Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 58138 articles
Browse latest View live

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เชื่อ 'ชูสามนิ้ว' บงการมาจากต่างแดน

$
0
0

สาธิต ปิตุเตชะ ระบุว่าไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ แต่พฤติกรรมกลุ่มชููสามนิ้วต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นการก่อกวน ไม่ใช้สติแก้ปัญหา เหมือนมีผู้อยู่เบื้องหลังกำหนดแผนให้ทำ เป็นวิธีการเดียวกับที่อภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ถูกกระทำตอนเป็นรัฐบาล พร้อมแนะนักศึกษาไปต้านคนโกงชาวนาดีกว่า

ที่มา: เพจสาธิต ปิตุเตชะ

20 พ.ย. 2557 - เมื่อวันที่ 20 พ.ย. เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ เผยแพร่ความเห็นของ สาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊คของเขา มีรายละเอียดดังนี้

000

"ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการปฏิวัติ แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกแบบนี้"

"ผมคนหนึ่งละไม่เคยไดัประโยชน์จากการปฏิวัติ ไม่เคยคิดว่าการปฏิวัติจะแก้ปัญหาประเทศได้ และก็มีหลายสิ่ง หลายนโยบาย หรือการบริหาร การแก้ปัญหา ผมก็ยังมีความเห็นต่างอยู่อย่างมาก

แต่พฤตืกรรมที่น้องๆทำวันนี้ต่อหน้าการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีผมเห็นว่ามันเป็นการใช้อารมณ์ ก่อกวน สร้างกระแสและดิสเครดิต ไม่ได้ใช้สติในการแก้ปัญหา

และที่สำคัญเหมือนมีคนอยู่เบื้องหลังกำหนดแผนให้ทำ เพราะวิธีการมันเหมือนกับท่านอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ถูกกระทำ ตลอดเวลาตอนเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ดูเหมือนเป็นธรรมชาติ เกิดขึ้นเองแต่พอไปสืบดูอย่างลึกๆ หรือเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งก็จะรู้ว่ามันถูก "setting" จากทีมของต่างแดนทั้งสิ้น

รัฐบาลก็ควรตระหนักใหัดีว่านี่ไงความร้ายกาจของ ระบอบนี้ มันทำทุกอย่างทำลายทุกคน เพื่อประโยชน์ตัวเองมันไม่สนหรอกว่าจะคุยกันใว้อย่างไร เห็นและเจอมาแล้วด้วยตัวเองยังจะไปมีเมตตาโดยใช้คำว่า ปรองดอง ขอโทษครับ ปรองดองต้องแยกให้ชัดว่ามันไม่เกี่ยวกับความผิดกับความเลว

อ้อ!!!ลืมบอกน้องผู้กล้าทั้งหลายว่าพี่จะขอบคุณมาก ถ้าใช้ความกล้ากับการไปต่อต้านการโกงชาวนา โกงประเทศทำให้ประเทศมีหนี้เกือบเจ็ดแสนล้าน ทำให้น้องกับพ่อแม่น้องและคนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับหนี้ไปอีก 30 ปี"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสทช. ตั้งคณะทำงานตรวจสอบคุณภาพโครงข่ายดิจิตอลทีวี

$
0
0

วานนี้ (19 พ.ย.57) ณ หอประชุมชั้น 1 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ และนายธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ กสทช. ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ร่วมเป็นประธานการประชุม เรื่อง การหารือแนวทางแก้ไขผลกระทบจากปัญหาการขยายโครงข่ายโทรทัศน์ ประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล โดยมีผู้ประกอบกิจการดิจิตอลทีวี 24 ช่อง และผู้ให้บริการโครงข่ายดิจิตอลทีวี (MUX) ทั้ง 4 ราย เข้าร่วมการประชุม

นางสาวสุภิญญา กล่าวถึงบรรยากาศการประชุมครั้งนี้เป็นไปอย่างเข้มข้น ได้มีข้อสรุปร่วมกันว่า สำนักงานจะตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบคุณภาพของโครงข่ายทั้งด้านความครอบคลุมของสัญญาณและด้านคุณภาพ คณะทำงานจะประกอบด้วย ตัวแทนช่องดิจิตอลทีวีที่เป็นผู้จ้างโครงข่าย ตัวแทนโครงข่ายฯ ตลอดจนนักวิชาการด้านวิศวกรรม พร้อมด้วยสำนักงาน กสทช. จะร่วมกันลงพื้นที่ตรวจวัดประสิทธิภาพของโครงข่ายในแต่ละพื้นที่ แล้วร่วมกันประเมินว่าตรงกับข้อมูลแผนการคำนวณ การจัดทำพื้นที่ครอบคลุมสัญญาณและจำนวนครัวเรือนที่ครอบคลุม ที่อาศัยซอฟต์แวร์แบบจำลองการแพร่กระจายคลื่น (simulation) หรือไม่ หากพบว่าไม่ตรง ผู้ให้บริการโครงข่ายต้องมีส่วนรับผิดชอบแก้ไข เยียวยาต่อไป ทั้งนี้ในระหว่างการประชุม นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ได้เข้าร่วมการประชุมและรับทราบแนวทางการตั้งคณะทำงานเรื่องนี้ต่อไป

นายธวัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงข่ายที่ล่าช้าไม่เป็นไปตามแผน ต้องขอความช่วยเหลือจากโครงข่ายที่พร้อมมากกว่า หรือ คือการให้ MUX ทั้ง 4 ราย แก้ปัญหาร่วมกัน ส่วนเรื่องของมาตรการลงโทษทางปกครองกับผู้ให้บริการ MUX นั้น จะเกิดขึ้นหากผู้ประกอบการไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน ส่วนการเปิดโอกาสให้รายใหม่เข้ามาแข่งขันนั้น จะเป็นทางเลือกสุดท้ายหากผู้ให้บริการ หรือผู้รับใบอนุญาตโครงข่ายรายเดิมไม่สามารถดำเนินการได้

“คลื่นเป็นสิทธิของช่องทีวีที่เป็นผู้ประมูลได้รับใบอนุญาต 15 ปี ส่วนภาครัฐที่เป็นผู้ให้บริการโครงข่ายฯ เปรียบเหมือนผู้วางรางรถไฟให้คลื่นวิ่ง ถ้ารางไม่พร้อมคนใช้คลื่นก็เสียสิทธิ ทั้ง กสทช. และ ผู้ให้บริการโครงข่ายต้องมีส่วนร่วมแก้ปัญหาและรับผิดชอบ” นางสาวสุภิญญา กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปธ.กสม. ชี้ น.ศ.ชู 3 นิ้ว เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทำได้ ยันไม่เห็นด้วยกับ รปห.-อัยการศึก

$
0
0

‘อมรา พงศาพิชญ์’ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ชี้ นักศึกษากลุ่มดาวดิน 5 คน ที่ชู 3 นิ้ว ต่อต้านรัฐประหาร เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สามารถกระทำได้ ยันไม่เห็นด้วยกับการประกาศกฎอัยการศึก หรือการปฏิวัติใดๆ

