วิทยา สุริยะวงศ์
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 20-26 ส.ค. 2557
ชมรมนักข่าวไอทีวอนบล็อกเกอร์หยุดคุกคามสื่อสารมวลชน ชี้ไม่เข้าใจธรรมชาติสื่อ
หลังบล็อกเกอร์ดังวิจารณ์การทำงานของนักข่าวสายไอทีกรณีถามคำถามไม่ตรงประเด็นที่มีการแถลงข่าว ล่าสุดชมรมนักข่าวไอทีแถลงวอนบล็อกเกอร์หยุดคุกคามการทำหน้าที่สื่อสารมวลชน ชี้ไม่เข้าใจธรรมชาติสื่อ
27 ส.ค.2557 เว็บไซต์ ‘ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ’ รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมา นายเมธา สกาวรัตน์ ประธานชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ชี้แจงบทบาทและหน้าที่ของสื่อสารมวลชนสายไอทีว่า สืบเนื่องจากเมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดงานแถลงข่าวงานหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เจ้าของงานมักมีการเชิญสื่อสารมวลชนและบล็อกเกอร์มาทำข่าวร่วมกัน โดยที่ผ่านมาก็มีการจัดแยกกันบ้าง เพราะทั้ง 2 ฝ่ายนี้ต่างมีประเด็นคำถามที่ต่างกัน แต่บางครั้งก็มีการจัดงานพร้อมกัน
อย่างไรก็ตามแม้ว่างานที่จัดขึ้นจะไม่ได้ถูกใจทั้ง 2 ฝ่าย แต่ก็สามารถผ่านพ้นมาด้วยดี จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ล่าสุด ได้มีบล็อกเกอร์รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ หรือ โซเชียลมีเดีย ซึ่งทุกคนต่างรับรู้ว่าเป็นพื้นที่สาธารณะที่ใครๆ ก็เข้าไปเห็นและแสดงความคิดเห็นต่อๆ กันไปได้ ด้วยผู้เป็นบล็อกเกอร์ได้โพสต์ข้อความในทำนองรำคาญที่เห็นสื่อสารมวลชนสายไอทีถามคำถามในงานแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์หนึ่งด้วยคำถามเชิงเศรษฐกิจ ทำให้ตนเองเสียเวลาในการทำงาน และต่อว่าสื่อสารมวลชนสายไอทีว่าเป็นผู้ไม่มีกาลเทศะ ที่สำคัญคือเขาเจอแบบนี้บ่อยมาก จนมีการกดไลค์ของผู้เข้ามาดู และวิพากษ์วิจารณ์ต่อๆ กันไปนั้น
ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทนของสื่อมวลชนสายไอที ขอชี้แจงถึงบทบาทและหน้าที่ในการทำข่าว การนำเสนอข่าว และธรรมชาติของสื่อสารมวลชนสาย ไอที เพื่อให้สมาชิกองค์กร และบล็อกเกอร์ ได้เข้าใจตรงกัน ดังนี้
1. บทบาทและหน้าที่ของสื่อสารมวลชนในการทำข่าวและเสนอข่าวคือ การนำเสนอความจริง ออกสู่สายตาประชาชน ซึ่งความจริงนั้นต้องไม่เป็นการนำเสนอเอนเอียง หรือเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ที่สำคัญคือต้องนำเสนอข่าวให้รอบด้าน ยกตัวอย่างเช่น การนำเสนอข่าวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องการนำเสนอเพียงแค่คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพียงอย่างเดียว หากต้องมีมิติของผลกระทบเชิงสังคม การแข่งขันกับคู่แข่งในทางการตลาด เศรษฐกิจ ปัจจัยสภาวะการเมืองและการนำเสนอก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่ผลิตภัณฑ์เดียว ประเด็นที่ได้จากการถามเรื่องต่างๆ เหล่านั้น อาจโยงไปยังประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นมิติของข่าวอย่างรอบด้าน
2. ธรรมชาติของสื่อสารมวลชน แต่ละสำนักพิมพ์ต่างมีรูปแบบการนำเสนอ หรือสไตล์ของหนังสือ และกลุ่มผู้อ่านที่ต่างกัน มีทั้งนิตยสารหรือเว็บไซต์ที่ต้องการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเทคนิค ซึ่งกลุ่มเป้าหมายก็คือผู้ที่ต้องการเข้าใจอย่างลึกซึ้งในผลิตภัณฑ์แต่ละผลิตภัณฑ์ ขณะที่หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารอีกส่วนหนึ่งก็มีกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกัน เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการอ่านข่าวในเชิงมิติของเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องเทคนิค ซึ่งที่ผ่านมาสื่อทั้ง 2 แบบนี้ก็ทำงานร่วมกันมาอย่างราบรื่น เพราะต่างคนต่างเข้าใจธรรมชาติของสื่อ
3. ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยบทบาทภาระหน้าที่ มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน และความไม่เข้าใจธรรมชาติสื่อของบล็อกเกอร์ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการ ล้ำเส้นในการทำหน้าที่สื่อบนกรอบการทำงานด้วยความรับผิดชอบในหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพ และการกระทำอันเป็นเสมือนดูถูกศักดิ์ศรีจากผู้ที่ขาดความรู้ ความเข้าใจ ทางด้านวิชาชีพสื่อสารมวลชน
ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยจึงขอเรียกร้องไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
3.1. ให้บล็อกเกอร์หยุดการกระทำอันเป็นการคุกคามต่อการทำหน้าที่สื่อสารมวลชน
3.2. เสนอแนะให้องค์กร หรือบริษัทพีอาร์พิจารณารูปแบบของการแถลงข่าว ภายใต้ความเข้าใจสื่อที่มีความแตกต่าง อาทิ การแยกการจัดงานแถลงข่าวระหว่างสื่อสารมวลชนสายไอที กับบล็อกเกอร์ ที่มีความต้องการเนื้อหาที่แตกต่างกัน หรือหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ขอให้มีการจัดสรรผู้ให้ข้อมูลให้เหมาะสมกับสื่อแต่ละประเภท เช่น ซีอีโอ ให้ข้อมูลทางด้านธุรกิจ หรือ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ให้ข้อมูลด้านเทคนิคกับทางบล็อกเกอร์
แถลงการณ์ฉบับนี้ชมรมฯ ขอยืนยันว่าสื่อสารมวลชนสายไอทีต้องทำงานบนหลักจริยธรรม และความเป็นกลาง จึงขอให้แหล่งข่าว ผู้จัดงาน และบล็อกเกอร์ เข้าใจตรงกันด้วย นอกจากนี้ชมรมฯ จะดำเนินการหารือร่วมกับวิชาชีพ และผู้ประกอบการบริษัทไอที ผู้ดำเนินการตัวแทนประชาสัมพันธ์ ในการการทำความเข้าใจต่อกันอีกด้วย เพื่อให้การทำหน้าที่ของทุกฝ่าย มีข้อคิดเห็น มีความเข้าใจต่อการทำงานและบทบาทในหน้าที่ของสื่อมวลชนสายเทคโนโลยีสารสนเทศต่อไป
ทั้งนี้ ผู้จัดการออนไลน์รายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ก่อนหน้านี้นายอิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone.com ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว Isriya Paireepairit ระบุว่า "ชีวิตนี้เสีย Productivity Time ไปมากจากการมางานแถลงข่าวสายไอที แล้วเจอนักข่าวถามปัญหาเศรษฐกิจ" พร้อมแสดงความรู้สึกว่า Stupid (รู้สึกโง่) โดยอ้างว่าเจอคำถามประเภทยอดขายรายไตรมาสว่าเป็นอย่างไร และสถานการณ์ทางการเมืองมีผลต่อยอดขายหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี อดีตนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และอาจารย์มหาวิทยาลัย ได้แจ้งให้ทราบถึงความไม่พอใจของนักข่าวสายไอที นายอิสรียะจึงได้โพสต์ข้อความต่อมาว่า "ทราบมาว่านักข่าวสายไอทีหลายๆ ท่านไม่ค่อยสบายใจกับสิ่งที่ผมโพสต์ไปวันก่อน ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ เป็นความผิดของผมเองที่ไม่เข้าใจกระบวนการทำงานของสำนักข่าวในไทยครับ"
ชาวบ้านชัยภูมิผวา คำสั่ง คสช.ที่ 64 พ่นพิษ ป่าไม้เดินหน้าติดประกาศขับไล่ออกจากพื้นที่
ปล่อยตัว ‘วีระ’ และพวกแล้ว ไม่ตั้งข้อหา เจ้าตัวขึ้นเวทีการปฏิรูปพลังงานต่อ
ปล่อย วีระ สมความคิด บุญยืน ศิริธรรม อิฐบูรณ์ อ้นวงษา แกนนำกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทย พร้อมพวกรวม 8 คน แล้ว โดยไม่ตั้งข้อหา ร่วมงานเสวนา "การปฏิรูปพลังงานเพื่อความปรองดองของชาติ" ของกระทรวงพลังงานต่อ
27 ส.ค. 2557 พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล. ม.2 รอ. พร้อม เจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร เดินทางเข้าพบ พันตำรวจโท นทธีฤทธิ์ หาญเสน่ห์ลักษณ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กองปราบปราม เพื่อเบิกตัว นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน นางสาวบุญยืน ศิริธรรม อดีต ส.ว.สมุทรสงคราม นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา แกนนำกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทย พร้อมพวกรวม 8 คน
ซึ่งถูกกักตัวไว้ที่ห้องขังกองปราบปราม ตามอำนาจ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก เพื่อซักถามและปรับทัศนคติ โดยทหารพิจารณาปล่อยตัวทั้ง 8 คน โดยไม่ตั้งข้อหา หลังปรับทัศนคติ แต่ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
ทั้งนี้การพิจารณาไม่แจ้งข้อกล่าวหา เนื่องจากมีการพูดคุยปรับทัศนคติกันจนเป็นที่เข้าใจแล้ว โดย นายวีระ กับพวก ทั้งหมดต่างรับปากว่าจะไม่เคลื่อนไหวด้วยวิธีการเดินเท้าไปตามท้องถนน เช่นนี้อีก แม้ว่าบางรายจะไม่ยอมตกปากรับคำด้วยความเต็มใจ แต่ก็ถูก นายวีระ และพวกที่เหลือห้ามปรามไว้
โดยหลังปล่อยตัวแล้ว นายวีระและพวกได้เดินทางไปร่วมงานเสวนา "การปฏิรูปพลังงานเพื่อความปรองดองของชาติ" ของกระทรวงพลังงาน ที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดีรังสิต ตามที่ คสช. สั่งการ เพื่อให้ร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความเห็นร่วมกัน
ภาพ วีระ บนเวที เสวนา "การปฏิรูปพลังงานเพื่อความปรองดองของชาติ" โดยมีพุทธอิสระร่วมด้วย
ภาพบุญยืน ศิริธรรมบนเวทีเสวนา "การปฏิรูปพลังงานเพื่อความปรองดองของชาติ" ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก 'Boonyuen Siritum'
ทั้งนี้ นายวีระและพวก ถูกจับข้อหาทำผิดกฎอัยการศึก หลังร่วมเดินประชาสัมพันธ์ กับกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา
เรียบเรียงจาก Voice TV, สำนักข่าวไทย
งานวิจัยชี้ เยาวชนชายรักชายในไทยเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีสูง
งานวิจัยชี้อัตราการติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในกลุ่มเยาวชนชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย เยาวชนขายบริการทางเพศ และเยาวชนที่ใช้สารสพติดชนิดฉีด
ที่มา: บล็อกยูนิเซฟ ประเทศไทย
