Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 58141 articles
Browse latest View live

'ประยุทธ์' วอนประชาชนวางใจการใช้อำนาจของ คสช.

$
0
0
"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ”  ระบุ คสช.จะใช้อำนาจกระทำสิ่งที่ดี สร้างสรรค์ เกิดประโยชน์กับคนไทยอย่ากังวล รัฐบาลแต่งตั้งหากว่าเข้ามาแล้วไม่ดี ไม่ทำประโยชน์ ไม่โปร่งใส ก็ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ขอให้ประชาชนวางใจการใช้อำนาจของ คสช. 

 
25 ก.ค. 2557 เมื่อเวลา 20.25 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ตอนหนึ่งว่า สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่ายินดีและเป็นที่ปลาบปลื้มของประชาชนชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งได้ลงพระปรมาภิไธยแล้ว โดยฝ่ายกฎหมายของ คสช.ได้แถลงสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศให้ทราบในรายละเอียดและหลักการที่สำคัญๆ ไปบ้างแล้ว ซึ่งทำให้การแก้ปัญหาของ คสช.สามารถเดินไปตามโรดแมประยะที่ 2 ได้ตามกำหนด ทั้งนี้ตนได้รับพระบรมราชานุญาตโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รับพระราชทาน ซึ่่งถือเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
       
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ในด้านของความมั่นคงที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดย คสช.มีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งตนได้มอบหมายให้กับรองผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธาน ทั้งนี้เพื่อบูรณาการแผนงานโครงการของหน่วยงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อทั้งหมด เพื่อให้เป็นเอกภาพ ให้ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง รวมทั้งการสร้างการรับรู้กับต่างประเทศด้วย
 
โดยรายละเอียดทั้งหมดของรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ประจำวันที่ 25 ก.ค. 2557 มีดังต่อไปนี้
 
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2557 เวลา 20.20 น.
 
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน
 
วันนี้พบกันอีกครั้ง สำหรับสัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่ายินดี และเป็นที่ปลาบปลื้มของประชาชนชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งได้ลงพระปรมาภิไธยแล้ว โดยฝ่ายกฎหมายของคสช. ได้แถลงสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศให้ทราบในรายละเอียดและหลักการสำคัญ ๆ ไปแล้วบ้าง ซึ่งทำให้การแก้ปัญหาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สามารถเดินไปตาม Road map ระยะที่ 2 ได้ตามกำหนด ทั้งนี้หัวหน้า คสช. ได้รับพระบรมราชานุญาตโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เข้ารับพระราชทาน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ ตอนท้ายรายการผมจะกล่าวอีกครั้ง
 
สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินงานของ คสช. ด้านเศรษฐกิจ
 
เรื่องแรก ที่สำคัญคือการฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีตัวแทนสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ ตัวแทนสมาคมไทย-จีน ตัวแทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้เข้าพบหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ โดยทุกฝ่ายได้แสดงเข้าใจและได้รับทราบนโยบายของ คสช. ซึ่งน่าจะส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นในการค้าการลงทุนของทุกภาคส่วน และจะทำให้สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคต
 
เรื่องการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ AEC ฝ่ายเศรษฐกิจ ได้ขับเคลื่อนงานสำคัญ ๆ ไปหลายประการด้วยกัน ในด้านความร่วมมือด้านการค้าทั้งในกรอบ พหุภาคีและทวิภาคี เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เช่น การประชุมหารือของฝ่ายอาเซียน การประชุมคณะกรรมการเจรจาทางการค้า สำหรับการจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง การประชุมอาเซียน – เกาหลี เพื่อเจรจาเปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติม
 
เรื่องการแก้ไขปัญหาสินค้าทางการเกษตรตามแนวชายแดน จากนโยบายของ คสช. ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ เป็นเจ้าภาพ ในการหารือร่วมกับส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการกำหนดยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาดังกล่าวในภาพรวมทุกมิติ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการกำหนดจุดเข้า-ออกสินค้า พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ปริมาณ และประเภทของผลผลิตทางการเกษตรในแต่ละพื้นที่ ซึ่งไม่เหมือนกัน การแปรรูป และการเพิ่มมูลค่าสินค้า การควบคุมคุณภาพ การส่งออก รวมถึงระบบภาษี การลงทุน ความร่วมมือกับภาคเอกชน และข้อตกลงระหว่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างพื้นฐานคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ให้มีรายได้ และเป็นการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านไปพร้อมกันไปด้วย
 
เรื่องของการส่งเสริมการลงทุน ในห้วง 1 เดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้อนุมัติไปแล้วทั้งสิ้น 92 โครงการ มีวงเงินลงทุนจากภาคเอกชนประมาณ 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการปลดล็อคโครงการที่ค้างการพิจารณาในห้วงที่บ้านเมืองมีปัญหามาได้ส่วนหนึ่ง
 
เรื่องสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรและแนวทางการกำกับดูแล กลุ่มสินค้าเกษตรที่มีราคาเพิ่มขึ้น จากสัปดาห์ที่ผ่านมามี 5 รายการ ได้แก่ ลำไยจากภาคเหนือ เนื่องจากโรงงานอบแห้งลำไยเข้ามารับซื้อ ทำให้ตลาดมีการแข่งขันสูงขึ้น คงต้องระมัดระวังเรื่องของพ่อค้าคนกลางอาจจะมีการกดราคาอยู่บ้าง ก็ขอให้แจ้งมายังกระทรวงพาณิชย์ ผมได้สั่งการกระทรวงพาณิชย์ไปแล้วให้แก้ไขในเรื่องของการผูกขาด หรือการกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง ต้องพยายามแก้ให้ได้ เรื่องทุเรียน เงาะ ลองกอง จากภาคใต้ เนื่องจากมีผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง เพราะฉะนั้นมาตรการในการรักษาระดับเพิ่มราคาสินค้าในกลุ่มนี้ ยังคงใช้มาตรการกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิตให้ได้ในช่วงที่มีผลผลิตมาก รวมทั้งการผลักดันส่งออกทั้งตลาดเดิมและการหาตลาดใหม่ต่างประเทศ
 
เรื่องของกล้วยไม้ ขณะนี้แม้จะมีราคาเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ถือว่าเพิ่มขึ้นในเกณฑ์ต่ำ เพราะว่าตลาดต่างประเทศมีความต้องการลดลง เนื่องจากผู้บริโภคหันไปซื้อกล้วยไม้พันธุ์ฟาแลนจากสิงคโปร์แทน รวมทั้งคุณภาพกล้วยไม้ไทยยังไม่ค่อยได้มาตรฐาน จะส่งผลให้เกษตรกรขาดทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่สามารถจะซื้อปุ๋ย หรือพัฒนาพันธุ์ให้ดีขึ้นได้
 
สำหรับมาตรการในการรักษาระดับเพิ่มราคากล้วยไม้ ทางรัฐจะสนับสนุนการวิจัยและทดสอบเทคโนโลยีการปลูก การส่งเสริมการปรับปรุงพันธุ์ และลดภาษีในการนำเข้าผงวุ้น เพื่อการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้
 
กลุ่มสินค้าเกษตรที่มีราคาคงที่ จากสัปดาห์ที่ผ่านมา มี 2 รายการ ได้แก่ มันสำปะหลัง ราคาคงที่ เนื่องจากความต้องการซื้อมันเส้นและแป้งมันยังคงมีต่อเนื่อง มาตรการในการเพิ่มระดับราคาของมันสำปะหลัง เนื่องจากอยู่ในช่วงการเพาะปลูกสำหรับฤดูกาลใหม่ จะเน้นการให้ความรู้ในการดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ รวมทั้งปัจจุบัน คสช. ได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง และคณะอนุกรรมการพิจารณาระบาย ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพื่อกำกับดูแลปริมาณ และเสถียรภาพราคา ให้เกษตรกรได้ผลตอบแทนเต็มที่ เหมาะสม เป็นธรรม และสอดคล้องกับการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในสต๊อกของรัฐบาล
 
เรื่องอ้อย ราคายังคงที่ เนื่องจากเราใช้วิธี “การประกาศกำหนดราคาอ้อย” ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อ้อยและน้ำตาลทราย ปีพ.ศ.2527 โดยการประกาศราคาล่าสุด เมื่อ 17 ธันวาคม 2556 ที่ราคาตันละ 900 บาท
 
ส่วนของมาตรการในการเพิ่มราคาของอ้อย เราจะเร่งพัฒนาอ้อยพันธุ์ดี ให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ พร้อมทั้งขยายอ้อยพันธุ์ดีให้เพียงพอกับความต้องการของชาวไร่อ้อย มีการแนะนำการปรับปรุงดิน การใช้ปุ๋ยเคมีที่จะต้องลดลง ให้มีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ให้มากขึ้น มีประสิทธิภาพ และต้องเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลในทุกระบบ
 
สัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มนักธุรกิจภาคอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทั่วโลกได้มาร่วมงาน ASIAN SUGAR NIGHT IN BKK 2014 และได้เข้าพบกับคณะ คสช. ซึ่งผมได้ชี้แจงอธิบายถึงสถานการณ์ปัจจุบันของไทยและยืนยันกับเขาว่า การดำรงความสัมพันธ์และการค้าขายกับกลุ่มนักธุรกิจเหล่านั้น เราจะดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตามนโยบายการผลิตและส่งออกอ้อยและน้ำตาลของไทยจะต้องพิจารณาความต้องการของผู้ซื้อจากต่างประเทศและผู้ผลิตน้ำตาลดิบของไทย ตลอดจนนโยบายของรัฐบาล และจะต้องดูแลเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่มีอยู่ประมาณ 3 แสนราย มีแรงงานอยู่เป็นล้านคน และโรงงานน้ำตาลมีถึง 50 โรงในปัจจุบันจะต้องดูแลควบคู่กันไปกับการผลิตที่มีประสิทธิภาพและเพียงพอ และเหมาะสมกับความต้องการทั้งในประเทศ และกับประเทศผู้ค้าด้วย
 
สำหรับกลุ่มสินค้าเกษตรที่มีราคาลดลง จากสัปดาห์ที่ผ่านมา มี 2 รายการ ปาล์มน้ำมัน ราคาปรับลดลงเล็กน้อย เนื่องจากตลาดน้ำมันปาล์มดิบมาเลเซียปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาด แนวทางการกำกับดูแล ติดตามระบบการค้าในประเทศ เพื่อรักษาระดับราคาผลปาล์มให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันปาล์มสู่การบริโภค
 
เรื่องข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาปรับลดลง เนื่องจากข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวในต้นฤดูฝนมีความชื้นสูง ในแนวทางการกำกับดูแล แนะนำ ให้ความรู้กับเกษตรกรเกี่ยวกับ วิธีการจัดเก็บ การเก็บรักษาเพื่อรักษาความชื้นของข้าวโพดให้อยู่ในระดับมาตรฐาน การกำกับดูแลสินค้าเกษตร ปัจจุบันได้มีการจัดตั้ง “ศูนย์ช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตร” และ“ศูนย์บริการประชาชนด้านการเกษตร” เพื่อเป็นช่องทางการให้ความร่วมมือ และการให้คำแนะนำการแก้ปัญหาต่างๆ แก่เกษตรกรในทุกจังหวัด
 
สำหรับผลผลิตทางการเกษตรของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ มังคุด และลองกอง ซึ่งในปีนี้ คาดว่าจะมีผลผลิตจำนวนมาก และอาจจะล้นตลาดนั้น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้รายงานขอแนวทางแก้ไขขึ้นมาแล้ว คสช. กำลังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ได้แก่ การหาหรือเพิ่มตลาด การกระจายผลผลิตไปยังพื้นที่อื่น ๆ
 
เรื่องปัญหาราคายางตกต่ำ สำหรับปัญหาที่พี่น้องเกษตรกรสวนยางพาราประสบอยู่ในปัจจุบัน ในเรื่องปัญหาราคายางตกต่ำ เนื่องจากผลิตผลทั่วประเทศเพิ่มขึ้นจากการรณรงค์การเพาะปลูกยางตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมานั้น คสช. ได้ให้ส่วนราชการเกี่ยวข้องไปพิจารณาหาแนวทาง ทั้งมาตรการทั้งระยะสั้น ระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ
 
ด้านความมั่นคง ที่เราให้ความสนใจเป็นพิเศษคือการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้มีการจัดแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งผมได้มอบหมายให้รองผู้บัญชาการกองทัพบกเป็นประธานฯ ทั้งนี้ เพื่อบูรณาการงาน แผนงาน โครงการของ หน่วยงาน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่โดยแท้จริง รวมทั้งการสร้างการรับรู้กับต่างประเทศด้วย เราจะเห็นได้จากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของชาติสมาชิก OIC ครั้งที่ 41 ที่ผ่านมา ได้มีการพูดคุยในเรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยมีประเด็นที่สำคัญคือ OIC ชื่นชมการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย สนับสนุนการเจรจาสันติภาพระหว่างกลุ่มต่าง ๆ กับไทย และเรียกร้องให้ไทยดำรงแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อไปอย่างยั่งยืน
 
เรื่องสิทธิมนุษยชน วันนี้ คสช. อยากจะเรียนให้ต่างประเทศได้เข้าใจว่า เราไม่ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงแต่ประการใด เราไม่มีนโยบายให้เกิดกรณี การทำร้าย ทารุณอย่างรุนแรงต่อศักดิ์ศรีมนุษย์ การฆ่า การทรมาน การข่มขืน แต่ในสภาวะไม่ปกติเช่นนี้ เราคงมีความจำเป็นในบางเรื่องที่อาจจะส่งผลกระทบอยู่บ้างต่อสิทธิ์ของประชาชน เช่น การกำหนดให้สื่อมีความระมัดระวังในการเสนอข่าว ผมใช้คำว่าระมัดระวัง
 
การมีมาตรการสำหรับการเดินทางนอกประเทศของบางท่าน คสช. อยากจะขอให้ทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรระหว่างประเทศได้เข้าใจถึงความจำเป็นในการใช้กฎหมายพิเศษเพื่อควบคุมสถานการณ์ และปกป้องประชาชนและความมั่นคงของรัฐในช่วงการเปลี่ยนผ่านและการปฏิรูปในขณะนี้
 
เรื่องการส่งกลับผู้ลี้ภัยจากการสู้รบทางด้านชายแดนไทย – เมียนมาร์ เรายังไม่ได้มีการดำเนินการใด ๆ เป็นเรื่องของรัฐบาลไทยกับรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน ต้องหามาตรการที่เหมาะสมและปลอดภัยให้กับผู้ลี้ภัยจากการสู้รบดังกล่าว ทั้งนี้จะต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ได้เป็นการดำเนินการโดยฝ่ายความมั่นคงหรือทหารแต่ประการใด
 
เรื่องโรฮิงญา ก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากมีขบวนการนำพาโรฮิงญาเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ฉะนั้นเราจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมอย่างรัดกุมและชัดเจน หากไม่ดำเนินการก็จะเกิดการค้ามนุษย์ และการหลบหนีภัยจากการสู้รบที่ไม่เป็นธรรมชาติเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกต่อไป
 
สัปดาห์ที่ผ่านมาได้มอบหมายให้รองเสนาธิการทหารบก เข้าร่วมหารือกับคณะผู้แทนองค์กรนิรโทษกรรมสากล (AI) โดยได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อข้อห่วงใยขององค์กรนิรโทษกรรมสากลในประเด็น สถานการณ์ความรุนแรง และการดำเนินการของ คสช. ทั้งก่อนและหลังการประกาศใช้กฎอัยการศึก และการเข้าควบคุมอำนาจ ในเรื่องของการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ การเคารพในสิทธิมนุษยชน บทบาทของ คสช.หลังมีรัฐบาล การแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว และผู้ลี้ภัยจากการสู้รบชาวเมียนมาร์
 
ภายหลังการชี้แจง คณะผู้แทน AI ได้รับทราบและเข้าใจต่อสถานการณ์ในไทย และมีท่าทีเห็นด้วยและมีทัศนคติเชิงบวกต่อแนวทางการดำเนินการของ คสช. ในเรื่องสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ผู้แทน คสช. ได้ขอความร่วมมือให้คณะผู้แทน AI ช่วยให้ข้อมูลที่ถูกต้องต่อสถานการณ์ของไทยในเวทีต่าง ๆ ด้วย
 
อย่างไรก็ตาม คสช. ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนมาโดยตลอด ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณามอบหมายให้มีคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ มอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคงไปดำเนินการ
 
การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว วันนี้ คสช. ได้รับทราบปัญหาของแรงงานต่างด้าวที่ยังไม่มีพาสปอร์ตทำให้ไม่สามารถเดินทางเข้าไทยได้ในขณะนี้ เนื่องจากต้องใช้เวลาในการดำเนินการขอพาสปอร์ตที่ประเทศต้นทาง คือประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ได้มอบให้ฝ่ายความมั่นคง ไปหามาตรการแก้ไข โดยเร่งด่วนแล้ว ต้องขอขอบคุณทุกส่วนราชการ ที่ได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาในห้วงที่ผ่านมา ปัจจุบันปัญหาหลัก ๆ ได้รับการคลี่คลายลงแล้ว โดยผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ ดำเนินการได้อย่างคล่องตัวขึ้น เจ้าของเรือประมงที่มีลูกจ้างเป็นแรงงานต่างด้าวได้มาขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวไปแล้ว จำนวน 53,260 คน และเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา คสช. ได้เปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว one stop service เพิ่มเติมจนครบทั้ง 22 จังหวัดติดชายทะเลแล้ว
 
ด้านการศึกษา คสช. ได้เห็นชอบโครงการการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ซึ่งเป็นการจัดหาอุปกรณ์ให้กับทุกโรงเรียนทั้งในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ซึ่งจะยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนทั่วประเทศให้พัฒนาและมีมาตรฐานเดียวกันมากยิ่งขึ้น
 
เรื่อง กองทุนเพื่อการศึกษา คสช. ได้พิจารณาอนุมัติขยายเวลาการดำเนินงานโครงการ กองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต หรือ กรอ. ซึ่งต่อไปในปีการศึกษา 2558 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกองทุนประสบปัญหามีหนี้ค้างชำระเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมีการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการกองทุน เพิ่มช่องทางชำระหนี้ การจัดทำฐานข้อมูลที่ถูกต้องในระยะต่อไป
เรื่อง การเพิ่มอัตราบุคลากรทางสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอปัญหาความขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งเราได้อนุมัติอัตราเพิ่มเติมในขั้นต้น เฉพาะปีงบประมาณ 2557 จำนวน 9,074 อัตรา แยกเป็นบรรจุพยาบาลและบุคลากรสาธารณสุข 7,547 อัตรา และบรรจุนักศึกษาแพทยศาสตร์ ทันตแพทย์ศาสตร์ และเภสัชกร จำนวน 1,527 อัตรา อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาในระยะต่อไป กระทรวงสาธารณสุขจะต้องดำเนินการตามมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐให้ครบถ้วนก่อนเสนอคำขออัตรากำลังเพิ่มมาใหม่ในครั้งต่อไป
 
ประเด็นสำคัญ ๆ ที่สังคมให้ความสำคัญ ในขณะนี้
 
การเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตย ซึ่ง คสช. ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแปลก ที่แปลกก็มีอยู่เพียงว่า สถานการณ์ประชาธิปไตยไทยที่ผ่านมา มีปัญหามาโดยตลอดในทุกมิติ ทั้งในด้านการเมือง การเข้าสู่ระบบ อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ การทุจริต ความไม่โปร่งใส เอื้อประโยชน์ และผลประโยชน์ทับซ้อน จนทำให้ข้าราชการไม่สามารถปฏิบัติงานในการให้การบริการกับประชาชนได้ ผมไม่เข้าใจว่า ผู้เรียกร้องดังกล่าวเหล่านั้น มองข้ามเรื่องที่กล่าวมาไปได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ การประท้วงที่ยาวนาน มาตั้งแต่ปี 2549 2553 2556 และปี 2557 ที่ต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้างว่า ทำเพื่อประชาธิปไตยมาโดยตลอด คสช. ต้องการที่จะยุติและแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ยั่งยืน น่าจะมองเหตุผลตรงนี้มากกว่า น่าจะเข้าใจกัน และก็ไปหาว่าใครที่ทำให้เกิดสถานการณ์วุ่นวายเหล่านั้น หากท่านมาประณามเรา ซึ่งเราจะเข้ามาแก้ไข ไม่น่าจะถูกต้องเท่าไรนัก ก็ขอความเป็นธรรมด้วย
 
การเรียกร้องผลประโยชน์ ในการแต่งตั้งบอร์ด สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รัฐบาล ผมพูดมาหลายครั้งแล้วก็ยังมีอยู่ ทราบแล้วว่าใครเป็นคนไปเรียกร้อง ยืนยันว่า คสช. ไม่มีทั้งสิ้น และกำลังหาวิธีการดำเนินการตามกฎหมาย ขอให้หยุดการกระทำดังกล่าว และผู้ที่เคยเสียเงินเสียทองให้ไป ให้เรียกคืนโดยทันที มิฉะนั้นท่านอาจจะเสียเงินเปล่า คนที่ได้รับการแต่งตั้งจาก คสช. ในปัจจุบันนั้น คสช. จะมีการตรวจสอบโดยคณะกรรมการของ คสช. ทั้งในด้านประวัติส่วนตัว ผลการปฏิบัติงาน การทุจริตคอรัปชั่น การถูกฟ้องร้อง หรืออยู่ในกระบวนการฟ้องร้อง โดยจะตรวจสอบทั้งหมด มิได้รับรายชื่อมาจากผู้ใดแล้วแต่งตั้ง ไม่ใช่แบบนั้น หากแต่งตั้งไปแล้วตรวจพบมีความผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี ปลดออกเช่นกัน
 
การเรียกร้อง บัตรสนเท่ห์ เพื่อโจมตี คสช. กองทัพบก ว่าเป็นการเรียกร้อง ใส่ความที่ไม่เป็นธรรม การจัดหา จัดซื้ออาวุธ สิ่งนี้ได้เรียนมาหลายครั้งแล้วว่ามีการตรวจสอบอยู่แล้ว ฉะนั้นที่ผ่านมาก่อนจะซื้ออะไรได้ มีการตรวจสอบมาทั้งสิ้น หน่วยงานของรัฐก็ถามมา คสช. ก็ตอบไป จนบางครั้งทำให้การจัดหาจัดซื้อเกิดความล่าช้ากว่ากำหนด ก็ต้องไปแก้ไขต่อไปเรื่อย ๆ เพราะ คสช. ต้องการให้ทุกคนไว้วางใจ เพราะฉะนั้นอย่าโจมตีกันอีกเลยในเรื่องเหล่านี้ เพราะว่าเมื่อซื้อมาแล้วเกิดชำรุด ก็ต้องซ่อมกันต่อไป บางอย่างเราไม่ได้ผลิตเอง ไม่ได้ทำเองทั้งสิ้น บางอย่างต้องซื้อมา เพื่อทดลองใช้งาน และนำไปสู่การวิจัยและพัฒนา ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ด้วย ก็เรียนมาให้ทราบเท่านั้นเอง เราก็อยากจะมีการผลิต มีการออกแบบ มีการผลิตเอง มีงบประมาณในการวิจัยพัฒนา แต่บางอย่างต้องใช้เวลานานมาก เพราะ คสช. ทำเองไม่ไหวแน่
 
กรณีการเรียกรับผลประโยชน์ ในโครงการที่ คสช. ได้อนุมัติไปของทุกกระทรวง ยืนยันทุกกระทรวง ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น รวมทั้งการก่อสร้าง การบริหารจัดการน้ำ การขุดลอกคูคลอง สาธารณูปโภคพื้นฐาน และอื่น ๆ และได้มีการอ้างว่า สามารถเคลียร์กับ คสช. เคลียร์กับหัวหน้า คสช. ได้ และมีการแบ่งการเรียกรับผลประโยชน์ให้กับ คสช. อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ พลเรือน ตำรวจ ทหาร หรือใครก็ตาม ขอให้แจ้ง คสช. ทราบโดยทันที คสช. จะดำเนินการโดยด่วน
 
ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริต ผิดกฎหมาย ตั้งแต่เริ่มจัดทำแผนงานโครงการ จนกระทั้งถึงขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ต่าง ๆ มีปัญหามาโดยตลอด ต้องช่วยกันดูแล ต้องทำให้โปร่งใส ตั้งแต่เรื่องการจัดทำงบประมาณ แผนงาน โครงการ การเปิดประมูลให้มีการแข่งขันโดยเสรี รอฟังเวลาเขาประกาศเชิญชวนไปแข่งขัน ก็ไป ถ้าท่านไม่ไป แล้วบอกว่าไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็คงไม่ได้ ท่านต้องไปแข่งขันสู้กับเขาโดยเสรี ปัจจุบัน เรามีคณะกรรมการตรวจสอบทุกขั้นตอน และแต่ละกระทรวง ทบวง กรม แต่ละระดับก็จะมีความรับผิดชอบตามลำดับชั้นลงไป จะต้องไม่มีเด็ดขาด ในเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์
 
การแก้ไขปัญหาทุจริต คอรัปชั่น เป็นนโยบายของ คสช. อยู่แล้ว ในช่วงนี้เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยมีคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายภาครัฐ (คตร.) เข้าตรวจสอบแผนงานโครงการที่ใช้งบประมาณมาก ๆ ของแต่กระทรวง แต่ละส่วนราชการ ก็มีอีกหลายโครงการที่มีลักษณะผิดปกติ ทั้งนี้ได้สั่งให้ทบทวน และระงับในบางกรณี รวมทั้งได้ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ได้วางรากฐานการตรวจสอบ การป้องกัน การทุจริตคอรัปชั่น และการปลูกฝัง ส่งเสริม การเป็นข้าราชการที่ดีในทุกระดับ อาทิ กระทรวงพาณิชย์ ได้มีการสร้างมาตรการกำหนดให้ผู้บริหาร พนักงาน ลูกจ้าง ปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล จริยธรรม และนำหลักการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส มาใช้ในการทำงาน ซึ่งถือเป็นแนวปฏิบัติที่ดี ส่งเสริมความโปร่งใสในการทำงานของภาครัฐ ซึ่งหากทุกกระทรวง ทุกส่วนราชการ ได้ทำเช่นเดียวกัน มุ่งเน้นในเรื่องนี้ ก็จะเป็นรากฐานที่ดีต่อข้าราชการไทยต่อไป
 
การกระจายอำนาจการบริหารราชการ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ที่มีอยู่แล้วเดิม คสช. ไม่ได้มองว่ามีปัญหาอะไรที่มากนัก มีแต่เพียงการสรรหาบุคลากรในการทำหน้าที่ในเรื่องของความโปร่งใส ความมีประสิทธิภาพ ก็ยังมีปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย ก็ต้องปฏิรูปให้เกิดความชอบธรรม เป็นธรรม และทั่วถึง ไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น เราต้องอย่าลืมว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว เป็นรัฐเดียว ไม่สามารถแบ่งแยกได้ ทั้งดินแดน ประชาชน การปกครอง ตามมาตรา 1 ที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ และมาตราอื่น ๆ ก็ได้กำหนดไว้ ให้มีการปกครองในลักษณะส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่นอยู่แล้ว เราให้ความสำคัญกับข้าราชการทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด แต่ก็จำเป็นต้องมีการยึดโยงกับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคไว้ด้วย
 
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจไว้ หากสามารถสร้างบุคลากรทั้ง 3 ระดับให้ดีได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใด ๆ ตราบใดที่มีการสอดประสานกัน เป็นการดูที่จะได้มีการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เติมช่องว่างที่ขาดได้ ปัญหาสำคัญอยู่ที่คน ถ้าเรามีความรู้ มีคุณภาพ มีความเสียสละ โปร่งใส นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าตนเอง และพวกพ้อง ก็ต้องดี
 
กรณีที่มีการเลือกตั้ง ก่อนวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมาของส่วนท้องถิ่น ก็อนุญาตให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สามารถประกาศผลรับรองได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ผ่านการตรวจสอบเรื่องใบเหลือง ใบแดง ส่วนใดที่ยังมีปัญหาอยู่ก็ชะลอการเลือกตั้งทดแทนไปก่อนเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีคำสั่ง
 
เรื่องนี้ คสช. ได้มอบให้กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ได้ชี้แจงทำความเข้าใจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ กกต. จังหวัด ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวแล้ว ซึ่งมีไม่กี่แห่งเป็นจำนวน 100 แห่ง ในจำนวนหลาย ๆ พันแห่งที่หมดอายุลงไปเท่านั้นเอง ขอเวลาสักเล็กน้อยก่อน
 
เรื่องการปรับปรุงและการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทย วันนี้ได้ให้คณะที่ปรึกษาจัดตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อทำการศึกษาในเรื่องดังกล่าว คู่ขนานไปกับการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการหามาตรการฟื้นฟูรัฐวิสาหกิจในกิจการดังกล่าว ให้ได้ข้อยุติโดยรวดเร็ว และทันต่อการชะลอการประมูลเครือข่าย 4G ออกไปเป็นการชั่วคราว 1 ปี ใช้เวลาในการฟื้นฟูส่วนงานเหล่านี้ก่อน อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ทำให้ผู้ใช้บริการเดือดร้อน ขอเน้นย้ำตรงนี้
 
เรื่องการตรวจโกดังข้าว คสช. ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการดำเนินคดี ในกรณีตรวจพบความไม่โปร่งใส เพื่อจะนำเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและกระบวนการยุติธรรมต่อไป ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการตรวจสอบดำเนินคดีของ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยปัจจุบัน คณะทำงาน ได้เข้าตรวจสอบปริมาณข้าวแล้ว จำนวนโกดังทั้งสิ้น 836 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 46.78 จากจำนวนคลัง หรือโกดัง ทั้งหมด 1,787 แห่ง เบื้องต้นพบว่า มีสภาพปกติ 685 แห่ง สภาพผิดปกติ 126 แห่ง เช่น เสื่อมสภาพ ชนิด ที่มาไม่ตรงตามบัญชี มีข้าวชนิดอื่นปลอมปน มีมอด ไร สิ่งเจือปน ในข้าวค่อนข้างมาก เป็นต้น
 
การระบายข้าว คสช. ได้ให้ความเห็นชอบ ตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ซึ่งมี ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ได้นำเสนอ ยุทธศาสตร์ แนวทาง เป้าหมาย แผนงาน และวิธีการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล โดยกำหนดเป้าหมายระบายข้าวในสต็อกจำนวน 18 ล้านตัน ให้ได้ภายในระยะเวลา 3 ปี แบ่งประเภทข้าวในการระบายเป็น ข้าวคุณภาพดี คุณภาพปานกลาง คุณภาพต่ำ และข้าวเสื่อมคุณภาพ ในช่องทางที่เหมาะสม เช่น การส่งออก การค้าทั่วไป การบริโภค และการแปรรูป โดยคำนึงถึงความเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ การค้าข้าวภายในและต่างประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและคำนึงถึงผลกระทบต่อเกษตรกร รวมทั้งผลประโยชน์ของรัฐ สำหรับแนวทางการส่งออกข้าวจะพิจารณาในหลายช่องทาง เช่น วิธีรัฐต่อรัฐ หรือความร่วมมือรัฐกับเอกชนขายข้าวให้ลูกค้าต่างประเทศ การขายให้องค์กรเอกชน องค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ เป็นต้น
 
เรื่องสื่อ ผมต้องขอขอบคุณที่เข้าใจกัน ขอให้ผู้รับผิดชอบแต่ละสมาคม ได้ดูแลกัน อย่าให้มีการล่วงละเมิดโดยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่เป็นจริง หรือการให้ข่าวโดยไม่มีหลักฐาน ทั้งนี้ อยากให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวอ้าง ทั้งนี้ คสช. ไม่ได้มุ่งหวังที่จะใช้อำนาจเข้าไปควบคุมสื่อแต่ประการใด อยากให้ทุกสมาคมสื่อ และสื่อทุกประเภทมีความเข้มแข็ง และเป็นที่น่าเชื่อถือของสาธารณชนเท่านั้น
 
ผมขอให้ สื่อ สมาคมนักข่าวไทย นักข่าวต่างประเทศ ได้เข้าใจการปฏิบัติงานของ คสช.ในระยะที่ 2 จำเป็นต้องให้เกิดความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุด หากท่านไม่ได้มีเจตนาเสียหาย วิพากษ์วิจารณ์เกินกว่าเหตุ เจตนาไม่บริสุทธิ์ก็คงไม่มีใครไปทำอะไรท่านได้ ขอความร่วมมือด้วย เพราะท่านมีพลังในการจะทำให้สังคมสงบเรียบร้อยหรือวุ่นวายก็ได้ หากท่านมีเจตนาร่วมกันปฏิรูปประเทศ ท่านก็น่าจะเข้าใจ ในระยะที่ 2 ก็อยู่ในการปฏิรูปด้วยในกลุ่มหนึ่งคือ การปฏิรูปสื่อมวลชนทุกแขนง ท่านต้องเข้ามาช่วยเหลือร่วมกันด้วย
 
เรื่องการมีรัฐธรรมนูญชั่วคราว เรามีความจำเป็นต้องกำหนดอำนาจหน้าที่ แต่ละฝ่ายให้ชัดเจน เพราะเป็นการใช้พระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามรัฐธรรมนูญ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 2 เดือน จะเห็นได้ว่า คสช. พยายามที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ไม่ได้มุ่งใช้อำนาจในการทำร้ายใคร แต่ใช้อำนาจในทางสร้างสรรค์ความสงบสุขให้กับประชาชนและชาติบ้านเมือง ซึ่งก็คงมีทั้งผู้ที่ถูกใจและไม่ถูกใจบ้าง คสช. ปฏิบัติงานด้วยความเป็นธรรม มุ่งหวังแต่เพียงว่า จะทำอย่างไรให้ประเทศชาติมั่นคงยั่งยืน ดังนั้น ทุกพวกทุกฝ่ายน่าจะร่วมมือกับ คสช. ในการทำงาน อย่ามองเฉพาะประชาธิปไตยอย่างเดียว ถ้ามองเฉพาะเรื่องนั้นจะไปเรื่องอื่นไม่ได้ ฉะนั้น ถ้าท่านต่อต้านในทุกประเด็น บางอย่างที่ยังไม่เกิด ท่านเป็นห่วงแบบนั้นแบบนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาถือว่าเป็นบทเรียนรู้แล้ว ถ้าเราไม่ต้องการให้เกิดอย่างเช่นในอดีตที่ผ่านมา เราต้องร่วมมือกันในวันนี้ เพื่อจะเดินไปในวันข้างหน้า ตรงนี้อยากจะเรียนว่า เป็นการบริหารงาน ของรัฐบาลใหม่ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว
 
ทุกคนน่าจะมีความสบายใจ ถ้ามีการถ่วงดุล ดูแลทั้งรับบาลและ คสช. ซึ่งจะมีอำนาจที่เข้มแข็ง ในการสงบเรียบร้อยต่อสังคม และการตรวจสอบความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ของทุกภาคส่วน วันนี้เป็นสถานการณ์ที่ยังไม่ปกติ ถ้าปกติแล้วคงเลิกได้ทั้งหมด ยังไม่ปกติยังปฏิรูปไม่ได้ วันนี้เพียงแค่ลดความรุนแรงลง มาพบปะ หารือพูดคุยกัน เนื่องจากปัจจุบันยังมีคนที่ต่อต้านอยู่ มีการสร้างความเข้าใจผิด บิดเบือนข้อเท็จจริงทั้งในและต่างประเทศ คสช. ได้พยายาม ที่จะชี้แจงถึงอย่างไรก็ยังที่มีคนที่ไม่เข้าใจอยู่ ผมจึงไม่ทราบว่า ไม่เข้าใจจริงหรือว่า ไม่จริง เพื่อจะปกปิดหรือปิดบังหรือไม่ ซึ่งอยากจะขอร้องให้เลิก เพราะการตรวจสอบในปัจจุบันในเรื่องของขบวนการยุติธรรมยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องขององค์กรอิสระก็ยังทำอยู่ ใครจะผิดจะถูกก็ว่ากันตรงนั้น
 
หากจะหาว่าเราไปรังแกคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือคนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คนใดคนหนึ่ง ดูว่าประเด็นสำคัญคือ เขาทำความผิดจริงหรือไม่ ถ้าไม่จริงจะไม่ถูกดำเนินคดีอยู่แล้ว แต่ถ้าจริงต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งตรงนี้เราให้เวลาในการสอบสวน พิสูจน์ทราบให้เกิดความชัดเจน มีความเป็นธรรม ไม่มุ่งหวังจะไปใช้อำนาจทำลายล้างใคร ให้กระบวนการยุติธรรมของเราได้ทำ ถ้าหากเราไม่ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมปกติดำเนินการ คงมีข้อขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีก วันนี้ถ้าเราต้องการจะทำลายจริง เราคงลงโทษไปแล้วฐานะเป็นรัฎฐาธิปัตย์ ซึ่งมีอำนาจมากมาย แต่เราไม่ได้ใช้ บางพวกว่าไม่ใช้ ผมถามกลับว่าความขัดแย้งจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ถ้ากระบวนการยุติธรรมปกติไม่ได้สอบสวน อย่าใช้ความรู้สึกอย่างเดียว เพราะวันข้างหน้าต้องอยู่ร่วมกันอีก
 
คสช. จะพยายามไม่ทำตามข้อเรียกร้องของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะหากเรียกร้องไปและทำตามไป บางอย่างอีกพวกจะบอกว่าไม่ได้ทำ ซึ่งจะต้องสู้ไปอีกเหมือนเดิม ฉะนั้น รอให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปด้วย หลักฐานที่เพียงพอ ทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับในกฎกติกาของสังคม ให้เป็นไปตามกฎหมายและไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะกฎหมายมีไว้ เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข ไม่ได้มีไว้เพื่อสร้างความขัดแย้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้กระทำความผิดจริงก็ต้องถูกลงโทษ ถ้าไม่ให้ถูกลงโทษก็ต้องหนีไป ซึ่งจะอยู่ในประเทศไทยไม่ได้ ถ้ากลับมาอยู่ที่ประเทศไทยต้องถูกติดตามจับกุมดำเนินคดี ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายราย
 
คสช. อยากให้ประชาชนและสังคมไทยนึกถึงประเทศชาติให้มาก มากกว่าความโกรธเกลียดซึ่งกันและกัน จนลืมไปหรือไม่ ว่าตัวเราและลูกหลานในอนาคตจะอยู่อย่างไร ถ้าเรายังคงทะเลาะเบาะแว้งกันต่อไป อาฆาตเครียดแค้นกันต่อไป ลูกหลานจะอยู่อย่างเป็นสุขได้อย่างไร ต้องไปว่าด้วยข้อกฎหมายดีกว่า
 
สำหรับตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับนี้ ไม่ว่า คสช. จะมีอำนาจมากเท่าใด หากผู้ใช้อำนาจนั้น ใช้ในการกระทำสิ่งดี ๆ เกิดประโยชน์กับคนไทย กับประเทศไทย ก็ไม่ต้องกังวลใด ๆ ถ้าเราไว้ใจผู้บริหารประเทศ หรือผู้ที่จะมาอยู่ในกระบวนการใช้อำนาจทุกคน ในขณะนี้ มีธรรมาภิบาล มีคุณธรรม จริยธรรม มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าเข้ามาแล้วไม่ดี ไม่ทำประโยชน์ไม่โปร่งใสสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ฉะนั้น ขอความไว้วางใจกับการใช้อำนาจของ คสช.
 