21 พ.ย. 2557 ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ กรุงเทพฯ อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและรองประธานมูลนิธิสตรีเพื่อสันติภาพ กล่าว กรณีการประกาศใช้กฎอัยการศึกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า ในฐานะที่ดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชนว่า เคยชี้แจงและแจ้งไปแล้วว่าจุดยืนนั้นไม่เห็นด้วยกับการประกาศกฎอัยการศึก หรือการปฏิวัติใดๆ ก็แล้วแต่ ซึ่งหากรัฐบาล หรือ คสช. ยืนยันว่ามีความจำเป็นต้องใช้กฎอัยการศึก ต้องอธิบายต่อสังคม และประชาชนให้ได้

ต่อกรณีนักศึกษากลุ่มดาวดิน 5 คน ที่ชู 3 นิ้ว ต่อต้านรัฐประหารและถูกควบคุมตัวไปนั้น  ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ เห็นว่าการแสดงออกของกลุ่มนักศึกษาถือเป็นสิทธิในการแสดงออก ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สามารถกระทำได้ แต่ถ้าหากรัฐบาล หรือ คสช.เห็นว่าการแสดงออกนั้นขัดกับกฎอัยการศึก ก็จะต้องอธิบายให้สังคมเข้าใจชัดเจนเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ตนเชื่อว่า จะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวอีกหลายครั้ง เนื่องจากมีกลุ่มคนที่ต้องการแสดงออก และต้องการเรียกร้องสิทธิ ถือเป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องต่อสู้กันไป ซึ่งเป็นการสู้กันทางวาทกรรม ทางความคิด และถือเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้

นอกจากนี้ยังมองว่าประเทศไทยยังมีปัญหาในเรื่องความรุนแรงต้องสร้างความตระหนักรู้การที่ผู้หญิงไม่ทราบว่าถูกกระทำเป็นปัญหาใหญ่และเป็นปัญหาที่สังคมมองข้ามทั้งนี้ยังเห็นว่า การที่ประเทศไทยถูกจัดอันดับการใช้ความรุนแรงอยู่ในอันดับต้นๆ ส่วนหนึ่งมาจากสื่อมวลชนที่พยายามขยายความ รวมทั้งปัญหาของการกระบวนการเก็บข้อมูลขององค์กรระหว่างประเทศ เพราะบางทีการรวบรวมข้อมูลยังไม่ลึกพอและบางประเทศไม่ได้ส่งข้อมูลสถิติให้องค์กรที่เก็บข้อมูล

อย่างไรก็ตามปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อสังคมผู้หญิงยังมีกระบวนการอีกหลายขั้นตอนอาจรวมไปถึงการแก้จิตสำนึกกฎหมาย หลักปฏิบัติ โดยส่วนตัวกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไม่สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสตรีได้ภายในเวลา 1 ปี ซึ่งเป็นกระบวนการต้องดำเนินการต่อเนื่องทำให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอาจจะต้องยืดเวลาในการปฏิบัติหน้าที่

เรียบเรียงจาก มติชนออนไลน์,เดลินิวส์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทูตสหราชอาณาจักรขอ พล.อ.ประยุทธ์ คืนประชาธิปไตยภายในปี 2558

$
0
0

มาร์ค เคนท์ ทูตสหราชอาณาจักรเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยขอให้รักษาสัญญาที่จะคืนประชาธิปไตยภายในปี 2558 และเคารพสิทธิมนุษยชน พร้อมหารือเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและรักษาบรรยากาศการทำธุรกิจ และขอความเชื่อมั่นว่าการลงทุนของต่างประเทศจะไม่ได้รับผลเสียหายจากกฎหมายใหม่บางฉบับ

มาร์ค แอนดรูว์ เจฟฟรี เคนต์ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

21 พ.ย. 2557 - เมื่อวานนี้ (20 พ.ย.) เพจ UK in Thailandเผยแพร่ข่าว มาร์ค แอนดรูว์ เจฟฟรี เคนต์ หรือ มาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. มีรายละเอียดดังนี้

"วันนี้ มร. มาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยเข้าพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือในประเด็นต่างๆ เอกอัครราชทูตอังกฤษได้ขอให้พลเอกประยุทธ์รักษาสัญญาที่จะคืนประชาธิปไตยสู่ประเทศไทยภายในปี 2558 และที่จะคงไว้ซึ่งการเคารพในสิทธิมนุษยชน

มร. มาร์ค เคนท์ ยังได้ยกประเด็นเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและความสำคัญของการรักษาบรรยากาศในการทำธุรกิจที่เปิดกว้าง เป็นธรรม และโปร่งใสสำหรับนักลงทุน และยังได้ขอความเชื่อมั่นว่าการลงทุนในประเทศไทยทั้งจากสหราชอาณาจักรและจากประเทศอื่นๆ จะไม่ได้รับผลเสียหายจากกฎหมายใหม่บางฉบับ

มร. มาร์ค เคนท์ ยังได้ย้ำว่า สหราชอาณาจักรพร้อมที่จะทำงานร่วมกับกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ของไทย ตลอดจนภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในด้านต่างๆ ในข้างต้นและในด้านอื่นๆ ที่สหราชอาณาจักรและประเทศไทยมีความสนใจร่วมกัน"

 

 

ที่มา: Twitter/UK in Thailand

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แสงสว่างกับการวิ่งออกกำลังกายบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองในเวลากลางคืน

$
0
0


การวิ่งออกกำลังกายถือเป็นกิจกรรมนันทนาการภายนอกอาคารอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุมชนเมืองได้สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจ การวิ่งยังเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่สามารถทำร่วมกันได้เป็นหมู่คณะ ซึ่งไม่เพียงจะเป็นการเสริมสร้างความสามัคคีของกลุ่มบุคคลผู้ที่สนใจในกิจกรรมการวิ่งเหมือนๆ กันแล้ว การวิ่งเองยังกลายมาเป็นกิจกรรมกีฬาอย่างหนึ่ง ที่อาจถูกจัดขึ้นในรูปแบบของกิจกรรมกีฬาในบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองได้อีกด้วย เช่น การแข่งขันวิ่งมาราธอนในระยะทางต่างๆ เป็นต้น

การวิ่งออกกำลังกายในพื้นที่ชุมชนเมืองนั้นสามารถทำได้ไม่จำกัดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในช่วงระหว่างเวลากลางวันหรือช่วงเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตกและเวลากลางคืนหรือช่วงเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น ทั้งนี้ บุคคลแต่ละคนสามารถเลือกเวลาที่จะวิ่งออกกำลังกายในพื้นที่ชุมชนเมืองได้ ตามรสนิยมส่วนบุคคลและปัจจัยต่างๆ ที่สนับสนุนให้บุคคลแต่ละคนจะเลือกเวลาในการวิ่งออกกำลัง เช่น หากบุคคลนั้นเป็นผู้ใช้แรงงานในตลาดแรงงานที่ต้องทำงานในช่วงเวลากลางวัน ก็สามารถเลือกที่จะใช้เวลาวิ่งออกกำลังในเวลากลางคืนได้ อันถือเป็นช่วงเวลาที่ตนว่างเว้นจากการทำงาน เป็นต้น