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2557 ยูนิเซฟออกงานวิจัยล่าสุด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังประสบปัญหาระลอกใหม่จากกรณีที่มีเยาวชนติดเชื้อเอชไอวีและเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มสูงขึ้น โดยร้อยละ 70 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่ในกลุ่มประชากรอายุระหว่าง 15-24 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย เยาวชนที่ขายบริการทางเพศ และเยาวชนที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
การศึกษาเรื่อง “วิเคราะห์สถานการณ์และปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่มเยาวชนในประเทศไทย” เก็บข้อมูลจากเยาวชนประมาณ 2,000 คนในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย สาวประเภทสอง เยาวชนหญิงที่ขายบริการทางเพศ แรงงานข้ามชาติ และเยาวชนที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา และอุบลราชธานี การศึกษาชิ้นนี้ซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยการสนับสนุนจากยูนิเซฟ ใช้วิธีการสัมภาษณ์และวิธีสุ่มข้อมูลแบบแกนนำเริ่มต้น เพื่อศึกษาพฤติกรรมเสี่ยงของเยาวชน ตลอดจนทบทวนนโยบายและบริการต่างๆ ที่มีอยู่สำหรับเยาวชนกลุ่มนี้
“เยาวชนเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมากกว่าในการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เนื่องจากมักขาดทักษะในการควบคุมสถานการณ์เสี่ยง ประกอบกับการดื่มแอลกอฮอล์และการใช้สารเสพติด” โรเบิร์ต แกส หัวหน้าแผนกเอชไอวี/เอดส์ ขององค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยกล่าว
“นอกจากนี้โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์หาคู่ และแอปพลิเคชันต่างๆ ในมือถือในปัจจุบันยังเอื้อให้เยาวชนพบปะกันเพื่อมีเพศสัมพันธ์แบบชั่วครั้งชั่วคราวกันได้ง่ายขึ้น”
การศึกษาครั้งนี้อ้างอิงข้อมูลระดับประเทศซึ่งระบุว่า ร้อยละ 41 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในประเทศไทย คือ กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย และชี้ให้เห็นว่าเยาวชนชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายเริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มชายหญิง
พงศ์ธร จันทร์เลื่อน ผู้อำนวยการมูลนิธิเอ็มพลัส ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานเพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางเพศในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสองในจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า แม้เยาวชนจะทราบดีถึงความสำคัญของการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศ แต่เยาวชนจำนวนมากมักอายที่จะไปซื้อถุงยาง หรือไม่ก็ไม่ใช้ถุงยางเมื่อถึงเวลามีเพศสัมพันธ์จริงๆ
ในส่วนของหญิงขายบริการแบบประจำในสถานบริการในประเทศไทย ความชุกของเชื้อเอชไอวีลดลงจากร้อยละ 2.8 ในปี 2551 เหลือร้อยละ 1.8 ในปี 2554 อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าหญิงขายบริการทางเพศมักจะใช้ถุงยางอนามัยกับลูกค้าขาจรมากกว่าคู่รักหรือคู่นอนประจำ
การศึกษายังระบุว่าเยาวชนหญิงที่ขายบริการทางเพศแบบเป็นครั้งคราวมักมีความสามารถในการต่อรองในการใช้ถุงยางอนามัยกับลูกค้าได้น้อยกว่าหญิงขายบริการแบบประจำเป็นอาชีพ นั่นหมายความว่า หากเยาวชนที่ขายบริการทางเพศได้รับเชื้อ ก็จะมีโอกาสสูงในการแพร่เชื้อให้แก่คู่รักหรือคู่นอนประจำของตนเอง ซึ่งปัจจุบันนี้พบว่า ประมาณหนึ่งในสามของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศไทย คือ คู่รักของบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง
การศึกษาครั้งนี้ยังระบุว่ากลุ่มแรงงานข้ามชาติคือกลุ่มหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ และเป็นกลุ่มที่มีอุปสรรคในการเข้าถึงบริการฟรีและข้อมูลที่จำเป็นต่างๆ เนื่องจากมีข้อจำกัดทางด้านภาษาและด้านการเงิน
นอกจากนี้ เยาวชนทุกกลุ่มจากการศึกษาครั้งนี้ยังสะท้อนถึงประสบการณ์ด้านลบจากการเข้ารับบริการในโรงพยาบาลของรัฐ หลายคนระบุว่าข้อมูลของพวกเขาไม่ถูกปกปิดเป็นความลับ และเจ้าหน้าที่ไม่เป็นมิตรหรือแสดงความรังเกียจต่อพฤติกรรมของเยาวชน ซึ่งทำให้เยาวชนไม่อยากไปใช้บริการในโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการของรัฐ
“การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า แรงสนับสนุนทางสังคมเป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่จะช่วยปกป้องเยาวชน คือเยาวชนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดหรือมีแรงสนับสนุนจากครอบครัว มีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมเสี่ยงน้อยกว่าเยาวชนที่ไม่มี” โรเบิร์ตกล่าว
ยูนิเซฟเห็นว่าประเทศไทยมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องมีมาตรการรับมือกับปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นในหมู่เยาวชน ซึ่งรวมถึงการมีมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการตรวจและการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งมาตรการเหล่านี้ควรกำหนดในระดับท้องถิ่น และให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการวางแผนเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของพวกเขา
“หนึ่งในข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้ ก็คือ เราเรียกร้องให้มีการลดอายุสำหรับการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวีและการให้คำปรึกษา จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 18 ปี” โรเบิร์ตกล่าว
“ถ้าเยาวชนคนใดก็ตามรู้สึกว่าตนเองไปทำอะไรที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี พวกเขาควรมีสิทธิไปตรวจเลือดได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง”
ดาวน์โหลดรายงานได้ที่ http://uni.cf/1vD63t1 หรือ www.unicef.or.th
และชมวิดีโอสัมภาษณ์เยาวชนกลุ่มเสี่ยงได้ที่ http://bit.ly/1l6WBgu
คืนความจริงกับสุชาติ สวัสดิ์ศรี : คนทำงานศิลปะต้องมีเสรีภาพเพื่อค้นหาความงาม
27 ส.ค. 2557 เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘คืนความจริง’ เริ่มเผยแพร่บทสนทนาว่าด้วย "งานศิลปะภายใต้คณะรัฐประหาร" โดยเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้โพสต์วิดีโอบทสนทนาในประเด็นดังกล่าวตอนแรก ของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี อดีตบรรณาธิการสังคมศาสตร์ปริทัศน์ โลกหนังสือ ฯลฯ ปัจจุบันผันตัวเองมาทำงานศิลปะ โดยการแสดงศิลปะชุดล่าสุดคือ “ ก่อนเวลาลับหาย” ( IN SEACH OF LOST MEMORIES) ซึ่งการพูดคุยในตอนแรกนี้เป็นการ “ย้อนความหลังรัฐประหารเมื่อ 43 ปี” เมื่อครั้งเป็นบรรณาธิการสังคมศาสตร์ปริทัศน์
และวานนี้(26 ส.ค.) มีการเผยแพร่บทสนทนากับสุชาติ ในตอนที่ 2 ซึ่งเขายืนยันว่าคนทำงานศิลปะต้องมีเสรีภาพ เพื่อจะค้นว่าความงามนั้นซ่อนอยู่ที่ไหน
ติดตามบทสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ของ 'คืนความจริง' ได้ที่นี่
‘ม.ล.ปนัดดา’ ปูดอีก อปท. บางแห่งนำญาติรับเหมาก่อสร้าง
ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เผยมีองค์กรส่วนท้องถิ่นบางแห่งมีการนำญาติมาเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง พร้อมยืนยันยังไม่ทราบเหตุผลที่สำนักเลขาธิการ ครม.มีหนังสือคำสั่งให้ชะลอการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการออกไปจนกว่า ครม.ชุดใหม่
27 ส.ค. 2557 หลังจากกรณีที่ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวพาดพิงถึงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด( อบจ.) ใช้เงินหลวงนั่งเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส ซดไวน์ราคาแพง ซื้อบ้านในยุโรปไว้ตากอากาศ จนมีนายก อบจ. หลายแห่งออกมาชี้แจงทำนองว่า พฤติกรรมดังกล่าวน่าจะเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ควรกล่าวหาแบบเหมารวม พร้อมทั้ง อบจ.ทั่วประเทศแต่งดำประท้วง ม.ล.ปนัดดา ไปแล้วเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุดวันนี้(27 ส.ค.) สำนักข่าวไทยรายงานว่า ม.ล.ปนัดดา กล่าวถึงกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีการใช้งบประมาณฟุ่มเฟือย โดยยืนยันว่า ที่ผ่านมามีการร้องเรียนผ่านสายด่วน 1111 รวมถึงส่งตรงมาที่บ้านของตนเอง เกี่ยวการร้องเรียนเรื่องความไม่เท่าเทียมในการจัดสรรงบประมาณของ อปท. ซึ่งมีตั้งแต่ระดับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาล โดยมีกรณีศึกษาว่า อปท.บางแห่งมีการก่อสร้างซึ่งมีการนำบริษัทที่เป็นของญาติพี่น้องมาเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งขณะเดียวกันยังได้มีการส่งเรื่องร้องเรียนต่างๆ ไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
อย่างไรก็ตาม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีคำสั่ง คสช.104/2557 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเป็นคณะกรรมการเข้าไปให้คำแนะในการใช้งบประมาณของ อปท.ให้เกิดประโยชน์ต่อท้องถิ่น เช่น การนำงบไปพัฒนาด้านการศึกษา วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว โดยเชื่อว่าประชาชนในฐานะเจ้าของจังหวัดจะช่วยกันตรวจสอบการใช้งบของ อปท. และหากได้พูดคุยกันผู้เกี่ยวข้องใน อปท.ต่างๆ โดยตรงเชื่อว่าทุกฝ่ายจะเข้าใจถึงความเข้าใจในเรื่องนี้
ส่วนกรณีสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีหนังสือคำสั่งให้ชะลอการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐออกไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ามาทำหน้าที่และกำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินว่า ทราบเรื่องนี้แล้วแต่ยังไม่ทราบรายละเอียดและนโยบายในเรื่องนี้
AREA แถลง 14 คอนโดราคาถูกสุดในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย เผยห้องชุดราคาถูกที่ยังขายในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 14 โครงการ ตั้งราคาขายยูนิตละ 3 แสน ถึง 8 แสน