เรื่องการบริหารราชการแผ่นดินในระยะที่ 2 เมื่อเรามีนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เราก็คงปฏิบัติงานในกรอบอำนาจเต็ม คือ การใช้อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ผ่าน ครม. สภานิติบัญญัติกระบวนการยุติธรรม โดยมีการปฏิรูปในเรื่องที่สำคัญควบคู่ไปด้วย และจะกำหนดให้ผลการปฏิรูปมีผลในทางปฏิบัติในระยะสั้น คือ (ทันที) บางอย่างต้องระยะกลาง (1 ปี) ที่มีรัฐบาล ระยะยาว ส่งต่อรัฐบาล (ต่อ ๆ ไป) ให้ต่อเนื่อง วันนี้ขอให้ทุกคนใจเย็น ๆ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันตกลงใจ และมีความเห็นชอบร่วมกัน จะได้หาข้อยุติลงได้และจะได้ส่งผลร้ายเช่นที่ผ่านมาอีกในอนาคต มิฉะนั้นแล้ว การเรียกร้อง ต่อสู้ ล้มตายของประชาชนและเจ้าหน้าที่ และการปฏิบัติงานของ คสช. ก็จะสูญเปล่าไปอีกเหมือนเดิม บ้านเมืองกลับเข้าสู่วงจรเดิม ท่านจะยอมแบบนั้นหรือไม่
 
การมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อจะทำให้การปฏิรูป สามารถดำเนินการได้อย่างแท้จริง ทุกอย่างมีเวลาที่จำกัด เราประกาศไว้ใน Road Map เราพยายามทำให้ตามนั้น หากไม่สามารถกำหนดเวลาต่าง ๆ เพื่อให้เดินได้ตามนั้น จะทำให้การปฏิรูปไม่ได้ เวลาที่มีอยู่ไม่ได้ จะทำให้ยืดยาวออกไปอีก เราไม่ต้องการที่จะแสวงหาอำนาจเป็นระยะเวลานาน ฉะนั้น ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับ คสช. ฝ่ายเดียว เราพยายามจะทำงาน เราจะแก้ปัญหา แต่การจะช่วยให้ประเทศชาติเดินต่อไปข้างหน้า ต้องเป็นท่าน ร่วมมือกับเรา รับฟังความคิดเห็นร่วมกันกับเรา มีความคิดเห็นอย่างไรสามารถสอบถามมาได้ อย่าไปวิเคราะห์วิจารณ์กันไปเองหรือไปกลัวอะไรที่ยังมาไม่ถึง ถึงวันข้างหน้าถ้าเกิดอะไรไม่ดีก็แก้ไขทันที สรุปว่าต้องมีการแก้ไข
ฉะนั้นอยากจะขอความร่วมมือกับทุกคนให้ช่วยกันนำบ้านเมืองไปสู่ความสงบ ไปสู่ประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน อย่างที่ทุกคนต้องการและไม่ให้มีความขัดแย้งกันต่อไป ทั้งฝ่ายประชาชน ทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่จะได้ทำงานได้สะดวกขึ้นในการรักษากฎหมาย ฉะนั้นหากว่าเกิดความวุ่นวาย ไม่โปร่งใสอีก ซึ่งผมไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ซึ่งไม่มีทางแก้ไขปัญหาอีกแล้ว คราวนี้ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่จะต้องร่วมมือกันให้ได้มากที่สุด และถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของประเทศไทย กรุณาอย่าเรียกร้องอะไรกันมากนัก ในระหว่างที่ยังไม่มีการเลือกตั้งโดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร ซึ่งจะต้องร่างขึ้นมาใหม่ ในระยะที่ 2 นี้ ให้ทันเวลาเพื่อจะนำไปสู่การเลือกตั้งประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ และเกิดการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่ทุกพวกทุกฝ่ายต้องการ
 
เรื่องต่างประเทศ สรุปแล้วว่าจะเห็นได้ว่า หลายประเทศส่วนใหญ่ ได้มีความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจกับไทย อย่างต่อเนื่อง และการค้าขายธุรกิจกับประเทศไทยอย่างต่อต่อเนื่อง การค้าต่าง ๆ การลงทุนต่าง ๆ ภาคเอกชนได้ดำเนินการไปตามปกติ ซึ่งทุกคนจะพยายามสนับสนุนเรา มุ่งหวังให้ประเทศไทย คนชาวไทย ก้าวเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนต่อไป สำหรับความสัมพันธ์ทางทหารนั้น ในห้วงเดือน สิงหาคม ได้มีการฝึกร่วมระหว่าง กองทัพบกไทย-กองทัพบกออสเตรเลีย ที่ จังหวัดตาก และ จังหวัดสงขลา รหัส CHAPLE GOLD 14 ซึ่งปีนี้ไทยเป็นเจ้าภาพ และสัปดาห์ที่ผ่านมาเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทยและผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองทัพสิงคโปร์ ได้เข้าพบปะคณะ คสช. ทั้งสองประเทศได้เข้าใจถึงสถานการณ์ของประเทศไทยและการทำงานของ คสช. เป็นอย่างดี รวมทั้งพร้อมจะให้การสนับสนุนและกระชับสัมพันธไมตรีกันต่อไปในอนาคต
 
สำหรับกรณี เครื่องบินของสายการบิน มาเลเซียแอร์ไลน์ และสายการบินทรานซ์เอเชียของไต้หวัน ซึ่งประสบเหตุในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ในนามของประชาชนชาวไทยขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทั้งลูกเรือและผู้โดยสารของประเทศต่าง ๆ ทุกท่าน
 
กรณีการสู้รบระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ ที่ฉนวนกาซา ซึ่งมีแรงงานไทยเสียชีวิต 1 คนนั้น ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ให้กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้ประสานงานย้ายแรงงานไทยออกจากบริเวณใกล้เคียงฉนวนกาซา ไปยังเขตที่ปลอดภัยแล้ว
 
เรื่องอื่นๆที่สำคัญ อาทิ การลงทุนด้านเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ำ การบริหารจัดการด้านพลังงาน การขนส่ง และเรื่องอื่น ๆ ยังคงอยู่ในกระบวนการดำเนินการให้เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้ได้โดยเร็ว
 
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จาก 22 พฤษภาคม - 22 กรกฎาคม 2557 ประมาณ 2 เดือนแล้ว ที่ คสช. ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจาก คนไทยทุกภาคส่วน
 
ขอขอบคุณแกนนำม็อบทุกฝ่าย ที่ยุติการเคลื่อนไหว ต่างคนต่างไปทำกิจกรรมส่วนตัว พักผ่อนออกกำลังกาย ดูแลครอบครัวประกอบอาชีพ และเตรียมตนเองในเรื่องการปฏิรูป และการเมืองในอนาคต หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จากนี้เป็นต้นไป คสช. คงจะได้รับความร่วมมือเช่นเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิม ทั้งในด้านความปรองดองสมานฉันท์ การปฏิรูป และร่วมมือกันในการบริหารราชการแผ่นดิน ให้ผ่านพ้นเมฆหมอก ที่บดบังความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทยมายาวนาน ทั้งนี้ เพื่อมอบอนาคตที่ดีงานให้กับลูกหลานของเราสืบไป คสช. ยืนยันไม่ได้มุ่งหวังจะมีอำนาจหรือแสวงหาผลประโยชน์ประการใด ทั้งสิ้น
 
ในโอกาสที่วันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารใกล้จะมาถึงแล้ว คือวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องคนไทยทั่วราชอาณาจักรร่วมกันถวายพระพรชัยมงคล ขออนุภาพสิ่งศักดิ์ทั้งหลายได้โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารให้ทรงมีพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง ทรงพระเกษมสำราญและทรงพระเจริญมายุยิ่งยืนนาน ขอบคุณทุกท่านครับสวัสดีครับ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สัมภาษณ์พิเศษ วิโรจน์ ณ ระนอง : เจาะ 30 บาทรักษาทุกโรค ร่วมจ่ายหรือรัฐสวัสดิการ

$
0
0
ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข­และการเกษตร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย 
 
ข้อถกเถียงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของระบบหลัก­ประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ ‘30 บาทรักษาทุกโรค’ กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เริ่มเดินหน้าปฏิรูประบบสาธารณสุข และมีข้อเสนอว่า ต้องการให้ผู้ใช้บริการ 30 บาทรักษาทุกโรคร่วมรับผิดชอบ 30-50 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล จนมีกระแสคัดค้านอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีข้อยุติดังเช่นทุกครั้งที่ประเ­ด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมา
 
ประชาไท สัมภาษณ์พิเศษ ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข­และการเกษตร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ถึงมุมมองเกี่ยวกับข้อถกเถียงดังกล่าวจากป­ระสบการณ์งานวิจัยการปฏิรูประบบสุขภาพและประเมินผลการจัดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงแนวทางและทางออกของปัญหาค่าใช้จ่ายข­องระบบหลักประกันสุขภาพ และการปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุข
 
 
00000

ประชาไท : ที่มาของแนวคิดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นอย่างไร บางคนอาจมองแค่ว่าทำไมไม่ให้เฉพาะคนจนจริงๆ ?

วิโรจน์ : แนวคิดเรื่องนี้โดยหลักมี 2 แบบซึ่งล้วนเห็นตรงกันว่าคนควรได้รับบริการสุขภาพที่จำเป็น แต่เห็นต่างกันในวิธีการทำ

แบบแรกสุขภาพเป็นสิทธิขึ้นพื้นฐานที่ทุกคนต้องได้รับบริการเมื่อจำเป็นโดยไม่ต้องห่วงเรื่องการเงิน แนวคิดนี้อยู่ในประเทศรัฐสวัสดิการ หรือระบบประกันสังคมในยุโรป แคนาดา ส่วนว่าเอาเงินมาจากไหนก็เอามาจากภาษี โดยเก็บจากแต่ละคนตามความสามารถในการจ่าย

แบบที่สองประชาชนควรมีส่วนรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของตนเอง ใครรับไม่ไหวรัฐหรือสังคมจะเข้าไปช่วย แนวคิดนี้พบในหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ ซึ่งทำให้ประชาชนออมเป็นกองทุนแล้วมาเบิกจ่ายเพื่อรักษา หากไม่พอก็ใช้กองทุนของรัฐ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีแนวคิดให้ประชาชนซื้อประกันสุขภาพ ใครที่ทำงานก็สามารถซื้อประกันสุขภาพได้ในราคาไม่แพงมาก แต่คนจำนวนหนึ่งไม่มีงานทำ ราคาที่ขายคนไม่มีงานทำจะแพง

ประเทศไทยเริ่มด้วยแนวคิดแบบหลัง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายประเทศรวมทั้งไทยด้วยมองว่าประเทศจนเกินกว่าที่รัฐจะมาแบกรับเพราะรัฐเองก็เก็บภาษีได้ไม่มากนัก เราถึงเน้นช่วยคนจน ใครไม่จนก็ช่วยตัวเองไป วิธีนี้ถ้าทำได้ดีก็จะใช้เงินน้อยกว่าการให้กับทุกคน ประเทศจนจะรู้สึกว่าวิธีนี้ง่ายกว่า ไม่เหมือนกับประเทศรวยที่รายได้ก็สูงภาษีก็เก็บได้สูงเขาจึงทำระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้อย่างสบายกว่า

แต่ก็ใช่ว่าประเทศรวยจะไม่มีปัญหา เพราะค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีแนวโฌน้มเพิ่มขึ้นโดยตลอดด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ 1. สังคมประเทศต่างๆ เปลี่ยนเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น 2.เทคโนโลยีใหม่ๆ พัฒนาขึ้น ซึ่งก็ดีแต่ก็ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นด้วย

สำหรับประเทศไทยแนวคิดเดิมคือช่วยเฉพาะคนที่เดือนร้อน สมัยก่อนโน้นไม่มีระบบที่ชัดเจนว่าจะช่วยอย่างไร ส่วนใหญ่ก็คงขึ้นกับความกรุณาปราณีของผู้อำนวยการ  พอมาหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ก็เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 (ซึ่งร่างหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ) เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บัญญัติไว้ว่า “รัฐพึงให้การรักษาแก่ผู้ยากไร้โดยไม่คิดมูลค่า”  นักการเมืองอย่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ตระหนักดีว่าต้องให้ความสนใจกับเกษตรกร และกับประชาชนทั่วไปรวมถึงคนในชนบทด้วย  รัฐบาลคึกฤทธิ์ จึงเป็นจุดเริ่มของโครงการพวกประกันราคา ตอนนั้นมีคำขวัญ “เงินผัน ประกันพืชผล สภาตำบล คนจนรักษาฟรี” ซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงถูกวิจารณ์ว่าเป็นประชานิยมที่มุ่งเป้าไปที่รากหญ้า ในปี 2518 เริ่มมีการจัดสรรงบให้ รพ. สำหรับสงเคราะห์ประชาชนผู้มีรายได้น้อย

ความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจครั้งต่อมาเกิดขึ้นในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์ดูแลด้านสาธารณสุข ในปี 2532 มีการขยายความช่วยเหลือจากผู้มีรายได้น้อยอย่างเดียวไปสู่ผู้สูงอายุ โดยไม่สนใจว่ารายได้เท่าไร หากมีอายุ 60 ปีขึ้นไปก็จะได้รับสิทธิ์เหมือนกัน ต่อมาปี 2537 มีความเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกครั้งคือ ขยายสิทธิไปสู่กลุ่มเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี

ถึงตอนนั้น ถ้ารวมคนสามกลุ่ม เด็ก ผู้สูงอายุ และคนจน เข้าด้วยกันก็จะตกประมาณ 20 ล้านคน สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาในยุครัฐบาลทักษิณ ซึ่งมีการขยายความครอบคลุมไปสู่คนที่เหลืออีกยี่สิบกว่าล้านคนด้วย ทำให้เมื่อรวมกับคนที่อยู่ในสวัสดิการข้าราชการอยู่แล้ว และคนที่อยู่ในโครงการประกันสังคม (ซึ่งเกิดขึ้นประมาณปี 2535) กลายมาเป็นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำหรับคนทั้งประเทศ

แนวคิดเรื่องช่วยแต่คนจนหรือช่วยทุกคน ตอนแรกยังไม่เป็นประเด็น แต่เมื่อรัฐบาลขยายโครงการไปสู่ผู้สูงอายุและเด็กก็เริ่มมีการถกถียงในประเด็นเหล่านี้ ตอนนั้นมีการเปลี่ยนชื่อโครงการจากโครงการสงเคราะห์ประชาชนผู้มีรายได้น้อย (สปน.) เป็น โครงการสวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาล (หรือ สปร.) ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาล้อตามสวัสดิการข้าราชการ แต่หลังจากที่มีการขยายโครงการ ก็เริ่มมีเสียงบ่นจากแพทย์ที่ให้บริการบ้างว่า มีคนไข้ สปร. ใส่ทองเส้นโตมารับการรักษาฟรี ซึ่งในช่วงนี้คุณอาจจะได้ยินข่าวที่พูดถึงเสียงบ่นทำนองเดียวกัน แค่เปลี่ยนจากคำว่า สปร.เป็น 30 บาทการถกเถียงเรื่องเราควรมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำหรับคนทั้งประเทศหรือไม่ เป็นประเด็นที่ถกกันมากันเป็นเวลานาน ปี 2532 และ 2537 เราขยายไปจนครอบคลุมครึ่งประเทศ เมื่อรวมกับสวัสดิการข้าราชการกับประกันสังคมก็รวมเป็นค่อนประเทศ เหลือคนจำนวนหนึ่งประมาณ 20 กว่าล้าน  คนอย่าง นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ต้องการให้เป็นหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ก็มีเสียงคัดค้านจากคนในวงการแพทย์และสาธารณสุขอยู่พอสมควร  แต่พอช่วงที่มีการเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทย พยายามขายแนวคิดใหม่ มี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ก็ผลักดันเรื่องนี้แล้วก็นำไอเดียคุณหมอสงวนมา ตอนที่หาเสียงหมอสุรพงษ์และพรรคไทยรักไทยเองก็ไม่ได้คิดว่าฟรีทั้งหมด จะรักษาทุกโรคแต่คิดว่าจะต้องเก็บเงินจากประชาชนเดือนละ 100 บาท ปีละ 1,200 บาทเอามาใช้ แต่ปรากฏว่าหลังจากที่เขามาเป็นรัฐบาลก็ไปดูงบต่างๆ ด้านสาธารณสุข แล้วสรุปว่าสามารถทำได้โดยไม่ต้องเก็บเบี้ยจากประชาชน นั่นเป็นที่มาของโครงการ 30 บาทฯ

แต่วิธีนี้ก็มาพร้อมปัญหาเรื้อรังอันหนึ่งคือ งบที่ตั้งขึ้นมามาด้วยค่าหัว 1,202 บาทก็เป็นตัวเลขมาถึงวันนี้นักวิชาการค่ายต่างๆ ก็เห็นตรงกันหมดว่าเป็นค่าหัวที่ต่ำเกินไปที่จะให้บริการที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึง จึงมีข้อถกเถียงว่าจะทำอย่างไรกับตรงนั้น  วิธีคิดก็มี 2 ฟากใหญ่ ฝ่ายแรก คือ รัฐบาลบอกว่าจะทำโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าแต่ปีแรกใส่เงินมาไม่พอ คือเพิ่มแค่หมื่นกว่าล้านบาท (เพราะถือว่ามีเงินเดิมอยู่แล้ว) ก็ควรเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ควรต้องใส่เงินเข้าไปเพิ่มในโครงการนี้เพื่อให้เพียงพอ แต่อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมีทั้งฝั่งนักธุรกิจ และนักปฏิรูประบบสาธารณสุขที่ได้รับไอเดียมาจาก อ. ฝรั่งบางคนที่มาช่วยผลักดันเรื่องนี้ในเมืองไทย ก็มีความเชื่ออยู่อันหนึ่งว่า ระบบสาธารณสุขจะหรือการให้บริการสุขภาพจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อค่าใช้จ่ายของระบบไม่โตเร็วนัก หรือควรตั้งเกณฑ์ว่าค่าใช้จ่ายของระบบต้องไม่โตเร็วไปกว่า GDP ของประเทศ เช่น ถ้าประเทศมีรายได้เพิ่ม 5% ค่าใช้จ่ายในระบบบริการสาธารณสุขไม่ควรเพิ่มเกิน 5% ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะไม่ยั่งยืนในระยะยาว

ด้วยแนวคิดแบบนี้ ทำให้คนจำนวนหนึ่งรู้สึกว่า ถ้าเอาเงินจากภาษีมาเพิ่มประเทศจะไปไม่ไหว ควรหาเงินจากทางอื่นด้วย หาทางไหนได้บ้าง ก็มีตั้งแต่ภาษีบาปไปจนถึงอีกทางหนึ่งที่มีการพูดกันมาโดยตลอด คือ การให้ร่วมจ่าย (หรือ copay)  แนวคิดนี้มีการพูดถึงมาตั้งแต่เริ่มโครงการ หรือแม้แต่งานวิจัยของ สวรส. ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญที่ผลักดันให้เกิดโครงการนี้ ก็มีการถกเรื่องควรมีการร่วมจ่ายหรือไม่ ถ้าร่วมจ่ายจะทำอย่างไร ดังนั้น ที่ท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุขออกมาปฏิเสธเมื่อเร็วๆ นี้ว่า สธ. ไม่เคยคิดเรื่องการร่วมจ่ายนั้นไม่จริง เพราะมีการพูดเรื่องนี้กันมาตลอด แต่ตัวเลข 30-50% นั้น ผมได้ไปเจอในข่าวที่มีการถอดเทปการประชุม ว่ามาจากประธานในที่ประชุม ซึ่งท่านมาจาก คสช. ทางกระทรวงไม่ได้เป็นผู้เสนอ แต่ที่คุณหมอประชุมพรออกมาพูดว่าจริงๆคิดถึงให้ร่วมจ่ายเพียง 30-50 บาท อันนั้นก็คงไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในใจของกลุ่มแพทย์ที่เสนอเรื่องนี้จริงๆเช่นกัน  เพราะนั่นไม่ได้ต่างจากโครงการ 30 บาทฯ เท่าไร ตอนที่เก็บ 30 บาท รายได้ที่เข้าสู่โครงการจากก็อยู่ที่พันกว่าล้าน ถ้าเพิ่มเป็น 50 บาทก็คงแค่สองพันกว่าล้านบาท ขณะที่โครงการนี้ใช้เงินระดับแสนกว่าล้านบาทต่อปี สองพันล้านก็จะเป็นแค่หยดน้ำในมหาสมุทร

เรื่องประเด็นร่วมจ่าย ผมคิดว่าตรงนี้ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า เวลาพูดเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มันไม่จำเป็นต้องฟรีทุกบาททุกสตางค์ ในหลายประเทศก็ไม่ได้ฟรีทุกบาท อย่างอังกฤษที่เป็นต้นแบบของเรา คนไข้ต้องรับภาระค่ายาจำนวนยหนึ่งถึงแม้จะไม่มากนัก หลายประเทศก็ไม่ได้ทำแบบฟรีหมด เพียงแต่ยึดหลักการว่าการเงินต้องไม่เป็นอุปสรรคให้คนเข้าถึงบริการที่จำเป็นสำหรับเขา

จากที่ไล่มาโครงการหลักประกันดูเหมือนจะมาพร้อมกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มันมีความสัมพันธ์กันหรือไม่อย่างไร ?

สัมพันธ์ในแง่ที่ในระบบเลือกตั้งหนึ่งคนหนึ่งเสียงนั้น ในอดีตเสียงที่สำคัญมากคือชาวนา ขนาดทุกวันนี้ชาวนาลดจำนวนลงเยอะเหลือ 3-4 ล้านครอบครัว รวมเป็นคนที่มีสิทธิเลือกตั้งก็อาจราว 10 ล้านคน ไม่ใช่คนส่วนใหญ่อีกแล้วแต่ก็จะเห็นว่าประเด็นของชาวนาก็ยังเป็นเรื่องสำคัญอยู่  ในปัจจุบันเสียงของชาวนาและเสียงของคนชนบทก็ยังมีความสำคัญมากในการเลือกตั้ง ที่ผ่านมาเรามีทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย ที่ว่าคนชนบทตั้งรัฐบาล คนกรุงล้มรัฐบาล แม้ว่าทฤษฎีนี้อาจจะไม่สามารถอธิบายได้ดีมากในปัจจุบัน แต่ก็คงสะท้อนถึงความสำคัญของเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและการเลือกตั้ง

มีคนที่มองปัญหาของระบบนี้ว่า ทำให้คนเข้าไปใช้พร่ำเพรื่อหรือเปล่า และจากที่ทำงานวิจัยเรื่องนี้มา มองเห็นปัญหาอะไรบ้าง ?

ก่อนจะพูดประเด็นนี้ ขอต่อเรื่องการร่วมจ่ายอีกนิดหนึ่ง เมื่อเราพูดถึงการร่วมจ่าย มันขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการยืนหลักการเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำหรับทุกคนหรือเปล่า หรือไม่ใช่ ซึ่งถ้ารบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่เลว อย่างที่สิงคโปร์ทำก็อาจเป็นภาระของประชาชนพอสมควรแต่ก็ได้ผลดีพอควรเมื่อเทียบกับอเมริกา

ถ้าเราจะยังยืนยันหลักการว่าคนต้องได้รับบริการโดยการเงินไม่เป็นอุปสรรคก็ต้องคิดวิธีร่วมจ่ายดีๆ ที่ต้องว่า “ดีๆ” เพราะเรามีปัญหามาตั้งแต่ยุค สปร. แรกๆ ซึ่งชื่อว่า สปน. หรือโครงการสงเคราะห์ประชาชนผู้มีรายได้น้อย คือ เราตั้งใจจะช่วยคนจนแต่ปัญหาก็คือว่า เราจะดูอย่างไรว่าใครเป็นคนจน กระบวนการในอดีตคือมีทั้งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านดู ให้ประชาสังคมดู แต่ผลการวิจัยหลายชิ้นพบว่า คนที่มีโอกาสได้บัตรมากคือคนที่มีเส้นสายในตำบล ในหมู่บ้าน ใกล้ชิดผู้นำท้องถิ่น ในขณะที่คนจนก็ไม่ได้เป็นที่ต้อนรับของคนในหมู่บ้านเสียด้วยซ้ำ มันก็เป็นสภาพที่มีปัญหาว่า คนจนไม่ได้บัตร คนได้บัตรไม่จน เป็นปัญหามาตั้งแต่ในยุคนั้น ที่สำคัญอีกอย่างคือ ปัญหาสุขภาพ เป็นปัญหาที่ต่างจากหลายๆ ปัญหา ยกตัวอย่างเรื่องอาหารการกิน เครื่องนุ่งห่ม ค่าใช้จ่ายเรื่องพวกนี้สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า คนรวยอาจทานมื้อละเป็นพันเป็นหมื่น คนจนก็มีเมนูที่ต่างไป แต่ก็คาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าค่าใช้จ่ายจะตกเดือนละเท่าไร แต่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ หากป่วยเล็กน้อยก็อาจคาดได้ว่าคนทั่วไปอาจเจอปีละ 2-3 ครั้งแต่สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้คือ การป่วยหนัก เราไม่รู้ว่าจะเจ็บเมื่อไร วิธีหนึ่งที่ดี คล้ายที่สิงคโปร์ทำ คือ ในเมื่อรู้ว่ายังไงต้องป่วยหนักก็ให้สะสมเงินไว้ใช้ในยามจำเป็น แต่ในสังคมที่มีคนที่รายได้น้อยจำนวนมาก คนกลุ่มหนึ่งก็อาจจะยากที่จะสะสมเงินได้เพียงพอให้เป็นหลักประกันด้านการรักษาพยาบาล

ยิ่งกว่านั้น การเรียกร้องให้คนจนสะสมเงิน หรือแม้แต่พวกเราเองก็ตาม มันก็เป็นการเรียกร้องสูง เพราะความจำเป็นยังไม่เห็นในขณะนั้น ยิ่งถ้าคนจนเขาต้องหาอาหารมื้อต่อไป หาบ้านเช่า จะเรียกร้องให้เขากันเงินสำหรับอนาคตมันก็เป็นเรื่องที่ยาก จึงกลับมาถึงว่า การให้รับภาระเองนั้นใครบ้างที่จะไม่เดือดร้อน อันนี้คนที่มีโอกาสเดือดร้อนจากภัยด้านสุขภาพมีมากกว่าคนจนคือ คนที่ตอนนี้ยังไม่จนแต่ถ้าป่วยหนักมาครั้งหนึ่งก็อาจเป็นคนจนได้ทันตาเห็น ดังนั้น การที่เราจะเลือกว่าเราจะให้สิทธิกับใครมันยากขึ้น ถ้าจะทำให้การเงินไม่เป็นอุปสรรคจริงๆ ก็ต้องให้สิทธิกับทุกคนที่มีความเสี่ยงที่จะจนเพราะรายจ่ายด้านสุขภาพ และในประเทศไทยมีคนน้อยมากที่จะสามารถพูดได้เต็มปากว่า เขามีทุนรอนพอที่จะรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บที่จะเกิดขึ้นกับทุกคนในครอบครัวในกรณีที่เกิดอย่างไม่คาดฝัน นี่เป็นประเด็นหนึ่งว่าจะให้ใครจ่าย หรือให้จ่ายตามฐานะหรือให้จ่ายเฉพาะคนที่จ่ายแล้วไม่เดือดร้อนนั้นไม่ได้เป็นเกณฑ์ที่จะนำมาใช้ได้ง่ายๆ

 และถ้าเราจะให้มีการร่วมจ่ายโดยที่ยังยึดแนวคิดหลักประกันสุขภาพ การเก็บร่วมจ่ายไม่ควรจะร่วมจ่าย ณ จุดบริการ ถ้าคุณเก็บ 20% ณ จุดบริการ พอคนไม่สบาย คนจำนวนหนึ่งก็จะลังเลว่าจะไปหาหมอ หรือจะพาพ่อแม่ไปหาหมอดีหรือเปล่า ถ้าจะพูดกันจริงๆ แล้ว สมัยที่เราทำวิจัยเรื่องหลักประกันสุขภาพ ไปคุยกับชาวบ้าน ชาวบ้านหลายคนก็ถูกถามเรื่องพวกนี้ ว่า พอรักษาฟรี หรือเก็บแค่ 30 บาท ทำให้ไปหาหมอบ่อยไม่จำเป็นหรือเปล่า ชาวบ้านก็บอกว่านั่นมันโรงพยาบาลนะครับ สามที่ที่ชาวบ้านอยากอยู่ไกลๆ คือ โรงพัก โรงพยาบาล แล้วก็คุก ถ้าพูดกันจริงๆ ในสถานีอนามัย ก็อาจมีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งที่อยากไปคุยกับเจ้าหน้าที่บ่อยๆ แต่โดยส่วนใหญ่ไม่ใช่ และสถานที่ให้บริการสุขภาพของเราก็แออัดมากพอควร เพราะตั้งแต่เดิมมาเรามีสัดส่วนแพทย์ พยาบาล ต่อจำนวนประชากรแล้วเราขาดแคลนมาก เพราะฉะนั้นเวลาไปสถานพยาบาลโอกาสต้องรอคิวเป็นครึ่งวันนั้นมีค่อนข้างมาก

คนส่วนหนึ่งห่วงปัญหาว่าคนจะไปใช้บริการมากเกินไป  แต่ความจริงแล้ว ความแออัดโดยตัวมันเองก็ทำให้คนจำนวนหนึ่งเห็นว่าถ้าไม่เป็นอะไรมาก ก็ไม่ไปดีกว่า ผมขอยกตัวอย่างเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งจากคุณหมอจรัส สุวรรณเวลา ซึ่งท่านเคยเป็นอธิการบดี และคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ คุณหมอจะมีโครงการไปเยี่ยมหมอจบใหม่ที่ไปใช้ทุนตาม รพ.ในต่างจังหวัดและสังเกตเห็นว่า มีชาวบ้านที่มา รพ. กันแบบเป็นคันรถ อาจจะมีคนป่วยหนักสักคนแล้วคนที่เหลือก็ติดตามมาด้วย พอมีโครงการ 30 บาทก็พบว่าผู้ติดตามที่เหลือส่วนหนึ่งก็มาขอหาหมอด้วย ถ้าถามว่าอันนี้ทำให้มีคนมารับบริการมากขึ้นหรือเปล่า มันมีแน่ๆ แต่เมื่อคุณหมอได้ลองไปถามคนเหล่านั้นดูถึงเหตุที่มาพบแพทย์ พบว่าถ้าพูดตามมาตรฐานทางการแพทย์ แทบทุกคนที่มาขอพบแพทย์ก็มีเหตุผลด้านการแพทย์ที่ควรจะได้รับการพบแพทย์ มันก็สะท้อนอะไรบางอย่างเหมือนกันว่า ที่เราเห็นว่าเมื่อรักษาฟรีหรือราคาถูกทำให้คนแห่มาใช้บริการนั้น มันอาจไม่ใช่จริงการมารับบริการที่ไม่จำเป็น แต่เป็นเพราะแต่เดิมเขาเข้าถึงบริการยาก

อีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกันคือ พอมีหลักประกันสุขภาพที่รักษาฟรีทำให้คนไม่รักษาสุขภาพ เสียก็ค่อยซ่อมเอา ถ้าถามว่ามีจริงไหมคนที่คิดแบบนี้  จริงๆ ก็คงมีบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะมาก

จากการวิจัยเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มองเห็นอะไรที่ควรปรับปรุงแก้ไขเพื่อพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ?

