Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 57985 articles
Browse latest View live

วาด รวี: เพลงลาจากของนวมทอง ไพรวัลย์

0
0

 

นวมทอง ไพรวัลย์ฆ่าตัวตายเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2549 เขาจงใจสังหารตนเองในเดือนตุลาคม ด้วยเหตุผลว่าเพราะเป็นเดือนสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

ผมสงสัยมาตลอดว่านวมทองเลือกเดือนผิดหรือไม่ ยิ่งเมื่อคิดถึงพฤติกรรมของบรรดา “วีรชนเดือนตุลา” จำนวนมากที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน และยิ่งเมื่อย้อนทบทวนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ตุลาคมปี 2516 เดือนตุลาคมสมควรเป็นเดือนสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจริงหรือไม่? “คนเดือนตุลา” มีจิตใจและการกระทำสมควรแก่การยกย่องและโอ่อวดมาตลอด 41 ปีที่ผ่านมาหรือไม่?

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนวมทองก็เลือกไปแล้ว และการเลือกของเขาก็ช่วยต่อชีวิตและจิตวิญญาณให้กับสัญลักษณ์เดือนตุลาคมที่ผูกพันกับประชาธิปไตย

นวมทอง ไพรวัลย์ไม่ได้ฆ่าตัวตายครั้งเดียว แต่ทำทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งแรกเขาขับรถแท๊กซี่พุ่งชนรถถัง การแลกชีวิตครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จ เขารอดตาย แต่ก็กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง “แท็กซี่ขับชนรถถัง” เพื่อประท้วงการรัฐประหาร

ตามที่ระบุไว้ในจดหมายฉบับสุดท้ายของเขา หลังจากฆ่าตัวตายครั้งแรกไม่สำเร็จ เขาไม่ได้คิดที่จะทำอีก แต่ตั้งใจจะกลับไปทำมาหากินตามปรกติ แต่เมื่อมีนายทหาร คมช. ออกมาสบประมาทว่า “ไม่มีใครมีอุดมการณ์พอที่จะตายได้หรอก” นวมทอง ไพรวัลย์จึงตัดสินใจอีกครั้ง...

เป็นการตัดสินใจท่ามกลางการมอบดอกไม้และถ่ายรูปกับรถถังของชนชั้นกลาง ท่ามกลางความเงียบใบ้ หรือไม่ก็แอบเชียร์รัฐประหารของปัญญาชน นักเขียน บรรณาธิการ... ผมจำได้ว่าตอนนั้น การตายของนวมทอง ไพรวัลย์ สั่นสะเทือนผมอย่างรุนแรง เป็นเหมือนมือที่ตบผลัวะเข้าที่ใบหน้าในขณะที่ผมกำลังเกือบจะเคลิ้มไปกับคำออกตัวต่าง ๆ นานาเพื่อจะไม่คัดค้านต่อต้านการรัฐประหารของบรรดาปัญญาชน นักเขียน บรรณาธิการ... ล้วนเป็นคนที่ผมเคยนับถือทั้งสิ้น

ความตายของนวมทองเปรียบได้กับมือที่ตบหน้าผมให้ตื่นขึ้นจากความหลอกหลวง หลับใหล หรือแม้แต่กะล่อนของคนเหล่านั้น และทำให้ผมมองพวกเขาใหม่อีกครั้งด้วยดวงตาที่กระจ่างแจ้งกว่าเดิม

การฆ่าตัวตายของนวมทองเป็นการกระทำของ “ผู้ตื่นรู้” ที่ถือครองอำนาจของการปลดปล่อยอย่างแท้จริง เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา และเป็นอดีตทหารชั้นผู้น้อย ไม่ใช่ปัญญาชน นักวิชาการโก้หร่าน นักเขียน กวี ใหญ่คับกะลา พ่นน้ำลายปนน้ำหมึกตอแหลหลอกลวงเทศนาโอ้อวดตัวว่าตื่นว่ารู้และคอยเก็บเกี่ยวอ้าปากรับเศษผลประโยชน์ที่กระเด็นมาเข้าปากตัวเอง

ท่วงทีแห่งการตายของเขาคือหลักฐานว่านวมทอง ไพรวัลย์ไม่ใช่คนสิ้นคิด และไม่ใช่คนไม่รักชีวิต การฆ่าตัวตายของเขาไม่ใช่การปราศจากศรัทธาที่จะมีชีวิตต่อ ไม่ใช่การพยายามวิ่งหนีจากอะไร แต่เป็นการออกไปเผชิญหน้า ออกไปรบ...ก้าวสู่สมรภูมิที่ต้องเอาชีวิตเข้าแลกกับการปลุกผู้คนและทำลายความปลิ้นปล้อนหลอกลวง ก่อนตายเขาอัดเทปและฝากเพลง “ลูกแก้วเมียขวัญ” ถึงครอบครัว แสดงให้เห็นถึงความอาลัยอาวรณ์อย่างซื่อสัตย์จริงใจ ไม่ต้องการจากผู้เป็นที่รัก ทว่า สมรภูมิรออยู่เบื้องหน้า และเขาต้องออกไปแลกชีวิตกับมัน และนี่คือความหมายมนุษย์ที่ยืนหยัดอยู่บนส้นตีนและศักดิ์ศรีของตน ไม่ใช่ฝุ่นละอองใต้ฝ่าเท้าหรือไม้เถาที่ต้องเลื้อยพันสิ่งอื่น

ลาก่อนเถิดหนาจอมขวัญ
เพลาสายัญพี่จะต้องจากไปทัพ
อยู่บ้านจงหมั่นดูแล ดูลูกดูแม่กว่าผัวจะกลับ
แม้นเสร็จศึกทัพ แล้วพี่จะกลับมาเชย
อยู่บ้านเถิดหนานวลเนื้อ
ผู้ชายพายเรือน้องอย่าได้เชื่อคำเลย
สงวนทรามเชยไว้อย่าให้เปื้อนราคี
อยู่บ้านหมั่นสวดมนต์สวดพร
ก่อนหลับก่อนนอนวอนคุณพระให้ช่วยที
ถ้าแม้นบุญมีแล้วพี่คงได้กลับมา
ไก่แก้วตะโกนแว่วร้อง แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า
ถึงเวลาแล้วพี่ต้องจากบังอร
จูบลูกเป็นครั้งสุดท้าย โอ้ยอดดวงใจพ่อต้องลาไปก่อน
ขวัญเอยขวัญอ่อนจงสุขสบาย
อยู่บ้านอย่ากวนแม่นัก
ลูกเอ๋ยลูกรักจงอย่าเที่ยวให้ไกล
โรงร่ำโรงเรียนเจ้าจงได้หมั่นเพียรไป
สางแล้วไก่แก้วแว่วมา
ถึงเวลาแล้วที่พ่อต้องจากไกล
ต้องขอลาไปแล้วลูกแก้วเมียขวัญ

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยิ่งลักษณ์-ทักษิณไหว้บรรพบุรุษที่เหมยเซียน มณฑลกวางตุ้ง

0
0

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนจีนเดินทางไปเคารพบรรพบุรุษที่เหมยเซียน เมืองเหมยโจว ในมณฑลกวางตุ้ง

31 ต.ค. 2557 - เฟซบุ๊คเพจยิ่งลักษณ์ ชินวัตรโพสต์ภาพยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุตรชาย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเคารพหลุมฝังศพบรรพบุรุษที่อำเภอเหมยเซียน เมืองเหมยโจว ซึ่งเป็นถิ่นฐานของชาวจีนฮากกา หรือจีนแคะ อยู่ติดต่อกับเมืองซัวเถา ถิ่นฐานของชาวจีนแต้จิ๋ว ในมณฑลกวางตุ้ง

ที่มาของภาพ: เฟซบุ๊คเพจยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ในเฟซบุ๊คเพจของยิ่งลักษณ์ยังมีการโพสต์สเตตัสว่า

"วันนี้เดินทางมาที่เมืองเหมยเซี่ยน มณฑลกวางโจว เพื่อมาเคารพหลุมฝังศพบรรพบุรุษที่เรียกว่ายายทวด และไปดูบ้านที่แม่เคยอยู่ตอนช่วงอายุ 9 ถึง 13 ขวบตอนตามคุณตามาอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนที่จะอพยพไปอยู่ที่ฮ่องกงและนั่งเรือจากฮ่องกงเพื่อมายังประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสพบญาติที่ยังเหลืออยู่ในรุ่นหลานซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับดิฉันและพี่ชาย ท่านทักษิณได้ใช้เวลาในการสืบหาสถานที่นี้ตั้งแต่ก่อนที่ท่านเป็นนายกฯจากคำบอกเล่าของคุณแม่และท่านก็เคยเดินทางมาแล้วครั้งหนึ่งสมัยที่มาเยือนเมืองจีนตอนเป็นนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญมาครั้งนี้มีข่าวดีเพิ่มคือมีโอกาสได้ไปเคารพหลุมฝังศพและบ้านที่เคยอยู่ของสายคุณพ่อซึ่งมีอายุเกือบ 300 ปี ต้องขอขอบคุณฝ่ายทางการจีนที่ช่วยสืบหาให้จนพบต้นกำเนิดบรรพบุรุษสายทางคุณพ่อด้วยค่ะ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกที่บรรพบุรุษสายคุณพ่อและคุณแม่ มาจากมณฑลเดียวกัน อยู่ห่างกันเพียง 3 ชม หากเดินทางโดยรถยนต์"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กมธ.ยกร่างชี้ทำประชามติ รธน. ยาก ใช้เวลานานงบประมาณมาก

0
0
"พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช" กรรมาธิการยกร่าง รธน. ระบุทำประชามติ รธน. ยากเพราะต้องใช้เวลานานและงบประมาณจำนวนมาก ได้ กมธ.ครบ 36 คน จ่อประชุมกำหนดหน้าที่ 4 พ.ย. ด้านการประชุม สนช. เริ่มพิจารณาร่างกฎหมาย 9 ฉบับที่ ครม.เสนอ รับหลักการร่าง พ.ร.บ. ประกันสังคมแล้ว

 
31 ต.ค. 2557 ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุถึงการทำงานของกรรมาธิการภายหลังได้กรรมาธิการครบทั้ง 36 คน ภายในวันที่ 4 พ.ย. จะประชุมเพื่อกำหนดหน้าที่รับผิดชอบและระดมความเห็นความทุกภาคส่วน โดยใช้กลไกของกรรมาธิการวิสามัญที่จะตั้งขึ้นและคณะกรรมาธิการวิสามัญ รับฟังความเห็นของประชาชน ก่อนรวบรวมสรุปเพื่อส่งให้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญต่อไป
 
ทั้งนี้ พล.อ.เลิศรัตน์ ยังเชื่อว่า ไม่มีล็อกสเปกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 25 คน ในสัดส่วนของ สปช. และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพราะทั้งหมดมีความหลากหลาย มีความสามารถและจะเป็นที่ยอมรับ ส่วนภายหลังร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น จะทำประชามติหรือไม่ มองว่าเป็นเรื่องยาก เพราะต้องใช้เวลานานและงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งเห็นว่าเพียงใช้กลไกของกรรมาธิการน่าจะเพียงพอ
 
ขณะที่ร่างข้อบังคับการประชุม สปช. คาดว่าจะเสร็จสิ้นวันที่ 3 หรือ 4 พ.ย. จากนั้นจะให้สมาชิกคัดเลือกกรรมาธิการสามัญประจำ สปช.17 คณะ และนำเรื่องให้ที่ประชุมเห็นชอบใน วันที่ 10 พ.ย.
 
พิจารณาร่างกฎหมาย 9 ฉบับ ที่ ครม.เสนอ
 
ส่วนการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันนี้ (31 ตุลาคม 2557) เริ่มเวลา 10.00 น. โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทำหน้าที่ ประธานในที่ประชุม มีวาระเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอเข้าสู่การพิจารณาวาระแรก จำนวน 9 ฉบับ
 
ทั้งนี้ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ..... นาง กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ชี้แจงถึงเหตุผลการเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ว่า เพื่อเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ.2528 เนื่องจากมีข้อกฎหมายบางอย่างไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้ง กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ขึ้นในการกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพัฒนา และจัดสวัสดิการที่เกี่ยวกับกีฬา ขณะเดียวกัน ยังมีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมกีฬา และกำหนดมาตรการในการกำกับดูแลการดำเนินการของสมาคมกีฬาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
 
โดยการอภิปรายของสมาชิก สนช. ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว แต่แสดงความเป็นห่วงในการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ จำนวน 3,000 ล้านบาท ที่อยู่ในอำนาจการบริหารของคณะกรรมการฯ จึงต้องการให้การดำเนินงานของกองทุนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของกีฬาอย่างแท้จริง พร้อมฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ไขปัญหาการพนัน และการทะเลาะวิวาทของนักกีฬาระหว่างการแข่งขัน
 
รับหลักการร่าง พ.ร.บ. ประกันสังคม 
 
ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยที่ประชุมได้มีมติในวาระที่ 1 รับหลักการ ด้วยคะแนนเสียง เห็นด้วย 150 ต่อ 4 งดออกเสียง 19 เสียง พร้อมตั้งกรรมาธิการวิสามัญฯ เพื่อศึกษาร่างพระราชบัญญัติ จำนวน 18 คน ในจำนวนนี้ มีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 6 คน กำหนดแปรญัตติภายใน 15 วัน กรอบเวลาในการดำเนินงาน 45 วัน
 
โดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวชี้แจงว่า สาระสำคัญในการแก้ไข คือ เรื่องความคุ้มครองให้แก่ลูกจ้างชั่วคราวทุกประเภทของส่วนราชการ การแก้ไขเพิ่มเติมนิยามคำว่า ลูกจ้าง ทุพพลภาพ ให้มีความชัดเจน รวมถึง การแก้ไขเพิ่มเติมเรื่องการจ่ายเงินสมทบของรัฐบาลเข้ากองทุนประกันสังคม เป็นต้น พร้อมกันนี้ ยังเพิ่มบทบัญญัติให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบกรณีเกิดภัยพิบัติร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้าง ตลอดจนกำหนดโทษทางอาญากรณีนายจ้างไม่ยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบ
 
ทั้งนี้ ในการอภิปรายของสมาชิกฯ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่าลูกจ้าง ในมาตรา 5 แห่งร่าง พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ.2533 ให้กำหนดว่า ลูกจ้าง หมายถึง ผู้ซึ่งทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้าง ตามความในมาตรา 4 ของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ แทน หมายรวมถึงลูกจ้างที่ทำงานในบ้านซึ่งไม่ได้ประกอบธุรกิจด้วยนั้น จะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการจ่ายเงินสมทบในอนาคต ขณะที่ ในมาตรา 36 ที่ให้ผู้ประกันตน ซึ่งไม่มีสัญชาติไทย เมื่อความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลงไม่ว่าจะส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน หรือไม่ก็ตามและประสงค์จะไม่พำนักอยู่ในประเทศไทยให้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพนั้น มีลักษณะที่ขัดกับพระราชบัญญัติผู้สูงอายุที่ให้ความคุ้มครองกับผู้มีสัญชาติไทย
 
นอกจากนี้ ยังได้มีการตั้งข้อสังเกตอีกหลายประการ ทั้งในกรณีผู้ประกันตน ซึ่งเป็นผู้พิการที่ถูกตัดสิทธิประโยชน์บางประการตามพระราชบัญญัติอื่นหลังเข้าเป็นผู้ประกันตน การขยายความคุ้มครองแรงงาน รวมไปถึงการขาดแรงจูงใจที่จะทำให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคม
 
อย่างไรก็ตาม สมาชิก สนช. ได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับคณะกรรมการประกันสังคม และกองทุนประกันสังคม ว่ามีเงื่อนไขติดขัดเกี่ยวกับโครงสร้างและข้อกฎหมาย ทำให้เกิดปัญหาหลายประการทั้งในเรื่องการบริหารจัดการ การลงทุน และสวัสดิการประชาชน จึงเสนอให้แยกคณะกรรมการประกันสังคม และกองทุนประกันสังคม ออกจากส่วนราชการ เพื่อการดำเนินงานที่มีความเป็นอิสระ เป็นไปตามกลไกที่เป็นมาตรฐานสากล และตรวจสอบได้
 
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวชี้แจงว่า กฎหมายนี้เกิดประโยชน์สุงสุดต่อผู้ประกันตนและประเทศชาติ ที่ผ่านมา มีความพยายามจะผลักดัน แต่ไม่สำเร็จจนมาถึงสมัยนี้ ทราบดีว่าทุกคนมีความรู้ ประสบการณ์ ทัศนคติมุมมองที่แตกต่างกัน แต่ยืนยันว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ดีกว่าฉบับเดิม เพราะครอบคลุมไปถึงลูกจ้างของรัฐ และราชการที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างประจำให้ได้รับสิทธิประโยชน์ด้วย ส่วนเรื่องความโปร่งใสของคณะกรรมการบริหาร ได้พยายามใช้ความสามารถ รื้อบอร์ดทั้งหมดด้วยดุลยพินิจ แต่ยอมรับว่า หนักใจที่เงินกองทุนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงแรงงาน ส่วนตัวเห็นด้วยกับข้อเสนอที่จะให้องค์กรอิสระเข้ามาบริหารจัดการ แต่ไม่มีใครยืนยันได้ว่า จะบริหารเงินจำนวนมหาศาลได้สำเร็จ เพราะเป็นเงินจำนวนมาถึง 1.19 ล้านล้านบาท
 
 
 
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก
 
ไทยรัฐออนไลน์, สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ประยุทธ์' แนะออกแบบ รธน. ใหม่ให้เป็นประชาธิปไตยที่เหมาะกับคนไทย

0
0
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ พล.อ.ประยุทธ์ ขอบคุณและให้กำลังใจสภาปฏิรูปแห่งชาติ ชี้การปฏิรูปประเทศในห้วงเวลานี้เป็นเรื่องยาก พร้อมแนะว่ารัฐธรรมนูญใหม่ควรออกแบบให้เป็นประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับคนไทย 

 
 
31 ต.ค. 2557 ในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ระบุไว้ตอนหนึ่งว่ารัฐบาลได้เดินหน้ามาตรการเพิ่มรายได้ช่วยเหลือชาวนาไปแล้วกว่า 67,700 ราย จำนวนเงินกว่า 837 ล้านบาท ส่วนมาตรการจัดระเบียบสังคมที่ดำเนินการมาตั้งแต่ช่วง คสช.นั้น ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อเนื่อง ขณะที่ปัญหาที่ดินทำกิน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติขึ้นมาแก้ปัญหาในด้านการเมือง นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้ขอบคุณและให้กำลังใจสภาปฏิรูปแห่งชาติ ชี้การปฏิรูปประเทศในห้วงเวลานี้เป็นเรื่องยาก พร้อมแนะว่ารัฐธรรมนูญใหม่ควรออกแบบให้เป็นประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับคนไทย
 
โดยรายละเอียดทั้งหมดของรายการมีดังต่อไปนี้
 
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2557 เวลา 20.15 น.
 
สวัสดีพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
 
พบกันเช่นเคยนะครับ ทุก ๆ คืนวันศุกร์ สำหรับในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและรัฐบาลได้มีโอกาสเตรียมงานสำคัญที่เป็นความสุขของปวงชนชาวไทยทุกคน เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 87 พรรษา ที่จะมาบรรจบครบรอบในวันที่ 5 ธันวาคม 2557 ที่จะถึงนี้ ได้มีการประชุมร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่านอย่างสมพระเกียรติ ผมขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทุกท่าน ร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ “รักพ่อ” ทุกหนแห่งที่ทางราชการจัดขึ้น ทั่วทั้งประเทศ สำหรับในกรุงเทพมหานครจะจัดงานเฉลิมฉลอง ณ บริเวณท้องสนามหลวงและถนนราชดำเนินกลาง ในวันที่ 30 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม 2557 ซึ่งจะมีการจัดแสดงกิจกรรมมากมาย หลายรูปแบบ ทั้งการเผยแพร่พระราชกรณียกิจ พระอัจฉริยภาพ พระเกียรติคุณ และโครงการตามพระราชดำริ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และกิจกรรมวัฒนธรรมท้องถิ่น การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของดี 77 จังหวัด
 
การแสดงออกถึงความจงรักภักดีนั้น เราสามารถทำความดีในรูปแบบต่าง ๆ ผมขอชื่นชม คุณสอิ้ง หาญประโคน อายุ 63 ปี ชาวจังหวัดแพร่ ที่ได้ดำเนินกิจกรรมวิ่งและเดินเท้า เพื่อถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถวายพระพร ขอให้ทรงหายจากพระอาการพระประชวร โดยเริ่มเดินจากบ้านเกิดในจังหวัดแพร่ ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2557 และมาถึงโรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2557 รวมระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร ใช้เวลา 11 วัน
 
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผมได้โอกาสพบกับผู้อำนวยการใหญ่โครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) และรองเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งท่านได้กล่าวชื่นชมการดำเนินการ และบทบาทที่สำคัญของไทยในการแก้ปัญหาโรคเอดส์อย่างยั่งยืน และได้ยกย่องว่าประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่ดีของภูมิภาค และของโลกที่ได้ดำเนินการในด้านนี้อย่างจริงจังและสร้างสรรค์ ซึ่งประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคควรเรียนรู้จากไทย จากสถิติที่ผ่านมาเราสามารถลดการติดเชื้อ HIV จากมารดาสู่ทารกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทางโครงการเชื่อว่าไทยนั้นจะสามารถยุติการติดเชื้อรายใหม่ได้ภายในปี พ.ศ. 2563 นี่เป็นข้อมูลที่ควรภาคภูมิใจและน่ายินดี ผมก็อยากแสดงความขอบคุณต่อทุกองค์กร และบุคลากรที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ที่นอกจากจะช่วยดูแลรักษาผู้ป่วยแล้ว ยังคงมีส่วนในการพัฒนาสังคมและเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยให้กับชาวต่างชาติอีกด้วย
 
โอกาสเดียวกันนี้ ผมได้ชี้แจงถึงความมุ่งมั่นของไทย ในการแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ ที่เน้นการเข้าถึงการรักษา การเข้าถึงยาโดยไม่คำนึงถึงระดับเม็ดเลือดขาว การเปิดพื้นที่ 19 จังหวัด เพื่อให้มีการใช้เข็มที่สะอาด การเร่งพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้แรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง การดำเนินโครงการ เพื่อลดการติดเชื้อของผู้ใช้ยาเสพติด และการจัดสรรงบประมาณในการจัดการกับปัญหาโรคเอดส์ อย่างไรก็ดีผมได้แจ้งไปแล้วว่าเรายังคงต้องการการสนับสนุนของกองทุนโลกเพื่อต่อสู้กับโรคติดต่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเอดส์ วัณโรค หรือโรคมาลาเรียต่อไป และที่สำคัญ ผมได้ชี้แจงความพร้อมของไทยที่จะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ในการลดอัตราการติดเชื้อ HIV กับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของภูมิภาคในการจัดการกับโรคดังกล่าวอีกด้วย อีกโรคหนึ่งคือโลกอีโบล่า เราก็ต้องให้ความร่วมมือและสร้างความรู้ให้กับประชาชนทั่วไปด้วย ต้องช่วยกันระมัดระวัง
 
การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนที่สำคัญในห้วงที่ผ่านมา
 
ความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร ก่อนหน้าที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเข้ามานั้น ในภาคการเกษตรหลาย ๆ ภาค ค่อนข้างมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องชาวนาที่ไม่ได้รับเงินจากโครงการจำนำข้าว ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทั้งข้าวและยาง จากปัญหาผลผลิตที่มีจำนวนมาก และประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา ต่างก็อยู่ในช่วงเศรษฐกิจซบเซา มีการชะลอตัว ทำให้มีการนำเข้าสินค้าผลผลิตทางการเกษตรลดลง
 
หลังจากที่ คสช. และรัฐบาลในปัจจุบันได้เข้ามาก็มีความพยายามที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง6การช่วยเหลือพี่น้องชาวนา เริ่มตั้งแต่การอนุมัติให้เงินแก่ชาวนาที่ไม่ได้รับเงินจากโครงการจำนำข้าว ปีการผลิต 2556/57 ซึ่งได้ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่พี่น้องชาวนาเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เป็นจำนวนประมาณ 8 แสนราย คิดเป็นเงินกว่า 86,000 ล้านบาท
 
ในเรื่องของการอนุมัติโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2557 ซึ่งจะช่วยให้พี่น้องชาวนาได้รับเงินคุ้มครองถึง 1,111 บาทต่อไร่ หากเกิดภัยพิบัติ โดยพี่น้องชาวนาจ่ายค่าเบี้ยประกันเพียง 60 - 100 บาทต่อไร่ ขณะนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการจากทุกภาคทั่วประเทศกว่า 55,000 ราย คิดเป็นเนื้อที่กว่า 8 แสนไร่ มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวนาผู้มีรายได้น้อย ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครอบครัวละ 15 ไร่ ซึ่งเริ่มดำเนินการในวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา ขณะนี้ชาวนาได้รับการช่วยเหลือไปแล้วกว่า 67,700 ราย คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 837 ล้านบาท มาตรการ การช่วยเหลือเกษตรกรในเรื่องแหล่งเงินทุนต่าง ๆ เช่น โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร มาตรการลดค่าปัจจัยการผลิตและค่าบริการต่าง ๆ ทั้งปุ๋ยเคมี ยากำจัดศัตรูพืช เมล็ดพันธุ์ข้าว ค่าบริการเกี่ยวนวดข้าว ค่าเช่าที่นา และได้มีการออกตรวจสอบร้านค้า เพื่อควบคุมคุณภาพ
 
อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้ เป็นเพียงการช่วยเหลือระยะสั้นเท่านั้น ผมได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เตรียมดำเนินมาตรการในระยะยาวที่จะช่วยให้การปลูกข้าวเป็นไปอย่างยั่งยืน เช่น การจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ข้าว ธนาคารปุ๋ย การให้ความรู้ในการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตข้าว การทำเกษตรผสมผสาน การปลูกข้าวออแกนิค การจัดสรรแหล่งน้ำ และการจัดทำโซนนิ่ง ซึ่งหลาย ๆ เรื่องเป็นการวางรากฐานระยะยาวและต้องใช้เวลา ก็ขอให้พี่น้องเกษตรกรเข้าใจด้วย เราจะใช้การทำด้วยความสมัครใจ
 