การวิ่งออกกำลังกายในเวลากลางวันและเวลากลางคืนก็ย่อมต้องอาศัยสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่รัฐ หน่วยงานของรัฐและท้องถิ่นจัดเอาไว้ให้พื้นที่ชุมชนเมือง ไม่ว่าจะเป็นทางเดินเท้าในพื้นที่ชุมชนเมือง สวนสาธารณะ พื้นที่โล่งในชุมชนเมืองและสนามกีฬาสาธารณะ รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อันเป็นปัจจัยที่ทำให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลต่างๆ หันมาวิ่งออกกำลังในบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองอีกด้วย เช่น แนวต้นไม้สีเขียว (Green Corridor) ที่ถูกปลูกขนานไปกับทางเท้าในบริเวณพื้นที่ชุมชนเมือง ที่ทำให้ผู้วิ่งออกกำลังกายในพื้นที่ชุมชนเมืองเกิดความร่มรื่นในช่วงเวลาที่วิ่งออกกำลัง เป็นต้น

อนึ่ง การวิ่งออกกำลังกายในเวลากลางวัน ผู้วิ่งในบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองอาจได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติหรือแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ที่เพียงพอต่อการมองเห็นวัตถุต่างๆ ในช่วงเวลาที่ตนวิ่งอยู่ในพื้นที่ชุมชนเมือง ทำให้ผู้วิ่งในบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองสามารถมองเห็นเส้นทางหรือมองเห็นวัตถุต่างๆ ได้ชัดเจน ทำให้ผู้วิ่งสามารถสังเกตเส้นทางวิ่งหรือวัตถุต่างๆ ที่อยู่บนเส้นทางวิ่งได้ชัดเจนในเวลากลางวัน อันเป็นการลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการสะดุดหรือหกล้ม รวมไปถึงวิ่งชนวัตถุต่างๆ ในทางตรงกันข้าม หากผู้วิ่งเลือกที่จะวิ่งออกกำลังกายบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองในเวลากลางคืน ผู้วิ่งย่อมต้องอาศัยแสงประดิษฐ์ภายนอกอาคาร (outdoor artificial light) ได้แก่ ไฟส่องสว่างสาธารณะ ไฟรักษาความปลอดภัย ไฟถนน ไฟป้ายโฆษณา ไฟสนามกีฬา และแสงไฟอื่นๆ ที่ส่องมายังบริเวณเส้นทางวิ่ง ทำให้ผู้วิ่งสามารถวิ่งสามารถวิ่งในพื้นที่ชุมชนเมืองได้เสมือนว่าเป็นเวลากลางวัน ซึ่งทำให้ผู้วิ่งได้รับแสงสว่างในการวิ่ง ทำให้ผู้วิ่งสามารถมองเห็นเส้นทางได้ในเวลากลางคืน มองเห็นวัตถุต่างๆ ในเส้นทางวิ่ง อันทำให้ผู้วิ่งสามารถหลบหลีกจากสิ่งกีดขวางและสามารถระมัดระวังไม่ให้ตนเองสะดุดหกล้มไปได้ นอกจากนี้ ผู้วิ่งออกกำลังกายในเวลากลางคืนยังอาจต้องการแสงสว่างในเวลากลางคืนในการสังเกตการก่อเหตุอาชญากรรมในเวลากลางคืน ของมิจฉาชีพหรืออาชญากร รวมไปถึงผู้วิ่งอาจอาศัยแสงสว่างสังเกตการซ่อนตัวของมิจฉาชีพหรืออาชญากรที่อาจอาศัยความมืดมาอำพรางตนได้

ด้วยเหตุนี้เอง รัฐ หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องและท้องถิ่น จึงอาจมีบทบาทที่สำคัญในการจัดสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้าง (built environment) ที่ไม่เพียงจะคำนึงถึงประโยชน์ของบุคคลทั่วไปที่จำเป็นที่จะต้องใช้ไฟส่องสว่างภายนอกอาคารอันถือเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเพื่อการสัญจรด้วยวิธีการเดินเท้าในเวลากลางคืน แต่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยประชาชนที่ต้องการจะวิ่งออกกำลังกายบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองในเวลากลางคืนอีกด้วย

แม้ว่าในปัจจุบันท้องถิ่นในหลายประเทศได้พัฒนาพื้นที่ชุมชนเมืองให้มีทางเท้าที่ปลอดภัยและมีไฟส่องสว่างภายนอกอาคาร ที่รองรับการเดิน การปั่นจักรยานและการวิ่งออกกำลังกายบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองในเวลากลางคืนแล้ว แต่ทว่ายังมีหลายประเทศไม่ได้พัฒนาพื้นที่ชุมชนเมืองให้มีสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างที่รองรับการประกอบกิจกรรมภายนอกอาคารของประชาชนอย่างเหมาะสม อนึ่ง ผู้วิ่งในบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองในเวลากลางคืน ย่อมต้องการแสงสว่างที่เป็นประโยชน์ต่อกิจกรรมการวิ่งของตน (useful light) ซึ่งไฟส่องสว่างสาธารณะที่รัฐ หน่วยงานของรัฐหรือท้องถิ่นติดตั้งและออกแบบขึ้นมา ย่อมต้องมีทิศทางการส่องของแสงไปยังบริเวณเส้นทางเดินเท้า (area to be lit) ที่ผู้วิ่งใช้เป็นเส้นทางในการวิ่ง ทำให้ผู้วิ่งได้รับความสะดวกและปลอดภัยตามประโยชน์ของแสงสว่างที่ได้กล่าวมาในข้างต้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม ไฟส่องสว่างสาธารณะภายนอกอาคารที่มีการติดตั้ง (installation) อันทำให้เกิดทิศทางการส่องของแสงที่ไม่เหมาะสมหรือไฟส่องสว่างภายนอกอาคารอื่นๆ ที่มีการออกแบบ (design) ในลักษณะที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงไฟส่องสว่างที่มีปริมาณความเข้มของแสง (Light Intensity หรือมีหน่วยวัดเป็น Cd) หรือความส่องสว่างของแสง (Luminance หรือมีหน่วยวัดเป็น Cd/m2) ในลักษณะที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อการใช้เส้นทางวิ่งในเวลากลางคืน ไฟส่องสว่างสาธารณะภายนอกอาคารในลักษณะเช่นว่านี้เองก็ย่อมส่งผลกระทบในด้านลบต่อผู้วิ่งออกกำลังกายบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองในเวลากลางคืนได้

นอกจากนี้ แสงสว่างจากแหล่งกำเนิดแสงประเภทอื่นๆ ที่นอกเหนือจากไฟส่องสว่างสาธารณะ ก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้วิ่งออกกำลังกายในพื้นที่ชุมชนเมืองเวลากลางคืนได้ ตัวอย่างเช่น หลอดไฟซีนอนที่ผู้ขับขี่รถยนต์บางราย นำมาติดตั้งให้เป็นไฟหน้ารถยนต์ (Xenon Vehicle Rear Light) และหลอดไฟสัญญาณสัญญาณไฟวับวาบที่ติดรถฉุกเฉินทุกประเภท (Flashing lights on emergency vehicles) ย่อมก่อให้เกิดแสงสว่างจ้ามากเกินไป ที่ส่งผลให้เกิดแสงบาดตา (glare) อันเป็นอันตรายต่อสุขภาพดวงตาของนักวิ่งที่วิ่งอยู่ริมทางเดินเท้าริมถนนที่มีรถยนต์สัญจร จนอาจทำไปสู่ความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุต่อนักวิ่งที่ตาพร่าชั่วคราวจนมองไม่เห็นเส้นทางวิ่งหรือมองเส้นทางวิ่งไม่ชัด (visual discomfort) เป็นต้น