ถ้ามองจากภาพใหญ่ ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ในด้านการเข้าถึงบริการนั้นดีขึ้นมาก ที่ดีขึ้น บางคนสงสัยว่าทำไม สมัยก่อนคนส่วนใหญ่ได้รับสิทธิอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ซึ่งแม้ว่าจะจริง แต่ประชาชนจำนวนมากไม่รู้สิทธิของตัวเอง ได้บัตรมาใบหนึ่งก็ไม่มีไอเดียเลยว่าไป รพ. แล้วจะเจออะไรบ้าง แต่สโลแกน “30 บาทรักษาทุกโรค” สื่อสารได้ดีมาก ทำให้คนมีความมั่นใจมากขึ้นว่ามีเงินแค่นี้ก็เดินเข้า รพ.ได้ ในแง่การเข้าถึงบริการจึงดีขึ้นมาก

แต่ในแง่คุณภาพก็ยังเป็นปัญหาค่อนข้างมาก คนจำนวนมากไม่ค่อยไว้ใจเรื่องคุณภาพ ซึ่งไม่ใช่แค่โครงการ 30 บาทฯ อย่างเดียวที่มีปัญหานี้ ประกันสังคมในช่วงต้นๆ ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน แรกๆ คนมาใช้บริการโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ครั้งต่อคนต่อปี คนในประกันสังคมอาจจะป่วยน้อยเพราะอยู่ในวัยทำงาน หยุดมาหาหมอลำบากกว่า แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาไม่ไว้ใจแล้วไปจ่ายเงินกันเองเยอะ  แต่ในช่วงหลังการใช้บริการประกันสังคมก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้เคียงกับในโครงการ 30 บาท  

ปัญหาเรื่องคุณภาพในแง่หนึ่งต้องยอมรับว่ามีอยู่จริง และมีความสัมพันธ์กับงบประมาณด้วย เพราะถ้าเราเทียบค่าใช้จ่ายงบต่อหัวปัจจุบันอยู่ที่ 2,800 บาท หากเทียบกับโครงการสวัสดิการข้าราชการ จะพบว่ามีงบต่อหัวหมื่นกว่าบาท ตอนผมทำวิจัยพบว่าการงบต่อหัวของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอยู่ที่ประมาณ 2,000 ของสวัสดิการข้าราชการอยู่ที่ 11,000 บาท ห่างกันประมาณ 5 เท่า ปัจจุบันไม่ได้ตามตัวเลขแต่ก็คิดว่าคงห่างกันระดับเดิม ในอดีตโครงการสวัสดิการข้าราชการอาจจะมีปัญหาการใช้ยาแพง แต่ปัจจุบันก็มีความพยายามจะปฏิรูประบบให้หันมาใช้ยาที่ผลิตในประเทศมากขึ้นโดยการเปลี่ยนกลไกการจ่ายเงิน ทุกวันนี้ก็เข้าใจว่ามาใช้ยาในประเทศมากขึ้น แต่แม้กระทั่งเป็นอย่างนั้นค่าใช้จ่ายของโครงการสวัสดิการข้าราชการก็ยังสูงกว่าถึง 4-5 เท่า

ดังนั้นยังเชื่อคุณภาพยังเป็นปัญหาและมีความสัมพันธ์กับงบที่ได้ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่บุคลากรด้านสาธารณสุขพยายามเรียกร้องให้มีการจ่ายเงินเพิ่ม เพราะเขาเห็นว่างบที่ได้มาไม่เพียงพอที่จะรักษาได้อย่างมีคุณภาพ เขาถึงเห็นว่าถ้าใครมา รพ. แล้วมีเงิน ก็ควรมาร่วมจ่ายเงินด้วย  เขาจะได้มีกองเงินที่ใหญ่ขึ้นและให้การรักษาที่มีคุณภาพมากขึ้นได้

คนที่คุมงบคือ สปสช.แต่คนให้บริการคือคนของกระทรวงสาธารณสุข การแยกส่วนตรงนี้ทำให้เกิดปัญหาอะไรไหม?

ความจริงสิ่งที่คุณพูดมาเป็นกรณีทั่วไปแต่ไม่ใช่ทั้งหมด  รพ. ที่อยู่ในโครงการ 30 บาทฯ มีรพ.เอกชนด้วย รวมทั้งโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ด้วย แต่ผู้ให้บริการส่วนใหญ่เป็น รพ. ของกระทรวงสาธารณสุขจริง

แนวคิดในการตั้ง สปสช. จริงๆ แล้ว เป็นแนวคิดที่ว่ากระทรวงสาธารณสุขของไทยในอดีต มีงานที่อาจแบ่งออกเป็น 3-4 ด้านใหญ่ๆ คือ งานด้านการควบคุมกำกับดูแล , งานด้านวิชาการ, งานด้านการให้บริการรักษาพยาบาล และอาจนับได้เป็นงานที่สี่คือการจัดสรรงบต่างๆ มาใช้ในสามด้านนี้ด้วย  สิ่งที่ทำให้เกิด สปสช. คือ การดึงกำลังคนส่วนหนึ่ง คือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในด้านการจัดสรรงบโครงการพวกนี้ ซึ่งในสมัยก่อนกระทรวงสาธารณสุขจะมีหน่วยงานที่เรียกว่า สำนักประกันสุขภาพ มาตั้งเป็นองค์กรใหม่ เพื่อแบ่งแยกหน้าที่กัน ให้หน่วยงานหนึ่งเป็นผู้รับเงินแล้วมาซื้อบริการจากสถานพยาบาลแทน

หากจะเปรียบเทียบง่ายๆ คือ ในระบบประกันสังคม สำนักงานประกันสังคมไม่ใช่เจ้าของ รพ.  ในอดีตสำนักงานประกันสังคมก็คิดจะตั้ง รพ. ของตัวเองด้วยแต่แนวคิดนี้ถูกตีตกไปแต่ต้น  ตอนนี้ สนง. ประกันสังคมก็ทำหน้าที่ซื้อบริการให้ผู้ประกันตน ซึ่งเราจะพบว่า 60% ซื้อจากเอกชน 40% ซื้อจากกระทรวงสาธารณสุข รพ.รัฐ หรือ รร.แพทย์ (ส่วนที่เป็นของกระทรวงส่วนใหญ่ก็จะเป็น รพ. ระดับจังหวัด ไม่ใช่ระดับอำเภอ)

แนวคิดก็คือว่า ถ้ากระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่และเป็นผู้ถือเงินด้วย วิธีการจัดสรรเงินของกระทรวงสาธารณสุขก็อาจจะเกิดกรณีตาเล็กตาใหญ่ ระหว่างการจ่ายเงินให้องค์กรตัวเองกับการซื้อบริการของคนอื่นในกรณีที่อาจเกิดประโยชน์กับประชาชนมากกว่า ถ้ายกตัวอย่างเปรียบเทียบกับกรณีประกันสังคม คนจำนวนมากเลือกจะไปอยู่ในสังกัดรพ.เอกชนเพราะเขารู้สึกว่าสะดวกสบายกับเขามากกว่า แต่ถ้าสมมติสำนักงานประกันสังคมมีรพ.ของตัวเองด้วย สำนักงานประกันสังคมอาจมีเป้าหมายแรกให้ รพ. ของตัวอยู่รอดก่อน อาจจะไม่เปิดโอกาสให้ผู้ประกันตัวเลือกสถานพยาบาลได้อย่างเสรี  กรณีกระทรวงสาธารณสุขก็เช่นเดียวกัน  มีคนที่เชื่อว่าถ้าสองบทบาทนี้รวมอยู่ที่เดียวกัน ก็อาจจะคิดถึงตัวกระทรวงก่อนและคิดถึงประชาชนน้อยกว่า จึงมีการแยกบทบาทแบบนี้ จริงๆ แนวคิดนี้ก็ไม่ใช่ภูมิปัญญาไทย แต่เป็นแนวคิดที่เกิดในสมัยมาร์กาเร็ต แทชเชอร์ ที่พยายามสร้างสิ่งที่เรียกว่า ตลาดภายใน (internal market) ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของอังกฤษ ศัพท์ที่เขาใช้เรียกคือ purchaser-provider split คือแยกผู้ซื้อบริการกับผู้ให้บริการออกจากกัน

ส่วนบทบาทที่พูดไปแล้วอีกสองอย่างคือ บทบาทการเป็นผู้คุมกฎ (หรือ regulator) ซึ่งในบางประเทศมีแนวคิดว่า ถ้ากระทรวงสาธารณสุขจะต้องเป็นผู้ควบคุมกำกับโรงพยาบาลด้วย ก็ไม่ควรเป็นเจ้าของโรงพยาบาลด้วย ในประเทศไทยเราก็จะเห็นว่าอะไรที่เป็นของรัฐมักจะได้รับการผ่อนปรน ในการสร้างโรงพยาบาลเอกชนขึ้นมาสักแห่ง จะมีกองประกอบโรคศิลปะที่จะกำหนดว่าคุณต้องมีเตียงเท่าไร เครื่องไม้เครื่องมือเท่าไร บุคลากรเท่าไร  แต่ทั้งหมดนี้จะผ่อนผันให้กับ รพ. ของรัฐ กลายเป็นว่า รพ. ของรัฐไม่จำเป็นต้องได้มาตรฐานพวกนี้  หรือถ้าเปรียบเทียบในอดีต องค์การเภสัชสามารถผลิตยาได้โดยไม่ต้องผ่านกฎระเบียบเท่ากับบริษัทเอกชน ฉะนั้น จึงมีคนเชื่อว่าเราควรจะแยกบทบาทการเป็นผู้คุมกฎออกจากผู้ให้บริการด้วย ถ้าดูประเทศแถบสแกนดิเนเวีย บางประเทศกระทรวงสาธารณสุขจะมีคนอยู่แค่ 200-300 คน เขาแค่ดูแลแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของ รพ. เอง ทำสองงานหลักคือ งานกำกับดูแล กับงานวิชาการด้านสาธารณสุข เช่น การควบคุมโรค

อาจารย์เคยให้สัมภาษณ์เรื่องข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุขแบบสุดซอย แต่ก็บอกว่าเป็นไปได้ยาก ทำไมมันถึงเป็นไปได้ยาก ?

ที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดคือการแยกผู้ให้บริการกับผู้ถือเงิน หรือการแยกผู้ถือเงินออกจากกระทรวง ถ้าอ่านบทความของคุณหมอไพบูลย์ สุริยวงศ์ไพศาล ที่ลงในสำนักข่าวอิศรา ท่านก็เปรียบเทียบว่าทุกวันนี้เงิน 99% (จริงๆ อาจจะแค่ 90) ถูกโยกออกไปที่ สปสช. ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขบริหารเงินน้อยมาก ซึ่งอาจทำให้ผู้บริหารที่เติบโตมาในระบบนี้ แต่เดิมเคยบริหารเงินทั้งหมด 100 บริหารกระทรวงที่ใหญ่โต แต่ตอนนี้บริหารกระทรวงที่มีเงินนิดเดียว ก็สร้างความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก นอกจากนี้ ก็มีปรากฏการณ์ที่เมื่อเกิด สปสช. ก็ย้ายคนจำนวนหนึ่งจากกระทรวงสาธารณสุขไป ถ้าพูดแบบภาษาที่หลายคนพูดกันก็คือ ย้ายพวกสายปฏิรูปไป ดังนั้น กลุ่มที่ไปอยู่ สปสช. ก็คือกลุ่มที่ต้องการเปลี่ยนแปลงในกระทรวงสาธารณสุข เมื่อไปอยู่ สปสช. แล้ว บางท่านก็ยังคิดเหมือนตัวเองยังอยู่ในกระทรวง ยังพยายามผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระทรวงด้วยโดยใช้อำนาจเงินที่ตัวเองมี จึงเกิดกรณีที่ว่ามีการใช้งบที่ตีความได้ว่าผิดประเภท เอางบที่เรียกว่าเป็นงบลงทุนทดแทนที่มีเป้าหมายเพื่อทำนุบำรุงรักษา รพ.ไม่ให้เสื่อมสภาพ เอางบนั้นมาจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้แพทย์ที่ทำงานเพิ่มเพื่อทำให้เกิดสิ่งที่ สปสช.อยากจะเห็น ซึ่งแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ดูดี แต่กระทรวงสาธารณสุขอาจรู้สึกว่าทุกคนใน รพ. เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่กลับมีคนจากองค์กรอื่นมากำหนดว่าเขาควรจะได้โบนัสด้านโน้นด้านหรือไม่ เท่าไร โดยข้ามหน้าข้ามตาผู้บังคับัญชาโดยตรง ประเด็นนี้อาจดูเป็นประเด็นเล็กๆ แต่ถ้ายกตัวอย่างต่อไปก็คือ งานของกระทรวงสาธารณสุขจริงๆ เป็นงานที่ถ้าจะทำให้ได้ดี ต้องสามารถส่งต่อคนไข้โดยมีการประสานกันระหว่างระดับต่างๆ อย่างไร้รอยต่อ  แต่ในการซื้อบริการนั้น ไอเดียแรกๆ ของคนที่ตั้ง สปสช. คือต้องการให้เงินอยู่กับ รพ.ชุมชน  อันนี้ถ้าจะพูดกันโดยหลักการ ระบบที่ดีจะต้องมีการแบ่งงานกันทำที่เหมาะสมตั้งแต่รพ.ชุมชนไปจนถึงพวกโรคยากๆ ต้องไป รพ.จังหวัด รพ.เขต หรือระดับประเทศ ถ้าทำรพ.เขตให้ดีพอระดับที่ว่าถ้าคุณอยู่ภาคเหนือไม่ต้องวิ่งมา กทม. ก็จะเป็นระบบที่พึงปรารถนา ในทางกลับกัน บางที รพ.ชุมชนต้องการเปิดแผนกอะไรเยอะๆ แต่บางครั้งก็อาจจะไม่คุ้ม เช่น ซื้อเครื่องมือราคาแพงแต่ก็ทำได้ปีละไม่กี่เคส

ดังนั้นถ้าจะบริหารระบบสาธารณสุขที่ดี จึงไม่ใช่แค่ให้เงินทั้งหมดไปที่รพ.ชุมชน แล้วให้ รพ.ชุมชนเป็นคนตัดสินใจว่าเมื่อไรจะส่งต่อ สมมติ รพ.ชุมชนเกิดหวงเงินจะเป็นอย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปีแรก จากนั้นมีการตกลงกันได้ว่า รพ.ชุมชนเอางบผู้ป่วยนอกไป (เวลาพูดถึง รพ.ชุมชน นับรพ.จังหวัดด้วย) ส่วนงบผู้ป่วยในให้มาแชร์กันทั้งจังหวัด ถ้าถ้าจะพูดกันต่อก็มีที่สูงกว่าระดับจังหวัดอีก จึงนำไปสู่การแบ่งเงินมาเป็นกองทุนค่าใช้สูงขึ้นมาด้วย

ประเด็นที่ขัดแย้งส่วนหนึ่งอยู่ที่ว่า กระทรวงเคยถือเงินจำนวนมาก และจัดสรรให้ รพ. ระดับต่างๆ แต่ตอนนี้มีเงินให้จัดสรรน้อยมาก กระทรวงสาธารณสุขก็พยายามบอกว่า แทนที่ สปสช.จะเป็นคนกำหนดว่าแต่ละโรงพยาบาลจะได้เท่าไร แต่ถ้าคุณมาซื้อบริการกับฉัน ก็เอาเงินทั้งก้อนมาให้ฉัน แล้วฉันจะเอาไปบริหารเองเป็นเขตๆ เอาเงินไปกองในระดับเขตเพื่อจัดสรรเงินเอง ขณะที่คนที่อยู่ สปสช. ก็มีความเชื่อว่า เงินไปที่หน่วยบริการข้างล่างมีโอกาสใช้ให้คุ้มค่ากว่า ดีกว่าไปกองไว้ข้างบนซึ่งเขาไม่ไว้ใจ

ที่บอกว่าการให้บริการสาธารณสุขที่ดีต้องบริหารให้ไม่มีรอยต่อ แต่ทิศทางการปฏิรูปจะกระจายไปสู่ท้องถิ่นมากขึ้น โดยเฉพาะการให้บทบาท อปท. ตรงนี้คิดว่าจะมีประโยชน์ไหม?

ถึงแม้เราต้องการแบบไม่มีรอยต่อ แต่เราก็ต้องการ รพ. ที่ฟังเสียงประชาชนด้วย และเราต้องยอมรับว่าแม้ประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศที่ใหญ่มาก แต่ข้างในก็มีความหลากหลายพอสมควร สิ่งที่เกิดในจังหวัดตาก ระนอง เลย เหล่านี้ก็ต่างกับสิ่งที่เกิดในภาคกลาง ฉะนั้น คนในท้องถิ่นอาจจะอยู่ในวิสัยที่จะบอกได้ว่าตอนนี้ท้องถิ่นต้องการอะไร มีเงื่อนไขอะไรที่ต่างไปจากที่อื่น ดังนั้น การที่ อปท. เข้ามาร่วมในการกำกับดูแล รพ. หรือเป็นบอร์ด ก็น่าจะส่งผลดี เป็นแนวทางที่มีประโยชน์ ส่วนที่ว่าจะทำกันอย่างไร บางทีคำตอบอาจะไม่ได้มาจากส่วนกลาง ไม่ใช่ออกแบบให้เหมือนกันทั่วประเทศอีก

ณ ปัจจุบันประเทศไทยมีระบบสวัสดิการสุขภาพสามระบบใหญ่ อาจารย์มองอย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสามระบบนี้ เพื่อให้ไปสู่การบริการอย่างมีประสิทธิภาพและเท่าเทียม ?

อันนี้คำตอบก็จะสะท้อนมุมมองของสองฝั่งที่ต่างกันอีก ฝั่งหนึ่งก็จะมองว่าความเท่าเทียมควรเป็นเป้าหมายหลัก แต่ด้วยระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจริงๆ เราก็เป็นหนึ่งประเทศสองระบบอยู่ดี เพราะมีรัฐกับเอกชน บางประเทศที่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเขาไม่ยอมให้มีระบบเอกชนที่อยู่นอกเหนือระบบสวัสดิการเลย คือไม่ยอมให้มีทางเลือก ยกตัวอย่างง่ายๆ ในแคนาดา ถ้าคุณต้องเข้าระบบ อยากผ่าข้อเข่าต้องรอ 10 เดือน โรคอะไรที่ไม่ใกล้ตายจะต้องรอนาน ประชาชนเขาไม่มีข้อกังขาเรื่องคุณภาพและรู้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องรอนาน ถ้าเป็นเมืองไทยมีเงินก็เดินไป รพ.เอกชนได้ แต่แคนาดาก็มีข้อถกเถียงเรื่องพวกนี้กันนานมาก แต่เท่าที่ทราบจากที่เคยไปเมื่อหลายปีก่อนเขาก็ยังไม่ยอมให้มีสองมาตรฐาน เพราะเขารู้ว่าถ้ามีเอกชนทำในที่สุดมันจะเกิดสองมาตรฐานขึ้นมา ทำให้มีกรณีที่เกิดขึ้นบ่อยๆ คือบางคนที่ต้องการรักษาเร็วก็จะข้ามพรมแดนไปรักษาที่อเมริกา

กลับมาที่คำถาม ในเมืองไทยปัญหามันใหญ่กว่านั้น เราไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการเข้าถึง เผลอๆ เราสามารถวิ่งไป รพ.โดยไม่ต้องนัดหมอแต่คุณภาพของบริการก็เป็นที่กังขา แคนาดาคุณอาจได้บริการแต่ช้า แต่ของเมืองไทยถ้าบางครั้งหมออาจตัดสินใจเลยว่าไม่ต้องพูดถึงบริการนี้และข้ามไปเลยเพราะอาจรู้ว่าตัวเองไม่มีกำลังพอที่จะให้การรักษา อาจข้ามไปโดยไม่ได้เสนอบริการเหล่านั้น ไม่บอกว่าต้องรอคิว 10 เดือน

เพราะฉะนั้นในกรณีที่ถ้าทั้งระบบมีความขาดแคลน ไม่มีบุคลากรพอหรือทรัพยากรพอที่จะจัดบริการให้ทุกคนอย่างมีคุณภาพ คุณจะทำอย่างไร คนที่ยึดเรื่องความเสมอภาคก่อนก็บอกว่าให้แย่ถ้วนหน้า คือแย่เท่าๆกัน คนอีกกลุ่มก็บอกว่าแนวทางการแก้หรือปฏิรูปอะไรก็ตาม คุณต้องไม่ไปทำให้อันที่ดีกว่าแย่ลง แต่คุณค่อยๆไปพัฒนาอันที่แย่กว่าให้ดีขึ้น ถ้าทำตามแนวคิดแรกเมื่อพบว่าสวัสดิการข้าราชการใช้เงินมากกว่าของ ‘30 บาทรักษาทุกโรค’ มาก ก็ควรทุบสวัสดิการข้าราชการให้ใช้น้อยลง แต่จริงๆ แนวทางนี้ก็เกิดยาก  ถ้าเราไปดูผลจากรายงานที่ สปสช. จ้าง เอแบคศึกษาเรื่องความพึงพอใจของคนในระบบต่างๆ จะพบว่าคนในระบบ ’30 บาท’ มักจะพึงพอใจสูง ซึ่งบางครั้งก็สูงกว่าคนที่มีสวัสดิการข้าราชการด้วย  อันนี้หลายคนมีข้อกังขาว่านักวิจัยทำงานเอาใจ สปสช. หรือเปล่า แต่ถ้าเทียบกับงานที่ผมกับ อ.อัญชนา ณ ระนอง เคยทำศึกษาโครงการ สปร. (โครงการสวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาล) ตั้งแต่ก่อนโครงการ ‘30 บาท’ พบผลการศึกษาที่ใกล้เคียงกัน คือ คนที่อยู่ในโครงการ สปร. แม้ไม่ใช้คำถามถึงความพึงพอใจแบบตรงๆ แต่ก็พบว่าคนที่อยู่ใน สปร. ด้วยกันมีความพอใจที่ต่างกัน คนที่อยู่ปทุมธานีมีความไม่พอใจมากกว่าคนที่เชียงใหม่ ขอนแก่น กรณีสวัสดิการข้าราชการก็อาจคล้ายกันตรงที่ความคาดหวังของข้าราชการต่อบริการสูงกว่าคนที่รักษาฟรีหรือจ่ายไม่กี่บาท โดยหลายคนไม่เคยได้สวัสดิการนี้มาก่อน พอได้มาก็รู้สึกดีและไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย แต่สวัสดิการข้าราชการนั้น ข้าราชการจะคิดว่าตนเองทำงานโดยรับเงินเดือนที่ต่ำกว่าเอกชน เพราะฉะนั้นจึงควรมีสิทธิที่ตนควรมีควรได้มากกว่ากลุ่มอื่น ดังนั้นคนที่อยู่ในสวัสดิการข้าราชการเองก็ยังต้องการให้ปรับปรุงให้ดีขึ้น การที่จะมาทำให้เสมอภาคซึ่งอาจหมายความว่าไปลดสิทธิประโยชน์เขาลง หลายคนก็มองว่าไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องและจะคัดค้านอย่างแข็งขันด้วย

คำตอบจากอีกฝั่งหนึ่งคือ ความเชื่อที่ว่าเราจะต้องรักษาค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลไม่ให้มันโตเร็วกว่าจีดีพีเป็นมายาคติ ตัวอย่างที่น่าจะเทียบกันได้คือเรื่องข้าว ในระยะหลังประเทศเราส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นมากซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรากินเองภายในประเทศน้อยลง เนื่องจากคนมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น แทนที่จะกินข้าวเพื่อเอาพลังงานอย่างเดียว ก็หันไปกินกับข้าว กินโปรตีนต่างๆมากขึ้น  ซึ่งอาจทำให้รายจ่ายด้านกับข้าวของหลายคนเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ แต่สภาวการณ์เช่นนั้นไม่ได้เป็นเหตุที่จะทำให้พวกเขาล้มละลายเสมอไป (ตราบที่เขาสามารถปรับตัวโดยการลดสัดส่วนรายจ่ายในด้านอื่นลง) ความเชื่อที่ว่าประเทศจะประสบปัญหาอย่างรุนแรงถ้าปล่อยให้ค่าใช้จ่ายในด้านใดด้านหนึ่ง (เช่น สุขภาพ) เพิ่มเร็วกว่ารายได้จึงเป็นเพียงมายาคติ

ในทางเศรษฐศาสตร์ข้าวเป็นตัวอย่างของ Inferior Goods (หรือสินค้าคนจน) ซึงคนที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจะบริโภคน้อยลง ในขณะที่สุขภาพเป็นสินค้า Superior Goods หรือสินค้าคนรวย เมื่อคนมีฐานะดีขึ้นก็สามารถสนใจสุขภาพมากขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่มีฐานะดีขึ้นมักจะยินดีจ่ายเรื่องสุขภาพมากขึ้น ประเทศก็คล้ายกัน ในช่วงที่ประเทศมีฐานะดีขึ้น เป็นธรรมชาติที่อย่างน้อยในบางช่วง รายจ่ายด้านสุขภาพจะเพิ่มในอัตราที่เร็วกว่าจีดีพี

เพราะฉะนั้นเรื่องหลักประกันสุขภาพที่มีฝ่ายที่ขัดแย้งกันทั้ง 2 ฝ่าย มีฉันทามติร่วมกันว่า เรื่องคุณภาพของเรายังไม่ดีพอ จึงน่าจะมีความจำเป็นต้องเติมเงินเข้าไปในภาพรวม ซึ่งก็จะช่วยให้คุณภาพดีขึ้น  ตรงนี้ก็นำเรากลับมาสู่ประเด็นเดิมที่กลุ่มหนึ่งเห็นว่าเงินที่จะใส่เข้าไปเพิ่มไม่ควรเป็นภาระของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรวยและชนชั้นกลางจำนวนหนึ่งก็มีความรู้สึกว่าไม่ควรเป็นภาระของผู้เสียภาษีอย่างพวกเขา ควรให้ผู้ป่วยที่พอมีเงินร่วมจ่ายเป็นหลัก  แต่ที่เป็นแบบนี้บางคนก็อาจคิดว่าถ้าตัวเองมีปัญหาสุขภาพก็ไปโรงพยาบาลเอกชนที่เลือกเอง จึงไม่อยากจ่ายภาษีสูงขึ้นเพื่อให้นำไปปรับปรุงโครงการเหล่านี้ที่พวกเขาไม่คิดจะไปใช้อยู่แล้วเพราะไม่มั่นใจในคุณภาพ เพราะฉะนั้นคนที่ได้ประโยชน์ในโครงการนี้ก็ควรที่จะร่วมจ่ายเอง

ขณะที่อีกแนวทางหนึ่งเห็นว่าถ้าจะทำหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีคุณภาพ คนก็ไทยก็จะต้องพร้อมที่จะจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งทุกวันนี้เราจ่ายภาษีกัน 16-17% ของจีดีพี (โดยคนรวยกับจนก็จ่ายในสัดส่วนที่ไม่ค่อยต่างกัน)  ในหลายประเทศที่มีระบบประกันสุขภาพที่ดี อย่างเช่นประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการมักจะจ่ายภาษีกันเกินครึ่งของรายได้ หรือประเทศในยุโรปที่ใช้ระบบประกันสังคมเมื่อรวมภาษีปกติบวกกับเบี้ยประกันสังคมแล้วก็ใกล้ๆครึ่งหนึ่งของรายได้เหมือนกัน ดังนั้นถ้าประเทศไทยได้อยากได้บริการทางสังคมที่ดีก็ต้องยอมจ่ายภาษีกันมากขึ้น ซึ่งคนที่คิดแบบนี้น่าจะเป็นคนส่วนน้อย ในขณะที่ชนชั้นกลางจำนวนมากมักจะต้องการจ่ายภาษีน้อยๆ และขอเก็บเงินไปจ่ายให้โรงพยาบาลที่ตัวเองเลือกหรือโรงเรียนของลูกที่ตัวเองเลือกเองมากกว่า

กรณีรัฐมีงบประมาณไม่เพียงพอในการจ่ายหลักประกันสุขภาพทั่วหน้า มีช่องทางอื่นในการหาเงินสนับสนุนหรือไม่?

อันนี้เป็นอีกโจทย์หนึ่ง ที่มีหลายคนตั้งขึ้นมาเช่นกัน อย่างงบประมาณของรัฐบาลไทย ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายของกระทรวงฯ ต่างๆ นั้น ในยุค คสช. ก็มีความพยายามที่จะควบคุมค่าใช้จ่าย โดยตั้งเป้าว่างบประมาณปีนี้จะเพิ่มประมาณ 5% จากปีก่อน ซึ่งถือได้ว่าเป็นแนวการทำงบประมาณแบบอนุรักษ์ ซึ่งมีข้อดีที่สนใจเรื่องวินัยการเงินการคลัง แต่ส่วนหนึ่งก็คงมาจากการที่จีดีพีเราจะเพิ่มไม่มาก โดยหลายคนคาดการณ์ว่าปีนี้จะเพิ่มประมาณ 2% ดังนั้นการตั้งงบประมาณของรัฐก็ยังเพิ่มมากกว่าจีดีพี

แต่ข้างในงบประมาณนั้นก็ยังมีประเด็นเรื่องความสำคัญก่อนหลัง ตอนนี้ก็มีการพูดถึงเรื่องการลงทุนพื้นฐาน ซึ่งบางอันก็จำเป็น นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนที่สำคัญอีก 2 ส่วนคือเรื่องการศึกษากับเรื่องสาธารณสุข ซึ่งควรเป็นความจำเป็นระดับต้นเหมือนกัน งบอีกส่วนหนึ่งซึ่งมักมีคนพูดกันมากว่าควรหาทางปรับลดหรือไม่ควรขึ้นเร็วก็คืองบด้านความมั่นคง ซึ่งทางด้านทหารนั้นมีคนจัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่อันดับ 24 ของโลก (สูงกว่าประเทศที่ทำตัวเป็นมหาอำนาจทางทหารอย่างอย่างเกาหลีเหนือ) ในขณะที่เวลามีการจัดอันดับหลายอย่างของประเทศไทยเรามักได้ยินอันดับ 60-70 ของโลก

เพราะฉะนั้นงบด้านนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราควรนำมาร่วมพิจารณาด้วย ซึ่งในอดีตหลายคนก็มีความพยายามเสนอว่าควรเพิ่มงบด้านสุขภาพโดยตัดงบความมั่นคงลงบ้าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เช่น ช่วงหลังรัฐประหาร 2549 ก็มีการตั้งงบความมั่นคงเพิ่มขึ้น ไม่แน่ใจว่ารัฐประหารในยุค คสช. จะมีแนวทางแบบเดิมหรือไม่ แต่ถ้า คสช. ที่ตระหนักเรื่องวินัยด้านการเงินการคลังก็ควรจะทำในสิ่งที่กลับกันกับรัฐประหารครั้งที่แล้ว

รัฐประหารปี 49 มีการเปลี่ยนจาก 30 รักษาทุกโรคเป็นรักษาฟรี และต่อด้วยรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต่อเนื่อง แต่มาถึงรัฐบาลเพื่อไทยเปลี่ยนเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค การเปลี่ยนแบบนี้มีผลอย่างไรหรือไม่?

เข้าใจว่ามีผลบ้าง แต่ก็คิดว่าไม่มาก เพราะเงินมันนิดเดียว อยู่ที่หลักพันหรือไม่กี่พันล้านต่อปีเมื่อเทียบกับงบที่เป็นแสนล้าน

ปัญหาที่หลายคนกลัวคือเมื่อเลิกเก็บ 30 บาทแล้ว คนจะมาใช้บริการมากขึ้นหรือไม่ ถ้าดูแนวโน้มก็มากขึ้น แต่มากขึ้นเพราะเลิกเก็บ 30 บาทหรือไม่นั้นไม่มีใครรู้ แต่ว่าที่มากขึ้นก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก และคิดว่ามากขึ้นมากไม่ได้เพราะว่าข้อจำกัดด้านบุคลากร สถานที่ ฯลฯ โดยที่ทุกวันนี้คนก็รอคิวครึ่งวันอยู่แล้ว ถ้าหากต้องรอนานขึ้นจากครึ่งวันเป็นหนึ่งวันคนจำนวนหนึ่งก็จะถอยกลับไป เพราะฉะนั้นคนก็จะมาใช้บริการมากขึ้นมากไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นถ้าถามว่าตอนที่เลิกเก็บ 30 บาท มีผลต่อจำนวนผู้ใช้บริการหรือไม่นั้น ก็คงมีผล แต่ผลก็ไม่น่าจะมากนัก

แล้วการกลับมาเก็บ 30 บาท นั้นมีผลต่อจำนวนผู้มาใช้บริการหรือไม่ ผลก็ไม่น่ามากเท่าไหร่เหมือนกัน ด้วยสาเหตุสองประการคือ ประการแรก เมื่อเลิกแล้วกลับมาเก็บจะเก็บยากขึ้น เพราะฉะนั้นฝ่ายการเมืองเอง ซึ่งผมเข้าใจว่าตอนเลิกนั้นคนที่เสนอคือคุณหมอมงคล ณ สงขลา ซึ่งเป็นหัวเรียวหัวแรงที่ผลักดันโครงการนี้มาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ต้องการให้เลิกเพื่อทำลายแบรนด์ ‘30 บาท’ ซึ่งมันติดตลาด (แต่แม้ทำลายแล้วคนจำนวนมากก็ยังเรียก ‘30 บาท’ อยู่ดี) ดังนั้นฝ่ายการเมืองที่ต้องการให้มาเก็บ ’30 บาท’ ก็เพื่อกลับมาใช้แบรนด์เดิม ซึ่งเอาเข้าจริงฝ่ายการเมืองเองก็ต้องยอมให้จ่ายตามความสมัครใจ ซึ่งหมายความว่าหากใครไม่อยากจ่ายก็ไม่ต้องจ่ายก็ได้ เพราะฉะนั้นในทางปฏิบัติทั้งสองกรณีจึงไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรต่างมากนัก

ข้อเสนอในการปฏิรูประบบ สปสช. ในทศวรรษต่อไปอย่างไร?