หมายเหตุ: โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA เผยแพร่รายงานแถลงของ AREA ฉบับที่ 122/2557 เมื่อวันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2557 หัวข้อ "ห้องชุดใจที่ราคาถูกสุดในกรุงเทพมหานคร" มีรายละเอียดดังนี้
000
ห้องชุดราคาถูกสุดๆ ในเขตกรุงเทพมหานครที่ยังขายอยู่ (ที่หมดแล้วไม่นับ) นับเป็นที่อยู่อาศัยที่จัดหาโดยภาคเอกชนและรัฐบาลไม่ต้องส่งเสริมหรือนำภาษีไปอุดหนุน มีราคาถูกสุดเพียง 310,000 บาท หรือตารางเมตรละ 12,400 บาท เท่านั้น
ดร.โสภณ พรโชคชัย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) แถลงผลการสำรวจโครงการห้องชุดที่มีราคาถูกสุดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไว้ดังนี้
อันดับที่ 1 รหัส A7-016 โครงการบางปะอินเอกเซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ติดถนนอุดมศรยุทธิ์ บริษัทผู้ประกอบการคือ บจก. เอกแอนด์บีเรียลเอสเตท, เป็นอาคารสูง 5 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 25 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ สตูดิโอ 38.06 ขายราคาห้องละ 310,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 12,400 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 38 หน่วย
อันดับที่ 2 รหัส G4-013 โครงการนิรันดร์เรซิเดนซ์ 7 ตั้งอยู่ติดถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 28 แยกจากถนนรามคำแหง 2 บริษัทผู้ประกอบการคือ บจก. นิรันดร์กรุ๊ป(นิรันดร์แกรนด์) เป็นอาคารสูง 9 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 25.6 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ สตูดิโอ 37.04 ขายราคาห้องละ 350,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 13,672 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 533 หน่วย
อันดับที่ 3 รหัส N3-002 โครงการจตุรพรคอนโดทาวน์ ตั้งอยู่ติดถนนท่าอิฐ แยกจากถนนรัตนาธิเบศร์ บริษัทผู้ประกอบการคือ บจก. ซีเอชเอ็นเอ็นเตอร์ไพรซ เป็นอาคารสูง 8 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 24 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ สตูดิโอ 35.06 ขายราคาห้องละ 399,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 16,625 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 44 หน่วย
อันดับที่ 4 รหัส K4-177 โครงการฟลูเฮ้าส์ คอนโดมิเนียม ตั้งอยู่ติดถนนเพชรเกษม 110 บริษัทผู้ประกอบการคือ บจก. ฟลูเฮ้าส์ดิเวลลอปเม้นท์ เป็นอาคารสูง 5 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 28 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ สตูดิโอ 51.01 ขายราคาห้องละ 579,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 20,679 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 5 หน่วย
อันดับที่ 5 รหัส A4-217 โครงการลุมพินีทาวน์ชิป รังสิต - คลอง 1 ตั้งอยู่ติดถนนคลอง 1 แยกจากถนนรังสิต-นครนายก บริษัทผู้ประกอบการคือ บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ เป็นอาคารสูง 8 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 22 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ สตูดิโอ 56.10 ขายราคาห้องละ 690,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 32,093 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 2,869 หน่วย
อันดับที่ 6 รหัส A3-087 โครงการพลัม คอนโด พหลโยธิน 89 ตั้งอยู่ติดถนนพหลโยธิน 87 (ปากซอย) บริษัทผู้ประกอบการคือ บมจ. พฤกษาเรียลเอสเตท เป็นอาคารสูง 8 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 22 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ สตูดิโอ 56.08 ขายราคาห้องละ 699,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 31,773 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 851 หน่วย
อันดับที่ 7 รหัส E7-160 โครงการอัสสกาญจน์ เพลส ตั้งอยู่ติดถนนรามคำแหง บริษัทผู้ประกอบการคือ บจก. อัสสกาญจน์ เป็นอาคารสูง 7,8 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 30 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ 1 ห้องนอน 53.05 ขายราคาห้องละ 699,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 23,300 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 2 หน่วย
อันดับที่ 8 รหัส D6-011 โครงการคูณสุขวิลล์ ตั้งอยู่ติดถนนนวมินทร์ 157 นวมินทร์ บริษัทผู้ประกอบการคือ บจก. คูณสุข เป็นอาคารสูง 8 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 26 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ สตูดิโอ 37.01 ขายราคาห้องละ 699,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 26,885 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 210 หน่วย
อันดับที่ 9 รหัส A2-124 โครงการใกล้ตะวัน เรสซิเด็นซ์ ตั้งอยู่ติดซอย คลองสาม 6/7 ถนนคลองหลวง บริษัทผู้ประกอบการคือ บจก. พีเอ็นพร๊อพเพอร์ตี้ เป็นอาคารสูง 5 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 32 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ สตูดิโอ 56.09 ขายราคาห้องละ 719,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 22,469 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 16 หน่วย
อันดับที่ 10 รหัส E3-108 โครงการเดอะ พรีเมี่ยม คอนโด ตั้งอยู่ติดถนนเชื่อมสัมพันธ์ บริษัทผู้ประกอบการคือ บจก. แองกรี้เบิร์ด เป็นอาคารสูง 8 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 21.53 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ สตูดิโอ 56.01 ขายราคาห้องละ 784,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 36,414 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 30 หน่วย
อันดับที่ 11 รหัส C4-041 โครงการรีเจ้นท์ โฮม ประชาชื่น ตั้งอยู่ติดซอย พงษ์เพชรนิเวศน์ ถนนประชาชื่น บริษัทผู้ประกอบการคือ บจก. รีเจ้นท์กรีนเพาเวอร์ เป็นอาคารสูง 8 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 31 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ สตูดิโอ 51.01 ขายราคาห้องละ 800,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 25,806 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 8 หน่วย
อันดับที่ 12 รหัส E6-062 โครงการบ้านมารวย ตั้งอยู่ติดถนนร่มเกล้า 44 บริษัทผู้ประกอบการคือ บจก. มารวยธานีเมืองใหม่ เป็นอาคารสูง 5 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 33.75 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ สตูดิโอ 53.04 ขายราคาห้องละ 810,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 24,000 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 2 หน่วย
อันดับที่ 13 รหัส H6-144 โครงการไมอามี่ บางปู ตั้งอยู่ติดถนนบริษัทผู้ประกอบการคือ บจก. เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ เป็นอาคารสูง 5 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 25.0 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ สตูดิโอ 57.04 ขายราคาห้องละ 875,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 35,000 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 416 หน่วย
อันดับที่ 14 รหัส G5-094 โครงการลุมพินีวิลล์ อ่อนนุช-ลาดกระบัง ตั้งอยู่ติดถนนอ่อนนุช-ลาดกระบัง บริษัทผู้ประกอบการคือ บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลอปเมนท์ เป็นอาคารสูง 8 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 22.5 ตารางเมตร เป็นห้องแบบ 1 ห้องนอน 56.05 ขายราคาห้องละ 885,000 บาท หรือเป็นเงินตารางเมตรละ 39,333 บาท ณ เดือนกรกฎาคม 2557 ยังพอมีให้ซื้ออีก 20 หน่วย
ทางราชการควรสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของภาคเอกชน ไม่ควรทำแข่งขันยกเว้นในกรณีที่อยู่อาศัยในพื้นที่พิเศษต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าการเคหะแห่งชาติที่ดำเนินการมาเกือบ 40 ปี มีมูลค่าการพัฒนาโครงการพอ ๆ กับ บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท ที่ดำเนินการมาประมาณ 20 ปี (ไม่นับรวมบ้านเอื้ออาทร การสร้างบ้านข้าราชการและการปรับปรุงชุมชนแออัด) โดยรัฐบาลไม่ต้องเสียเงินภาษีไปอุดหนุนบริษัทเอกชนแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นบริษัทใหญ่ ๆ โดยเฉพาะบริษัทมหาชนก็มีกำลังค่อนข้างสูงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องอุดหนุนด้านภาษีหรือดอกเบี้ยแต่อย่างใด
หัวหน้า คสช. สั่งให้หาอะไรให้วัยรุ่นแข่งมอเตอร์ไซค์ทำเมื่อถูกจับ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ห่วงใยวัยรุ่นแข่งรถมอเตอร์ไซค์ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และคิดโจทย์เรื่องควบคุมตัวผู้กระทำผิดไปทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ด้วยว่าจะดำเนินการอย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. (ที่มา: แฟ้มภาพ/โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย)
27 ส.ค. 2557 - เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2557 ณ หอประชุม สโมสรกองทัพบก (เทเวศร์) พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก และทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แถลงภายหลังการประชุม คสช. ชุดใหญ่ครั้งที่ 12/2557 ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. กล่าวก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ถึงประเด็นปัญหาเด็กแว้น หรือเด็กวัยรุ่นแข่งรถมอเตอร์ไซค์ โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการแก้ปัญหาทั้งในส่วนของการรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และใช้มาตรการการใช้บังคับกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องของการปราบปราม ที่นอกจากจะบังคับใช้แล้ว จะต้องควบคุมผู้ที่กระทำผิดไปทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ด้วย จึงขอให้หน่วยงานรับการบ้านไปคิดต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไร
ร้อง คสช. คืนความสุข คืนสิทธิชุมชนจัดการที่ดิน หลังในพื้นที่โดนรุกไล่หนัก
แถลงการณ์เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) คืนความสุขให้ประชาชน คืนสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดิน สืบเนื่องจากจังหวัดชัยภูมิ ได้มีประกาศจังหวัด เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้และบุกรุกพื้นที่ป่าจังหวัดชัยภูมิ โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการปิดประกาศดังกล่าวในพื้นที่พิพาทสวนป่าโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย และสวนป่าคอนสาร (ชุมชนบ่อแก้ว) ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ในวันที่ 24 และ 25 สิงหาคม 2557 ตามลำดับ นั้น สาระสำคัญของประกาศข้างต้น อาศัยอำนาจคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าจังหวัดชัยภูมิ และคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 64/2557 ให้ผู้บุกรุกถือครองพื้นที่สวนป่าทั้ง 2 แห่ง ออกจากพื้นที่และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งพืชผลอาสิน ภายใน 15 วัน และ 30 วัน ตามลำดับ หากพ้นกำหนดเวลา ทางราชการจะเข้าตรวจสอบพื้นที่และดำเนินการตามกฎหมายแก่ผู้กระทำผิดโดยเด็ดขาด ในทางเป็นจริง กล่าวได้ว่า พื้นที่ทั้งสองแห่งมีข้อพิพาทสิทธิในที่ดินระหว่างราชการกับประชาชนมาเป็นเวลานาน กระทั่งมีการร้องเรียนของชาวบ้านผู้เดือดร้อน และเกิดกลไกการแก้ไขปัญหาร่วมกัน จนมีมติ ข้อตกลงต่างๆ เช่น รายงานผลการละเมิดสิทธิในที่ดิน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มติคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงระดับพื้นที่ มติคณะรัฐมนตรีเรื่องการผ่อนผันให้ทำประโยชน์ในพื้นที่พิพาทไปพลางก่อน จนกว่าการแก้ไขปัญหาจะได้ข้อยุติ เป็นต้น นอกจากนี้ พื้นที่เหล่านี้ ยังได้ยื่นคำร้องขอจัดตั้งโฉนดชุมชน ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการของหน่วยงานผู้รับผิดชอบ ในการนี้ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน จึงขอเสนอต่อผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนี้
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน 27 สิงหาคม 2557 |
คสช.อมุมัติ 5.9 พันล้านแก้ราคายาง-ย้ำระบายสต็อกยาง 2.1 แสนตันค่อยเป็นค่อยไป
คสช. เทงบ 5.9 พันล้านแก้ปัญหาราคายาง-เรื่องขายยางในสต็อก 2.1 แสนตันยืนยันว่าจะทยอยขาย ไม่ให้ส่งผลกระทบราคา-อนุมัติงบ 8.5 พันล้านให้ท้องถิ่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-ฝึกอาชีพ แต่ห้ามจัดดูงาน-เห็นชอบการเคหะลงทุน 3 หมื่นล้าน พัฒนาที่อยู่อาศัยแก้ชุมชนแออัด 1.6 หมื่นยูนิต
ที่มาของภาพ: ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล
คสช. อนุมัติงบ 5.9 พันล้าน พัฒนายางพาราทั้งระบบ
ในการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่หอประชุม สโมสรกองทัพบก (เทเวศร์) นั้น เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่า พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก และทีมโฆษก คสช. แถลงผลการประชุม คสช. ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ห่วงใยการแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำจึงได้อนุมัติงบประมาณ วงเงิน 5,938.25 ล้านบาท ภายใต้แผนพัฒนายางทั้งระบบ ระยะ 10
โดยมาตรการเร่งด่วนระยะสั้น ให้อนุมัติงบกลางปี 57 จำนวน 977.75 ล้านบาท เพื่อยกระดับราคายาง โดยเพิ่มสภาพคล่องของตลาด และเพิ่มมูลค่าคุณภาพผลผลิตรวมถึงส่งเสริมสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางพารา 15,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เน้นย้ำถึงแผนพัฒนายางทั้งระบบ ว่าอยากให้มีการตั้งสถาบันวิจัยยางขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อดูแลพัฒนายกระดับเกษตรกร และยางพารา ในอนาคต ให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด
ส่วนความเข้าใจผิดเรื่องพลังงานในประเทศ พ.อ.วินธัย ระบุว่า ในวันที่ 27 ส.ค. เวลา 09.00 น. ที่สโมสร ทบ. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้า คสช. ฝ่ายเศรษฐกิจ พร้อมกระทรวงพลังงาน และผู้เกี่ยวข้อง จะเปิดเวทีรับฟังและแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องพลังงาน ให้เข้าใจตรงกัน และจะมีการให้กองปราบปรามนำตัวนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น มาร่วมรับฟังในเวทีนี้ด้วย
อนุมัติ 8.5 พันล้านให้ อปท. ทำโครงสร้างพื้นฐาน-อาชีพ-ท่องเที่ยว ย้ำห้ามนำไปดูงาน
ด้านนางสาวปถมาภรณ์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ทีมโฆษก คสช. ฝ่ายพลเรือน ระบุว่า ที่ประชุม คสช. อนุมัติงบประมาณ 8,500 ล้านบาท ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. เพื่อสนับสนุนงานพัฒนาท้องถิ่น ทั้งเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานถาวร การส่งเสริมอาชีพ การท่องเที่ยว ซึ่งจัดสรรให้ อปท.ละ 1 ล้านบาท ซึ่งหัวหน้า คสช. ได้ห้ามนำเงินงบประมาณนี้ให้บุคลากรท้องถิ่นนำไปใช้ศึกษาดูงานเป็นอันขาด
นอกจากนี้ คสช.ยังอนุมัติงบประมาณ 18,000 ล้านบาท ให้การประปาส่วนภูมิภาค ไปปรับปรุงงานทั้งระบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ขาดแคลน เช่น เกาะสมุย
พ.อ.วินธัยย้ำการระบายสต็อกยางจะค่อยเป็นค่อยไป
ในรายงานเพิ่มเติมของเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลพ.อ.วินธัย กล่าวถึงข้อกังวลของเกษตรกรชาวสวนยางในเรื่องแผนการระบายยางในสต็อกว่า กนย. จะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะผลกระทบราคายางในปัจจุบัน สำหรับข้อมูลที่ได้ในเบื้องต้น ทั้งนี้หากมีการดำเนินการระบายยางพาราจะทยอยดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในปริมาณที่จำกัด มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคายางในปัจจุบันอย่างแน่นอน
พร้อมกันนี้ พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ขณะนี้ คสช. และหน่วยเกี่ยวข้องจะพยายามทำให้ราคายางอยูในราคาที่เหมาะสมโดยเร็ว โดยได้มีการเตรียมมาตรการ ทั้งระยะสั้น และระยะยาว รวมทั้งมีการขอความร่วนมือทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ชาวสวนยางได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมอย่างสูงสุด ทั้งนี้ ในระยะยาวจะเริ่มดำเนินการมาตรการสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อธุรกิจการแปรรูปเบื้องต้นให้แก่องค์กรเกษตรกร และผู้ประกอบการทั่วไปที่ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาง พร้อมทั้งจะเร่งให้มีการจัดตั้งสถาบันวิจัยยางในประเทศ เพื่อดูแลยางพาราทั้งระบบอย่างยั่งยืน และเพื่อพัฒนาไปสู่ธุรกิจอย่างครบวงจรให้มากขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า คสช. มีแผให้ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หารือคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติกํากับดูแลในการรักษาเสถียรภาพราคายางพารา เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและแนวโน้มการระบายยางในสต็อกรัฐบาล 2.1 แสนตัน ที่รับซื้อไว้ราคาเฉลี่ย 104 บาทต่อกิโลกรัม หลังมีผู้เสนอราคาซื้อเข้ามากว่า 10 ราย แต่มีผู้ซื้อรายเดียวที่ให้ราคาสูงกว่าราคากลาง (อ่านข่าวในกรุงเทพธุรกิจ)
เห็นชอบหลักการลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัย 3 หมื่นล้านบาท 1.6 หมื่นยูนิต
ส่วนมาตรการเรื่องที่อยู่อาศัยนั้น ในรายงานของ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลพ.อ.วินธัย แถลงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการให้ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนระดับล่าง หรือที่ชุมชนแออัดในอนาคต ทางภาครัฐจะร่วมกับ กทม. และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดหาอาคารสถานที่ที่มีความเหมาะสมไม่ให้เกิดความแออัดกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเห็นชอบในหลักการแผนการลงทุน โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุดที่ 1 ของการเคหะแห่งชาติในกรอบวงเงินลงทุนรวมประมาณ 3 หมื่นกว่าล้านบาท รวม 38 โครงการ จำนวน 16,146 หน่วย วงเงินลงทุนรวมประมาณ 9,577 ล้านบาท เงินอดหนุนรวม 1,249 ล้านบาท และเงินกู้ภายในประเทศ 7,113 ล้านบาท และเงินรายได้ของการเคหะ 1,214 ล้านบาท ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังจัดการและค้ำประกันเงินกู้ และเห็นชอบวงเงินอุดหนุนของรัฐบาลจำนวน 1,249 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี 2554 ที่เห็นชอบพลิกฟื้นองค์กรการเคหะแห่งชาติ โดยทางการเคหะแห่งชาติ ได้จัดทำแผนการลงทุนเสนอให้ครม. พิจารณาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2556
ประเวศ วะสี
10 ปี ‘Blognone’ บล็อกข่าวสารไอที เขียนเหลียวหลังย้อนดูตัว และแลไปข้างหน้า
27 ส.ค. 2557 เว็บหรือบล็อกข่าวเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที ที่ใช้ชื่อ ‘Blognone’ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2557 เพื่อนำเสนอเนื้อหาข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ไอที โทรคมนาคม และชีวิตในโลกดิจิทัล โดยปัจจุบันมีเว็บในเครืออีก 2 แห่งคือ Jusciสำหรับเนื้อหาวิทยาศาสตร์และวิทยาการ และ Meconomicsสำหรับเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ นโยบาย