อาจมีข้อโต้แย้งบางประการว่า ในปัจจุบันมีอุปกรณ์และนวัตกรรมบางอย่างที่ช่วยให้ผู้วิ่งออกกำลังกายบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองในเวลากลางคืน มีแสงสว่างอย่างพอเพียงต่อการมองเห็นเส้นทางวิ่งในยามค่ำคืนและพอเพียงสำหรับการเสริมสร้างความปลอดภัยในเวลากลางคืน ไม่ว่าจะเป็นไฟฉายคาดหัวนักวิ่ง (running head torch) และเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์สะท้อนแสงของนั่งวิ่ง (running reflectors) แต่ไม่ใช่ผู้วิ่งออกกำลังกายบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองในเวลากลางคืนทุกคนจะมีกำลังทรัพย์ เพียงพอที่จะจัดหาอุปกรณ์สำหรับนักวิ่งอันทันสมัยเหล่านี้มาไว้ใช้สอยได้ ดังนั้น รัฐ หน่วยงานของรัฐหรือท้องถิ่นจึงควรจัดสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างในบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองให้เหมาะต่อผู้สัญจรบนทางเดินเท้าและทางจักรยาน รวมไปถึงผู้ต้องการวิ่งออกกำลังกายบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองในเวลากลางคืนด้วย เพราะทางเดินเท้าที่ดีและไฟส่องสว่างสาธารณะในลักษณะที่เหมาะสม รวมไปถึงแสงสว่างจากแหล่งกำเนิดอื่นๆ ที่เป็นมิตรต่อกิจกรรมการวิ่ง ก็ย่อมล้วนแล้วแต่ทำให้ผู้วิ่งออกกำลังกายบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองในเวลากลางคืน สามารถใช้พื้นที่ชุมชนเมืองเพื่อการวิ่งได้อย่างปลอดภัย แล้วยังเป็นการเพิ่มทางเลือกของประชาชนให้หันมาวิ่งออกกำลังในเวลากลางคืนหรือในเวลาเช้ามืดอีกทางหนึ่ง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

60 นักวิชาการแถลงคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์

$
0
0
60 นักวิชาการระบุโครงการเขื่อนแม่วงศ์ไม่สมควรได้รับการดำเนินการต่อไปและรัฐบาล กรมชลประทาน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยควรยุติการผลักดันโครงการเขื่อนแม่วงก์โดยทันที

 
21 พ.ย. 257 ตามที่รัฐบาลได้เร่งรัดผลักดันให้มีการดำเนินโครงการเขื่อนแม่วงก์ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ เขตจังหวัดนครสวรรค์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ป่าตะวันตกอีกครั้งหลังจากที่รายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)ไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมาหลายครั้งและได้รับการคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่และสาธารณชนมาโดยตลอดระยะเวลาประมาณ 20 ปีโดยคณะกรรมการผู้ชำนาญการมีกำหนดการประชุมพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (EHIA)ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ศกนี้ นั้น
 
เหล่านักวิชาการซึ่งมีรายชื่อท้ายแถลงการณ์นี้ เห็นว่าโครงการเขื่อนแม่วงศ์ไม่สมควรได้รับการดำเนินการต่อไปและรัฐบาล กรมชลประทาน รวมทั้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยควรยุติการผลักดันโครงการเขื่อนแม่วงก์โดยทันทีและตลอดไปด้วยเหตุผลเบื้องต้นโดยสรุปต่อไปนี้
 
1. โครงการเขื่อนแม่วงก์จะก่อผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของผืนป่าตะวันตกโดยรวมซึ่งหมายถึงผลกระทบต่อห่วงโซ่ความสัมพันธ์ในหมู่สัตว์และพืชในผืนป่าตะวันตกทั้งหมด และย่อมกระทบในทางตรงและทางอ้อมต่อมนุษย์ในชุมชนและสังคมวงกว้างในที่สุด การดำรงอยู่ต่อไปของผืนป่าและสัตว์ป่าในปัจจุบันหมายถึง การดำรงอยู่ของความหลากหลายทางชีวภาพที่จะประกันความอุดมสมบูรณ์และยั่งยืนของธรรมชาติที่มีคุณค่าทั้งเพื่อธรรมชาติทั้งระบบและเพื่อมนุษย์ เราเห็นว่า การพิจารณาคุณค่าในแง่มุมเหล่านี้ ไม่อาจพิจารณาอย่างผิวเผินแค่การเปรียบเทียบหรือประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจของความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับช้าง เสือ นกยูงฯลฯ หรือพืชพันธุ์ใดๆ เป็นรายชนิดหรือรายตัว แต่ต้องมองให้เห็นคุณค่าอันสูงส่งอย่างประเมินค่าไม่ได้ของระบบและวัฏจักรของชีวิตทั้งหมดที่จะเกื้อกูล สัมพันธ์และพัฒนาหนุนเนื่องต่อไปตามธรรมชาติ
 
สังคมอเมริกันเคยเรียนรู้ว่า หากย้อนเวลาได้จะไม่ตัดสินใจสร้างเขื่อนชลประทานในโครงการ Hetch Hetchy ในเขตอุทยานแห่งชาติ Yosemite National Park (แล้วเสร็จ ค.ศ. 1938) ซึ่งทำให้ที่สุดต้องทำลายเขื่อนนี้ลงแล้วปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นตัวเองขึ้นมาใหม่ซึ่งต้องใช้เวลาหลายร้อยปี ประสบการณ์ความผิดพลาดเช่นนี้เกิดขึ้นกับอีกหลายโครงการทั้งในสหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศ จนการสร้างเขื่อนกลายเป็น “ทางเลือกที่สังคมพัฒนาแล้วเขาไม่เลือก” กันแล้วในปัจจุบัน
 
2. โครงการนี้จะมีผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนที่พึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่โครงการและพื้นที่ต่อเนื่องที่จะมีการเวนคืนที่ดินและทำลายทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมากเพื่อการสร้างคลองชลประทานและถนนเป็นต้น นอกจากนี้ ยังเป็นที่ประจักษ์จากการสำรวจว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่จังหวัดนครสรรค์เองก็ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินโครงการนี้
 
3. โครงการนี้ต้องใช้งบประมาณสูงมากถึง 13,000 ล้านบาท (ตามมติของคณะรัฐมนตรีชุดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี พ.ศ.2555) แต่จะไม่มีประสิทธิผลเพียงพอในการป้องกันปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่วงก์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างเพราะจะสามารถรับน้ำได้เพียงประมาณร้อยละ 2 ของปริมาณน้ำที่เข้าสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างเมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ.2554 นอกจากนี้ ยังได้ประโยชน์ที่ต่ำมากในแง่ชลประทานที่เกษตรกรจะได้รับประโยชน์ (โดยที่ยังไม่ได้คำนวณ “มูลค่า” ความเสียหายที่เกิดจากผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และโดยเฉพาะความเสียหายที่จะกระทบต่อ “คุณค่า” ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันไม่อาจประเมินได้ดังกล่าวมาในข้อ 1)
 
4. โครงการนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมาแล้วหลายครั้งแม้แต่ในช่วงระยะเวลาภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเพราะมีปัญหาในหลายมิติ การเร่งรัดพิจารณาปัญหานี้ทั้งที่ยังมีการคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่โครงการฯ และสาธารณชน รวมทั้ง การวางแผนและดำเนินการตามแผนแม่บทเพื่อการป้องกันน้ำท่วมในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างซึ่งเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกับโครงการเขื่อนแม่วงก์เองก็ยังมีปัญหาการไม่ได้รับการยอมรับและเกิดการคัดค้านอย่างหนักหน่วงและกว้างขวางของประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างที่อาจได้รับผลกระทบ การพยายามเร่งรัดพิจารณาโครงการโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของบุคคลและชุมชนที่จะตัดสินใจที่กำหนดวิถีชีวิตและเลือกเผชิญ ไม่เผชิญหรือเผชิญอย่างไรกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิการเข้าถึงข้อมูล สิทธิการมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯย่อมหมายถึง การใช้อำนาจรัฐจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติโดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมในการจัดสรรประโยชน์และภาระ-ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชน นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงการไม่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการใช้งบประมาณของรัฐ หลักธรรมาภิบาลและหลักความโปร่งใสในการใช้อำนาจรัฐได้ด้วย
 
พวกเราหวังว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับฟังคำคัดค้าน ความเห็นและคำเรียกร้องขอพวกเรา เช่นเดียวกับการรับฟังเสียงของชุมชนในพื้นที่ที่กล่าวถึงทั้งหมดและสาธารณชน เพื่อมิให้เกิดความเสียหายที่ประเมินมิได้จากการดำเนินการโครงการนี้ของรัฐ
 
ด้วยจิตคารวะ
20 พฤศจิกายน 2557
 
รศ.ดร. สุวินัย ภรณวลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รศ.ดร.ชวินทร์  ลีนะบรรจง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อ.ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.ตระกูล มีชัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผศ.ธีระชน พลโยธา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.ปานพิมพ์ เชื้อพลากิจ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.อัจศรา ประเสริฐสิน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.ประกฤติยา ทักษิโณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
อาจารย์ ดร.เสกสรรค์  ทองคำบรรจง  มหาวิทยาลัยบูรพา
รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คงสม  มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
อาจารย์ อิงอร ไชยเยศ  มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
รศ.ดร.ดุสิต เวชกิจ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
อาจารย์ ปริชาติ ดิษฐกิจ  มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
รศ.ดร สัจจา บรรจงศิริ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
รศ.วราภรณ์ อุปลาคม มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
รศ.ดร.สมัครสมร ภักดีเทวา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
อาจารย์ วิลาวัลย์ ศิลปศร มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
อาจารย์ ศิริลักษณ์ นามวงศ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
อาจารย์ ดร.จรรยา สิงห์คำ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ผศ.ดร.ปัณฉัตร หมอยาดี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
อาจารย์วริณาฐ  พิทักษ์วงศ์วาน  มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ผศ.ดร.สุภาภรณ์ศรีดี  มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ผศ.ดร.คมสัน มาลีสี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
อาจารย์ ดร. อนุสรณ์ ศรีแก้ว มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ บุญส่ง ชเลธร  มหาวิทยาลัยรังสิต
ผศ.ดร.ลักษณา แสงแก้ว มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ ดร.บุปผา บุญสมสุข มหาวิทยาลัยรังสิต
ผศ.ดร.ดวงทิพย์ เจริญรุกข์ มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ ดร.อนิก ทวิชาชาติ  มหาวิทยาลัยรังสิต
ผศ.เธียรชัย อิศรเดช  มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ ดร.ฉลองรัฐ เฌอมาลย์มารค  มหาวิทยาลัยรังสิต
ผศ.สิริทิพย์ ขันสุวรรณ  มหาวิทยาลัยรังสิต
ผศ.พิมณัฐชยา สัจจาศิลป์   มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์วีรวัฒน์ อำพันสุข  มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ปฏินันท์ สันติเมธนีดล มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ วรวุฒิ  อ่อนน่วม  มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ ธิราภรณ์ กลิ่นสุคนธ์ มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ พิทักษ์ ชูมงคล  มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ ฐิติ พิทยสรณะ  มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์คมสัน โพธิ์คง  มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ นิดาวรรณ เพราะสุนทร มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ ดร.ชุลีรัตน์ เจริญพร   มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ สุริยะใส กตะศิลา มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ศาสตรา โตอ่อน มหาวิทยาลัยรังสิต
อาจารย์ บูชิตา แสงแก้ว มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต
อาจารย์พัทธ์ธีรา นาคอุไร มหาวิทยาลัยมหิดล
อาจารย์อนินทร์ พุฒิโชต มหาวิทยาลัยทักษิณ
อาจารย์กนกวรรณ สุทธิพร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม
อาจารย์ ณัฐพล อมรทัต  มหาวิทยาลัยสยาม
อาจารย์ สมคะเน  วรวิวัฒน์   มหาวิทยาลัยสยาม
อาจารย์ มนต์ศักดิ์  เกษศิรินทร์เทพ มหาวิทยาลัยสยาม
อาจารย์ศักดิ์ณรงค์ มงคล   นักวิชาการอิสระ
นางสาวณัฏฐ์ชวัล  โภคาพานิชวงษ์    นักวิชาการอิสระ
อาจารย์ ชุมพล ศรีรวงทรัพย์ นักวิชาการอิสระ
นายสุวพจน์ อุปลาคม นักวิชาการอิสระ
นางอัญชลี นาควิเชตร์  นักวิชาการอิสระ
นางกมลรัตน์ ประกอบการ นักวิชาการอิสระ
นางสาวอัญชลิตา สุวรรณชฎ นักวิชาการอิสระ
อาจารย์ชรัตน์ สินธุสะอาด   นักวิชาการอิสระ
นายจุมพล หมอยาดี นักวิชาการอิสระ
นายอุรุพงษ์   สินธุสะอาด  นักวิชาการอิสระ
นางสาวเนตรดาว ณ พัทลุง  นักวิชาการอิสระ
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คุยกับแอดมินเพจ ‘The Dark Knights ll’ หลังจับเงิบ สนพ.ดัง ปมข่าวเพจ ‘อึ๊บน้องหมา’

$
0
0

สัมภาษณ์ ‘โนวิท’ แอดมินเพจ ‘The Dark Knights ll’ หลังจับเงิบ สนพ.ดัง ปมข่าวเพจ ‘อึ๊บน้องหมา’ ที่ลบในเว็บได้ แต่ลบหน้า 1 ไม่ทัน ชี้ผู้อ่านควรเลือกเสพข่าว ใช้สติอ่านทบทวน ใช้เหตุผลให้มากกว่าการใช้มโน 

หลังจากมีการรายงานข่าวของเดลินิวส์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 18 พ.ย.57 เวลา 00:00 น. พาดหัวข่าวว่า “ช็อกเพจวิปริตขายบริการ'อึ๊บน้องหมา' (URL : http://www.dailynews.co.th/Content/regional/281499/ช็อกเพจวิปริตขายบริการ_อึ๊บน้องหมา_ ) โดยระบุว่า พบผู้ใช้เฟสบุ๊ครายหนึ่ง เปิดเพจชื่อ “....รับจัดน้องสุนัขสำหรับเซ็กซ์ทางเลือก” อย่างโจ่งครึ่ม รวมถึงสัมภาษณ์ความเห็นของเลขาธิการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย ด้วย จนกระทั่งเฟซบุ๊กแฟนเพจที่ชื่อว่า ‘The Dark Knights ll’ โพสต์ชี้แจงว่าเพจดังกล่าวเป็นเพจอำหรือไม่ได้มีการขายบริการสุนัขในลักษณ์ดังกล่าวจริงๆ ในเวลา 00:34 น.ของวันเดียวกัน

The Dark Knights ll โพสต์ แจงเมื่อเวลา 00:34 น.วันที่ 18 พ.ย. 