ปัญหาหนึ่งที่ทำให้งานของเรายากพอสมควรก็คือเราอยู่ในสถานการณ์ที่เริ่มจากเราพยายามแยกยักษ์ใหญ่อย่างกระทรวงสาธารณสุขออกเป็นผู้ให้บริการกับผู้ซื้อบริการ แต่แล้วเราก็กลับมาพบปัญหาเดิมคือผู้ซื้อบริการและผู้ให้บริการเป็นยักษ์ใหญ่ทั้งคู่อยู่ดี และทั้งคู่ก็ไม่สามารถใหญ่ได้ด้วยตัวเอง หมายถึง สปสช. ไม่สามารถบอกได้ว่าหากกระทรวงสาธารณสุขไม่ปฏิรูปไปในแนวทางที่ สปสช.ต้องการ ก็จะเลิกซื้อบริการและหันไปซื้อบริการของเอกชนแทนหมด เพราะจะไม่มีเอกชนให้ซื้อ หรือถึงมีให้ซื้อก็ไม่สามารถซื้อทั้งหมดในราคาที่เป็นอยู่ได้ แม้ว่าเอกชนจำนวนหนึ่งยินดีเข้าร่วมในโครงการของ สปสช. โดยที่เร็วๆนี้มี รพ. ในเครือธนบุรี ไปเปิด รพ. ที่มหาชัย โดยเป้าหมายหนึ่งเพื่อรับโครงการ 30 บาท  ถือเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น ในอดีตเราจะเห็นแต่ รพ. ที่ตั้งขึ้นเพื่อรับประกันสังคม อย่างไรก็ตาม ถึงแม้มี รพ. ที่ไปเปิดเพื่อรับโครงการ 30 บาท แต่ก็ยังเป็นส่วนน้อย จึงทำให้ สปสช. ไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่พึ่งกระทรวงสาธารณสุข

ในขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากไม่ได้มีบทบาทแค่เป็นผู้คุมกฏหรือทางวิชาการ แต่เป็นเถ้าแก่โรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่มากของประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้เงินจาก สปสช. กระทรวงสาธารณสุขก็ไม่สามารถอยู่ได้เช่นกัน ในขณะนี้จึงเกิดสถานการณ์ที่นักเศรษฐศาสตร์จะเรียกว่าเป็นการผูกขาดทั้ง 2 ทาง หรือ “bilateral monopoly” คล้ายกับเรื่องอ้อยและน้ำตาล ระหว่างโรงงานกับชาวไร่ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าจะมีการต่อรองกันอย่างดุเดือดแต่ก็ขยับไปไหนไม่ค่อยได้ คิดว่าในกรณีกระทรวงสาธารณสุขกับ สปสช. ก็จะเจอสถานการณ์ที่ขยับยากเช่นกัน และถ้าทั้ง 2 ฝ่ายพยายามจะรุกทั้งคู่ก็จะไม่มีที่ให้ฝ่ายไหนขยับไปข้างหน้าอยู่ดี คิดว่าจะเป็นปัญหาแบบนี้ไปอีกนานพอสมควร

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ โครงสร้างของเราให้รัฐมนตรีคุมกระทรวงสาธารณสุขและมีสถานะเป็นประธานบอร์ด สปสช. ด้วย  แต่เนื่องจากว่าในบอร์ด สปสช. มีคนที่หลากหลายไม่ใช่มีแต่ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขล้วนๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุขจึงคุม สปสช.ได้จำกัดกว่า แต่พอมาถึงโครงสร้างในยุค คสช. ก็จะเกิดความซับซ้อนเพิ่มขึ้นคือปลัดกระทรวงกลายเป็นผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเอง เนื่องจากทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีด้วย ปลัดจึงกลายเป็นประธานบอร์ด สปสช. แต่จะเป็นเสียงข้างน้อยใน สปสช. ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ สปสช. หยุดการประชุม เพราะประธานบอร์ดไม่เรียกประชุม ซึ่งเป็นสถานการณ์พิเศษที่ทำให้เกิดปัญหาจากโครงสร้างที่ลักลั่นในช่วงนี้ แต่ก็หวังว่าปัญหานี้จะอยู่กับเราไม่นานนัก 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทหารกองหนุนอิสราเอลกว่า 50 คนประท้วงไม่ร่วมสงครามฉนวนกาซา

$
0
0

ทหารอิสราเอลมากกว่า 50 คนปฏิเสธเข้าร่วมสงครามล่าสุดระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ในฐานะทหารกองหนุน เผยโครงสร้างอำนาจรวมศูนย์ของกองทัพอิสราเอลทำให้มีการกดขี่ชาวปาเลสไตน์ ทั้งยังมีการเบียดเบียนผู้หญิงและชาวยิวที่มีพื้นเพอาหรับในระบบกองทัพ


25 ก.ค. 2557 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่ามีอดีตทหารอิสราเอลมากกว่า 50 คนปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสงครามในฐานะทหารกองหนุนของประเทศอิสราเอล โดยอ้างว่าพวกเขาเสียใจที่กองทัพส่วนกลางอิสราเอลมีบทบาทในการกดขี่ชาวปาเลสไตน์มาก่อน

ทหารรายหนึ่งได้เขียนร้องทุกข์ในอินเทอร์เน็ตว่า ทหารซึ่งควบคุมพื้นที่อยู่ไม่ได้ใช้อำนาจในการวางระบบควบคุมจัดการชีวิตชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ได้เพียงกลุ่มเดียว แต่กองทัพอิสราเอลทั้งหมดได้ใช้อำนาจในส่วนนี้ด้วย ทำให้พวกเขาไม่พอใจและปฏิเสธที่จะเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยทหารกองหนุน นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้คนต่อต้านการถูกเกณฑ์ทหาร

แม้ว่าชาวอิสราเอลบางส่วนปฏิเสธที่จะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เขตเวสต์แบงค์ของปาเลสไตน์ แต่โครงสร้างอำนาจของกองทัพก็บีบบังคับให้พวกเขาต้องมีส่วนร่วมในความขัดแย้ง

"พวกเราจำนวนมากทำหน้าที่สนับสนุนในเชิงการส่งกำลังบำรุงและการปฏิบัติตามคำสั่งทางการ แต่พวกเราก็พบว่ากองทัพทั้งหมดของอิสราเอลมีส่วนในการกดขี่ชาวปาเลสไตน์" กลุ่มทหารที่ถอนตัวจากกองทัพกล่าว

ในตอนนี้ความขัดแย้งในฉนวนกาซายังคงดำเนินต่อไปทำให้ชาวปาเลสไตน์หลายพันคนกลายเป็นคนพลัดถิ่น โดยในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาทางการอิสราเอลกล่าวว่าจะอาศัยทหารกองหนุนในการเข้าร่วมการสู้รบด้วย

กลุ่มทหารที่ต่อต้านส่วนกลางอิสราเอลกล่าวอีกว่ากองทัพของส่วนกลางเป็นฝ่ายวางแผนทั้งหมดในเรื่องการเจรจาหารือแทนที่จะให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่วางแผนทำให้ไม่มีการกล่าวถึงหนทางที่จะยุติปัญหาโดยไม่ใช้กำลังจากกองทัพ เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อชาวอิสราเอลเองซึ่งตกอยู่ภายใต้วงล้อมของประเทศเพื่อนบ้านที่ขัดแย้งกับพวกเขา

กลุ่มทหารผู้ต่อต้านเปิดเผยอีกว่าพวกเขาคัดค้านกองทัพอิสราเอลและกฎหมายเกณฑ์ทหารเพราะผู้หญิงถูกจำกัดบทบาทกองทัพอยู่แค่ในระดับล่าง อีกทั้งระบบการคัดกรองยังมีอคติต่อชาวยิวผู้ที่มีพื้นเพมาจากประเทศแถบอาหรับด้วย

ในอิสราเอลผู้มีอายุ 18 ปี จะต้องเข้าไปรับใช้กองกำลังป้องกันอิสราเอลเป็นเวลา 3 ปี โดยมีข้อยกเว้นเป็นบางกลุ่มเช่น กลุ่มนักเรียนโรงเรียนสอนศาสนายูดายที่มีความเคร่งครัดอย่างมาก และกลุ่มชาวอิสราเอลที่มีพื้นเพมาจากพื้นที่อาหรับ อย่างไรก็ตาม ทางการอิสราเอลมีแผนการยกเลิกการงดเว้นให้กับนักเรียนศาสนาภายในปี 2560 ที่จะถึงนี้

 


เรียบเรียงจาก

50 Israeli Reservists Refuse To Serve in Gaza War, The Jewish Daily Forward, 23-07-2014
http://forward.com/articles/202671/-israeli-reservists-refuse-to-serve-in-gaza-war/#ixzz38UVYqwD6

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรรมการสิทธิประณามเหตุระเบิดเบตง

$
0
0
กรรมการสิทธิประณามการใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง โดยใช้วิธีการที่ป่าเถื่อน โหดร้ายทารุณ ไร้มนุษยธรรม ต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์

 
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2557 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์เรื่อง ขอประณามการใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงโดยใช้วิธีการที่ป่าเถื่อน โหดร้ายทารุณ ไร้มนุษยธรรม ต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
 
แถลงการณ์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เรื่อง ขอประณามการใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง โดยใช้วิธีการที่ป่าเถื่อน โหดร้ายทารุณ ไร้มนุษยธรรม ต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์
                                
ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เคยแสดงความห่วงใยและความกังวลต่อการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยได้มีการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและติดตาม รวมถึงการออกแถลงการณ์เพื่อประณามการใช้ความรุนแรงมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 ได้เกิดเหตุความรุนแรงระเบิดในพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นเหตุให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต จำนวน 3 ราย ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมากกว่า 40 ราย และทรัพย์สินเสียหาย ดังปรากฏเป็นข่าวแล้วนั้น
                                
ทั้งๆที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นเมืองที่มีความสงบที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดยะลา ประชาชนอยู่ร่วมกันได้ด้วยความเอื้ออาทร และมีความเข้าใจ ซึ่งกันและกันทุกเชื้อชาติทุกศาสนา ใช้ชีวิตอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันโดยไม่แบ่งแยก อีกทั้งเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม จนได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นเมืองที่นำมาซึ่งความร่มเย็น และมีความสงบเรียบร้อยอย่างต่อเนื่องยาวนาน
                                
จากเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานี้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขอแสดงความเศร้าสลดเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้เสียชีวิต ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวของบุคคลดังกล่าวที่ได้รับผลกระทบจากการใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากเสียชีวิต ร่างกายได้รับบาดเจ็บ และสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมากแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อจิตใจและความเป็นอยู่ของผู้ได้รับผลกระทบและครอบครัว และขอประณามการใช้ความรุนแรงที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงโดยใช้วิธีการที่ป่าเถื่อน โหดร้ายทารุณ ไร้มนุษยธรรม ทั้งผิดกฎหมาย ขัดต่อหลักศาสนาทุกศาสนา ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และขัดต่อหลักมนุษยธรรมเช่นนี้ โดยไม่คำนึงถึงการกระทำต่อกลุ่มเป้าหมายที่บริสุทธิ์ เป็นการกระทำที่ไม่รู้สำนึกถึงความรุนแรงจากผลแห่งการกระทำ ซึ่งขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากลที่ทุกฝ่ายต้องยึดถือ  
                          
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขอสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ใช้ความพยายาม ในการดำเนินมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อยเพื่อให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน การประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิตอย่างปกติสุข ด้วยความร่วมมือของภาคประชาชนในการเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแสของผู้กระทำความผิด และการป้องกันเหตุการณ์ความรุนแรง เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ให้กลับคืนมา พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบเพื่อดูแลเยียวยา รักษาพยาบาล โดยเฉพาะการฟื้นฟูจิตใจในทุกมิติตามมาตรการต่างๆอย่างเต็มกำลังความสามารถ อีกทั้งเร่งเยียวยาความเสียหาย ฟื้นฟูจิตใจและความบอบช้ำของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ รวมถึงต้องเร่งดำเนินการตามกฎหมายโดยสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้สาสมกับการกระทำผิดต่อกฎหมายและละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงโดยเร็ว
                               
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขอเป็นกำลังใจและให้กำลังใจแก่ทุกภาคส่วนที่จะร่วมกันสอดส่องดูแลความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และการดำรงชีพในพื้นที่ เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันเหตุร้ายจากผู้ก่อความไม่สงบ และเป็นหูเป็นตาให้กันและกัน ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการดำเนินมาตรการรักษาความสงบ และความปลอดภัยให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่าโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติหรือศาสนาใดทั้งสิ้น เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ตามความปรารถนาของคนไทยทุกคน
                                                                                                                               
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
26 กรกฎาคม  2557            
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เตรียมออกใบอนุญาตวัดเรทติ้ง-กำกับการควบรวมกิจการสื่อ

$
0
0
เตรียมออกใบอนุญาตวัดเรทติ้ง-กำกับการควบรวมกิจการสื่อ พร้อมเตรียมสรุปความคิดเห็นร่างส่งเสริมรวมกลุ่มวิชาชีพตามกรอบจรรยาบรรณ

 
26 ก.ค. 2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่านางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ก.ค. นี้จะมีประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ครั้งที่ 31/57 โดยวาระการประชุมพิจารณาเกี่ยวข้องกับร่างประกาศและนโยบายของ กสทช. ได้แก่ การสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะและแนวทางดำเนินการต่อ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้บริการแบบประยุกต์ประเภทการสำรวจความนิยมในกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. ...
 
ทั้งนี้ หลังจาก กสท. ออกใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีสักระยะหนึ่งแล้ว จากนี้เป็นจุดเริ่มต้นจริงจังของการกำกับดูแลการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ซึ่งสิ่งที่ผู้ประกอบการรายใหม่กังวลกันมากคือ เรื่องการวัดเรทติ้ง ที่ผ่านมามีความเห็นแตกต่างเกี่ยวข้องกับร่างฯ ฉบับนี้ อาทิ ร่างฯ นี้จะเป็นเครื่องมือช่วยกำกับบริษัทให้มีความน่าเชื่อถือ หรือจะเป็นการกีดกันให้เกิดการผูกขาดในระบบของผู้ทำกลุ่มเดิม รวมถึงประเด็นข้อระวังทางกฎหมายว่า กสทช. มีอำนาจหน้าที่มากำกับเอกชนในเรื่องของการวัดเรทติ้งได้หรือไม่ จึงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงอย่างเข้มข้นต่อไป ก่อนนำเข้าพิจารณาอีกครั้งในบอร์ดใหญ่ อย่างไรก็ดี กสทช. ควรมีมาตรการอื่นเพื่อส่งเสริมให้มีการวัดเรทติ้งจากเอกชนรายอื่นๆ ด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรายใหม่
 
“ส่วนร่างประกาศฯ ที่ภาคสื่อรอคอย ได้แก่ มาตรการส่งเสริมการรวมกลุ่มของผู้รับใบอนุญาต ผู้ผลิตรายการ และผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนที่เกี่ยวกับกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ... หลังมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะในช่วงที่ผ่านมา คาดว่าหลังประกาศใช้จริงจะเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้นของการส่งเสริมให้สื่อกำกับดูแลกันเองตามกรอบจริยธรรม และยังเป็นการช่วยงาน กสทช. ในการกำกับดูแลสื่อวิทยุและโทรทัศน์ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น” น.ส.
สุภิญญา กล่าว
 
อย่างไรก็ตาม กสท. เตรียมพิจารณาร่างประกาศ เรื่องการกำหนดลักษณะและมาตรการกำกับดูแลการควบรวมกิจการ การถือหุ้นไขว้ และการครอบงำกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. .... ซึ่งร่างฯ นี้จะเป็นการวางแนวทางป้องกันปัญหาในอนาคต หากการดำเนินกิจการเอกชนในระยะหนึ่งประสบปัญหาปัจจัยทางเศรษฐกิจอาจทำให้เกิดการควบรวมกิจการ ซึ่งตอนนี้เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นมากในต่างประเทศ ถ้าปล่อยให้มีการควบรวมกิจการง่ายเกินไปอาจทำให้เกิดการเอาเปรียบกับผู้ชม ผู้บริโภคที่จะไม่มีทางเลือกที่รับชมอย่างหลากหลาย เพราะไม่มีการแข่งขัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ กสท. จะเริ่มออกประกาศฯ เพื่อใช้กำกับดูแลไม่ให้เกิดปัญหาต่อไปในอนาคต
 
นอกจากนี้ยังมีวาระการตรวจสอบแบบสัญญาการให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกตามประกาศ กสทช. เรื่องมาตรฐานของสัญญาฯ ของบริษัท ซีทีเอช เคเบิล ทีวี จำกัด รอบที่ 2 จึงฝากถึงรายอื่นๆ ที่ยังไม่ส่งให้เร่งส่ง และฝากถึงผู้บริโภคควรศึกษาสัญญามาตรฐานก่อนเซ็น จากนั้นรักษาสิทธิตนเองที่ระบุไว้ในสัญญา หากพบปัญหาสามารถร้องเรียนได้ที่ กสทช. 1200 ซึ่งเร็วๆ นี้ทางอนุคุ้มครองผู้บริโภคฯ จะไปเยี่ยมเพื่อหารือกับทางผู้บริหาร CTH หลังจากระยะหลังมีเรื่องร้องเรียนเรื่องสัญญาณและการบริการเข้ามามาก เหมือนที่เคยไปหารือกับผู้บริหาร True Visions ก่อนหน้านี้ เพื่อยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคให้ดีขึ้น
 
ส่วนวาระอื่นๆ ที่น่าติดตาม ได้แก่ การพิจารณาวาระผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น/เพิ่มทุนของผู้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล ประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ และการรายงานผลการทดลองแพร่ภาพออกอากาศโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล DVB-T2 ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ตามที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการทดลองแพร่ภาพต่อไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กอ.รมน.เปิดหลักสูตร 'ออฟโรดไทย ใจรักษ์แผ่นดิน'

$
0
0
ผอ.สำนักกิจการมวลชน กอ.รมน. เปิดหลักสูตร "ออฟโรดไทย ใจรักษ์แผ่นดิน" เสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ เป็นเครือข่ายในการเฝ้าระวัง แจ้งเตือนและเข้าร่วมปฏิบัติกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการแก้ไขปัญหาภัยคุกคาม ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ

 
 
ตารางการอบรมหลักสูตร "ออฟโรดไทยใจรักษ์แผ่นดิน รุ่นที่ 1/57
 
26 ก.ค. 2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่าพล.ท.ภาณุวัชร นาควงษม์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการมวลชนและสารนิเทศ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นประธานเปิดการอบรมขยายเครือข่ายมวลชน หลักสูตร "ออฟโรดไทย ใจรักษ์แผ่นดิน" รุ่นที่ 1 ประจำปี 2557 ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 200 คน ณ ศาลากลางน้ำ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก มณฑลทหารบกที่ 11 หลักสูตร "ออฟโรดไทย ใจรักษ์แผ่นดิน" จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ การยึดมั่นในความจงรักภักดี มีความรักความสามัคคี และความศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเพื่อให้กลุ่มมวลชน ออฟโรดไทย ใจรักษ์แผ่นดิน เป็นเครือข่ายในการเฝ้าระวัง แจ้งเตือนและเข้าร่วมปฏิบัติกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการแก้ไขปัญหาภัยคุกคาม ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
 
สำหรับกิจกรรมในวันนี้ มีทั้งการบรรยาย "สำนึกบุญคุณแผ่นดิน" และการบรรยาย "สถาบันศาสนากับความมั่นคงของชาติ" ให้กับผู้เข้าร่วมอบรมด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทหารบุกขอ ‘แดง’ เลิกจัดวันเกิด ‘ทักษิณ’ - ผู้แทน ‘ประยุทธ์’ นำกระเช้าอวยวันเกิด ‘ชวน’

$
0
0

26 ก.ค.2557 ที่ศูนย์การค้า อิมพีเรียล ลาดพร้าว มีการจัดทำบุญวันเกิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า กลุ่มคนเสื้อแดงที่ทำงานในตึกศูนย์การค้า อิมพีเรียล ลาดพร้าว ได้รวมตัวจัดงานวันเกิดให้พ.ต.ท.ทักษิณโดยการทำบุญเลี้ยงพระ  ในงานได้มีการขึ้นป้ายรูปพ.ต.ท.ทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย ต่อมาเวลาประมาณ 13.30 น. มีกลุ่มนายทหารได้เข้ามาขอให้ปลดป้ายภาพดังกล่าวออก พร้อมกับขอให้เลิกจัดงานด้วย

พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบกในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ทางทหารทราบว่าจะมีการจัดงานที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลเวิลด์ลาดพร้าว ซึ่งเกรงว่า จะมีการจัดการชุมนุมทางการเมือง จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพันทหารราบที่3 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ (ร.12พัน3) ที่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยบริเวณดังกล่าวเข้าไปร่วมสังเกตการณ์
 
รองโฆษกกองทัพบก กล่าว ยืนยันว่าทหารไม่ได้เป็นผู้ปลดป้ายภาพดังกล่าวแต่มีการพูดขอร้องกับผู้จัดงานว่า ขอให้เลิกจัดงานดังกล่าวซึ่งทางผู้จัดงานก็เข้าใจและให้ความร่วมมือโดยดี

ขณะที่วันเดียวกัน เมื่อเวลา 14.15 น. ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ พ.ท. สิโรตม์ ทศานนท์ เป็นผู้แทน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้ามอบกระเช้าดอกไม้ อวยพรวันคล้ายเกิด นายชวน หลีกภัย (28 ก.ค.)

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.พลภัทร วรรณภักตร์ เลขานุการกองทัพบก ผู้แทน พล.อ.ประยุทธ์  นำกระเช้าดอกไม้เข้าเยี่ยมนายชวน ซึ่งเพิ่งออกจากโรงพยาบาลรามาธิบดี หลังเข้ารับการรักษาตัวเมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา

 

เรียบเรียงจาก : มติชนออนไลน์(1,2), โพสต์ทูเดย์ แนวหน้า

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จับตา! 28 ก.ค.นี้ ศาลนัดฟังคำสั่ง โอนคดี 99 ศพไป ป.ป.ช. ?

$
0
0

ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา จากกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4552/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อ หรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล จากกรณีร่วมกับนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุมจากกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 เป็นเหตุให้นายพัน คำกอง อายุ 43 ปี ด.ช.คุณากร หรือน้องอีซา ศรีสุวรรณ อายุ 14 ปี ถูก เจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิตบริเวณใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ย่านราชปรารภ กทม. และนายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส

โดยคำร้องดังกล่าวระบุว่า นายอภิสิทธิ์ในขณะนั้นปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงถือเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่และอยู่ในอำนาจการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยแย้งว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไม่มีอำนาจสอบสวน และอัยการสูงสุดไม่มีอำนาจฟ้อง จากนั้นศาลจึงเห็นสมควรให้มีหนังสือสอบถามป.ป.ช.เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวเพื่อให้ได้ความชัดเจน ขณะเดียวกันพนักงานอัยการก็ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน และศาลอาญานัดฟังคำสั่งในวันจันทร์ที่ 28 ก.ค.นี้

จากกรณีดังกล่าวนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความญาติผู้เสียชีวิต ในฐานะโจทก์ร่วม กล่าวว่า ฝ่ายอัยการโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายตามที่ ฝ่ายจำเลยร้องต่อศาล โดยมีประเด็นโต้แย้งดังนี้ 1.ความผิดที่ฟ้องนายอภิสิทธิ์เป็นความผิดในข้อหาร่วมกันกระทำความผิด หรือก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 มาตรา 83 มาตรา 84 และมาตรา 80 ซึ่งการกระทำความผิดที่อัยการฟ้องดังกล่าวเป็นการกระทำที่อยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี

นายโชคชัยกล่าวว่า การกระทำความผิด ที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่นั้น หาก ผู้กระทำมีเจตนาประสงค์ต่อผล หรือเล็งเห็นผลต่อชีวิต หรือร่างกายของผู้ถูกกระทำ จะถือว่าเป็นการกระทำนอกเหนือตำแหน่งหน้าที่ราชการ พนักงานอัยการได้หยิบยกตัวอย่างคดีที่มีการส่งเรื่องกลับไปให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ โดยไม่อยู่ในอำนาจป.ป.ช.ที่สำคัญคดีหนึ่ง คือ คดีที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และใช้อาวุธปืนยิงถูกด.ช.จักรพันธุ์ ศรีสอาด หรือน้องฟลุกเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บ ซึ่งคดีนี้พนักงานอัยการฟ้อง เจ้าหน้าที่ในข้อหาความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่า ศาลพิพากษาลงโทษแล้ว และตัดสินเป็นที่สิ้นสุดที่ศาลอาญาเช่นกัน

"เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าเคยมีแนวปฏิบัติในทางกฎหมาย และการสั่งฟ้องในคดีลักษณะเดียวกันมาแล้ว สรุปได้ว่าแม้เจ้าพนักงานกระทำตามหน้าที่ แต่มีเจตนาเล็งเห็นผลต่อชีวิตของผู้อื่น ทางหลักกฎหมายถือว่าเป็นความผิดนอกเหนือตำแหน่งหน้าที่ราชการ คดีน้องฟลุกถือว่าเป็นตัวอย่างคดีที่แสดงให้เห็นบรรทัดฐานที่สอดคล้องกับข้อกฎหมาย และชี้ให้เห็นถึงแนวปฏิบัติที่ป.ป.ช.เคยใช้ด้วย คิดว่าน่าจะมีน้ำหนักให้ศาลรับฟังได้พอสมควร" นายโชคชัยกล่าว

ทนายความญาติผู้ตายกล่าวต่อว่า 2.คดีที่เกี่ยวข้องกับการตายทั้งหมดในเหตุสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ถึงวันที่ 19 พ.ค.2553 มีการไต่สวนการตายและศาลมีคำสั่งแล้วว่าการตาย ทั้งนายพัน คำกอง ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ คดี 6 ศพวัดปทุมวนาราม หรือคดีนายฟาบิโอ โปเลงกี ช่างภาพชาวอิตาลี ล้วนเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเมื่อศาลมีคำสั่งดังนี้แล้วการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องเป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุด ตามประมวลกฎหมายอาญา ตามวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143 วรรคท้าย และการออกคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง อัยการมีอำนาจออกคำสั่งทั้งคดี รวมทั้งตัวการผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนด้วย

นายโชคชัยกล่าวว่า 3.คดีที่เกี่ยวกับการตายทั้งหมดเป็นคดีพิเศษที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ในสมัยนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ ดำรงตำแหน่ง จึงเห็นว่าดีเอสไอมีอำนาจในการสอบสวน 4.ป.ป.ช.มีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสำนวนส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เฉพาะในกรณีร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น แต่ในเรื่องการกระทำที่อัยการฟ้องในคดีสลายการชุมนุมนี้เป็นการกระทำที่นอกเหนือตำแหน่งหน้าที่ และสุดท้าย 5.พระราชบัญญัติ ป.ป.ช. มาตรา 84 ห้ามป.ป.ช.รับเรื่อง หรือยกข้อกล่าวหาในเรื่องเดียวกันที่ศาลประทับรับฟ้องคดีไว้แล้ว ซึ่งคดีของนายสุเทพและนายอภิสิทธิ์ศาลประทับรับฟ้องไปแล้ว

"คดีนี้เป็นคดีฆาตกรรม ไม่ใช่เรื่องการทุจริต หรือทำผิดต่อหน้าที่อื่นๆ แม้ว่าตอนนั้นคุณจะอยู่ในตำแหน่งจริง แต่การฆ่าไม่ใช่หน้าที่ที่คุณต้องฆ่า อย่างไรก็ตาม ในฐานะทนายผู้ร้องร่วมผมเห็นว่าคำคัดค้านของพนักงานอัยการสมบูรณ์แล้ว จึงไม่ได้ดำเนินการใดเพื่อเป็นการซ้ำซ้อน" นายโชคชัยกล่าว

ทนายความญาติผู้ตายกล่าวอีกว่า ในวันที่ 28 ก.ค.นี้ศาลจะมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวในเบื้องต้น คือสั่งว่าดีเอสไอมีอำนาจในการสอบสวนหรือไม่ และอัยการมีอำนาจฟ้องหรือไม่ หากศาลสั่งว่าดีเอสไอไม่มีอำนาจสอบสวนเรื่องก็ต้องไปที่ป.ป.ช. และส่งต่อไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่หากดีเอสไอมีอำนาจสอบสวน ซึ่งเป็นช่องทางให้อัยการมีอำนาจฟ้อง ทางทนายความก็จะดำเนินคดีต่อไป นอกจากประเด็นการชี้ขาดข้อกฎหมายแล้วยังต้องรอว่าศาลจะพิจารณาให้รวมคดีนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพเป็นคดีเดียวกันหรือไม่ด้วย ถ้าชี้ขาดว่าอัยการมีอำนาจฟ้องก็จะรวมสำนวนคดีนาย สุเทพเข้ามาด้วยกันอย่างแน่นอน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'คสช.' เตือน 'ผู้จัดการสุดสัปดาห์' อ้างเผยแพร่ข้อมูลเท็จแต่ไม่ระบุหน้าไหน

$
0
0
คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 108 ตักเตือนสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งฝ่าฝืนข้อห้าม 'ผู้จัดการสุดสัปดาห์' อ้างแพร่ข้อมูลเท็จแต่ไม่ระบุชัดเจนหน้าไหน บทความใด สั่งองค์กรวิชาชีพดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแล้ว

 
26 ก.ค. 2557 เมื่อเวลา 18.15 น. ได้มีการเผยแพร่คำสั่งคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 108 /2557 เรื่องการตักเตือนสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งฝ่าฝืนข้อห้าม โดยระบุว่า หนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 253 วันที่ 26 ก.ค. - 3 ส.ค. 2557 ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่อง ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช.
 
คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ฉบับที่ 108/2557
เรื่อง การตักเตือนสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งฝ่าฝืนข้อห้าม
 
เพื่อให้การรักษาความสงบและการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเป็นไปอย่างเรียบร้อย โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ออกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 และฉบับที่ 103/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 ห้ามมิให้ผู้ประกอบกิจการหรือผู้ให้บริการด้านสื่อมวลชนทุกชนิดนำเสนอหรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปสู่ประชาชนด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จอันส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม
 
ปรากฎว่า หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 251 วันที่ 21 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2557 ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่อง ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว ในชั้นนี้เห็นควรตักเตือนผู้เขียนบทความ บรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ของหนังสือพิมพ์ดังกล่าว หากฝ่าฝืนอีกจะดำเนินการตามกฎอัยการศึก ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา และส่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายด้วย
 
อนึ่ง ให้องค์กรวิชาชีพที่ผู้ฝ่าฝืนดังกล่าวข้างต้นที่เป็นสมาชิกดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพกับบุคคลเหล่านั้น แล้วรายงานผลการดำเนินการให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบโดยเร็ว
 
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
 
สั่ง ณ วันที่ 26 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557
 
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อาหารอินทรีย์ วิถีแห่งอนาคต ‘ทุกคำที่กิน สามารถเปลี่ยนโลกทั้งใบ’

$
0
0
เสวนาวิชาการ ‘อาหารอินทรีย์ วิถีแห่งอนาคต’ งาน ‘มหกรรมอาหารและสุขภาพ วิถีไท ครั้งที่ 1’ เผยข้อมูลในผัก-ผลไม้ กว่าร้อยละ 40 พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐาน แนะบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของเรา เท่ากับทำเพื่อสุขภาพที่ดีของโลก
 
 
26 ก.ค. 2557 เสวนาวิชาการ ‘อาหารอินทรีย์ วิถีแห่งอนาคต’ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2557 ระหว่างเวลา 10.00-12.00 น. ในงาน ‘มหกรรมอาหารและสุขภาพ วิถีไท ครั้งที่ 1’ ณ ห้องฟินิกส์ บริเวณฮอลล์ 8 เมืองทองธานี ร่วมเสวนาโดย นพ.ประพจน์ เภตรากาศ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี(Biothai) และปรกชล อู๋ทรัพย์ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ดำเนินรายการโดย กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประกาศข่าวจากสถานีวิทยุ อสมท. คลื่น 96.5 Fm
 
 
เผยในผัก-ผลไม้ กว่าร้อยละ 40 พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐาน
 
ปรกชล อู๋ทรัพย์ เปิดเผยข้อมูลผลการวิเคราะห์ภาพรวมและการตรวจสอบสารปนเปื้อน คือ คาร์บาเมต ออร์แกโนฟอสเฟต ออร์แกโนคลอรีน ไพรีทรอยด์ ในผักผลไม้ว่า จากการสุ่มเก็บตัวอย่างพืชผักและผลทั้งหมด 118 ตัวอย่าง จากตลาด ห้างค้าปลีก และสินค้าตรา “Q” พบว่า ในผักผลไม้ 118 ตัวอย่างนี้ ร้อยละ 44.1 ไม่พบการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ร้อยละ 9.3 มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างอยู่ แต่ไม่เกินค่า MRLs (Maximum Residue Limits หมายถึง ปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุดที่กำหนดให้มีได้ในสินค้าเกษตร) และ อีกร้อยละ 46.6 พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินค่า MRLs
 
เมื่อแยกประเภทแหล่งที่มาของสินค้าเหล่านี้เป็น 3 แหล่งคือ ผักผลไม้ที่มากจากตลาดทั่วไป ผักผลไม้ตรา Q และผักผลไม้ที่มาจากห้างค้าปลีกแล้ว ผักผลไม้จากตลาดทั่วไปร้อยละ 53.8 ไม่พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ร้อยละ 6.2 มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างอยู่ แต่ไม่เกินค่า MRLs ที่เหลือร้อยละ 40 พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างอยู่ เกินค่า MRLs ส่วนในผักผลไม้ตรา Q พบว่ามีเพียงร้อยละ 12.5 ไม่พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ขณะที่ร้อยละ 25.0 มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างอยู่ แต่ไม่เกินค่า MRLs ที่เหลืออีกถึงร้อยละ 62.5 พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างอยู่ เกินค่า MRLs สุดท้ายคือผักผลไม้ที่มาจากห้างค้าปลีก พบว่าร้อยละ 35.6 ไม่พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ร้อยละ 11.1 มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างอยู่ แต่ไม่เกินค่า MRLs และอีกร้อยละ 53.3 พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างอยู่ เกินค่า MRLs
 
10 ใน 118 ชนิดคือผักผลไม้ที่เรานิยมบริโภคและหาซื้อได้ง่ายในตลาดสด ห้างสรรพสินค้า หรือแผงขายผักผลไม้ทั่วไปคือ คะน้า ถั่วฝักยาว พริกจินดา ผักชี กะเพรา ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่ง แตงโมง และสตรอเบอร์รี่
 
 
บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของเรา เท่ากับทำเพื่อสุขภาพที่ดีของโลก
 
ด้านนพ.ประพจน์ เภตรากาศ นำเสนอ 3 ประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องกันคือ ประเด็นแรก เรื่องอาหารกับร่างกาย ประเด็นที่สอง คือ เรื่องแนวความคิดเรื่องอาหารกับสุขภาพ และประเด็นที่สามคือ เรื่องอาหารอินทรีย์กับสุขภาพ โดยระบุว่า ทางเดินอาหารของคนเริ่มต้นจากปากไปสิ้นสุดที่รูทวารหนัก ความยาวของทางเดินอาหารประมาณ 7-8 เมตร หรือประมาณ 25 ฟุต เมื่อเรากินอาหารเข้าไป ทุกอย่างที่เราหยิบ ที่เรากิน จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ ทุกอย่างที่หลุดเข้าไปในปากจะถูกย่อยเป็นโมเลกุลเดี่ยวหรือโมเลกุลที่ละเอียดที่สุด เพื่อที่จะดูดซึมผ่านผนังลำไส้เล็กไปใช้ในร่างกาย อาหารที่ถูกดูดซึมจะไปทำหน้าที่สร้างพลังงาน ซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกายของเรา
 
อาหารใช้เวลาเดินทางจากปากของเราไปจนถึงรูทวารหนักประมาณ 24 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย โดยเฉลี่ยแล้วอาหารจะอยู่ในกระเพาะอาหาร 2-4 ชั่วโมง ในลำไส้เล็ก 6 ชั่วโมง ในลำไส้ใหญ่ 12-24 ชั่วโมง และออกทางรูทวารหนัก การใช้งานคือ พลังงานจะถูกดูดซึมเพื่อไปใช้ประโยชน์ น้ำมันจะช่วยเรียกน้ำย่อย และกากอาหารจะช่วยในการระบายของเสีย กากใยที่เรากินเข้าไปจะทำหน้าที่ไปครูดของเสียตามผนังลำไส้ให้ขับออกมาคล้ายๆ กับการดีท็อกซ์ อาหารที่เรากินเข้าไป ถ้าเป็นประเภทโปรตีนส่วนเกินจะถูกขับถ่ายออกมา เนื่องจากร่างกายมีความสามารถในการดูดซึมได้แค่ประมาณ 20-30% ของปริมาณอาหารที่เรากินเข้าไปเท่านั้น ร่างกายจะดูดซึมเท่าที่จะใช้ประโยชน์เท่านั้น ที่เหลือจะขับออกมา
 
ในประเด็นเรื่องอาหารและสุขภาพ นพ.ประพจน์ กล่าวว่า ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา มนุษย์มีความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บ ผ่านรากฐานทางวัฒนธรรมของแต่ละสังคม ซึ่งก่อให้เกิดความหลากหลายของวิธีการบำบัดรักษา ป้องกัน การเจ็บไข้ได้ป่วย การให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีอายุยืนยาว ยกตัวอย่างอย่างเช่นประเทศจีน ที่มีความเชื่อในเรื่องสุขภาพตามปรัชญา หยินและหยาง ว่าทั้งหยินและหยางดำรงอยู่ในร่างกายของมนุษย์อย่างได้สมดุลเช่นเดียวกันกับความสมดุลของจักรวาล หรือการเกิดโรคภัยไข้เจ็บ
 
“ส่วนในระบบการแพทย์พื้นบ้านหรือดั้งเดิมทั่วโลกจะมีลักษณะเป็นการแพทย์แบบองค์รวม ซึ่งให้ความสำคัญเกี่ยวกับการรักษา การฟื้นฟู ความสมดุลในร่างกายมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เช่น การแพทย์อายุรเวท การแพทย์พื้นบ้านแอฟริกา ชนเผ่าซูลู มีความเชื่อว่าสุขภาพไม่ใช่เพียงสภาพหรือสภาวะ แต่เป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่อง”
 
นพ.ประพจน์ กล่าวต่อว่า การเปลี่ยนผ่านจากการแพทย์เชิงวัฒนธรรมสู่การแพทย์เชิงวิทยาศาสตร์ เป็นการเปลี่ยนผ่านทีละเล็กทีละน้อยตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งใช้เวลาหลายร้อยปี ในตะวันตกการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นในกรีก ระหว่าง 400 – 500 ปีก่อนคริสตกาล และถือว่าเป็นการแพทย์ที่พยายามใช้ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ การมีเหตุผลน่าเชื่อถือ ในการอธิบายโรคภัยไข้เจ็บ วิทยาศาสตร์การแพทย์มีแนวโน้มที่จะเน้นการบริโภค โปรตีน และผัก ผลไม้ ให้มากขึ้น แต่ให้ลดการบริโภคแป้ง ไขมันให้น้อยลง การมองว่าแป้งเป็นหมู่อาหารที่เป็นอันตรายจึงขัดแย้งกับวัฒนธรรมการบริโภคดั้งเดิมของประเทศต่างๆ ซึ่งนิยมการบริโภคข้าวและธัญพืชเป็นอาหารหลัก จนกระแสการบริโภคอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ (low-carb diet) เป็นที่นิยมกันในคนหนุ่มสาว และยังใช้ในการเป็นอาหารรักษาเบาหวานอีกด้วย
 