ยางพาราก็เช่นเดียวกัน รัฐบาล และ คสช. พยายามที่จะพัฒนายางพาราทั้งระบบ ในหลาย ๆ เรื่องได้มีการประชุมและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง ได้เห็นชอบไปแล้ว เช่น การช่วยเหลือสนับสนุนค่าปัจจัยการผลิตเกษตรกรชาวสวนยางรายละ 1,000 บาท ไม่เกินครอบครัวละ 15 ไร่ คาดว่าจะช่วยเกษตรกรชาวสวนยางได้ถึง 850,000 ครัวเรือน คิดเป็นพื้นที่ 8.2 ล้านไร่ โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง 6,000 ล้านบาท โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเกษตรกรรายย่อยประกอบอาชีพเสริม รายละไม่เกิน 1 แสนบาท สินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการรวบรวมสต๊อกยาง สินเชื่อเพื่อแปรรูปยางพารา
 
ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาจะต้องเป็นไปทั้งระบบและยั่งยืน นอกจากนั้นเราจะช่วยเรื่องแหล่งเงินทุนต่าง ๆ และการบริหารจัดการเพิ่มรายได้เบื้องต้น ในการจัดหาตลาดใหม่ ปรับเปลี่ยนการปลูกยางให้เหมาะสมกับพื้นที่ ลดพื้นที่ปลูกยางต้นเก่า สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทำควบคู่กันไปด้วย พร้อมกันกับการส่งเสริมการลงทุนในเรื่องของการใช้ผลิตภัณฑ์ยางในประเทศ และการพัฒนานวัตกรรมจากวัตถุดิบยางในบ้านเราเอง ขณะนี้ได้มีการพิจารณาจัดตั้งสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมยาง และเพิ่มความร่วมมือกับประเทศผลิตยางในอาเซียนด้วยกัน ขอความร่วมมือจากบริษัทต่าง ๆ ในประเทศนี้ด้วย การดำเนินการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรนี้ ผมได้กำชับให้ดูแลให้รวดเร็ว ทั่วถึง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการตรวจสอบการดำเนินการให้เป็นไปอย่างโปร่งใส อย่าให้เดือดร้อนถึงพี่น้องเกษตรกร อย่าทุจริต เอาเปรียบผู้มีรายได้น้อยอีกเลยครับ
 
สำหรับเรื่องการจัดระเบียบสังคม นั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถตู้ วินมอเตอร์ไซด์ ทางเท้าและที่สาธารณะอื่น ๆ รวมทั้งการเร่งจัดการขยะมูลฝอยสะสมและของเสียอันตราย ผมอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้ดำเนินการจัดระเบียบที่ผ่านก็ดำเนินการไปในระยะแรกแล้ว ได้ช่วยกันกำกับดูแล ติดตามผลงานที่ได้ทำไว้อย่างต่อเนื่อง อย่าให้เสียของเสียเวลา ทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้น เป็นประโยชน์กับส่วนรวมทั้งสิ้น สังคมและประชาชนมีความคาดหวัง ขอให้ทุกคนได้พยายามทำต่อไปเรื่องนี้ผมต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายทุกคน การที่เราจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้นั้น ผมเชื่อว่าเราต้องเคารพในหลักกฎหมายกฎระเบียบต่าง ๆ ที่มีอยู่เราต้องสร้างวินัยของคนในชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น การรักษาความสะอาด การทิ้งขยะให้ถูกที่ การคัดแยกขยะ ผมอยากให้ช่วยกันมองว่าเป็นหน้าที่ของประชาชนคนไทยทุกคน ต้องช่วยกันสร้างจิตสำนึก ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จนหรือรวย มีอาชีพอะไรก็ตาม ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ พัฒนาสังคม และพัฒนาชุมชนของเรา ใครเห็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม หรือมีข้อเสนอแนะรัฐบาลก็ขอให้แจ้งข้อมูลกับศูนย์ดำรงธรรมได้เลย วันนี้รัฐบาลก็ให้มีการผ่อนผัน ผ่อนคลายอยู่บ้าง แต่จะให้ทำเป็นอิสระเหมือนเดิมเป็นการถาวรคงเป็นไปไม่ได้
 
“ศูนย์ดำรงธรรม” และการรักษาความสงบเรียบร้อยปลอดภัย เราได้ติดตาม รับทราบ ความลำบาก ความยากจน การถูกเอารัดเอาเปรียบ ความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ ของประชาชนในทุก ๆ ด้าน ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านั้นสะสมมาเป็นเวลานาน ต้องใช้กลไกการแก้ปัญหาที่ต้องบูรณาการหลายหน่วยงาน แต่ที่ผ่านมานั้นยังไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากรัฐบาลก็ยังไม่สามารถจะดำเนินการได้ในช่วงไร้เสถียรภาพด้านการเมือง ปัจจุบันนับเป็นโอกาสที่พี่น้องประชาชนจะได้เข้าถึงระบบการบริหารงานของรัฐ ที่สะดวกและกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะ “ศูนย์ดำรงธรรม” ซึ่งทาง คสช. ก็พร้อมที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องได้อย่างเบ็ดเสร็จ และตรงไปตรงมา เนื่องจากเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง
 
ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา นั้น สถิติการดำเนินการแก้ปัญหาให้กับพี่น้อง จนเป็นที่น่าพอใจ ได้รับเรื่องราวร้องเรียนในรูปแบบต่าง ๆ จำนวน 211,797 รายการ และสามารถให้บริการแก้ปัญหาแล้วเสร็จ 191,797 ราย คิดเป็น 90.56% ส่วนใหญ่ก็เป็นรายการที่สามารถดำเนินการได้เลย เช่น การให้คำปรึกษา การบริการข้อมูล การบริการส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ การบริการแบบ One Stop Service แต่ก็มีส่วนน้อยที่เป็นรายการที่ต้องใช้ระยะเวลา ใช้งบประมาณ ในการสอบสวนหาข้อเท็จจริง จะต้องมีการประสานงานหลายหน่วยงาน กลไกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ก็คือ การจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วของพลเรือน ตำรวจ ทหาร เข้าไปแก้ปัญหาในเชิงรุก ปฏิบัติทันทีที่ได้รับการแจ้งเบาะแสและการขอความช่วยเหลือจากประชาชน ผมขอรับรองว่าทุกเสียงแห่งความเดือดร้อนของพี่น้องจะต้องได้รับการเอาใจใส่ เรื่องร้องเรียนต้องไม่เงียบหาย หรือเพิกเฉย ปัจจุบันเราก็ได้เพิ่มเติมเจ้าหน้าที่จากทุกกระทรวงมาประจำ ณ ศูนย์ดำรงธรรมของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วขึ้น ทั้งจากบนลงล่าง หรือจากล่างขึ้นบนตามที่เรียนมาให้ทราบแล้ว
 
เรื่องของการบริหารจัดการที่ดินทำกิน นั้น ผู้ไม่มีที่ดินทำกินและผู้มีรายได้น้อย จะประสบปัญหาจากการเข้าไปบุกรุกเขตอุทยาน ป่าสงวน บางกรณีก็เป็นข้อพิพาทว่ารัฐไปประกาศเขตป่า เขตอุทยาน ทับที่ดินทำกินชาวบ้าน หรือการจัดสรรที่ดินสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ที่ไม่เป็นธรรมบ้าง ซึ่งก็ต้องมีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์เป็นกรณี ๆ ไป แต่เมื่อ คสช. เข้ามาบริหารประเทศนั้นก็เร่งดำเนินการเป็นวาระแห่งชาติ ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มี 6 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมพิจารณาดำเนินการ คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ โดยจะเน้นการบริหารจัดการแบบบูรณาการ จะไปดูรูปแบบการจัดสรรที่ดินที่แต่ละหน่วยงานรับผิดชอบอยู่แล้วไม่เกิดประโยชน์ จะจัดสรรให้แก่เกษตรกรที่ไม่มีที่ทำกินได้อย่างไรโดยไม่ผิดกฎหมาย
 
การให้สิทธิ์ในการทำกินตรงนี้ อาจจะให้ในลักษณะสิทธิทำกินชุมชน จะไม่ให้เป็นรายบุคคลหรือให้กรรมสิทธิ์ซื้อขาย ซึ่งจะต้องมีการจัดแยกกลุ่มราษฎรที่ทำกินว่ากลุ่มใดสามารถอยู่ทำกินได้ กลุ่มใดไม่สามารถอยู่ได้ ที่สำคัญก็คือการหาพื้นที่รองรับราษฎรที่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ทำมาหากิน ในส่วนที่ผิดกฎหมายอยู่ ในส่วนของประชาชนเอง ก็จะต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องไม่บิดเบือนอย่าไปเชื่อในคำอ้าง คำกล่าวว่าจะช่วยเหลือท่านได้ ท่านต้องมาร่วมมือกับรัฐช่วยกัน ผมรู้ว่าพี่น้องเดือดร้อน แต่เราต้องการความร่วมมืออย่างจริงใจ และโปร่งใสของทุกฝ่าย ถึงจะทำให้การแก้ไขปัญหานั้นได้เป็นไปอย่างรวดเร็วและยั่งยืน ทั้งนี้ ได้ขอให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรฯ ทำการขึ้นทะเบียนผู้ที่ไม่มีที่ทำกินให้ทันสมัย รวมทั้งผู้ที่บุกรุกเข้าไป คสช. ได้ให้เคลื่อนย้ายออกมาจากพื้นที่บุกรุกป่าว่าได้อย่างไรกับคนทั้งสองประเภทเหล่านี้
 
เรื่องของกฎหมาย ได้มีการให้รวบรวมจัดระเบียบกฎหมายที่ล้าสมัย ปรับปรุงร่างกฎหมายใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักสากล ได้รวบรวมตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยกลุ่มงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของ คสช. และได้ส่งมอบข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ดำเนินการเร่งปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่คงค้างอยู่เป็นจำนวนมาก และรัฐบาลจะเร่งดำเนินการเสนอร่างกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ รวมทั้งจะเปิดช่องทางให้ภาคประชาชน ธุรกิจ และเอกชน ได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจการค้าต่าง ๆ ขณะนี้ได้เสนอร่างกฎหมายหลายประเภทด้วยกัน ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการเสนอร่าง 37 เรื่อง ขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมาย 49 เรื่อง ขั้นตอนการพิจารณาของ สนช. 61 เรื่อง และการประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว 4 เรื่อง สำหรับกฎหมายเมื่อมีผลบังคับใช้แล้ว ไม่ใช่ว่าประกาศแล้วจะใช้เลยทำให้ประชาชนเดือดร้อนก็จะต้องมีระยะเวลากำหนดให้เพียงพอในการทำความเข้าใจทั้งกับประชาชนและเจ้าหน้าที่ด้วย เช่น อาจจะ 60 วัน 90 วัน 120 วัน 180 วัน
 
สำหรับผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการต่าง ๆ ผู้บัญชาการทหารบก และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมจุดตรวจชลประทาน อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการทุ่งยางแดงโมเดล และให้ประเมินผลภายใน 3 เดือน หากได้ผลเป็นที่พอใจให้ขยายผลไปสู่อำเภออื่น ๆ ก็เป็นเรื่องของการบูรณาการประสานงานกันให้ใกล้ชิดและมีความรับผิดชอบที่ชัดเจน
 
กระทรวงศึกษา โดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดสรรงบประมาณจำนวนกว่า 4 ล้านบาท เพื่อจัดสร้างอาคารเรียนชั่วคราวรวม 9 หลัง ให้กับโรงเรียนบ้านน้ำดำ โรงเรียนบ้านมะนังยง และโรงเรียนบ้านเขาดิน อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี ในส่วนสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ได้จัดโครงการ “เตรียมความพร้อมอาชีวศึกษา” นำร่องในสถานศึกษาอาชีวศึกษา จังหวัดสมุทรปราการ 3 สถาบัน และ จังหวัดปทุมธานีหรือ จังหวัดนนทบุรี 1 สถาบัน โดยคาดว่าจะมีนักศึกษาเข้าร่วมกว่า 300 คน เพื่อแก้ปัญหาพฤติกรรมนักศึกษา นักเรียนก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรง
 
ในส่วนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาโครงการลงทุนจำนวน 115 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 102,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการที่เป็นกิจการขนาดใหญ่ จำนวน 24 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 90,000 ล้านบาท เช่น การผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ระยะที่ 2 และโครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น ในการพิจารณาอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกิจการขนาดเล็ก และขนาดกลาง มีจำนวนทั้งสิ้น 91 โครงการ เงินลงทุนรวม 12,425 ล้านบาท
 
เรื่องขอความร่วมมือจากเราเพื่อจะสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในเรื่องของการปฏิรูปทั้ง 11 ด้าน ขอขอบคุณท่านประธานสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และ สมาชิก สปช. ทุกท่าน ได้เห็นความตั้งใจในการทำงาน เพื่อประเทศไทย คนไทย คสช. และรัฐบาลขอให้กำลังใจ และก็นำเรื่องที่ติชมนั้น มาเป็นแรงใจในการทำงานต้องอดทนเสียสละ ผมรู้ว่าเป็นเรื่องที่ยากในการที่จะปฏิรูปประเทศในท่ามกลางความขัดแย้ง ยังคงมีบางคน บางพวก ยังมุ่งแต่จะรักษาผลประโยชน์ตนเอง ทั้งในวันนี้และในอนาคต ทุกท่านต้องช่วยกันอดทน
 
เรื่องที่ดี ๆ มีอยู่หลายอย่าง เรียนอีกครั้งว่า การทำงานของรัฐบาลขณะนี้ ก็คือการปฏิรูป อย่างหนึ่งก็คือ ในระยะสั้น เฉพาะหน้า ต้องสอดคล้องกับหลัง 1 ปีไปแล้ว และทำต่อในรัฐบาลต่อ ๆ ไป นั้นคือความต่อเนื่อง รัฐบาลทุกรัฐบาลจะต้องมียุทธศาสตร์และนโยบายของประเทศระยะยาว มิฉะนั้นก็จะเกิดการขัดแย้งกันไปมา ต้องเริ่มต้นกันใหม่มาตลอด ประกอบกับการทุจริตผิดกฎหมาย ไม่โปร่งใสทุกขั้นตอน ซึ่งเรื่องเหล่านี้เรากำลังนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
 
วันนี้ คสช. รัฐบาลจะกำหนดมาตรการอะไรลงไป มีปัญหาหมด ปัญหาซ้ำซ้อน แล้วก็เดือดร้อน ยิ่งคิดใหม่ ยิ่งทำใหม่ ก็ต้องมาระแวงการทุจริตกันอีก ก็คาดโทษเอาไว้แล้วกัน ข้าราชการดี ๆ เขาก็หวาดผวา ไม่กล้าทำอะไร กลัวจะถูกกล่าวหาว่าทุจริต ท่านต้องมั่นใจ อะไรที่ท่านคิดว่าท่านทำได้ ถูกต้องท่านทำไป เป็นไปตามนโยบาย ท่านก็ต้องทำ ไม่ต้องกลัว แต่พร้อมจะรับการตรวจสอบได้ก็แล้วกัน
 
ส่วนผู้ที่คอยทุจริตเหล่านั้น ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมยังมีข่าวจ้องจะทำความผิดตลอดเวลา นัดกันจะเป็นกลุ่มประโยชน์แอบอ้าง คสช. อ้างรัฐบาล อ้างความใกล้ชิดคนโน้นคนนี้มาตลอด สังคมต้องช่วยกันเฝ้าระวัง ทำให้เห็นว่าการทุจริตเหล่านั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่อย่างนั้นรัฐบาลก็จะทำอะไรไม่ได้อีก จะเริ่มโครงการอะไรใหม่ ๆ ก็เริ่มโจมตีกันไปอีกแล้ว ทำให้การพัฒนาประเทศการขับเคลื่อนประเทศช้าไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ที่เป็นปัญหาในขณะนี้ ต้องรับฟังปัญหาทั้ง 2 ฝ่าย ผมรับฟังทั้ง 2 ฝ่าย อะไรที่ดีก็ต้องทำ อะไรที่ไม่ดียังไม่ตรงกันก็มาหาข้อมูลให้ตรงกัน แล้วจะทำอย่างไรก็หาทางออกให้ได้ ไม่อย่างนั้นเราเสียเวลาไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างก็กลับมาที่เดิม เสียเวลาต้องทำงานหนักเป็น 2 - 3 เท่า ประชาชนก็ต้องคอยคาดหวังอีกไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นต้องช่วยกัน ช่วยกันเฝ้าระวัง ไม่ว่าจะเป็นข้อติชม ข้อเสนอแนะ หรือคนทุจริตที่ไหน อะไรอย่างไร ผมรับได้หมด
 
อีกประเด็นที่สำคัญ ก็คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเรานั้นค่อนข้างมีปัญหา เราจะต้องสร้างให้คนของเราอยู่ร่วมกันให้ได้อย่างสันติ ถ้าเรามัวแต่พูดถึงว่าคำว่าสิทธิเสรีภาพหรือประชาธิปไตยจนไร้ขีดจำกัด จะรวมกันไม่ได้ คิดจะพูดอะไรก็ไม่ได้ ขัดแย้งกันทุกเรื่อง ทำอะไรไม่ได้เลย ต้องหาทางรวมพลังเหล่านี้ให้ได้ ก็ด้วยการสร้างความเข้าใจ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำไม่ได้ เราจะปฏิรูปกี่ครั้ง ตั้งสภาปฏิรูปกี่ครั้ง ก็ทำไม่ได้แก้อะไรไม่ได้ ประชาธิปไตยไทยนั้น ถ้าสอนให้คนรู้จักแต่เพียงสิทธิ เสรีภาพ ไม่คำนึงถึงหน้าที่ ไม่รู้จักผลประโยชน์แห่งชาติว่าอยู่ที่ไหน ก็ยังคงเป็นแบบนี้อยู่ต่อไป ผมต้องการใช้คำว่าพวกเราทุกคนยก็ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สำหรับประเทศไทย ถ้ายังเป็นอย่างนั้นอยู่อีก
 
ระบบการสอน การเรียนรู้ การให้แนวคิด ในสังคมปัจจุบัน อยากให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องลองปรับเล็กน้อย อย่าสอนให้เสรีมากนัก คำว่าเสรีต้องมีขีดจำกัด อยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ต้องรู้จักหน้าที่ ต้องรู้จักการให้เกียรติบุคคลอื่นบ้าง ไม่สอนให้คนไม่เคารพกฎหมาย หรือต่อให้เรามีกี่คณะ ทำงานออกมา กฎกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ทำออกมา สปช. ออกแบบออกมาว่า จะร่างรัฐธรรมนูญกันอย่างไร ก็ไม่สำเร็จ เพราะทุกคนจะรู้สึกว่า ถูกบังคับ ไม่ยอม ก็เป็นอันตราย ประชาธิปไตยของโลกสากล เขายังต้องเคารพกฎหมาย มีกฎหมาย ข้อบังคับมากมาย เขาก็ไม่ได้ต่อต้านอะไรกันรุนแรงแบบบ้านเรา ถ้าเราจะไม่มีกฎหมาย ไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบอะไรเลย เพราะถือว่าเป็นเรื่องของเสรีประชาธิปไตย ผมว่าอันตราย เพราะฉะนั้นเราน่าจะออกแบบให้เป็นประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับคนไทย สอนให้มีสติ จะคิด จะเชื่อ เพราะเราอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงและความมีเหตุผล อย่าให้เขาใช้ความยากจน ความเหลื่อมล้ำมาเป็นเครื่องมือในทางด้านการเมืองอีกต่อไปเลย
 
มีอีกหลายเรื่องที่รอให้รัฐบาลดำเนินการ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ๆ มีความสำคัญต่อการปฏิรูปประเทศ ทั้งนี้ ก็เพื่อเราจะสร้างอนาคตที่ดีให้ลูกหลาน เตรียมความพร้อมให้กับประเทศ ให้กับรัฐบาลต่อไป ได้เข้ามาสานต่อ ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลปกติที่ผ่านมานั้นทำได้ยากหรือทำไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นเรื่องของการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ รัฐบาลนี้จะพยายามวางรากฐานที่มั่นคงไว้ให้
 
เรื่องที่คิดและจะดำเนินการต่อไป ได้แก่ การวางยุทธศาสตร์ประเทศ ในการสร้างความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านให้ชัดเจน สร้างความเข้มแข็งทางด้านการค้า เศรษฐกิจ ทั้งนำเข้า – ส่งออก วางยุทธศาสตร์ชาติ จัดทำงบประมาณในลักษณะการบูรณาการกลุ่มงาน จัดตั้งคณะกรรมการมากกว่า 11 คณะในขณะนี้ เพื่อปรับปรุงการทำงาน การใช้จ่ายงบประมาณ ในเรื่องของการสร้างความเข้าใจ การพัฒนาระบบราชการยังคงดำเนินการต่อไป การร่างแผนภาษี ร่างกฎหมาย การบริหารจัดการพลังงาน การบุกรุกป่า การไม่มีที่ดินทำกิน สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ คนรวยก็รวยมาก คนจนก็จนมาก ทำอย่างไรให้ทั้ง 2 ส่วนนี้ ไม่มีความเหลื่อมล้ำหรือมีความแตกต่างให้น้อยที่สุด ดูแลซึ่งกันและกัน เราจะได้ดำรงชีวิตได้อย่างพอเพียง ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 
ในสัปดาห์นี้ผมดีใจ และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเลี้ยงขอบคุณนักกีฬาไทยทุกคนที่รอมานานแล้ว เราต้องรอให้ครบทั้ง 4 คณะ ซึ่งได้นำพาความสุข ความภาคภูมิใจ ชื่อเสียงมาให้กับพี่น้องชาวไทยทุกคน ในช่วงการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ เอเชียนพาราเกมส์ ยูธเกมส์ แล้วก็ฟุตบอลหญิงที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปนั้น นักกีฬาทุกคนได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ในการแข่งขันกีฬา เป็นธรรมดา กีฬาก็ต้องมีทั้งแพ้และชนะ แต่ที่สำคัญทุกท่านได้แสดงให้เห็นถึง Spirit ของความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เคารพกฎกติกา เป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจที่ดีให้กับเยาชนไทยอีกหลาย ๆ คน ทางรัฐบาลยินดี มีความตั้งใจที่จะสนับสนุนการพัฒนาด้านกีฬาของประเทศไทยต่อไป ก็ต้องการให้เพิ่มเติมในเรื่องของโรงเรียนกีฬาหรือส่วนที่จะนำคนที่ชอบกีฬามาเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐด้วย เพื่อจะพัฒนานักกีฬาต่อไปในอนาคต ไม่อย่างนั้นเราสู้เขาไม่ได้ เรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬา อะไรเหล่านี้ต้องใช้งบประมาณสูง
 
ส่วนความภาคภูมิใจล่าสุดของคนไทยก็คือ ผลการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียนครั้งที่ 10 ที่จัดขึ้นที่ประเทศเวียดนาม เยาวชนไทยได้รับเหรียญรางวัลถึง 6 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 4 เหรียญทองแดง และมีใบประกาศนียบัตรรับรองความสามารถอีก 12 คน ถือว่าเป็นการแสดงศักยภาพของเยาวชนไทยในระดับนานาชาติ เราควรต้องสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง ผมขอแสดงความยินดีกับเยาวชนไทยทุกคนที่ได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ด้วย สำหรับแรงงาน ผมว่าคงจะต้องพัฒนาในเรื่องภาษาด้วย ทุกประเทศที่มาลงทุนประเทศไทยชื่นชมแรงงานของไทยว่าเข้มแข็ง มีฝีมือ แต่มีอย่างเดียวที่เขาต้องการให้แก้ไขมากที่สุดคือเรื่องภาษา เพราะว่าพูดภาษากันไม่รู้เรื่อง ภาษาอังกฤษสำคัญ แล้วก็จะได้พัฒนาตัวเองไปสู่ในระดับบริหารได้ด้วย ขอให้เร่งพัฒนา เพื่อรองรับ AEC ในปีหน้านี้ด้วย
 
อีกไม่กี่วันนี้ก็จะเข้าสู่เทศกาล “ลอยกระทง” ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 ผมก็ได้กำชับล่วงหน้าไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ช่วยกันออกตรวจตรา เตรียมการ ดูแลความปลอดภัยล่วงหน้า ในสถานที่จัดงานประเพณีลอยกระทงหรือจัดกิจกรรมรื่นเริงที่มีคนจำนวนมาก ความมั่นคงแข็งแรง ท่าเทียบเรือ การสัญจรทางน้ำ อุปกรณ์กู้ชีพ รวมทั้งตรวจตราร้านผลิต ร้านจำหน่ายดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด ว่าได้รับอนุญาตปฏิบัติตามเงื่อนไขในใบอนุญาตหรือไม่ รวมทั้งการขนย้ายด้วย หากพบว่าไม่ได้ปฏิบัติตามให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด รวมทั้งตรวจตราสถานบริการ สถานบันเทิง สวนสาธารณะ โรงแรม หอพัก ไม่ให้เป็นแหล่งมั่วสุมของเยาวชน หากพบว่าเจ้าของสถานประกอบการหรือผู้จัดงานปล่อยปละละเลยให้มีเด็กเข้ามาใช้บริการ แล้วเกิดอันตราย หรือเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง อะไรก็แล้วแต่ ถือว่าต้องรับผิดชอบด้วย มีความผิดด้วย
 
เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนได้กวดขันร่วมกับรัฐ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ด้วย การกวดขันไม่ให้มีการจำหน่ายสุรานอกสถานที่และเกินเวลาที่กำหนด การเมาแล้วขับ ทั้งหลายทั้งปวง ให้กวดขันกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะไม่กี่เดือนจะถึง “เทศกาลปีใหม่” อีกแล้ว ปีนี้เราก็หยุดถึง 5 วัน เพราะฉะนั้นจะเห็นว่ามีการหยุดระยะยาวต่อเนื่องมาโดยตลอด ฉะนั้นต้องระมัดระวังการสูญเสียจากอุบัติภัย ทั้งหลายทั้งปวง สถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทุกปีมากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้เป็นกิจวัตร ต้องทำให้เป็นนิสัย ไม่ใช่พอถึงเทศกาลใดก็มารณรงค์กันเป็นครั้ง ๆ เสียงบประมาณ เสียเวลา เราต้องแก้ไขเป็นมาตรการป้องกันให้ได้ ไม่ใช่เกิดเรื่องแล้วค่อยมาล้อมคอก เป็น “วัวหายล้อมคอก” ทีหลัง อย่างนี้ไม่ได้ ผู้ประกอบการ ผู้จัดงาน เตือนอีกครั้งต้องร่วมรับผิดชอบในอันตรายเหล่านี้ด้วย ผู้ปกครองต้องให้ความร่วมมือในการกวดขันดูแลบุตรหลานให้ใช้ความระมัดระวังในช่วงเทศกาลลอยกระทงเป็นพิเศษด้วย ขอให้ทุกคนมีความสุข ขอขอบคุณ สวัสดีครับ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สปช.นัดประชุมร่างข้อบังคับ 3-4 พ.ย. นี้ กปปส.พร้อมหนุน กมธ.ยกร่าง รธน.