 

ตัวอย่างข่าวดังกล่าวในเว็บไซต์ก่อนถูกลบ

 

หลังจากนั้นเว็บไซต์และเฟซบุ๊กแฟนเพจเดลินิวส์ได้ลบเนื้อหาข่าวดังกล่าวออก อย่างไรก็ตามข่าวดังกล่าวกลับปรากฏอยู่บนหน้า 1 นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา รวมทั้งมีการบันทึกหน้า URL ดังกล่าวก่อนถูกลบไว้ด้วย(ดู) รวมถึงมีรายการเล่าข่าวทางสำนักข่าวไทย โดยดึงข่าวจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ดังกล่าวมาอ่านต่อด้วย

หน้า 1 และหน้าใน นสพ.เดลินิวส์ ที่เสนอข่าวดังกล่าว ฉบับวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา

รายการเล่าข่าวทางสำนักข่าวไทย ที่ดึงข่าวดังกล่าวจากเดลินิวส์มาอ่านต่อ

จากการตรวจสอบเบื้องต้นปรากฏเฟซบุ๊กที่ใช้ชื้อ “ธาตรี....” ที่มีลักษณะคล้ายกับเพจเจ้าปัญหาดังกล่าวตำนวนมาก โดยมีการล้อเลียน ด้วยการขึ้นชื่อว่า “ธาตรี” และระบุว่าขายหรือให้บริการต่างๆ จำนวนมาก เรียกได้ว่าตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ เช่น “ธาตรี...ทำเสน่ห์ ขายน้ำมันพราย” “รับฝากเข้าทำงานราชการ โดย ธาตรี..” “ขายบัตรทรูมันนี่ราคาส่ง By ธาตรี ..” “รับปราบผีทั่วราชอาณาจักรไทย By ธาตรี..” “รับยางแผ่นกิโล 120 น้ำยางกิโล 95 By ธาตรี..” “รับทำวุฒิการศึกษาปลอม By ธาตรี..” “ขายรถถัง เรือดำน้ำ By ธาตรี..” ไปจนถึง “ทนายธาตรี ต้านเผด็จการ รับจัดตั้งม็อบ..” เป็นต้น จนมีผู้รวบรวมไว้เบื้องต้นในเพจ “ธาตรี …กรุ๊ป ผู้นำจักรวาล…”เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ประมาณ 40 กว่าธุรกิจ

หากดูอาการเงิบในโลกการเคลื่อนไหวและการสื่อสารนั้นคงไม่จำกัดเฉพาะเพียงผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิค หากแต่สื่อใหญ่ๆ นักการเมืองหรือผู้มีชื้อเสียงหลายคน ก็เคยพลาดกันมาแล้วทั้งนั้น ทั้งถูกดัก โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ(อ่านรายละเอียด : ความเงิบและ รายงาน : รวมปรากฏการณ์ ‘เงิบ’ ระแวงสักนิด ก่อนคิดจะแชร์)

ในโอกาสนี้ประชาไท จึงชวนคุยกับ ‘โนวิท’ แอดมินเพจ ‘The Dark Knights ll’ ซึ่งเป็นเพจที่ 2 หลังจากเพจแรกที่ตั้งมาเมื่อ 2 ปีก่อนถูกรีพอตลบไป โดยปัจจุบันมียอดไลค์เกือบ 160,000 แล้ว โดยมีคำอธิบายเพจว่า “ฮีโร่สามารถเป็นใครก็ได้ แม้กระทั่งผู้ชายคนหนึ่งที่ทำอะไรง่ายๆ แค่คลุมเสื้อโค้ทที่ไหล่ของเด็กชาย เพื่อจะให้เขารู้ว่า โลกยังไม่ได้ถึงจุดจบ” ถึงประเด็น ปรากฏการณ์เงิบของสื่อใหญ่ ที่มาของเพจ และมุมมองต่อการเสพสื่อ เป็นต้น

ก่อนหน้านี้มีการรายงานข่าวว่าเพจขายบริการสุนัขเจ้าปัญหานี้ เป็นเพจที่ถูกทำโดย เพจ ‘The Dark Knights ll’  เพื่อมาดัก ซึ่งประเด็นนี้ ‘โนวิท’ ยืนยันแต่ต้นว่าทางเพจไม่ได้ทำเพจดักอะไรทั้งนั้น มีคนมาลงก็แชร์ตามกันไป ไม่ได้ตั้งใจดักหรือสร้างเพจขึ้นมาเพื่อดักใคร

00000

ประชาไท : มองปรากฏการณ์เงิบของสื่อใหญ่นี้ว่าอย่างไร?

โนวิท : มองในมุมที่การคัดกรองข่าวทำไมถึงใช้เวลาน้อยและคัดกรองหยาบๆ แบบนั้นนะ แค่ค้นใน Google ก็เห็นแล้วว่า เพจขึ้นเป็นสิบๆ การตอบคำถามในเพจพวกนั้นก็กวนๆ ปั่นประสาท ผมก็โคตรงงว่ะ ว่าเอาไปลงได้ยังไง

นั่งเทียนมันไม่ได้มีผลดีกับตัวเอง พูดง่ายๆ นะ งานข่าวมีทุกสายและต้องรู้จริงสิวะว่าสายที่ตัวเองทำ แหล่งข่าวจริงเป็นยังไงมาจากไหน ถ้าจะหาข่าวจากเฟซบุ๊ก ควรจะเกาะเพจไหนก่อนแล้วค่อยๆ ตามไปถึงแหล่งข่าว พูดง่ายๆ สั้นๆ สำหรับผมไม่ให้ราคาสื่อเท่าไหร่

ทำเพจขึ้นมาเพื่ออะไร?

วัตถุประสงค์ของเพจไม่มีไรมากครับ ไม่เป็นธรรมต้องการความช่วยเหลือ ให้มาบอกช่วยได้ก็ช่วยกันไปครับ แจ้งเตือนเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่อง ค้าขายเสพติดในเฟซบุ๊ก ขายตัว ขายปืนเถื่อน จัดฟันเถื่อน ธุรกิจสีผมพวกผมจะชอบเข้าไปทำไปแฉครับ

ใครทำไม่ดี ชนแล้วหนี กร่าง ขายของผิดกฏหมาย ทำเลวระยำ ถ้าพวกผมรู้ข้อมูล ผมจะแฉ อย่าหน้าบางเวลาโดนประจาน ตอนทำไมดีนี่หน้าหนากันจัง ถ้าอยากได้ข่าวสังคมที่เน่าๆ อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคม มาตามที่เพจผมได้ครับ

ทำไมถึงเป็น ‘ll’ ?

