย์สิน หรือถูกปล่อยลอยแพในต่างแดน ถูกเอารัดเอาเปรียบ เเละไม่กล้าไปร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจากเป็นการลักลอบเข้าทำงาน
      
นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันญี่ปุ่นเปิดรับแรงงานต่างชาติเฉพาะผู้ประกอบงานวิชาชีพและแรงงาน ฝีมือ ทั้งสิ้น 14 สายงานเท่านั้น ส่วนแรงงานไร้ทักษะฝีมือและกึ่งฝีมือจะเข้าไปทำงานภายใต้เงื่อนไขต้องเป็น แรงงานต่างชาติที่มีเชื้อสายญี่ปุ่นเท่านั้น โดยเปิดรับในรูปแบบการเข้าไปฝึกงานของคนงานจากบริษัทสาขาของบริษัทญี่ปุ่นใน ต่างประเทศที่ส่งเข้ามาฝึกงานกับ บริษัทแม่ในญี่ปุ่น หรือเป็นแรงงานต่างชาติประเภทไร้ฝีมือภายใต้การควบคุมของ Japan International Training Cooperation Organization (JITCO) โดยเข้าไปในรูปการฝึกงานด้านเทคนิคในญี่ปุ่นเป็นเวลา 1-3 ปี แต่ต้องมีอายุระหว่าง 25-30 ปี และต้องผ่านการสอบคัดเลือกจากองค์กรพัฒนาแรงงานระดับนานาชาติประเทศญี่ปุ่น (IM) มาก่อนเท่านั้น
      
"ผู้ที่ต้องการสมัครเข้ารับการสอบคัดเลือกเพื่อจัดส่งไปฝึกงานด้าน เทคนิคที่ประเทศญี่ปุ่น กับ IM สามารถสมัครได้ที่สำนักจัดหางานกรุงเทพฯ เขตพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่สำนักงานบริหารแรงงาน ไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน ในระหว่างวันที่ 15 ก.ค. - 6 ส.ค.นี้” อธิบดี กกจ.กล่าว

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 28-7-2556)

 

บุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เตรียมบุก สปสช. ถกเหลื่อมล้ำกองทุนสุขภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่  28 กรกฎาคม  ตัวแทนศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ  จะเดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่ง ชาติ(สปสช.)  ในเร็วๆนี้ เพื่อแจ้งและปรึกษาข้อมูลความเหลื่อมล้ำกองทุนสุขภาพที่เกิดขึ้นในสถาบัน อุดมศึกษาของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานมหาวิทยาลัยทั่วประเทศกว่าหนึ่งแสนคน

รศ. ดร. วีรชัย พุทธวงศ์ เลขาธิการ ศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ กล่าวว่า ทางศูนย์ประสานงานฯ กำลังเตรียมเข้าพบผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)  ในเร็วๆนี้  โดยมีเนื้อหาการปรึกษาหารือการคาดหวังให้กระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ลงเอ็มโอยูร่วมมือกับ อปท. กระทรวงมหาดไทย ตั้งกองทุนค่ารักษาพยาบาลข้าราชการพนักงานส่วนท้องถิ่นและครอบครัวจำนวนกว่า 5.3 แสนคนทั่วประเทศ โดยได้สิทธิทัดเทียมกับข้าราชการพลเรือนรักษาโรงพยาบาลรัฐได้ทุกแห่ง ไม่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า ไปแล้วและดำเนินเรื่องส่งเข้า ครม. อนุมัติรับรองในปีงบประมาณ 2557 ไปแล้วนั้น อยากให้ สปสช โดยกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้นเรื่องนำกลุ่มบุคลากรทางการศึกษากลุ่มใหญ่กว่าแสนคนที่ขณะนี้มี สถานภาพเป็น พนักงานมหาวิทยาลัยเข้าระบบเดียวกันด้วย
 
รศ.ดร.วีรชัย กล่าวต่อว่า ในอดีตมีการกำหนดให้บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการในสถาบันอุดมศึกษา มีสถานะเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2542 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้จัดจ้างพนักงานทดแทนอัตราข้าราชการพลเรือนใน มหาวิทยาลัย เพื่อรองรับการออกนอกระบบ โดยพนักงานมหาวิทยาลัย โดยถูกตัดขาดจากการใช้สิทธิราชการเดิม และยังไม่มีกฎหมายรองรับเรื่องนี้ แต่พนักงานมหาวิทยาลัยได้เข้าไปใช้สิทธิประกันสังคม (ปกส) ไปก่อนล่วงหน้า ซึ่งงบประมาณ ปกส. รายหัวต่อรายเดือนตกประมาณ 750-1,400 บาทโดยรัฐสนับสนุนในหมวดงบแผ่นดินไปที่ทุกๆมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องใช้ในกองทุนสุขภาพข้าราชการ ซึ่งเป็นสถานะเดิมก่อนมีระบบพนักงานมหาวิทยาลัยนั้น รัฐต้องจ่ายปีละประมาณ 6 หทื่นล้านบาท ต่อข้าราชการ 5 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งค่าเฉลี่ยต่อหัวก็ประมาณ เดือนละ 1,200 บาท ดังนั้นหากโยก ปกส. ของพนักงานมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาใช้กองทุนเหมือน อปท. ก็คิดว่ามีช่องทางทำได้ เพราะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพนักงานมหาวิทยาลัยยังไม่มี deadlock ในเรื่องนี้
 
ด้าน อ. สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าว่า ขณะนี้บ้านสมเด็จโพลล์โดยความร่วมมือกับ ศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ  กำลังออกแบบสำรวจสอบถามประเด็นนี้ ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลเชิงวิชาการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของบุคลากรของ รัฐกลุ่มนี้ได้ ซึ่งขณะนี้ได้สุ่มตัวอย่างจาก บุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ  ทั่วประเทศแล้ว โดยจะแถลงผลโพลล์ในเร็วๆนี้เช่นกัน


(มติชนออนไลน์, 28-7-2556)

 

แรงงานนอกระบบพึ่งศาลปกครองฟ้อง“นายกฯปู-กิตติรัตน์-ผอ.สศค.”ละเลยหน้าที่

เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ  น.ส.อรุณี ศรีโต นายกสมาคมส่งเสริมสิทธิชุมชนเพื่อการพัฒนา  และ นางอรพิน วิมลภูษิต สมาคมวิถีทางเลือกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับพวกรวม 27 คน ซึ่งเป็นผู้ประสานงานภาคประชาชนและสมาชิกศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่ง ชาติ ร่วมกันยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และ นายสมชัย สัจจพงษ์ ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กระทรวงการคลัง เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3  กรณี ละเลยต่อหน้าที่ ที่กฎหมายกำหนดโดยไม่ชอบ โดยไม่ดำเนินการเปิดให้รับสมัครสมาชิก เมื่อได้มีการประกาศใช้พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) พ.ศ.2554 ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12พ.ค. 54 ซึ่งตามกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้กองทุนการออมแห่งชาติ ( กอช.) เปิดรับสมาชิกหลังจาก 360 วันที่ได้มีการประกาศใช้กฎหมายแล้ว คือวันที่ 8 พ.ค.55 แต่มาถึงวันนี้ยังไม่มีการดำเนินการดังกล่าว

จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษา สั่งผู้ถูกฟ้องทั้ง 3 ร่วมกันให้มีการออกกฎกระทรวง และประกาศต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการรับสมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติโดยด่วน และให้ร่วมกันดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการคืนสิทธิในการเข้าเป็นสมาชิก กอช.ให้กับผู้ใช้แรงงานนอกระบบด้วย  ทั้งนี้ศาลรับคำฟ้องไว้เพื่อพิจารณาต่อไปว่า จะประทับรับฟ้องคดีไว้เพื่อมีคำพิพากษาหรือไม่

โดยนางอรุณี กล่าวว่า ที่ยื่นฟ้องครั้งนี้ เนื่องจากกรณีที่รัฐบาลไม่เปิดรับสมาชิกตาม พ.ร.บ.กองทุนการออม ฯ ถือว่าเป็นความเสียหายต่อประชาชนที่เป็นแรงงานนอกระบบในวงกว้าง เนื่องจากมี กฎหมายตั้งแต่ เมื่อวันที่ 13 พ.ค. พ.ศ. 2554  ซึ่งมีผลบังคับใช้โดยประชาชนสามารถสมัครสมาชิกได้ตั้งแต่ เดือน พ.ค. 2555 แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้จนล่วงเลยมากว่า 1 ปีแล้ว ทำให้บุคคลที่ควรจะมีสิทธิก็เสียสิทธิ เช่น กลุ่มผู้มีอายุใกล้ 60 ปี ก็เสียโอกาสในการได้รับหลักประกัน รวมถึงกลุ่มประกอบอาชีพอิสระและกลุ่มผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ที่มีอยู่กว่า 12 ล้านคนซึ่งต้องเสียโอกาสในการสะสมเงินเข้ากองทุนเนื่องจากนายกิตติรัตน์ ไม่ดำเนินการ เพราะจากที่มีการประชุมพิจารณางบประมาณประจำปี 2557 นายกิตติรัตน์ ได้แสดงเจตนาชัดเจนว่าไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายด้วยการตัดเรื่องการจัดสรรงบ ประมาณปี 2557 ให้กองทุนการออมแห่งชาติ

ทั้งนี้จากข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (มท.) เมื่อปี 2554 พบว่าประเทศไทยมีผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปรวมทั้งหมด 7.79 ล้านคน หรือ 12.38% ของประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเป็น 17.5% ในปี 2563และ 25.1% ในปี 2573 เพราะประชากรเกิดน้อยลง ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ผู้สูงอายุกว่า 31% ไม่มีการเก็บออม และผู้สูงอายุ 42% มีปัญหารายได้ไม่เพียงพอในการดำรงชีวิต แม้ว่ารัฐจะจัดสรรให้ 500 บาทต่อเดือนก็ยังไม่เพียงพอ ทำให้ที่ผ่านมาผู้สูงอายุจะพึ่งพิงลูกหลาน แต่อนาคตข้างหน้าจะเป็นไปได้ยาก นอกจากนี้ ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ยังพบว่ามีกลุ่มแรงงานนอกระบบระหว่างอายุ 15– 50 ปีอีกว่า 18 ล้านคนจะได้ประโยชน์จากกองทุนนี้ และจะเสียประโยชน์หากรัฐบาลยังไม่เร่งดำเนินการ ดังนั้น สังคมไทยจำเป็นต้องพึ่งพาระบบบำนาญ