แนวความคิดใหม่ที่ทวนกระแสวิทยาศาสตร์การแพทย์ เช่น แนวคิดเรื่องการกินอาหารมังสวิรัติของกลุ่มเซเวนธ์เดย์แอ๊ดเวนติส ในสหรัฐอเมริกาซึ่งมีการทำการวิจัยขนาดใหญ่เกี่ยวกับสุขภาพของผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติ และพบว่า ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติมีสุขภาพและอายุที่ยืนยาวกว่า เป็นโรคเรื้อรังโดยเฉพาะมะเร็งน้อยกว่าอย่างชัดเจน มีหนังสือดีหลายเล่มที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น “ปฏิวัติสุขภาพด้วยอาหารบนจานคุณ” ที่เขียนโดย T.Colin Campbell, Ph.D และ Thomas M. Campbell แปลเป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ.2555 หนังสืออีกเล่มหนึ่งคือ “ขอบฟ้าแห่งอายุร้อยปี (Blue zone)” เขียนโดย เดวิด บุทเนอร์ ซึ่งเดินทางสำรวจวิถีชีวิตของผู้ที่มีอายุเกินหนึ่งร้อยปี ในดินแดน 4 แห่งทั่วโลก ได้แก่ โอกินาวา คอสตาริกา เกาะซาร์ดิเนีย และ กลุ่มเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนติสในอเมริกา ซึ่งพบว่า วิถีชีวิตของคนอายุเกินหนึ่งร้อยปี จะมีวิถีการเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ หยุดกินก่อนจะอิ่ม (ฮารา ฮาจิบุ) กินผักให้มาก เข้าเกียร์ต่ำ ใช้ชีวิตให้ช้าลง มีส่วนร่วม คนที่เรารักมาอันดับแรก อยู่ในกลุ่มชนที่ถูกต้อง และมีการดื่มไวน์
 
ประเด็นเรื่อง ‘อาหารอินทรีย์กับสุขภาพ’ นพ.ประพจน์ กล่าวว่า มีหนังสือชื่อ ‘Anticancer: A new way of life’ ซึ่งสำนักพิมพ์โกมลคีมทองมีแผนที่จะจัดพิมพ์ในเร็วๆ นี้ หนังสือเล่มนี้เขียนโดย ดร.เดวิด ชไรเบอร์ ได้ให้ความสำคัญของอาหารอินทรีย์ ซึ่งจะมีความสมดุลของโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 โอเมก้า-3เอส และโอเมก้า-6 เอส ที่มีในร่างกายจะคอยปกป้องเพื่อควบคุมการทำงานต่างๆ ของร่างกาย โอเมก้า-6 เอส ช่วยเก็บสะสมไขมัน และส่งเสริมความแข็งตัวในเซลล์รวมทั้งการเกิดการแข็งตัวของเลือดและการอักเสบเพื่อตอบสนองการคุกคามจากภายนอก มันยังกระตุ้นการสร้างเซลล์ไขมันที่มีมาตั้งแต่เกิดต่อไป ในทางตรงกันข้าม โอเมก้า-3 เอส มีส่วนในการพัฒนาระบบประสาท ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์มีความยืดหยุ่นมากขึ้นและลดการอักเสบ และยังช่วยจำกัดการสร้างเซลล์ไขมัน
 
“ความสมดุลทางสรีรวิทยาของเราขึ้นกับความสมดุลของโอเมก้า-3 เอส และโอเมก้า-6 เอส ในร่างกายเป็นอย่างยิ่งซึ่งเกี่ยวกับอาหารที่เรากิน” นพ.ประพจน์กล่าว
 
ในช่วงท้าย นพ.ประพจน์ ได้กล่าวในช่วงท้ายว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องการย้ำเพิ่มเติมก็คือ ถ้าเราบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีให้กับตัวเรา เท่ากับเราทำเพื่อสุขภาพที่ดีของโลกใบนี้ที่เราได้อาศัยอยู่ การบริโภคอาหารที่มีพืชเป็นหลักเท่ากับการลดการใช้น้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นการลดการก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และลดการทำร้ายสัตว์ที่เลี้ยงในฟาร์ม ต้องกินให้หลากหลายชนิดถึงจะช่วยดูแลสุขภาพและรักษาโรคได้
 
“บางคนเห็นว่าย่านางดี ก็จะแต่ย่านางอยู่นั่น อันนี้ก็ไม่ใช่ เราต้องกินให้หลากหลาย ต้องออกกำลังกาย หยุดกินก่อนอิ่ม ถึงที่สุดแล้ว ความมั่นคงทางอาหารจะสำคัญอย่างมาก ถ้าเราถามว่ากินอะไรดีที่สุด ผมว่าเราต้องกลับไปกินอาหารดั้งเดิม กินอาหารพื้นบ้านที่พ่อแม่เรากินมาแต่ไหนแต่ไร กินความหลากหลาย ยิ่งกินความหลากหลายเท่าไหร่เรายิ่งได้ประโยชน์” นพ.ประพจน์กล่าว
 
 
โภชนาการที่ดี ควรต้องมาจากระบบเกษตรที่ดี
 
คุณวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ หยิบยกคำนิยามหรือวลีต่างๆ มานำเสนอเช่น วลีหนึ่งจากหนังสือชื่อ an AGRICULTURAL TESTAMENT’ เขียนโดยเซอร์อัลเบิร์ต โฮวาร์ด ผู้บุกเบิกเกษตรอินทรีย์ยุคใหม่ ว่า “The health of soil, plant, animal and man is one and indivisible” แปลเป็นไทยว่า “สุขภาพของดิน พืช สัตว์ และมนุษย์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แบ่งแยกมิได้” วลีอีกอันชื่อ “กงล้อแห่งสุขภาพ” ซึ่งให้รายละเอียดว่า สุขภาพขึ้นอยู่กับองค์รวมทั้งหมดของสิ่งแวดล้อม ระบบอาหารและโภชนาการคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด แต่โภชนาการที่ดีมิได้มีความหมายเพียงเราหาอาหารจากที่ใดก็ได้เท่านั้น แต่ต้องมาจากระบบเกษตรกรรมการผลิตที่ถูกต้องด้วย จากการศึกษาและทดลอง เราพบความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และผืนดินว่า สุขภาพที่ดีนั้นเกิดขึ้นจากดินสู่พืชพันธุ์ต่างๆ และจากพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ สู่มนุษย์
 
นอกจากนิยาม 2 นิยามด้านบนแล้ว คุณวิฑูรย์ ยังได้ยกคำคมของปราชญ์ชาวบ้านบ้านเราคือ นายฉลวย แก้วคง ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า ร่างกายของเราประกอบไปด้วยธาตุ 4 ก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกัน เรียกว่ารูป เช่นกันกับไร่นาเกษตรก็ต้องมี ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันเป็นรูป จึงจะถูกต้องตามธรรมะ ตามธรรมชาติ จะขาดอย่างใดไม่ได้เลย ส่วนมนุษย์เรา เราก็เกิดจากสายเลือดของบิดา-มารดา สายเลือดของบิดา-มารดาเกิดจากอะไร ถ้าเราสาวเข้าไปจะเห็นว่าบิดา - มารดากินอะไร สายเลือดของท่านก็เกิดจากสิ่งนั้น และเลือดเนื้อของเราก็เกิดจากสิ่งนั้นด้วย เพราะฉะนั้นเราเกิดจากสิ่งใดก็เอาสิ่งนั้นมาเลี้ยง เช่น ผักทุกชนิด ผลไม้ทุกชนิด เนื้อทุกชนิด น้ำทุกชนิด ถ้าเราทำลายสิ่งแวดล้อมก็เท่ากับเราทำลายตัวเอง ทำลายบรรพบุรุษของเราด้วย เพราะท่านทิ้งร่างกายเอาไว้ ใครทำลายสิ่งแวดล้อมเปรียบเสมือนคนอกตัญญูไม่รู้คุณบรรพบุรุษ
 
วิฑูรย์กล่าวต่อมาในเรื่องสารเคมี ว่า ในประเทศตะวันตกหลายประเทศ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นกลุ่มประเทศที่นำหน้ากลุ่มประเทศอื่นทั่วโลกในเรื่องเทคโนโลยีแทบทุกด้าน กระทั่งในเรื่องอาหารและสารเคมีที่ใช้ในอาหารเช่นกัน แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเมื่อพบว่าสารเคมีส่งผลต่อความเสียหายด้านสุขภาพของมนุษย์ กลุ่มประเทศเหล่านี้จึงได้เลิกที่จะใช้สารเคมีทั้งในพืชและสัตว์ในอาหาร ข้อมูลที่เรามีปัจจุบันพบว่าประมาณ 10-20% ของประเทศในแถบตะวันตก ได้ลดการใช้สารเคมีลงไปมากแล้ว ในขณะที่ประเทศของเรายังใช้สารเคมีอยู่อย่างเข้มข้น สิ่งนี้เป็นเรื่องน่าคิดและตั้งคำถามอย่างยิ่งว่าประเทศของเราคิดอะไรอยู่
 
วิฑูรย์กล่าวด้วยว่า ประเด็นเรื่องข้าวพื้นเมืองหรือข้าวอินทรีย์ กำลังขยายแนวคิดออกไปอย่างหลากหลาย เช่น มหาวิทยาลัยเกษตร ได้มีการรวบรวมและพัฒนาพันธุ์ข้าวหลายสายพันธุ์ หรือได้มีการทดสอบคุณค่าทางโภชนาการ หรือสารอาหารในข้าว เช่น ‘ทองแดง’ ในข้าวทั่วๆ ไปที่เรากินกับข้าวพื้นบ้านพบว่า ในข้าวที่เรากินทั่วๆ ไป 1 จาน จะเท่ากับการกินข้าวกล้องเพียง 1 ใน 5 ของจานเท่านั้น
 
นอกจากนี้แล้วยังมีงานศึกษาเกี่ยวกับโภชนาการของข้าวพื้นเมืองหลายชิ้นที่น่าสนใจ เช่น การศึกษาคุณค่าโภชนาการของข้าวพื้นเมือง ในพื้นที่เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกและเครือข่ายความมั่นคงทางอาหาร โดย รัชนี คงคาฉุยฉาย และริญ เจริญศิริ -2551 หรืองานศึกษาคุณค่าทางโภชนาการ สารต้านอนุมูลอิสระ ประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระและดัชนีน้ำตาลในข้าวพื้นเมืองสายพันธุ์ ต่างๆ ที่เป็นเกษตรอินทรีย์ ในพื้นที่เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสานโดย รัชนี คงคาฉุยฉาย ริญ เจริญศิริ และพัชราวรรณ มาทีฆะ-2553 เป็นต้น
 
ในประเด็นเรื่องข้าวไรซ์เบอร์รี่ วิฑูรย์กล่าวว่า ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ที่ถูกส่งเสริมให้มีการปลูก และโฆษณาชวนเชื่อเรื่องคุณค่าสารอาหาร และมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงเกินจริงนั้น เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับข้าวพื้นบ้านหลายสายพันธุ์ เช่น ข้าวหอมนิล ก่ำเปลือกดำ ขาวใหญ่ ดอหางฮี และข้าวอีกหลายสายพันธุ์กลับพบว่า ข้าวพื้นบ้านสายพันธุ์ต่างๆ เหล่ามีคุณค่าทางโภชนาการและมีสารอาหารหลายชนิดเทียบเท่ากับไรซ์เบอร์รี่ และมีสารอาหารหลายชนิดมากกว่าไรซ์เบอร์รี่หลายเท่า เพราะฉะนั้นจึงมีคำพูดในหมู่ชาวบ้านที่พูดหยิกแกมหยอกกันเล่นๆ ว่า ข้าวพื้นบ้านคือ ‘ซุปเปอร์ไรซ์เบอร์รี่’ หรือที่บอกว่า ‘เลิกปลูกเถอะไรซ์เบอร์รี่ หันมาปลูกซุปเปอร์ไรซ์เบอร์รี่กันดีกว่า’ หมายถึงว่า ชาวนาหรือผู้ปลูกข้าวทั้งหลายไม่ควรไปหลงใหลกับคำโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ของข้าวไรซ์เบอร์รี่ แต่ควรหันมาดูข้อเท็จจริง หันมาดูข้อมูลที่เป็นจริงของตนเองดีกว่า
 
“เงินที่เราจ่ายซื้อข้าวอินทรีย์แม้จะราคาสูงกว่าข้าวทั่วๆ ไปบ้าง แต่ผมว่าเงินที่เราจ่ายจะให้ผลที่มีคุณค่าต่อร่างกายอย่างมากๆ เมื่อเทียบกับการจ่ายราคาถูกแต่ได้คุณค่าทางอาหารน้อยมาก ผมว่าเป็นเรื่องที่เราควรลงทุนเพื่อสุขภาพของเรา เราอาจเชื่อว่าเราจ่ายสตางค์ซื้อลูกพลับ แอปเปิ้ล กีวี องุ่นแดง ราสเบอร์รี่ สตอเบอร์รี่ ลูกไหน บลูเบอร์รี่ หรืออื่นๆ เพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระ ในขณะที่เรามองข้ามข้าวพื้นบ้านของเราที่มีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมว่าเราหันมากินข้าวกล้องพื้นบ้านดีกว่าไหม” วิฑูรย์ให้ความเห็น
 
วิฑูรย์ จบท้ายวงเสวนาวิชาการด้วยวลีจากต่างประเทศว่า "The most political act we do on a daily basis is to eat, as our actions affect farms, landscapes and food businesses" แปลเป็นภาษาไทยแบบสั้นๆ ว่า “ทุกคำที่เรากิน สามารถเปลี่ยนโลกทั้งใบได้”
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. ต่อเหมืองทองคำจังหวัดเลย

$
0
0
 

 

 
1. การกล่าวโทษของ ก.ล.ต.
 
1.1 การกล่าวโทษครั้งที่หนึ่ง[1]
 
30 กรกฎาคม 2556 นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัทแม่ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด เจ้าของเหมืองทองคำจังหวัดเลยตามสัญญาให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำแปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิว-ภูขุมทอง ถูกกล่าวโทษโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จากความไม่รับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ THL ที่มิได้ดูแลจัดการให้ THL ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ต้องนำส่ง (1) งบการเงินไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2555 (2) งบการเงินไตรมาสที่ 4 ประจำปี 2555 (3) งบการเงินประจำงวดการบัญชีประจำปี 2555 (4) แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี 2555 (แบบ56-1) และ (5) รายงานประจำปี 2555 (แบบ 56-2) ต่อสำนักงานและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จึงต้องรับโทษเช่นเดียวกับบริษัท 
 
ถึงแม้ว่าในระหว่างพิจารณาคดี THL จะนำส่ง (1) งบการเงินไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2555 เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2556 (2) งบการเงินไตรมาสที่ 4 ประจำปี 2555 เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2556 (3) งบการเงินประจำงวดการบัญชี ประจำปี 2555 เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2556 (4) แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี 2555 (แบบ 56-1) เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2556 และ (5) รายงานประจำปี 2555 (แบบ 56-2) เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2556 ต่อสำนักงานและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการตลาดทุนประกาศกำหนดใหม่ก็ตาม ก็ยังส่งผลให้ต้องรับโทษเช่นเดิม กล่าวคือ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2556 ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 (THL) และจำเลยที่ 2 (นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล) มีความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 56 , 274 วรรคหนึ่ง ประกอบ 199 วรรคสอง เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษกรณีงบการเงินไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2555 ปรับคนละ 20,000 บาท และปรับรายวัน คนละวันละ 200 บาท รวม 313 วัน เป็นเงินคนละ 62,600 บาท กรณีงบการเงินไตรมาสที่ 4 ประจำปี 2555 ปรับคนละ 20,000 บาท และปรับรายวัน คนละวันละ 200 บาท รวม 206 วัน เป็นเงินคนละ 41,200 บาท กรณีงบการเงินประจำงวดการบัญชี ประจำปี 2555 ปรับคนละ 20,000 บาท และปรับรายวัน คนละวันละ 200 บาท รวม 175 วัน เป็นเงินคนละ 35,000 บาท กรณีแบบแสดงรายการข้อมูล ประจำปี 2555 ปรับคนละ 20,000 บาท และปรับรายวัน คนละวันละ 200 บาท รวม 193 วัน เป็นเงินคนละ 38,600 บาท และกรณีรายงานประจำปี 2555 ปรับคนละ 20,000 บาท และปรับรายวัน คนละวันละ 200 บาท รวม 168 วัน เป็นเงินคนละ 33,600 รวมปรับจำเลยทั้งสองเป็นเงินคนละ 311,000 บาท แต่จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับคนละ 155,500 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 โดยให้กักขังจำเลยที่ 2 แทนค่าปรับได้ไม่เกิน 1 ปี
 
1.2 การกล่าวโทษครั้งที่สอง[2]
 
19 กันยายน 2556 นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล ซึ่งยังคงดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ THL ถูกกล่าวโทษจาก ก.ล.ต. อีกครั้ง จากการที่มิได้ดูแลจัดการให้ THL ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ต้องนำส่ง (1) งบการเงินไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2556 และ (2) งบการเงินไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2556 ต่อสำนักงานและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จึงต้องรับโทษเช่นเดียวกับบริษัท 
 
ในการพิจารณาคดีวันที่ 14 พฤษภาคม 2557 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 (THL) มีความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 56, 274 วรรคหนึ่ง, 199 วรรคสอง ส่วนจำเลยที่ 2 (นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล) มีความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 56, 274 วรรคหนึ่ง, 199 วรรคสอง, และ 300 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันไม่จัดทำและส่งงบการเงินไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2556 ปรับคนละ 20,000 บาท และปรับรายวัน คนละวันละ 200 บาท นับแต่วันฝ่าฝืนจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 363 วัน เป็นเงินคนละ 72,600 บาท ฐานร่วมกันไม่จัดทำและส่งงบการเงินไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2556 ปรับคนละ 20,000 บาท และปรับรายวัน คนละวันละ 200 บาท นับแต่วันฝ่าฝืนจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 273 วัน เป็นเงินคนละ 54,600 บาท รวมปรับจำเลยทั้งสองถึงวันฟ้องเป็นเงินคนละ 167,200 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับคนละ 83,600 บาท และคงปรับรายวัน คนละวันละ 100 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะได้จัดทำและส่งงบการเงินไตรมาสที่ 1 และที่ 2 ประจำปี 2556 หากไม่ชำระค่าปรับสำหรับจำเลยที่ 1 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 สำหรับจำเลยที่ 2 ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 หากกักขังจำเลยที่ 2 แทนค่าปรับให้กักขังได้ไม่เกิน 1 ปี 
 
ซึ่งไม่มีรายงานในหน้าเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. ว่าจำเลยที่ 1 และ 2 ได้นำส่ง (1) งบการเงินไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2556 และ (2) งบการเงินไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2556 ต่อสำนักงานและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนดใหม่หรือไม่ อย่างไร
 
1.3 การกล่าวโทษครั้งที่สาม[3]
 
16 มิถุนายน 2557 นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล ซึ่งรับผิดชอบเป็นกรรมการผู้จัดการ THL เช่นเดิม มิได้ดูแลจัดการให้ THL ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ต้องนำส่ง (1) งบการเงินประจำรอบปีบัญชีประจำปี 2556 และ (2) แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี 2556 (แบบ56-1) ต่อสำนักงานและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จึงต้องรับโทษเช่นเดียวกับบริษัท 
 
การพิจารณาคดีครั้งนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการของพนักงานสอบสวน และไม่มีรายงานในหน้าเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. ว่าจำเลยที่ 1 และ 2 ได้นำส่ง (1) งบการเงินประจำรอบปีบัญชีประจำปี 2556 และ (2) แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี 2556 (แบบ56-1) ต่อสำนักงานและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนดใหม่หรือไม่ อย่างไร
 
 
2. ข้อกฎหมายของ ก.ล.ต.
 
ตามกฎหมายหลักทรัพย์ หรือ พ.ร.บ. หลักทรัพย์ หรือพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล ถูกกล่าวโทษตามมาตรา 300 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษผู้บริหารนิติบุคคลที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ดังนี้ “ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตาม มาตรา 268 มาตรา 269 มาตรา 270 มาตรา 271 มาตรา 272 มาตรา 273 มาตรา 274 มาตรา 279 มาตรา 280 มาตรา 281 มาตรา 284 มาตรา 286 มาตรา 290 มาตรา 292 มาตรา 296 มาตรา 297 มาตรา 298 หรือมาตรา 299 เป็นนิติบุคคล ถ้าพิสูจน์ได้ว่าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการ การกระทำการหรือไม่สั่งการหรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำของกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ผู้ใดผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย”
 
สำหรับ THL ถูกกล่าวโทษตามมาตรา 56 และมาตรา 199 วรรคสอง ซึ่งมาตรา 56 เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน โดย
 
“ให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ตาม มาตรา 32 มาตรา 33 หรือมาตรา 34 จัดทำและส่งงบการเงินและรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงิน และผลการดำเนินงานของบริษัทต่อสำนักงานดังต่อไปนี้
 
            (1) งบการเงินรายไตรมาสที่ผู้สอบบัญชีได้สอบทานแล้ว
            (2) งบการเงินประจำงวดการบัญชีที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบและแสดงความเห็นแล้ว
            (3) รายงานประจำปี
            (4) รายงานการเปิดเผยข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับบริษัทตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด
 
งบการเงินและรายงานตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด การกำหนดดังกล่าวให้คำนึงถึงมาตรฐานที่คณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพสอบบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชีได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้วด้วย”
 
มาตรา 199 ทั้งมาตรา กำหนดไว้ว่า
 
“ให้นำความใน มาตรา 51 มาตรา 52 มาตรา 53 และมาตรา 55 รวมทั้งบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับแก่การโอนและการจัดทำทะเบียนหลักทรัพย์จดทะเบียนของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์จดทะเบียนอันมิใช่ตั๋วเงินโดยอนุโลม
 
ให้นำความใน มาตรา 56 มาตรา 57 มาตรา 58 มาตรา 59 มาตรา 61 และมาตรา 62 รวมทั้งบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้อง มาใช้บังคับแก่การเปิดเผยข้อมูลและผู้สอบบัญชีของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์จดทะเบียนอันมิใช่พันธบัตรที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือหลักทรัพย์อื่นใดตามที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กำหนดโดยอนุโลม แต่ในกรณีที่บริษัทดังกล่าวได้จัดทำและส่งรายงานการเปิดเผยข้อมูลต่อสำนักงานตาม มาตรา 56 ไว้แล้ว บริษัทจะส่งสำเนารายงานข้อมูลดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ก็ได้
 
ในกรณีที่บทบัญญัติตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานหรือคณะกรรมการ ก.ล.ต. ให้ถือว่าบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ หรือคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แล้วแต่กรณี”
           
โดยจำเลยทั้งสองมีบทกำหนดโทษบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ผู้บริหารและผู้สอบบัญชีเกี่ยวกับการไม่เปิดเผยข้อมูลและการชี้แจงเพิ่มเติมตามมาตรา 274 คือ
 
“บริษัทใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 56 มาตรา 57 หรือ มาตรา 58 (1) หรือ (3) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และปรับอีกไม่เกินวันละสามพันบาทตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
 
กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการของบริษัทใดไม่มาชี้แจงตามมาตรา 58 (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”
 
 
3. คำถาม
 
ไม่มีบทบัญญัติมาตราใดในกฎหมายหลักทรัพย์ที่ระบุว่าการกล่าวโทษเช่นนี้จะมีได้กี่ครั้งถึงจะสิ้นสุด และเมื่อถูกพิจารณาคดีตามการกล่าวโทษกี่ครั้งจึงถือว่าผู้บริหารหมดความสามารถในการบริหารจัดการบริษัท หรือถ้าเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่รับโทษเองให้ถือว่าบริษัทควรถูกปลดออกจากตลาดหลักทรัพย์ได้
 
คำถามที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมา เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ไล่ทุบตี จับมัดมือไพล่หลังและกักขังชาวบ้านที่ต่อสู้คัดค้านการทำเหมืองทองคำของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ในเขตตำบลเขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย จนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสหลายราย ด้วยการใช้กองกำลังอำพรางใบหน้าจำนวน 300 คน พร้อมอาวุธครบมือ ทั้งท่อนเหล็ก มีด และปืน โดยการนำของ พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค และลูกชาย คือพันโทปรมินทร์ ป้อมนาค เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 15 ต่อเนื่องจนถึงรุ่งเช้าของวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 เพื่อขนแร่เถื่อน ซึ่งเป็นแร่ทองแดงผสมทองคำและเงิน 300 ตัน นั้น ก.ล.ต. จะสามารถกล่าวโทษต่อพฤติกรรมป่าเถื่อนของ THL เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการนำคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาต่อไปได้อย่างไร.
 

[1]เนื้อหาในหัวข้อนี้คัดลอกจากเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เข้าถึงข้อมูลได้ที่ http://capital.sec.or.th/webapp/enforce/criminalquerythai_p2.php?trans_date=2013-07-30&offender_thai_name=&content_id=5&query_type=เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2557
โดยผู้เขียนได้นำเนื้อหาที่คัดลอกมาเรียบเรียงและแก้ไขเพิ่มเติมใหม่
[2]เนื้อหาในหัวข้อนี้คัดลอกจากเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เข้าถึงข้อมูลได้ที่ http://capital.sec.or.th/webapp/enforce/criminalquerythai_p2.php?trans_date=2013-09-19&offender_thai_name=&content_id=5&query_type=เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2557
โดยผู้เขียนได้นำเนื้อหาที่คัดลอกมาเรียบเรียงและแก้ไขเพิ่มเติมใหม่
[3]เนื้อหาในหัวข้อนี้คัดลอกจากเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เข้าถึงข้อมูลได้ที่ http://capital.sec.or.th/webapp/enforce/criminalquerythai_p2.php?trans_date=2014-06-16&offender_thai_name=&content_id=5&query_type=เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2557
โดยผู้เขียนได้นำเนื้อหาที่คัดลอกมาเรียบเรียงและแก้ไขเพิ่มเติมใหม่

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ท่ามกลางความสงบสุข

$
0
0





วิกฤตการณ์ทางการเมืองในช่วง 6-7 เดือนของการออกมาเคลื่อนไหวขับไล่นายกรัฐมนตรีของมวลมหาประชาชนสืบเนื่องจากสาเหตุการออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรมสุดซอย หรือ พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ลักหลับในคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน เวลาตี 4 พร้อมกับการลุกฮือออกมาของมวลมหาประชาชนจำนวนมากตามท้องถนน และจบลงด้วยการก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจโดย คสช. ของ 6 โมงเย็นวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อคืนความสุขให้กับคนในชาติ

สถานการณ์ที่วุ่นวายในช่วง 6-7 เดือนตลอดมาได้สงบลงในวันต่อมาหลังจากมีการยึดอำนาจของ คสช.  สื่อวิทยุ โทรทัศน์กระแสหลักเปิดเพลงปลุกใจรักชาติกันอย่างพร้อมเพียง สลับกับมีการนำเสนอประกาศคำสั่งของ คสช. เป็นระยะ พร้อมกับมีการเรียกผู้ประชาชนไปรายงานตัวโดยอ้างว่าเพื่อเป็นการปรับทัศนคติ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

ผ่านมาสองเดือนที่ คสช. ได้ทำการยึดอำนาจ สื่อโทรทัศน์ วิทยุ กระแสหลัก นำเสนอรายการและข่าวตามปกติแต่ก็ยังมีการขอความร่วมมือจาก คสช. ไม่ให้สัมภาษณ์นักวิชาการหรือนักการเมืองต่อความเห็นทางการเมืองเพื่อไม่ให้เกิดการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกในสังคม

หากมองภาพรวมโดยทั่วไปจากการดูข่าวประจำวันจะพบได้ว่าบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ประชาชนใช้ชีวิตประจำวันตามปกติพร้อมกับการแถลงผลงานของ คสช. ทุก 6 โมงเย็น และกิจกรรมคืนความสุขต่างๆที่ทางคณะ คสช. ที่ได้จัดเพื่อสลายสีเสื้อ สลายความขัดแย้งระหว่างขั้วทางการเมืองที่เผยแพร่ออกมาตามสื่อกระแสหลักมากมาย มองไปแล้วทำให้คิดได้ว่าบ้านเมืองกำลังกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และมีความสุข อย่างที่ คสช. ได้ให้คำมั่นไว้

แต่ท่ามกลางความสงบสุขที่เราเห็นผ่านหน้าจอทีวีและฟังจากวิทยุ ข่าวความเดือดร้อนและปัญหาความไม่เป็นธรรมของคนตัวเล็กๆได้หายออกไปจากหน้าสื่อกระแสหลัก โดยมีข่าวกิจกรรมคืนความสุขเข้ามาแทนที่พื้นที่ข่าวปัญหาของคนชายขอบเช่น ราคายางพาราตกต่ำ การไล่รื้อคุกคามชาวบ้านโนนดินแดง การเข้าจับกุมนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและนักต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดินทำกิน เป็นต้น

ในสถานการณ์คืนความสุขให้กับคนในชาติ คนตัวเล็กๆและปัญหาความไม่เป็นธรรมได้หายไปจากพื้นที่ข่าว เพื่อกลบเกลื่อนความไม่มีความสุขในท้องถิ่นที่ห่างไกลจากกรุงเทพและหัวเมืองใหญ่ตามภูมิภาค

หากเป็นในช่วงสถานการณ์ปกติที่เป็นประชาธิปไตยการนำเสนอข่าวเหล่านี้ย่อมนำเสนอได้อย่างเปิดเผยและมีการติดตามตรวจสอบความคืบหน้าทั้งจากนักข่าวและสังคมอย่างต่อเนื่อง แม้ข่าวเหล่านี้จะสะท้อนความเป็นจริงของสภาพปัญหาทางสังคม ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมของคนที่เข้าไม่ถึงโอกาสและความเป็นธรรม สื่อสารมวลชนย่อมทำหน้าที่ตัวกลางในการเปิดเผยปัญหาที่คนห่างไกลความเจริญจะต้องพบเจอในชุมชนในท้องถิ่นของเขา เพื่อให้สาธารณะชนได้รับรู้ แม้ว่าสิ่งทีนำเสนอจะค่อนข้างขัดแย้งกับความเชื่อและจินตนาการที่สวยงามที่มีต่อคนท้องถิ่นและชุมชนที่ห่างไกล

ในช่วงระยะเวลาของการปกครองประชาธิปไตย การเดินขบวนเรียกร้องหรือการออกสื่อเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมนั้นสามารถทำได้ และเป็นเครื่องมือสำคัญของเหล่าผู้คนที่จนอำนาจในการต่อรอง ระบบประชาธิปไตยอนุญาตให้คนเหล่านี้ออกมาเคลื่อนไหวตามสื่อและตามท้องถนนได้อย่างเสรีและไม่มีความผิดอะไรเพื่อจะบอกต่อสังคมถึงความไม่เป็นธรรมที่ตนต้องประสบและเรียกร้องให้สังคมช่วยร่วมกดดันในการแก้ปัญหาความทุกข์ยากเหล่านี่ ซึ่งในระบบประชาธิปไตยมองการเคลื่อนไหวเหล่านี้ว่า ไม่ใช่ปัญหาที่น่ากลัว ไม่ใช่ความวุ่นวายและไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่เป็นสิทธิและเสรีภาพในการเข้ามามีพื้นที่ต่อรองผลประโยชน์และเรียกร้องความเป็นธรรมของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าเขาจะยากดีมีจน หรือไร้อำนาจอย่างไร

การควบคุมสื่อในการเสนอข่าวในสภาวการณ์เช่นนี้ย่อมเป็นการปฎิเสธความมีอยู่ของปัญหาและนำปัญหาลงไปซุกไว้ใต้พรม เพื่อสั่งสมและรอวันปะทุออกมาในวันที่บ้านเมืองกลับมาสู่สภาวะที่เป็นประชาธิปไตย  เหมือนกับช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516  ซึ่งเกิดการเดินขบวนเรียกร้องจากปัญหาสังคมที่สั่งสมมานานของประชาชน ในสภาวะการที่บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยช่วงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500-2516 ประมาณครั้งของการเดินขบวนตลอด 3 ปีตั้งแต่ช่วง 14 ตุลา 2516-6 ตุลา 2519 ประมาณ 900 กว่าครั้ง

ถึงอย่างนั้นแล้วในความสงบสุขของประเทศชาติที่เราดูผ่านโทรทัศน์ ฟังจากวิทยุ ผิวเผินนั้นอาจจะดูเรียบร้อยเป็นระเบียบ ทุกคนมีรอยยิ้มให้แก่กันหลังจากผ่านช่วงวิกฤตการทางการเมืองมาแล้ว แต่ภายใต้ความสุขและความเงียบสงบที่เราเห็นนั้น ยังมีปัญหาที่สั่งสม รอวันระเบิดขึ้น ในวันที่ คสช. จากไป และบ้านเมืองมีความเป็นประชาธิปไตย เราอาจจะได้ตาสว่างจากความสุขชั่วขณะจากปัญหาที่ถูกเก็บงำไว้ไม่นำเสนอในพื้นที่สื่อกระแสหลัก ก็เป็นได้

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บทบาทภาคประชาชนกับการริเริ่มเสนอร่างกฎหมายในช่วงปฏิรูปประเทศไทย

$
0
0

 

บทความวิชาการนี้ผู้เขียน[1]มีจุดประสงค์หลักนำเสนอเฉพาะกระบวนการนิติบัญญัติกรณีกระบวนการริเริ่มเสนอกฎหมายภาคประชาชน โดยไม่พิจารณาถึงกระบวนการตราพระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชกำหนด และกฎหมายลำดับรองแต่อย่างใด เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการมีส่วนร่วมของประชาชนในสภาวการณ์ที่บ้านเมืองอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านที่ต้องอาศัยหลักการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ  ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากสภาพปัญหาที่สะสมมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ที่จะสามารถสะท้อนภาพของปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาจากฐานล่างหรือเชิงพื้นที่ในรูปแบบของการร่วมกันเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ความเห็นและข้อเสนอแนะ โดยมีรายละเอียดดังนี้

นับแต่มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินปี 2475 โดยคณะราษฎร์ ประเทศไทย
ได้ยึดถือรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภามาเป็นระยะเวลา 82 ปี มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาแล้ว 18 ฉบับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557[2]ถือเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับที่ 19 ของประเทศไทย ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ทางการเมืองในแต่ละยุคสมัย

รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดโครงสร้างทางการเมืองและกำหนดหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตลอดจนกลไกควบคุมและถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐ[3]การกำหนดหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น มองเตสกิเออกล่าวไว้ในหนังสือเจตนารมณ์แห่งกฎหมายในประเด็นที่ว่าอะไรคือเสรีภาพไว้ว่า “ควรจะใส่ไว้ในสมองเลยว่าอะไรคืออิสรภาพ และอะไรคือเสรีภาพ เสรีภาพคือสิทธิที่จะทำทุกสิ่งที่กฎหมายอนุญาต และหากพลเมืองสามารถทำสิ่งที่กฎหมายห้ามได้ประชาชนก็ไม่มีเสรีภาพอีกแล้ว เพราะคนอื่นก็จะมีอำนาจที่จะทำอย่างเดียวกัน”[4]มองเตสกิเออได้นำเสนอหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจอธิปไตย (Seperation of Powers) โดยมีหลักสำคัญว่า เมื่อใดอำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ อยู่มือคน ๆ เดียวกัน เสรีภาพย่อมจะไม่มีอีกต่อไป[5]ซึ่งย่อมเห็นได้ชัดว่า
มีเจตจำนงในการจะรักษาปกป้องไว้ซึ่งเสรีภาพของบุคคล

สิทธิ (Rights) หมายถึง ประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้แก่บุคคลในอันที่จะกระทำการเกี่ยวข้องกับทรัพย์หรือบุคคลอื่น[6]เช่น สิทธิในชีวิตร่างกาย สิทธิในทรัพย์สิน ฯลฯ

เสรีภาพ (Liberty) หมายถึง ภาวะของมนุษย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของผู้อื่น มีอิสระที่จะกระทำการหรืองดเว้นกระทำการ[7]เช่น เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร เสรีภาพในการเดินทาง ฯลฯ

การประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญไทยที่ผ่านมาจะพบว่ารัฐธรรมนูญบางฉบับก็มิได้รับรองเรื่องสิทธิและเสรีภาพไว้ ได้แก่ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2519 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2520 ธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักร พ.ศ. 2534 รวมทั้งสิ้นจำนวน 6 ฉบับ อาจด้วยเหตุผลที่ว่าเพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่ตราขึ้นมาโดยมีวัตถุบางประการเป็นการชั่วคราวเท่านั้นและมักเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีการยึดอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน อย่างไรก็ดี สิทธิ เสรีภาพ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนก็มีได้หลากหลายรูปแบบวิธีการ เช่น การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา การเลือกตั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย การออกเสียงประชามติ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น

พลันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา  เรื่อยมาถึงการยึดอำนาจหรือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จวบจนถึงการถือกำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ที่มีโครงสร้างสถาบันทางการเมืองประกอบไปด้วย 5 สถาบัน ได้แก่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งกระบวนการนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญที่สุดเปรียบเสมือนสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา[8]ในยามที่บ้านเมืองอยู่ในสภาวการณ์ปกติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีสมาชิกไม่เกิน 220 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นตามคำแนะนำของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยคำนึงถึงความรู้ความสามารถ ความหลากหลายของบุคคลจากกลุ่มต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม ภาควิชาการ ภาควิชาชีพ และภาคอื่น[9]ทำหน้าที่ในการออกกฎหมายโดยตรงเป็นหลัก

การเสนอร่างพระราชบัญญัติให้สภานิติบัญญัติพิจารณาให้ความเห็นชอบในการประกาศใช้เป็นกฎหมาย หมายความรวมถึง กระบวนการตั้งแต่ริเริ่มเสนอกฎหมายจนประกาศใช้บังคับกฎหมายด้วย ซึ่งในส่วนนี้ผู้เขียนขอนำเสนอเปรียบเทียบให้เห็นช่องทางริเริ่มเสนอร่างกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 เท่านั้น ดังนี้

1.  ผู้มีอำนาจเสนอร่างพระราชบัญญัติ

1.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

พระราชบัญญัติเป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา โดยการเสนอร่างพระราชบัญญัติมี 4 ฝ่าย[10] ได้แก่

1) คณะรัฐมนตรี

2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

3) ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรและกฎหมายที่ประธานศาลและประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการ และ

4) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ไม่น้อยกว่า 10,000 คน ตามหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ[11]

1.2 รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557

พระราชบัญญัติเป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา โดยร่างพระราชบัญญัติจะเสนอได้ก็แต่โดย 3 ฝ่าย[12]ได้แก่

1) สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมกันจำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน

2) คณะรัฐมนตรี

3) สภาปฏิรูปแห่งชาติ

2.  การริเริ่มเสนอกฎหมายโดยประชาชน

ตามหลักทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจนั้น ฝ่ายบริหารมีหน้าที่นำเอากฎหมายที่ได้รับจากความเห็นชอบโดยฝ่ายนิติบัญญัติไปปฏิบัติดำเนินการบริหารประเทศ รัฐบาลซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการบริหารงานของรัฐ ย่อมอยู่ในฐานะที่รู้ซึ้งถึงปัญหาขัดข้องและความต้องการโดยรวมอย่างแท้จริงของประชาชนโดยผ่านหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ[13]รัฐบาลจึงมีส่วนร่วมในการริเริ่มตรากฎหมายเพื่อใช้บริหารประเทศร่วมกันกับฝ่ายนิติบัญญัติที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยด้วย เพราะหากบุคคลซึ่งจะต้องลงมือปฏิบัติการกับบุคคลซึ่งมีหน้าที่ตรากฎหมายไม่ใช่บุคคลคนเดียวกันแล้ว[14]การพิพาทโต้เถียงระหว่างบุคคลทั้งสองคณะก็จะเกิดขึ้น การบัญญัติให้องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารร่วมกันออกกฎหมายโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ทางอำนาจและถ่วงดุลซึ่งกันและกันจึงเป็นเรื่องปกติ
ในสมัยปัจจุบัน[15]อีกทั้งบุคคลในองค์กรดังกล่าวเป็นผู้แทนประชาชนชาวไทย นี่คือเหตุผลเบื้องหลังแนวคิดการที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจริเริ่มเสนอกฎหมาย

สำหรับการการร่วมกันเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชน ปรากฏให้เห็นครั้งแรก
ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ตลอดเรื่อยมาถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550[16]

การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย[17]  คือ สิทธิในการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองของประชาชนโดยการร่วมกันเข้าชื่อเสนอกฎหมาย เป็นกลไกเสริมสำหรับการพิจารณาออกกฎหมายบังคับใช้ในสังคม ตามแนวคิดกระบวนการนิติบัญญัติทางตรง (Direct Legislation) กล่าวคือ เป็นการให้สิทธิประชาชน
ใช้อำนาจนิติบัญญัติได้โดยตรง โดยการริเริ่มเสนอกฎหมายได้เอง ไม่ต้องผ่านทางผู้แทนประชาชน แต่ต้องนำมาให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้การรับรองก่อน นอกจากนี้การมีส่วนร่วมในกระบวนการนิติบัญญัติทางตรงมีได้ในหลายกรณี ดังนี้

1) การเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายโดยตรง ได้แก่ การเสนอแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายโดยประชาชนเข้าชื่อกันเสนอกฎหมาย ให้ประชาชนลงคะแนนโดยตรงว่าจะรับหรือปฏิเสธ โดยไม่ต้องผ่านผู้แทน

2) การริเริ่มเสนอกฎหมายทางอ้อม ได้แก่ การเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย โดยยื่นร่างกฎหมายนั้นก่อนวันประชุมสมัยสามัญ เพื่อให้สภานิติบัญญัติพิจารณาร่างกฎหมาย หากร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ผ่านความเห็นชอบหรือมีการแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งผู้ริเริ่มเสนอร่างกฎหมายไม่เห็นด้วย ผู้ริเริ่มอาจเสนอร่างกฎหมายนั้นให้ประชาชนออกเสียงประชามติโดยตรงว่าจะรับหรือปฏิเสธร่างกฎหมายนั้น

3) การออกเสียงลงคะแนนรับรองร่างกฎหมาย ประชาชนมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนว่าจะรับหรือปฏิเสธร่างกฎหมายที่ออกโดยสภานิติบัญญัติ หากประชาชนเหล่านี้เป็นผู้เข้าชื่อกันเสนอให้สภาพิจารณาภายหลังจากสมัยประชุมถูกเลื่อนไป ประชาชนมีสิทธิเข้าชื่อกันตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้นำร่างกฎหมายนั้นมาออกเสียงประชามติ ซึ่งร่างกฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อมีการออกเสียงรับรองในการออกเสียงประชามติแล้ว

4) ร่างกฎหมายที่เสนอโดยผู้แทนประชาชน สมาชิกสภานิติบัญญัติอาจเสนอร่างกฎหมายแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนออกเสียงประชามติได้ ทั้งโดยความสมัครใจและ
โดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ โดยไม่ต้องมีการเข้าชื่อของประชาชน

การริเริ่มเสนอกฎหมายโดยประชาชนจึงเป็นเรื่องของการมีส่วนร่วมทางการเมืองตามหลัก “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม” (Participatory Democracy) ตามแนวคิดกระบวนการนิติบัญญัติทางตรง (Direct Legislation)  ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเมืองภาคพลเมือง อันจะช่วยหนุนเสริมและอุดช่องว่างในระบบการเมืองภาคตัวแทนหรือประชาธิปไตยทางผู้แทน (Representative Democracy) ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นนั่นเอง

3.  วิเคราะห์สภาพปัญหา

3.1 โครงสร้างของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภาปฏิรูปแห่งชาติ

3.1.1 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นรูปแบบสภาเดี่ยว เปรียบเสมือนสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา ประกอบไปด้วยสมาชิกจำนวนไม่เกิน 220 คน มีอำนาจหน้าที่ในการตรากฎหมายใช้บังคับ รวมถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัติ โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติร่วมกันไม่น้อยกว่ายี่สิบห้าคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติถวายคำแนะนำ

3.1.2 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรัฐมนตรีอื่นอีกจำนวนไม่เกินสามสิบห้าคนตามที่นากยกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ดำเนินการปฏิรูปด้านต่าง ๆ และส่งเสริมความสามัคคีและความสมาฉันท์ของประชาชนในชาติ

3.1.3 สภาปฏิรูปแห่งชาติประกอบไปด้วยสมาชิกไม่เกิน 250 คน พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติถวายคำแนะนำ โดยบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการสรรหาโดยแบ่งจากจังหวัดต่าง ๆ 77 จังหวัดที่สรรหากันมา ซึ่งจะมีคณะกรรมการสรรหาคณะละหนึ่งชุดต่อหนึ่งจังหวัดๆ ละ 5 คน และให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติเลือก1 คนใน 5 คนเท่านั้น ส่วนอีกจำนวนที่เหลือ 173 คนเพื่อจะรวมกันให้เป็น 250 คน จะกระจายมาจากทั่วประเทศ ไม่ยึดติดกับพื้นที่จังหวัดใด แต่ขึ้นอยู่กับแนวทางการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ 11 ด้าน[18]ซึ่งมีคณะกรรมการสรรหาประจำด้านละ 1 ชุด บุคคลที่เป็นคณะกรรมการสรรหาจะเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปมิได้ โดยให้เสนอชื่อเข้ามาโดยมีองค์กรที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลรองรับองค์กรละ 2 คน และคณะกรรมการสรรหาจะสรรหาบุคคลไม่เกิน 50 คน หากได้ประมาณ 50 คน 11 ด้าน จะเท่ากับ 550 คน และส่งรายชื่อไปที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อคัดเลือกให้เหลือ 173 คน ไปรวมกับ 77 คนจาก 77 จังหวัด เป็น 250 คน

จะเห็นได้ว่า ด้วยลักษณะการได้มาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมีอำนาจในการตรากฎหมาย การบริหารราชการแผ่นดิน และการปฏิรูปประเทศ มิได้มาจากการเลือกตั้งหรือมีหลักยึดโยงความสัมพันธ์กับประชาชนแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อพิจารณาดูบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติก็มีความเกี่ยวพันกับอำนาจในการกำกับดูแลการทำงานขององค์กรทั้งสามค่อนข้างเคร่งครัด การที่ประชาชนมิได้เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยหรือมีหน้าที่รับผิดชอบไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เท่ากับว่าเจตจำนงทางการเมืองของประชาชนถูกละเลยและให้ความสำคัญในระบบกฎหมาย

3.2 องค์กรและกลไกการเสนอร่างกฎหมาย

ผู้มีอำนาจเสนอร่างกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ได้แก่ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมกันจำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน คณะรัฐมนตรี และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (โปรดดูแผนผังกระบวนการตราพระราชบัญญัติและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557)

 

 

แผนผังกระบวนการตราพระราชบัญญัติและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557

 

จากแผนผังข้างต้นแสดงให้เห็นว่า องค์กรที่สามารถริเริ่มเสนอร่างกฎหมายได้นั้นมีเพียง 3 ฝ่าย ประชาชนไม่มีสิทธิหรือมีส่วนร่วมในการริเริ่มเสนอร่างกฎหมายได้เลย หากมองอย่างผิวเผินแล้วการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเขียนรัฐธรรมนูญโดยให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นกลไกหนึ่งทำหน้าที่ในห้วงแห่งการปฏิรูปประเทศก็ถือเป็นเรื่องที่ดี การที่จะให้ประชาชนทั้งประเทศเข้าไปนั่งในองค์กรทั้งสามย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ประกอบกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีความต้องการสร้างบรรยากาศแห่งความสงบเรียบร้อยและปรองดอง ปฏิรูปกฎเกณฑ์บางเรื่องที่เป็นชนวนความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรมกับชนในชาติ และไม่ต้องการให้การปฏิรูปครั้งนี้ต้องสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ ทางเลือกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามเพราะเป็นรากเหง้าสำคัญที่ประสบปัญหาและมีความพยายามรวมกลุ่มต่อสู้ขับเคลื่อนกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนั่นคือ ภาคประชาชน ด้วยความเชื่อมั่นว่าการตัดสินใจของประชาชนที่มีข้อเสนอต่าง ๆ จะได้รับการแก้ไขและคุ้มครองอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพราะประชาชนฉลาดกว่า มีการศึกษาที่สูงกว่าผู้ที่มีอำนาจรัฐ หากแต่พวกเขาต้องสามารถตัดสินใจและรับผิดชอบในการตัดสินใจหรือการกำหนดเจตจำนงของตนเองได้ ซึ่งจะเป็นหลักประกันว่าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลทุกรัฐบาลต้องเป็นสิ่งที่ประชาชนเป็นผู้เลือกหรือชี้นำสังคม มิใช่จากบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่ง เพราะฉะนั้นประชาชนสมควรได้รับการตอบสนองจากการปฏิรูปประเทศชาติด้วยการมีสิทธิมีส่วนร่วมใน “การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย” การเข้าชื่อกฎหมายของประชาชนในสภาวการณ์บ้านเมืองปกติ ประชาชนผู้ทรงสิทธิภายในรัฐสามารถมีสิทธิในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ ดังนั้นในสภาวการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติยิ่งต้องสามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ มิใช่นิ่งเฉย เพราะประชาชนเองจะทราบดีกว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวหลาย ๆ อย่างในประเทศมีความแนบชิดอย่างสนิทกับความรับผิดชอบของตนเอง

4.  ข้อเสนอแนะ

แม้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 จะไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้
ผู้เขียนเห็นว่า

(1) ประชาชนสามารถร่วมกันจัดทำความเห็น ข้อเสนอแนะ และร่างกฎหมายภาคประชาชน
ในประเด็นปัญหาเพื่อการปฏิรูป ไปยังสภาปฏิรูปแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และ
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งผู้บริหารสูงสุดของส่วนราชการ หรือองค์กรอิสระที่มีอำนาจหน้าที่ในการปฏิรูปได้โดยตรง

(2) องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ประชาชนเสนอ ตามข้อ 1) จะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ที่มีส่วนได้เสียเข้าร่วมรับฟัง ชี้แจง หรือแสดงความคิดเห็นในการพิจารณานั้นได้เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูป

(3) ร่างกฎหมายใดที่ภาคประชาชนเสนอ และผ่านการพิจารณาเห็นชอบในชั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย จะต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติทุกครั้ง หรือโดยการทำสัตยาบันร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ข้อเสนอแนะข้างต้นถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการเมืองโดยสันติวิธีอย่างชอบธรรม ต่อองค์กรผู้มีอำนาจหน้าที่ในระหว่างที่ประเทศชาติต้องการการปฏิรูป เพื่อให้หยุด เปลี่ยนแปลง หรือริเริ่มกระทำการบางอย่าง อันเป็นพัฒนาการทางการเมืองของสังคมที่สมควรได้รับการดำเนินการให้บรรลุผลเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ

             




[1]นายเลิศศักดิ์ ต้นโต (อีเมล : Publiclert@gmail.com)

[2]ข้อความที่ปรากฏในเอกสารฉบับนี้ผู้เขียนขอเรียกแทนว่า “รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557” เพื่อให้เนื้อหามีความกระชับขึ้น

[3]อมร จันทรสมบูรณ์.  (2528).  คอนสติติวชั่นแนลลิสม์ (constitutionalism).  หน้า. 7.  กรุงเทพฯ : สถาบันนโยบายศึกษา, มปท.

[4]มองเตสกิเออ.  วิภาวรรณ ตายานนท์ (แปล).  เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย.  หน้า. 183.  สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

[5]เรื่องเดียวกัน.  หน้า. 180

[6]วรพจน์ วิศรุตพิชญ์.  (2538).  สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ. หน้า 22.  กรุงเทพฯ : วิญญูชน

[7]เรื่องเดียวกัน.  หน้า 7.

[8]รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557, มาตรา 6.

[9]รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557, มาตรา 7.

[10]รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550, มาตรา 90.

[11]รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550, มาตรา 142 และมาตรา 163.

[12]รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557, มาตรา 14.

[13]อรพิน ผลสุวรรณ์ สบายรูป.  การเสนอและพิจารณาร่างกฎหมายการเงิน ในหนังสือรวบรวมบทความวิชาการเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ศาสตราจารย์ไพโรจน์ ชัยนาม.  หน้า. 162.  กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์วิญญูชน

[14]สังเคราะห์จาก วรพจน์ วิศรุตพิชญ์. ลักษณะเฉพาะของความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารและรัฐสภาในระบบรัฐสภาของประเทศอังกฤษ.  นิติศาสตร์ 14 (กันยายน 2527 ).  หน้า. 14

[15]โกสินทร์ วงศ์สุรวัฒน์.  รัฐสภา, เอกสารประกอบชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย หน่วยที่ 1-7 (พิมพ์ครั้งที่ 2).  หน้า 239.  กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

[16]ยกเว้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549.

[17]สถาบันพระปกเกล้า.  (2553).  รายงานศึกษา เรื่อง การมีส่วนร่วมของประชาชนในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย.  หน้า 11 และหน้า 15.

[18]มาตรา 27 ให้มีสภาปฏิรูปแห่งชาติมีหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะเพื่อให้เกิดการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

(1) การเมือง

(2) การบริหารราชการแผ่นดิน

(3) กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

(4) การปกครองท้องถิ่น

(5) การศึกษา

(6) เศรษฐกิจ

(7) พลังงาน

(8) สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม

(9) สื่อสารมวลชน

(10)      สังคม

(11)      อื่น ๆ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อนุสรณ์ ธรรมใจ: การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ และการจัดการทรัพย์สินของประเทศ (3)

$
0
0

 

เมื่อรัฐหรือรัฐบาลเข้าไปแทรกแซงความล้มเหลวของระบบตลาด เพื่อจัดการปัญหามลพิษจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรม การเอารัดเอาเปรียบในตลาดแรงงาน การดูแลให้เกิดรายได้ที่เป็นธรรม กลไกของรัฐเองก็มีข้อจำกัด และอาจเกิดความล้มเหลวได้เช่นเดียวกัน ความล้มเหลวหรือปัญหาประสิทธิภาพของภาครัฐอาจเกิดจากข้อจำกัดด้านข้อมูล ข้อจำกัดของระบบราชการ ข้อจำกัดของกระบวนการทางการเมือง ปัญหาการไม่มีแรงกดดันด้านการแข่งขัน (ทำให้เกิดปัญหาไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ปรับปรุงคุณภาพ เป็นต้น)

นอกจากนี้ยังเกิดกรณีที่นโยบายหรือมาตรการที่ดีไม่สามารถผลักดันให้เกิดเป็นจริงได้ เพราะนักการเมืองต้องคำนึงถึงคะแนนนิยมเฉพาะหน้า รวมทั้งความขัดแย้งกับกลุ่มผลประโยชน์ที่สนับสนุนพรรคการเมือง นโยบายหรือมาตรการบางอย่างที่เข้าไปจัดการกับโครงสร้างตลาดผูกขาดแล้วกระทบต่อฐานทางการเมืองจึงไม่เกิดขึ้น แม้นจะเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาความล้มเหลวของระบบตลาด และเกิดผลดีระยะยาวต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมได้ก็ตาม 

แต่ความเป็นจริงก็คือ ทุกฝ่ายล้วนมีผลประโยชน์ในทางใดทางหนึ่ง ผลประโยชน์อาจไม่ได้เป็นตัวเงิน  ซึ่งผลประโยชน์บางส่วนก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ควรจะได้รับ เมื่อมีผลประโยชน์ วิธีที่ดีที่สุด คือ เอาผลประโยชน์ทุกอย่างมาวางบนโต๊ะ และให้มีการจัดสรรอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และมีส่วมร่วมจากทุกฝ่าย และมีการจัดทำประชาพิจารณ์อย่างละเอียดรอบคอบ ฉะนั้น การปฏิรูปหรือการแปรรูปจึงต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการพอๆ กับเป้าหมาย ต้องรอบคอบและเตรียมความพร้อมอย่างเป็นขั้นตอน แต่ละรัฐวิสาหกิจก็ควรมีรูปแบบในการแปรรูปที่แตกต่างกัน  

ความหมายของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ก็คือ การเพิ่มบทบาทของเอกชนในกิจการต่างๆ ซึ่งรัฐวิสาหกิจดำเนินการอยู่ จึงไม่ใช่การขายรัฐวิสาหกิจ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจมี 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างของการเป็นเจ้าของกิจการ และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างของการเป็นเจ้าของกิจการ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเองก็มีหลายระดับ ตั้งแต่สัญญาจ้างให้บริหารงาน สัญญาเช่า การให้สัมปทาน การร่วมลงทุน การกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือการขายองค์กรหรือสินทรัพย์บางส่วนให้เอกชน การขายรัฐวิสาหกิจหรือการขายทรัพย์สินไม่ใช่การปฏิรูป แต่อาจเป็นวิธีการหนึ่งในการจัดการทรัพย์สินของชาติได้ แต่ต้องทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ

การแปรรูปโดยการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จะเป็นการลดสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐในรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้ประชาชนและนักลงทุนมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของ การใช้วิธีการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยังจะทำให้การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจมีความโปร่งใสขึ้น เนื่องจากต้องได้รับการตรวจสอบมากขึ้นจากกลไกตลาดหลักทรัพย์ กลต. และผู้ถือหุ้น นักลงทุน หรือถ้ากังวลว่า คนส่วนใหญ่จะไม่ได้ประโยชน์ก็อาจขายหุ้นให้ประชาชนผู้ใช้น้ำใช้ไฟฟ้าตามสัดส่วนที่เหมาะสมและเป็นธรรม

ในกรณีที่เป็นบริการพื้นฐานอย่างกิจการไฟฟ้าหรือน้ำประปานั้น รัฐยังคงถือหุ้นใหญ่อยู่ กิจการยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจเช่นเดิมและสามารถให้บริการทางสังคม และดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้ต่อไป หากดำเนินการแปรรูปได้อย่างดีและเหมาะสมแล้ว ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิรูปเศรษฐกิจ

การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจจะนำมาสู่ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ลดภาระทางการคลัง บริการที่มีคุณภาพดีขึ้น และสามารถระดมทุนเพื่อลงทุนขยายบริการพื้นฐานให้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต 

มีความเข้าใจสับสนเกี่ยวกับการแปรรูป การแปรรูปนั้นไม่ใช่การขายรัฐวิสาหกิจออกไปให้เอกชน หรือกลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่ง แต่เป็นการกระจายหุ้นและความเป็นเจ้าของมายังประชาชนส่วนใหญ่ เป็นการเปลี่ยนลักษณะองค์กรจากสถานะรัฐวิสาหกิจ ที่ใช้กฎหมายเฉพาะรับรอง ให้เป็นองค์กรที่มีรูปแบบเป็นบริษัทมหาชน ที่สามารถระดมทุนจากเอกชนมาสร้างความแข็งแกร่งให้กิจการ และขยายการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการในอนาคต โดยไม่ต้องกู้เงินซึ่งค้ำประกันโดยรัฐ อันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของหนี้สาธารณะ

เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ในยุคสมัยรัฐบาล คมช. นโยบายรัฐวิสาหกิจเกือบถึงจุดพลิกผันที่สำคัญ แต่ก็ไม่มีการเดินหน้าต่อแต่อย่างใดคาดเดาว่า น่าจะมีการทักท้วงโดยฝ่ายข้าราชการประจำ โดยเฉพาะกระทรวงการคลังที่ยังเชื่อเรื่องการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนอยู่ แต่รัฐมนตรีบางท่านในยุคนั้นจะส่งสัญญาณ การเปลี่ยนจากการแปรรูป (Privatization) มาเป็นการดึงกลับมาเป็นของรัฐ (Nationalization) แต่ในที่สุดแนวทางแบบนี้ก็ไม่ได้รับการขานรับเท่าที่ควร คงต้องมาดูยุค คสช. ว่าจะเดินแนวไหนนะครับ 

สภาพการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในละตินอเมริกาก่อนหน้านี้ มีความเคลื่อนไหวของโบลีเวียยึดกิจการของเอกชนต่างชาติมาเป็นของรัฐ หลังจากที่รัฐบาลฝ่ายซ้ายของประธานาธิบดีอีโว โมราเลส ชนะการเลือกตั้ง สร้างความปั่นป่วนสับสนพอสมควร แต่เป็นทางเลือกที่โบลีเวียอาจถูกบังคับให้เลือกเดิน เหมือนเวเนซูเอลาและประเทศอื่นๆ เพื่อลดปัญหาความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ และแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนหรือไม่???

การถกเถียงแนวทางที่พวกเขาทำอยู่เหมาะสมหรือไม่ เป็นการดำเนินนโยบายที่ฉลาดหรือไม่ อาจต้องรอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ชะตากรรมของประชาชนและประเทศเหล่านี้คงต้องผูกกับนโยบายของผู้นำหัวสังคมนิยมผสมชาตินิยม ซึ่งเราก็หวังแต่เพียงว่า จะไม่เกิดสภาพเหลือบฝูงเก่าในคราบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์จากไป เหลือบฝูงใหม่ในคราบของความรักชาติและสังคมนิยมจะมาเกาะกินผลประโยชน์ของชาติ และทิ้งวิกฤตการณ์ไว้ดูต่างหน้าเหมือนเช่นเคยครับ 

หากพิจารณาจะเห็นได้ว่า ฝ่ายซ้ายละตินอเมริกาไม่ได้ยึดแนวทางการต่อสู้ด้วยกำลัง แต่มุ่งเอาชนะในระบบรัฐสภา นำเอาชาตินิยมมาสร้างความเป็นธรรมให้แก่คนยากจน สร้างแนวร่วมอันแข็งแกร่งกับทุนชาติ และต่อต้านทุนข้ามชาติ

ความสำเร็จของแนวทางนี้ต้องรอการพิสูจน์???

หากแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยรัฐยังคงถือหุ้นใหญ่ ฉะนั้น จึงไม่ต้องวิตกกังวลในการทำหน้าที่ในการให้บริการทางสังคม การแปรรูปที่ทำไปพร้อมๆ กับการออกหุ้นเพื่อระดมทุน กระจายหุ้นให้กับนักลงทุนทั่วไปนั้น นอกจากจะเป็นการส่งเสริมให้มีการแข่งขันด้านราคา และพัฒนาคุณภาพการให้บริการ อย่างกรณีของ บมจ. บางจากปิโตรเลียม ซึ่งมีการแปรรูปแล้วก็ทำให้มีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น และไม่เป็นภาระต่อประชาชนผู้เสียภาษี สามารถระดมทุนเพื่อขยายการให้บริการหรือธุรกิจโดยไม่ต้องพึ่งพิงเงินงบประมาณ นอกจากนี้ ยังจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

การแปรรูปที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนส่วนใหญ่ ต้องนำมาสู่การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งการดำเนินการต้องมีความรอบคอบและมีการเตรียมการอย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การปรับโครงสร้างสาขาหรือกิจการ การปรับปรุงองค์กรให้เป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี การแยกบัญชีหรือภารกิจเชิงสังคมออกจากเชิงธุรกิจ เปิดโอกาสให้กลไกราคาทำงานอย่างเต็มที่สำหรับภารกิจเชิงธุรกิจ ขณะที่ให้เงินอุดหนุนสำหรับภารกิจบริการสังคม แล้วแปรสภาพกิจการให้อยู่ในรูปบริษัทจำกัด วางกรอบการกระจายหุ้นที่เป็นธรรมและโปร่งใส สร้างระบบและองค์กรกำกับดูแลที่มีความเป็นอิสระ มีบุคลากรที่มีคุณธรรม มีขีดความสามารถสูงทั้งด้านเทคนิค การเงิน เศรษฐศาสตร์ และการบริหารเป็นคณะกรรมการในองค์กรกำกับดูแล เปิดโอกาสให้ประชาชนและสหภาพแรงงานมีส่วนร่วมในการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ และที่สำคัญองค์กรกำกับดูแลควรถูกจัดตั้งโดยพระราชบัญญัติมากกว่ามติ ครม. หรือกฤษฎีกา เพื่อให้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยไม่ถูกแทรกแซงโดยฝ่ายนโยบาย หรือมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เมื่อได้ดำเนินการตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การแปรรูปรัฐวิสาหกิจก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปที่จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน

 

รัฐวิสาหกิจกลุ่มสถาบันการเงิน (SFls) 10 แห่ง

งบดุล (ลบ.)

2554

2555

YTD 2556*

สินทรัพย์

5,843,695

6,472,548

7,013,510

เงินให้สินเชื่อ/เงินค้ำประกัน

เงินลงทุนให้ลูกหนี้

4,798,984

4,909,816

5,219,323

หนี้สิน

5,430,916

5,981,492

6,483,672

เงินฝาก

4,493,095

5,144,001

5,605,740

ทุน

412,778

491,055

529,839

 

งบกำไรขาดทุน (ลบ.)

2554

2555

YTD 2556*

รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล

272,064

318,590

323,724

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย

33,535

42,694

44,912

รายได้รวม

305,599

361,286

368,638

ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย

112,629

144,515

144,656

ค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ย

97,423

99,417

103,603

ค่าใช้จ่ายรวม

250,780

299,697

287,452

หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ

40,725

55,765

39,032

ภาษีเงินได้

5,777

7,863

7,778

กำไร (ขาดทุน) สุทธิ

49,042

53,725

73,182

 

ข้อมูลอื่นๆ (ลบ.)

2554

2555

YTD 2556*

สินเชื่อคงค้าง

4,798,984

4,909,816

5,219,323

สินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)

218,203

228,189

303,344

NPL/สินเชื่อ (%)

4.55%

4.65%

5.81%

แหล่งที่มา: สคร. กระทรวงการคลัง 

 

เกี่ยวกับผู้เขียน:  ปัจจุบัน ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ  เป็น รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จับตาโลกออนไลน์: สังคมเสพติดความรุนแรงและความบิดเบี้ยวของชุดศีลธรรมแบบพุทธ

$
0
0

 

หากท่านผู้อ่านได้ติดตามความเคลื่อนไหวบน Social Network ในช่วง ๑-๒ เดือนที่ผ่านมาก็คงจะเคยได้ยิน หรือได้พบเห็นความเคลื่อนไหวในประเด็นต่างๆที่สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง อาทิเช่น กรณีนักเรียนชายพยายามรุมข่มขืนเพื่อนร่วมชั้นเรียน กรณีคนร้ายฆ่าข่มขืนเด็กสาวบนรถไฟ กรณีพิพาทระหว่างโค้ชและนักกีฬาเทควันโด หรือกรณีล่าสุดในอย่างการที่ดาราสาวถูกสามีทำร้ายร่างกาย ไปจนกระทั่งประเด็นในต่างประเทศอย่างการปะทะระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ เหตุการณ์ที่ยกมาทั้งหมดนี้มีจุดร่วมกันอยู่ประการหนึ่งคือ”การใช้ความรุนแรง”ในบริบทที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งบริบทหรือองค์ประกอบของเหตุการณ์ที่ว่านี้ก่อให้เกิดการบิดเบี้ยวในทางปฏิบัติของชุดศีลธรรมที่แสดงออกต่อกรณีต่างๆ

หากยังจำกันได้กรณีข่าวการฆ่าข่มขืนนี้สร้างกระแสสังคมที่เรียกได้ว่าเป็นคลื่นลูกใหญ่ในเรื่องการเข้าชื่อเรียกร้องให้แก้ไขบทลงโทษเพื่อให้บังคับใช้”โทษประหาร”กับนักโทษในคดีข่มขืน [แม้ว่าจะมีบทลงโทษนี้ตามประมวลกฏหมายอาญาอยู่แล้วก็ตามที] ซึ่งแน่นอนว่าได้รับการตอบรับอย่างมหาศาล ความเคลื่อนไหวนี้บ่งบอกให้เรารับรู้ว่าสำนึกเรื่องศีลธรรมแบบพุทธในสังคมไทยนั้นในทางปฏิบัติแล้วมันเกิดการบิดเบี้ยวและดูเหมือนจะย้อนกลับไปหาการใช้มาตรการแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในการลงโทษโดยละเลยในเรื่องศีลธรรมที่ว่าด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นเป็นบาป [แน่นอนว่าศีลธรรมข้อนี้ถูกนำมาใช้เช่นกัน แต่ถูกนำมาใช้ในมิติความผิดบาปตกอยู่ที่ตัวคนร้ายที่ฆ่าคนอื่น การฆ่าคนร้ายจึงไม่ใช่สิ่งผิด]

ปรากฏการณ์ที่ยืนยันความคิดนี้อย่างชัดเจนคือในทุกครั้งที่มีคดีฆ่าข่มขืน หรือกระทำชำเราแล้วต้องนำตัวผู้ต้องหาไปทำการประกอบแผนคำรับสารภาพมักจะปรากฏ”ไทยมุง”มารอรุมทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาแทบทุกครั้งไป ปรากฏการณ์นี้ชวนให้ตั้งคำถามต่อไปว่าไทยมุงเหล่านั้นมีความชอบธรรมอะไรในการเข้าไปทำร้ายร่างกายหรือรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหา? และสิ่งที่เขากำลังทำนั้นเป็นการตอบสนองอุดมการณ์ตามกรอบศาสนา [อาจจะเข้าขั้นแสวงบุญ] หรือเป็นการสร้างที่ยืนทางสังคมด้วยการทำร้ายร่างกายผู้อื่นกันแน่

การใช้ความรุนแรงแก้ปัญหานั้นยังปรากฏชัดเจนขึ้นมาอีกในกรณีพิพาทระหว่างโค้ชเทควันโดชาวเกาหลี กับนักกีฬาสาว ที่มีการนำเสนอว่าโค้ชชาวเกาหลีลงโทษนักกีฬาเกินกว่าเหตุด้วยการทำร้ายร่างกาย กรณีพิพาทนี้นำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง [ซึ่งในช่วงท้ายนักกีฬาทีมชาติหลายคนก็ออกมายอมรับว่าเคยถูกทำร้ายร่างกายเช่นกัน กระทั่งตัวโค้ชเองก็ออกมายอมรับว่าทำร้ายร่างกายนักกีฬาสาวจริง แต่ตีที่ใบหน้า และต่อยที่ท้องเบาๆเท่านั้น] กรณีนี้ก็ตอกย้ำสำนึกคิดที่เสพติดความรุนแรง ในระหว่างการถกเถียงอย่างกว้างขวางมีการยกเอาภาษิตไทยที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ขึ้นมาใช้เป็นเหตุผลรองรับในการถกเถียง ความบิดเบี้ยวนี้แสดงให้เห็นว่าคนในสังคมสนใจใน”ผลลัพธิ์”มากกว่า”วิธีการ” กล่าวคือจะใช้วิธีการใดก็ได้หากสามารถทำให้ผลลัพธิ์ออกมาดี หรือตรงตามที่สังคมคาดหวังไม่ว่าวิธีการนั้นจะเลวร้ายแค่ไหนก็ถือว่าสามารถ”ยอมรับได้” [สำนึกนี้ไม่จำกัดเฉพาะในเรื่องกีฬาเท่านั้น แต่ดูเหมือนจะแทรกซึมอยู่ในทุกๆมิติของสังคมนี้ ที่เด่นชัดอีกตัวอย่างนึงก็เช่นในทางการเมือง]

ถัดมาในอีกกรณีหนึ่งคือกรณีการปะทะระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ที่สร้างความเคลื่อนไหวบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ไม่น้อยในการออกมาต่อต้านความรุนแรงในปาเลสไตน์และฉนวนกาซ่า ตาม Campaign Free Gaza ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใดนับว่าเป็นเรื่องน่าชื่นชมด้วยซ้ำที่เราออกมาต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อเพื่อมนุษย์ กระนั้นในขณะเดียวกันเองคนกลุ่มนี้กลับเรียกร้องให้มีการจัดการกับผู้ก่อความสงบในสามจังหวัดชายแดนใต้อย่างเด็ดขาด (?) ในกรณีนี้หากพิจารณาตามประวัติศาสตร์แล้วรัฐไทยออกจะคล้ายกับอิสราเอลที่รุกเข้าไปยึดครองดินแดนของปาเลสไตน์เสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดีในกรณีนี้มีอุดมการณ์ในรูปแบบอื่นเข้ามาเป็นปัจจัยร่วมด้วยคือ อุดมการณ์แบบชาตินิยม ที่สร้างสำนึกในเรื่องรัฐเดี่ยวที่จะแบ่งแยกไม่ได้ กระนั้นจากเหตุการณ์นี้ก็จะเห็นว่าคนในสังคมสามารถละเลยศีลธรรมบางข้อลงเพื่อตอบสนองต่ออุดมการณ์อีกชุดที่อยู่เหนือกว่าได้ [ในที่นี้คืออุดมการณ์แบบชาติ ศาสน์ กษัตริย์]
  
กล่าวโดยสรุปความเคลื่อนไหวของเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ทำให้เราสามารถอ่านความคิดและพิจารณาการตอบสนองของคนในสังคมนี้ต่อประเด็นทางสังคมต่างๆได้อย่างง่ายดายนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าชุดศีลธรรมในไทยไม่ได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อนำจิตใจผู้คนให้สูงขึ้น แต่ชุดศีลธรรมนี้กำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมต่อการใช้ความรุนแรง อาจกล่าวได้ว่าชุดศีลธรรมถูกควบคุมโดยรัฐและกลายเป็นกลไกทางอุดมการณ์ของรัฐอย่างหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากในทางปฏิบัติเราไม่ได้นำเอาชุดศีลธรรมทั้งหมดมาใช้อย่างจริงจังตลอดเวลา หากแต่เราพร้อมจะวางศีลธรรมบางข้อหรืออาจจะวางชุดศีลธรรมเหล่านี้ลงทั้งชุดเพื่อการกระทำที่ตอบสนองต่ออุดมการณ์สูงสุดอีกอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าขณะที่เราวางชุดศีลธรรมทั้งหมดลงและกระทำสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรมนั้น เราก็ยังสามารถอ้างว่าทำตามศีลธรรมได้เสียอีก

ถึงที่สุดเราควรตั้งคำถามต่อมาตรฐานของการใช้ศีลธรรมของคนในสังคมนี้ ว่าแท้จริงแล้วเราใช้ศีลธรรมนั้นเพื่อสร้างสังคมที่ดีกว่าหรือใช้มันเป็นเครื่องมือหนึ่งในการยกตนให้สูงขึ้นผ่านการเหยียบย่ำคนอื่นๆกันแน่?