ทำไม The Dark Knights ll ถึงมี 'II' น่ะเหรอ ก็ผมทำเพจมาหลายรอบแล้วครับ โดนรีพอตเพจหลายหน ถามลูกเพจผมสิ เวลาผมไปแฉใครก็จะโดนรีพอต ไม่ว่าจะเรื่องรับน้อง เรื่องเทคนิคทุมที่โดนผมไล่แฉ และอีกสารพัด เถียงไม่ได้ก็รีพอต เพจก็โดนแบนก็ต้องมาสร้างใหม่ แต่ทีมงานชุดเดิมตลอดครับ นี่ก็ทำมาจะ 2 ปีแล้ว

ปัจจุบันที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลมาก ทำให้ข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก และมาพร้อมกับการแข่งขันของสื่อต่างๆ ที่ต้องการเสนอข่าว ทางแอดมินฯ มีข้อคิดอะไรที่อยากฝากถึงผู้อ่านหรือติดตามข่าวสารหรือไม่ อย่างไร?

เลือกเสพข่าวและใช้สติในการอ่านทบทวนใช้เหตุผลให้มากกว่าการใช้มโนน่าจะดีที่สุด ผมพูดไปก็เหนื่อยนะเบื่อด้วยว่ะเรื่องนี้ หลายๆเพจหลายๆบทความก็กล่าวกันเรื่องนี้นะว่า ไม่ถึง 3 บรรทัด 7 บรรทัด ก็ไม่อ่าน อ่านไม่เข้าใจก็ด่าแม่งก่อนเลย มันเป็นปัญหาทางความคิดนะเถียงกันไม่จบหรอก ยิ่งเถียงกับคนที่คิดว่ามันดีนะ เหนื่อยมาก ว่ากันด้วยเหตุผลกับความจริงดีกว่านะ คุณนักข่าวจะเหนื่อยไหมล่ะกับการที่บอกกันไม่รู้กี่ร้อยกี่พันรอบ แต่ปัญหาก็ยังเกิดขึ้นซ้ำๆซากๆ (หัวเราะ)

ตอนผมลงพวกเพจ ทำแท้ง, ขายยาเสพติด, ปืนเถื่อน, จัดฟันเถื่อน บลาๆ หลักฐานผมมีครบ ตัวตนคนขายที่อยู่มีครบ ไหงนักข่าวไม่เอาไปลงบ้าง ตำรวจก็ไม่ได้จะมาสนใจอะไรเลย ปล่อยให้ไอ้คนขายพวกนี้ด่าสวนผมกลับมาอีก หรือสนใจแต่ประเด็นที่เพจใหญ่ๆ ต้องรวมกันปั่นขึ้นมานะ

ในฐานที่ตัวเองเป็นสื่อใหม่ มองประเด็นเรื่อง "เสรีภาพสื่อ" อย่างไร ที่ผู้มีอำนาจพยายามเข้ามาควบคุมกำกับ ?

สำหรับผมนะคนทำเพจไม่มีผลกระทบอะไรกับการห้ามนะครับ ว่าการตามเนื้อผ้าผิดถูกว่ากันไปนะ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทหารเชียงใหม่บุกคุมตัวบรรณาธิการสนพ.บุราคุมิน หลังชูสามนิ้วที่ประตูท่าแพ

$
0
0

ทหารเชียงใหม่บุกโรงพยาบาลเชิญตัวนายนิติพงศ์ สำราญคง บรรณาธิการสนพ.บุราคุมิน ไปค่ายกาวิละ หลังวานนี้นัดชูสามนิ้วที่ประตูท่าแพ ให้เซ็นเอกสารหยุดเคลื่อนไหวก่อนปล่อยตัว ขณะยังตามตัวคนชูสามนิ้วที่เหลือ

21 พ.ย.57 จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ทหารมณฑลทหารบกที่ 33 หรือค่ายกาวิละ บุกเชิญตัวนายนิติพงศ์ สำราญคง นักเขียนและบรรณาธิการสำนักพิมพ์บุราคุมิน ถึงโรงพยาบาลที่ทำงาน หลังเมื่อวานนี้นายนิติพงศ์และเพื่อน ทำกิจกรรมชูสามนิ้วที่ประตูท่าแพ แล้วถ่ายภาพโพสต์ลงเฟซบุ๊ค ก่อนให้เซ็นเอกสารข้อตกลงหยุดเคลื่อนไหว พร้อมปล่อยตัว ขณะยังติดตามคนชูสามนิ้วอีกสองคน

นิติพงศ์ สำราญคง นักเขียนและบรรณาธิการสำนักพิมพ์บุราคุมิน เล่าว่าหลังจากในช่วงหัวค่ำวานนี้ เขาและเพื่อนอีกสองคน ได้ไปทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ชูสามนิ้วที่ประตูท่าแพ และได้โพสต์ภาพถ่ายลงในเฟซบุ๊ค โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงนั้น จนกระทั่งวันนี้เวลาราวบ่ายโมงครึ่ง เจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบสองนายได้ไปหาเขาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่เขาทำงานอยู่ พร้อมเอารูปภาพที่เขากับเพื่อนอีกสองคนไปชูสามนิ้วที่ประตูท่าแพเมื่อวานนี้ให้ดู จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวเขาขึ้นรถไปพูดคุยที่ค่ายกาวิละ

ภายในค่าย เขาถูกสอบถามโดยเจ้าหน้าที่ถึงสาเหตุการไปทำกิจกรรมดังกล่าว ถามถึงความเกี่ยวพันกับคนที่เหลือในรูป สอบถามประวัติส่วนตัวและประวัติการเคลื่อนไหว ซึ่งเขายืนยันไม่ได้ร่วมกับกลุ่มการเมืองไหนมาก่อน เป็นแต่เพียงคนที่ติดตามข่าวสารทางการเมืองและติดตามอ่านหนังสือต่างๆ ส่วนสาเหตุที่เขากับเพื่อนๆ ไปชูสามนิ้วที่ประตูท่าแพเมื่อวานนี้ เหตุเพราะได้รับแรงบันดาลใจจากนักศึกษากลุ่มดาวดิน ที่ไปชูสามนิ้วต่อหน้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่กลับถูกควบคุมตัว ทำให้รู้สึกเจ็บปวดแทนน้องๆ

จากนั้น ทหารได้นำตัวเขาขึ้นรถตู้ไปกับเจ้าหน้าที่อีก 4-5 นาย ไปยังบ้านของเพื่อนคนหนึ่งที่ร่วมชูสามนิ้วด้วยกัน แต่ไม่เจอตัว เจอเพียงญาติของเพื่อนคนนั้น ทหารจึงพาตัวเขากลับมาพูดคุยต่อที่ค่ายกาวิละ ก่อนถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงใหม่ เพื่อให้เซ็นประวัติส่วนตัว และเซ็นเอกสารข้อตกลงในเรื่องการห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง แล้วทหารจึงได้นำตัวเข้ากลับมาส่งยังโรงพยาบาลในเวลาราวหนึ่งทุ่มเศษ