“รัฐบาลไม่เร่งดำเนินการ พ.ร.บ.กองทุนการออมฯ เพราะเห็นว่าปัจจุบันมี พ.ร.บ.กองทุนประกันสังคม พ.ศ. 2533 ในมาตรา 40 ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบของภาครัฐและเอกชน สามารถส่งเงินสมทบร่วมกับภาครัฐได้ ทำให้ กระทรวงการคลังออกมาปฏิเสธกองทุนเงินออม และที่ผ่านมาแม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายสนับสนุนให้แรงงานนอกระบบเข้าเป็นผู้ ประกันตนตามพ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ให้ครบ 2.6 ล้านคนในปี 2556 แต่ปัจจุบันมีผู้ประกันตนเพียง 1.2 ล้านคน เท่านั้น ส่วนอีก 50 % จ่ายเงินไม่สม่ำเสมอ จึงถือเป็นความล้มเหลวในการทำให้แรงงานนอกระบบเข้าถึงสวัสดิการต่างตามสิทธิ ที่ควรได้รับ” นายกสมาคมส่งเสริมสิทธิชุมชนกล่าวและว่า ที่ผ่านมาเคยเดินทางไปเรียนร้องต่อรัฐบาลหลายครั้งแล้ว และไปพบนายกิตติรัตน์  2 ครั้งแล้ว จนต้องมาพึ่งศาลปกครองและพึ่งตุลาการฯให้ช่วยดำเนินการ ขณะที่อนาคตอาจจะมีการฟ้องร้อง ตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งดำเนินการเปิดรับสมาชิกกองทุนการออมฯให้ได้ภายในปี 2556

(เดลินิวส์, 29-7-2556)

 

กสร.จวก นายจ้าง ไม่แจ้งเหตุระเบิดทำลูกจ้างดับ

(29 ก.ค.) นายอาทิตย์ อิสโม อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีเกิดเหตุระเบิดในบริษัท สยามแผ่นเหล็กวิลาส จำกัด ตั้งอยู่ถนนไอ 5 นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 1 ราย ถูกนำส่ง รพ.กรุงเทพระยอง โดยเหตุเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ไม่มีการแจ้งให้ทางสำนักงานการนิคมอุตสาหกรรมและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ภาคตะวันออก สำนักงานความปลอดภัย ของสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดแต่อย่างใด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยได้เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ สันนิษฐานว่าเป็นการระเบิดของฝาถังบรรจุโซเดียมไฮดรอกไซด์ เนื่องจากวันเกิดเหตุบริษัทได้จ้างผู้รับเหมา บริษัท สินทวี เอ็นจิเนียริ่ง จำกัดเข้ามาปรับปรุงระบบท่อ บริเวณถังบรรจุสารดังกล่าว และขณะทำการเชื่อมทำให้เกิดประกายไฟและเกิดปฏิกิริยากับไอระเหยจากสารเคมีใน ถัง ส่งผลให้มีลูกจ้างของบริษัทรับเหมาเสียชีวิต 1 ราย คือ นายประนัย อินพะเนา อายุ 48 ปี และมีลูกจ้างได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ซึ่งลูกจ้างที่เสียชีวิตนั้นจะได้รับสิทธิเงินชดเชยตามประกันสังคม
      
นายอาทิตย์ กล่าวต่อไปว่า ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ความปลอดภัย พ.ศ.2554 มาตรา 34(1) กรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิต นายจ้างต้องแจ้งรายละเอียดต่อพนักงานตรวจความปลอดภัยในทันทีที่ทราบ ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ลูกจ้างเสียชีวิต ซึ่งกรณีนี้ผู้ที่เป็นเจ้าของพื้นที่คือ บริษัท สยามแผ่นเหล็กวิลาส จำกัด ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ รวมไปถึงหัวหน้าผู้ควบคุมงานดังกล่าวด้วย โดยจะดำเนินการตามกฎหมายกับบริษัทเจ้าของพื้นที่ต่อไปเพื่อให้ผู้ประกอบการ ตระหนักถึงความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้างและเพิ่มความระมัดระวังไม่ให้ เกิดเหตุดังกล่าวซ้ำอีก
      
“การระเบิดของถังบรรจุสารเคมีหลายครั้งที่ผ่านมาเป็นความประมาท การเชื่อมถังบรรจุสารเคมีเหล่านี้ต้องตรวจดูให้ดีว่ามีสารเคมีหลงเหลืออยู่ ในถังหรือไม่ ซึ่งหัวหน้างานต้องควบคุมดูแล ตามคู่มือการทำงานที่มีระบุไว้เป็นขั้นตอน” นายอาทิตย์ กล่าว

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 29-7-2556)

 

สปส.ตั้งคณะทำงานศึกษาให้สิทธิรักษา

สปส.ตั้งคณะทำงานศึกษาให้สิทธิ-ย่นเวลาเกิดสิทธิประโยชน์ ชี้แนวโน้มอยู่ระหว่าง 1 เดือน หรือสั้นสุด 7 วัน จัดโครงการรถเคลื่อนที่ลงหมู่บ้าน เชิญชวนเข้าประกันสังคมม.40 เปิดตัว 7 ส.ค.นี้

นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สปส.จะดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงแรงงาน (รง.) ให้เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันสังคมและส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ ประกันสังคมมาตรา 40 รวมทั้งจัดระบบเพื่อดูแลแรงงานต่างด้าวรองรับประชาคมอาเซียน (เออีซี) โดยขณะนี้ สปส.ได้ตั้งคณะทำงาน ซึ่งมี นางสุพัชรี มีครุฑ รองเลขาธิการ สปส.เป็นประธานคณะทำงานเพื่อศึกษาเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนและ ระยะเวลาการเกิดสิทธิหลังจากเข้าเป็นผู้ประกันตน ให้เร่งหาข้อสรุปโดยเร็ว

ทั้งนี้ เบื้องต้นเท่าที่ดูความเป็นไปได้ อาจจะย่นระยะเวลาจากเดิมเมื่อเข้าเป็นผู้ประกันตนและจ่ายเงินสมทบต่อเนื่อง 3 เดือนแล้ว จึงเกิดสิทธิกรณีรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย หรือประสบอุบัติเหตุ ซึ่งไม่ได้เกิดจากการทำงาน ก็ปรับเปลี่ยนเป็นจะต้องเข้าเป็นผู้ประกันตนและจ่ายเงินสมทบต่อเนื่องอย่าง น้อย 1 เดือนหรือหากจะให้เร็วที่สุดก็ต้องเป็นเวลา 7 วันแล้วจึงเกิดสิทธิ คงไม่สามารถให้เกิดสิทธิได้ทันทีหลังสมัครเป็นผู้ประกันตน เนื่องจาก สปส.ต้องใช้เวลาในการบันทึกข้อมูลลงระบบคอมพิวเตอร์ รวมทั้งส่งต่อข้อมูลผู้ประกันตนไปยังโรงพยาบาลในระบบประกันสังคมและออกบัตร รับรองสิทธิให้แก่ผู้ประกันตน
      
“ส่วนเรื่องของสิทธิประโยชน์นั้น เบื้องต้นเท่าที่พิจารณาโดยส่วนตัวผมเห็นว่าน่าจะให้ใช้สิทธิได้ทันที เมื่อผู้ประกันตนเกิดสิทธิก็คือ การใช้สิทธิรักษาพยาบาล ประสบอุบัติเหตุแล้วเสียชีวิตได้รับค่าทำศพ เนื่องจากทั้งสองกรณีนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องได้รับการดูแล อย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้จะต้องพิจารณาให้รอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ ต่อความมั่นคงด้านการเงินของกองทุนประกันสังคมในระยะยาว” เลขาธิการ สปส.กล่าว
      
นายจีรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนการจัดระบบประกันสังคมเพื่อดูแลแรงงานต่างด้าวนั้น สปส.ได้แก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 โดยกำหนดให้แรงงานต่างด้าว ซึ่งเป็นผู้ประกันตนจะไม่ได้รับสิทธิ์ครบ 7 กรณี โดยตัดสิทธิ์กรณีว่างงาน คลอดบุตร และสงเคราะห์บุตรออกไป แต่แรงงานต่างด้าวยังคงได้รับสิทธิ์รักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และชราภาพซึ่งเงินชราภาพนั้นจะได้รับเป็นเงินบำเหน็จเมื่อเดินทางกลับประเทศ ต้นทาง ตอนนี้ร่างแก้ไขพ.ร.บ.ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ สภาผู้แทนราษฎรรอเข้าสู่การพิจารณาของสภาวาระที่ 2
      
นอกจากนี้ ในส่วนของการส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ประกันสังคมมาตรา 40 ทางสปส.จะจัดรถเคลื่อนที่ออกให้บริการและประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ความรู้และชักชวนให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ประกันสังคมมาตรา 40 ตามหมู่บ้านของแต่ละตำบลในจังหวัดต่างๆโดยจะจัดงานเปิดตัวโครงการในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ที่กระทรวงแรงงาน

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 29-7-2556)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘วิกฤติศาสนาหรือศรัทธาที่เปลี่ยนไป’ แลกมุมมองต่อ ‘พุทธศาสนา’ ในปัจจุบัน

$
0
0
เสวนา ‘วิกฤติศาสนาหรือศรัทธาที่เปลี่ยนไป’ ร่วมตอบคำถามของคนรุ่นใหม่ถึงความหมายของศาสนาในปัจจุบัน เมื่อสื่อเปิด โลกก็เปลี่ยน หรือการเข้าใจศาสนาอย่างถ่องแท้ไม่เคยมีอยู่
 
 
วันนี้ (1 ส.ค.56) ฟรีดอมโซน ร่วมกับสื่อสร้างสุขอุบลราชธานี จัดงานเสวนา “วิกฤติศาสนาหรือศรัทธาที่เปลี่ยนไป” เพื่อตอบคำถามของคนรุ่นใหม่ถึงความหมายของศาสนาในปัจจุบัน พร้อมทั้งบันทึกเทปรายการ “ร่วมทุกข์ร่วมสุข” เผยแพร่ออกอากาศทางทีวีเคเบิลท้องถิ่น โดยมีการร่วมพูดคุยของนางสาวกาญจนา คุ้มทรัพย์ อาจารย์ประจำคณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี นายวิทยากรโสวัตร นักเขียน/นักอ่าน ร้านหนังสือฟิลาเดเฟีย นางสาวขนิษฐา หาระสาร นักผลิตสื่อรุ่นใหม่ และนายเจนณรงค์ วงษ์จิตร เยาวชนกลุ่มแว่นขยาย ดำเนินรายการโดย นายกมล หอมกลิ่น สื่อสร้างสุขอุบลราชธานี
 