และในวาระครบรอบ 10 ปี ของการก่อตั้ง Blognone ได้เขียนบทความประเมินผลงานที่ผ่านมา ผ่านโจทย์ 3 ข้อที่ตั้งไว้คือ การเป็นสื่อไอทีที่ได้รับความเชื่อถือจากวงการ ความสามารถในการยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองในฐานะหน่วยงานทางธุรกิจ และการมีบทบาทผลักดันวงการไอทีไทยให้คุณภาพดีกว่าเดิมในภาพรวม พร้อมทั้งการวิเคราะห์ถึงอนาคตของตนเอง ผ่านกระแสเทคโนโลยีที่สำคัญ 2 ประการ คือ เว็บ และ โมบาย ผ่านบทความชื่อ ‘10 ปี Blognone - เหลียวหลังย้อนดูตัว และแลไปข้างหน้า’ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ครบรอบ 10 ปีของ Blognone ซึ่งจริงๆ เราก็ผ่านวันครบรอบทุกปีแต่ไม่ค่อยได้สนใจอะไรเท่าไรนัก แต่รอบนี้ตัวเลขลงตัวครบ 1 ทศวรรษพอดี ก็คิดว่าต้องบันทึกอะไรไว้เป็นหมุดหมายสักหน่อยนะครับ 10 ปีที่แล้ว นักศึกษาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์สองคนมีความคิดว่า "ข่าวไอที" ในเมืองไทยยังมีคุณภาพในระดับที่ยังไม่ถูกใจตัวเองเท่าไรนัก (โพสต์ต้นฉบับถ้ายังไม่เคยอ่าน, ตำนานต่อจากนั้น) ด้วยแนวคิดอย่ามัวแต่พร่ำบ่น "อยากได้ต้องทำเอง" ที่สืบทอดมาจนวันนี้ พวกเขาก็ไปจดโดเมน เช่าโฮสต์ เปิดเว็บ แล้วก็ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ จนกลายเป็น Blognone อย่างที่เห็นทุกวันนี้ มองย้อนกลับไปแล้ว มันเป็นช่วงเวลา 10 ปีที่จะว่าเร็วก็ได้ จะมองว่านานก็ถูก ผมคิดอยู่นานว่าจะเขียนโพสต์นี้อย่างไร (นั่งคิดมาหลายเดือนเลยนะ) สุดท้ายก็คิดว่าคงต้องย้อนกลับไปถึง เป้าหมาย 3 ประการ ที่เคยวาดฝันเอาไว้สมัยทำเว็บใหม่ๆ (หาโพสต์ต้นฉบับไม่เจอแล้ว T_T) และมาทบทวนกันดูว่าจากวันนั้นถึงวันนี้ มีอะไรที่คืบหน้าจากเดิมบ้าง สมัยเริ่มต้น Blognone มาได้สักระยะหนึ่ง เรากำหนดโจทย์ให้ตัวเองไว้ 3 ข้อครับ 1. เป็นสื่อไอทีที่ได้รับความเชื่อถือจากวงการ 2. ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองในฐานะหน่วยงานทางธุรกิจ 3. ผลักดันวงการไอทีไทยให้คุณภาพดีกว่าเดิมในภาพรวม เป็นสื่อไอทีที่ได้รับความเชื่อถือจากวงการ สถานะตั้งต้นของ Blognone คือ "เว็บ" หรือ "บล็อก" โนเนมที่ไม่มีใครรู้จัก ทุกอย่างเริ่มขึ้นจากศูนย์ ในเมื่อแนวคิดตั้งต้นคือ "ทำสื่อ" เราก็พยายามพัฒนาคุณภาพของเนื้อหาโดยรวมให้น่าพึงพอใจ (ในสายตาของตัวเอง) ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ (และหวังว่าคนอื่นจะชอบแบบเดียวกัน) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเร็ว ความลึก ความแม่นยำในเชิงข้อมูลและเทคนิค Blognone เกิดมาในยุคสื่อออนไลน์ที่ทุกคนเป็นสื่อได้ เราไม่คิดว่าโมเดลแบบเดิมที่กำหนดให้คนกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตสื่อแค่ฝ่ายเดียว สื่อสารทางเดียว จะเป็นโมเดลที่ยังใช้ได้ในโลกอินเทอร์เน็ต (ที่คุณค่าของทุกคนเท่ากัน) ได้อีกต่อไป เราจึงเปิดช่องทางให้ผู้อ่านเข้ามามีส่วนร่วมกับเนื้อหาในรูปแบบต่างๆ มากมาย ตั้งแต่คอมเมนต์ไปจนถึงระบบ contributor/writer เพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านที่อ่านเฉยๆ เข้ามาร่วมแชร์และสนทนาในประเด็นด้านไอทีที่ตัวเองสนใจ เราเชื่อว่าโลกเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เนื้อหาหรือ content ก็ควรจะมีสภาพ dynamic ปรับตัวตามได้เสมอ เราจึงส่งเสริมการถกเถียงประเด็นทั้งในแง่ความถูกต้องของข้อมูลและการนำเสนอที่เหมาะสมในเนื้อหาข่าว และยินดีปรับแก้ไขเนื้อหานั้นอยู่ตลอดเวลาถ้ามีเหตุผลอันสมควร ทุกคนเขียนผิดได้ พลาดได้ แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเมื่อเราสามารถแก้ไขความผิดพลาดนั้นได้ "โดยทันที" ผมคิดว่าด้วยนโยบายด้านเนื้อหาที่เน้นจับกลุ่มคนในวงการไอทีมาตั้งแต่ต้น และโมเดลการจัดการชุมชนที่พยายามดึงคนไอทีเข้าร่วม เป็นปัจจัยสำคัญที่ Blognone ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในกลุ่มคนด้านไอทีของประเทศไทย ประเด็นด้านการยอมรับนี้อาจดู subjective ตามการตีความแต่ละบุคคล แต่เท่าที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมา ได้รับรู้ว่าองค์กรหรือหน่วยงานด้านไอทีหลายๆ แห่งในประเทศติดตามข้อมูลจาก Blognone อย่างต่อเนื่อง ฟังแล้วก็ดีใจครับที่บรรลุจุดประสงค์ตามเป้าหมายในระดับหนึ่ง และก็ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมา ณ ที่นี้เลย ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองในฐานะหน่วยงานทางธุรกิจ Blognone เกิดขึ้นในฐานะงานอดิเรก ทำเอาสนุก (Just for Fun แบบที่ Linus พูดเอาไว้) แต่เมื่อมันสามารถเติบโตต่อมาได้ในเชิงธุรกิจ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่คว้าโอกาสนี้ และเท่าที่ติดตามวงการไอทีมานาน ผมคิดว่าการสร้างองค์กรที่ยั่งยืน ต้องตอบโจทย์ด้านการหารายได้เป็นตัวเงินมาหล่อเลี้ยงองค์กรให้เดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้นถ้าเราต้องการเติบโตให้อยู่ได้นานๆ ก็คงแทบไม่มีทางอื่นเลยนอกจากขยายมันจากงานอดิเรกเวลาว่าง มาเป็นธุรกิจจริงจัง เราจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดในปี 2555 เมื่อไม่นานมานี้เอง และปัจจุบันก็มีรายได้จากโฆษณาเข้ามาในระดับหนึ่ง เป็นสื่อออนไลน์ขนาดเล็กๆ ที่แหวกว่ายท่ามกลางสื่อขนาดใหญ่จำนวนมาก ถึงแม้ตัวเงินอาจไม่เยอะ แต่ผมก็คิดว่าถ้ายึดตามโจทย์ "ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง" เราก็บรรลุเป้าหมายนี้แล้วเช่นกัน (ขอบคุณสปอนเซอร์ทุกท่าน) ผลักดันวงการไอทีไทย เป้าหมายข้อสุดท้ายนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด และตอนที่ผมเคยประกาศเป้าหมาย 3 ข้อเอาไว้ ก็คิดว่าเป้าหมายข้อนี้เป็นเป้าหมายที่ไม่มีวันบรรลุผล แต่เราก็มีภารกิจที่ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีวันหยุดเช่นกัน ในฐานะคนในแวดวงไอที ผมเชื่อว่าทุกคนคงเห็นแบบเดียวกันที่ "ไอที" หรือ "เทคโนโลยีสารสนเทศ" เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในระดับที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ไม่น้อยไปกว่าถ่านหิน เครื่องจักรไอน้ำ หรือไฟฟ้า มันเป็นพัฒนาการอีกขั้นที่สำคัญในแง่อารยธรรมของมนุษย์ ถ้ามองภาพรวมขนาดกว้างมากๆ ความสำคัญของ "ไอที" ไม่ใช่พลังในการขับเคลื่อนทางกายภาพในลักษณะเดียวกับเทคโนโลยีด้านพลังงานในอดีต แต่มันคือการบีบมิติทั้งเชิงกายภาพและเวลาให้หดแคบลง และขยายพลังในการประมวลผลข้อมูลของมนุษย์ให้ยิ่งใหญ่ขึ้น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ชีวิตของเราดีขึ้นในทุกๆ ด้าน และเราก็เคยเห็น "ความสำเร็จ" ของบริษัทไอทีที่สร้างนวัตกรรมพลิกโลกมาแล้วไม่รู้ต่อกี่ครั้ง นวัตกรรมและความก้าวหน้าเหล่านี้นำมาซึ่งชีวิตที่ดีขึ้นของคนมหาศาล ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความมั่งคั่งและชื่อเสียงแก่ผู้บุกเบิกเหล่านี้ น่าเสียดายว่าวงการไอทีในประเทศไทยยังไม่สามารถก้าวไปถึงขั้นนั้นได้ด้วยเหตุผลหลายประการ (คงเขียนถึงตรงนี้ได้ไม่หมด) ในฐานะสื่อไอทีรายหนึ่งที่มีเป้าหมายเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก เราก็พยายามทุกทางเท่าที่จะทำได้ (แม้จะทำได้ไม่เยอะอย่างที่ควรจะเป็น) ในการสนับสนุนวงการไอทีบ้านเราให้เข้มแข็งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอแนวโน้มทางด้านเทคโนโลยีที่น่าจะมาแรงผ่านเนื้อหาและงานสัมมนา, สนับสนุนการจ้างงานผ่าน Blognone Jobs, ประชาสัมพันธ์ผลงานของคนไอทีไทยผ่าน App.th และการสัมภาษณ์ รวมถึงการพยายามสร้างแรงบันดาลใจแก่คนไอทีรุ่นใหม่ โดยเล่าเรื่องราวของคนไอทีที่ประสบความสำเร็จทั้งจากในและต่างประเทศ ในแง่นี้ ผมคิดว่า Blognone เป็นส่วนหนึ่งของ movement หรือการเคลื่อนไหวอันหนึ่งที่ฟอร์มตัวขึ้นจากคนทำงาน ผู้บริโภค และผู้สนใจด้านเทคโนโลยีในประเทศไทย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ movement อันนี้แต่ผมก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คิดเหมือนกันว่าเรายังอ่อนด้อยในเวทีโลก และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้าลง ทำการบ้านให้หนัก ปรับปรุงตัวเองให้เก่งฉกาจขึ้น เข้มแข็งกว่าเดิม เพื่อออกไปต่อสู้กับคู่แข่งในตลาดโลกต่อไป ซึ่ง Blognone ก็สัญญาว่าจะช่วยสนับสนุนภารกิจเหล่านี้ต่อไปเช่นกัน กล่าวโดยสรุปก็คือเราบรรลุเป้าหมายทั้ง 3 ข้อในระดับหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังสามารถพัฒนาตัวต่อไปได้ทั้งใน 3 แง่มุมอีกมาก ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป แต่เราก็ยังมีคำถามใหม่ที่ท้าทายเพิ่มเข้ามาอีกข้อ ว่า Blognone ในทศวรรษที่สองจะต้องปรับบทบาทหรือภารกิจของตัวเองอย่างไรบ้าง ทศวรรษหน้า ทศวรรษที่ผ่านมาของ Blognone เราผ่านกระแสเทคโนโลยีที่สำคัญ 2 ประการ คือ เว็บ และ โมบาย Blognone ถือกำเนิดขึ้นในปี 2004 ที่กระแส "เว็บ 2.0" กำลังเริ่มถีบตัวขึ้นพอดี โลกไอทีเปลี่ยนจากแนวคิด fat client มุ่งสู่โลกออนไลน์ (ที่สุดท้ายก็กลายมาเป็นคำว่า คลาวด์) บริษัทออนไลน์อย่างกูเกิล ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ฯลฯ เกิดขึ้นมาในช่วงนั้น และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในทุกวันนี้ กระแสของโมบายเริ่มขึ้นทีหลัง เราอาจนับหมุดหมายตั้งต้นเป็น iPhone รุ่นแรกในปี 2007 แต่ความสำคัญของโมบายไม่ได้มีแค่พลังของตัวอุปกรณ์ (device) แต่มันรวมไปถึงความครอบคลุมของเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงไปทั่วโลกในระยะเวลาอันสั้น แถมยังสามารถให้บริการในราคาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ ทุกวันนี้เมื่อพูดถึง "คอมพิวติ้ง" โฉมหน้าของมันเปลี่ยนไปจาก "พีซีสีครีมในกล่องสีเหลี่ยม" มาก คอมพิวติ้งกลายร่างมาอยู่ในกระเป๋าของทุกคนไปเรียบร้อยแล้ว คำถามต่อไปคือ 10 ปีข้างหน้าเราจะเจออะไรต่อไป? ผมคิดว่าพลังขับเคลื่อนที่เป็นผลมาจากเทคโนโลยี