0
0
ประธาน สปช.นัดประชุมเพื่อพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 3-4 พฤศจิกายนนี้ ด้าน กปปส.พร้อมหนุนกมธ.ยกร่างรธน. เชื่อทุกคนมีความรู้ความสามารถ เผย "พระสุเทพ" ยังไม่มีกำหนดลาสิกขาบท “วันชัย” เชื่อไม่เกิน 2 เดือน เห็นรูปร่างปฏิรูปประเทศ

 
1 พ.ย. 2557 นายเทียนฉาย กีระนันท์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ มีคำสั่งนัดประชุมสภาปฎิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ในวันที่ 3 และ 4 พฤศจิกายนนี้ เวลา 09.30 น. โดยมีวาระการประชุมรับทราบพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งประธานและรองประธาน สปช. และวาระพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมาธิการยกร่างข้อบังคับการประชุม สปช. พิจารณาเสร็จแล้ว ทั้งนี้ ร่างข้อบังคับดังกล่าวคณะกรรมาธิการฯ ที่มีพลเอกเลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิก สปช. เป็นประธาน กำหนดให้มีทั้งหมด 143 ข้อ 8 หมวด ได้แก่ หมวด 1.การเลือกประธานสภาและรองประธานสภา หมวด 2.อำนาจและหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภาและเลขาธิการ หมวด 3.การประชุม แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 วิธีการประชุม ส่วนที่ 2 การเสนอญัตติ ส่วนที่ 2 การอภิปราย ส่วนที่ 4 การลงมติ หมวด 4.กรรมาธิการ หมวด 5.การจัดทำร่างพระราชบัญญัติ หมวด 6.การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ แบ่งเป็นส่วนที่ 1 คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนที่ 2 การพิจารณาและให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ หมวด 7.การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย หมวด 8.บทสุดท้าย และหมวดเฉพาะกาล
 
กปปส.พร้อมหนุนกมธ.ยกร่างรธน. เชื่อทุกคนมีความรู้ความสามารถ เผย "พระสุเทพ" ยังไม่มีกำหนดลาสิกขาบท
 
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษกคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์(กปปส.) กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายมองกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในสัดส่วนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)ยังไม่มีความหลากหลายว่า ทุกคนที่ได้รับการเลือกมาล้วนมีความรู้ความสามารถที่จะทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้และยังมีโควต้าจากคสช.และรัฐบาลอีกก็เชื่อว่า จะมีการสรรหาคนที่มีประสบการณ์ความรู้ด้านกฏหมาย การร่างรัฐธรรนูญ มาเพิ่มในส่วนที่เห็นว่า ขาดได้ ส่วนที่รัฐบาลอยากให้คู่ขัดแย้งมาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการปฏิรูปประเทศนั้น กปปส.ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใครโดยเฉพาะกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ( นปช.)แต่ฝ่ายตรงข้ามพยายามวาดภาพให้เห็นว่า กลุ่มนปช.เป็นคู่ขัดแย้ง ที่ผ่านมายืนยันมาโดยตลอดว่า กปปส.ไม่สนใจตัวบุคคลใครจะเข้ามาร่วมทำให้เกิดการปฏิรูปเราก็ยินดี
 
และพร้อมให้การสนับสนุน แม้ว่าจะไม่มีตัวแทนของกปปส.เข้าร่วมก็ตาม เพราะเราเน้นที่ผลงานมากกว่า อย่างไรก็ตามจากนี้ไป กปปส.จะเริ่มมีการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะแนวทางการปฏิรูปประเทศ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็กำลังเดินหน้าจัดตั้งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าก็จะเสร็จสิ้น
 
นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมาถือเป็นวันครบรอบ 1 ปีการชุมนุมของกปปส. ซึ่งกปปส.ได้มีการจัดพิธีอุปสมบทหมู่จำนวน ภายใต้ชื่อโครงการ”บวชพระเพื่อปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัว “. และเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากการชุมนุมของกปปส.ที่เกิดขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีแกนนำมาร่วมงานอย่างพร้อมเพียง อาทิ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายจุมพล จุลใส น.ส.จิตตภัสร์ กฤษดากร นายแซมดิน เลิศบุศก์ เป็นต้น
 
ส่วนกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้นเราเห็นว่า การชุมนุมที่ผ่านมาเราได้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ที่สามารถปลุกจิตสำนึกให้คนไทยให้ต่อต้านเผด็จการทางรัฐสภา รณณรงค์การปฏิรูปประเทศ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้เข้ามาบริหารประเทศ ทางกปปส.จึงขอหยุดความเคลื่อนไหวทางการเมืองไว้ก่อน ซึ่งพระสุเทพ ปภากโร (สุเทพ เทือกสุบรรณ)ได้บอกให้แกนนำทุกคนปล่อยวางสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ และขอให้แกนนำให้ความร่วมมือกับรัฐบาลและคสช.ในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ส่วนพระสุเทพยังจะคงบวชต่อไปให้ครบ 204 วันตามจำนวนที่กปปส.ชุมนุม ซึ่งประมาณต้นเดือนก.พ.ปีหน้าก็จะครบกำหนด แต่จะลาสิกขาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพระสุเทพ
 
“วันชัย” เชื่อไม่เกิน 2 เดือน เห็นรูปร่างปฏิรูปประเทศ
 
ด้านนายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ในฐานะโฆษกวิป สปช.ชั่วคราว กล่าวว่าหลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งประธาน และรองประธาน สปช.แล้ว จากนั้น สปช.จะต้องรีบร่างข้อบังคับการประชุมให้เสร็จ ซึ่งวันที่ 3 พ.ย.จะนำเข้าที่ประชุมใหญ่เพื่อพิจารณาและตั้งคณะกรรมาธิการสามัญทั้ง 17 คณะให้เรียบร้อย น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะเป็นการเริ่มนับ 1 ในการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง และเป็นทางการ แต่เรื่องใดที่แต่ละด้านสามารถที่จะทำได้ก่อน ก็ต้องทำเลย ไม่ต้องรอกระบวนการข้างต้น
 
“เชื่อว่าไม่เกิน 2 เดือนหลังจากที่ตั้ง กมธ.แล้ว จะเห็นรูปร่างในการปฏิรูปประเทศอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่เห็นผลงาน ทำไม่สำเร็จ ถือว่าเสียของเป็นอย่างมาก”นายวันชัย กล่าว และว่าการเลือกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในสัดส่วนของ สปช. 20 คน
 
จากที่มีการพูดคุยกันในวิป สปช. เห็นว่าครบถ้วนในทุกด้าน มีการครอบคลุมในทุกมิติ ได้คนที่มีความรู้ ความสามารถในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการเลือกของสมาชิกเกิดขึ้นอย่างมีอิสระ ทุกคนเลือกกันเอง ภาพรวมทั้งหมดวิป สปช.มีความพอใจ การทำงานของ กมธ.ยกร่างฯ น่าจะมีประสิทธิภาพครบถ้วนในทุกๆ ด้าน ต่อจากนี้ทาง สปช.เองก็จะตั้งกรรมาธิการเพื่อเสนอแนะต่อ กมธ.ยกร่างฯ
 
รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อส่งข้อมูลให้ กมธ.ยกร่างฯ นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่อไป
 
 
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก
 
สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย, กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มาสเตอร์โพลล์ระบุแกนนำชุมชนอยากให้ 'ประยุทธ์' ทำงานอีก 4 ปี

0
0
แกนนำชุมชน พอใจการทำงาน รบ. - คสช. ให้คะแนนสูงสุด ส่งเสริม ปชช.ดำเนินรอยตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ชดเชยรายได้ชาวสวนยาง ต้อนรับการเยือนนายกฯบาห์เรน พักชำระหนี้เกษตรกร พร้อมให้โอกาส "ประยุทธ์" นั่งนายกฯ ต่ออีก 4 ปี

 
1 พ.ย. 2557 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า รศ.ดร.เชษฐ รัชดาพรรณาธิกุล ประธานชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน (Thai Researchers in Community Happiness Association, TRICHA) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจมาสเตอร์โพลล์ (Master Poll) เรื่อง สำรวจความพึงพอใจของแกนนำชุมชนต่อการทำงานของรัฐบาล กรณีศึกษาตัวอย่างแกนนำชุมชน จำนวนทั้งสิ้น 626 ชุมชน ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25 - 31 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา พบว่า
 
เมื่อถามถึงความพึงพอใจของแกนนำชุมชนต่อการทำงานของรัฐบาลและ คสช. โดยภาพรวม ได้ 8.50 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ทั้งนี้หากพิจารณาจำแนกตามรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 ได้แก่ การส่งเสริมให้ประชาชนดำเนินรอยตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ได้คะแนนความพึงพอใจสูงที่สุดอยู่ที่ 8.68 คะแนน อันดับที่ 2 ได้แก่ โครงการชดเชยรายได้พี่น้องชาวสวนยางไร่ละ 1,000 บาทต่อไร่ ไม่เกินครอบครัวละ 15 ไร่ ได้ 8.39 คะแนน อันดับที่ 3 ได้แก่ การต้อนรับการมาเยือนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีบาห์เรน และโครงการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ชาวสวนยางพารารายย่อย เพื่อประกอบอาชีพเสริม รายละไม่เกิน 1 แสนบาท ได้ 8.22 คะแนนเท่ากัน อันดับที่ 4 ได้แก่ โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยจะช่วยรับซื้อยางในราคาเป้าหมายที่ 60 บาทต่อกิโลกรัม ในชั้นต้น ได้ 8.21 คะแนน อันดับที่ 5 ได้แก่ การพักชำระหนี้ในปี 2557 เพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนผู้มีรายได้น้อย ได้ 8.20 คะแนน
 
และรองๆ ลงมา คือการส่งเสริมและพัฒนาการสร้างความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม และการเคลื่อนไหวของผู้พิการทางการมองเห็น ได้ 8.15 คะแนน การจัดระเบียบพื้นที่ทางการเกษตรและอุตสาหกรรม (Zoning) ได้ 8.14 คะแนน การเตรียมพร้อมเพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนน้ำ ได้ 8.13 คะแนน ผลการเข้าร่วมประชุมผู้นำเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 10 ที่ประเทศอิตาลี ได้ 8.04 คะแนน การพบปะผู้นำจากประเทศต่างๆ เพื่อแนะนำตัวอย่างสร้างความเข้าใจในสถานการณ์ของประเทศไทย และการขอความร่วมมือในการนำเสนอข่าวของสื่อไทย เพื่อสร้างความเข้าใจกับต่างประเทศ ได้ 8.01 คะแนน เท่ากัน การพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าระหว่างเมือง ได้ 7.98 คะแนน การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศบาเรนห์กับประเทศไทยในทุกมิติ และการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิตที่สำคัญและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้ 7.97 คะแนนเท่ากัน การพัฒนาโครงข่ายขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร ได้ 7.96 คะแนน การพัฒนาการเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งทางอากาศ ได้ 7.89 คะแนน และการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ำ ได้ 7.88 คะแนน ตามลำดับ
 
นอกจากนี้เมื่อสอบถามแกนนำชุมชนต่อการให้โอกาส พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรี พบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.6 ให้โอกาสในการทำงานจนกว่าจะแก้ไขปัญหาได้เรียบร้อย ร้อยละ 7.7 ให้ทำงานต่ออีก 1 ปี ร้อยละ 14.9 ให้ทำงานต่ออีก 2 ปี ร้อยละ 5.8 ให้ทำงานต่ออีก 3 ปี และร้อยละ 8.0 ให้ทำงานต่ออีก 4 ปี
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดีเดย์! วันนี้ (1 พ.ย.) กรมชลฯ งดส่งน้ำทำนาลุ่มน้ำเจ้าพระยา-แม่กลอง

0
0
กรมชลประทานเริ่มงดส่งน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง 26 จังหวัด ตั้งแต่วันนี้ (1 พ.ย.) ถึง 30 เม.ษ. 58 เพื่อสำรองน้ำในเขื่อนไว้อุปโภค-บริโภคในฤดูแล้งที่คาดการณ์ว่าจะเกิดวิกฤตสุดในรอบ 15 ปี วอนชาวนาเจ้าพระยา-แม่กลองงดทำนาปรังหลังพบหลายพื้นที่เริ่มปลูกรอบใหม่

 
1 พ.ย. 2557 กรมชลประทานจะงดส่งน้ำตั้งแต่วันนี้ (1 พ.ย.) เป็นไปตามมติ ครม. เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง พร้อมให้หามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ และแนะนำปลูกพืชตระกูลถั่วทดแทน แต่กลับพบปัญหาไม่มีเมล็ดพันธุ์เพียงพอ 
 
โดยเมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่จังหวัดกำแพงเพชร โครงการส่งน้ำและบำรุงน้ำรักษาท่อทองแดง ได้เข้าชี้แจงกับชาวบ้าน ถึงการปิดประตูระบายน้ำ 3 แห่ง ทั้งโครงการชลประทานท่อทองแดง, วังบัว และวังยาง เพื่อถือโอกาสซ่อมแซมระบบ โดยจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรในจังหวัดและใกล้เคียง ต้องหยุดจ่ายน้ำนานถึง 6 เดือน พร้อมให้คำแนะนำเกษตรกรปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย แทนการปลูกข้าวนาปรัง อีกทั้งยังเปิดให้ชาวบ้านแสดงความจำนงเข้าร่วมเป็นลูกจ้างชั่วคราวกรมชลประทานเพื่อซ่อมแซมระบบที่เป็นปัญหา
 
ขณะที่พื้นที่ จ.ชัยนาท แหล่งปลูกข้าวในลุ่มเจ้าพระยา พบว่า ชาวนาส่วนใหญ่ทราบแนวทางปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทนข้าวนาปรัง แต่พบปัญหาขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ถั่วที่ภาครัฐแนะนำให้ปลูก ซึ่งไม่มีจำหน่ายในร้านสินค้าการเกษตร สอดคล้องกับนักวิชาการที่ระบุว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านเป็นยุควิกฤตเมล็ดพันธุ์พืชของไทยหลังยุบสำนักเมล็ดพันธุ์ ซึ่งมีหน้าที่ผลิตเมล็ดพันธุ์แจกจ่ายให้เกษตรกร แต่ปัญหาขณะนี้ คือ มีหน่วยงานวิจัยด้านเมล็ดพันธุ์มาก แต่ขาดหน่วยงานที่ผลิตเมล็ดแจกจ่ายไปยังเกษตรกร โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว ทั้งที่เป็นพืชไร่ที่มีประโยชน์บริโภคและอุปโภคอย่างมหาศาล  
 
กรมชลฯวอนเกษตรกร 2 ลุ่มน้ำงดทำนาปรัง หลังพบส่วนหนึ่งเริ่มปลูกข้าวรอบใหม่
 
ด้านศูนย์ประมวลวิเคราะห์ถานการณ์น้ำ กรมชลประทานรายงานสถานการ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 57 ที่เขื่อนภูมิพล จ.ตาก มีปริมาณน้ำ 6,015 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 45 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 2,215 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ มีปริมาณน้ำ 5,835 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 61 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 2,985 ล้านลูกบาศก์เมตร
 
เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก มีปริมาณน้ำ 784 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 83 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 741 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี  มีปริมาณน้ำ  817 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 85 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 814 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมทั้ง 4 เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันประมาณ 6,755 ล้านลูกบาศก์เมตร
 
นอกจากนี้ เนื่องจากทางกรมชลประทานได้ประกาศงดส่งน้ำเพื่อการทำนานาปรังทั้งลุ่มน้ำเจ้าพระยาแล้ว แต่พบว่ายังคงมีเกษตรกรบางส่วนที่ยังคงทำนาปรังต่อไป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อปริมาณน้ำที่จะใช้ในการอุปโภค-บริโภค การผลิตน้ำประปา การผลักดันน้ำเค็ม และรักษาระบบนิเวศน์ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาทั้งหมด จึงขอความร่วมมือเกษตรกรให้งดการทำนาปรัง เพื่อให้ประชาชนทั้งลุ่มน้ำมีน้ำเพียงพอต่อการดำรงชีพตลอดช่วงฤดูแล้งได้
 
 
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก
 
ครอบครัวข่าว, ประชาชาติธุรกิจ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รอบโลกแรงงานตุลาคม 2014

0
0
 
โอบามา ตำหนิบริษัทเอกชนไม่แบ่งปันความสำเร็จให้กับพนักงาน
 
4 ต.ค. 2014 ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐกล่าวตำหนินโยบายของบริษัทเอกชนที่ขัดขวางไม่ให้พนักงานมีรายได้อย่างเพียงพอ
 
ทั้งนี้ นายโอบามาได้ชื่นชมนโยบายเศรษฐกิจของฝ่ายบริหารของเขา หลังจากรายงานเมื่อคืนนี้บ่งชี้ว่า อัตราว่างงานของสหรัฐปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปีในเดือนก.ย.
 
นายโอบามากล่าวที่โรงงานของบริษัทมิลเลนเนียม สตีล เซอร์วิส ในรัฐอินเดียนาว่า บริษัทต่างๆที่มีมีงบดุลที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ไม่ได้แบ่งปันความมั่งคั่งให้กับพนักงานซึ่งมีส่วนในความสำเร็จดังกล่าว
 
“มันเหมือนกับว่าบริษัทต่างๆไม่โอกาสมากพอสำหรับการจ่ายเงินเพิ่มให้กับพนักงาน แต่มันเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ทำ" เขากล่าว พร้อมกับเสริมว่า “งบดุลของบริษัทได้รับส่วนแบ่งที่สูงขึ้นและก็สูงขึ้น ในขณะที่พนักงานได้รับส่วนแบ่งที่ลดลงและลดลง"
 
นอกจากนี้ นายโอบามายังหวังว่า เศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นจะเป็นแรงสนับสนุนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรสกลางเทอมที่จะมีขึ้นในเดือนพ.ย.นี้ และหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่นั่งให้กับพรรครีพับลิกันในสภาสูงของสหรัฐ
 
นายโอบามาระบุว่า บริษัทเอกชนกำลังฉวยโอกาสความได้เปรียบจากตลาดแรงงานยังคงอ่อนแอ เนื่องจากผู้คนไม่กล้าลาออกจากงานเพราะเกรงว่าจะหางานทำที่อื่นไม่ได้
 
พนักงาน จี้ปธ.เวิลด์แบงก์ แจงเหตุจ่ายโบนัสผู้บริหารอาวุโสแพง ในช่วงที่องค์กำลังรัดเข็มขัด
 
5 ต.ค. 2014 สมาคมเจ้าหน้าที่ธนาคารโลก ร้องขอประชุมกับนายจิม ยอง คิม ประธานธนาคารโลก โดยอ้างว่าขณะนี้ตกอยู่ในบรรยากาศความหวาดกลัว สับสน และไม่สบายใจ กรณีที่มีการเลือกจ่ายโบนัสเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคน ซึ่งนายคิม ได้เรียกประชุมในเช้าวันจันทร์นี้ เพื่อคลี่คลายความวิตกเรื่องนี้ รวมทั้งหารือประเด็นเกี่ยวข้องกับการปฏิรูป ที่ได้เคยประกาศไว้นับจากเข้ามานั่งเก้าอี้ประธานธนาคารโลกเมื่อสองปีที่แล้ว
 
หนังสือเวียน ที่สมาคมนำออกเผยแพร่ ก่อนการประชุมประจำปีสมาชิกและเจ้าหน้าที่ธนาคารโลก ในกรุงวอชิงตัน สัปดาห์หน้า ระบุว่า มีความไม่พอใจอย่างมาก กรณีที่มีการเลือกจ่ายโบนัสแก่ฝ่ายบริหารอาวุโส ทำให้ต้องตัดลดค่าใช้จ่าย และงบประมาณในการดำเนินโครงการต่างๆ อีกทั้ง การที่ฝ่ายบริหารขาดการสื่อสารเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินงาน ทำให้บรรยากาศความกลัว และสับสนแผ่ไปทั่วองค์กร ทางสมาคม ซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงานราว 1 หมื่นคน จึงต้องการให้ประธานคิม ไขข้อข้องใจโดยตรง
 
ทั้งนี้ สถาบันการเงินของโลก ที่มีภารกิจหลักคือต่อสู้ความยากจน ถูกรุมเร้าไปด้วยข่าวที่ว่า เจ้าหน้าที่อาวุโสบางคนได้รับโบนัสก้อนโต ทั้งที่พยายามลดรายจ่าย โดยเฉพาะนายแบร์ทรองด์ บาเดร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ด้านการปรับโครงสร้างของธนาคารโลก ที่ได้รับโบนัสในงบปีการเงิน 2557 จำนวน 94,000 ดอลลาร์ นอกเหนือจากเงินเดือนสุทธิปีละประมาณ 380,000 ดอลลาร์ ทั้งยังได้รับเงินพิเศษจ่ายเป็นงวดอีกเกือบ 95,000 ดอลลาร์ เมื่อครั้งถูกดึงตัวมาทำงานเมื่อมีนาคมปีที่แล้ว
 
เวียดนามพิจารณาแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างแรงงานฝีมือในภาคพลังงานนิวเคลียร์อีก 5,000 คน
 
7 ต.ค. 2014 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเวียดนาม จัดประชุม "การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาคนิวเคลียร์" เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อพิจารณาเรื่องการสร้างแรงงานมีทักษะและบัณฑิตอีกราว 6,000 คน สำหรับอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ ที่ปัจจุบันเวียดนามมีคนงานในภาคนิวเคลียร์เพียง 1,300 คน จำเป็นต้องสร้างเพิ่มเติมอีก 5,000 คนภายในปี 2563
 
นายไบรอัน มอลลอย หัวหน้าแผนกทรัพยากรมนุษย์สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือไอเออีเอ กล่าวระหว่างการประชุมว่า การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของเวียดนามในจังหวัดนินห์ถ่วน ทางตอนใต้ของประเทศนั้น ต้องใช้เวลา 7-10 ปี เวียดนามจึงจำเป็นต้องมีแผนที่ละเอียดและปฏิบัติได้ เรื่องแผนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาคส่วนนี้
 
ด้านนายจัน เวียด ถั่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า เวียดนามกำลังเร่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้บรรลุความต้องการแรงงานมีทักษะด้านพลังงานนิวเคลียร์ในอนาคต การร่วมมือกันระหว่างเวียดนามและผู้เชี่ยวชาญจากไอเออีเอ จะช่วยพัฒนาทักษะและความรู้ของแรงงานชาวเวียดนามได้ นอกจากนี้เวียดนามยังส่งนักศึกษา 300 คนไปศึกษาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่ก้าวหน้าจากรัสเซียด้วย
 
พนักงานรถไฟใต้ดินลอนดอนประกาศหยุดงาน 48 ชม.
 