นางสาวกาญจนา คุ้มทรัพย์ อาจารย์ประจำคณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีกล่าวว่า การที่เด็กรุ่นใหม่รู้จักตั้งคำถามเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม คนรุ่นใหม่รู้จักใช่สื่อออนไลน์มาก บางครั้งการเข้ารับข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน อาจดึงคนรุ่นใหม่ให้หลุดออกจากคำสอนของศาสนา การเรียนรู้แนวคิดทางศาสนาเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิต การปฏิบัติศาสนกิจควรพิจารณาให้เข้มข้น ซึ่งจะกล่าวถึงคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันว่าจำนวนมากหรือน้อยเท่าใดที่เข้าถึงแก่นธรรมคงไม่สามารถตัดสินได้ เพราะศาสนาไม่จำเป็นต้องเข้าสถานปฏิบัติธรรม การเข้าใจศาสนาเข้าใจชีวิตโดยที่ไม่ปรุงแต่งเป็นสิ่งที่ต้องคิด
 
ยุคข้อมูลข่าวสาร รูปแบบข้อมูลข่าวสาร ในสังคมที่เราคาดหวังว่าต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ และที่เกิดขึ้นทำให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งของศาสนาที่มืดบอด แต่ในวิกฤติย่อมมีโอกาสให้สังคมได้เรียนรู้ โลกเปลี่ยนไปทำให้เราได้ค้นหาตัวเอง ทำให้บอกได้ว่า การดำเนินทางสายกลางโดยที่เราจะต้องเอาตัวเองเป็นตัววัด ที่ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และสายกลางของแต่ละบุคคลก็กลางไม่เท่ากัน
 
อาจารย์ประจำคณะบริหารศาสตร์ กล่าวด้วยว่า เราต้องรู้และอยู่กับตัวเอง ต้องเอาทุกอย่างไปปรับใช้ในชีวิต รู้และอยู่กับตัวเองในสิ่งที่มองเห็น เมื่อรู้และเข้าใจแล้วจะกลายเป็นปัญญา เราต้องคิดและยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตและสังคมเรา
 
นายเจนณรงค์ วงษ์จิตร เยาวชนกลุ่มแว่นขยาย กล่าวว่า เรื่องการกระทำอันไม่เหมาะสมของพระสงฆ์หรือผู้ที่เป็นนักบวชของศาสนาพุทธนั้น แม้ทุกศาสนาสอนให้คนในสังคมเป็นคนดี แต่กรณีที่เกิดขึ้นและสะท้อนได้ เช่น กรณีพระสงฆ์จับสุนัขโยน เป็นการใช้ความรุนแรงที่ผิดแปลกวิสัยนักบวช ทำให้เห็นถึงจิตใจที่ไม่ดีงามของพระสงฆ์ ทั้งนี้ โดยส่วนตัวได้ได้ลึกซึ้งกับคำสั่งสอนของพุทธศาสนามาก เข้าใจทั่วไปว่าคำสอนของศาสนาพุทธเน้นให้คนที่นับถือปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม พระสงฆ์หรือนักบวชควรอยู่ในส่วนศาสนาสถานหรือพื้นที่สำหรับพระและนักบวช หน้าที่สำคัญคือการศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจถ่องแท้
 
นายเจนณรงค์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันพยายามค้นหาการใช้ชีวิตตามหลักศาสนาอื่นมากกว่าศาสนาพุทธ แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งศาสนาพุทธโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเห็นข้อดีของแต่ละศาสนาว่ามีส่วนที่จะนำมาปรับใช้ในชีวิตได้ และเชื่อว่ามนุษย์มีความศรัทธาที่แตกต่าง เพราะธรรมชาติที่มนุษย์เกิดความกลัวทำให้ศาสนาและความเชื่อเกิดขึ้นในสังคม และคนที่ไม่มีศาสนาในสังคมก็มีน้อย อยากให้ปรับหลักการจากแต่ละศาสนามาปรับใช้ให้ได้ในชีวิต
 
ด้านนายวิทยากร โสวัตร นักเขียนและผู้ดูแลร้านหนังสือฟิลาเดเฟีย อุบลราชธานี กล่าวว่า ถ้าเริ่มจากข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ คนบางกลุ่มที่มีความศรัทธาพระสงฆ์มาก เมื่อไม่ได้ตามที่ตนวาดหวังว่าพระต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็กลายเป็นไปตำหนิพระสงฆ์แทน อารมณ์ที่เราตามวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อทั้งกระแสหลักและกระแสรองเป็นการกระทำที่เลวร้ายต่อศาสนา
 
มองภาพในสังคมอีสานที่มีท่าทีการนับถือผีมากกว่าศาสนาพุทธ ย่อมไม่แปลกที่มีคนไม่นับถือศาสนาพุทธ การบอกว่าไม่ศรัทธาในศาสนานั้น ต้องถามว่าเราได้อ่านและเข้าใจถึงหลักแก่นแท้ทางศาสนาแล้วหรือยัง การกล่าวถึงองค์กรสงฆ์กับพุทธศาสนานั้น อย่าเอามาวิเคราะห์ให้สับสน ถ้าไม่เข้าใจอย่างแท้จริงเมื่อมีปรากฏการณ์เกิดขึ้นในสังคมก็อธิบายแบบไม่เข้าใจ
 
ส่วนสถานปฏิบัติธรรมหรือวัดจะเป็นทีพึ่งได้ไหมในกระแสสังคมปัจจุบัน เป็นคำถามที่ยั่วยวนให้เกิดโทสะ ยั่วยวนให้เกิดความขัดแย้ง การแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางศาสนานั้นไม่ยาก เพระเรามีเสรีภาพที่จะนับถือศาสนาอะไรก็ได้ เราสามารถเลือกที่จะศึกษาให้ถึงแก่นแท้ของคำสอน และต้องถามตัวเองว่าเราเข้าถึงหลักธรรมคำสอนมาปรับใช้ในชีวิตอย่างไร
ขณะที่นางสาวขนิษฐา สาระหาญ คนผลิตสื่อรุ่นใหม่ และนักเรียนห้องเรียนพลเมืองรุ่นใหม่ กล่าวว่า โดยส่วนตัวเป็นคนที่มีความชอบในการผลิตสื่อ และช่วงระยะเวลานี้ไม่ชอบติดตามข้อมูลทางโทรทัศน์ เลือกการรับข้อมูลจากสื่อออนไลน์มากกว่า เพราะทำให้รู้สึกว่าดีกว่า แต่ต้องใช้การดูข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งในสังคมออนไลน์นั้นมีข้อมูลที่รวดเร็ว ยุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยสังคมออนไลน์ ถ้าเสพสื่อโดยที่ไม่พิจารณาให้ดี อาจทำให้เราได้รับข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และถ้าอยู่กับสื่อมากจะทำให้เราได้รับข้อมูลข่าวสารมาก รวมถึงข้อมูลทั้งบวกและลบเกี่ยวกับศาสนา
 
นางสาวขนิษฐา กล่าวต่อมาว่า คนรุ่นใหม่ปัจจุบันมีความเชื่อมั่นเป็นตัวของตัวเองสูง เป็นช่วงที่สับสนในชีวิต และบางครั้งจะไม่เชื่ออะไรเลย การทำบุญตักบาตรกับครอบครัวตอนเช้าในอดีตเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติ ซึ่งมองว่ามันเสมือนเป็นเพียงหน้าที่ที่ต้องทำ ขณะนี้ก็ตั้งคำถามว่าทำไม่ต้องทำเช่นนั้น ปัจจุบันเลือกที่จะศึกษาตำราเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่ไม่ได้เขียนหรือเรียบเรียงโดยพระหรือนักบวช เนื่องจากอ่านแล้วไม่เข้าใจ  จึงหันมาหาตำราที่เกี่ยวกับศาสนาที่แต่งโดยคนทั่วไปมากกว่า
 
คนรุ่นใหม่ยุคนี้อย่าคิดว่าพุทธศาสนาจะต้องเป็นเรื่องที่วัดเพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาให้กว้างขึ้นกว่านั้น ค้นหาความเชื่อหรือความศรัทธา แล้วจะพบว่าอยู่ในตัวเราเอง เราเองที่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเหมาะสม และจะดำเนินชีวิตได้ลงตัว
 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลปฏิเสธคำขอประกันสมยศเป็นครั้งที่15 เหตุผล 'เกรงว่าจะหลบหนี'

$
0
0
ภรรยาเหยื่อ112 ใช้หลักทรัพย์เฉียดห้าล้านยื่นประกัน  ประกาศไม่ถอยเตรียมประกันต่อเพื่อยืนยันสิทธิขั้นพื้นฐาน เจ้าตัวยืนยันไม่ผิด ไม่สารภาพและไม่ขออภัยโทษ

 
1 สิงหาคม 2556 เวลา10.00 น.  นางสุกัญญา พฤกษาเกษมสุข ภรรยาของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการวารสาร Voice of Taksin ผู้ถูกแจ้งความดำเนินคดีตาม กม.อาญาฯ มาตรา112  ได้เดินทางไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อรับฟังคำสั่งศาลตามคำร้องขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายสมยศ หลังจากที่นางสุกัญญาได้ยื่นไปเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2556  โดยในคำร้องได้ให้เหตุผลถึงสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราวตามรัฐธรรมนูญและตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล โดยในการนี้นางสุกัญญาได้ยื่นหลักทรัพย์เอกสารสิทธิในที่ดินประกอบการประกันตัวมีมูลค่าเป็นตัวเงิน 4,762,000 บาท
 
10.30 น. ศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำสั่งปฏิเสธการให้ประกันตัวโดยให้เหตุผลว่า “การกระทำของจำเลยเป็นเรื่องที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อย และต่อความรู้สึกของประชาชน นับเป็นเรื่องร้ายแรง หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไปในระหว่างอุทธรณ์ ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์”
 