 

 

ปล. กรุณาดูเนื้อหาข่าวเพิ่มเติม
กรณีนร.ชายพยายามรุมกระทำชำเรานร.หญิงร่วมชั้นเรียน
กรณีฆ่าข่มขืนเด็กสาวบนรถไฟ 
แคมเปญ ข่มขืน=ประหาร
กรณีดาราสาวถูกสามีทำร้ายร่างกาย
กรณีพิพามอิสราเอลและปาเลสไตน์
กรณีพิพาทระหว่างโค้ชและนักกีฬาเทควันโด้

 

เกี่ยวกับผู้เขียน  จักรพล ผลละออ เป็นนิสิตชั้นปีที่ 2 ศึกษาอยู่ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย : ประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ ยามราตรี

$
0
0

เรื่องราวชีวิตผู้คนในกรุงเทพฯ หลังอาทิตย์อัสดง ในทางประวัติศาสตร์แล้วไม่ค่อยมีการศึกษารวบรวมข้อมูลและพูดถึงอย่างจริงจังมากนัก ว่าในยุคที่ยังไม่มีไฟฟ้า ไม่มีรถยนต์ ผู้คนใช้ชีวิตกับความบันเทิงนอกบ้านในยามค่ำคืนกันอย่างไร

หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ สนทนากันถึงเรื่องราวชีวิตหลังอาทิตย์ลับขอบฟ้าของผู้คนในอดีตในกรุงเทพมหานคร พบกับ ‘อรรถ บุนนาค’ และแขกรับเชิญพิเศษ ‘วีระยุทธ ปิสาลี’ ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน และผู้เขียนหนังสือ ‘กรุงเทพฯ ราตรี’ สนทนาถึงรูปแบบและความเปลี่ยนแปลงของการใช้ชีวิตบันเทิงยามค่ำคืนนอกบ้าน ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีไฟฟ้า จนถึงยุคที่แสงสว่างจากไฟฟ้าทำให้สามารถใช้ชีวิตในแต่ละวันได้ยาวนานขึ้น และการเข้ามารถยนต์ทำให้มีอิสระในการเดินทางในยามค่ำคืนได้มากขึ้น รวมถึงย้อนมองความบันเทิงตั้งแต่ครั้งอดีตทั้งบ่อนพนันกาสิโนถูกกฎหมาย สถานบริการทางเพศโคมเขียว การแสดงระบำเปลือยตามงานวัด และสถานเริงรมย์กินดื่มต่างๆ

ท่านผู้ชมสามารถร่วมสนุกกับรายการหมายเหตุประเพทไทย ตอน ‘ประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ ยามราตรี’ ได้ โดยเข้าไปกดไลค์-แสดงความคิดเห็น-และแชร์รายการจากแฟนเพจเฟซบุค หมายเหตุประเพทไทยความเห็นใดถูกใจพิธีกรทั้งสองท่าน จะได้รับหนังสือ ‘กรุงเทพฯ ราตรี’ ฟรีท่านละ 1 เล่ม

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสท. เตรียมออกใบอนุญาตวัดเรตติ้ง - กำกับการควบรวมกิจการสื่อ

$
0
0

จับตาวาระ กสท. จันทร์ 28 ก.ค. นี้ พิจารณาร่างประกาศ 2 ฉบับหลังรับฟังความเห็น ได้แก่ ใบอนุญาตวัดเรตติ้ง และประกาศรวมกลุ่มส่งเสริมวิชาชีพสื่อกำกับกันเอง

สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ 28 ก.ค. 57 ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ครั้งที่ 31/57 มีวาระการประชุมพิจารณาเกี่ยวข้องกับร่างประกาศและนโยบายของ กสทช.  ได้แก่ การสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะและแนวทางดำเนินการต่อ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้บริการแบบประยุกต์ประเภทการสำรวจความนิยมในกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. ... 

สุภิญญา กล่าวว่า หลังจากที่ กสท.ออกใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีสักระยะหนึ่งแล้ว จากนี้เป็นจุดเริ่มต้นจริงจังของการกำกับดูแลการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ซึ่งสิ่งที่ผู้ประกอบการรายใหม่กังวลกันมาก คือ เรื่องการวัดเรตติ้ง  ที่ผ่านมามีความเห็นแตกต่างเกี่ยวข้องกับร่างฯฉบับนี้ อาทิ ร่างฯนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยกำกับบริษัทให้มีความน่าเชื่อถือ  หรือจะเป็นการกีดกันกีดกันให้เกิดการผูกขาดในระบบของผู้ทำกลุ่มเดิม รวมถึงประเด็นข้อระวังทางกฎหมาย ว่า กสทช.มีอำนาจหน้าที่มากำกับเอกชนในเรื่องของการวัดเรตติ้งได้หรือไม่  จึงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงอย่างเข้มข้นต่อไป ก่อนนำเข้าพิจารณาอีกครั้งในบอร์ดใหญ่ อย่างไรก็ดี กสทช. ควรมีมาตรการอื่นเพื่อส่งเสริมให้มีการวัดเรตติ้งจากเอกชนรายอื่นๆด้วย  แน่นอนว่า เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรายใหม่ฝากให้ช่วยจับตา

“ส่วนร่างประกาศฯ ที่ภาคสื่อรอคอย ได้แก่ มาตรการส่งเสริมการรวมกลุ่มของผู้รับใบอนุญาต ผู้ผลิตรายการและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนที่เกี่ยวกับกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ... หลังมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะในช่วงที่ผ่านมา  ซึ่งคาดว่าหลังประกาศใช้จริง จะเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้นของการส่งเสริมให้สื่อกำกับดูแลกันเองตามกรอบจริยธรรม และยังเป็นการช่วยงาน กสทช. ในการกำกับดูแลสื่อวิทยุและโทรทัศน์ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น” สุภิญญา กล่าว

ทั้งนี้ กสท.เตรียมพิจารณาร่างประกาศ  เรื่อง การกำหนดลักษณะและมาตรการกำกับดูแลการควบรวมกิจการ การถือหุ้นไขว้ และการครอบงำกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. .... ซึ่งร่างฯนี้จะเป็นการวางแนวทางป้องกันปัญหาในอนาคต หากการดำเนินกิจการเอกชนในระยะหนึ่งประสบปัญหาปัจจัยทางเศรษฐกิจอาจทำให้เกิดการควบรวมกิจการ ซึ่งตอนนี้เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นมากในต่างประเทศ ถ้าปล่อยให้มีการควบรวมกิจการง่ายเกินไปอาจทำให้เกิดการเอาเปรียบกับผู้ชม ผู้บริโภคที่จะไม่มีทางเลือกที่รับชมอย่างหลากหลายเพราะไม่มีการแข่งขัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ กสท. จะเริ่มออกประกาศฯเพื่อใช้กำกับดูไม่ให้เกิดปัญหาต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้มีวาระการตรวจสอบแบบสัญญาการให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกตามประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาฯ  ของ บริษัท ซีทีเอช เคเบิล ทีวี จำกัด รอบที่ 2 จึงฝากถึงรายอื่นๆที่ยังไม่ส่งให้เร่งส่ง และฝากถึงผู้บริโภคควรศึกษาสัญญามาตรฐานก่อนเซ็น จากนั้นรักษาสิทธิ์ตนเองที่ระบุไว้ในสัญญา หากพบปัญหา สามารถร้องเรียนได้ที่ กสทช. 1200 ซึ่งเร็วๆนี้ ทาง อนุคุ้มครองผู้บริโภค ฯ จะไปเยี่ยมเพื่อหารือกับทาง ผู้บริหาร CTH หลังจากระยะหลังมีเรื่องร้องเรียนเรื่องสัญญาณ และการบริการเข้ามามาก เหมือนที่เคยไปหารือกับ ผู้บริหาร True Visions ก่อนหน้านี้ เพื่อยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ จะมีการพิจารณาวาระผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น/เพิ่มทุนของผู้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล ประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ และการรายงานผลการทดลองแพร่ภาพออกอากาศโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล DVB-T2 ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ตามที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการทดลองแพร่ภาพ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกร็ดเลือกตั้งอินโดนีเซีย มองรายละเอียดสองคู่แข่งผู้มาจากพื้นเพที่แตกต่าง

$
0
0

แม้ว่าโจโค วิโดโด นักการเมืองสายบริหารผู้มีพื้นเพติดดินจะถูกประกาศให้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการแล้ว แต่คู่แข่งคือปราโบโว สุเบียนโต อดีตทหารระดับสูงคนสนิทของ 'ซูฮาร์โต' ยังคงเดินหน้ากล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้ง จึงขอนำเสนอเกร็ดประวัติของทั้งสองคนรวมถึงข้อมูลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้


หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดในอินโดนีเซียที่เพิ่งมีการประกาศผลคะแนนในช่วงวันที่ 22-23 ก.ค. ที่ผ่านมา อินโดนีเซียก็เดินทางมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง เนื่องจากในการขับเคี่ยวกันระหว่าง โจโค วิโดโด นักการเมืองผู้มีพื้นเพติดดินซึ่งสามารถสร้างผลงานได้อย่างมากก่อนหน้านี้ สังกัดพรรคพีดีไอพีกับปราโบโว สุเบียนโต นักการเมืองผู้เคยมีตำแหน่งทางการทหารและมีพื้นเพเกี่ยวโยงกับชนชั้นนำ สังกัดพรรคเกรินดรา

ก่อนหน้าการนับคะแนนมีการสำรวจที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งนี้คือโจโค วิโดโด ทำให้ปราโบโวซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามไม่พอใจและเริ่มแสดงท่าทีไปในเชิงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง
ปราโบโวแสดงออกอย่างชัดเจนในวันที่ 22 ก.ค. ซึ่งเป็นวันประกาศผลคะแนนวันแรก เขากล่าวหาว่าการเลือกตั้งครั้งล่าสุดมี "การโกงกันในเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ"

ปราโบโวกล่าวหาอีกว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งของอินโดนีเซียบกพร่องในหน้าที่ อย่างไรก็ตามเขาได้ประกาศถอนตัวจากการเลือกตั้งซึ่งทำให้เขาไม่สามารถฟ้องร้องเรื่องนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญอินโดนีเซียได้ นอกจากนี้การถอนตัวจากการเลือกตั้งประธานาธิบดียังถือว่าผิดกฎหมายในอินโดนีเซียซึ่งมีบทลงโทษจำคุก 6 ปี และปรับเป็นจำนวนเงิน 100,000 ล้านรูเปียห์ (ราว 270 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งอินโดนีเซียหลายแหล่งระบุตรงกันข้ามกับข้อกล่าวหา โดยบอกว่าการเลือกตั้งในอินโดนีเซียโดยทั่วไปมีความอิสระและเป็นไปอย่างยุติธรรม เช่นมาสวาดี รอฟ จากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซียกล่าวว่าไม่มีสิ่งที่ส่อเค้าของการโกงการเลือกตั้งครั้งนี้เลย

หลังจากการถอนตัวของปราโบโว ทำให้ผู้สังเกตการณ์ของพรรคเกรินดราถอนตัวออกจากการเข้าร่วมพิธีการประกาศผลอย่างเป็นทางการด้วย

การประกาศผลการเลือกตั้งถูกเลื่อนเวลาออกไป 4 ชั่วโมงจากเวลาเดิม ผลเป็นไปตามคาดคือวิโดโดได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียง 70.99 ล้านเสียง คิดเป็นร้อยละ 53.15 ทางด้านปราโบโวได้รับคะแนนเสียง 62.57 ล้านเสียง คิดเป็นร้อยละ 46.85 ซึ่งเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งอิสระภายในอินโดนีเซียก่อนหน้านี้แล้ว ในครั้งนี้ถือว่ามีคะแนนเสียงใกล้เคียงกันที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของอินโดนีเซีย โดยในครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิร้อยละ 69.58

หลังประกาศผลแล้วฝ่ายปราโบโวยังคงปฏิเสธไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าพวกเขาไม่เชื่อถือผลการนับคะแนนของ กกต. อินโดนีเซีย แต่เชื่อการนับคะแนนของพรรคพีเคเอส ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายเดียวกับปราโบโวและเป็นพรรคการเมืองที่เคยมีเรื่องอื้อฉาวอย่างหนัก อย่างไรก็ตามทางด้านโจโค วิโดโด ยังคงกล่าวชื่นชมปราโบโวต่อสื่อหลังการประกาศผลแล้ว

"ผมเชื่อว่าคุณปราโบโวเป็นรัฐบุรุษผู้ที่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติอยู่เหนือเรื่องอื่น" วิโดโดกล่าว

อย่างไรก็ตามวิโดโดคิดว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่โปร่งใสที่สุดนับตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2548 เนื่องจากมีอาสาสมัครและผู้สังเกตการณ์สามารถตรวจสอบผลได้ แม้ว่าอาจจะมีข้อผิดพลาดในเรื่องกระบวนการนับคะแนนอยู่บ้าง

วิโดโดถือเป็นประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนแรกที่ไม่ได้มีประวัติมาจากกองทัพหรือจากชนชั้นนำทางการเมือง นักวิจารณ์การเมืองที่ชื่อซาลิม ซาอิด บอกว่า วิโดโดเป็นนักการเมืองที่เป็นเสมือน "คนที่เป็นเพื่อนบ้าน" สำหรับชาวอินโดนีเซีย

ลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ แสดงความยินดีต่อผู้นำอินโดนีเซียคนใหม่ผ่านทวิตเตอร์ ขณะที่โทนี แอบบอตต์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าวถึงการที่วิโดโดได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งว่าถือเป็นพัฒนาการสำคัญของประชาธิปไตยในอินโดนีเซีย

ทางฝ่ายปราโบโวยังคงไม่ลดละ ในคืนวันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา พวกเขาถึงขั้นจ้างหมอผีมาทำพิธีก่อนที่ปราโบโวจะแจ้งความเรื่องผลการเลือกตั้งต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยหมอผีที่ทำพิธีชื่อซูเรียว บูโวโน เปิดเผยว่าพวกเขาทำพิธีเพื่อขอร้องให้วิญญาณของอดีตผู้นำและคนในประวัติศาสตร์ชาติอินโดนีเซียช่วยเหลือให้ปราโบโวได้รับชัยชนะ

เรื่องนี้ทำให้ดูชัดเจนยิ่งขึ้นว่าปราโบโวพยายามแสดงออกถึงความเป็นตัวแทนของสิ่งที่เก่าและดั้งเดิม ขณะที่โจโค วิโดโด แสดงออกถึงความเป็นสมัยใหม่และได้รับความชื่นชมจากต่างชาติที่คิดเห็นไปในทางนี้


โจโค วิโดโด นักสร้างเมืองผู้มีพื้นเพติดดิน

โจโค วิโดโด มีชื่อเล่นที่มักจะเรียกย่อๆ ว่า โจโควี เป็นผู้มีประวัติได้รับการยกย่องทางการเมืองอย่างมากในอินโดนีเซีย เขาเคยเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองสุระการ์ตา (ชาวอินโดนีเซีย มักจะเรียกว่า "โซโล") และต่อมาก็ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการกรุงจาการ์ตาในปี 2555

โจโควี ถูกมองว่าเขาเป็นภาพแทนที่แสดงให้เห็นว่าชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่นิยมผู้นำที่มี "ความใหม่" และ "ความสะอาด" มากกว่าผู้นำการเมือง "แบบเก่า" แม้ว่าในตอนนี้เขาจะอายุมากกว่า 50 ปีแล้ว

โจโควี มีเชื้อสายเป็นชาวชวาซึ่งเป็นเชื้อสายที่มีประชากรมากที่สุดในอินโดนีเซีย เขามีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบากทางการเงิน ต้องทำงานพร้อมกับเรียนไปด้วยตั้งแต่ชั้นประถมเพื่อนำเงินมาซื้ออุปกรณ์การเรียนและเป็นเงินค่าขนมของตนเอง เขาเริ่มช่วยงานร้านเฟอร์นิเจอร์ของพ่อตั้งแต่อายุ 12 ปี

สื่ออินโดนีเซียระบุถึงวัยเด็กของโจโควีว่า เขามีประสบการณ์ที่ครอบครัวถูกไล่ที่ถึง 3 ครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลต่อแนวความคิดของเขาเมื่อได้ตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีซูราการ์ตาในแง่ของการจัดการที่อยู่อาศัยในเมือง

โจโควี ยังได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการใช้งานของไม้ในขณะที่เขาศึกษาในคณะวนศาสตร์ของมหาวิทยาลัยกัดจามาดา โดยมีผลงานวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

เขามีผลงานมากมายขณะที่ได้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองซูราการ์ตา ทั้งเรื่องการสร้างศูนย์ประชุมและจัดนิทรรศการ เรื่องสวัสดิการสุขภาพ เรื่องโครงสร้างพื้นฐานของเมืองและขนส่งมวลชน การส่งเสริมสื่อท้องถิ่น การส่งเสริมเรื่องวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว โดยการสร้างแบรนด์ให้เมืองว่า "โซโล จิตวิญญาณแห่งชวา" โดยผู้สนับสนุนโจโควีบอกว่าพวกเขาเห็นความเปลี่ยนแปลงทางบวกอย่างมากเกิดขึ้นกับเมืองซูราการ์ตาในช่วงที่โจโควีเป็นนายกเทศมนตรี

แม้ว่าโจโควีจะไม่อ่อนข้อต่อนักลงทุนที่ไม่เห็นด้วยกับหลักการของเขา แต่บุคลิกลักษณะแบบ "ทำได้" ของโจโควีทำให้เขามีลักษณะของนักประชานิยมที่สร้างความสัมพันธ์กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมาก และส่งผลต่อตัวเขาในอีกไม่กี่ปีถัดมา

โจโควียังเคยได้รับรางวัลและการจัดอันดับจากสื่อต่างๆ เช่น นิตยสาร 'เทมโพ' ในอินโดนีเซียจัดให้เขาติด 1 ใน 10 นายกเทศมนตรีดีเด่นประจำปี 2551 ถูกจัดเป็นหนึ่งในผู้นำนักคิดของโลกประจำปี 2556 โดยนิตยสาร Foreign Policy  อีกทั้งยังเคยได้รับรางวัลจากประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุดโดโยโนเมื่อปี 2554

นอกจากนี้ยังมีเกร็ดเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวเขาเล็กน้อยในแง่ที่เป็นคอเพลงร็อก โดยสื่อ The Economist ระบุว่าโจโควีเป็นคนชื่นชอบ "เพลงร็อกเสียงดังๆ" มาก เขาเป็นแฟนเพลงวงดนตรีอย่าง เมทัลลิกา, แลมป์ ออฟ ก็อด และเล็ด เซปเปลิน อีกทั้งยังมีเครื่องดนตรีเบสที่มีลายเซ็นของสมาชิกวงเมทัลลิกาด้วย

โจโควีลงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2557 ในสังกัดพรรคพีดีไอพี ซึ่งมีชื่อเต็มว่า "พรรคประชาธิปไตยการต่อสู้" ซึ่งมีผู้นำพรรคคือเมกาวาตี ซูการ์โนปุตรี ผู้เคยเป็นประธานาธิบดีในช่วงปี 2544-2547 แต่ในคราวนี้พยายามวางตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งมากนัก พรรคพีดีไอพียังมีอุดมการณ์ของพรรคตามแนวหลักปัญจศีลา แต่ก็วางตัวเป็นพรรคสายเสรีนิยมกลางๆ


ปราโบโว สุเบียนโต ผู้เคยพ่ายแพ้ศึกชิงอำนาจในหมู่ชนชั้นนำ

ปราโบโว สุเบียนโต เป็นทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง และอดีตทหารยศพลโทของกองทัพอินโดนีเซีย เขาเป็นลูกของซุมิโตร โยโจฮาดิกุสุโม นักเศรษฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของอินโดนีเซีย

ปราโบโวมีปู่ชื่อมาร์กาโนเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารเนการาอินโดนีเซีย เป็นผู้นำคนแรกของสภาที่ปรึกษาเฉพาะกาล และคณะกรรมการเพื่อการเตรียมการสู่เอกราชของอินโดนีเซีย ปราโบโวยังเคยแต่งงานกับลูกสาวคนหนึ่งของอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตด้วย

หลังจากที่เขาเรียนจบจากวิทยาลัยในกรุงลอนดอนช่วงปี 2509-2511 สุมิโตร บิดาของปราโบโวก็ส่งเสริมให้เขาเข้าเรียนโรงเรียนทหาร โดยที่ปราโบโวมีต้นแบบในดวงใจคือ 'อตาเติร์ก' เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกี กลุ่มเพื่อนและคนรู้จักกล่าวถึงปราโบโวว่าเขาเป็นคนที่เก่งในเรื่องกลอุบายและมีความ "กระหายอำนาจทางการเมือง"

ปราโบโวจบจากโรงเรียนทหารในปี 2517 พร้อมกับคนอื่นๆ ที่ต่อมากลายได้รับตำแหน่งผู้นำอินโดนีเซียเช่น ซุซิโล บัมบัง ยุดโดโยโน

ปราโบโวเคยมีบทบาทในหน่วยพิเศษ 'คอมปาสซัส' ของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยคอมมานโดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ติมอร์ตะวันออก เขาเคยนำทัพเข้าจับกุมรองประธานกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติมอร์ตะวันออกแต่ก็ยิงเป้าหมายจนเสียชีวิต

ด้วยความที่เขามีความใกล้ชิดกับซูอาร์โต ปราโบโวยังเคยมีอิทธิพลในการปิดปากสื่อและนักวิจารณ์ทางการเมือง ในช่วงราวปี 2533 โดยอาศัยของชายผู้เป็นเศรษฐีชื่อฮาชิม เป็นผู้ร่วมมือด้วย

นอกจากนี้ปราโบโวยังมีบทบาทในปฏิบัติการทหารอื่นๆ อีก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการใช้กำลังกับกลุ่มต่อต้านในท้องถิ่นจนกระทั่งในปี 2541 เขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการหน่วยยุทธศาสตร์กองหนุนที่ชื่อ 'คอนสตราด' ซึ่งเป็นหน่วยทหารสำคัญที่อดีตผู้นำซูฮาร์โตเคยเป็นผู้บัญชาการมาก่อน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ "กบฏเดือนพฤษภาฯ 2541"

ในช่วงนั้นปราโบโวยังได้ท่าทีแบ่งแยกเชื้อชาติและศาสนาอย่างโจ่งแจ้งในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจและมีความไม่พอใจผู้นำซูฮาร์โตเพิ่มขึ้นในหมู่ประชาชนช่วงปี 2541 ปราโบโวก็เป็นผู้นำออกมาเรียกร้องให้ชาวมุสลิมในอินโดนีเซียร่วมต่อสู้กับ "ผู้ทรยศต่อชาติ" โดยกล่าวหาว่าคนเชื้อสายจีนในอินโดนีเซียและผู้นับถือศาสนาคริสต์เป็นผู้ที่พยายามล้มล้างผู้นำซูฮาร์โต ซึ่งเป็นกลอุบายในการสร้างสถานการณ์โกลาหลและให้ร้ายฝ่ายตรงข้าม

อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนมากเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นการต่อสู้กันเองภายในของกลุ่มชนชั้นนำในวงการทหารเพื่อสืบทอดอำนาจจากซูฮาร์โตระหว่างผู้นำทหารระดับสูงสองคนคือปราโบโวและนายพลวิรานโต โดยหลังจากซูฮาร์โตลงจากตำแหน่งก็มีการแต่งตั้งให้บีเจ ฮาบีบี ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน ปราโบโวพยายามเรียกร้องให้ฮาบีบีมอบตำแหน่งผู้นำกองทัพแก่เขาแทนวิรานโต แต่ฮาบีบีไม่ยอมรับและสั่งลดตำแหน่งปราโบโวแทน

ในช่วงก่อนหน้าเหตุการณ์ "กบฏเดือนพฤษภาฯ 2541" ไม่กี่เดือน กองกำลังในหน่วยของปราโบโวยังได้ลักพาตัวและทรมานนักกิจกรรมสนับสนุนประชาธิปไตยอย่างน้อย 9 ราย ในเวลาต่อมาเขายอมรับต่อหน่วยสืบสวนของกองทัพว่าได้มีการลักพาตัวนักกิจกรรมจริง จนถูกปลดออกจากหน่วยทหาร

เมื่อปราโบโวคิดลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2557 หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าปราโบโวมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่เนื่องจากเขาเคยถูกปลดจากการเป็นทหารในข้อหา "ตีความคำสั่งผิดพลาด" ในปี 2541

ปราโบโวยังมีอิทธิพลในด้านเศรษฐกิจ เขาและครอบครัวมีหุ้นในบริษัทด้านพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ เขาเคยมีปัญหาขัดแย้งเรื่องใบอนุญาตกับบรรษัทเหมืองแร่เชอร์ชิลของชาวอังกฤษ มีการพยายามฟ้องร้องแต่ก็ไม่เป็นผล และบรรษัทเชอร์ชิลยังฟ้องกลับเรียกค่าชดเชยซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินคดี

ในช่วงระหว่างปี 2547 เป็นต้นมาปราโบโวยังเข้าไปมีบทบาทในกลุ่มองค์กรเอ็นจีโอ เช่นกลุ่มสมาคมชาวนาอินโดนีเซียซึ่งเขาถูกเลือกให้เป็นประธาน 2 ครั้ง เขายังเคยถูกเลือกให้เป็นประธานสมาคมผู้ค้าตลาดสดเมื่อปี 2551 อีกทั้งยังเคยเป็นประธานสมาคมกีฬาปันจักสีลัต ซึ่งเป็นศิลปะป้องกันตัวประจำชาติอินโดนีเซียถึง 3 สมัย

ปราโบโวเคยลงสมัครเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดีคู่กับเมกาวาตี ซูการ์โนปุตรี ในการเลือกตั้งปี 2553 แต่ก็พ่ายแพ้ต่อพรรคเดโมแครตซึ่งนำโดยซุซิโล บัมบัง ยุดโดโยโน

ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ปราโบโวสังกัดพรรคเกรินดรา หรือ "พรรคขบวนการอินโดนีเซียอันเกรียงไกร" ซึ่งมีนโยบายเน้นสร้างความเข้มแข็งทั้งทางเศรษฐกิจและอธิปไตยของอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยีงมีเป้าหมาย "ปฏิรูป" ประเทศโดยนำแนวทางรัฐธรรมนูญปี 2498 มาใช้เพราะกลัวว่าอินโดนีเซียกำลังกลายเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตยมากเกินไป และเชื่อว่าอินโดนีเซียกำลังต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง

อย่างไรก็ตาม นโยบายของพรรคเกรินดราในด้านอื่นๆ ดูจะเน้นไปที่การพัฒนาและค่อนข้างให้สิทธิในด้านต่างๆ เช่นเสรีภาพในการนับถือศาสนาและสิทธิสตรี แต่นโยบายในด้านสิทธิมนุษยชนยังระบุไว้ค่อนข้างวกวนและพยายามหลีกเลี่ยงประเด็นโดยอ้างว่าพลเมืองของประเทศต้องมีความเคารพต่อ "สิทธิของรัฐ" เสียก่อน ฝ่ายรัฐจะเคารพต่อสิทธิของประชาชนตามกฎหมาย

 


เรียบเรียงจาก

Prabowo Subianto 'withdraws' from Indonesian presidential election on day vote was to be declared , Sydney Morning Herald, 22-07-2014
http://www.smh.com.au/world/prabowo-subianto-withdraws-from-indonesian-presidential-election-on-day-vote-was-to-be-declared-20140722-zvte5.html#ixzz38bdWUoQb

Jokowi praises Prabowo, Jakarta Post, 22-07-2014
http://www.thejakartapost.com/news/2014/07/22/jokowi-praises-prabowo.html

Shamans perform rituals while Prabowo files report at MK, Jakarta Post, 27-07-2014
http://www.thejakartapost.com/news/2014/07/27/shamans-perform-rituals-while-prabowo-files-report-mk.html

http://en.wikipedia.org/wiki/Joko_Widodo
http://en.wikipedia.org/wiki/Indonesian_presidential_election,_2014
http://en.wikipedia.org/wiki/Prosperous_Justice_Party
http://en.wikipedia.org/wiki/Prabowo_Subianto
http://en.wikipedia.org/wiki/Indonesian_Democratic_Party_%E2%80%93_Struggle
http://en.wikipedia.org/wiki/Great_Indonesia_Movement_Party

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คสช.แถลงผลการดำเนินงานในรอบ 2 เดือน

$
0
0

รายการ "เดินหน้าประเทศไทย" เผยแพร่ผลงาน คสช. ในรอบ 2 เดือน ตั้งเป้าคืนความสุขประชาชน-ลดความหวาดระแวง-ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ลดทุจริต สร้างความเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม สร้างกระบวนความคิด ความรู้ให้ประชาชนเข้มแข็ง มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก ก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนและประชาคมโลก

28 ก.ค. 2557 - เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 57 เวลา 18.00 น. รายการเดินหน้าประเทศไทย ซึ่งออกอากาศโดยโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ได้นำเสนอผลการดำเนินงานของ คสช. ในรอบ 2 เดือน แบ่งเป็น 3 กลุ่มงาน ได้แก่ กลุ่มงานบริหารราชการแผ่นดิน กลุ่มงานรักษาความสงบเรียบร้อย และกลุ่มงานสร้างความปรองดอง และการปฏิรูป โดยมีรายละเอียดเผยแพร่อยู่ใน  เว็บไซต์รัฐบาลไทย ดังนี้

000

สรุปผลการปฏิบัติงานของ คสช. เดือนที่ 2 (ห้วงวันที่ 21 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม 2557)

การบริหารราชการแผ่นดินของคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช. ในห้วงระยะเวลา2 เดือน เป็นการปฏิบัติตามแนวทางขับเคลื่อนประเทศไทยหรือ โรดแมป ระยะที่ 1 โดยการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่เกิดขึ้นก่อนที่ คสช. ได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ให้ประเทศสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ต่อไป และเพื่อเตรียมการเข้าสู่โรดแมป ระยะที่ 2 ในกรอบเวลา 2 - 3 เดือน ซึ่ง คสช. ได้พบปัญหาที่ต้องแก้ไขหลายปัญหาด้วยกัน อาทิ การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การพนัน ยาเสพติด การลักลอบตัดไม้ทำลายป่า การปราบปรามอาวุธสงคราม การปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ การดูแลผู้ประกอบการรถรับจ้างที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ขบวนการลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าว รวมไปถึงมาตรการชั่วคราวในการแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้องค่าครองชีพ การช่วยเหลือเกษตรกร การปรับปรุงกฎหมาย และกฎระเบียบ เพื่อปลดล็อคปัญหาอุปสรรคในด้านการค้า การลงทุน โดยทุกๆ มาตรการได้รับฟังความเห็น และข้อเสนอแนะจากทั้งข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้ผลการดำเนินการเป็นไปตามความคาดหวังของประชาชนและเกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ภารกิจทั้งหมดได้ดำเนินการผ่านการปฏิบัติงานที่แบ่งเป็น 3 กลุ่มงานคือ กลุ่มงานบริหารราชการแผ่นดิน กลุ่มงานรักษาความสงบเรียบร้อย และกลุ่มงานสร้างความปรองดอง และการปฏิรูป

กลุ่มงานบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ฝ่าย และ 1 ส่วนงานต่างเดินหน้าปฏิบัติตามนโยบายที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ได้มอบหมายให้ทุกฝ่ายรีบดำเนินการแก้ไขปัญหาที่สะสมมานานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้

1.  ฝ่ายความมั่นคง โดย พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้า และพลเอกอักษรา เกิดผล เสนาธิการทหารบก เป็นรองหัวหน้า ยังคงเดินหน้าปฏิบัติการสร้างความมั่นคงให้กับประเทศด้วยการบูรณาการการทำงานที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ในทุกด้านทั้งฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายสังคมจิตวิทยา หรือฝ่ายอื่น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของความเห็นต่างทางการเมือง จนนำไปสู่ความแตกแยก การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมที่เน้นเรื่องผลกำไร รวมทั้งเรื่องแรงงานราคาถูก โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับทุกภาคส่วน ทั้งข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ประชาชน ภาคประชาสังคม นิสิตนักศึกษาที่ต้องมีจิตสำนึก และมีความรับผิดชอบในการที่จะช่วยกันทำให้ประเทศชาติปลอดภัย ควบคู่ไปกับการชี้แจงทำความเข้าใจกับนานาชาติถึงสถานการณ์ และแนวทางของ คสช. รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งจากการที่หัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ ได้พบปะพูดคุยกับเอกอัครราชทูต สภาหอการค้า และกลุ่มผู้ประกอบการต่าง ๆ ของต่างประเทศ อาทิ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน ระหว่างหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง กับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยซึ่งได้ผลตอบรับในทางที่ดี โดยมีความเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และยืนยันถึงความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ คสช. แก้ไขปัญหาเหล่านั้น  ส่งผลให้สื่อต่างประเทศนำเสนอข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ของไทยในเชิงบวกมากขึ้น เห็นได้จากในการจัดกิจกรรมระหว่างประเทศ เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงจากภาคส่วนต่าง ๆ มีโอกาสเดินทางมาสัมผัสกับสถานการณ์ในประเทศไทยด้วยตนเอง เช่น การเป็นเจ้าภาพประชุม ระดับ รมว. แห่งอาเซียนว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ครั้งที่ 6 มีผู้แทนทั้งระดับรัฐมนตรี  และอธิบดีมาร่วมประชุมถึง 63 ประเทศ

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพไทยกับมิตรประเทศนั้น ผู้นำกองทัพมิตรประเทศ โดยเฉพาะประเทศใน ASEAN ล้วนมีท่าทีสนับสนุนกองทัพไทย  อาทิ กองทัพอินเดียได้เชิญ พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด  ในฐานะรองหัวหน้า คสช. ไปเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ และการเตรียมจัดการฝึกประจำปีของกองทัพไทยภายใต้รหัสการฝึก Pirap Jabiru และการฝึก Pitch Black ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมนี้ ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาได้แสดงความประสงค์ที่จะมีการฝึกร่วมผสม Cobra Gold 2015 ในไทยต่อไป และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคม ASEAN  ฝ่ายความมั่นคงได้จัดประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อวางแผนดำเนินงานในระยะเฉพาะหน้า ระยะเร่งด่วน และระยะยาว โดยมีลักษณะเป็น Single Command และมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อน 3 เสาหลักได้แก่ คณะอนุกรรมการฯด้านการเมืองและความมั่นคง คณะอนุกรรมการฯ ด้านสังคมและวัฒนธรรม  คณะอนุกรรมการฯ ด้านเศรษฐกิจ และคณะอนุกรรมการฯ ด้านประชาสัมพันธ์    ซึ่งทำงานเกื้อกูลกัน เพื่อขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินการที่หยุดชะงัก รวมทั้งเตรียมการแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องตามนโยบายของหัวหน้า คสช.