7 ต.ค. 2014 สหภาพขนส่งอังกฤษแถลงว่า พนักงานการรถไฟใต้ดินกรุงลอนดอนของอังกฤษกำหนดผละงานประท้วงเป็นเวลา 48 ชั่วโมงในวันอังคารสัปดาห์หน้าเนื่องจากยังตกลงกรณีปิดจุดจำหน่ายตั๋วโดยสารยังไม่ได้ คาดว่าจะทำให้การเดินทางโกลาหล
 
สมาชิกสหภาพขนส่งที่มีจำนวน 80,000 คนประกาศผละงานประท้วงสัปดาห์หน้าตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 14 ตุลาคมไปจนถึงค่ำวันที่ 16 ตุลาคม การนัดหยุดงานดังกล่าวตรงกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และข้าราชการทั่วอังกฤษจากความขัดแย้งเรื่องค่าตอบแทน การจ้างงาน และการตัดลดค่าใช้จ่าย ผู้บริหารการรถไฟใต้ดินกล่าวว่า การปิดจุดจำหน่ายตั๋วบางแห่งเนื่องจากมีผู้ใช้บริการน้อย เพราะมีตู้จำหน่ายและระบบบริการอัตโนมัติเพียงพอแล้ว และว่าพนักงานควรประจำอยู่ที่สถานี
 
CNN ประกาศปลดพนักงานหลายร้อยตำแหน่ง บริษัทแม่อ้างเหตุผลยอดฮิต “ต้องปรับโครงสร้างองค์กร
 
8 ต.ค. 2014 รายงานข่าวล่าสุดยืนยันว่า สถานีข่าว 24 ชั่วโมงชื่อดังอย่าง “เคเบิล นิวส์ เน็ตเวิร์ก” หรือ “ซีเอ็นเอ็น” ซึ่งมีฐานอยู่ในนครแอตแลนตา ในมลรัฐจอร์เจียของสหรัฐฯประกาศปลดพนักงานทั่วโลกจำนวน 300 ตำแหน่งจากจำนวนพนักงานในองค์กรทั้งหมดที่มีจำนวนราว 3,500 คน ตามแผนปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ที่มีชื่อว่า “เทอร์เนอร์ 2020” ของบริษัท “เทอร์เนอร์ บรอดแคสติง” ที่เป็นบริษัทแม่ของซีเอ็นเอ็น
       
แหล่งข่าวภายในบริษัทซึ่งไม่เปิดเผยชื่อยืนยันว่า การปลดพนักงานจำนวน 300 คนดังกล่าวของซีเอ็นเอ็นจะมีผลสมบูรณ์ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หรือภายในสิ้นเดือนนี้ โดยในจำนวนนี้ราว 130 คนเป็นพนักงานที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ที่ถูกบีบให้ต้องยินยอม “ลาออกโดยสมัครใจ” ขณะที่เหลืออีกราว 170 ตำแหน่งจะเป็นการเลิกจ้างโดยตรง
       
นอกเหนือจากพนักงานของซีเอ็นเอ็นแล้ว ทางบริษัทแม่อย่างเทอร์เนอร์ บรอดแคสติง ยังประกาศปลดพนักงานของบริษัทอื่นๆที่อยู่ในเครือรวมทั้งสิ้นราว 1,475 ตำแหน่งด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงพนักงานของช่องการ์ตูนชื่อดังอย่าง “Cartoon Network”
       
ด้านจอห์น มาร์ติน ซีอีโอของบริษัท เทอร์เนอร์ บรอดแคสติง ออกคำแถลงภายในถึงพนักงานในองค์กรโดยระบุว่าการปลดพนักงานออกถือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับ “ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน” ที่บริษัทต้องเร่งปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความแข็งแกร่ง พร้อมกล่าวขอบคุณพนักงานที่ต้องถูกปลดออกในครั้งนี้ ถึงความทุ่มเทของพวกเขาให้กับบริษัทตลอดหลายปีที่ผ่านมา 
 
ชาวพม่าสามารถทำประกันสุขภาพได้แล้ว
 
9 ต.ค. 2014 เว็บไซต์มิซซิมา รายงานเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมว่า ชาวพม่าจะสามารถทำประกันสุขภาพได้แล้วในโครงการประกันสุขภาพที่ทางการพม่าจะเริ่มให้มีการบริการแก่ประชาชนในช่วงต้นปีหน้า โดยจะเริ่มนำร่องที่นครย่างกุ้งและเมืองมัณฑะเลย์ของพม่า ก่อนที่จะให้มีการบริการเต็มสูบครอบคลุมทุกพื้นที่
 
ปัจจุบันการทำประกันในพม่ามีครอบคลุมการทำประกันไฟไหม้ รถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังไม่มีการประกันด้านสุขภาพ เมื่อผู้ที่เจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูง ซึ่งก็เป็นภาระหนักสำหรับผู้เจ็บป่วยที่มีรายได้น้อย แต่การมีโครงการประกันสุขภาพก็จะช่วยดูแลสิทธิประโยชน์และชดเชยค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของผู้ทำประกัน
 
โดยขณะนี้คณะทำงานที่มีตัวแทนจากบริษัทประกันภัยของเอกชนในพม่าจำนวน 12 บริษัท กระทรวงสาธารณสุข สมาคมโรงพยาบาลเอกชนและกรมสวัสดิการสังคมของพม่ากำลังร่วมกันทำงานเพื่อทำให้โครงการประกันสุขภาพนี้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม
 
“โนเกีย-ยาฮู” ลดพนักงาน ปิดโรงงานในอินเดียแล้ว
 
9 ต.ค. 2014 ไมโครซอฟท์แจ้งว่า ข้อตกลงที่ทำไว้กับทางโนเกียจะมีผลให้ต้องยุติการผลิตในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ และเมื่อไม่มีออเดอร์จากทางไมโครซอฟท์ โนเกียก็จำเป็นต้องยุติการผลิตโทรศัพท์มือถือในโรงงาน Sriperumbudur” พร้อมกันนั้น ทางโนเกียยังได้แถลงด้วยว่า เป็นเพราะปัญหาด้านภาษีทำให้โนเกียไม่สามารถสร้างโอกาสให้แก่โรงงานนี้ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่
       
สำหรับการดำเนินการดังกล่าวเป็นการทำตามแผนที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมของไมโครซอฟท์ ว่า ไมโครซอฟท์จะลดพนักงานลง 18,000 ตำแหน่ง รวมถึงพนักงาน 12,500 ตำแหน่งที่โอนมาจากโนเกียด้วย
       
สำหรับโรงงาน Chennai นั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นโรงงานผลิตโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพนักงานทำงานทั้งสิ้น 6,600 คน แต่ในการขายให้แก่ไมโครซอฟท์ โนเกียพบปัญหาด้านภาษีจึงทำให้ไม่สามารถขายโรงงานในส่วนนี้ให้ได้ ซึ่งในเดือนเมษายนที่ผ่านมา โนเกียได้เคยเสนอแผนทางเลือกให้แก่พนักงาน เช่น ขออาสาสมัครลาออกจากงาน ฯลฯ และมีผู้รับข้อเสนอทั้งสิ้น 5,700 คน ส่วนที่เหลืออีก 900 คน คือผู้ที่ต้องประสบชะตากรรมกลายเป็นคนตกงานหลังไมโครซอฟท์ยุติการจ้างผลิต ซึ่งขณะนี้พนักงาน 900 คน อยู่ระหว่างการเตรียมดำเนินการตามกฎหมายต่อบริษัท
       
ทางโนเกียเผยด้วยว่า ได้แจ้งเรื่องการปิดโรงงานให้แก่ผู้ถือหุ้น และคณะกรรมการแรงงานได้รับทราบแล้ว ขณะนี้ทางบริษัทพยายามหาทางออกที่สร้างผลกระทบน้อยที่สุดต่อพนักงานที่ทำงานในโรงงานดังกล่าว และจะเปิดเผยข้อมูลอีกครั้งเมื่อได้ข้อสรุป
       
ไม่เพียงโนเกีย แต่ยักษ์ใหญ่อย่างยาฮู (Yahoo) ก็มีแผนจะลดพนักงานในเมืองบังกาลอร์ของอินเดียลงด้วยเช่นกัน ทั้งๆ ที่ฐานในอินเดียอาจถือได้ว่าเป็นฐานที่ใหญ่มากของยาฮู โดยทางผู้บริหารของยาฮูให้ความเห็นว่า ต้องการรวมบริษัทให้อยู่ใกล้กันมากขึ้น และมีสำนักงานที่ตั้งอยู่ข้างนอกเพียงไม่กี่ออฟฟิศ
       
สำหรับพนักงานที่จะถูกปรับลด คาดว่ามีทั้งสิ้น 400 ตำแหน่ง และงานบางชนิดก็จะย้ายไปทำที่สำนักงานใหญ่ของยาฮู ใน Sunnyvale แคลิฟอร์เนีย ยาฮู ทิ้งท้ายด้วยว่า นี่เป็นการตัดสินใจเพื่อให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
 
แรงงานกัมพูชารวมตัวครั้งใหญ่ชุมนุมประท้วงร้องเพิ่มค่าแรง
 
13 ต.ค. 2014 แรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปมากกว่า 1,000 คน รวมตัวกันในกรุงพนมเปญ วานนี้ (12) เดินขบวนผ่านย่านใจกลางเมือง เรียกร้องการปรับเพิ่มค่าแรงจากบรรดาโรงงานต่างๆ ที่นับว่าเป็นการชุมนุมประท้วงของภาคอุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปครั้งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ตั้งแต่ครั้งที่เจ้าหน้าที่ได้ปราบปรามการชุมนุมเรียกร้องปรับเพิ่มค่าแรงในเดือนม.ค.
       
สหภาพแรงงาน 6 กลุ่ม รวมตัวกันจัดการชุมนุมด้วยวัตถุประสงค์ที่จะสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลเพื่อขออนุมัติปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำของภาคอุตสาหกรรมส่วนนี้ จากในปัจจุบันค่าแรงอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ต่อเดือน คณะกรรมการที่ปรึกษาแรงงาน ประกอบด้วย ตัวแทนจากภาครัฐ โรงงาน และสหภาพแรงงาน กำหนดที่จะออกคำแนะนำต่อรัฐบาลในเดือนหน้า โดยอัตราค่าจ้างขั้นใหม่จะมีผลในเดือน ม.ค.
       
แรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากกรุงพนมเปญ และจังหวัดข้างเคียงรวมตัวกันที่สวนสาธารณะเสรีภาพ พร้อมสวมเสื้อสีชมพูมีข้อความระบุว่า “เราต้องการค่าแรงที่เหมาะสม” ในเช้าวันอาทิตย์ (12) ก่อนเริ่มเดินขบวน
       
“เราเรียกร้องค่าแรงที่เหมาะสมเพราะเราต้องการความเป็นอยู่ที่ดี สุขภาพที่ดี และให้ลูกหลานของเราไปเรียนหนังสือได้” ตัวแทนจากสมาคมสหภาพสิ่งทออิสระแห่งชาติในกัมพูชา กล่าวต่อผู้ชุมนุม
       
เมื่อเดือนก่อน องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ระบุว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างเมื่อไม่นานนี้กับแรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปของกัมพูชา 600,000 คน พบว่า 2 ใน 3 ของแรงงาน มีภาวะขาดสารอาหาร และมากกว่า 40% เป็นโรคโลหิตจาง และ15.7% มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
       
“เราเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงเพราะเราไม่สามารถอยู่ได้ด้วยค่าแรงจำนวนเท่านี้ เราต้องจ่ายค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเช่าบ้าน และค่าอาหาร และยังต้องส่งเงินกลับบ้านด้วย บางครั้งเราต้องยืมเงินคนอื่นเพื่อมาใช้จ่ายเวลาที่เราเจ็บป่วย” แรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากกรุงพนมเปญ กล่าว
       
แรงงานเดินขบวนจากสวนเสรีภาพไปยังสถานทูตสหรัฐฯ และสำนักงานสหภาพยุโรปเพื่อส่งคำร้องเรียกร้องให้รัฐบาลต่างชาติกดดันรัฐบาลกัมพูชาเพื่อพิจารณาอนุมัติปรับเพิ่มค่าแรง และสหภาพแรงงานยังต้องการให้สินค้าแบรนด์สหรัฐฯ และยุโรปที่ซื้อจากกัมพูชาปรับเพิ่มราคาที่จ่ายให้แก่โรงงานของกัมพูชา เพื่อช่วยให้การปรับค่าแรงแก่บรรดาแรงงานนั้นมีความเป็นไปได้มากขึ้น
       
ขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกอาคารรัฐสภา แรงงานได้ยื่นคำร้องต่อสมาชิกรัฐสภาของพรรค CNRP และพรรค CPP ที่ให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลือ โดยสมาชิกรัฐสภาของพรรค CNRP ที่เป็นหัวหน้าคณะกรรมาธิการแรงงานของรัฐสภา กล่าวต่อแรงงานว่า มีคำเชิญไปยังรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับค่าแรงขั้นต่ำ และประเด็นปัญหาแรงงานอื่นๆ ในวันอังคารนี้ (14) แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ
 
พม่ากดดัน ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ยกเลิกวีซ่าแรงงาน
 
14 ต.ค. 2014 เว็บไซต์ข่าวของเมียนมาร์ "Mizzima" รายงานว่า นาย อู เนียง นึง ฮาน (U Naung Naung Han) เลขานุการองค์การการท่องเที่ยวของเมียนมาร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลเมียนมาร์กำลังพิจารณาการลงนามข้อตกลงร่วมกัน เพื่อมุ่งจุดประสงค์ไปที่การยกเลิกวีซ่าสำหรับแรงงานพม่า เช่นที่ผ่านที่ได้ยกเลิกใน 5 ประเทศเพื่อนบ้านที่ร่วมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
 
นอกจากนี้ นายอูกล่าวเพิ่มว่า เมียนมาร์ต้องเผชิญกับปัญหาการยื่นขอวีซ่า เพื่อเข้ามาทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งเริ่มเข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับปัญหาความเคลื่อนไหวของแรงงานพม่า
 
ทั้งนี้ ในฐานะที่เมียนมาร์เป็นประธานอาเซียนในปีนี้ จึงใคร่ครวญและสร้างความกดดันต่อหลาย ๆ ประเทศที่กล่าวมาข้างต้น ให้มีการพิจารณาการยกเลิกวิซ่าเพื่อแรงงานพม่า และสร้างความผ่อนปรนมากขึ้นนั่นเอง
 
และล่าสุด ทางกระทรวงการต่างประเทศของเมียนมาร์ ออกมาแถลงการณ์ว่า ปัจจุบันเมียนมาร์ได้ลงนามข้อตกลงยกเลิกวีซ่าเพื่อแรงงาน ร่วมกับประเทศกัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม 
 
รัฐมนตรีคลังสหภาพยุโรปสนับสนุนมาตรการลงทุนเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
 
15 ต.ค. 2014 รัฐมนตรีคลังของสหภาพยุโรปซึ่งเสร็จสิ้นการประชุมที่ประเทศลักเซมเบิร์กสนับสนุนมาตรการลงทุนจากภาครัฐเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ฝรั่งเศสกับเยอรมนียังมีท่าทีที่แตกต่างกัน ในเรื่องนโยบายเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษกิจ ขณะเดียวกันก็มีความกังวลเพิ่มขึ้นว่าเศรษฐกิจของกลุ่มยุโรปโซน 18 ประเทศอาจกลับสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งได้จากปัญหาเศรษฐกิจในสองประเทศสมาชิกที่สำคัญ เพราะเยอรมนีเพิ่งประกาศลดประมาณการณ์ทางเศรษฐกิจสำหรับปีนี้และปีหน้าลงอย่างมาก ในขณะที่ฝรั่งเศสก็มีปัญหาว่างงานในระดับสูงมากเช่นกัน และคาดว่าร่างงบประมาณประจำปี 2558 ของฝรั่งเศสจะถูกปฏิเสธโดยสหภาพยุโรปเพราะเชื่อว่าฝรั่งเศสจะไม่สามารถทำตามเป้าของสหภาพยุโรป เรื่องการรักษาวินัยด้านการคลังที่กำหนดการขาดดุลงบประมาณไม่ให้เกิน 3% เป็นครั้งที่สองด้วย
 
นาย Jean Tirole นักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศสผู้เพิ่งได้รางวัลโนเบลให้ความเห็นว่า ฝรั่งเศสควรต้องดำเนินการปฏิรูปหลายด้าน โดยเรื่องหนึ่งนั้นคือการปฏิรูปตลาดแรงงาน เพราะขณะนี้การปฏิรูปดังกล่าวของฝรั่งเศสยังไม่ประสบความสำเร็จเหมือนในเยอรมนีและกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย
 
อินโดนีเซียเตรียมระบบประกันสังคมอให้กับแรงงานท้องถิ่นทั้งหมด 20.7 ล้านคนในปีหน้า
 
16 ต.ค. 2014 เจ้าหน้าที่อาวุโส ในสำนักงานประกันสังคมอินโดนีเซีย หรือ บีพีเจเอส "นายเอลวิน จี มาซาสยา" กล่าวว่า ปัจจุบัน บีพีเจเอสมีเงินประกันสังคมภายใต้การบริหารจัดการทั้งหมด 177 ล้านล้านรูเปียะห์ จากการให้บริการแรงงาน 15.4 ล้านคนจาก 218,000 บริษัท ซึ่งราว 70% ในจำนวนนี้เป็นวิสาหกิจขนาดกลาง และเล็ก หรือเอสเอ็มอี
 
ผลประโยชน์ที่แรงงานได้รับจากบีพีเจเอสในขณะนี้ รวมถึง ประกันชีวิต เงินบำนาญ และประกันอุบัติเหตุขณะทำงาน ซึ่งตั้งแต่ปีหน้า ประกันสังคมจะเริ่มโครงการเงินบำนาญสำหรับแรงงานในภาคเอกชน โดยกรุงจาการ์ตา จะเป็นพื้นที่แรกที่ได้รับการจัดหาสวัสดิการอย่างเต็มรูปแบบ
 
ทั้งนี้ บีพีจีเอส จัดตั้งกองทุนเพื่อคนงานขึ้นเมื่อปีที่แล้ว พร้อมกับกองทุนบีพีเจเอสเพื่อสาธารณสุข ทั้งสองโครงการถูกออกแบบขึ้นให้เป็นสัญลักษณ์ของการประกันสังคมภายใต้โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือเจเคเอ็น รองรับข้าราชการพลเรือน ข้าราชการบำนาญ ตำรวจ ทหาร ทหารผ่านศึกและครอบครัว บริษัทเอกชนและบุคคลทั่วไป
 
ผลสำรวจชี้ ช่องว่างทางเพศช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในระบบการศึกษาและตลาดแรงงาน
 
16 ต.ค. 2014 บริษัทที่ปรึกษาบอสตัน คอนซัลติง กรุ๊ป เผยรายงาน ที่จัดทำขึ้นสำหรับการประชุมสตรีสำหรับเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เด็กอายุระหว่าง 6-11 ปี ที่ได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษา คิดเป็นสัดส่วนถึง 91% ของเด็กในวัยนี้ทั่วโลกแล้ว และดัชนีความเสมอภาคระหว่างหญิงชายของสหประชาชาติหรือยูเอ็นชี้ว่า ถึงแม้ในปี 2543 จะมีอัตราเด็กผู้หญิงเข้าเรียน 95 คนต่อเด็กผู้ชาย 100 คน แต่ปัจจุบัน อัตราเข้าเรียนของเด็กผู้หญิงได้เพิ่มขึ้นเป็น 98 คนแล้ว อย่างไรก็ตาม จำนวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษายังคงล้าหลังสำหรับทั้งสองเพศ โดยเด็กผู้หญิงยังคงมีแนวโน้มเข้าเรียนน้อยกว่า
 
ขณะที่ในกลุ่มประเทศองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาหรือโออีซีดี ยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่ในวิชาสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ในระดับอุดมศึกษา และมีผู้หญิงที่เรียนสาขาวิทยาศาสตร์เพียง 43% ที่จะไปทำงานในสายฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ หรือวิศวกรรม เทียบกับผู้ชายที่มี 71% และคาดว่าทั้ง 4 สาขาวิชาจะต้องเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานในอนาคต เนื่องจากอัตราวัยเกษียณเพิ่มขึ้นและอัตราการเกิดลดลงในประเทศพัฒนาแล้ว
 
อย่างไรก็ดี รายงานระบุว่า หากมีผู้หญิงเข้าศึกษา เท่ากับผู้ชายใน 4 สาขาวิชาเหล่านี้ในระดับอุดมศึกษา จะทำให้มีผู้หญิงได้งานในสาขาวิชาชีพเหล่านี้เพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านคน ภายในปี 2568 นอกจากนี้ ในตลาดแรงงานทั่วโลกก็มีช่องว่างระหว่างเพศลดลง โดยเพิ่มจาก 54% ในปี 2543 มาอยู่ที่ 57% ในปี 2555
 
รายงานชี้อีกว่า จำนวนผู้หญิงที่ทำธุรกิจก็เพิ่มขึ้นด้วย เห็นได้จากในปี 2554 ที่มีผู้หญิงทำธุรกิจ 41% เทียบกับปี 2547 ที่มีเพียง 35% และถึงแม้อัตราการมีส่วนร่วมของผู้หญิงทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น แต่บางประเทศยังมีอัตราดังกล่าวลดลงในตลาดแรงงาน เช่น อินเดีย ที่ลดลงจาก 36% เหลือ 30% จีน ที่ลดจาก 77% เหลือ 70% และสหรัฐ ที่ลดจาก 70% เหลือ 67%
 
คนขับรถไฟเยอรมนีผละงานครั้งใหญ่สุดในรอบหลายปี
 
18 ต.ค. 2014 ผู้ใช้บริการรถไฟในเยอรมนีประสบกับความล่าช้าและความวุ่นวายในวันนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเดินทางสุดสัปดาห์จอแจที่สุดช่วงหนึ่งของฤดูใบไม้ร่วง เนื่องจากสหภาพพนักงานขับรถไฟเริ่มการหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี
 
การรถไฟเยอรมนี ออกแถลงการณ์ว่า ขณะนี้บริการรถไฟสายหลักให้บริการได้เพียง 1 ใน 3 เท่านั้น และจะพยายามรักษาบริการเส้นทางภูมิภาคและในเมืองไว้ให้ได้ร้อยละ 30 หลังจากสหภาพพนักงานขับรถไฟเริ่มหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ปี 2551 โดยได้ขอให้สมาชิกเริ่มหยุดงานตั้งแต่เวลา 15.00 น. วันศุกร์ ตามเวลาท้องถิ่น (20.00 น. วันศุกร์ ตามเวลาในไทย) สำหรับบริการขนส่งสินค้า และเริ่มหยุดงานตั้งแต่เวลา 02.00 น. วันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น (07.00 น. วันนี้ ตามเวลาในไทย) สำหรับบริการรถไฟโดยสารระยะไกลและภูมิภาค กำหนดสิ้นสุดการหยุดงานในเวลา 04.00 น. วันจันทร์ ตามเวลาท้องถิ่น (09.00 น. วันจันทร์ ตามเวลาในไทย)
 
การหยุดงานประท้วงนี้มีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่มีการเดินทางจอแจที่สุดช่วงหนึ่งของฤดูใบไม้ร่วงในเยอรมนี เพราะเป็นช่วงปิดภาคเรียน สหภาพพนักงานคนขับรถไฟกล่าวหาการรถไฟว่า ขัดขวางการเจรจาเรียกร้องขึ้นค่าแรงร้อยละ 5 และลดชั่วโมงการทำงานจากสัปดาห์ละ 39 ชั่วโมง เหลือ 37 ชั่วโมง ด้านการรถไฟเยอรมนีตำหนิการหยุดงานครั้งใหม่ ซึ่งเป็นครั้งที่ 5 ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ ว่า การหยุดงานนาน 50 ชั่วโมง ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ถือเป็นการกระทำที่เกินไป สหภาพและประธานสหภาพฯ กระหายอำนาจโดยไม่สนใจผลประโยชน์ของพนักงานขับรถไฟและผู้โดยสาร
 
องค์การนิรโทษฯ จวกการล่วงละเมิดสิทธิ “แรงงานต่างด้าว” ในภาคเกษตรกรรมเกาหลีใต้
 
20 ต.ค. 2014 แรงงานต่างด้าวที่เข้าไปทำงานตามฟาร์มเกษตรกรรมของเกาหลีใต้ตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดอย่างรุนแรง ภายใต้ระบบการออกใบอนุญาตทำงานซึ่งเปิดช่องให้นายจ้างสามารถฉวยโอกาสกับแรงงานเหล่านี้ได้ ถือว่าเป็นเรื่อง “น่าละอาย” องค์การนิรโทษกรรมสากล (เอไอ) ระบุในรายงานซึ่งเผยแพร่วันนี้ (20 ต.ค.)
       