หลังที่ได้รับทราบคำสั่งศาล นางสุกัญญา กล่าวว่าไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับคำสั่งในครั้งนี้ เนื่องจากตนเองและญาติมิตรได้เคยยื่นขอประกันตัวนายสมยศมารวมแล้วถึง15ครั้ง ซึ่งก็ได้รับการปฏิเสธโดยให้เหตุผลในลักษณะเดียวกันนี้มาโดยเธอกล่าวต่อว่าแม้ว่าในการประกันแต่ละครั้งจะมีความยากลำบากในการจัดเตรียมเอกสาร แต่ก็จะขอยื่นประกันนายสมยศต่อไปเรื่อยๆประมาณ 2-3 เดือนต่อครั้ง และแม้จะไม่มีความหวังในการได้ประกันตัว แต่อย่างน้อยก็ยังถือว่าเป็นการยืนยันว่าการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
 
เมื่อสอบถามว่านายสมยศได้ทราบข่าวแล้วหรือไม่และจะยอมรับสารภาพหรือไม่นั้น  นางสุกัญญาได้เล่าว่า นายสมยศไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว และได้ยืนยันจะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด เนื่องจากไม่ได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา และหากต้องถวายฎีกาเพื่อขออภัยโทษก็จำเป็นที่จะต้องยอมรับสารภาพว่ามีความผิดและให้เหตุผลเพื่อขอความเมตตา รวมถึงจะต้องให้คำสัตย์ว่าจะไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองอีก ซึ่งนายสมยศเห็นว่ากระบวนการดังกล่าวไม่ถูกต้องจึงไม่สามารถที่จะกระทำได้
 
อนึ่งนั้น นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข (52ปี) นักสหภาพแรงงาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้ถูกจับกุมดำเนินคดีตาม กม.อาญาฯ มาตรา112  ในฐานะบรรณาธิการวารสาร Voice of Taksin มาเป็นเวลา 2 ปี 3เดือน โดยศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้จำคุกนายสมยศเป็นเวลา 10 ปี เมื่อผนวกกับคดีจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อยู่ในระหว่างรอลงอาญาทำให้สมยศต้องโทษจำคุกนานถึง11ปี ปัจจุบันคดีอยู่ในชั้นอุทธรณ์
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

4 เครือข่ายชายแดนใต้ร้องมาเลย์ ตั้งกลไกสอบลอบสังหารระหว่างการพูดคุยสันติภาพ

$
0
0
เครือข่ายประชาชนในชายแดนใต้ยื่นจดหมายขอให้มาเลย์ ตั้งกลไกตรวจสอบและป้องกันเหตุลอบสังหารพลเรือนท่ามกลางพูดคุยสันติภาพ เผยรายชื่อ 4 กลุ่มเป้าหมายถูกลอบสังหาร เชื่อมีเจ้าหน้าที่ไทย-บีอาร์เอ็นเอี่ยวพร้อมตัวอย่าง 12 กรณี
 

 

 
ภาพประกอบจาก เพจ Student Voice
 
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2556 ที่สถานกงสุลมาเลเซีย จ.สงขลา ตัวแทน เครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติ เครือข่ายครูตาดีกา เครือข่ายโต๊ะอิหม่าม และเครือข่ายประชาสังคมเพื่อสันติภาพ จากจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อนายมูฮัมหมัดไฟซอล ราซาลี กงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียเข้ามาร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการลอบสังหารพลเรือนและกลุ่มผู้นำศาสนาหลายคนในพื้นที่ ที่เกิดขึ้นระหว่างการพูดคุยเพื่อสันติภาพระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยและกลุ่มบีอาร์เอ็น (BRN) ภายใต้การอำนวยความสะดวกของมาเลเซีย
 
จดหมายดังกล่าวระบุว่า ที่ผ่านมามีพลเรือนที่เป็นคนที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อสังคมในพื้นที่ เช่น ครูตาดีกา และผู้นำศาสนา รวมไปถึงสมาชิกของกลุ่มเครือข่ายหลายคนถูกลอบสังหารถี่ขึ้นหลังจากรัฐบาลไทยและแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติปาตานีหรือกลุ่มบีอาร์เอ็นได้ริเริ่มการพูดคุยสันติภาพตั้งแต่ 28กุมภาพันธุ์ 2556
 
นอกจากนี้ ยังได้ยกกรณีการลอบสังหาร ได้แก่ เหตุการณ์ลอบยิงอิหม่ามอิสมาแอ ปาโอ๊ะมานิ เสียชีวิต เหตุลอบยิงนายมะรอเซะ กะยียุ เสียชีวิต และนายตอเหล็บ สะแปอิง ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทั้งคู่เป็นอดีตจำเลยและเป็นสมาชิกเครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติภาพ และยังมีครูตาดีกาถูกลอบสังหารเสียชีวิตอีก 2 รายคือ นางสาวคอรีเย๊าะ สาเล็ง อายุ 24 ปี และนายมะยาฮารี อาลี (อ่านรายละเอียด)
 
จดหมายระบุโดยสรุปว่า ด้วยประสบการณ์การรับรู้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆในอดีต เช่น เหตุการณ์ตากใบ ไอปาแยร์ ปูโละปูโย เหตุกราดยิงร้านน้ำชาในหลายๆที่ เหตุลอบยิงผู้นำศาสนา กลุ่มอดีตจำเลย และครูตาดีกา ทำให้ทั้ง 4 เครือข่ายมีความสงสัยและเคลือบแคลงใจต่อรัฐไทยและบีอาร์เอ็นในฐานะที่เป็นคู่ขัดแย้งหลักว่า อาจมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ส่วนกรณีการลอบสังหารกลุ่มอดีตจำเลยหรือผู้ที่อยู่ระหว่างประกันตัวหลายรายทำให้เกิดข้อกังขาว่า เป็นผลมาจากการตัดสินนอกระบบหรือ“ศาลเตี้ย”
 
จดหมายระบุอีกว่า ที่ผ่านมากลุ่มเครือข่ายฯ พยายามเรียกร้องต่อทางการไทยให้ตรวจสอบกรณีเหล่านี้หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับความสนใจ มิหนำซ้ำยังถูกหวาดระแวงและเป็นที่จับตามองจากเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น ทั้ง 4 เครือข่าย จึงขอเรียกร้องให้ทางรัฐบาลมาเลเซีย ในฐานะผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับบีอาร์เอ็นจัดตั้งกลไกตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีพลเรือนถูกลอบสังหารท่ามกลางการพูดคุยสันติภาพ เพื่อช่วยคลี่คลายความวิตกกังวลของผู้ที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนทั่วไป เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันให้มากขึ้น ทั้งยังช่วยเสริมสร้างความรู้สึกปลอดภัยในพื้นที่ อันจะเป็นผลดีต่อการเจรจาดังกล่าว
 
 
จดหมายเปิดผนึก
 
เรื่อง ขอให้รัฐมาเลเซียจัดตั้งกลไกการตรวจสอบความจริงกรณีพลเรือนถูกลอบสังหารท่ามกลางการพูดคุยสันติภาพ
 
เรียน นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย
 
สิ่งที่แนบมาด้วย 1.ข้อมูลสถิติการสูญเสียของพลเรือนเนื่องจากการถูกลอบสังหารในช่วงหลังการพูดคุยสันติภาพเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2556
 
เนื่องด้วยหลังจากการพูดคุยสันติภาพเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 ระหว่างรัฐไทยกับขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติปาตานี (BRN) ได้มีเหตุการณ์การลอบสังหารต่อกลุ่มเป้าหมายอ่อนซึ่งเป็นพลเรือนปาตานีในนิยามของBRN หรือพลเรือนไทยในนิยามของรัฐไทย ซึ่งทั้งพลเรือนที่มีเชื้อสายมลายูและเชื้อสายไทยต่างก็เป็นเป้าของการลอบสังหารทั้งคู่
 
ทั้งนี้ถ้าเทียบกับสถิติการลอบสังหารต่อเป้าหมายอ่อนระหว่างช่วงก่อนการพูดคุยสันติภาพกับช่วงหลังการพูดคุยสันติภาพ จะเห็นได้ว่าในช่วงหลังการพูดคุยสันติภาพนั้นมีความถี่ของการลอบสังหารอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะต่อกลุ่มเป้าหมายที่มีอิทธิพลต่อความคิดของสังคมปาตานี ได้แก่ กลุ่มครูตาดีกา กลุ่มโต๊ะอิหม่าม กลุ่มผู้นำศาสนา กลุ่มจำเลยที่ได้รับการปล่อยชั่วคราว(ประกันตัว)และกลุ่มจำเลยที่ศาลพิพากษายกฟ้อง
 
อนึ่งการได้เกิดเหตุการณ์ลอบสังหารในช่วงระหว่างการพูดคุยสันติภาพของรัฐไทยกับBRN โดยมีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวกนั้น ส่งผลให้ภาคประชาชนมีความสงสัยอย่างเคลือบแคลงใจต่อรัฐไทยและBRNในฐานะที่เป็นคู่ขัดแย้งหลัก ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอาจจะทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายที่ถูกลอบสังหารนั้นเป็นบุคคลที่มีบทบาทในการปกปักษ์รักษาอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนของคนมลายูปาตานีด้วยแล้วนั้น ภาคประชาชนมลายูปาตานีจะมีข้อสรุปในใจอิงกับประสบการณ์ของการรับรู้ผ่านเหตุการณ์ประวัติศาสตร์บาดแผลต่างๆโดยปริยาย อาทิเช่น เหตุการณ์ตากใบ เหตุการณ์ไอปาแยร์ เหตุการณ์ปูโละปูโย เหตุการณ์กราดยิงร้านน้ำชาในหลายๆที่ เหตุการณ์ลอบยิงผู้นำศาสนา เหตุการณ์ลอบยิงกลุ่มอดีตจำเลย และเหตุการณ์ลอบยิงครูตาดีกา
 
ซึ่งภาพของคู่กรณีที่อยู่ในใจของภาคประชาชนมลายูปาตานีต่อเหตุการณ์ประวัติศาสตร์บาดแผลต่างๆที่กล่าวข้างต้นกับภาพของคู่กรณีต่อเหตุการณ์บาดแผลร่วมสมัยช่วงหลังการพูดคุยสันติภาพนั้น คือกลุ่มคนเดียวกันที่ซ่อนอยู่ในคำที่เรียกว่า ศาลเตี้ย
 