โมบาย+คลาวด์ ทำให้พลังประมวลผล (computing power) ถูกลงมาก และมีขนาดเล็กลงมาพอที่จะสามารถฝังตัวได้ในทุกสิ่ง เมื่อบวกกับเครือข่ายการสื่อสารที่ครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ ของโลกเกือบหมดแล้ว การจะฝังหน่วยประมวลผลไปในสิ่งของทุกอย่าง แล้วให้มันสื่อสารเชื่อมต่อกันเองได้จึงไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝันนัก Internet of Things อาจเป็นแนวคิดที่ดูเลื่อนลอยและจับต้องได้ยาก แต่ถ้าเรามองลงไปให้ใกล้กว่านั้น เราเริ่มเห็น "รูปธรรม" จากเทคโนโลยีพวก Smart Home, Smart Car, Wearable Computing ซึ่งถือเป็นหมวดหมู่ย่อยใน Internet of Things ด้วยกันทั้งสิ้น ในอีกด้าน พลังแห่งการสร้างสรรค์ก็เข้าถึงง่ายในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน เทคโนโลยีอย่าง 3D Printing หรือคอมพิวเตอร์จิ๋วราคาถูกมากๆ ช่วยให้คนทั่วไปสามารถกลายเป็น "ผู้สร้าง" ผลงานในรูปแบบที่ตัวเองต้องการได้อย่างอิสระ จนกลายเป็นกระแส maker movement ที่เริ่มก่อตัวขึ้นในปัจจุบัน (ใครยังไม่ได้อ่านบทความ และแล้วความเคลื่อนไหวก็เริ่มปรากฏ: รู้จักกับ Maker Movement ก็ควรอ่านนะครับ) ด้วยพลังทางเทคโนโลยี 2 ประการข้างต้น ผมคิดว่าในทศวรรษต่อไปของ Blognone เราจะเห็นเทคโนโลยีเหล่านี้แทรกซึมไปในทุกอณูของชีวิต เมื่อสิ่งของรอบตัวเราสามารถคิดได้ สื่อสารได้ และเราสามารถ "สร้างมันได้เอง" ความสัมพันธ์ของเรากับสิ่งรอบตัวทุกอย่าง (และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ผ่านตัวกลางที่เป็นสิ่งของเหล่านี้) จะถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ชนิดที่ไม่มีใครเคยนึกฝันมาก่อน (และนึกตอนนี้ก็นึกไม่ออกหรอก) หน้าที่ของ Blognone ในทศวรรษที่สองคือตามหา "นิยามใหม่" ของสายสัมพันธ์เหล่านี้ ว่าบทบาทของเทคโนโลยีกับชีวิตของคนในทุกแง่มุม (ทุกแง่มุมจริงๆ นะ ย้ำหลายรอบแล้ว) เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง และวิธีการที่เหมาะสมในการอยู่ด้วยกันคืออะไร (ซึ่งทุกวันนี้เราก็น่าจะเริ่มเห็นสัญญาณกันบ้างแล้วว่าชีวิตของตัวเองและสายสัมพันธ์กับคนรอบข้าง สิ่งรอบตัว มันเปลี่ยนไปจากเดิมมาก) Redefine Everything คือภารกิจลำดับถัดไปของเรา และขอเชิญทุกท่านที่อ่านบทความนี้อยู่ เดินทางไปด้วยกันครับ |
สหรัฐฯ เตือนเวียดนามเรื่องจับขังนักกิจกรรมอ้างข้อหา 'กีดขวางการจราจร'
ทางการเวียดนามได้จับกุมและตัดสินจำคุกนักกิจกรรม 3 คนด้วยข้อหา 'กีดขวางการจราจร' ในขณะที่นักกิจกรรมกำลังเดินทางไปเยี่ยมอดีจนักโทษการเมือง นักสิทธิมนุษยชนมองว่าเป็นการตั้งข้อหาเท็จแบบไม่มีมูล ทางด้านสหรัฐฯ เตือนการจับผู้วิจารณ์รัฐบาลเป็นเรื่องน่าตระหนก
27 ส.ค. 2557 ทางการสหรัฐฯ แสดงความกังวลต่อกรณีที่ทางการเวียดนามจับกุมนักกิจกรรมเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยข้ออ้าง "กีดขวางการจราจร"
จากเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (26 ส.ค.) ทางการเวียดนามได้สั่งลงโทษจำคุกนักกิจกรรม 3 รายได้แก่ ปุยทิมินห์ฮัง, เหงียนทิทุยกวินห์ และเหงียนหวันมินห์ โดยให้จำคุกเป็นเวลา 3 ปี, 2 ปี และ 2 ปีครึ่ง ตามลำดับด้วยข้อหากีดขวางการจราจรซึ่งกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนต่างประณามว่าเป็นการตั้งข้อหาโดยไม่มีมูลความผิด
นักกิจกรรมทั้ง 3 คน ถูกจับเมื่อต้นปีที่ผ่านมาในขณะที่พวกเขากำลังขี่รถจักรยานยนต์เพื่อไปเยี่ยมอดีตนักโทษทางการเมืองในจังหวัดด่งทัป
สถานทูตสหรัฐฯ ในเวียดนามแถลงว่า "การที่ทางการเวียดนามใช้กฎหมายว่าด้วยความสงบเรียบร้อยเพื่อกุมขังผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่แสดงความคิดทางการเมืองโดยสันตินั้นถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นตระหนก"
เดอะ การ์เดียนระบุว่าประวัติด้านสิทธิมนุษยชนของเวียดนามสร้างความยากลำบากให้กับทางการสหรัฐฯ ในความพยายามสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามต่อต้านอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้
เดอะ การ์เดียนระบุอีกว่ามีนักกิจกรรมในเวียดนามจำนวนมากที่ถูกจับกุมด้วยข้อหาที่เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น นอกจากนี้ยังมีบางรายที่ถูกข่มขู่คุกคามและถูกใช้ความรุนแรง
องค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่ามีคนถูกตั้งข้อหาทางการเมืองในเวียดนามเพิ่มมากขึ้นทุกปีนับตั้งแต่ปี 2553 โดยมีอย่างน้อย 63 คนที่ถูกสั่งจำคุกเนื่องจากการแสดงความคิดเห้นทางการเมืองโดยสันติ
เดอะ การ์เดียนระบุว่า แม้รัฐบาลเวียดนามจะค่อยๆ เปิดประเทศทางการเศรษฐกิจโดยมีการต้อนรับนักลงทุนจากต่างชาติทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ประเทศเวียดนามก็ยังคงเป็นประเทศที่มีพรรการเมืองเดียวและไม่ให้เสรีภาพพื้นฐานทางการเมืองแก่ประชาชน
เรียบเรียงจาก
US alarm as Vietnamese democracy activists jailed for 'obstructing traffic', The Guardian, 27-08-2014
นายกเทศมนตรีพนัสนิคม ชี้ปลัด สธ.ไม่เก็ตงานหลักประกันสุขภาพ-กองทุนสุขภาพตำบล ไม่เหมาะนั่ง รมว.
นายวิจัย อัมราลิขิต นายกเทศมนตรีเมืองพนัสนิคม ชี้ปลัด สธ. ไม่เก็ตงานหลักประกันสุขภาพ-กองทุนสุขภาพตำบล ไม่เหมาะนั่ง รมว. ยันต้องให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วม ไม่ใช่อยู่ที่สธ.อย่างเดียว
28 ส.ค. 2557 นายวิจัย อัมราลิขิต นายกเทศมนตรีเมืองพนัสนิคม จ.ชลบุรี กล่าวว่า กองทุนสุขภาพตำบล เป็นหนึ่งในนโยบายภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคควบคู่กับการรักษาพยาบาล โดยเน้นการดำเนินงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นับเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เห็นได้จากผลการดำเนินนโยบายในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ส่วนกรณีที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีหนังสือทักท้วงส่งมายังสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนสุขภาพตำบล ซึ่งลงนามโดย นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขนั้น ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับข้อทักท้วงดังกล่าว และขอร่วมค้านปลัด สธ. 100% จะให้ไปขึ้นเวทีไหน ออกทีวีช่องไหนก็ไป ซึ่งไม่ทราบว่าท่านใช้หลักการใดที่จะดึงเงินก้อนนี้คืนกลับไปยัง สสจ.หรือ สธ. หรือเพราะเสียดายงบประมาณ แต่ต้องบอกว่าหลังจากมีการจัดตั้งกองทุนสุขภาพตำบล งานด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคมีการดำเนินงานเชิงรุกและเข้าถึงประชาชนอย่างมาก
นายวิจัย กล่าวว่า ตั้งแต่เป็นนายกเทศมนตรีมา 30 ปี ต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีการจัดตั้งกองทุนสุขภาพตำบลปี 2548 ได้ทำงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้าน โดยท้องถิ่นมีบทบาทเข้าไปช่วยดำเนินการ ตั้งแต่การคัดกรองสุขภาพ เบาหวาน ความดัน การคัดกรองสายตา การดูแลสุขภาพแม่และเด็ก การดูแลสุขภาพเด็กในโรงเรียน เรียกว่าสามารถทำได้ครอบคลุมจากที่แต่เดิมถูกกำหนดให้เป็นหน้าที่ของหน่วยบริการด้านสาธารณสุขและมีปัญหาดูแลไม่ทั่วถึง งบประมาณตรงนี้ไม่เคยมาถึง
“หากมีการดึงกองทุนนี้กลับไปให้ สธ.ดำเนินการ ต้องถามว่าได้อะไร ท่านจะสามารถทำงานเชิกรุกได้อย่างทั่วถึงเหมือนที่ท้องถิ่นทำหรือไม่ แค่เฉพาะงานรักษาในโรงพยาบาลก็ล้นแล้ว ยืนยันว่าทิศทางกองทุนสุขภาพตำบล สปสช.มาถูกทางแล้ว” นายกเทศมนตรีเมืองพนัสนิคม กล่าวและว่า ทั้งนี้งบประมาณส่วนหนึ่งของกองทุนสุขภาพตำบล ต้องบอกว่าได้คืนกลับไปยังหน่วยบริการอยู่แล้ว เพียงแต่อาจไม่ร้อยเปอร์เซ็น เพราะท้องถิ่นนำไปกระจายสร้างเสริมสุขภาพในส่วนอื่นๆ อย่างโรงเรียน หรือกิจกรรมชุมชน เนื่องจากเรื่องสุขภาพไม่ได้จำกัดแค่หน่วยบริการเท่านั้น
นายวิจัย กล่าวว่า ส่วนกรณีที่โผ ครม. มีชื่อปลัด สธ.เป็น รมว.สาธารณสุข ซึ่งจะเป็นประธานบอร์ด สปสช. โดยตำแหน่งด้วยนั้น ตนเห็นว่าคนที่เป็นประธานบอร์ด สปสช.หากเป็นไปได้ควรเลือกจากผู้ที่เข้าใจงานในระบบหลักประกันสุขภาพที่เน้นการมีส่วนร่วม รวมไปถึงกองทุนสุขภาพตำบล แม้ไม่เข้าใจก็ควรที่จะรับฟังเหตุผล แต่เท่าที่ทราบช่วงที่ปลัด สธ.เป็นประธานบอร์ด สปสช.ในฐานะรักษาการ รมว.สธ.โดยตำแหน่งเกิดความวุ่นวายอย่างมาก เนื่องจากท่านไม่เข้าประชุมและเกิดความขัดแย้ง ซึ่งไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร อีกทั้งการทำหนังสือทักท้วงการดำเนินงานกองทุนสุขภาพตำบลของทาง สปสช. ยังเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ด้าน นายนพดล แก้วสุพัฒน์ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กองทุนสุขภาพตำบลเป็นการดำเนินโครงการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและได้กระจายเกือบทั่วประเทศแล้ว นับเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ร่วมกันดูแลสุขภาพของคนในท้องถิ่นเอง ให้ทุกคนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ เป็นการบริหารกองทุน ซึ่งการบริหารจัดการในรูปแบบนี้จะเกิดประโยชน์กับท้องถิ่นโดยตรง เพราะต้องยอมรับว่าปัญหาสุขภาพของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน หากให้ส่วนกลางหรือภาครัฐเป็นผู้กำหนดนโยบายลงมา ผลที่ได้อาจไม่ตรงกับปัญหาพื้นที่ ไม่ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้
ส่วนกรณีที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีหนังสือทักท้วงมาที่สปสช.ก่อนหน้านี้ เพื่อให้ทบทวนการดำเนินกองทุนสุขภาพตำบล โดยให้กำหนดการใช้จ่ายเฉพาะลงไปยังหน่วยบริการเท่านั้น นายนพดล กล่าวว่า มองว่างานสุขภาพควรเดินไปแบบสองขา งานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคควรเดินหน้าคู่ขนานกับการรักษาพยาบาล เช่นเดียวกับงบประมาณ ที่ผ่านมาหน่วยบริการได้รับการจัดสรรงบประมาณที่ใช้การดำเนินการตั้งรับและดูแลด้านการรักษาพยาบาลอยู่แล้ว ดังนั้นงบกองทุนสุขภาพตำบลจึงควรใช้สำหรับงานด้านการส่งเสริมป้องกันให้กับประชาชน ไม่ควรจำกัดการใช้จ่ายเฉพาะหน่วยบริการ เนื่องจากงานสุขภาพเป็นงานที่กว้างมากและจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะประชาชนได้มีส่วนร่วมดูแลสุขภาพตนเอง ดังนั้นจึงควรคงงบประมาณนี้ไว้ ซึ่งที่ผ่านมาท้องถิ่นเองได้สนับสนุนงบประมาณกองทุนสุขภาพตำบลเช่นกัน