ผู้ตรวจการพิเศษสหประชาชาติว่าด้วยการเหยียดผิว (UN's special rapporteur on racism) ซึ่งได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจในเกาหลีใต้ ยังเอ่ยถึง “ปัญหาร้ายแรง” ที่คนต่างด้าวซึ่งเป็นแรงงานไร้ฝีมือและได้ค่าจ้างเพียงน้อยนิดต้องเผชิญ
       
รายงานของเอไอ เรื่อง “การเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ขมขื่น” (Bitter Harvest) ซึ่งสรุปจากการสัมภาษณ์แรงงานต่างด้าวหลายสิบชีวิตตามฟาร์มเกษตกรรมทั่วเกาหลีใต้ เผยข้อมูลเกี่ยวกับการข่มขู่และใช้ความรุนแรง การใช้ให้ทำงานเกินเวลา และที่อยู่อาศัยซึ่งสกปรกซอมซ่อ
       
“การแสวงหาผลประโยชน์จากคนงานต่างด้าวในภาคเกษตรกรรมถือเป็นรอยด่างที่บั่นทอนภาพลักษณ์ของเกาหลีใต้” นอร์มา กัง มุยโก นักวิจัยด้านสิทธิแรงงานต่างด้าวในเอเชีย-แปซิฟิกของ เอไอระบุ
       
“รัฐบาลเกาหลีใต้ได้สร้างระบบอันน่าละอาย ซึ่งเปิดโอกาสให้การค้ามนุษย์เพื่อฉกฉวยผลประโยชน์ และการบังคับใช้แรงงานสามารถเฟื่องฟูขึ้นมาได้... ในทางกลับกัน หากพลเมืองเกาหลีใต้ตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดอย่างนี้บ้าง พวกเขาต้องไม่ยอมแน่นอน” เธอกล่าว
       
จากข้อมูลในปี 2013 มีแรงงานต่างด้าวเข้าไปทำงานในเกาหลีใต้ประมาณ 250,000 คน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานภาคเกษตรกรรมราว 20,000 คน
       
แรงงานเหล่านี้ทำสัญญาว่าจ้างภายใต้ระบบการอนุญาตจ้างงาน (Employment Permit System –EPS) ของรัฐบาลเกาหลีใต้ ซึ่งเอไอชี้ว่ามีรายละเอียดที่เอื้อผลประโยชน์ต่อนายจ้างมากเกินไป จนทำให้แรงงานต่างด้าวตกอยู่ในความเสี่ยง และไม่ได้รับการปกป้องทางกฎหมายอย่างเพียงพอ
       
ในขณะที่นางจ้างสามารถไล่คนงานออกได้ตามใจชอบ แรงงานซึ่งส่วนใหญ่มาจากกัมพูชา เนปาล และเวียดนาม จะสามารถเปลี่ยนงานได้ก็ต่อเมื่อนายจ้างยอมเซ็นใบอนุญาตปล่อยตัวเท่านั้น เนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่ต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อเดินทางจากบ้านเกิดมาหางานทำในเกาหลีใต้ การตกงานจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ และทำให้พวกเขาแทบจะไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ เลย
       
“ระบบอีพีเอสของเกาหลีใต้ทำให้ชีวิตของแรงงานต่างด้าวต้องขึ้นอยู่กับความเมตตาของนายจ้าง ซึ่งบางรายก็ไม่ซื่อสัตย์ และถือโอกาสแสวงหาผลประโยชน์จากเงื่อนไขจ้างงานที่จำกัดสิทธิของแรงงานในการเปลี่ยนงาน” มุยโกระบุ
       
รายงานฉบับนี้ยังอ้างถึงการ “สมรู้ร่วมคิด” จากฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเองด้วย เพราะเมื่อแรงงานที่ถูกล่วงละเมิดเข้าไปร้องเรียนเพื่อขอความช่วยเหลือ ก็มักจะถูกทางการโน้มน้าวให้หยุดดำเนินการเสีย
       
คนงานชาวกัมพูชาวัย 25 ปีรายหนึ่งเผยกับเอไอว่า เขาเคยไปที่ศูนย์จ้างงานของรัฐบาลเกาหลีใต้พร้อมกับคลิปในโทรศัพท์มือถือที่บันทึกภาพนายจ้างกำลังทุบตีเขา
       
“เจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนบอกผมว่า เป็นความผิดผมเองที่ตัดกะหล่ำปลีผิดวิธี... เธอบอกให้ผมรีบกลับไปหานายจ้างและขอโทษเสีย”
       
ด้วยอัตราความชราภาพที่สูงขึ้นและการหลั่งไหลเข้าสู่เมืองของคนรุ่นใหม่ๆ เกาหลีใต้จึงต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวมาเติมเต็มตำแหน่งงานที่ขาดแคลนในภาคการเกษตร การประมง และการก่อสร้าง
       
เอไอ เรียกร้องให้รัฐบาลโซลหามาตรการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงานทั้งในด้านชั่วโมงทำงานและวันหยุดพักผ่อน รวมถึงอนุญาตให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนงานได้ โดยไม่ต้องรอให้นายจ้างเซ็นใบปล่อยตัว
       
มาทูมา รูทีรี ผู้ตรวจการพิเศษสหประชาชาติ ก็ได้อ้างถึงปัญหาของระบบอีพีเอสระหว่างการเยือนเกาหลีใต้เมื่อต้นเดือนตุลาคมเช่นกัน โดยชี้ว่านอกจากแรงงานต่างด้าวจะได้ค่าจ้างต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว “ส่วนใหญ่ยังถูกแบ่งแยกกีดกัน ถูกดุด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย และถูกทำร้ายร่างกายด้วย” 
 
แรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปชาวกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ 4 คน หลังพื้นโรงงานพังถล่ม
 
21 ต.ค. 2014 แรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปชาวกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ 4 คน หลังพื้นโรงงานพังถล่มลงในบ่อที่อยู่ใต้โรงงาน ตามการรายงงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่น
       
เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันนี้ (21) ที่โรงงาน Nishiku Enterprise ใน จ.ตาแก้ว ทางภาคใต้ของประเทศ และแรงงานที่ประสบเหตุถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
       
เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ระบุว่า มีแรงงานเพียงแค่ 4 คน ที่ได้รับบาดเจ็บ หลังพื้นโรงงานบางส่วนพังถล่มลงไปในบ่อน้ำที่สร้างอยู่ใต้โรงงาน และว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะพื้นคอนกรีตของโรงงานสร้างโดยไม่มีเหล็ก
       
ข้อมูลที่ระบุอยู่บนเว็บไซต์ของสมาคมผู้ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปในกัมพูชาแจ้งว่า โรงงานแห่งนี้เป็นโรงงานผลิตกางเกง มีแรงงานทำงานอยู่ 1,200 คน
       
นับเป็นครั้งที่ 3 ที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นภายในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปในรอบ 2 ปี ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน พ.ค.2556 เกิดเหตุเพดานคอนกรีตโรงงานรองเท้าวิงสตาร์ถล่ม ทำให้แรงงานเสียชีวิต 2 คน และได้รับบาดเจ็บสาหัส 9 คน และในเดือนเดียวกันนั้น ยังเกิดเหตุศาลาพักร้อนของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปท็อปเวิลด์ถล่มลงในสระน้ำ ทำให้แรงงานได้รับบาดเจ็บ 23 คน
       
อุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปเป็นแหล่งรายได้จากต่างชาติใหญ่ที่สุดของกัมพูชา มีสัดส่วนมากกว่า 80% ของการส่งออกทั้งหมดของประเทศ และรายงานของกระทรวงแรงงาน ระบุว่า ภาคส่วนนี้มีโรงงานทั้งหมด 960 โรง และมีการจ้างแรงงานราว 620,000 คน
       
ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา อุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งออกสินค้าทำรายได้ 3,990 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
 
บอสอินเดีย ใจป้ำ ! แจกโบนัส เก๋ง-คอนโด-เพชร ให้พนักงานไม่อั้น
 
21 ต.ค. 2014 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายซาฟจิบฮาย โดลาเกีย เศรษฐี และนักธุรกิจชาวอินเดีย ซึ่งเป็นประธานบริษัทส่งออกเพชร ‘Hari Krishna Export’ ใจป้ำสุดๆ แจกโบนัสพนักงานกว่าพันคนแบบไม่อั้น แถมของรางวัลยังแพงระยับ เพราะมีทั้งรถเก๋งยี่ห้อเฟียตถึง 491 คัน ที่จะมอบเป็นของขวัญ ให้แก่พนักงาน 491 คน, เครื่องประดับเพชรให้พนักงานกว่า 600 คน และสำหรับพนักงานจำนวน 200 คนที่ดวงเฮงสุดๆ จะได้รับอพาร์ตเมนต์ ขนาด 2 ห้องนอน เป็นของขวัญอีกด้วย หลังจากปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการส่งออกเพชรให้แก่ลูกค้าในประเทศต่างๆ คิดเป็นเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ หรือ 32,000 ล้านบาท 
 
สำหรับการแจกของรางวัลให้แก่พนักงานบริษัทกว่าพันคน ของ นายโดลาเกีย ประธานบริษัทสุดใจดีในครั้งนี้ ยังเลือกให้ตรงกับช่วงเทศกาล Diwali ของอินเดีย ซึ่งเป็นเทศกาลที่เหมือนกับเทศกาลคริสต์มาสของชาวตะวันตก ซึ่งในเทศกาลนี้ ชาวอินเดียจะให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ แก่เพื่อนสนิท คนในครอบครัว และญาติพี่น้อง
 
สวิสยกเลิกวีซ่า ‘นางระบำเปลื้องผ้า’ นอกอียูเข้าประเทศ
 
23 ต.ค. 2014 รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ประกาศหยุดให้วีซ่าเข้าประเทศแก่แรงงานต่างชาติภาคพิเศษอาชีพนักเต้นระบำเปลื้องผ้าตามไนท์คลับ ซึ่งแรงงานสาวต่างชาติจำนวนมากไปจากรัสเซีย สาธารณรัฐโดมินิกันและจากเมืองไทย โดยคำสั่งดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปี 2559 โดยอนุญาตให้เฉพาะสตรีจากชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) เท่านั้น ที่สามารถขอวีซ่าเข้าไปทำงานนางระบำเปลื้องผ้าในสวิตเซอร์แลนด์ได้
 
ด้าน นางซิโมเนตตา ซอมมารูกา รมว.ยุติธรรมสวิตเซอร์แลนด์ให้เหตุผลระงับวีซ่าดังกล่าวหลังได้ศึกษาเชิงลึกแล้วพบว่าวีซ่าประเภทนี้แก้ปัญหาการแสวงประโยชน์ทางเพศจากแรงงานเหล่านั้นไม่ได้ ผู้หญิงจำนวนมากถูกบังคับให้ดื่มแอลกอฮอล์และค้าประเวณี ซึ่งวิธีการแยบยลเหล่านั้นยากจะพิสูจน์ความจริงประจักษ์
 
ทั้งนี้ กฎหมายอนุญาตนางระบำเปลื้องผ้าต่างชาติเข้าประเทศในสวิตเซอร์แลนด์ เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2538 หวังปกป้องแรงงานสตรีต่างชาติจากการถูกบังคับค้าประเวณี แต่บทสรุปกลับแก้ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้ ดังนั้น รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์จึงจำเป็นต้องยกเลิกวีซ่าเข้าประเทศประเภทนี้ที่มีระยะเวลาทำงานนาน 8 เดือน โดยให้เหลือเพียงวีซ่าประเภท C คืออนุญาตแรงงานนางระบำเปลื้องผ้าจากชาติยุโรปเท่านั้นและจะบังคับใช้วีซ่าประเภท B ซึ่งต้องต่อวีซ่าทุกปีลำดับต่อไป อย่างไรก็ตาม เหล่านักสิทธิมนุษยชนเตือนว่ามาตรการใหม่นี้อาจยิ่งผลักดันแรงงานนางระบำเปลื้องผ้าต่างชาติหันไปทำงานอย่างผิดกฎหมายมากขึ้นอีก
 
ลอยด์แบงก์จ่อปลดพนักงาน 9,000 คน
 
23 ต.ค. 2014 สำนักข่าวสกายนิวส์ รายงานอ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อว่า ลอยด์ แบงก์กิง กรุ๊ป ธนาคารชั้นนำสัญชาติอังกฤษ เตรียมลดพนักงานประมาณ 9,000 ตำแหน่ง หรือประมาณ 1 ใน 10 ของพนักงานทั้งหมดของธนาคารที่มีอยู่ทั่วโลกในระยะ 3 ปีข้างหน้า ด้านโฆษกหญิงของลอยด์แบงก์ ซึ่งปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อรายงานข่าวชิ้นนี้ ระบุว่า ธนาคารมีกำหนดจะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสามและกลยุทธทางธุรกิจในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงิน ธนาคารชั้นนำของอังกฤษแห่งนี้ ปรับโครงสร้างองค์กรให้มีขนาดเล็กลงและปลดพนักงานมาแล้วหลายพันคน
 
ผลวิจัยชี้ผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่เตรียมทิ้ง “จีน” กลับไปตั้งฐานผลิตในสหรัฐฯ
 
23 ต.ค. 2014 บริษัทผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ของโลกกำลังหันหลังให้ “จีน” และทยอยย้ายกลับไปตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งหาแรงงานฝีมือได้ง่ายกว่า รายงานจากบริษัทที่ปรึกษา บอสตัน คอนซัลติง กรุป (บีซีจี) เผยวันนี้ (23 ต.ค.)
       
จากการสอบถามผู้บริหารระดับสูงของบริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ที่มียอดจำหน่ายสินค้าไม่ต่ำกว่าปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์ พบว่า จำนวนผู้ตอบคำถามที่ยอมรับว่าบริษัทของพวกเขากำลังย้ายฐานการผลิตกลับมาสู่อเมริกาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 จากเมื่อปีที่แล้ว
       
คณะนักวิจัยซึ่งเก็บข้อมูลเมื่อเดือนสิงหาคมได้ตั้งคำถามกับผู้บริหารของบริษัทต่างๆที่มีฐานการผลิตในจีนว่า“เนื่องจากค่าจ้างแรงงานในจีนมีแนวโน้มสูงขึ้น ท่านคิดว่าบริษัทของท่านจะย้ายฐานการผลิตกลับไปสหรัฐฯ หรือไม่”
       
ผู้ที่ตอบว่า “ใช่ เรากำลังดำเนินการอย่างจริงจังอยู่แล้ว” เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 16 ในแบบสอบถามชุด “เมด อิน อเมริกา, อะเกน” จากสถิติเดิมร้อยละ 13 ในปีที่แล้ว และเพียงร้อยละ 7 ในการสำรวจครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2012
       
แฮโรลด์ เซอร์กิน หนึ่งในผู้เรียบเรียงงานวิจัยของบีซีจี ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า “ตอนนี้เรากำลังเห็นปรากฏการณ์ย้อนกลับ” หลังจากสหรัฐฯ เคยสูญเสียตำแหน่งงานมหาศาลเพราะบริษัทใหญ่ๆ ย้ายฐานการผลิตไปที่จีนหมด
       
บีซีจี ซึ่งรับให้คำปรึกษาด้านการจัดการทั่วโลก ระบุว่า การสำรวจออนไลน์ครั้งนี้ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เรื่อยไปจนถึงเครื่องจักรกลเพื่อการขนส่ง โรงกลั่นน้ำมัน เครื่องนุ่งห่ม และผลิตภัณฑ์อาหาร
       
บีซีจีระบุว่า แบบสอบถามชุดนี้มีผู้ตอบ 252 ราย เกือบทั้งหมดเป็นผู้บริหารของบริษัทซึ่งมีฐานการผลิตทั้งในสหรัฐฯและต่างประเทศ และวางจำหน่ายสินค้าเพื่อผู้บริโภคชาวอเมริกันและประเทศอื่นๆ ด้วย
       
ผู้บริหารที่ตอบว่าบริษัทของพวกเขาจะ “พิจารณา” ย้านฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้ เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 24 ขณะที่ร้อยละ 54 หรือเกินครึ่งระบุว่าพวกเขา “สนใจ” ย้ายฐานการผลิตกลับมายังอเมริกา ซึ่งเป็นสัดส่วนพอๆ กับเมื่อปีที่แล้ว
       
กว่าร้อยละ 70 ยอมรับว่า พวกเขาต้องการย้ายฐานการผลิตกลับสู่สหรัฐฯ เพราะแรงงานฝีมือหาได้ง่ายกว่า ซึ่งจำนวนผู้ที่ตอบเช่นนี้มากกว่าพวกที่อ้างเหตุผลเดียวกันเพื่อย้ายออกจากสหรัฐฯ ถึง 4 เท่าตัว
       
ผู้ผลิตสินค้าเพื่อวางจำหน่ายในสหรัฐฯ เกือบ 80% ชี้ว่า การผลิตสินค้าในอเมริกาจะช่วยตัดทอนห่วงโซ่ซัพพลายเออร์ และลดค่าขนส่งได้อีกด้วย
       
ผู้บริหารร้อยละ 71 บอกว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกทำให้การประกอบธุรกิจสะดวกง่ายดาย ขณะที่ร้อยละ 75 ชี้ว่า การผลิตสินค้าในอเมริกานั้นเอื้อต่อการควบคุมกระบวนการผลิตและปรับปรุงคุณภาพ
       
ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 72 มีแผนที่จะลงทุนด้านเครื่องจักรอัตโนมัติและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยในระยะ 5 ปีข้างหน้า เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
       
“สหรัฐฯ อยู่ในจุดที่จะได้รับประโยชน์จากบริษัทซึ่งต้องการสร้างฐานการผลิตในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้นทุนในการซื้อเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานคนเริ่มถูกลง” บีซีจีระบุ
       
ในส่วนของการจ้างงานก็มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน ผู้บริหารร้อยละ 50 คาดว่าตำแหน่งงานในภาคการผลิตของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5% ภายใน 5 ปีหน้า และมีเพียงร้อยละ 17 เท่านั้นที่มองไปในทางตรงกันข้าม 
 
ฮิวแมนไรท์วอชจี้ 'ยูเออี' เลิกละเมิดสาวใช้
 
24 ต.ค. 2014 ฮิวแมนไรท์วอช เรียกร้องให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปฏิรูประบบการออกวีซ่าที่มีความเข้มงวด และให้สาวใช้สามารถเปลี่ยนงานได้โดยไม่มีความผิด รวมทั้งแก้ไขกฎหมายแรงงานให้เพิ่มการคุ้มครองแก่ผู้ประกอบอาชีพสาวใช้ รวมทั้งจำกัดชั่วโมงการทำงานไม่ควรเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และมีวันหยุดอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์
 
นางสาวมาเรลี บรัว สาวใช้ชาวฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ผู้เป็นเจ้านายซื้อตัวเธอมา เธอไม่มีสิทธิ์ปริปากบ่นใดๆ ทั้งสิ้น แต่ละเดือนเธอจะได้รับค่าจ้างเพียง 800 เดอห์แฮม หรือประมาณราว 7000 บาท น้อยกว่าในสัญญาว่าจ้างที่ระบุไว้ที่เดือนละ 1,000 เดอห์แฮม หรือประมาณ 8,800 บาท
 
ส่วนสาวใช้ชาวฟิลิปปินส์อีกคน นางสาวจีนี่ อัลฟิเลอร์ บอกว่า เธอถูกแม่ของผู้ว่าจ้างรายเดิม นำเหล็กร้อนมาทาบกับต้นแขนด้านซ้าย เพราะปฏิเสธที่จะนำลูกเกดไปตากแดด ซึ่งขณะนี้กลายเป็นแผลเป็นสีดำติดตัว
 
นอกจากนี้ กลุ่มสิทธิมนุษยชนโลก ยังเรียกร้องให้สถานฑูตของแต่ละประเทศเพิ่มการตรวจสอบ และแจ้งประชาชนให้ทราบถึงสิทธิ และช่องทางการแจ้งเหตุกับสถานฑูตหากเกิดการล่วงละเมิดขึ้น
 
ทั้งนี้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีสาวใช้จากต่างชาติจำนวน 146,000 คน ส่วนใหญ่มาจากฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อินเดีย บังคลาเทศ ศรีลังกา เนปาล และ เอธิโอเปีย
 
สหภาพแรงงานอิตาลีชุมนุมประท้วงแผนยกเครื่องตลาดแรงงานของนายกฯ
 
25 ต.ค. 2014 ชาวอิตาลีหลายหมื่นชุมนุมตามท้องถนนในกรุงโรมวันนี้ตามการระดมของสหภาพแรงงานใหญ่ที่สุดในประเทศ เพื่อประท้วงแผนการยกเครื่องตลาดแรงงานของนายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี
 
ผู้ประท้วงเคลื่อนขบวนไปตามท้องถนนเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีหาทางส่งเสริมการจ้างงานและคุ้มครองสิทธิของผู้ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน จากนั้นผู้ประท้วงได้รวมตัวกันที่โคลอสเซียม สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของกรุงโรม ปล่อยลูกโป่งสีแดงและจุดพลุไฟสีแดง เพื่อแสดงการคัดค้านกฎหมายแรงงาน เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเรนซีต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติด้วยการเปิดช่องให้บริษัทเลิกจ้างพนักงานได้ง่ายขึ้น จุดกระแสขัดแย้งขึ้นภายในพรรคประชาธิปไตยของเขา ซึ่งปกติแล้วมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับสหภาพแรงงาน สมาชิกพรรคโต้แย้งอย่างรุนแรงเรื่องอนาคตของมาตรา 18 ที่คุ้มครองผู้ถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม
 
อิตาลีมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของเขตยูโรโซน ปัจจุบันมีอัตราเยาวชนว่างงานสูงถึงร้อยละ 44.2 ขณะที่ผู้มีงานทำก็มักเป็นสัญญาจ้างชั่วคราวที่ไม่มีหลักประกันหรือสิทธิประโยชน์
 
เผยอัตราว่างงานในฝรั่งเศสพุ่งสูงทำลายทำสถิติเดิม ทะยานสูงมากกว่า 3.4 ล้านคนแล้ว
 
27 ต.ค. 2014 ทางการฝรั่งเศส เผยผลสำรวจอัตราการว่างงานของผู้คนในฝรั่งเศสเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่ามีอัตราการว่างงานพุ่งสูงทำสถิติใหม่ โดยมีผู้ว่างงานมากถึง 3.4 ล้านคน ขณะที่ นายฟรองซัวส์ เร็บซามอง รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน กล่าวขณะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า อัตราว่างงานสูงขึ้นอีกร้อยละ 0.6 เมื่อเดือนกันยายน ส่งผลให้สัดส่วนของผู้ว่างงานในประเทศสูงกว่าร้อยละ 10.3 ซึ่งนับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์
 
คนงานเหมืองในทวายประเทศพม่าประท้วงบริษัทไทย
 
27 ต.ค. 2014 สำนักข่าวทวายวอท์ช (Dawei Watch) รายงานว่า คนงานกว่า 200 คนในเหมืองต่างพากันหยุดงานตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยร่วมกันลงชื่อในข้อเรียกร้อง 7 ข้อกับทางบริษัท และประกาศว่าจะนัดหยุดงานจนกว่าข้อเรียกร้องจะบรรลุผล
 
ข้อเรียกร้องที่สำคัญคือ ขอให้บริษัทขึ้นค่าแรงจาก 2,000 จ๊าต (60 บาท) เป็น 8,000 จ๊าต (240 บาท) ต่อวัน หรือเท่ากับ 500 จ๊าต (15 บาท) ต่อชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งต่ำมาก ทั้งนี้ คนงานใหม่ และผู้หญิงยังได้ค่าแรงน้อยลงไปอีกคือ 1,500 จ๊าตสำหรับคนงานใหม่ และ 1,800 จ๊าต สำหรับคนงานหญิงทั่วไป
 
คนงานกล่าวว่า ในบางวันที่บริษัทจำเป็นต้องเร่งการผลิต พวกเขาต้องทำงานต่อเนื่องกันถึง 24 ชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดพัก เนื่องจากบริษัทไม่อนุญาตให้กลับบ้าน ทั้งนี้ คนงานระบุว่าบริษัทไม่ได้ทำตามกฎหมายเหมืองแร่ของพม่าในมาตรา 93 (A) ปี 1996 ที่ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาเป็นสองเท่าของค่าแรงอีกด้วย
 
ทั้งนี้ เหมืองเฮ็นดาดำเนินการโดย บริษัท เมียนมาร์พงษ์พิพัฒน์ จำกัด บริษัทไทยที่เข้าไปทำเหมืองดีบุกในเมืองทวาย โดยดำเนินการร่วมกับวิสาหกิจเหมืองแร่ หมายเลข 2 ภายใต้กระทรวงเหมืองแร่ของพม่า ในแคว้นตะนาวศรี ทางตอนใต้ของประเทศเมียนมาร์
 
นอกจากนี้คนงานยังเรียกร้องสวัสดิการภายในสถานที่ทำงาน โดยขอให้บริษัทจัดหาน้ำดื่มสะอาด พร้อมทั้งสร้างระบบสาธารณสุขสำหรับคนงาน  พวกเขาอ้างว่าในอดีตเมื่อครั้งที่อังกฤษเป็นผู้ดำเนินการเหมืองแห่งนี้ มีโรงพยาบาลสำหรับคนงานในเหมือง แต่เมื่อบริษัทเมียนมาร์พงษ์พิพัฒน์เข้ามาดำเนินการในปี 2542 โรงพยาบาลกลับถูกปิดไปจนกระทั่งทุกวันนี้ 
 
ด้านนาย คายง์ สวอน ผู้จัดการบริษัทเมียนมาร์พงษ์พิพัฒน์ กล่าวว่า ทางบริษัทได้พยายามเจรจากับคนงาน แต่ค่าแรงรายวัน 8,000 จ๊าต ที่คนงานเรียกร้องนั้นสูงเกินไป
 
เหมืองเฮ็นดาเป็นเหมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของแคว้นตะนาวศรี มีคนงานพม่าทั้งหมด300 คน และคนงานไทย 20 คน นอกจากกรณีคนงานเหมืองนัดหยุดงานประท้วงในขณะนี้ บริษัทเมียนมาร์พงษ์พิพัฒน์ยังอยู่ระหว่างการถูกดำเนินคดีในชั้นศาลจากข้อกล่าวหาว่าการดำเนินการของบริษัทได้ทำลายวิถีชีวิตของชาวบ้านในแถบนั้นโดยการปล่อยน้ำเสียและตะกอนดินลงมาตามลำน้ำท่วมเรือกสวนไร่นา และบ้านเรือน ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในขั้นตอนการไต่สวนของศาลในทวายขณะนี้
 
มาเลเซียจะอนุญาตให้นำเข้าแม่บ้านชั่วคราวมาจากอินโดนีเซียได้ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแม่บ้านต่างชาติในมาเลเซีย
 
28 ต.ค. 2014 สมาคมสำนักงานแม่บ้านต่างชาติมาเลเซียหรือปาปา เปิดเผยว่า ปาปาจะอนุญาตให้นำเข้าแม่บ้านชั่วคราวมาจากอินโดนีเซียได้ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแม่บ้านต่างชาติในมาเลเซีย
 
รองประธานาปาปา "นายฟู ย่ง หุย" กล่าวว่า มาตรการนี้จะกระตุ้นให้นายจ้างหันมาใช้บริการแม่บ้านแบบชั่วคราวแทนการจ้างแบบเต็มเวลามากขึ้น และค่อย ๆ ลดการพึ่งพาแม่บ้านต่างชาติลง
 
นายฟู เสนอว่า รัฐบาลควรพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเบื้องต้นอาจกำหนดโควต้านำเข้าแม่บ้าน ซึ่งการจ้างแม่บ้านแบบชั่วคราวนี้มีข้อดีคือประหยัด นายจ้างไม่ต้องจัดหาที่พักและอาหารให้ โดยเฉพาะในครอบครัวเล็กที่มักจะทำความสะอาดบ้านแค่สัปดาห์ละสองครั้งเท่านั้น ทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงการล่วงละเมิดภายในบ้านได้ด้วย
 
นอกจากอุตสาหกรรมแม่บ้านมาเลเซียจะขาดแคลนแรงงานอินโดนีเซียแล้ว ภาคการผลิตและก่อสร้างยังขาดแคลนแรงงานด้วย เนื่องจากเศรษฐกิจอินโดนีเซียมีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งนายฟูมองว่า ค่าจ้างในมาเลเซียยังไม่ดึงดูดใจมากพอ ขณะเดียวกันนายจ้างมาเลเซียต้องพึ่งพาแม่บ้านจากกัมพูชาและพม่าด้วย ซึ่งปาปายินดีจะประสานงานกับกระทรวงทรัพยากรมนุษย์เพื่อหามาตรการนำเข้าแรงงานชั่วคราวเข้ามาทำงานในประเทศ
 
 
 
 
 
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: ประชาไท, ครอบครัวข่าว, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, สำนักข่าวไทย, กรุงเทพธุรกิจ, ไทยรัฐออนไลน์, เดลินิวส์, สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, VOA
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หญิงอินเดียใช้กฎหมายเก่าปี 2404 ฟ้องสามี 'คบชู้เพศเดียวกัน'

0
0

คู่สามีภรรยาในเมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย ขัดแย้งกันเนื่องจากภรรยาสงสัยสามีคบชู้เพศเดียวกันจึงติดตั้งกล้องไว้ในบ้านแล้วส่งหลักฐานให้ตำรวจฟ้องด้วยกฎหมายมาตรา 377 ซึ่งเป็นกฎหมายตั้งแต่ปี 2404 ว่าด้วยการร่วมประเวณี 'ผิดธรรมชาติ' โดยกฎหมายล้าหลังนี้ก็เคยถูกต่อต้านทั้งจากนักกิจกรรมและศาลสูงในกรุงนิวเดลีมาก่อน