อาจจะเป็นเรื่องปกติในภาวะสงครามอสมมาตรแบบกองโจรยุคโลกาภิวัฒน์ในศตวรรษที่21 เมื่อทิศทางบนโต๊ะการพูดคุยหรือเจรจาไม่สอดคล้องกับวาระซ่อนเร้นทางการเมืองของทั้งสองฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งหลัก จะเกิดปฏิกิริยาส่งผลกระทบในรูปแบบการตอบโต้ด้วยอาวุธ แต่คงไม่เป็นเรื่องปกติแน่นอน ถ้ากลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบนั้นคือ พลเรือน
 
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาเองของหลายๆกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มจำเลยที่ได้รับการประกันตัวและศาลพิพากษายกฟ้อง ได้พยายามเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมต่อรัฐไทยมาโดยตลอด แต่ผลปรากฏว่า ทางรัฐไทยไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆต่อความทุกข์ร้อนใจของพลเรือน
 
เมื่อสภาพความเป็นจริงของท่าทีรัฐไทยคล้ายกับไม่สนใจดูแคลนความเดือดร้อนของพลเรือน ส่งผลให้พลเรือนปาตานีโดยรวมตกอยู่ในภาวะที่ขาดซึ่งหลักประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ประกอบกับสถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งที่ชายแดนใต้ของประเทศไทยหรือปาตานี อยู่ในสถานะของปัญหาที่มีผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยสันติภาพซึ่งปัจจุบันกำลังดำเนินการอยู่
 
เราในนามของเครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติ เครือข่ายครูตาดีกา เครือข่ายโต๊ะอิหม่าม และเครือข่ายประชาสังคมเพื่อสันติภาพ จึงขอเรียกร้องให้ทางรัฐมาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวกการพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐไทยกับBRN ในครั้งนี้ คือ
 
“ขอให้รัฐมาเลเซียจัดตั้งกลไกการตรวจสอบความจริงกรณีพลเรือนถูกลอบสังหารท่ามกลางการพูดคุยสันติภาพ”
 
ด้วยจิตรักสันติภาพ
 
เครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติ
เครือข่ายครูตาดีกา
เครือข่ายโต๊ะอิหม่าม
เครือข่ายประชาสังคมเพื่อสันติภาพ
 
 
 
เอกสารแนบ :
 
ข้อมูลสถิติการสูญเสียของพลเรือนเนื่องจากการถูกลอบสังหารในช่วงหลังการพูดคุยสันติภาพเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2556
 
กลุ่มเป้าหมายที่ 1 : จำเลยคดีความมั่นคงที่ได้รับการปล่อยชั่วคราว(ประกันตัว)และจำเลยคดีความมั่นคงที่ศาลพิพากษายกฟ้อง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักในนามเครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติ(JOP)
 
กรณีที่ 1 : นายมะรอเซะ กายียุ อายุ 36 ปี ถือเป็นรายแรกในช่วงการพูดคุยสันติภาพ แต่เป็นรายที่ 4 ของสมาชิกเครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติ(JOP) ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2556 เวลาประมาณ 09.00 น. ที่บ้านเลขที่ 34 หมู่1 ต.กาบัง อ.กาบัง จ.ยะลา เสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลา(ก่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกา 22 วัน)
 
กรณีที่ 2 : นายตอเหล็บ สะแปอิง อายุ 42 ปี เป็นรายที่สองในช่วงการพูดคุยสันติภาพ แต่เป็นรายที่ห้าของสมาชิกเครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติ(JOP) ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2556 เวลาประมาณ 13.00 น. ขณะที่นายตอเหล็บ สะแปอิง กำลังขับรถจักรยานยนต์ เดินทางจากยะลา กลับไปบันนังสตา (ระหว่างปากทางเข้าหมู่บ้านนิคมกือลอ) ได้มีคนร้ายลอบยิงนายตอเหล็บ สะแปอิง ได้รับบาดเจ็บสาหัส ปัจจุบันรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา
 
 
กลุ่มเป้าหมายที่ 2 : ครูโรงเรียนตาดีกา
 
กรณีที่ 1 : นางสาวคอรีเย๊าะ สาเล็ง อายุ 24 ปี พร้อมลูกในครรภ์อายุ 7 เดือน ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2556 บนถนนสายชนบท บ้านตันหยง หมู่ 1 ต.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ นางสาวคอรีเย๊าะ สาเล็ง เป็นครูสอนโรงเรียนตาดีกาบ้านบือแนสะแต หมู่ 5 ต.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา
 
กรณีที่ 2 : นายมะยาฮารี อาลี อายุ 40 ปี เป็นครูสอนที่โรงเรียนตาดีกาบ้านบันนังกูแว ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 เวลาประมาณ 06.15 น. เกิดเหตุที่บ้านบันนังกูแว หมู่ 4 ต.บังนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา ในขณะที่ผู้ตายกำลังเดินทางไปกรีดยาง
 
กรณีที่ 3 : นายอาหามะ ดอเลาะ อายุ 47 ปี เป็นครูสอนที่โรงเรียนตาดีกาดารุลอามาน ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2556 ที่หน้าบ้านเลขที่ 21/1 ม.4 ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
 
 
กลุ่มเป้าหมายที่ 3 :  โต๊ะอิหม่ามหรือผู้นำศาสนา
 
กรณีที่ 1 : นายอิสมาแอ ปาโอ๊ะมานิ๊ อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 25 ม.4 ต.กอลำ ซึ่งเป็นโต๊ะครูเจ้าของปอเนาะปูลาฆาซิง ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2556 เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
 
 
กลุ่มเป้าหมายที่ 4 : พลเรือนทั่วไป
 
กรณีที่ 1 : เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงชาวบ้านที่นั่งอยู่ในร้านน้ำชา ในพื้นที่หมู่ 5 ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี จนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 6 ศพ ซึ่งในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดมีเด็กอายุ 3 ขวบรวมอยู่ด้วย
 
กรณีที่ 2 : นางสุฮัยนี ลงซา อายุ 37 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ศูนย์เยียวยาเทศบาลตำบลกายูบอเกาะ อ.รามัน จ.ยะลา ถูกลอบสังหารด้วยอาวุธปืน เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2556 เหตุเกิดบริเวณทางไปตลาดนัดบุดี ถนนสายโกตาบารู-ไม้แก่น ม. 8 อ.เมือง จ.ยะลา เสียชีวิตทันทีในที่เกิดแหตุ
 
กรณีที่ 3 : นายมะซูดิง ดีบุ อายุ 62 ปี เป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านเปาะลามะและเป็นพี่เขยของนายฮาซัน ตอยิบ หัวหน้าคณะพูดคุยสันติภาพBRN ถูกลอบสังหารด้วยอาวุธปืนเอ็ม16 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2556 เมื่อเวลา 19.50 น.วันที่ 28 มิถุนายน 2556 เหตุเกิดหน้าบ้านพักเลขที่ 132/1 บ้านเปาะลามะ หมู่ 2 ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
 
กรณีที่ 4 : เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2556 พบศพผู้เสียชีวิตสองสามีภรรยาอยู่ในท่านั่งคุกเข่าคว่ำหน้า ชื่อนายทรงชัย พรหมจันทร์ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 209/3 หมู่ 1 ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ถูกกระสุนปืนขนาด 9 มม.ยิงที่ศีรษะและใบหน้าจนพรุน และนางนิตยา ฝ่ายนารีผล อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 209/3 หมู่1 ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ถูกยิงที่ศีรษะและใบหน้าเช่นเดียวกัน บริเวณพื้นถนนพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม.ตกอยู่ 10 ปลอก
 
กรณีที่ 5 : เมื่อเวลา 19.43 น. วันที่ 23 กรกฎาคม 2556 มีเหตุคนร้ายยิงถล่มเข้าใส่ร้านน้ำชาเลขที่ 94/7 ม.4 บ.ลูโบ๊ะดาโต๊ะ ต.ลูโบ๊ะบือซา อ.ยี่งอ พบศพผู้เสียชีวิต 2 ราย นอนเสียชีวิตอยู่บริเวณพื้นโต๊ะน้ำชา โดยถูกกระสุนปืนของคนร้ายที่ลำตัวและสีข้าง ตรวจสอบทราบชื่อคือ นายอาแว นิสายู อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44 ม.4 ต.ลูโบ๊ะบือซา อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส และนายต่วนมะเซ็ง โมง อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 125/2 ม.6 ต.ลูโบ๊ะบือซา อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นอดีตสมาชิก อบต.ลูโบ๊ะบือซา ส่วนผู้บาดเจ็บคือ นายมามุ สะนิ อายุ 61 ปี อยู่บ้านเลขที่ 104/1 ม.6 ต.ลูโบ๊ะบือซา อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส นอกจากนี้ ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนสงครามอาก้าตกอยู่ จำนวน 8 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
 
กรณีที่ 6 : เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2556 เกิดเหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการลาดตระเวนตามเส้นทาง บริเวณหน้าโรงพยาบาลจะแนะ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ทางเจ้าหน้าที่รัฐสรุปว่าแรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต แต่ทางชาวบ้านทั่วไปสรุปว่าไม่ใช่มาจากแรงระเบิดแต่มาจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 2 ราย ได้แก่ นางนูรยาฮาน อาแว อายุ 43 ปี และนางนายีหะห์ ยีระ อายุ 38 ปี ได้รับบาดเจ็บ 1ราย คือ นายอภิชาต เบ็ญจุฬามาศ อายุ 32 ปี ทั้ง 3 เป็นครูโรงเรียนพิทักษ์วิทยากุมุง ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พฤกษ์ เถาถวิล: การเมืองเรื่องเชื้อเพลิงชีวภาพ

$
0
0

ทศวรรษที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาเติบโตอย่างรวดเร็วของเชื้อเพลิงชีวภาพ 

เชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuel)[1]หมายถึงเชื้อเพลิงที่ผลิตจากชีวมวล (biomass) หรือสิ่งมีชีวิตได้แก่พืชและสัตว์ เชื้อเพลิงชีวภาพที่สำคัญได้แก่ เอทาทอล ซึ่งผลิตได้จากพืชหลายชนิด เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด ข้าวฟ่าง เอทานอล เมื่อนำไปผสมกับน้ำมันเบนซินจะได้เชื้อเพลิงที่เรียกว่า แก๊สโซฮอล์ เชื้อเพลิงชีวภาพอีกประเภทหนึ่งได้แก่ ไบโอดีเซล ผลิตจากปาล์มน้ำมัน เชื้อเพลิงชีวภาพ จัดเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานทดแทนหรือบางกรณีเรียกว่าพลังงานทางเลือก ส่วนพืชที่นำมาผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพมักถูกเรียกว่า “พืชพลังงาน”


ที่มาภาพ: http://www.china.org.