นายนพดล กล่าวว่า ส่วนกรณีที่โผ ครม. มีชื่อปลัด สธ. เป็นว่าที่ รมว.สธ. ซึ่งเป็นผู้ลงนามหนังสือทักท้วงการดำเนินงานกองทุนสุขภาพตำบล ตนเห็นว่าคงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของภาครัฐว่าจะดูที่ประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งหรือไม่
เวทีประชุมการแพทย์ฉุกเฉินของ อปท. ชี้ลดช่องว่าง ช่วยผู้ป่วยฉุกเฉินได้ทันท่วงที
เวทีประชุมการแพทย์ฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับชาติ ชี้ พรบ.การแพทย์ฉุกเฉินปี 51 ส่งเสริมให้ อปท.เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน หน่วยกู้ชีพของ อปท. เพิ่มมากขึ้น ลดช่องว่างของการขาดแคลนหน่วยกู้ชีพ ช่วยผู้ป่วยฉุกเฉินได้ทันท่วงที
27 ส.ค. 2557 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) รายงานว่า ที่โรงแรมสุนีย์ แกรนด์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชานี นายเสริม ไชยณรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมการแพทย์ฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับชาติ ครั้งที่ 1 โดยมีนายแพทย์อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ นายพรชัย โควสุรัตน์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วยผู้แทนจากภาคีเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉิน ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ และเข้าร่วมงาน
นายแพทย์อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ภารกิจหนึ่งที่สำคัญของ สพฉ. คือการทำให้ผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้าถึงระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่ได้มาตรฐาน เท่าเทียม มีประสิทธิภาพทันต่อสถาณการณ์ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ ทั้งภาวะปกติและภัยพิบัติ ซึ่ง สพฉ. มีหน้าที่ในการประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการให้บริการระบบการแพทย์ฉุกเฉินผ่านสายด่วน 1669 โดยจากสถิติในปีที่ผ่านมาพบว่า การให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด โดยเฉพาะในเขตนอกเมือง ซึ่งจากเจตนารมณ์ของ พรบ.การแพทย์ฉุกเฉินปี 2551 ได้มีการส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานดังกล่าว โดยมีหน่วยกู้ชีพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆเพิ่มมากขึ้น อันจะทำให้ช่องว่างของการขาดแคลนหน่วยกู้ชีพในบางพื้นที่นั้นลดน้อยลง และเป็นกำลังสำคัญในการช่วยชีวิตผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที
ด้าน นายพรชัย โควสุรัตน์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า จากพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ในเรื่องการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินงานและบริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉินได้ตามมาตรฐาน ซึ่งที่ผ่านมาในหลายพื้นที่ได้มีการดำเนินงานในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง มีการพัฒนาในด้านองค์ความรู้ การบริหารจัดการ มีหน่วยกู้ชีพและรถพยาบาล ที่ได้มาตรฐานการในการให้บริหาร นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ชุมชนมีความรู้ ความเข้าใจและมีส่วนร่วมในการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินอีกด้วย
“องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี จึงได้ร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ จัดการประชุมการแพทย์ฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับชาติขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การประชุมนี้ เป็นเวทีที่จะสร้างองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานการแพทย์ฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ สร้างความเข้มแข็งของภาคีเครือข่าย ให้สามารถดำเนินงานและพัฒนาระบบบริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉินได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ” นายก อบจ.อุบลราชธานี กล่าว
บทวิเคราะห์: ท่านนายพล ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี
ขอบคุณภาพจาก www.thairath.co.th/
นักวิเคราะห์การเมืองและวงการสื่อสารมวลชนหาเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของความเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ค่อยได้ ที่เห็นพยายามพูดกันมากคือ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในยุคหลังที่เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร แต่นั่นเป็นการตัดตอนประวัติศาสตร์แบบห้วนเกินไป พลเอกประยุทธ์ไม่ใช่นายทหารคนแรกของไทยที่ยึดอำนาจรัฐบาลก่อนแล้วมาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
จอมพล ป.พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร ได้ทำสิ่งนี้มาก่อนแล้ว ทั้งสามท่านเป็นจอมเผด็จการและพาประเทศชาติเข้าสู่ความยากลำบากทั้งสิ้น สิ่งที่พลเอกประยุทธ์ทำไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ท่านทำสิ่งที่แตกต่างจากการรัฐประหาร 2 ครั้งก่อนหน้า คือ ในปี 2534 และ 2549 เพียงเล็กน้อยเท่านั้นคือ ผู้นำการรัฐประหาร 2 ชุดก่อนจะไม่เข้าบริหารประเทศด้วยตนเอง หากแต่ไปเชิญคนอื่นมาทำแทน ผลเป็นอย่างไร เราทราบกันหมดแล้ว
แม้ว่าจะมีความพยายามจากพวกปัญญาชนจำนวนหนึ่งในอันที่จะเขียนภาพของพลเอกประยุทธ์ให้เป็นคนที่มีลักษณะโดดเด่น ทั้งในแง่สติปัญญา ความสามารถ และบุญบารมี พอที่จะทำให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นความหวังในอันที่จะสร้างประเทศไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าวัฒนาสถาพร แต่ความพยายามนั้นก็ยังไม่ประสบผล เรียกได้ว่ายังไม่โดน ด้วยว่าประวัติส่วนตัวของนายทหารท่านนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างพิเศษไปกว่า ผู้บัญชาการทหารธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง ความที่ว่าท่านเป็นนายทหารเอกของสมเด็จพระนเรศวรกลับชาติมาเกิดนั้น ก็ดูลิเกมากไปหน่อย วาทกรรมทางการเมืองแบบนี้คงเหมาะกับประเทศไทยก่อนยุคปี พ.ศ.2500 มากกว่า คงจะใช้ไม่ได้ผลในยุคสมัยปัจจุบัน แม้ว่าคนไทยจำนวนหนึ่งจะยังเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง แต่คนจำนวนมากคงคิดว่า นี่เป็นนิทานคืนความสุขให้ประชาชน มากกว่าจะเห็นเป็นเรื่องจริงจัง
ขอบคุณภาพจากมติชน http://www.matichon.co.th/
เอกสารในปางอดีตแผ่นเดียว (ซึ่งก็ยังไม่มีใครตรวจสอบจริงจังว่าจริงหรือเปล่า) คือ คอลัมน์เรียนดีในวารสารชัยพฤกษ์ ซึ่งเป็นวารสารสำหรับนักเรียนสมัยโน้นที่ว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยเป็นบุคคลที่มีความสามารถทางการศึกษามากขนาดสอบได้ไม่เคยต่ำว่า 80 เปอร์เซ็นต์เลย แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว สมมติว่านี่เป็นเรื่องจริง นักเรียนที่สอบได้ไม่ต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทยมีอยู่ออกเกร่อไป มากกว่านี้ก็พบว่ามีอยู่ไม่น้อยในรุ่นของท่าน มีคนเรียนดีกว่านี้อีกมาก แต่ส่วนใหญ่เลือกจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัยมากกว่าจะสอบเข้าโรงเรียนทหาร เด็กชายประยุทธ์เลือกสอบเป็นทหารก็คงไม่ใช่เพราะหวังว่าได้มากอบกู้บ้านเมืองอะไร อาจจะคิดแค่ว่าอยากจะรับใช้ชาติบ้านเมืองเหมือนพ่อที่เป็นทหาร นายทหารหลายคนที่ได้มาเป็นทหารก็เพราะมีพ่อเป็นทหาร ลูกทหารที่สอบเข้าโรงเรียนทหารได้ไม่ค่อยจะเป็นเรื่องพิเศษโดดเด่นอะไร ในสมัยของท่านนั้นคนที่เป็นลูกทหารจะได้คะแนนพิเศษในการสอบเป็นแต้มต่อลูกชาวนาอยู่แล้ว นี่เป็นระบบคัดเลือกบุคคลากรเข้าสู่การเป็นทหารอาชีพแบบไทยๆ
ประการสำคัญ พลเอกประยุทธ์ไม่เคยแสดงตัวว่าเป็นผู้มีสติปัญญาเปรื่องปราชญ์อะไรเลย ความจริงเรื่องการยกย่องสติปัญญาของนายทหารนั้น ก็เป็นเรื่องประจบสอพลอในกันวงการธรรมดาๆ ทั่วไปเท่านั้น เพราะผู้ที่เคยได้ฉายาว่าเป็นขงเบ้งแห่งกองทัพไทย ตอนหลังๆ คนทั่วไปก็เห็นท่านเป็นตัวตลกมากกว่าจะเป็นปราชญ์
แน่นอนในกองทัพไทยคงจะมีนายทหารที่มีสติปัญญาสูงล้ำอยู่ไม่น้อย พลเอกประยุทธ์อาจจะเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ท่านไม่ค่อยแสดงออกว่าท่านอยู่ในกลุ่มนี้สักเท่าไหร่ แต่ประเด็นสำคัญที่สังคมจะต้องพิจารณาเรื่องนี้อยู่ตรงที่ว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย ที่มาจากการหล่อหลอมของกองทัพไทยและครอบครัวทหารของท่านเองนั้น มีความสามารถและสติปัญญามากพอจะนำพา และบริหารประเทศไปสู่เป้าหมายและความเจริญรุ่งเรืองและวัฒนาถาวรได้เพียงใด
จอมพลป. พิบูลสงคราม (ขอบคุณภาพจาก http://www.reurnthai.com
ความจริงสังคมไทยก็ควรจะได้ข้อยุติในปัญหานี้มานานแล้ว ว่าทหารบริหารประเทศไม่ได้ ทักษะทางการยุทธ์ไม่สามารถประยุกต์ใช้ในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะกับสังคมเปิดที่หลากหลาย และระบบเศรษฐกิจที่มีความสลับซับซ้อน นั่นเป็นเหตุผลด้วยว่า ทำไมผู้นำการรัฐประหารที่ยึดอำนาจได้ในยุคหลังๆ จึงไม่กล้าพอจะเข้าบริหารประเทศด้วยตนเอง การรัฐประหารครั้งก่อนนั้นผู้ยึดอำนาจเลือกอดีตผู้บังคับบัญชาของตัวเอง ซึ่งก็เป็นนายทหารเหมือนกันให้เข้าบริหารประเทศ ผลปรากฏว่าล้มเหลวในทุกด้าน แต่ความล้มเหลวในครั้งนั้นกลับทำให้พลเอกประยุทธ์สรุปบทเรียนผิด ด้วยเข้าใจว่าให้คนอื่นทำแล้วไม่ได้อย่างใจ สู้ทำเองจะดีกว่า สิ่งที่พลเอกประยุทธ์ไม่ได้พิจารณาเลยก็คือ กำลังและความสามารถของคนที่ผ่านการฝึกอบรมทางทหารมาต่างหาก