30 ต.ค. 2557 ในเมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย มีชายที่แต่งงานแล้วคนหนึ่งถูกภรรยาของตนเองฟ้องร้องละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 377 ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าตั้งแต่สมัยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ หลังฝ่ายภรรยาจับได้ว่าสามีมีชู้กับผู้ชาย

ภรรยาซึ่งยังสาวยื่นฟ้องต่อตำรวจโดยอธิบายว่าเธอสงสัยในเรื่องสามีมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันมานานแล้ว ภรรยาระบุในใบคำร้องว่าเธอสงสัยตั้งแต่ในคืนวันแต่งงานที่พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศกันเลยและสามีของเธอก็ไม่ได้แสดงความสนใจเรื่องนี้ เมื่อเธอปรึกษากับพ่อแม่ของเขาในเรื่องนี้ พ่อแม่ของเขายังกล่าวหาว่าเธอไม่ยอมปรับตัว ทำให้เธอตัดสินใจติดตั้งกล้องซ่อนไว้ในที่พักแล้วส่งวิดีโอที่เป็นหลักฐานไปให้ตำรวจ

สามีของเธอซึ่งมีอายุ 32 ปี เป็นผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตถูกจับกุมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (26 ต.ค.) จากความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 377 ซึ่งระบุห้ามไม่ให้มีการ "ร่วมประเวณีแบบผิดธรรมชาติต่อเพศชาย เพศหญิง หรือต่อสัตว์" ผู้ละเมิดกฎหมายต้องจ่ายค่าปรับ จำคุก 10 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม มีการดำเนินคดีโดยอ้างกฎหมายนี้น้อยมาก

โดยหลังจากที่สามีผู้ถูกผ้องร้องถูกกักขังเป็นเวลา 4 วัน เขาก็ได้รับการประกันตัวออกมา

สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทม์ระบุว่า ก่อนหน้านี้ศาลสูงสุดของอินเดียได้ฟื้นฟูกฎหมายมาตรา 377 ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าแก่ตั้งแต่ปี 2404 มาใช้อีกครั้งในช่วงเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว การตัดสินใจฟื้นฟูกฎหมายนี้ดูขัดกับการพยายามปรับสังคมอินเดียให้มีความเสรีมากขึ้น โดยศาลสูงในกรุงนิวเดลียังระบุว่ากฎหมายมาตรา 377 ขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ระบุรับรองความเสมอภาค สิทธิความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน

นักกิจกรรมด้านสิทธิกล่าวว่าการดำเนินคดีด้วยกฎหมายเก่านี้เป็นสิ่งที่อันตราย เพราะความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างสามีกับชู้รักเป็นไปอย่างสมยอมทั้งสองฝ่าย อีกทั้งการกระทำของภรรยายังถือเป็นการล่วงละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของสามี

เดนิช ชีค ทนายความฝ่ายจำเลยจากเมืองบังกาลอร์กล่าวว่าเรื่องนี้ควรจะเป็นแค่กรณีการที่ฝ่ายชายนอกใจฝ่ายหญิง ซึ่งเป็นเรื่องข้อพิพาทระหว่างบุคคล แต่ในตอนนี้กลับถูกทำให้เป็นคดีอาญาซึ่งทำให้รัฐรุกล้ำสิทธิความเป็นส่วนตัวของบุคคลทั่วไปได้

ชาลีน ราเกช นักกิจกรรมผู้เคยเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายมาตรา 377 ในปี 2544 กล่าวว่ามีชายที่รักเพศเดียวกันจำนวนมากถูกบังคับให้ต้องแต่งงานแบบคลุมถุงชนและเขาหวังว่าประชาชนทั่วไปจะมีความเห็นใจต่อจำเลยคดีนี้บ้าง

"ถ้าหากเขามีความสบายใจมากพอที่จะพูดถึงเพศสภาพของตนเอง เขาคงไม่ถูกบังคับให้แต่งงานเช่นนี้" ราเกชกล่าว ตัวเขาเองก็เคยมีคู่รักเพศเดียวกันที่ถูกกดดันให้แต่งงานแบบคลุมถุงชนและอยู่กินกันเป็นเวลา 5 ปี


เรียบเรียงจาก

Husband’s Arrest in India Tests Colonial-Era Sex Law, New York Times, 30-10-2014
http://www.nytimes.com/2014/10/31/world/asia/husbands-arrest-in-india-tests-colonial-era-sex-law.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวบ่อแก้วร่วมพัฒนาผืนดิน ขอคืนสิทธิที่ทำกิน คืนความสุขให้ประชาชนอย่างยั่งยืน

0
0
ชาวชุมชนบ่อแก้วร่วมกันพัฒนาพื้นที่แปลงผักเกษตรอินทรีย์ หลังคำสั่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างยุติเอาไว้ชั่วคราว ระบุแม้ได้คืนความปลอดภัยในชีวิตคืนกลับมา แต่ยังหวั่นปัญหาปะทุมาอีก

 
 
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมาชาวชุมชนบ่อแก้ว ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ กว่าหลายสิบคนได้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่แปลงผักเกษตรอินทรีย์ ด้วยการปรับหน้าดิน จำกัดหญ้าวัชพืช ที่ขึ้นตามร่องแปลงพืชผักสวนครัว ขุดลอกคลองคู จัดการผักตบชวา จากที่เริ่มคลายความกังวลใจลงไปบ้าง หลังคำสั่ง คสช.ที่ 64/57 ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่นั้นได้ชะลอและยุติเอาไว้ชั่วคราว สืบเนื่องจากรัฐบาลกับตัวแทน ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ร่วมประชุม ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ชะลอและยุติการดำเนินการใดๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตอันปกติสุขของประชาชนเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2557 ที่ผ่านมา
 
นายนิด ต่อทุน ประธานโฉนดชุมชนบ้านบ่อแก้วระบุว่า "พวกเราปลูกพืชผักในสิ่งที่กินได้ พวกเราไม่เอาสวนป่ายูคาฯ และพวกเราไม่ใช่ผู้บุกรุก หากเป็นผู้บุกเบิกที่ดินทำกิน และร่วมใช้ประโยชน์ด้วยการพัฒนาพลิกฟื้นทั้งชีวิตและผืนดิน โดยการปลูกพืชผักในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ ไม่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเป็นการแสดงให้สังคมเข้าใจว่าพืชเศรษฐกิจ เช่น ไม้ยูคา ที่ ออป.นำเข้ามาปลูก นอกจากผลกระทบจากความเสื่อมโทรมของหน้าดิน และอพยพพวกเราออกจากพื้นที่มานับจากปี 2521 แล้วนั้น ยังไม่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิต กระทั่งนำมาสู่การจัดที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน ที่มีทั้งแปลงรวมและแปลงส่วนบุคคล พร้อมได้มีการพัฒนาในรูปแบบชุมชนเกษตรกรรมอินทรีย์ มาตลอดระยะเวลา 6 ปี ที่กลับเข้าไปยึดพื้นที่ทำกินเดิมคืน"
 
"แม้ความกังวลใจได้สร้างให้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะคล้อยหลังไปไม่กี่วัน นับจากมีการประชุมร่วมกันระหว่างภาครัฐกับพีมูฟ ก็ได้ข่าวว่านายอำเภอคอนสารมีการประชุมวางแผนขอทวงคืนผืนป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม และมีมติให้ทั้งสองชุมชนโคกยาว และบ่อแก้ว  รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และผลอาสินออกเองภายในวันที่ 25 ต.ค. 2557 หากไม่ดำเนินตาม จะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามารื้อถอนเอง จึงได้เดินทางเพื่อเข้าพบนายอำเภอคอนสารหลายครั้ง แต่ไม่เจอ จนกระทั่งวันที่ 24 ตุลาคม จึงได้พบกับนายอำเภอ พร้อมได้ยื่นหนังสือชี้แจงให้เข้าใจร่วมกันว่า ขณะนี้ปัญหาอยู่ระหว่างการแก้ไข จนกว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการอำนวยการขึ้นมาแก้ไขปัญหาร่วมกัน"
 
"จากผู้บุกเบิกถูกเบียดขับให้กลายเป็นผู้บุกรุกมาโดยตลอด และกว่า 3 เดือนที่มีคำสั่ง 64/57 ให้ไล่รื้อตามมาอีก การดำเนินชีวิตขาดความสุข เกิดความหวั่นเกรงภัยจะถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาไล่รื้อ การทำมาหากินขาดช่วง ก่อนหน้านี้พวกเราก็พัฒนาพื้นที่มาตลอด แต่อาจไม่ค่อยต่อเนื่อง มาวันนี้เมื่อเริ่มคลี่คลายไปบ้าง จึงได้รวมกันมาพัฒนาพื้นที่ ทำความสะอาดแปลงผักกันต่อไป แม้ปัญหายังไม่มีการแก้ไขที่ถูกต้อง พวกเราต่างก็หวังอย่างยิ่งว่าจะดำเนินชีวิตได้ตามปกติสุขขึ้นมาอีกครั้ง ขอความเข้าใจให้ผู้มีอำนาจเห็นว่าที่ผ่านมาพี่น้องเราถูกปิดกั้นสิทธิในการถือครองที่ดินทำกินมาโดยตลอด หากถูกไล่ออกไปอีกครานี้ พวกเราจะไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ทำกินกันอีก การคืนความสุขคืนสิทธิในที่ดินทำกิน คืนแปลงผักสวนครัวเกษตรอินทรีย์ ถือเป็นการคืนความสุขให้ประชาชนอย่างอย่างแท้จริงและยั่งยืน เพราะหากไม่มีที่ดินทำกิน ถูกไล่รื้อ พวกเราก็จะขาดทั้งที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย และไม่มีผลผลิตให้สามารถนำมาหล่อเลี้ยงความสุขให้ชีวิตได้ " นายนิด กล่าว
 
ด้านนายเด่น คำแหล้ ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ระบุว่านับแต่ปี 2528 หน่วยงานภาครัฐเข้ามาปลูกยูคาฯ และดำเนินการเคลื่อนย้ายชาวบ้านออกจากพื้นที่ ภายหลังตนและผู้เดือดร้อนได้กลับเข้ามาบนผืนดินทำกินเดิม ก็ได้มีการบริหารจัดการที่ดินด้วยการทำเกษตรอินทรีย์ เช่นเดียวกับบ้านบ่อแก้ว แต่ติดปัญหาบนพื้นที่ขาดแคลนน้ำ รวมทั้งไฟฟ้าก็ยังไม่มี กว่า 20 ครัวเรือน ต้องเก็บน้ำฝน เอาไว้เพื่อบริโภค และนำมารดแปลงผัก อย่างไรก็ตามในพื้นที่ก็ยังมีการผลิตกันมาต่อเนื่อง เพื่อเป็นการลดปัจจัยจากภายนอก เพราะพวกตนเป็นคนจน ไม่มีเงินมากพอที่จะไปหาซื้อของกินได้มาก และสิ่งที่พวกตนปลูก ล้วนเป็นพืชผักสวนครัว หาเก็บกินเลี้ยงชีพได้ไปตลอดชีวิต ส่วนหนึ่งก็นำไปขายไว้เป็นค่าใช้จ่ายให้กับครอบครัวได้ด้วย
 
นายเด่น กล่าวต่อว่า แม้วันนี้จะลดความกังวลใจลงไปได้บ้าง แต่ปัญหาที่สั่งสมมานาน จะถูกแก้ไขเพื่อให้ความปกติสุขของชาวบ้าน คืนความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตคืนกลับมา ยังไม่มีใครสามารถยืนยันให้คำตอบได้ แต่หากรัฐบาลมองตามเงื่อนไขที่ระบุว่า การดำเนินการใดๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมมาก่อน เหล่านั้นจะถือว่าเป็นความโชคดีของชาวบ้านที่เป็นเพียงเกษตรกร ผืนดินอันน้อยนิดที่ทำการเกษตรจะได้มีความมั่นคง ยั่งยืนตลอดไป และแน่นอนว่า นั่นคือความปกติสุข ถือเป็นความสุขที่ได้กลับคืนมาอีกครั้ง
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

1 ปี กปปส.: พระสุเทพเผยบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลผู้เสียชีวิต-ตั้งเป้า 204 วัน

0
0

พระสุเทพโพสต์สเตตัสครบ 1 ปี กปปส. เผยสาเหตุตัดสินใจบวช เพราะตั้งใจว่าเมื่อ กปปส. ต่อสู้สำเร็จ จะนำบวชอุทิศให้ผู้เสียชีวิต ด้าน 'เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' เผยพระสุเทพขอให้ กปปส. งดเคลื่อนไหว ให้ร่วมมือ คสช. ปฏิรูป และพระสุเทพจะบวชให้ครบ 204 วัน ตามจำนวนวันชุมนุม

พระสุเทพ ปภากโร หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ปัจจุบันอุปสมบทอยู่ที่สวนโมกขพลาราม (ที่มา: เพจสุเทพ เทือกสุบรรณ)

1 พ.ย. 2557 - พระสุเทพ ปภากโร หรืออดีตนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. และอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์สเตตัสเฟซบุ๊คหลังเสร็จสิ้นงานบวชถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ชุดแรก และชุดที่สอง เมื่อวันที่ 29 และ 30 ต.ค. ตามลำดับ ที่สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี โดยระบุว่า

"วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการบรรพชาอุปสมบทหมู่ รุ่นที่ 1 โดยมีผู้ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯรวมแล้ว 136 รูป และจากนั้นในระหว่างวันที่ 28-30 พ.ย. ก็จะเริ่มดำเนินการในโครงการดังกล่าวเป็นรุ่นที่ 2 ต่อไป

วันนี้ครบรอบ 1 ปี ของ กปปส. ที่ผ่านมาบรรดาแกนนำกปปส. ได้มีการพูดคุยกันว่า เวลาต่อสู้เสร็จงานนี้ เราไม่ได้หวังประโยชน์อะไร ประชาชนกลับบ้าน เราก็กลับบ้าน แล้วบวชกันดีกว่าจะได้อุทิศ ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิต อาตมาเป็นหัวหน้าเพื่อนก็ได้แต่ฟังไม่ได้ออกความเห็น พอถึงวันบวชเหลือแต่ เอกนัฐ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส.คนเดียวที่บวช เพราะคนอื่นมีครอบครัวที่ยังเป็นภาระทำให้ไม่สามารถบวชได้ เอกนัฐ นั้นเป็นคนโสดไม่ต้องลาใคร เมื่อเป็นแบบนี้ ทำให้ตอนที่อาตมาบวช จึงไม่ต้องบอกใครไม่ต้องลาใครให้เป็นเรื่องรุงรัง และตั้งแต่วันบวชมาจนถึงวันนี้ 3 เดือนครึ่ง อยากจะบอกว่าการบวชมีอานิสสงส์ จริงๆ และ จะทำความดีกันต่อไป โดยการทำความดีจำเป็นต้องรอเวลาว่าจะเป็นวันนี้วันนั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการบวช"

เป้าหมาย กปปส. บรรลุ 'พระสุเทพ' ขอมวลชนงดเคลื่อนไหว-และจะตั้งใจบวช 204 วัน

ขณะที่ในรายงานของไทยรัฐออนไลน์นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. กล่าวว่า การชุมนุมที่ผ่านมาประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ที่สามารถปลุกจิตสำนึกให้คนไทยให้ต่อต้านเผด็จการทางรัฐสภา รณณรงค์การปฏิรูปประเทศ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คสช. เข้ามาบริหารประเทศ กปปส.จึงขอหยุดความเคลื่อนไหวทางการเมืองไว้ก่อน ซึ่งพระสุเทพ บอกให้แกนนำทุกคนปล่อยวางสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ และขอให้แกนนำให้ความร่วมมือกับรัฐบาลและคสช.ในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ส่วนพระสุเทพ จะบวชต่อไปให้ครบ 204 วันตามจำนวนที่กปปส.ชุมนุม ซึ่งจะครบกำหนดประมาณต้นเดือนก.พ.2558 แต่จะลาสิกขาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพระสุเทพ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กิจกรรม ‘มืด’ รำลึก ‘นวมทอง’ 2 รายถูกสอบปากคำ - 3รายถูกปรับไม่พกบัตรปชช.

0
0

หลังจากเพจกิจกรรม ‘มืด’ ตั้งขึ้นโดยอานนท์ นำภา ทนายความ โพสต์ข้อความเชิญชวนผู้สนใจจัดกิจกรรมศิลปะรำลึกการจากไปครบรอบ  8 ปีของนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับแท็กซี่ต้านรัฐประหารที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม

กิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจ มีผู้ไปรวมตัวที่ร้านลาบด้านข้างอนุเสาวรีย์ประชาธิไตยอันที่เป็นจุดนัดหมายราว 30-40 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจสังเกตการณ์อยู่ราว 7-8 นาย กิจกรรมหลักได้แก่การแสดงละครใบ้ของพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ ผู้เป็นพ่อของสมาพันธ์ ศรีเทพ หรือ น้องเฌอ หนึ่งในผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 และการกางป้ายผ้าของกลุ่มนักศึกษาข้อความว่า “นวมทองยังไม่ตาย” ราว 2-3 นาที ท้ายที่สุดตำรวจได้เชิญตัวอานนท์และพันธ์ศักดิ์ไปสอบปากคำที่สน.นางเลิ้ง

อานนท์ ได้โพสต์เฟซบุ๊คชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

“เมื่อคืนผมกับ ปีเตอร์ ศรี มีเฌอเป็นลูกรัก (พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ – ประชาไท) ถูกเรียกให้ไปให้ปากคำ กรณีมีนักศึกษานำป้ายผ้าไปชูที่บริเวรอนุสาวรียประชาธิปไตย พ่อน้องเฌอให้การไปแล้ว ส่วนผมขอเลื่อนไปเป็นวันที่ 5 พ.ย.57 เวลา 18.00 น. ที่ สน.นางเลิ้ง เนื่องจากเมื่อคืนนี้ผมไม่พร้อมที่จะให้การ

ผมมีประเด็นที่จะให้การอยู่ 2-3 ประเด็นคือ

1) เสรีภาพในการแสดงออก
2) ดุลพินิจในการจำกัดเสรีภาพ
3) ปัญหาของกฎอัยการศึกในสังคมประชาธิปไตย

ผมเพิ่งมาเห็นรูปนี้ซึ่งถูกแชร์ในเฟซบุ๊คเมื่อเช้า ผมคิดว่าโดยพฤติการณ์และข้อความบนผ้า เป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งไม่ผิดต่อกฎหมายแต่ประการใด ทั้งยังเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมในความกล้าหาญของน้องนักศึกษา

ขอบคุณพี่ทหารและพี่ตำรวจระดับปฏิบัติการณ์ที่เข้าใจและอะลุ่มอะล่วยในการทำกิจกรรม ขอบคุณระดับผู้บังคับบัญชาที่ไม่ตึงจนเกินไป ส่วนที่สูงกว่านั้นและไม่เข้าใจในเรื่องเสรีภาพ ย่อมเป็นโจทย์ให้เราต้องแก้เพื่อจะได้เข้าใจร่วมกันว่า ในสังคมประชาธิปไตย เราให้ความสำคัญกับการแสดงออกซึ่งเสรีภาพขนาดไหน

ปล. ผมเชื่อว่าลึกๆแล้วท่านก็ไม่ได้คิดว่าคนกลุ่มเล็กๆนี้จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรมากหรอก เพียงแต่ท่านถูกกดทับมาอีกทีจากอำนาจ "มืด" เท่านั้น

ผมจะพยายามทำคำให้การเป็นหนังสือไปยื่นกับพนักงานสอบสวนนะครับ จะได้ไม่ต้องบันทึกอะไรยาวนานเกินไป 5 พ.ย.57 นี้เจอกันครับ”

ภาพจากเฟซบุ๊ก SahaiRock Freedom

ภาพจากเฟซบุ๊ก อานนท์ นำภา

ภาพจาก อัจฉรา อิงคามระธร

3 รายโดนปรับ ข้อหาไม่พกบัตรประชาชน

อัจฉรา อิงคามระธร หนึ่งในผู้ถูกปรับกล่าวว่า เข้าร่วมกิจกรรมงานศิลปะในความมืด โดยไปถึงก่อน 22.00 น.และนั่งทานอาหารในร้านลาบอันเป็นที่นัดหมาย โดยทราบข่าวมาว่าในช่วงบ่ายเจ้าหน้าที่ได้ขอให้ลุงและป้าเจ้าของร้านปิดร้าน แต่ทั้งสองไม่ยอมปิดโดยให้เหตุผลว่าใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายซึ่งซื้อของไปแล้ว อย่างไรก็ตามเจ้าของร้านยอมเขยับร้านรถเข็นไปไว้ด้านในซอยจากเดิมที่เคยอยู่ริมถนน จนถึงเวลาประมาณ 22.00 น. กลุ่มนักศึกษาก็ทำกิจกรรมกางป้ายผ้ารำลึกนวมทองตรงอนุเสาวรีย์ในเวลาสั้นๆ คล้ายเป็นแฟลชม็อบ จากนั้นพันธ์ศักด์ก็แสดงละครใบ้ เธอจึงเดินไปถ่ายรูป เมื่อเดินกลับมานั่งที่โต๊ะก็พบว่าตำรวจเริ่มมาสมทบกันมากขึ้นจากเดิมที่มีอยู่นิดหน่อยตามปกติ ก็มีตำรวจมาเพิ่มอีก 3 คันรถ ทหารอีก 1 คันรถ โดยเริ่มแรกเจ้าหน้าที่เข้าไปพูดคุยกับอานนท์และพันธ์ศักดิ์ จากนั้นจึงเดินมาที่โต๊ะของเธอและเพื่อนเพื่อขอตรวจบัตรประชาชนท่ามกลางความงุนงงของทุกคนเนื่องจากสถานที่ดังกล่าวไม่ใช่ผับ ท้ายที่สุดมี 3 ราย เป็นหญิงทั้งหมด ที่ไม่ได้นำบัตรประชาชนติดตัวมาด้วย จึงยินยอมถูกควบคุมตัวไปสน.นางเลิ้งเพื่อเสียค่าปรับคนละ 100 บาท

ทั้งนี้ กิจกรรม "มืด" นั้นระบุจุดประสงค์งานในเพจเฟซบุ๊กว่า “ในสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ แม้งานศิลปะ ก็ต้องแสดงกันในความมืด พบกับการแสดงงานศิลปะ ดนตรีในความมืดของศิลปินในความมืด และขอชวนเชิญมิตรสหายร่วมแสดงงานศิลปะในความมืด ในบ้านเมืองที่มืดมิด ไม่จำกัดประเภทงานศิลปะ ( ดนตรี ภาพถ่าย ภาพวาด บทกวี ฯลฯ ) พร้อมพบปะพูดคุย ดื่มกินในบรรยากาศ "มืดๆ" หมายเหตุ : ศิลปินเตรียมอุปกรณ์มาเองทั้งเครื่องดนตรีและเครื่องเสียง(หากต้องใช้) ส่วนค่าอาหารก็แชร์กันครับ บรรยากาศร้านลาบ ราคาสบายๆ เช่นเคย”

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนทำงาน ตุลาคม 2557

รายงานเสวนา: กฎหมายกับความเป็นส่วนตัวในโลกออนไลน์

0
0


พิรงรอง รามสูต-คณาธิป ทองรวีวงศ์-พ.ต.อ.สมพร แดงดี


1 พ.ย. 2557 ในการเสวนาทางวิชาการ หัวข้อ "กฎหมายกับความเป็นส่วนตัวในโลกออนไลน์" ณ ห้องประชุมสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ชั้น 4 อาคารเทพทวาราวดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิรงรอง รามสูต อาจารย์ประจำภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงนิยามของ Privacy ว่า ในภาษาไทยไม่มีคำแปลโดยตรง ซึ่งนั่นอาจบ่งบอกว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันก็ได้

พิรงรองกล่าวว่า นิยามเดิมของ privacy ยุคแรกเป็นเรื่องของสิทธิในร่างกายและทรัพย์สินของบุคคล เช่น กรณีการถูกแอบถ่ายโดยปาปารัสซีแล้วนำไปขายให้กับสื่อและถูกนำภาพไปเผยแพร่ต่อสาธารณะโดยที่บุคคลนั้นไม่ให้ความยินยอม ต่อมาในยุคที่การใช้คอมพิวเตอร์เริ่มแพร่หลาย นิยามจึงเปลี่ยนจากมิติทางกายภาพสู่มิติของข้อมูล เป็นเรื่องของการถูกนำข้อมูลมาเชื่อมโยงโดยไม่ได้รับอนุญาต

อย่างไรก็ตาม พิรงรอง เสริมว่า การมองว่าอะไรคือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลก็ขึ้นกับวัฒนธรรมด้วย โดยยกตัวอย่างการสำรวจหนึ่งที่พบว่า ชาวอเมริกันรู้สึกว่า การบุกรุกของตำรวจเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ชาวแคนาดามองว่า การโจรกรรมหรือย่องเบาเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ขณะที่ไทย มองเรื่องการเปิดเผยความลับ ส่วนญี่ปุ่นมองว่าการตีแผ่เรื่องราวส่วนตัวของนักการเมืองเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล  

พิรงรองชี้ว่า ในบริบทสื่อออนไลน์ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลยิ่งแย่ไปอีก เพราะไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เราก็ทิ้งรอยเท้าไว้และถูกเก็บข้อมูลหมดแล้ว อาทิ การเก็บคุกกี้ การเก็บรหัสผ่าน ประวัติการใช้งานเว็บ หรือข้อมูลส่วนตัว ซึ่งจะถูกเก็บไว้ถาวรในโลกออนไลน์ จนทำให้มีการพูดถึงสิทธิที่จะถูกลืม (การที่ผู้ใช้สามารถร้องขอต่อศาลให้ผู้ให้บริการสามารถลบข้อมูลของตนได้ หากผลการค้นหานั้นล้าสมัยและไม่เกี่ยวกับตัวเองอีก-ประชาไท)