การเติบโตของเชื้อเพลิงชีวภาพ เห็นได้จากการเพิ่มอัตราการใช้ของหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา  ผู้บริโภคเอทานอลรายใหญ่ที่สุดของโลก ระหว่างปี ค.ศ. 2000 -2010 ความต้องการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นจาก  285.2 พันบาเรลต่อวัน เป็น 1,418.5 พันบาเรลต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 17.9 ต่อปี  และในปี 2010 บราซิลบริโภค 381.9 พันบาเรลต่อวัน จีน 38 พันบาเรลต่อวัน สำหรับประเทศไทยผู้บริโภคอันดับเก้าของโลกอยู่ที่ 7 พันบาเรลต่อวั[2]

สหรัฐอเมริกามีแผนเพิ่มการใช้เอทานอลจาก 9 พันล้านแกนลอน/ปี ในปี 2008 เป็น 36 พันล้านแกนลอน/ปี ในปี 2022 ฝ่ายสหภาพยุโรปมีแผนการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่งเพิ่มจากร้อยละ 2 ในปี 2005 เป็นร้อยละ 10 ภายในปี 2020[3]สำหรับประเทศไทย กระทรวงพลังงานได้จัดทำแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (ค.ศ.2012-2021)  โดยกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศร้อยละ 25 โดยเฉพาะกำหนดให้ใช้เอทานอล 9 ล้านลิตรต่อวัน และ และไบโอดีเซล 4.5 ล้านลิตรต่อวัน ในปี ค.ศ. 2021[4] ในฐานะผู้ผลิต ประเทศไทยยกระดับเป็นผู้ผลิตเอทานอนระดับนำของเอเชีย ผลผลิตของไทยเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า ในช่วง 5 ปี (ค.ศ. 2005 – 2010) และในตลาดผู้ผลิตในเอเชียแปซิฟิก การผลิตของไทยเพิ่มจากร้อยละ 6 ในปี 2005 เป็นร้อยละ 19 ในปี 2010 ของผลผลิตในตลาดทั้งหมด[5]

การเติบโตอย่างรวดเร็วของเชื้อเพลิงชีวภาพ มาจากสาเหตุพื้นฐานคือ ความกังวลต่อการขาดแคลนเชื้อเพลิงฟอสซิล (fossil) ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งคาดว่าจะหมดไปในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ในขณะที่เชื้อเพลิงชีวภาพเป็นพลังงานที่สร้างขึ้นใหม่ได้ มันจึงถูกมองว่าเป็นทางออกสำหรับความมั่นคงทางพลังงานในอนาคต ในกรณีประเทศไทย ซึ่งมีภาระการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงสูงมาก เชื้อเพลิงชีวภาพจะเป็นทางออกสำคัญจากภาระดังกล่าว 

นอกจากนั้นยังมีเหตุผลสนับสนุนอีกหลายประการ คือมีข้อเสนอว่า เชื้อเพลิงชีวภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงชีวภาพปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า จึงช่วยลดปัญหาโลกร้อน เชื้อเพลิงชีวภาพจึงเป็นการพัฒนาที่ไม่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ  การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพยังจะช่วยให้ราคาพืชผลการเกษตรดีขึ้น และช่วยสร้างงานสร้างรายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วย เชื้อเพลิงชีวภาพจึงถูกมองว่า เป็นทางออกที่ให้ประโยชน์แก่ทุกฝ่าย (win-win solution)  

แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ เรื่องธุรกิจผลประโยชน์มหาศาล คงไม่ใช่เรื่องตรงไปตรงมา แต่เกี่ยวข้องกับพลังอำนาจผลักดัน  การให้ข้อมูลอาจแฝงด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ และยังเกี่ยวกับประเด็นที่ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ใครจะได้ และใครจะเสียประโยชน์

 

ข้อถกเถียงเรื่องผลกระทบ

ภารกิจพื้นฐานประการหนึ่งของศาสตร์คือ “การวัด” (measurement) เพื่อหาค่าที่เที่ยงตรง สำหรับนำผลที่ได้ไปใช้ขั้นต่อไป เช่นประเมินผลกระทบ หรือความคุ้มค่า แต่ก่อนอื่นมีปัญหาว่าเราจะเชื่อถือการวัดของใครดี ?         

ข้อเท็จจริงเรื่องเชื้อเพลิงชีวภาพมีอยู่ว่า ประเด็นนี้อยู่ในความสนใจของหลากหลายสาขาวิชาความรู้ นับตั้งแต่ด้านพลังงาน นิเวศวิทยา เศรษฐศาสตร์ การเกษตร การพัฒนาชนบท ในแต่ละสาขาวิชายังมีค่าย แต่ละค่ายมีทฤษฎีและวิธีการวัดที่แตกต่างกัน นักวิชาการแต่ละสาขาวิชายังสังกัดองค์กรแตกต่างกัน  บ้างสังกัดฝ่ายวิจัยของบริษัทผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพชั้นนำ บ้างสังกัดหน่วยงานรัฐบาล  บ้างสังกัดองค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อม บ้างเป็นนักวิจัยอิสระ

ภาพสะท้อนที่ดีของสงครามความรู้อาจเห็นได้จาก การกำหนดเกณฑ์ชี้วัดมาตรฐานของเชื้อเพลิงชีวภาพ ในประเด็นเรื่องความยั่งยืน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ของหลายองค์กรในหลายวาระโอกาส เช่น The Roundtable on Sustainable Biofuels (RSB), The Roundtable on Sustainable Palm Oil (RSPO), Global Bioenergy Partnership (BGEP),EU. Renewable Energy Directive[6]เป็นต้น

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่น่าประหลาดใจว่า เรื่องเดียวกันอาจมีคำตอบที่สวนทางกัน เช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่งสรุปข้อดีของเชื้อเพลิงชีวภาพต่อสิ่งแวดล้อมว่า การเผาไหม้ของเอทานอลที่ผลิตจากธัญพืช ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล ในอัตราร้อยละ 13 และหากเป็นเอทานอลที่ผลิตจากอ้อย จะทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลถึงร้อยละ 90  ในทำนองเดียวกันกรณีของไบโอดีเซล ก็ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าน้ำมันดีเซลจากฟอสซิลในอัตรา ร้อยละ 40 - 60[7]

ในขณะที่งานวิจัยอีกหลายชิ้นเสนอในทางตรงกันข้ามว่า  เชื้อเพลิงชีวภาพมีต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมสูงกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล[8]และอาจปล่อยพลังงานออกมาน้อยกว่าที่ใช้ในกระบวนการผลิตของมัน[9] “การผลิตและการขนส่งเชื้อเพลิงชีวภาพ  ในหลายกรณีอาจทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล”[10]และ “ไม่เพียงไกลจากข้ออ้างว่าจะช่วยลดภาวะโลกร้อน  แต่เชื้อเพลิงชีวภาพกลับจะสร้างปัญหาการปกคลุมของคาร์บอนไดออกไซด์ครั้งใหญ่กว่าเดิม”[11]

เมื่อพิจารณาในประเด็นปลีกย่อยจะพบว่า การวัดขึ้นกับการกำหนดขอบเขต/ตัวแปร/การประเมินคุณค่าของสิ่งที่ต้องการวัด เช่นการพิสูจน์ว่าการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ก็มีคำถามว่า จะประเมินคุณค่าอย่างไร สำหรับการปลูกพืชพลังงานซึ่งเป็นพืชเชิงเดี่ยว ที่ทำลายถิ่นที่อยู่และความหลากหลายของอาหารและยา และสรรพสัตว์, การจัดการแปลงการผลิตในเงื่อนไขต่างกันยังให้ผลต่างกัน ขึ้นกับประเภทพืชที่ปลูก ประสิทธิภาพการจัดการฟาร์ม การจัดการของเสีย และที่ดินที่ใช้ ลำพังกรณีที่ดินก็เป็นตัวแปรสำคัญ เพราะขึ้นกับคุณภาพดิน การได้ที่ดินมาและประเภทของที่ดิน เช่นที่ทำการเกษตรมาก่อน ที่ชุ่มน้ำ หรือป่าบุกเบิกใหม่ เพราะการใช้ที่ดินต่างประเภท (เช่นการถางป่า) มีผลต่อการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แตกต่างกัน การชดเชยการปลดปล่อยคาร์บอนฯด้วยพืชพลังงานจึงต้องคิดในเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป    


ที่มาภาพ: http://foodorfuel.weebly.com/

สำหรับเรื่องราวบางประเด็นอาจถูกจัดให้มีความสำคัญอันดับรอง เช่นกรณีผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร  ดังการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ที่ไปลดพื้นที่ปลูกข้าวและพืชอาหาร ทำให้กระทบความมั่นคงทางอาหารของชาวบ้าน   อันที่จริงเรื่องนี้มีการวิจัยของบางสำนักชี้ว่า การขยายตัวของพืชพลังงานมีผลกระทบต่อการผลิตอาหาร ทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือคนจน[12]และยังมีการประเมินว่าในอนาคตปัญหานี้จะรุนแรงขึ้น ตามการขยายตัวของพืชพลังงาน แต่ก็ดูเหมือนว่าสำหรับภาครัฐและธุรกิจ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจเท่าใดนัก     

กล่าวถึงที่สุด การวัดอาจนำเราไปสู่เขาวงกตทางวิชาการ เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และเป็นเรื่องที่ไม่มีคำตอบแน่นอน หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า ต้องการคำตอบแบบใดก็ได้ อยากให้เรื่องอะไรสำคัญกว่าอะไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการคำตอบเพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านเชื้อเพลิงชีวภาพ  

 