หัวใจสุดยอดของวิชาทหารที่ฝึกอบรมคนให้ออกมาเป็นทหารอาชีพคือ การจัดการความรุนแรง (management of violence) หลักสูตรโรงเรียนนายทหารของไทยส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เน้นไปในทางเทคนิคต่างๆ เพื่อประโยชน์ของการจัดการความรุนแรงทั้งนั้น ไม่ใช่เพื่อการบริหารประเทศ การปรับปรุงหลักสูตรในระยะหลังๆ มีการนำวิชาของพลเรือนเข้าไปเรียนมากขึ้น ตัวอย่างของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าในสมัยที่พลเอกประยุทธ์เรียน ก็มีให้เลือกเรียนในสายวิทยาศาสตร์ เช่น ฟิสิกส์ และวิศวกรรมต่างๆ เช่น วิศวกรรมโยธา ไฟฟ้า วิศวกรรมสรรพาวุธ หรือแม้แต่สังคมศาสตร์ แต่ก็เป็นวิชาเลือกที่เน้นเรื่องเทคนิคเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าปัจจุบันจะมีการปรับปรุงวิชาการเทคนิคเหล่านั้นให้ได้มาตรฐานเดียวกับที่พลเรือนเรียน เช่น วิศวกรรมก็อยู่ในมาตรฐานที่นายทหารเหล่านั้นสามารถนำไปเป็นหลักฐานขอใบประกอบวิชาชีพวิศวกรรมได้ แบบเดียวกับผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วไป แต่นั่นก็ยังไม่ใช่พื้นฐานความรู้สำหรับการบริหารประเทศอยู่ดี
ภาระหน้าที่ของทหารอาชีพคือ การป้องกันประเทศและรักษาความมั่นคง แต่เนื่องจากทหารไทยนั้นเกี่ยวข้องและมีโอกาสเข้าสู่การเมืองการปกครองประเทศอยู่เสมอๆ และถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่า ความมั่นคงในความหมายแคบๆ แบบทหารนั้นใช้ประยุกต์กับการบริหารประเทศไม่ได้ กองทัพไทยและวิทยาลัยทหารชั้นสูงจึงได้ปรับการศึกษาเรื่องความมั่นคงให้กว้างขวางมากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจความมั่นคงทางการเมือง เสถียรภาพทางการเมือง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แต่วิชาความรู้เหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อจะสร้างความชอบธรรมให้กับบทบาทของกองทัพ และนายทหารที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของพลเรือนเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำให้บุคลากรของกองทัพมีความสามารถในการบริหารกิจการเหล่านั้นของประเทศได้ นายทหารอาจจะมีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ แต่ในวงการทหารก็พูดกันเสมอๆ ว่า “ทหารไทยนั้นตักน้ำเปล่ามาหาบขายก็ยังขาดทุน” อย่าว่าแต่ไปนั่งบริหารรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อน และต้องแข่งขันกับธุรกิจต่างประเทศอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เลย
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ขอบคุณภาพจาก http://board.postjung.com/
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้ยินพลเอกประยุทธ์ ซึ่งบัดนี้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจะพูดว่า ชาวสวนยางพาราอย่าเรียกร้องราคายางพาราสูงนัก ไม่มีใครให้ได้ หรือ อย่าผลิตมากนัก เพราะราคาจะตก เพราะท่านไม่ทราบว่า เกษตรกรไทยกำหนดราคาสินค้าของตัวเองไม่ได้ แรงกดดันด้านราคาจากตลาดโลกมีผลสำคัญต่อราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ ท่านเรียกร้องให้เกษตรกรเลิกปลูกยางและไปปลูกอย่างอื่นแทน เพราะท่านไม่รู้เลยว่า ยางพารานั้นเป็นไม้ยืนต้น ปลูกนานถึง 7 ปี จึงจะเริ่มให้ผลผลิตได้ เกษตรกรชาวสวนยางนั้นเมื่อลงทุนปลูกยางและรอคอยจนได้ผลผลิต มักจะเหลือทางเลือกอย่างอื่นน้อยมาก บางรายนั้นสวนยางซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก คือแหล่งรายได้เพียงแหล่งเดียวของพวกเขา การเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นจึงไม่ง่าย ใช้เวลาและต้องตกอยู่ในความเสี่ยงมากมาย
พลเอกประยุทธ์ชอบพูดว่า เราจะต้องพิจารณาปัญหาโดยองค์รวม และหาทางแก้ไขอย่างเป็นระบบ แต่เวลาท่านยกประเด็นปัญหาต่างๆ มาอธิบาย ท่านกลับยกขึ้นมาเป็นจุดๆ และกระโดดข้ามไปมาอย่างไม่เป็นระบบ ชาวบ้านทั่วๆ ไปฟังท่านพูดก็ได้อารมณ์แบบฟังพวกตลกเล่นมุกกัน ปัญญาชนฟังแล้วคงจะสับสนไม่น้อยว่า ตกลงแล้ว ปัญหาแต่ละอย่างนั้นมันจะแก้อย่างไร แนวทางเป็นอย่างไร ดูเหมือนท่านจะฝากความหวังไว้กับหน่วยราชการต่างๆ ทั้งหมด แต่ขณะเดียวกันท่านก็ตำหนิหน่วยราชการต่างๆ ว่า ทำงานไม่เอาไหน ปล่อยปละละเลยให้เกิดปัญหาหมักหมมมานมนาน
สิ่งที่พลเอกประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้บริหารประเทศไม่ค่อยแสดง (หรือท่านอาจจะไม่มี) คือ วิสัยทัศน์ที่จะมองอนาคตของประเทศว่า ประเทศไทยภายใต้การบริหารงานของท่านนับต่อจากนี้ไป จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ท่านพูดว่าจะต้องมีความสงบสุข นั่นเป็นภารกิจของทหารแน่นอนที่จะทำให้ประเทศชาติสงบปลอดภัย แต่ประชาชนคงจะใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างสงบ โดยไม่มีความหวังว่า วันข้างหน้าพวกเขาจะเป็นอย่างไร ลูกหลานจะเป็นอย่างไร และประเทศชาติจะเป็นอย่างไร คงไม่ได้
พลเอกประยุทธ์อยู่ในวัย 60 ปี ครบเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายนนี้ คนในวัยนี้ในทางกายภาพแล้วถือว่าหมดสมรรถภาพ และไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ทันแก่การใช้งานแล้ว สมควรจะต้องพักผ่อน แต่ท่านต้องเข้ารับภาระในฐานะนายกรัฐมนตรี เพื่อวางรากฐานให้กับประชาธิปไตยสมบูรณ์ของไทย (ซึ่งจนบัดนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่า แปลว่าอะไร หน้าตาเป็นอย่างไร) ทำให้จำเป็นจะต้องศึกษาหาความรู้ และทดลองสิ่งต่างๆ อีกมากมาย แม้หลายคนที่อ้างว่าเคยทำงานใกล้ชิดจะบอกว่า พลเอกประยุทธ์เป็นคนที่เปิดกว้างและพร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ แต่จากการที่ท่านได้แสดงความคิดความเห็นในรายการทุกเย็นวันศุกร์มาหลายเวลาแล้ว ดูเหมือนสิ่งที่ท่านแสดงต่อสาธารณะ จะไม่ค่อยสนับสนุนข้ออ้างเช่นนั้นเท่าใดนัก พลเอกประยุทธ์ผ่านการฝึกอบรมแบบทหาร และอยู่ในวินัยทหารมาตลอด นายทหารถูกฝึกมาให้ออกคำสั่งและบังคับบัญชา ไม่ได้ฝึกมารับฟังความเห็นใคร
จอมพลถนอม กิตติขจร (ขอบคุณภาพจาก http://sanamluang2008.blogspot.com/
ภาระหน้าที่ของผู้บัญชาการทหาร กับ นายกรัฐมนตรีนั้นต่างกันมาก ผู้บัญชาการทหารดูแลทหาร สั่งการทหาร เพื่อบรรลุเป้าหมายทางทหารแคบๆ สั้นๆ ว่าทำอย่างไรจะเอาชนะข้าศึกได้ แม่ทัพนั้นไม่จำเป็นแม้แต่จะต้องคิดว่า ประเทศชาติควรเข้าสู่สงครามใดหรือไม่ แต่สิ่งที่แม่ทัพต้องคิดคือ เมื่อมีสงครามแล้ว ทำอย่างไรจะเอาชนะได้ และป้องกันความสูญเสียไม่ให้เกิดกับพลเรือนและกำลังพลฝ่ายตน การตัดสินใจอย่างอื่นเป็นเรื่องของฝ่ายนโยบาย
นายกรัฐมนตรีนั้นต้องรู้และทำได้มากกว่าผู้บัญชาการทหาร เพราะต้องรับผิดชอบต่อความเป็นไปของประเทศ โดยเฉพาะในประเทศซึ่งมีคนอยู่หลายหมู่หลายเหล่า มีความต้องการแตกต่างหลากหลายมาก ที่สำคัญประชาชนไม่ใช่ศัตรูของชาติ สิ่งที่ประชาชนเรียกร้องทั้งหมดจะต้องได้รับการตอบสนองในทางบวกเสมอ หน้าที่ของนายกรัฐมนตรีคือ ไกล่เกลี่ย เจรจา ประนีประนอม ความต้องการเหล่านั้นของประชาชน บนพื้นฐานความจริงข้อสำคัญที่ว่า ทรัพยากรมีจำกัด
นายกรัฐมนตรีสั่งการได้เฉพาะหน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้สังกัดและขอบเขตอำนาจของตัวเองเท่านั้น นายกรัฐมนตรีสั่งให้เกษตรกรเลิกปลูกยาง หรือตัดต้นยางของตัวเองทิ้งไม่ได้ แต่มีหน้าที่แสวงหาและจัดสรรทรัพยากรมาช่วยเหลือ ค้ำจุน พวกเขา ให้สามารถประกอบอาชีพไปได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ
เมื่อนายทหารมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องละทิ้งความเคยชิน ภาระหน้าที่ และวิธีการแบบทหารไปเสีย และทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีให้ถูกต้องเหมาะสม จึงจะทำให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ ความคิดที่จะเปลี่ยนประเทศให้เป็นแค่กองทัพ ประชาชนเป็นแค่กำลังพลภายใต้บังคับบัญชานั้น เป็นการทำลายชาติ ไม่ใช่สร้างหรือพัฒนาชาติ
เผยแพร่ครั้งแรกใน: http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=4789
คุยหนังอาเซียน : The Missing Picture
คุยหนังอาเซียนกับฟิล์มกาวัน สัปดาห์นี้แนะนำภาพยนตร์สารคดีกัมพูชาเรื่อง ‘The Missing Picture’ เป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวจากความทรงจำวัยเด็กของผู้กำกับ ‘Rithy Panh’ ผู้ซึ่งมีชีวิตผ่านความโหดร้ายในช่วงที่กัมพูชาถูกปกครองโดยระบอบเขมรแดง ระหว่าง ค.ศ.1975-1979
The Missing Picture ถ่ายทอดภาพความทรงจำผ่านหุ่นปั้นดินเหนียวสลับกับภาพวิดีโอโฆษณาชวนเชื่อที่บันทึกโดยเขมรแดง และถ่ายทอดช่วงเวลาแห่งความสุขในวัยเด็กทั้งที่แจ่มชัดและที่ถูกทำให้พร่าเลือนของของ Rithy Panh สลับกับการเผชิญประสบการณ์อันโหดร้ายจากการบังคับใช้แรงงานโดยเขมรแดง พร้อมกับคำถามมากมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ถูกทำให้หายไป The Missing Picture เป็นภาพยนตร์สารคดีที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 86
สนทนากับศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญทางด้านสันติศึกษา ถึงเรื่องราวในภาพยนตร์และประวัติศาสตร์ความรุนแรงของกัมพูชาในยุคเขมรแดง ดำเนินรายการโดยจิรัชฌา อ่อนโอภาส จากกลุ่มฟิล์มกาวัน
กวีประชาไท: กรง
คุณต้องขยายกรงขังออกไปอีก
กรงขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่
ตั้งไว้ทุกหนแห่ง
หลังตลาด หน้าวัด หน้ามัสยิด ข้างโรงเรียน ในสุสาน
สนามเด็กเล่น หน้าบ้านผู้พิพากษา
หน้าศาลากลาง โรงพยาบาล
ในซากโบราณสถาน
เวียงวังผุกร่อน
เพื่อบริการประชาชนให้ทั่วถึง
ป้องกันปัญหาความแออัดของนักโทษ
เสริมซี่กรงให้แน่นหนาแข็งแรง
คุณต้องสยายปีกให้กว้างออกไปอีก
ขุดเอาซากบรรพบุรุษของพวกเขามาข
งานบริการประชาชนเป็นหน้าที่ของ
คุณควรจับลูกๆ ของพวกเขามายัดกรง
อนาคตยิ่งไม่น่าไว้วางใจ