สำหรับการดูแล และให้บริการประชาชน ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงาน เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายของ คสช. เป็นไปอย่างรวดเร็ว และเป็นรูปธรรม โดยยังคงสานงานต่อจาก 1 เดือนแรกที่ให้ความสำคัญกับการให้บริการ  และดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียมกัน รวมถึงการดำเนินการกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งต่อสถาบันสำคัญของชาติ การป้องกันการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าและทรัพยากรธรรมชาติ การเล่นการพนัน การติดตามทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย การแก้ปัญหาการทุจริต การแพร่ระบาดของยาเสพติด และอาวุธสงคราม โดยสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นผลงานได้อย่างชัดเจนคือการแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ ที่ได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จหรือ One Stop Service เพื่อนำแรงงานผิดกฎหมายมาจดทะเบียนให้สามารถตรวจสอบและดูแลได้ตามหลักมนุษยธรรมแล้ว 8 จังหวัด โดยในสัปดาห์นี้ได้จัดตั้งศูนย์บริการจดทะเบียนฯ จำนวน 6 ศูนย์ใน กทม. นอกจากนี้ ยังให้ผู้ที่ประกอบกิจการเรือประมงที่มีแรงงานต่างด้าวทำงานอยู่ จัดทำบัญชีรายชื่อ สัญชาติ และจำนวน แจ้งกับแรงงานจังหวัด และจะขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้า และจะมีการจัดชุดออกตรวจแรงงาน นายจ้าง และผู้ประกอบการอย่างจริงจัง

2.  ฝ่ายเศรษฐกิจ โดย พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นหัวหน้า  และพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกเป็นรองหัวหน้า ยังคงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งในระยะสั้น ได้เร่งรัดดูแลเรื่องค่าครองชีพ และราคาสินค้าด้วยการให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจัดโครงการธงฟ้าราคาประหยัด มีการจัดอาหารสำเร็จรูป และสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพมาจำหน่ายในราคาถูกให้กับประชาชนรวม 21 ครั้ง สามารถลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน คิดเป็นมูลค่ากว่า 27 ล้านบาท พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการ และห้างค้าปลีกค้าส่งกว่า 1,000 ราย ตรึงราคาจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นจำนวน 205 รายการเป็นเวลา 6 เดือน รวมทั้งขอความร่วมมือให้ลดราคาจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จที่ประชาชนนิยมบริโภค 10 รายการอยู่ที่จานหรือ ชามละ 35 – 40 บาท

ส่วนปัญหาผลผลิตทางการเกษตร คสช. ได้อนุมัติงบประมาณ 163 ล้านบาท เพื่อกระจายผลไม้ที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาดนอกแหล่งผลิต แยกเป็นลำไยจาก 8จังหวัดภาคเหนือ จำนวน 74.5 ล้านบาท เงาะและลองกองจากภาคตะวันออกจำนวน 51 ล้านบาท มังคุดและลองกองจากภาคใต้จำนวน 37.5 ล้านบาท ส่วนปัญหาราคายางพารานั้นได้กำหนดแผนดำเนินการเป็น 2 ระยะคือ ระยะสั้น ได้อนุมัติงบประมาณกว่า 6,160 ล้านบาทให้กับเกษตรกร 112,253 ราย เพื่อช่วยเหลือปัจจัยการผลิตครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ในอัตราไร่ละ 2,520 บาท เฉพาะที่เปิดกรีดแล้ว ขณะที่ระยะยาวจะสนับสนุนให้มีการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศ ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งยังได้เตรียมมาตรการสร้างเสถียรภาพราคาอย่างยั่งยืน โดยการสนับสนุนสินเชื่อผ่อนปรนให้แก่สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการแปรรูปยางพารา การเปิดตลาดใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการกำหนดพื้นที่เหมาะสมในการปลูกยางหรือโซนนิ่ง เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน คสช. ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจาณาจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผลผลิตทางการเกษตร ให้กระจายอยู่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อเชื่อมต่อการดำเนินงานของทุกหน่วยงานให้มีการบูรณาการ ในการติดตามกำกับดูแลทุกมาตรการให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ขณะเดียวกันยังช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก และสามารถเสนอแนะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับปัญหาข้าวนั้น ภายหลังการปลดล็อคปัญหาโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2556/2557 สำเร็จ คสช. ได้มีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการนโยบาย และบริหารจัดการข้าว” ที่มีหัวหน้า คสช. เป็นประธานกรรมการ ได้กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาข้าวให้เป็นไปอย่างยั่งยืนและมีการบูรณาการ โดยเน้นการเพิ่มผลผลิต และมูลค่าข้าวให้สามารถแข่งขันกับตลาดได้มากขึ้น โดยแบ่งกรอบเวลาดำเนินการเป็น 3 ระยะคือ

การแก้ปัญหาระยะสั้น ให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือชาวนาในช่วงการผลิตข้าวนาปี ปี 2557 /2558 ให้มีรายได้ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วยการช่วยลดต้นทุนการผลิต และสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกร เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่

การแก้ปัญหาระยะกลาง ซึ่งต้องใช้เวลา 1–3 ปี จะมุ่งหาแนวทางให้การปลูกข้าวมีต้นทุนที่ต่ำ และมีผลผลิตต่อไร่ที่สูง รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพของข้าว เพื่อให้เกษตรกรมีกำไรจากการขายข้าวเปลือก และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก รวมทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 สำหรับการระบายข้าวจะไม่เร่งระบายข้าวเร็ว จนทำให้เสียราคา และการกำหนดราคาต้องให้เป็นไปตามกลไกตลาด

สุดท้ายคือ การแก้ปัญหาระยะยาวซึ่งต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 3 ปีนั้น การแก้ปัญหาต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยกำหนดเขตพื้นที่ปลูกข้าว Zoning ให้เหมาะสมกับการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด การส่งเสริมการตลาดเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวให้เป็นไปตามกลไกตลาด การส่งเสริมการมีส่วนร่วมและที่สำคัญคือ การส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และปลูกพืชทดแทน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน โดยไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐบาลอุดหนุน

และเพื่อเป็นการฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน คสช. ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งตะวันออก หรือ Eastern Sea Board และคณะกรรมการขับเคลื่อนความพร้อมเข้าสู่อาเซียน รวมทั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI ซึ่งจากการประชุมคณะกรรมการ BOI ที่ผ่านมาได้มีการอนุมัติโครงการไปแล้วเกือบ 100 โครงการ มูลค่าการลงทุนเกือบ 200,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการทบทวนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต  โดยสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย นอกจากนี้ ยังได้มีการร่วมประชุมทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการเพื่อรับฟังข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูลกับกลุ่มนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวมทั้งเอกอัครราชทูตต่างประเทศที่ประจำการในประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกด้วย ล่าสุด คสช. ได้เห็นชอบตามที่กรมสรรพากรเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาจำนวน 3 ฉบับ คือให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 7 ขั้น การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือร้อยละ 20 และการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 7 ที่จะสิ้นสุดในปี 2557 เลื่อนเป็นสิ้นสุดในปี 2558 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ส่วนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ คสช. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยมี พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเรื่องน้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำอุปโภค/บริโภค น้ำเพื่อการเกษตร รวมถึงการดูแลคุณภาพน้ำ ล่าสุด ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 5 กลุ่ม เพื่อให้การวางแผนและดำเนินการเป็นไปตามระบบลุ่มน้ำ เป็นกลุ่มลุ่มน้ำที่มีความเชื่อมโยงกัน และสามารถนำน้ำต้นทุนมาบริหารจัดการแบ่งปันกันได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ โดยได้กำหนด Road Map ในการดำเนินการไว้ 3 ระยะ คือ

ระยะแรก เป็นการจัดทำโครงร่าง แผนงาน โครงการ ตามความรับผิดชอบของคณะอนุกรรมการทั้ง 5 กลุ่มกำหนดเวลาให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2557

ระยะที่ 2 เป็นการจัดทำร่างแผนบริหารจัดการน้ำ แนวทางดำเนินการและมาตรการแก้ปัญหา กำหนดเวลาให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2557

ระยะที่ 3 การจัดทำแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฉบับสมบูรณ์ ประกอบด้วย แผนงาน โครงการ และงบประมาณ กำหนดเวลาให้เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม 2557 ก่อนจะเสนอให้หัวหน้า คสช. พิจารณา และอนุมัติเป็นแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดจะใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน และจะสามารถแถลงแผนดังกล่าวได้ภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2557

3.  ฝ่ายกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม โดยพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้า และพลโท ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เป็นรองหัวหน้า รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้อง และผลกระทบที่เกิดจากข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานอำนวยความสะดวกให้ประชาชน  ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และการลดความเห็นต่าง โดยตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา  ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมได้เดินหน้าแก้ไขโครงสร้างอำนาจของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ซึ่ง คสช. ได้มุ่งเน้นที่จะแก้ไขกฎหมายด้านต่าง ๆ ให้สามารถปราบปรามการทุจริตภาครัฐ การปราบปรามยาเสพติด และการปราบปรามกระบวนการค้ามนุษย์ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยดำเนินการไปพร้อม ๆ กับผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ที่ผ่านมาได้ผลักดันกฎหมายให้มีผลบังคับใช้แล้วจำนวน 11 ฉบับ เช่น การเพิ่มเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญที่ได้รับเงินต่ำกว่าเดือนละ 9,000 บาท และการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งได้เตรียมเสนอร่างกฎหมายที่เป็นประโยชน์แก่สังคมในวงกว้างให้เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวาระแรกรวม 5 ฉบับ เช่น ร่าง พ.ร.บ.การทวงหนี้ และร่างแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อคุ้มครองสิทธิของลูกหนี้ และผู้ค้ำประกัน เป็นต้น

ส่วนผลงานในภาคปฏิบัติ นโยบายสำคัญที่เร่งเดินหน้าคือ การปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด  โดยหลังจากหัวหน้าฝ่ายกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมได้ร่วมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 15 กระทรวงได้มีความเห็นร่วมกันให้เร่งรัด 6 มาตรการ เพื่อปราบปรามและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด อาทิ การเพิ่มความเข้มข้นในการสกัดกั้น และปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด  การจัดระเบียบสถานบริการและสถานประกอบการ การสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด การยึด และอายัดทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้องทั้งระบบ เป็นต้น ทั้งนี้ ได้มีการประเมินผลครั้งแรกใน 30 วัน ซึ่งผลจากการการบูรณาการหน่วยงานความมั่นคงทั้งทหาร ตำรวจ สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามยาเสพติดหรือ ป.ป.ส. สายงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. และภาคอื่น ๆ ทำให้สามารถติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดทั้งรายย่อย และรายใหญ่ได้ 49,386 คดี ผู้กระทำผิด 52,200 คน ของกลางยาบ้า 10,677,441 เม็ด ยาไอซ์ 246.40 กิโลกรัม กัญชา 1,606 กิโลกรัม ยึดและอายัดทรัพย์สินได้มูลค่า 305.82 ล้านบาท จับกุมเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้ 32 คน

ขณะที่ในส่วนของเรือนจำ หลังดำเนินการย้ายนักโทษคดียาเสพติดที่เสี่ยงต่อการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด 415 คนไปคุมขังที่เรือนจำกลางเขาบิน จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นเรือนจำที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูงสุดแล้ว  ยังกำหนดให้แต่ละเรือนจำและทัณฑสถาน เอ็กซ์เรย์เจ้าหน้าที่ทุกนายตามโครงการ  " เจ้าหน้าที่สีขาว " ซึ่งต้องไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกประเภทด้วย โดยทุกแห่งต้องดำเนินการให้เห็นผลภายใน 30 วัน นอกจากนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.ยังได้ส่งบัญชีที่ต้องสงสัยเกี่ยวกับการกระทำผิดมาให้ คสช. ตามที่ได้ขอความร่วมมือไว้รวม 470 บัญชี  แบ่งเป็นบัญชีความผิดเกี่ยวกับแก๊งค์คอลเซนเตอร์ 324 บัญชี บัญชีเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงภาษี 112 บัญชี บัญชีเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด 20 บัญชี และบัญชีเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงทางอินเทอร์เน็ต 14 บัญชี

และนอกจากการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังเดินหน้าปราบปรามอาวุธสงครามตามนโยบายของ คสช. อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง อาทิ การจับกุมผู้ต้องหาพร้อมอาวุธสงครามเป็นจำนวนมาก อาทิ อาวุธปืนอาก้า อาวุธปืนเอ็ม 16 ระเบิด กล้องเล็งยิง และเครื่องกระสุนนับพันนัด และการจับกุมผู้ต้องหายิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่บริเวณพื้นที่ชุมนุมหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ราชดำริ มีผู้เสียชีวิต 3 ราย พร้อมของกลางเป็นเครื่องยิง ทั้งลูกระเบิด แบบเอ็ม 79 อาวุธปืนเอ็ม 16 และลูกระเบิดอีกนับสิบลูก ซึ่งของกลางทั้งหมดอยู่ในสภาพใช้งาน สามารถใช้ยิงทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินได้

4.  ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยพลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นหัวหน้า และพลโทสุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นรองหัวหน้า รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาที่ทำให้สังคมไทยอ่อนแอ ซึ่งนอกจากการจัดกิจกรรมคืนความสุขให้กับคนในชาติรูปแบบต่าง ๆ ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ดีแล้ว ฝ่ายสังคมจิตวิทยาได้เร่งขับเคลื่อนงานในทุกด้าน โดยด้านสิ่งแวดล้อมได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาขยะและมลพิษ หลังเกิดเหตุไฟไหม้สถานที่กำจัดขยะหลายครั้ง และหลายพื้นที่ที่มีกองขยะตกค้างสะสมได้ทำความเดือดร้อนแก่สุขภาพอนามัยของประชาชน จึงได้จัดทำ Road Map และแผนปฏิบัติการทั้งระยะเร่งด่วน ระยะสั้น ระยะยาวจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนก่อนเสนอให้ คสช. พิจารณา โดยแผนปฏิบัติการที่จัดทำขึ้นได้มีการ บูรณาการ การบริหารจัดการขยะในภาพรวม การคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง การกำจัดแบบรวมศูนย์ การเลือกวิธีการกำจัดขยะที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ และการนำขยะมาใช้ประโยชน์ เช่น แปรรูปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า

ส่วนการปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ นอกจากมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำ Road Map การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายป่าไม้แล้ว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับกุมผู้กระทำความผิดพร้อมของกลางได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาคดีทำลายทรัพยากรป่าไม้ได้ทั้งหมด 123 คดี ผู้ต้องหา 125 คน ยึดของกลางไม้พะยูง ไม้ชิงชัน ไม้ประดู่ คิดเป็นปริมาตร 261,574 ลูกบาศก์เมตร มูลค่าส่งออกกว่า 260 ล้านบาท รถยนต์ใช้ในการกระทำผิด 25 คัน รถจักรยานยนต์ 9 คัน เลื่อยโซ่ยนต์ 14 เครื่อง รถไถนา 1 คัน พร้อมอายัดทรัพย์เครือข่ายลักลอบตัดไม้พะยูงข้ามชาติมูลค่ากว่า 88 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเดินหน้าทวงผืนป่าคืนแผ่นดิน ตามนโยบายของ คสช. อย่างจริงจัง จนพบว่ามีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่จังหวัดสระบุรีคือ ป่าท่าฤทธิ์,ป่าลำทองหลางและป่าพญากลางนับพันไร่  เพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างเป็นรีสอร์ท พร้อมจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องไปดำเนินคดี และล่าสุดยังได้ร่วมกันเปิดยุทธการลุยผู้บุกรุกอุทยานแห่งชาติสิรินาถ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เพื่อทวงคืนผืนป่า 2,743 ไร่ มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนกรณีนี้แล้ว โดยแบ่งกลุ่มที่เชิญมาไต่สวนเป็น 4 กลุ่มคือ ข้าราชการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้าราชการสังกัดกรมที่ดิน และกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน

ส่วนด้านการศึกษา ได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ ศึกษารวบรวมข้อมูล และระดมความคิดเห็นจากหลายภาคส่วนในการจัดทำ Road Map การปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาคนระยะยาว  โดยประเด็นสำคัญที่จะมีการปฏิรูป นอกจากการผลิตบุคลากรครูหรือบุคลากรทางการศึกษาที่จะมาเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชน  ตลอดจนการขยายผลการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาแก่โรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ และโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลแล้ว ยังได้มีการปรับปรุงหลักสูตรให้เพิ่มวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม โดยแยกออกจากสังคมศึกษา เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ภาคภูมิใจในความเป็นไทย ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ มีจิตสำนึกความรับผิดชอบเห็นประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน โดยเริ่มใช้ในภาคการศึกษาหน้า นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงวัฒนธรรม นำนโยบายการสร้างค่านิยมของคนไทย 12 ประการ ตามนโยบายหัวหน้า คสช. ไปสู่การปฏิบัติ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้บรรจุค่านิยมของคนไทย 12 ประการให้อยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว ขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมจะรับผิดชอบการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างเสริมค่านิยมไทยส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย  ส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย

และในฐานะเสาประชาสังคมและวัฒนธรรม ฝ่ายสังคมจิตวิทยาได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วยการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านประชาคมสังคม และวัฒนธรรมอาเซียน ปี 2557 - 2559 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีทิศทาง และรูปแบบการดำเนินการเป็นไปตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน นอกจากนี้ได้เสริมสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนถึงความสำคัญของการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยการส่งเสริมให้มีตัวแทนอาเซียนภาคประชาชนเสนอแนะความต้องการควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้  ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการสร้างประชาคมอาเซียน ให้กับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  สภาเด็ก และเยาวชนทุกระดับเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนต่อไป

5.  ฝ่ายกิจการพิเศษ โดย พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นหัวหน้า มี พลโทสุชาติ หนองบัว เป็นรองหัวหน้า ได้เตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา 12 สิงหาคม 2557 ซึ่งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ โดยมีหัวหน้า คสช. เป็นประธานกรรมการ เห็นชอบจัดกิจกรรมหลัก 4 กิจกรรม ประกอบด้วย

1) กิจกรรมเผยแพร่พระเกียรติคุณ จัดสร้างภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติฯ เป็นภาพยนตร์สารคดี 2 เรื่อง คือเรื่องทศวรรษแรกของการทรงงาน กับเรื่องชัยชนะบนแผ่นดินอีสาน และเป็นภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติฯ 2 เรื่อง คือ เรื่องด้วยรัก กับเรื่องเสียงจากแดนใต้

2) กิจกรรมโครงการจัดสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวารสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายในโอกาสพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559

3) กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯระหว่างวันที่ 9 - 12 สิงหาคม 2557 โดยภาครัฐ และเอกชน ณ บริเวณสวนอัมพร ลานพระราชวังดุสิตและท้องสนามหลวง รวมถึงกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ในส่วนภูมิภาคทุกจังหวัด

4) พิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณท้องสนามหลวง วันที่ 12 สิงหาคม 2557 นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯอื่น ๆ อาทิ การลงนามถวายพระพร

ส่วนการแก้ไขปัญหาเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน ผ่านช่องทางร้องเรียน 1111 นั้น ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมามีประชาชนร้องทุกข์และแสดงความคิดเห็น 26,024 เรื่อง แก้ไขปัญหาได้ 22,497 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 86.45 และอยู่ระหว่างการดำเนินการ 3,527 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสังคมและสวัสดิการมากที่สุด ส่วนเรื่องที่ประชาชนเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปมากที่สุดคือการปฏิรูปประเทศ การปฏิรูประบบราชการ การปรองดอง/สมานฉันท์ และการป้องกันและปราบปรามการทุจริต นอกจากนี้ จะมีการปรับปรุงพื้นที่ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มายื่นข้อร้องเรียน และเร่งรัดกระบวนการติดตามและแก้ไขปัญหาให้รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมทั้งแจ้งผลการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนทราบโดยเร็ว

นอกจากการรับเรื่องราวร้องทุกข์แล้ว การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของผู้บริโภคก็เป็นเรื่องที่ประชาชนมีความคาดหวังสูง ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าวนั้น คสช. ได้ยกระดับ และขับเคลื่อนการคุ้มครองผู้บริโภคของไทยให้ครอบคลุมปัญหาทุกประเด็น โดยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนที่มีการรับเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 1,590 เรื่อง แก้ไขสำเร็จ  158 เรื่อง อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ย 1,317 เรื่อง ที่เหลือจำนวน 145 เรื่องอยู่ในขั้นตอนการกลั่นกรอง  สำหรับเรื่องที่มีการร้องเรียนมากที่สุดคือ ปัญหาเรื่องรถยนต์ ผู้ประกอบการท่องเที่ยว อาคารชำรุด สินค้าและบริการ ตามลำดับ ส่วนการแก้ปัญหากลุ่มผู้ค้าแผงลอยตลาดโบ๊เบ๊นั้น  ภายหลังจากการประชุมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจนครบาล กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และตัวแทนกลุ่มผู้ค้าแผงลอยตลาดโบ๊เบ๊ เพื่อร่วมกันจัดระเบียบ ที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานกลุ่มย่อยขึ้นมาแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งการดำเนินงานในขั้นต้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทำให้การจราจรมีความคล่องตัวมากขึ้น ประชาชนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น ส่วนการจัดระเบียบในระยะยาว กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการตามแผนการจัดระเบียบ ประกาศให้มีการลงทะเบียนผู้ประกอบการ และเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

สำหรับส่วนงานที่เป็นหน่วยขึ้นตรงกับหัวหน้า คสช. โดย พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช. และ พลโทชาตอุดม ติตถะสิริ เป็นรองเลขาธิการ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานต่าง ๆ ของ คสช. รวมถึงการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนต่าง ๆ ของประชาชนโดยเฉพาะเรื่องที่เป็นปัญหาปากท้องของประชาชน  จากการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานต่าง ๆ ของ คสช. พบว่าส่วนใหญ่มีความคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการในเรื่องการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมสำคัญตามนโยบาย จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาคดีสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีสถานการณ์การชุมนุมและคดีที่มีการใช้อาวุธสงครามก่อเหตุ ส่วนการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนให้แก่ประชาชน และการปรับปรุงโครงสร้างการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความเป็นเอกภาพ มีประสิทธิภาพและรวดเร็วตามแนวทาง “ พื้นที่ปลอดเหตุ ประชาชนปลอดภัย ” พบว่าสถิติการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา เช่น เดือนมิถุนายน 2556 เกิดจำนวน 141 ครั้ง เดือนมิถุนายน ปีนี้เกิด 102 ครั้ง เป็นต้น เมื่อ คสช. ได้จัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ขึ้นทั่วประเทศในทุกระดับมาตั้งแต่ 28 พ.ค. 57 เพื่อยุติความเห็นต่างและสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดองสมานฉันท์ ด้วยการจัดกิจกรรมคืนความสุขให้กับประชาชน และการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เสนอความต้องการในการปฏิรูปประเทศแล้วเสร็จใน 30 กรกฎาคมนี้ ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ สังเกตได้จากสถานการณ์ความขัดแย้งได้ลดลงจำนวนมาก แนวโน้มทางเศรษฐกิจดีขึ้น ครอบครัวที่เห็นต่างกันก็กลับมาคุยกัน ทำให้ปัญหาที่เคยหมักหมมมาค่อยคลี่คลายไป และสำหรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ที่ คสช. มีมติให้ความเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 จำนวน 2,575,000 ล้านบาท โดยเป็นนโยบายขาดดุล จำนวน 250,000 ล้านบาท รายได้สุทธิจำนวน 2,325,000 ล้านบาท งบประมาณ เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 จำนวน 50,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.0 นั้น คาดว่า ฝ่ายนิติบัญญัติจะดำเนินการพิจารณาภายในห้วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนนี้ และจะนำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายในวันที่ 15 กันยายน 2557 และสามารถประกาศใช้ได้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ส่วนการเปรียบเทียบการเบิกจ่ายงบประมาณ ภายหลังจาก คสช. เข้ามาบริหารประเทศหน่วยงานต่าง ๆ มีความชัดเจนในการดำเนินงาน ทำให้การเบิกจ่ายเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 240,363 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.5

ในส่วนของกลุ่มงานรักษาความสงบเรียบร้อย ยังคงมีความจำเป็นต้อง เชิญบุคคลที่อยู่ในความขัดแย้งทั้งโดยตรงและโดยอ้อมเข้ารายงานตัวเพื่อสร้างความเข้าใจ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อความมั่นคงของประเทศ และประชาชนในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดี และในช่วงเดือนที่ 2 นี้จะเห็นได้ชัดเจนว่า ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศลดความกังวลลง กลับมาใช้ชีวิตตามปกติสุข ขณะที่ธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการกลับมามีความคล่องตัวดังเดิม อย่างไรก็ตาม คสช. ยังจําเป็นต้องเตรียมความพร้อมไว้ตลอดเวลา

ส่วนการจัดระเบียบรถบริการขนส่งสาธารณะ คสช. ได้ดำเนินการจัดระเบียบรถรับจ้างหรือรถบริการขนส่งสาธารณะ โดยส่วนของรถตู้มีการจัดระเบียบไม่ให้จอดรถที่บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิซึ่งกีดขวางการจราจร และเคลื่อนย้ายจุดจอดไปยังสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ สำหรับการจัดระเบียบวินมอเตอร์ไซด์มีการขจัดผู้มีอิทธิพลที่แสวงหาประโยชน์จากวินเถื่อน และจัดให้มีการจดทะเบียนวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างให้เกิดความถูกต้อง สำหรับการจัดระเบียบรถแท็กซี่ ต้องไม่ให้เอาเปรียบผู้โดยสารโดยคิดเกินกว่าอัตราค่าเดินทางจริงอย่างเข้มงวด สำหรับการดำเนินการได้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะแรกคือการบังคับใช้กฎหมายและจัดระเบียบอย่างเข้มงวด ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 คือการแก้ไขปัญหาอย่างถาวร รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกันสภาพปัญหาต่อไป

สำหรับกลุ่มงานสุดท้ายคือกลุ่มงานสร้างความปรองดอง และการปฏิรูป โดย พลเอก  สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม รับผิดชอบ มีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป มีพลโทกัมปนาท รุดดิษฐ์ เป็นหัวหน้า และคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ มีหน้าที่กำหนดแนวทางในการเสริมสร้างบรรยากาศความปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งได้เดินหน้ารวบรวมข้อมูล ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากประชาชนทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เพื่อเสริมสร้างความรักความสามัคคีและคืนความสุขแก่คนในชาติอย่างยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถจัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปจังหวัดครบทุกจังหวัดในเดือนแรก เดือนที่ 2 ได้รวบรวมและจัดทำหัวข้อการรับฟังความคิดเห็นจากส่วนต่าง ๆ อาทิ ผลงานที่มีอยู่เดิม งานวิจัย วิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง ส่วนราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม และองค์กรอิสระต่าง ๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะของประชาชนจากทั่วประเทศนำมาสังเคราะห์ เพื่อให้ได้หัวข้อการรับฟังความคิดเห็น โดยคณะทำงานได้รวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วน ทางช่องทางโทรศัพท์,จดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือ e-mail ไปรษณียบัตร จำนวน 2,787 เรื่อง รวมทั้งได้สังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัย จำนวน 418 เรื่อง จากข้อมูลดังกล่าวคณะทำงานฯ ได้สรุปประเด็นในการปฏิรูปขั้นต้น โดยพิจารณาจาก ความสำคัญและความเร่งด่วนได้ 11 ประเด็น อาทิ การขจัดปัญหาทุจริตคอรัปชั่น การเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน กระบวนการยุติธรรม  พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคม เป็นต้น

นอกจากนี้ยังได้จัดสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ, ผู้มีประสบการณ์และผู้เชี่ยวชาญ ทั้งส่วนราชการ นักวิชาการ ผู้แทนพรรคการเมือง ภาคธุรกิจ องค์กรอิสระ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กลุ่มเห็นต่าง รวมถึงภาคประชาชนอื่น ๆ รวม 53 ครั้ง จัดการประชุมกลุ่มย่อย 5 ครั้ง ครั้งละ 50 – 80 คน และจัดเสวนา 3 ครั้ง โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวประมาณ 2,000 คน เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดของแนวความคิดเห็นเพิ่มเติมใน 11 ประเด็น

และจากการรวบรวมผลการรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำไปจัดทำ “กรอบความเห็นร่วม” ในประเด็นการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน สรุปได้ว่าการปฏิรูปการเมืองมีอยู่ 4 เรื่องคือ โครงสร้างทางการเมือง การคัดสรรบุคคลดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ปราศจากการครอบงำจากนายทุนพรรคการเมือง กระบวนการถ่วงดุลอำนาจการบริหาร และกระบวนการถอดถอนบุคคลดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนของการปฏิรูปเพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นมีแนวทางสำคัญรวม 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการป้องกัน ด้านการปราบปราม ด้านโปร่งใส และด้านเป็นธรรม ซึ่งผลสรุปดังกล่าวจะสามารถรายงานให้ คสช. ทราบ เพื่อนำไปพิจารณาใช้ได้ในสิ้นเดือนนี้

ส่วนผลงานที่สำคัญสามารถทำให้กลุ่มคู่ขัดแย้งกลับมาสามัคคีและร่วมมือร่วมใจกันเดินหน้าประเทศไทยอีกครั้ง ผ่านการจัดกิจกรรมลักษณะเสริมสร้างบรรยากาศปรองดองสมานฉันท์โดยศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปของ กอ.รมน. ภาค 1 – 4 จนถึงขณะนี้รวมกิจกรรมทั้งหมด 84,252 ครั้ง และได้จัดทำ MOU ระหว่างผู้นำทางความคิดที่เคยเห็นต่างกันในแต่ละพื้นที่ มาแล้วกว่า 177 ฉบับ ครอบคลุมกว่า 403 แกนนำ กว่า 3,003 จังหวัดถึงระดับตำบล และเวทีเสวนาจัดแล้ว 176 เวที ครอบคลุมกว่า 30,842 หมู่บ้าน

หากพิจารณาจากปรากฏการณ์ที่เห็นได้จากสังคม ถึงแนวทางการขับเคลื่อนประเทศของ คสช. แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าสถานการณ์และปัญหาในด้านต่าง ๆ ได้เริ่มคลี่คลายลงตามลำดับ หลังได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชน โดยเฉพาะการจัดระเบียบสังคมและสิ่งผิดกฎหมายที่มีการดำเนินการอย่างเฉียบขาด อย่างไรก็ตามปัญหาต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการจัดการแก้ไขนั้น เป็นปัญหาที่สะสมมายาวนาน ซึ่งหลายปัญหาต้องใช้ระยะเวลาในการสะสาง และหลายปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย คสช. เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน และสิ่งที่สำคัญที่สุดอันเป็นเจตนารมณ์ของ คสช. คือการคืนความสุขให้กับประชาชน โดยการลดความหวาดระแวง ความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ลดการทุจริตคอรัปชั่น สร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้ได้โดยเร็ว พร้อมกับนำทุกปัญหาที่มีผลกระทบโดยเร่งด่วนกับความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน การสร้างอาชีพรายได้ให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย สร้างกระบวนความคิด ความรู้ ให้กับประชาชนเพื่อให้เป็นประชาชนที่เข้มแข็ง มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก และเพื่อให้พร้อมก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนและประชาคมโลกในโอกาสต่อไปโดยเร็วที่สุด

และในวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันครบรอบ 2 เดือนของการบริหารราชการแผ่นดิน โดย คสช. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ที่ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว โดยมีทั้งหมด 17 หน้า ประกอบด้วย 48 มาตรา ซึ่งมีสาระสำคัญ อาทิ ให้รัฐบาล ฝ่ายบริหาร คณะรัฐมนตรี รับผิดชอบงานเฉพาะด้านการบริหาร โดย คสช. รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง  สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีสมาชิก 220 คน ทำหน้าที่ออกกฎหมาย สภาปฏิรูป (สปร.) มีสมาชิก 200 คน ทำหน้าที่คล้ายสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) คือ พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอมาและยังมีหน้าที่กำหนดวาระการปฏิรูปประเทศ เป็นต้น

ทั้งนี้ คสช. มุ่งหวังให้การบริหารราชการแผ่นดิน นับจากนี้ต่อไป เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ประชาชนชาวไทย ทุกพวก ทุกฝ่าย มีความรัก ความสามัคคี และมีความปรองดองสมานฉันท์ อันเป็นแนวทางสำคัญและมั่นคง เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างสมบูรณ์ และยั่งยืนในทุกมิติ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นิพิฏฐ์เชื่อเลือกตั้งใหม่เพื่อไทยมาอีก-แต่หวังให้ฟังเสียงฝ่ายค้านบ้าง

$
0
0

นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ปชป. โพสต์บทความ "อุดมคติ กับ ความจริง" เชื่อเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยก็คงกลับมาเป็นรัฐบาลอีก แต่ปรารถนาให้ "พระ ชี โจร เด็ก สตรี คนจน คนรวย" อยู่ร่วมกันได้ หากได้เป็นฝ่ายค้านก็หวังว่ารัฐบาลจะฟังเสียงบ้าง และให้ความเป็นธรรมกับคนที่เลือกมาด้วย

นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ที่มา: แฟ้มภาพ/เพจนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ)

เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์บทความลงเฟซบุ๊คเพจ "ส.ส.นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" หัวข้อ "อุดมคติ กับ ความจริง" มีรายละเอียดดังนี้

000

*อุดมคติ กับ ความจริง

-วันนี้เช้า ไปร่วมงานทอดผ้าป่าหาเงินสร้างศาลาหมู่บ้าน ที่ ต.ปันแต อ.ควนขนุน จากนั้นไปงานศพที่สี่แยกเบญจมะ จ.นครศรีธรรมราช เย็นกลับมาให้ทันงานศพที่ จ.พัทลุง (วันนี้ได้เท่านี้เพราะต้องไปต่างจังหวัดด้วย)

-ผมเกริ่นอย่างนี้ ก็คิดว่า ที่ จ.สุรินทร์ จ่าประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ก็คงทำอยู่เช่นเดียวกับผม หรือที่จ.อุดรธานี คุณขวัญชัย หรือภรรยาคุณขวัญชัย อดีต ส.ว.ก็คงทำอยู่อย่างนี้

-ผมคิดต่อไปว่า เลือกตั้งปีหน้าจ่าประสิทธิ์,คุณขวัญชัย ก็ "น่าจะ" เข้ามาเป็น ส.ส. ส่วนผมหากลงเลือกตั้งอีกก็ "น่าจะ" ได้เข้ามาเป็น ส.ส.อีกเช่นกัน (หรืออาจไม่ได้ ก็ได้) และพรรคเพื่อไทยก็คงกลับมาเป็นรัฐบาลอีก นี่คือความเป็นจริง!

-ผมไม่ใช่คนโลกสวยหรือโลกไม่สวยหรอก แต่ผมเป็นคนสบายๆ ยอมรับความเป็นจริงของสังคมขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า สังคมต้องมีอุดมคติกำกับไปด้วย

*ผมปรารถนาเพียง ให้พระ ชี โจร เด็ก สตรี คนจน คนรวย อยู่ร่วมกันได้ ให้เห็นแก่ตัวกันในระดับที่พอรับกันได้ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ให้ผมสามารถเดินทางไปไหนมาไหนบนแผ่นดินนี้ได้โดยไม่ถูกทำร้าย หากผมเป็นฝ่ายค้านผมก็หวังว่ารัฐบาลจะฟังผมบ้าง และให้ความเป็นธรรมกับคนที่เลือกผมมาด้วย แค่นี้ก็พอแล้ว นี่คืออุดมคติ!*

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 58141 articles
Browse latest View live




Latest Images