พลังผลักดัน

เราจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ดีขึ้น เมื่อมองไปที่พลังผลักดันระดับโลก เบื้องหลังความเชื่อเรื่อง  win-win solution ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางพลังงาน การแก้ไขความยากจน เราจะพบกลุ่มทุนระดับโลกทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ทำเงินกันอย่างคึกคัก การเกิดอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพคือ “พื้นที่ใหม่” ของผลประโยชน์มหาศาล ในแง่หนึ่งเรื่องนี้เป็นโอกาสของประเทศมหาอำนาจและกลุ่มทุน ที่ต้องการหลุดพ้นจากอิทธิพลของกลุ่มโอเปกที่ครอบงำธุรกิจพลังงานมานาน  สถานการณ์ในปัจจุบันอาจเทียบกับยุคตื่นทอง (goal rush) โดยเรียกว่าเป็นยุคตื่นเชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuel rush)

มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า การขยายตัวของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพในปัจจุบันมีรูปแบบสอดคล้องกับลัทธิพาณิชย์นิยมในศตวรรษที่ 16[13]ที่การขยายตัวทางการค้าเกิดจากการสนับสนุนของรัฐ โดยการเปิดทางและสนับสนุนการค้าและการลงทุนในประเทศโพ้นทะเล จากนั้นกลุ่มทุนได้เดินทางไปลงทุนค้าขาย ในกรณีนี้จะเห็นได้จากการตั้งเป้ากำหนดนโยบายเชื้อเพลิงชีวภาพของรัฐบาลในยุโรปและสหรัฐอเมริกา  ทำให้กลุ่มทุนแข่งขันกันออกไปลงทุนในประเทศต่างๆ

แต่กรณีนี้มีความซับซ้อนกว่านั้น ในบริบทโลกาภิวัตน์  ธุรกิจเกิดขึ้นบนแกนความสัมพันธ์ระหว่างซีกโลกเหนือ-ใต้ ซีกโลกเหนือเป็นผู้ลงทุนและบริโภค ส่วนซีกโลกใต้เป็นผู้ผลิต ในซีกโลกเหนือเกิดความร่วมมือกันอย่างซับซ้อนของกลุ่มทุนระดับโลก ระหว่างกลุ่มทุนพลังงานทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ และกลุ่มทุนอุตสาหกรรมเกษตร น่าสังเกตว่าจากเดิมที่ทุนพลังงานกับทุนอุตสาหกรรมเกษตรค่อนข้างแยกขาดจากกัน แต่ในเรื่องนี้ทั้งสองฝ่ายหันมาจับมือกัน ในระดับรัฐ เกิดข้อตกลงหรือความร่วมมือระหว่างรัฐในซีกโลกเหนือและใต้ เครือข่ายธุรกิจได้แผ่ลงไปในระดับประเทศและท้องถิ่น เกิดการร่วมทุนของทุนระดับชาติ และการประสานกับทุนท้องถิ่น ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดเตรียมที่ดินและแรงงาน  ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้[14]

- การขยายตัวของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในอินโดนิเชีย โดย บริษัทในอินโดนิเชีย ร่วมทุนกับ Cargill (บริษัทเอกชนระดับนำของโลก), ADM-Kuck-Wilmar alliance (อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพรายใหญ่ที่สุดในโลก),Synergy Drive, และรัฐบาลมาเลเชีย ซึ่งจะทำให้อินโดนิเชียเป็นผู้ผลิตไบโอดีเซลรายใหญ่ที่สุดของโลก

-  การเกิด “พันธมิตรผู้ผลิตเอทานอล” หลายกลุ่ม เช่นกลุ่ม “ethanol alliance” เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทเอกชนในสหรัฐอเมริกา บราซิล อเมริกากลาง; กลุ่มพันธมิตรเอทานอลของบราซิล เป็นความร่วมมือของบริษัทบราซิล กับ อินเดีย จีน โมแซมบิก และ อัฟริกาใต้; กลุ่ม Southern Cone ระหว่าง บริษัท Bunge และ Dreyfue กับ บริษัทในอาร์เจนตินา และปารากวัย จะเห็นว่าแกนความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นระหว่างประเทศซีกโลกเหนือ-ใต้เท่านั้น แต่มีลักษณะเป็น เหนือ-ใต้-ใต้ ด้วย      

- การเตรียมลงทุนของ Royal Dutch Shell กับ Cosan บริษัทเอทานอลรายใหญ่ของบราซิล  ซึ่งจะเป็นโอกาสขยายธุรกิจครั้งใหญ่ของ  Shell ส่วนฝ่าย Cosan กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว และยังเป็นการเจาะตลาดพลังงานในยุโรป เพิ่มเติมจากที่มีตลาดหลักในสหรัฐอเมริกา    

- การร่วมมือของ Cargill กับ Monsanto ในนาม Renessen เพื่อประสานกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ กับเชื้อเพลิงชีวภาพ  โดยการใช้เมล็ดพันธุ์ตัดแต่งพันธุกรรม เช่น ข้าวโพด และถั่วเหลือง ในกรณีนี้วัสดุเหลือใช้จากการผลิตอาหารสัตว์จะถูกนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งทำให้เห็นว่า การผลิตอาหารและเชื้อเพลิงชีวภาพมีแนวโน้มเคลื่อนไปด้วยกัน ในภาพกว้างกว่านั้น อาจกล่าวได้ว่าเกิดแนวทาง (trend) การร่วมธุรกิจระหว่างเชื้อเพลิงชีวภาพ การผลิตรถยนต์ อาหาร และไบโอเทคโนโลยี ที่มุ่งลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศซีกโลกใต้ และส่งออกในตลาดระดับโลก ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐในประเทศกำลังพัฒนากับบริษัทข้ามชาติ  ในธุรกิจครบวงจรแบบนี้คงคาดการณ์ได้ไม่ยากว่าเกษตรกรจะยิ่งไร้อำนาจต่อรองเพียงใด       

งานวิจัยบางชิ้นเปิดเผยให้เห็น การถักทอเครือข่ายธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพระดับนานาชาติ ผ่านมิติความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ดังกรณีของเมืองไมอามี ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจน้ำตาล  ธุรกิจดังกล่าวทำให้ไมอามีฐานะดังที่นักสังคมศาสตร์เรียกว่า “โลกานคร” (global city) คือเป็นทั้งชุมทางข้อมูล การค้า และการลงทุน เป็นที่ตั้งของคณะกรรมการ/สถาบันกำกับดูแลเอทานอลระดับโลกหลายสถาบัน  กลายเป็นแหล่งชุมนุมของวงการธุรกิจเอทานอลระดับโลก (a global biofuels assemblage) ที่นี่เราจะเห็นการเชื่อมต่อระหว่างหน่วยธุรกิจจากระดับนานาชาติ ระดับชาติ ระดับมลรัฐ จนถึงระดับท้องถิ่น เป็นที่พบกันของนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย สถาบันระหว่างประเทศ สถาบันนานาชาติของธุรกิจเอกชน กลุ่มธุรกิจด้านการเกษตร พลังงาน รถยนต์ และไบโอเทคโนโลยี ความสัมพันธ์นี้เชื่อมต่อกับคนจากรัฐบาลนานาประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น บราซิล สหรัฐ สหภาพยุโรป จีน และอื่นๆ [15]        

 

ที่ดินและแรงงาน

ความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพส่งแรงกระเทือนไปทั้งโลก โดยเฉพาะต่อประเทศซีกโลกใต้ ภายหลังจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปเริ่มแผนเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ คาดการณ์ว่าภายในปี 2020 จะต้องใช้พื้นที่มากกว่า 500 ล้านเฮกตาร์ หรือประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่การเกษตรที่ใช้อยู่เพื่อปลูกพืชป้อนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ[16]การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของความต้องการเชื้อเพลิงฯในประเทศซีกโลกเหนือ กับการขยายพื้นที่ผลิตวัตถุดิบในประเทศซีกโลกใต้  เช่นใน บราซิล อินโดนิเซีย มาเลเซีย และในอาฟริกา  การแสวงหาที่ดินและแรงงานราคาถูก จากซีกโลกใต้ ป้อนผู้บริโภคในซีกโลกเหนือ  ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยในประวัติศาสตร์ทุนนิยมโลก

การเปลี่ยนที่ดินมาปลูกพืชพลังงานในบางพื้นที่ มีลักษณะคล้ายกระบวนการปิดล้อมที่ดินในยุโรป (The Enclosure) ในอดีต เพราะการขยายพื้นที่ปลูกพืชฯไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่การเกษตรที่ใช้มาก่อนเท่านั้น แต่มีการบุกเบิกพื้นที่ใหม่เพิ่มขึ้น ปรากฏการณ์ในประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งคือ การเปลี่ยนพื้นที่ “สาธารณะ” ซึ่งเป็นพื้นที่พึ่งพาของชุมชน ภายใต้สิทธิการถือครองตามประเพณี ในพื้นที่ป่าชุมชน หรือพื้นที่สาธารณะของชุมชนประเภทต่างๆ ซึ่งตามกฎหมายสมัยใหม่มักจะไม่ให้การรับรองสิทธิการถือครองตามประเพณี จึงมีการยึดพื้นที่ “ไร้การถือครอง” เหล่านั้น ให้เป็นของรัฐ และให้สัมปทานต่อแก่บริษัทเอกชน “.. รัฐบาลในหลายประเทศนิยาม “ที่ดินไร้ประโยชน์” และจัดสรรแก่บริษัทอุตสาหกรรมผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ คำว่าที่ดินไร้ประโยชน์ อาจหมายถึง พื้นที่ที่ยังไม่มีการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ที่รกร้างว่างเปล่า หรือที่ดินห่างไกลการคมนาคม ซึ่งที่ดินเหล่านี้ที่จริงมักไม่ได้เป็นที่ไร้ประโยชน์ตามนิยาม แต่มักเป็นที่พึ่งพาดำรงชีวิตของคนจน และพื้นที่เหล่านี้ครอบครองโดยสิทธิตามประเพณีของชุมชน”[17]

กรณีพื้นที่กาลิมันตันตะวันตก  ประเทศอินโดนิเซีย เป็นกรณีตัวอย่างอีกแบบหนึ่ง เมื่อทางการมีนโยบายขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน  จึงมีโครงการสร้างแรงจูงใจแก่ชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ถือครองที่ดินทางการเกษตรในระบบกรรมสิทธิ์ตามประเพณี โดยโครงการกำหนดให้ชาวบ้านนำที่ดิน (อย่างน้อย) 7.5 เฮกตาร์เข้าร่วมโครงการ สำหรับพื้นที่ 5.5 เฮกตาร์ รัฐจะให้เป็นพื้นที่สัมปทานแก่บริษัทเอกชน ส่วนที่เหลืออีก 2 เฮกตาร์ รัฐจะออกเอกสารสิทธิ์ตามกฎหมาย พร้อมสนับสนุนปัจจัยการผลิตและสินเชื่อสำหรับปลูกปาล์มน้ำมันแก่ชาวบ้าน[18]โครงการที่ผลักดันโดยรัฐ ร่วมกับบริษัทเอกชน ด้วยการสร้างแรงจูงใจ (หรือบางกรณีเข้าข่ายล่อลวง หรือบีบบังคับ) เกิดขึ้นในหลายประเทศในเอเชีย ละตินอเมริกา และอัฟริกา   