พิรงรองกล่าวว่า ในรัฐสมัยใหม่ มีข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล รัฐต้องคุ้มครองว่าใครจะเข้าถึงได้บ้าง ทั้งนี้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิส่วนบุคคลนั้น มีทั้งในระดับนานาชาติ อย่าง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) รวมถึงในประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่มีกฎหมายนี้ ขณะที่ไทยยังไม่มี แม้ว่าจะมีความพยายามออกกฎหมายตั้งแต่ปี 2533 มีการนำเข้าสภาแล้วทั้งในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ก็ยังไม่ผ่านจนกระทั่งตอนนี้ร่างล้าสมัยไปหมดแล้ว ส่วน พ.ร.บ.ที่อาจจะใกล้เคียงคือ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ ก็คุ้มครองเฉพาะข้อมูลที่อยู่ในมือของรัฐ

"ถ้าเรามองว่าเสรีภาพในการแสดงออกสำคัญและจำเป็น สิทธิบุคคลก็มีความสำคัญเช่นกัน" พิรงรองกล่าวและว่า สิทธิส่วนบุคคลสำคัญมากต่อรัฐประชาธิปไตย โดยรัฐประชาธิปไตยมีหน้าที่คุ้มครองเรื่องนี้ให้ประชาชน  

คณาธิป ทองรวีวงศ์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น กล่าวถึงพฤติกรรมการเผยแพร่ข้อมูลโซเชียลเน็ตเวิร์คกับการละเมิดความเป็นส่วนตัว โดยแบ่งเป็นการแชร์ข้อมูลเชิงลบ ข้อมูลเชิงบวก และการเปิดเผยตัว

หนึ่ง การแชร์ข้อมูลเชิงลบ อาทิ การถ่ายรูปประจานคนที่สังคมออนไลน์มองว่าทำผิด เช่น กรณีเด็กหญิงอายุ 17 ปีขับรถชนรถตู้บนทางด่วน ซึ่งถูกตั้งเพจ "มั่นใจว่าคนเกินล้านเกลียด..." ซึ่งส่วนตัว มองว่า การกระทำดังกล่าวมีความผิดตามกฎหมายอาญาเรื่องการขับรถโดยประมาทอยู่แล้ว แต่ตั้งคำถามว่า สังคมออนไลน์มีสิทธิแค่ไหนในการขุดเรื่องต่างๆ มาแฉ พร้อมชี้ว่า เรามักไม่ตรวจสอบข้อมูลออนไลน์ เห็นแล้วไลค์และแชร์ทันที ซึ่งทำให้เกิดปัญหาตามมาหากข้อมูลนั้นผิดพลาด เพราะแม้ว่าคนอาจจะลืมเรื่องราวไปแล้ว แต่อินเทอร์เน็ตไม่เคยลืมใคร จะลบออกไปไม่ได้ ในยุโรปยังมีเรื่องของสิทธิที่จะถูกลืม แต่ไทยยังไม่มีเรื่องการหมดอายุของข้อมูลตรงนี้

หรือกรณีของคนที่ถูกมองว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น มนุษย์ลุง มนุษย์ป้า แซงคิว ก็ถูกคนตั้งตัวเป็นตำรวจ เป็นนักสืบไซเบอร์ เอาภาพเอาข้อมูลเขามาเผยแพร่ ถามว่าอะไรคือบรรทัดฐาน การมีพฤติกรรมแบบนี้ผิดกฎหมายไหม หรือทราบหรือไม่ว่าเขาเจตนาไหม แต่เขาถูกลงโทษโดยการลงทัณฑ์ทางสังคมไปแล้ว

คณาธิปชี้ว่า หากเป็นความผิดตามกฎหมาย ยังมีหลักอ้างอิงอย่างข้อกฎหมายและมีวิธีพิจารณาทางกฎหมาย มีขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ต้องผ่านตำรวจ อัยการ ศาล แต่มาตรการออนไลน์นั้นไม่มีสิ่งเหล่านี้ และลงท้ายกลายเป็นว่ามีข้อมูลส่วนบุคคลมหาศาลถูกถ่ายเทลงไปในโลกออนไลน์

สอง การแชร์ข้อมูลผู้อื่นเชิงบวก เช่น กรณีของ เอ้อ หม่า อี้ หญิงพิการ ที่คนไปตามถ่ายภาพเขา แล้วเอามาแชร์ว่าเธอมีความพยายามในการใช้ชีวิต ถามว่า ผู้พิการควรมีสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่ หรือกรณีตามถ่ายคนหน้าตาดีในอาชีพต่างๆ เกิดปาปารัสซีรายย่อย ไปสันนิษฐานแทนเขาว่าเขาอยากออกสื่อ

"privacy อยู่ที่ความยินยอม" เขากล่าวและชี้ว่า กรณีนี้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งกฎหมายอาญา เรื่องการหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นถกเถียง เช่น เรื่องว่าอะไรเป็นสาธารณะ เรื่องของบุคคลสาธารณะถูกแชร์ได้ตลอดหรือไม่ โดยกรณีประเทศไทยนั้น เดิม นักการเมืองจะถูกมองว่าเป็นบุคคลสาธารณะ ขณะที่ปัจจุบัน บุคคลทั่วไปตกเป็นเหยื่อ ทั้งที่ไม่ได้สมัครใจเข้าร่วมในประเด็นนั้นๆ เลย

สาม การแชร์ข้อมูลของตนเอง เช่น การถ่ายเซลฟี่ การด่ากันลอยๆ ไม่ระบุชื่อเพื่อเลี่ยงกฎหมายหมิ่นประมาท การแชร์พิกัดที่อยู่ ซึ่งเสี่ยงต่อความปลอดภัยได้ ประเด็นนี้ไม่ค่อยมีความผิดทางกฎหมายเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ชี้ว่ามีประเด็นของการตลาดที่บังคับให้คนต้องแชร์เพื่อแลกกับสิทธิพิเศษบางประการ เช่น ส่วนลด แม้แต่หน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงาน ก.พ. ยังมีแคมเปญ “Selfie Your Future Through Education” ชวนถ่ายเซลฟี่ลุ้นเงินรางวัล ซึ่งเขาวิจารณ์ว่า ในขณะที่ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลเพียงพอ แต่หน่วยงานของรัฐกลับสนับสนุนให้ใส่ข้อมูลลงไปมากๆ

ตอนหนึ่ง ผู้ฟังเสวนาถามว่าหากตนเองไม่อยากถูกเผยแพร่ภาพในรายงานข่าวจะมีกฎหมายใดใช้ได้หรือไม่ คณาธิปกล่าวว่า การถ่ายภาพเป็นการเก็บข้อมูลอย่างหนึ่ง หากร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลผ่าน การเก็บข้อมูลจะต้องขอความยินยอมก่อน แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับสื่อ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการกำหนดว่าแค่ไหน จึงถือเป็นการกระทำของสื่อมวลชน ส่วนหากใช้กฎหมายปัจจุบัน หากภาพที่นำมาเผยแพร่ ไม่ได้เป็นภาพปลอม หรือลามก ก็ถือว่าสามารถทำได้ เพราะเป็นการเผยแพร่ข้อเท็จจริง

ด้าน พิรงรอง ตอบว่า การเลือกมาปรากฏตัวในการเสวนาสาธารณะ ในพื้นที่สาธารณะนั้น เท่ากับว่าได้ยินยอมแล้ว และหากภาพที่นำมาเผยแพร่เป็นข้อเท็จจริงก็ถือว่าทำได้ ยกเว้นกรณีที่มีการจับภาพและนำไปเผยแพร่ด้วยอคติ อาจเป็นการหมิ่นประมาทได้ เช่น เห็นว่ามีบุคคลที่รักเพศเดียวกันกำลังมีพฤติกรรมบางอย่าง ก็จับภาพและนำไปเสนอ ถือเป็นการดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นต้น

ด้าน พ.ต.อ.สมพร แดงดี รองผู้บังคับการกองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรม (ปอท.) ชี้ว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดการละเมิดความเป็นส่วนตัวบุคคล ประกอบด้วย 1. การถูกคุกคามจากปาปารัสซี 2. ความประมาทเลินเล่อของบุคคลที่ถูกละเมิดเอง หรือเจ้าของสถานที่ หรือเจ้าของเว็บไซต์ที่ถูกนำเนื้อหามาโพสต์ เช่น กรณีคลิปแอบถ่ายหญิงสาวขณะเข้าห้องน้ำ 3. ตั้งใจถ่ายกันเองแต่ภาพหลุด หรือถูกนำมาเป็นเครื่องต่อรอง เช่น กรณีคู่รักที่ถ่ายภาพขณะมีเพศสัมพันธ์ 4. การเปิดตัวเองต่อสาธารณะโดยคึกคะนอง

พ.ต.อ.สมพร ระบุว่า สำหรับการแก้ปัญหา มีการตั้งศูนย์เฝ้าระวังฯ อยู่ โดยแบ่งเป็นการเฝ้าระวังเรื่องความมั่นคงและอาชญากรรม โดยเรื่องของความมั่นคงนั้น แม้ไม่มีใครร้องทุกข์ก็จะดำเนินการเอง แต่เรื่องความเป็นส่วนตัว การหมิ่นประมาท ต้องมีการร้องทุกข์ ถ้าผู้เสียหายไม่เอาความ ก็เอาผิดไม่ได้

ต่อคำถามว่า ที่ผ่านมา มีคดีที่มีการละเมิดความเป็นส่วนตัวหลายอย่าง เช่น การล่าแม่มดผู้เห็นต่างทางการเมืองโดยเฉพาะกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งพบว่า ส่วนใหญ่ ตำรวจหาข้อมูลจากการล่าแม่มด มาดำเนินการกับผู้กระทำผิด ซึ่งกรณีนี้แม้เหยื่ออาจกระทำความผิด แต่ก็ถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเช่นกัน ตำรวจมองว่ามีความผิดหรือไม่ที่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวคนอื่น หรือมองว่าเป็นพลเมืองดี   

"ในส่วนนี้ ปอท.ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เราเป็นเพียงหน่วยที่รับแจ้งหรือรับข้อมูลจากทุกๆ ท่าน ทุกๆ คน ทุกๆ กลุ่ม รับแล้วพิจารณากลั่นกรอง แต่ส่วนที่พิจารณาไปถึง เอ๊ะ คนนี้คุณไปเปิดเผยข้อมูลเขาถึงขนาดนั้น ผิดกฎหมายไหมเนี่ย ถ้ามันชัดเจน ก็คงจะต้องทำ แต่ถ้าไม่ชัดเจนก็เป็นข้อคิดหนึ่งที่ท่านพูดนะครับ แต่ไม่อยู่ในประเด็นที่เป็นงานหลักที่ ปอท.จะต้องทำ" พ.ต.อ.สมพร กล่าวและว่า แต่การสืบสวนการป้องกันการปราบปรามเว็บที่ไม่เหมาะสมเป็นงานหลักของ ปอท. ตามวัตถุประสงค์หลักในการก่อตั้งองค์กร

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดิอิโคโนมิสต์วิเคราะห์ความแพร่หลายของศาสนาในจีนและการปรับตัวของรัฐ

0
0

ถึงแม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเพิกเฉยหรือแม้แต่สนับสนุนนายทุนแต่กลับระแวดระวังกับกลุ่มศาสนามากกว่าเพราะกลัวแย่งความภักดีจากพรรค แต่ขณะเดียวกันความแพร่หลายของศาสนาโดยเฉพาะศาสนาคริสต์ในจีนก็ควบคุมได้ยากและดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลส่วนหนึ่งก็ปรับตัวตามหรือแม้แต่ใช้ประโยชน์ศาสนานี้


โบสถ์ในเซี่ยงไฮ้
ภาพโดย
bricoleurbanism (CC BY-NC 2.0)


1 พ.ย. 2557 เว็บไซต์นิตยสารดิอิโคโนมิสต์นำเสนอเรื่องการเติบโตอย่างรวดเร็วของศาสนาคริสต์ในเมืองเวินโจวซึ่งเป็นเมืองติดกับทะเลในมณฑลเจ้อเจียง จนถูกเรียกว่าเป็น "นครเยรูซาเลมแห่งจีน"

เมืองเวินโจวมีลักษณะภูมิศาสตร์คือมีภูเขาล้อมรอบและอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงปักกิ่ง เป็นเมืองที่ผู้นับถือศาสนามักจะเดินทางไปอยู่เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีนโยบายห้ามไม่ให้มีศาสนา ซึ่งเมื่อนับรวมจากเมืองอื่นๆ ในจีนจะมีอาคารสิ่งก่อสร้างชาวคริสต์อยู่ไม่มากนัก แต่เมื่อไม่นานมานี้มีโบสถ์คริสต์ที่ประดับหลังคาด้วยไม้กางเขนอยู่หลายร้อยแห่งในเวินโจว

อย่างไรก็ตามในปีนี้มีอาคารกว่า 230 แห่งในเวินโจวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "สิ่งก่อสร้างผิดกฎหมาย" และถูกรื้อถอน มีวิดีโอแสดงให้เห็นภาพผู้คนพากันยืนล้อมโบสถ์เป็นโล่มนุษย์เพื่อขัดขวางแต่ก็มีคนหลายสิบคนได้รับบาดเจ็บ มีผู้ศรัทธาในศาสนาพากันร้องเพลงสวดทั้งน้ำตาในตอนที่โบสถ์ถูกรื้อถอน

ดิอิโคโนมิสต์ระบุอีกว่าเจ้าหน้าที่ทางการจีนไม่รู้สึกอะไรกับระบอบทุนนิยมในเมืองซึ่งขัดกับแนวคิดของพรรคคอมมิวนิสต์แต่กลับเห็นว่าศาสนาและสัญลักษณ์ทางศาสนาเป็นสิ่งที่ต่อต้านแนวคิดของพรรค

ชาวคริสต์ในจีนต้องทุกข์ทนจากการถูกปราบปรามมานานแล้วนับตั้งแต่สมัยของเหมาเจ๋อตุงที่แม้จะระบุเรื่องเสรีภาพทางความเชื่อไว้ในรัฐธรรมนูญแต่ก็เป็นไปเพื่อรองรับชาวมุสลิมและชาวพุทธทิเบตมากกว่า ขณะที่ชาวคริสต์ครึ่งล้านคนถูกไล่ล่าจนเสียชีวิตมีส่วนหนึ่งถูกส่งตัวไปค่ายกักกันแรงงาน แม้ว่าหลังยุคเหมาเจ๋อตุง พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะค่อยๆ อนุญาตให้มีเสรีภาพทางศาสนาคืนมาอย่างช้าๆ มีโบสถ์ที่มีการจัดการตนเองโดยรัฐเพื่อไม่ให้มีอิทธิพลจากต่างประเทศเข้าไปได้เป็นโบสถ์ที่จดทะเบียนและแสดงความภักดีต่อรัฐบาลจีน แต่ชาวคริสต์ส่วนใหญ่ที่เหลือรอดจากยุคเหมาและผู้ศรัทธารายใหม่ก็ปฏิเสธจะเข้าร่วมกับโบสถ์ที่จดทะเบียนและหันไปหาโบสถ์ที่ตั้งเองโดยไม่ได้จดทะเบียนแทน และพรรครัฐบาลจีนก็พยายามปราบปรามโบสถ์เหล่านี้มาเป็นเวลานาน

อย่างไรก็ตามดิอิโคโนมิสต์รายงานว่าศาสนาคริสต์ควบคุมยากขึ้นเรื่อยๆ ในจีน เนื่องจากแพร่กระจายเร็วมากและมีคนในพรรคบางส่วนเป็นหันมานับถือศาสนาคริสต์ด้วย ทำให้เส้นแบ่งระหว่างโบสถ์ที่มาจากทางการกับโบสถ์ที่ก่อตั้งขึ้นเองโดยไม่ได้จดทะเบียนมีความพร่าเลือนลง อีกทั้งชาวคริสต์บางส่วนยังมีบทบาทสำคัญในสังคมมากขึ้น ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ในการจัดการเรื่องนี้ ไม่เพียงแค่ศาสนาคริสต์เท่านั้น ชาวอุยกูร์ที่เป็นมุสลิม และชาวพุทธทิเบตยังเติบโตขึ้นเป็นขบวนการประชาสังคมที่มีภาพในเชิงศาสนาและแพร่กระจายเร็วทำให้ทางการจีนไม่ไว้วางใจ

ดิอิโคโนมิสต์ระบุอีกว่าแม้แต่กับชาวฮั่นเองซึ่งเป็นประชากรร้อยละ 90 ของจีนก็เริ่มมีคนนับถือศาสนามากขึ้น มีอาคารทางศาสนาปรากฏตามเมืองต่างๆ ชาวฮั่นจำนวนมากก็ยังคงเดินทางไปแสวงบุญตามศาสนสถานชาวพุทธ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ทางการจีนกังวล ไม่เพียงเพราะคำสอนของแนวคิดมาร์กซ์ที่ระบุว่า "ศาสนาเหมือนยาฝิ่น" เท่านั้น แต่ยังเกรงว่าศาสนาจะมาแย่งความภักดีต่อพรรคและต่อรัฐจีนไปอีกด้วย

การสำรวจจำนวนชาวคริสต์ในจีนยังระบุจำนวนที่ชัดเจนไม่ได้เพราะพรรครัฐบาลจีนปฏิเสธที่จะสำรวจจำนวนประชากรที่เข้าโบสถ์ที่ไม่ใช่ของทางการ อย่างไรก้ตามศูนย์วิจัยพิวซึ่งเป็นองค์กรในสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ผลการสำรวจเมื่อปี 2553 ว่ามีชาวคริสต์โปรเตสแตนต์อยู่ราว 58 ล้านคน และชาวคริสต์คาทอลิกอยู่ราว 9 ล้านคนในจีน แต่ผู้เชี่ยวชาญทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติประเมินไว้ว่ามีชาวคริสต์มากกว่าจำนวนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนเสียอีก

นักวิชาการจีนประเมินความเป็นไปได้ว่าภายในปี 2573 ประเทศจีนอาจจะมีประชากรชาวคริสต์มากที่สุดในโลกจากการเติบโตของประชากรชาวคริสต์ในประเทศนี้ร้อยละ 10 ทุกปี ทางด้านนักวิชาการต่างชาติกล่าวว่าที่ศาสนาคริสต์เติบโตขึ้นในตอนนี้เนื่องจากความเชื่อในแนวคิดมาร์กซ์กำลังเสื่อมลง ศาสนาคริสต์กลับเสนอระบบคิดในเชิงจริยธรรมแบบสำเร็จรูปรวมถึงสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งผู้คนมองว่าสิ่งที่ดูตายตัวแบบนี้มีความน่าดึงดูดกว่าในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ยังมีชาวจีนบางคนที่มองว่าศาสนาคริสต์เป็นรากฐานของแนวคิดด้านดีของตะวันตก พวกเขามองว่าเป็นพื้นฐานของการพัฒนาความเป็นธรรมในสังคม ระบอบนิติธรรมและประชาสังคม ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการจะให้เกิดขึ้นในจีน มีเอ็นจีโอที่นำโดยผู้นับถือคริสต์และพุทธ มีนักวิชาการที่เป็นคริสต์มากขึ้น นักกิจกรรมเพื่อสิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษชนจำนวนหนึ่งเป็นคริสต์

เรื่องการจัดการศาสนาเป็นสิ่งที่ทางการกลางของจีนมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจัดการ การปฏิบัติต่อศาสนาในแต่ละพื้นที่จึงต่างกันไป การปราบปรามศาสนาคริสต์ในเวินโจวน่าจะเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต้องการเอาใจประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ทางการจีนจำนวนมากกลับมองเห็นข้อได้เปรียบของการเติบโตของศาสนาคริสต์ในจีน มีนักธุรกิจผู้ร่ำรวยในเวินโจวที่กลายเป็นผู้ศรัทธาในศาสนาคริสต์ พวกเขามักจะถูกเรียกว่า "หัวหน้าชาวคริสต์" ที่สร้างโบสถ์ใหญ่ในเมือง พวกเขามักจะใช้โบถส์เป็นที่จัดประชุมระหว่างนักธุรกิจด้วยกันเพื่อหารือเรื่อง "วิธีการทำเงินตามหลักคัมภีร์ไบเบิล" ซึ่งสนับสนุนให้ทำธุรกิจอย่างสุจริต มีการจ่ายภาษีและช่วยคนจน ในแง่นี้ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่ค่อยต่อต้านเพราะถือว่าพวกเขาเป็นนักลงทุนในพื้นที่

อีกประการหนึ่งคือเจ้าหน้าที่มักจะมองว่าชาวคริสต์เป็นพลเมืองดีที่ช่วยเหลือด้านสวัสดิการในชุมชนซึ่งส่งผลให้เกิดเสถียรภาพมากขึ้น ทางพรรคเริ่มใส่ใจเรื่องความเชื่อของประชาชนน้อยลงและหันมาใส่ใจเรื่องเสถียรภาพและการทำให้พรรคคงอำนาจผูกขาดไว้ได้ จนไม่สนว่าต้องหันมาพึ่งศาสนาหรือไม่ ซึ่งจริงๆ แล้วเจ้าหน้าที่จีนบางคนยังต้องใช้ศาสนาสร้างภาพหรืออาศัยผู้ศรัทธาในศาสนาเพื่อให้ช่วยเหลือด้านสังคมสงเคราะห์และทั้งชาวคริสต์และชาวพุทธก็ดูจะให้ความร่วมมือตรงจุดนี้อย่างเต็มใจ

ดิอิโคโนมิสต์ระบุว่าในยุคแห่งสุขนิยมและ "ความเสื่อมทราม" การทำกิจกรรมแบบเสียสละตนเองทำให้โบสถ์ได้ภาพลักษณ์ที่ดีและยังทำให้รัฐบาลเชื่อว่าชาวคริสต์ไม่ได้ต้องการโค่นล้มพวกเขา

เกอดา วีแลนเดอร์ จากมหาวิทยาลัยเวสต์มินสเตอร์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับศาสนาในยุคจีมคอมมิวนิสต์กล่าวว่า แม้เธอจะไม่คิดว่าการเติบโตของผู้นับถือคริสต์จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปีในจีน แต่ก็ยอมรับ่วาทางการจีนเริ่มสนใจการหันไปนับถือศาสนาของประชาชนทั่วไปมากขึ้น แม้ว่าจะพยายามกดดันชาวพุทธและชาวมุสลิมในแถบภูมิภาคชาวทิเบตและอุยกูร์ แต่ในช่วงเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาก็เปิดรับหัวหน้านักบวชคริสเตียนนิกายออโธดอกซ์จากรัสเซียซึ่งถือเป็นผู้นำทางศาสนาคริสต์ชาวต่างชาติคนแรกที่ได้พบประธานาธิบดีจีน

ก่อนหน้านี้ในปี 2544 พรรคคอมมิวนิสต์จีนอนุญาตให้ผู้ประกอบการเข้าร่วม มีบางคนเสนอให้ผู้ศรัทธาในศาสนาเข้าร่วมด้วยแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ แต่ในปี 2547 มีบทความในจีนอ้างว่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ 3-4 ล้านคนกลายเป็นผู้ศรัทธาในศาสนาคริสต์

การประท้วงในฮ่องกงล่าสุดก็ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการแผ่ขยายของศาสนาคริสต์ด้วยเนื่องจากมีผู้จัดการชุมนุมบางคนเป็นชาวคริสต์ ซึ่งเป็นความกลัวในเชิงการสร้างลัทธิต่อยอดจากนั้นจนมีความเป็นการเมืองและหันมาต่อต้านคอมมิวนิสต์โดยในประวัติศาสตร์ก็มีกบฏไทปิงซึ่งนำโดยคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นพี่น้องของพระเยซูทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ล้านคน

มีชาวคริสต์อาศัยวิธีการเช่าที่ในห้องอาคารสำนักงานช่วงวันอาทิตย์เพื่อทำพิธีกรรมซึ่งเจ้าหน้าที่ก็อนุญาต เว้นแต่เมื่อเริ่มแสดงความกระด้างกระเดื่องต่อทางการจีน แค่ในเรื่องการชุมนุมรวมตัวกันทางศาสนาพวกเขาก็ถูกปราบปราม แต่โบสถ์ไหนที่มีความระมัดระวังในเรื่องอ่อนไหวพวกเขาก็จะไม่ถูกปราบ แต่บางครั้งคนในระดับใกล้ชิดรัฐบาลจีนที่นับถือศาสนาก็อาจจะแอบช่วยเหลือเช่นเสนอการปราบปรามให้เบาลงเมื่อทางการจีนพยายามปราบปรามคนศาสนาเดียวกัน เจ้าหน้าที่และปัญญาชนผู้นับถือศาสนาบางคนยังพยายามเสนอแนวทางใหม่เป็นกฎหมายในการจัดการศาสนาในจีนด้วยเช่น การออกกฎให้เจ้าหน้าที่ทางการปราบปรามศาสนาตามอำเภอใจได้ยากขึ้น

ชาวคริสต์บางส่วนในจีนยังเริ่มมีความตื่นตัวทางสังคมและการเมืองมากขึ้น บางคนก็เริ่มพยายามต่อสู้ขัดขืนในพรรคเช่นกรณีเจ้าหน้าที่พรรคผู้หญิงคนหนึ่งยืนยันต่อผู้บังคับบัญชาว่าความเชื่อทางศาสนาของเธอได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญจีนทำให้เธอไม่ถึงขั้นถูกไล่ออกแต่ถูกส่งไปที่โรงเรียนปรับทัศนคติของพรรคจนกระทั่งกลับมาทำงานได้ ชาวคริสต์บางคนยังพยายามเชื่อมความสัมพันธ์กับต่างชาติเช่น อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ด้วย

ในแวดวงวิชาการมีชาวคริสต์จากจีนเข้าร่วมประชุมที่ออกซ์ฟอร์ดเป็นครั้งแรกในปี 2556 ซึ่งนอกจากชาวคริสต์แล้วยังมีกลุ่มซ้ายใหม่ซึ่งเน้นแนวทางความเสมอภาค กลุ่มขงจื้อใหม่ที่ต้องการส่งเสริมแนวคิดปรัชญาดั้งเดิมของจีน กลุ่มเสรีนิยมใหม่ซึ่งมีแนวคิดเศรษฐศาสตร์แบบคลาสสิกและแนวทางการเมืองแบบเสรีนิยม พวกเขาร่วมกันร่างเอกสารที่ชื่อว่า "ฉันทามติออกซ์ฟอร์ด" ซึ่งเน้นแนวคิดที่ประเทศจีนควรมีศูนย์กลางเป็นประชาชนไม่ใช่รัฐ ควรมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และปฏิบัติอย่างสันติต่อคนกลุ่มอื่น