สำหรับคำอธิบายว่า เหตุใดรัฐบาลประเทศเหล่านั้นจึงขานรับโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างกระตือรือร้น มาจากเหตุผลหลายประการ ข้อเท็จจริงในประเทศกำลังพัฒนาคือ ภาคเกษตรเผชิญความเสื่อมถอยของประสิทธิภาพการผลิต ความตกต่ำของราคา และความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ชนบทกลายเป็นพื้นที่ผูกติดกับความยากจน รัฐบาลในประเทศเหล่านั้นไม่ต้องการทุ่มงบประมาณเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจชนบท ประกอบกับการแนวคิดเสรีนิยมใหม่ ที่สนับสนุนให้ตลาดเสรีเป็นกลไกจัดการปรับเปลี่ยนอาชีพของคนชนบท เกษตรกรในชนบทต้องปรับตัวสู่การเป็นผู้ประกอบการ หรือเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่แรงงาน และรัฐก็ตกอยู่ใต้เงื่อนไขการลดการอุดหนุนภาคเกษตร การเกิดขึ้นของโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพ จึงเป็นโอกาสใหม่ของการระดมทุนและการช่วยเหลือลงสู่ชนบท[19]    

เรื่องแรงงานเป็นอีกประเด็นที่สำคัญ พืชพลังงานเป็นพืชที่ใช้ที่ดินมาก ให้ผลตอบแทนต่อไร่ต่ำ แต่มูลค่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงแล้ว กล่าวในเชิงอุดมคติ หากเกษตรกรสามารถรวมกลุ่มตั้งโรงงานแปรรูปผลผลิตเป็นเชื้อเพลิงได้  ก็จะสร้างผลกำไรได้ดี แต่ความเป็นจริงทำเช่นนั้นได้ยาก การแปรรูปผลผลิตเป็นเชื้อเพลิงมักเป็นของทุนใหญ่ และเกษตรกรก็ตกอยู่ในฐานะผู้ผลิตวัตถุดิบป้อนโรงงาน  ผลตอบแทนแรงงานของเกษตรกรสะท้อนให้เห็นได้จากราคาผลผลิตที่ขายได้  เมื่อมองย้อนกลับไปสู่ประสบการณ์การปลูกพืชพาณิชย์ขายโรงงาน จะเห็นว่าปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำเกิดขึ้นมานาน เมื่อเป็นเช่นนี้อาจกล่าวได้ว่า การขยายตัวของพืชพลังงาน ไม่มีหลักประกันว่า เกษตรกรจะได้ผลตอบแทนดีขึ้น ต่างจากการปลูกพืชพาณิชย์ที่ผ่านมา

กรณีต่างประเทศ โรงงานอุตสาหกรรมมีวิธีการจัดการวัตถุดิบป้อนการผลิตหลายรูปแบบ ที่ปรากฏเช่น การผลิตในแปลงขนาดใหญ่ โดยการลงทุนของโรงงาน และจ้างแรงงานเกษตรกรเข้ามาทำงานในแปลงการผลิต (plantation) อีกรูปแบบหนึ่งคือ การทำเกษตรพันธะสัญญากับเกษตรกร (contract farming) ทั้งสองรูปแบบมีการศึกษาและถกเถียงกันมานานในวงวิชาการ จากประสบการณ์ในหลายประเทศ งานวิชาการจำนวนมากยืนยันว่า รูปแบบการผลิตดังกล่าว คือการขูดรีดแรงงานเกษตรกร และให้ประโยชน์แก่เจ้าของกิจการมากกว่า[20]

งานวิจัยในอเมริกาชิ้นหนึ่งเรียกการขยายตัวของพืชพลังงานว่า “ม้าโทรจัน” (Trojan Horse) ที่จะทำให้เกษตรกรรายย่อยตกอยู่ในการควบคุมอย่างสมบูรณ์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในที่สุด ดังกรณีที่ Monsanto และ Cargill  ได้ร่วมทุนกันในนาม Renessen ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดตัดแต่งพันธุ์กรรม บริษัทนี้ขายเมล็ดพันธุ์แก่เกษตรกร และรับซื้อผลผลิตข้าวโพดเพื่อแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ เมล็ดพันธ์ดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานเทคโนโลยีของ Monsanto เกษตรกรที่ขายผลผลิตแก่ Renessen จะได้รับสิทธิรับเมล็ดพันธุ์จากบริษัทเพื่อทำการผลิตรอบต่อไป ของเสียจากการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ บริษัทจะขายให้เป็นอาหารสัตว์   “… Renessen ได้กลายเป็นฐานทางธุรกิจของ Monsanto และ Cargill อย่างสมบูรณ์, Renessen ตั้งราคาเมล็ดพันธุ์ , Monsanto ขายเคมีภัณฑ์แก่เกษตรกร , Renessen ตั้งราคารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร,  และ Renessen ขายเชื้อเพลิงชีวภาพแก่ผู้บริโภค. แต่เกษตรกรรับความเสี่ยงจากการผลิตทั้งหมด”[21]

 

(ยังมีต่อ)

 




[1]นักวิชาการบางส่วนใช้คำว่า  agrofuel  แทนคำว่า biofuel  เพื่อเน้นว่าเป็นเชื้อเพลิงที่ได้จากผลผลิตทางการเกษตร

[2]ส่วนเศรษฐกิจภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. 2555. เอทานอล โอกาสและความท้าทายของนโยบายพลังงานไทย . น.2.

[3] Sorda, Giovanni; Martin Banse  and Claudia Kemfert. 2010. An Overview of  biofuel policies across the world. Energy Policy. 38, 6977-6988.

[4] Kumar, S.; P. Abdul Salam, ; Pujan Shrestha  and Emmanuel Kofi  Ackom. 2013. An Assessment of Thailand’s Biofuel Development. Sustainability,5, 1577-1579. pp.1586.

[5] Kumar, S., P. et. al  2013. pp.1579.

[6] Kumar, S., P. et. al. 2013. pp.1588.

[7] Quadrelli, R. and S. Peterson. 2007. The Energy –climate challenge : Recent trends in CO2 emission from fuel combustion . Energy Policy.,35, 5938-5952  cited in Kumar, S., P. et.al. 2013.  pp.1588.

[8] Scharlemann. J.  and W.Laurance. 2008. How green are agrofuels ? Sciences. 329 (5859), 43-4. ; Fargione, J. et. al. 2008 Land clearing and argofuel carbon dept. Sciences, 319(5867) 1235-8 . cited in  White, Ben and Anirban Dasrupta.2010. Agrofuels capitalism : a view from political economy. The Journal of peasant Studies.Vol.37. No.4. October, 593-607. pp.595. .

[9] Shattuck. A. 2009,The agrofuels Trojan Horse : biotechnology and the corporate domination of agriculture.  pp.93. . In Jonasse , R. ed. Agrofuels in the Americas .  A Food First Book. Oakland : Institute for Food and Development Policy.  cited in  White, Ben and  Anirban  Dasrupta.2010. pp.595.

[10] Eide . A. 2008 . The right to  food and impact of liquid biofuels (agrofuels). Right to Food Studies .Rome : Food and Agriculture Organization. pp.4. cited in White, Ben and  Anirban  Dasrupta.2010. pp.595. 

[11] Ernsting,  A.  2007. Agrofuels in  Asia : fueling poverty, conflict , deforestation and climate change. Seedling , July. 25-33. pp. 25 cited in White, Ben and  Anirban  Dasrupta.2010. pp.595. 

[12] Salvador, M. and B. Damen. 2010. BEFS  Analysis for Thailand. Bio Energy and Food Security Project ; Rome : Food and Agriculture Organization. cited in Kumar, S., P. et. al  2013. pp. 1591.

[13] Barros Jr., Saturnino M.; Philip  McMichael and Ian Scoone. 2010. The politic of biofuels ,land and agrarian change : editors’ introduction. Journal of Peasant Studies, 37 : 4, 575-592. pp.577.

[14]ตัวอย่างต่อไปนี้อ้างจาก Barros Jr., Saturnino M.; Philip  McMichael and Ian Scoone. 2010.pp.577-8.

[15] Hollander, G. 2011. Power is sweet : sugarcane in the global ethanol assemblage.  Journal of Peasant Studies, 37 : 4, 699-721.

[16] Gallagher. E. 2008. The Gallagher review of the indirect effect of biofuel production . London : UK. Government , Renewable Fuels Agency. Cited in .Barros Jr., Saturnino M.; Philip  McMichael and Ian Scoone. 2010. pp. 577.

[17] Cotula L.; N. Dyer and  S. Vermeulen.  2008. Fuelling exclusion ? The agrofuels boom and poor people’s access to land . London : IIED/FAO.  pp. 22-23. Cited in White, Ben and  Anirban Dasrupta.2010. pp.601

[18] Sirait, M.T. 2009. Indigenous people and oil palm expansion in West Kalimantan , Indonesia. The Hague/Amsterdam : Cordaid/University of Amsterdam.  Cited in White, Ben and  Anirban Dasrupta.2010. pp.602.

[19] White, Ben and  Anirban Dasrupta.2010. pp.597-8.

[20]Beckford, G. 1972. Persistence  poverty : underdevelopment in the plantation economies of the Third World. New York : Oxford university;  Little. P  and M.  Watts. 1994. Living Under contract : contract farming and agrarian transformation in sub-Saharan Africa. Madison : University of Wisconsin press. Cited in White, Ben and  Anirban Dasrupta.2010. pp.603.

[21]. Shattuck. A. 2009,The agrofuels Trojan Horse : biotechnology and the corporate domination of agriculture pp.93. In Jonasse , R. ed. Agrofuels in the Americas .  A Food First Book. Oakland : Institute for Food and Development Policy.  cited in  White, Ben and Anirban Dasrupta.2010. pp.604.

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 58138 articles
Browse latest View live




Latest Images