แต่รายงานของดิอิโคโนมิสต์วิเคราะห์ว่าเสรีภาพทางศาสนาอาจจะทำให้เกิดความย้อนแย้งซึ่งเป็นอันตรายต่อชาวคริสต์เอง คือการที่โบถส์คริสต์จะเริ่มกลายเป็นสถาบัน มีความมั่งคั่ง และจากนั้นก็จะมีการทุจริตหรือเสื่อมทรามเช่นที่เกิดขึ้นในกรุงโรมหรือในช่วงยุคกลาง และสิ่งนี้อาจจะเกิดขึ้นแล้วเล็กน้อยในหมู่นักธุรกิจของโบสถ์เวินโจว หรือในอีกทางหนึ่งศาสนาซึ่งมีความเข้มแข็งเพราะถูกปราบปรามมาโดยตลอดอาจจะอ่อนแอลงเมื่อมีความอดกลั้นต่อความต่างของศาสนามากขึ้นเช่นที่ผู้สูงวัยคนหนึ่งในโบสถ์คริสต์ที่ไม่ได้รับอนุญาตจากทางการกล่าวว่า "ถ้าเรามีเสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างเต็มที่เมื่อไหร่ ศาสนาของพวกเราก็จบลงเมื่อนั้น"


เรียบเรียงจาก

Religion in China : Cracks in the atheist edifice, The Economist, 01-11-2014
http://www.economist.com/news/briefing/21629218-rapid-spread-christianity-forcing-official-rethink-religion-cracks

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เอฟทีเอ ว็อทช์ เตือนรัฐบาลทหาร อย่าหลงกลนักลงทุนสหรัฐฯ แลกการยอมรับจากต่างชาติ

0
0

(กรุงเทพฯ/ 2 พ.ย.57) ตามที่สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียนมีกำหนดการเข้าพบรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา วันจันทร์ที่ 3 พ.ย.นี้ในเวลา 9 นาฬิกา โดยกลุ่มนักธุรกิจอเมริกันดังกล่าวประกอบไปด้วยอุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมยาสูบ อุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ อุตสาหกรรมน้ำอัดลม และอุตสาหกรรมพลังงาน

นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) เชื่อว่า นักธุรกิจอเมริกันเหล่านี้จะมาล็อบบี้เพื่อล้มนโยบายสาธารณะที่ดีหลายเรื่องเพื่อแลกกับการที่ประเทศตะวันตกจะได้ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารมากขึ้น

“อุตสาหกรรมยาจะพยายามล็อบบี้ให้ไทยเพิ่มการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาให้มากและเข้มงวดมากขึ้น ทั้งการขอให้แก้ไข พรบ.สิทธิบัตร เพิ่มอายุการคุ้มครอง ให้จดสิทธิบัตรพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ให้บริษัทยาต้นแบบสามารถได้การผูกขาดข้อมูลทางยา โดยจะอ้างเรื่องเพื่อทำให้ประเทศไทยน่าลงทุนมากขึ้น ที่สำคัญนักธุรกิจเหล่านี้จะมาล้มข้อดีของ พรบ.ยาฉบับที่กำลังแก้ไขที่ระบุให้การขึ้นทะเบียนยาต้องแสดงโครงสร้างราคายาและสถานะสิทธิบัตรซึ่งจะทำให้ราคายามีความเหมาะสม และต้องการให้กรมทรัพย์สินทางปัญญายกเลิกประกาศใช้คู่มือตรวจสอบสิทธิบัตรที่ช่วยคัดกรองคำขอสิทธิบัตรที่ไม่มีคุณภาพ เพราะทำให้การได้สิทธิบัตรยาผูกขาดทำไม่ได้ง่ายๆ ซึ่งที่ผ่านมาพวกนี้ส่งคนล็อบบี้ตามหน่วยราชการต่างๆมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้จะพุ่งเป้าไปที่ผู้นำรัฐบาล เพราะทราบดีว่า กำลังแสวงหาการยอมรับจากนานาประเทศ ฉะนั้น ประเด็นเหล่านี้ต้องมีความรอบคอบ เพราะหากหลงเชื่อโดยปราศจากข้อมูลจะกระทบต่อระบบสาธารณสุขของไทยอย่างรุนแรง”

ผู้ประสานงานเอฟทีเอ ว็อชท์ยังเชื่อว่า สภานักธุรกิจสหรัฐฯจะพยายามล็อบบี้ให้ไทยเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค หรือ TPP ซึ่งขณะนี้เป็นประเด็นที่ทำให้เกิดการประท้วงในหลายประเทศสมาชิก เพราะในความตกลง TPP จะครอบคลุมทุกประเด็นที่จะทำให้ยาต้นแบบผูกขาดได้เจ้าเดียวไร้คู่แข่ง และไม่อนุญาตให้มีการต่อรองราคายา ที่สำคัญยังให้สิทธินักลงทุนต่างชาติฟ้องล้มออกนโยบายสาธารณะที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐได้ ผ่านอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เช่นที่ขณะนี้ระเบียบซองบุหรี่สีเดียวของออสเตรเลียถูกอุตสาหกรรมยาสูบฟ้องให้ยกเลิกและเรียกค่าเสียหายนับพันล้านดอลลาร์อยู่ในขณะนี้

“นักธุรกิจสหรัฐฯทราบดีว่า รัฐบาลทหารต้องการการยอมรับจากต่างชาติ จึงอาศัยช่วงจังหวะเช่นนี้ในการกดดัน จะเห็นได้จากประสบการณ์ในอดีต รัฐบาลสมัยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ปี 2535 แก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร ยอมรับสิทธิบัตรยาตามแรงกดดันของสหรัฐฯก่อนหน้าที่ไทยต้องทำตามองค์การการค้าโลกถึง 8 ปี ทำให้ราคายาในประเทศไทยมีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับจีดีพี รัฐบาลสมัยของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ปี 2551 เร่งรีบลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด ไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) เพื่อให้ญี่ปุ่นยอมรับ คมช.โดยไม่ใส่ใจว่า ความตกลงดังกล่าวเปิดโอกาสให้มีการนำเข้าขยะทุกประเภทมาทิ้งในประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในปัจจุบัน เราจึงไม่อยากเห็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดเช่นที่ผ่านๆมาอีก”

รายงานข่าวแจ้งว่า สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน ที่จะเข้าพบกับรัฐบาล มีผู้บริหารมาจาก 30 บริษัท อาทิ เชฟรอน, แกล็กโซสมิทธ์ไคลน์, มี้ด จอห์นสัน, ไฟเซอร์, ฟิลลิป มอร์ริส, เดียจิโอ (อุตสาหกรรมแอลกอฮอล์) และ โคคาโคล่า เป็นต้น

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยิ่งลักษณ์เยือนสิบสองปันนา-ระบุมีข้าวเหนียวไก่ย่าง-กินอาหารเหมือนบ้านเรา

0
0

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังอยู่เมืองจีน โดยล่าสุดไปเยือนเมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนา ระบุชาวไทลื้อมีวัฒนธรรมและรากฐานภาษาคล้ายคลึงกัน มีข้าวเหนียวไก่ย่าง กินอาหารเหมือนกันทำให้รู้สึกว่าอยู่เมืองไทย และไม่ต้องใช้ล่าม

เมื่อวันที่ 1 พ.ย. คณะของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุตรชาย รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนเมืองเชียงรุ่ง เขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน ติดต่อกับชายแดนลาวและรัฐฉาน ของพม่า ตอนเหนือ

ที่มาของภาพ: เพจยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ทั้งนี้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์เฟซบุ๊คด้วยว่า "วันนี้แวะมาวัดและชมหมู่บ้านไทยลื้อของเมืองสิบสองปันนา มณฑลยูนนานหรือเมืองเชียงรุ่งของจีน ที่นี่มีวัฒนธรรมและรากฐานภาษาที่คล้ายกับล้านนา พูดไทยลื้อใช้ภาษาเหนือ มีกาแล ข้าวเหนียวไก่ย่าง อาหารเหมือนบ้านเรา ทำให้รู้สึกว่าอยู่ที่ประเทศไทย พูดเหมือนที่เชียงใหม่ไม่ต้องใช้ล่ามแปล ซึ่งมีอยู่ 5 เชียงที่พูดเหมือนกันแบบนี้คือ เชียงใหม่ เชียงราย เชียงรุ้งคือที่นี่ เชียงทอง หลวงพระบางของลาว และเชียงตุงของเมียนมาร์

สิบสองปันนาเป็นเมืองที่มีการปลูกยางและใบชาจำนวนมากมีใบชาที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้เรียกว่า"ชาผู่เออร์" คะ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมีวัดมากกว่า 500 วัดหากใครมีโอกาสอย่าลืมแวะมาเที่ยวนะคะเพราะห่างจากจังหวัดเชียงใหม่เพียง 50 นาทีเท่านั้นหากเดินทางโดยเครื่องบิน"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มาร์เวลส่งฮีโร่ต้าน 'การข่มเหงรังแก' ในการ์ตูนปีหน้า

0
0

มาร์เวลคอมิกส์ส่งตัวละครฮีโร่กลุ่ม 'อเวนเจอร์' ลงในการ์ตูนต่อต้านการข่มเหงรังแกหรือ 'bullying' ด้วยการปลอบโยนผู้ถูกรังแกและสร้างความเห็นอกเห็นใจ หวังทำให้การข่มเหงรังแกหมดไป


2 พ.ย. 2557 ค่ายการ์ตูนชื่อดังมาร์เวลคอมิกส์มีแผนการออกวางแผงหนังสือการ์ตูนต่อต้านการข่มเหงรังแก หรือ 'bullying' โดยใช้ตัวละครจากกลุ่มฮีโร่ 'อเวนเจอร์'  ในชื่อ 'Avengers: No More Bullying #1' ภายในเดือน ม.ค. ปีหน้า โดยมีตัวละครเช่นกัปตันอเมริกา, กัปตันมาร์เวล, ฮัลค์, ไอรอนแมน และแบล็กวิโดว์ พวกเขาระบุว่าฮีโร่เหล่านี้เป็นผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อคนที่ไม่สามารถต่อสู้ด้วยตัวเองได้เสมอมา และพวกเขาจะออกผจญภัยเพื่อทำให้การข่มเหงรังแกหมดไป

จากที่ก่อนหน้านี้มาร์เวลประสบความสำเร็จจากภาพปกต่อต้านการข่มเหงรังแกบนหนังสือการ์ตูนของมาร์เวลในช่วงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นเดือนแห่งการป้องกันการข่มเหงรังแกประจำชาติสหรัฐฯ ยกตัวอย่างเช่นปกการ์ตูนเรื่องฮัลค์ซึ่งเป็นภาพของตัวเอกกำลังปลอบใจเด็กที่ถูกหัวเราะเยาะเพราะตัวเล็กอยู่ข้างสนามอเมริกันฟุตบอล หรือเรื่องกัปตันอเมริกาที่ตัวเอกของเรื่องเข้าหยุดการใช้กำลังอยู่ฝ่ายเดียวของเด็กในโรงเรียน

สำหรับซีรีส์ที่จะออกในเดือน ม.ค. มาร์เวลคอมิกส์ได้ร่วมมือกับองค์กร 'STOMP Out Bullying' ซึ่งเป็นองค์กรป้องกันไม่ให้มีการข่มเหงรังแกรวมถึงการรังแกผ่านอินเทอร์เน็ตในเด็กและวัยรุ่น วิธีการของ STOMP เน้นการป้องกันปัญหาและการให้การศึกษาซึ่งมาร์เวลได้แสดงให้เห็นความพยายามในด้านนี้โดยการนำเสนอภาพฮีโร่ที่มีบทบาทส่งเสริมแทนบทบาทที่ใช้ความรุนแรง

แอ็กเซล อลอนโซ หัวหน้าบรรณาธิการของมาร์เวลกล่าวว่าเรื่องในการ์ตูนมาร์เวลมักจะเน้นการต่อสู้ไม่รู้จบระหว่างความดีกับความชั่ว ซึ่งมีซูเปอร์ฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากที่ต้องเผชิญกับการข่มเหงรังแกและสามารถฝ่าฟันจนอยู่เหนือมันได้

การฝ่าฟันจนอยู่เหนือการถูกข่มเหงรังแกได้ปรากฏในภาพปก 'Avengers: No More Bullying' ซึ่งวาดโดยปาสคาล แคมเปียน แสดงให้เห็นฮีโร่ซึ่งไม่ได้ต่อต้านการข่มเหงรังแกด้วยการใช้กำลังแต่ใช้วิธีการปลอบใจคนที่ถูกรังแก ซึ่งนิตยสารเยสแม็กกาซีนระบุว่า "นี่คืออาวุธประสิทธิภาพสูงซึ่งใช้เผชิญหน้ากับวิกฤติการข่มเหงรังแก นั่นคือความรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งปรากฏตามหน้าปกการ์ตูนฉบับเดือน ต.ค. ด้วย"

เรียบเรียงจาก

The Avengers Join Guardians of the Galaxy and Other Marvel Heroes to Make Bullying History, Yes! Magazine, 30-10-2014
http://www.yesmagazine.org/happiness/superheroes-fight-against-bullying-in-new-comic-book-to-be-released-by-marvel

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย : 'ประวัติศาสตร์สุโขทัย' ความสุขที่เพิ่งสร้าง (1)

0
0

 

หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ พบกับ ‘อรรถ บุนนาค’ และพิธีกรรับเชิญ ‘ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์’ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาคุยกันในประเด็นประวัติศาสตร์สุโขทัยที่ถูกสร้างขึ้นมาในยุคหลังให้เป็นประวัติศาสตร์แห่งชาติ

ความรับรู้ของสังคมไทยต่อสุโขทัยในอดีตกาล มักเป็นภาพของรัฐโบราณที่มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งอำนาจการปกครอง การค้า และพุทธศาสนา โดยมีมโนทัศน์หรือกรอบการมองแบบรัฐ-ชาติสมัยใหม่ไปทำความเข้าใจหรืออธิบายสุโขทัยยุคโบราณ และมีความพยายามผนวกเอาสุโขทัยในอดีตเข้าเป็นกำเนิดของประเทศไทยปัจจุบัน ที่สืบสายต่อเนื่องมายังอาณาจักรอยุธยา และรัตนโกสินทร์ กระทั่งเข้าสู่ยุครัฐ-ชาติสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5

คลิกไลค์เพื่อติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ facebook.com/maihetpraphetthai
 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พระสุเทพกับสวนโมกข์

0
0

 

หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 สุเทพ เทือกสุบรรณ เข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุอย่างกะทันหัน จากนั้นจึงเดินทางไปจำพรรษาที่สวนโมกขพลารามในทันที ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยจากสาธารณชนถึงสาเหตุของการบวชในครั้งนี้  พระสุเทพยืนยันว่าเขาปรารถนาจะเว้นวรรคกิจกรรมทางการเมือง เพื่อใช้เวลาแสวงหาความสงบและศึกษาพระธรรม ไม่ได้บวชเพราะเหตุผลทางการเมืองอย่างที่หลายคนตั้งข้อสันนิษฐาน

กระนั้นคำถามในทางพระวินัยยังคงมีอยู่ว่า ไฉนบุคคลผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตาย ขณะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและผอ.ศอฉ. ระหว่างเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 53 จึงได้รับการอนุญาตให้บวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาได้

สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นนักการเมืองที่มีความใกล้ชิดกับสวนโมกขพลารามมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยความที่เป็นคนใต้และมีฐานเสียงอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี สุเทพกับครอบครัวจึงมักเดินทางแวะเวียนมาที่วัดแทบจะทุกปีและเป็นที่รู้จักดีในหมู่พระผู้ใหญ่ของสวนโมกข์ จึงไม่น่าแปลกใจที่พระสุเทพจะถือเป็นพระบวชใหม่วีไอพี ไม่ได้มีสถานะเป็นพระนวกะอย่างพระรูปอื่นๆ ที่เลือกมาจำพรรษาที่นี่

ในช่วงแรกของการบวช พระสุเทพยังคงต้องเดินทางไปให้การในชั้นศาล ภาพที่เห็นคืออดีต ผอ.ศอฉ. ในชุดจีวร เดินเคียงคู่มากับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเพื่อนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ไกลจากกลุ่มสหายทางการเมืองของเขา ปรากฏภาพพระครูใบฎีกามณเฑียร หรือหลวงพี่จ้อย พระมหาเถระของสวนโมกข์คอยทำหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยงติดตามพระสุเทพไปศาล ส่วนภายในวัด นอกเหนือจากคนขับรถ บอดี้การ์ด (ทั้งในชุดดำและชุดขาว) เฝ้าคอยอารักขา ก็ยังมีพระอาจารย์ทวี พระมหาเถระอีกรูปหนึ่งของสวนโมกข์คอยทำหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยง ยามที่พระสุเทพต้องเดินทางไปไหนมาไหน


 

พระสุเทพได้รับการต้อนรับจากสวนโมกขพลารามอย่างอบอุ่น มีคนกล่าวว่าตั้งแต่ท่านอาจารย์พุทธทาสมรณภาพไป ก็มีช่วงเวลานี้ที่สวนโมกข์กลับมาคึกคักอีกครั้ง ในวันตักบาตรสาธิตหรืองานบุญใหญ่ประจำปี พุทธศาสนิกชนเดินทางมาร่วมงานกันแน่นขนัด ยื้อแย้งใส่บาตรพระสุเทพจนแทบเบียดกันล้ม ญาติโยมเหมารถบัสมาจากทั่วทุกสารทิศ โดยมีเป้าหมายเฉพาะยิ่งกว่าการมาฟังเทศน์ฟังธรรมหรือศึกษางานท่านอาจารย์พุทธทาส  นั่นคือการมากราบและถ่ายรูปกับ “หลวงลุงกำนัน”

จากไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ที่สุเทพ เทือกสุบรรณ เดินสายปลุกมวลมหาประชาชนให้ลุกฮือขับไล่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งและเรียกร้องให้ทหารออกมาทำการปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อภารกิจทางโลกสำเร็จเสร็จสิ้น เขาก็หันมาสู่ภารกิจทางธรรม พระสุเทพกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้เข้าวัดปฏิบัติธรรมอย่างที่ไม่อาจหาใครมีบารมีเทียมเท่า เพียงไม่กี่เดือนที่บวชเป็นพระ เขาได้เขียนจดหมายหลายฉบับเชิญชวน “ญาติโยม กปปส.” มาร่วมปฏิบัติธรรมกับเขาที่สวนโมกข์นานาชาติและสถานปฏิบัติธรรมบนเกาะสมุย สร้างกระแสให้แก่การปฏิบัติธรรมตามแนวทางอานาปานสติอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทว่ากลับไม่มีใครในสวนโมกข์กล้าลุกขึ้นมาทักท้วงว่า การเชิญชวนแต่เฉพาะญาติโยมกลุ่ม กปปส. นั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับความเป็นพระ และเป็นมติที่สังฆะสวนโมกข์เห็นพ้องต้องกันว่าสมควรแล้วจริงๆ หรือไม่?

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ พระสุเทพยังเดินหน้าสร้างผลงานผลักดันนโยบายด้านการศาสนาอย่างที่ไม่มีพระรูปใดในสวนโมกข์แม้แต่ท่านอาจารย์พุทธทาสกล้าทำมาก่อน พระนวกะรูปนี้ดำริให้มีโครงการอุปสมบทหมู่ถวายเป็นพระราชกุศล ถึงสองรุ่นภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน แต่ละรุ่นมีผู้เข้าร่วมอุปสมบทกว่าร้อยคน โดยมีการประสานงานกับทางเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้มาร่วมเป็นประธานพิธีอุปสมบทดังกล่าวด้วย

เพียงแค่การที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ นักการเมืองผู้เจนจัด ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เปลี่ยนสถานะของตัวเองมาเป็นแกนนำม็อบ กปปส. ผู้คนจำนวนหนึ่งก็เชื่อว่าเขาไม่ใช่นักการเมืองอีกต่อไป และเชิดชูให้ “ลุงกำนัน” กลายเป็นวีรบุรุษผู้นำการปฏิวัติประชาชน  และเพียงแค่เขา เปลี่ยนสถานะตัวเองมาเป็นสมมติสงฆ์เพียงไม่กี่เดือน ผู้คนจำนวนนั้นก็พร้อมจะเชื่อถือและยกย่อง “หลวงลุงกำนัน” ราวกับเป็นพระอริยเจ้า ปกนิตยสาร LIPS ฉบับล่าสุด ฉายภาพพระสุเทพในจริยวัตรอันงามงด เยื้อย่างอยู่ในสวนโมกข์นานาชาติ โดยมีดอกสาละบานสะพรั่งเป็นฉากหลัง พร้อมคำโปรย “ปภากโร แสงสว่างแห่งปัญญา” เพียงเวลาไม่นาน สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวที่สุดคนหนึ่ง สามารถถูกชุบตัวให้กลายเป็นอริยบุคคลผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยผ้าเหลือง ...และโดยสวนโมกข์... ราวกับเล่นแร่แปรธาตุ ราวกับเสกสังกะสีให้เป็นทองคำ

ความที่เขาสั่งสมประสบการณ์ทางการเมืองระดับชาติมาอย่างโชกโชน สุเทพ เทือกสุบรรณ สามารถหาช่องทางต่อรองผลประโยชน์ในพื้นที่ทางการเมืองของศาสนาได้ไม่ยาก พระสุเทพได้กลายเป็นต้นแบบของพระนักการเมือง ซึ่งใช้ช่วงเวลาระหว่างการอุปสมบทในการรักษาฐานมวลชนของตนโดยใช้สวนโมกขพลารามเป็นฐานที่มั่น สร้างความสับสนจนยากจะแยะแยะข้อแตกต่างระหว่างศรัทธาต่อลุงกำนันกับศรัทธาต่อหลวงลุงกำนัน บารมีในทางโลกกับบารมีในทางธรรม มวลชนทางการเมืองกับผู้เลื่อมใสในพระศาสนา กระทั่งการเผยแผ่ศาสนากับการหาเสียง...  

พระสุเทพกำลังใช้สวนโมกข์เป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือสวนโมกข์กำลังใช้พระสุเทพเป็นเครื่องมือทางการเมืองอยู่กันแน่? เป็นไปได้หรือไม่ ที่ทั้งพระสุเทพและพระในสวนโมกข์ต่างก็ได้รับผลประโยชน์ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างต้องการรักษาและขยายฐานของผู้มีจิตศรัทธา โดยมีเส้นแบ่งระหว่างทางโลกกับทางธรรมอยู่เพียงบางๆ เท่านั้น


หากพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ พระสุเทพจะได้รับอภิสิทธิเหนือพระนวกะรูปอื่นๆ อย่างที่เป็นอยู่หรือไม่? หากพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ พระสุเทพจะกล้าเชิญชวนญาติโยม เฉพาะฝั่ง กปปส. มาเข้าวัดปฏิบัติธรรมหรือไม่? หากพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ พระสุเทพจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นเทศน์ อบรมสั่งสอนญาติโยมบนลานหินโค้งหรือไม่? หากพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะยอมให้มีการจัดอุปสมบทหมู่เสมือนพิธีการอันปราศจากแก่นสารเช่นนั้นหรือไม่?

สวนโมกขพลารามกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ จิตวิญญาณและอุดมการณ์ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้วางรากฐานไว้ทำให้วัดแห่งนี้เป็นสถานที่อันมีอิสระปัญญาและไม่เคยตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของคนกลุ่มใดได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองท้องถิ่น คณะสงฆ์ของรัฐ หรือระบบเส้นสายหลายมาตรฐาน แต่นับวันสวนโมกข์ดูจะกลายสภาพเป็นวัดธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีจุดยืน อุดมการณ์ หรือแสงสว่างทางปัญญาใดๆ ให้แก่สังคมอีกต่อไป ยิ่งเจ้าอาวาสและคณะผู้บริหารวัดชุดใหม่ เลือกที่จะแยกวัดออกจากธรรมทานมูลนิธิ แล้วกลับเข้าสู่โครงสร้างการปกครองภายใต้คณะสงฆ์ของรัฐอย่างเต็มตัว ก็ยิ่งเห็นได้ชัดถึงการสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองและจุดยืนทางโลกุตรธรรมของสวนโมกข์


“พระสุเทพกับสวนโมกข์” นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของสังฆะสวนโมกข์ในปัจจุบันแล้ว ยังเป็นปรากฏการณ์ที่จะถูกจดจำในฐานะส่วนสำคัญของของประวัติศาสตร์การเมืองไทย เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นการเมืองอย่างยิ่งของพุทธศาสนาไทยภายใต้อุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ “พุทธศาสนาที่ไม่ (ควร) เกี่ยวข้องกับการเมือง” ทว่าในความเป็นจริง อะไรก็ตามที่ลอยตัวอยู่เหนือเกมการเมืองในระบอบประชาธิปไตยได้ ย่อมหมายความว่าอำนาจนั้นมีอิทธิพลและความเป็นการเมืองอยู่ข้างหลังฉากอย่างเหนือชั้นยิ่งยวด

อย่างที่สุเทพ เทือกสุบรรณแสดงให้เห็นถึงทักษะการห้อยโหนอำนาจนั้นอย่างหาตัวจับยาก ไม่ว่าจะเป็นในทางโลกหรือทางธรรม ไม่ว่าจะเป็นในความเป็นนักการเมืองหรือความเป็นพระ ไม่ว่าจะเล่นการเมืองหรือเล่นกับศรัทธาทางศาสนา เขาสามารถแสดงบทบาท กะล่อนลื่นไหล ได้อย่างกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว ครอบงำและกระชับทุกพื้นที่ความเป็นธรรม ดึงมวลชนมารับใช้ “การเมืองแบบพระ” ได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ

 
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 57985 articles
Browse latest View live