นิติพงศ์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหารพูดคุยกับเขาด้วยดีโดยตลอด แต่ได้ย้ำว่าถ้าหากเขายังเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่อีก จะต้องถูกดำเนินคดีขึ้นศาลทหาร โดยตลอดการถูกควบคุมตัว เขารู้สึกกลัว เพราะไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง และยังไม่ทราบจนบัดนี้ว่าเจ้าหน้าที่ทราบถึงสถานที่ทำงานของเขาได้อย่างไร

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ก.ต่างประเทศไม่ขัดคนไทยในต่างแดนชูสามนิ้ว แต่อย่าละเมิดกฎหมายประเทศอื่น

$
0
0
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเผยกรณีมีกลุ่มคนไทยในบางประเทศชูสามนิ้วที่หน้าโรงภาพยนตร์ มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่อย่ากระทำอะไรที่ละเมิดกฎหมายหรือกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ

 
21 พ.ย. 2557 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่าที่กระทรวงการต่างประเทศ นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มคนไทยในบางประเทศชูสามนิ้ว ที่หน้าโรงภาพยนตร์ เพื่อแสดงเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐประหารและต่อต้านรัฐบาลว่าสถานเอกอัครราชทูตไทย สถานกงสุลใหญ่ไทยและคณะผู้แทนถาวรไทยที่ประจำการทั่วโลก มีหน้าที่หลักคือการดูแลและการมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนไทยในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามคนไทยและนักศึกษาไทยในต่างประเทศ มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่อย่ากระทำอะไรที่ละเมิดกฎหมาย หรือกฎระเบียบของประเทศนั้น ๆ 
 
ทั้งนี้หากมีข้อกังวลข้อเสนอ หรือความเห็นอะไร สถานเอกอัครราชทูตไทยและสถานกงสุลใหญ่ไทยมีปฏิสัมพันธ์หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับชุมชนคนไทยในแต่ละประเทศอยู่แล้ว ส่วนการปฏิรูปประเทศนั้น รัฐบาลไทยมีนโยบายที่ให้รวมทุกภาคส่วนมาให้ความคิดเห็น ซึ่งในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ โดยสถานเอกอัครราชทูตไทยและสถานกงสุลใหญ่ไทย จะมีการส่งความคิดเห็นหรือข้อเสนอต่าง ๆจากชุมชนคนไทยมาที่กระทรวงฯ เพื่อส่งให้กับสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ต่อไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

$
0
0

"ยังไม่ได้ดูหรอก แต่เคยดูตอนที่ 1 มันเป็นเรื่องของดราม่าน่ะ ดราม่า ไม่ใช่เรื่องจริง"

21 พ.ย.2557 กล่าวถึง The Hunger Games

เกาหลีใต้เดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีก ตั้งเป้าให้ได้ 11 โรงปี 2024

$
0
0
 
แม้ภาคประชาชนจะออกมาประท้วงตั้งแต่ปี 2012 หลังพบเรื่องอื้อฉาวด้านความปลอดภัยภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศ แต่ทั้งนี้เกาหลีใต้ก็ยังคงมีแผนที่จะเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานนิวเคลียร์ขึ้นเป็นเท่าตัวภายในปี 2024 (ที่มาภาพ: presstv.ir)
 
21 พ.ย. 2014 สำนักข่าว Yonhapและ presstv.irรายงานว่ารัฐบาลเกาหลีใต้ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับเทศบาลเขตยูลจิน (Uljin) ซึ่งห่างจากกรุงโซลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 330 กิโลเมตร ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีก 2 แห่ง คือฮานึล 3 และ 4 (Hanul No.3, Hanul No.4) โดยมีกำหนดการแล้วเสร็จภายในปี 2022
 
ทั้งนี้เป็นความคืบหน้าล่าสุดหลังที่รัฐบาลได้บรรลุข้อตกลงกับเทศบาลเขตยองด็อก (Yeongdeok) เมื่อปี 2012 ที่จะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 แห่งให้เสร็จภายในปี 2017 ซึ่งเกาหลีใต้มีนโยบายที่จะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ให้ได้ 11 แห่งภายในปี 2024
 
รัฐบาลเกาหลีใต้ระบุว่าว่าพลังงานนิวเคลียร์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญกับเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเกาหลีใต้มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร รวมทั้งยังต้องการเป็นหนึ่งในผู้นำโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย โดยปัจจุบันเกาหลีใต้ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงหลัก 3 แหล่ง คือ ก๊าซธรรมชาติเหลว ถ่านหิน และพลังงานนิวเคลียร์ และเกาหลีใต้มีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่เดินเครื่องอยู่ 4 แห่ง มีเตาปฏิกรณ์รวมกันกว่า 23 ชุด สามารถผลิตไฟฟ้ารวมกันกว่า 20,716 เมกะวัตต์ เป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 35 เท่าตัว นับตั้งแต่เกาหลีใต้เริ่มต้นใช้ไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ครั้งแรกในปี 1978 
 
อนึ่งเมื่อเดือนสิงหาคม 2014 ที่ผ่านมาปาร์ค กึน-เฮ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้แถลงทางโทรทัศน์เนื่องในวันฉลองอิสรภาพว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ที่มีการตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์อย่างหนาแน่น โดยได้เรียกร้องให้ญี่ปุ่น และจีน ร่วมกับเกาหลีใต้ก่อตั้งหน่วยงานที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยการใช้พลังงานนิวเคลียร์เหมือนสหภาพยุโรปที่มีองค์กร The European Atomic Energy Community (EAEC หรือ Euratom) ซึ่งทำหน้าที่ศึกษาวิจัยความปลอดภัยการใช้พลังงานนิวเคลียร์ของกลุ่มประเทศยุโรป 
 
ทั้งนี้หลังเกิดเหตุโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะของญี่ปุ่นระเบิดเนื่องจากแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อปี 2011 นั้น พร้อมกับความกลัวการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือและเรื่องอื้อฉาวของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศ ทำให้ชาวเกาหลีใต้รู้สึกหวาดกลัวกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ โดยรัฐบาลเกาหลีใต้เผชิญแรงกดดันจากภาคประชาชนอย่างหนักตั้งแต่ปี 2012 หลังพบเรื่องอื้อฉาวด้านความปลอดภัยภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศ และเมื่อต้นปี 2014 ที่ผ่านมารัฐบาลเกาหลีใต้ได้ออกมาระบุว่าจะลดการพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ลง แต่ล่าสุดรัฐบาลเกาหลีใต้กลับกับลำเดินหน้าแผนเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานนิวเคลียร์ขึ้นไปอีก
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ให้นายกรัฐมนตรีเลื่อนเข้าเฝ้า

$
0
0

21 พ.ย. 2557  สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ฉบับที่ 10 เรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ รพ.ศิริราช โดยระบุว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำรัฐมนตรีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เต่งตั้งเพิ่มเติมเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่นั้น คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษามีความเห็นว่า ยังไม่พร้อมที่จะเสด็จออก จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เลื่อนวันเข้าเฝ้าฯ ออกไปก่อน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ประยุทธ์' เตือนสื่ออย่าล้ำเส้น เสรีภาพต้องมีขอบเขต ใช้ กม. พิเศษเพราะกลัวคุมไม่อยู่

$
0
0
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตือนสื่ออย่าล้ำเส้น เสรีภาพต้องมีขอบเขตตีกรอบวอนอย่าวิจารณ์รัฐบาล-คสช. ที่ยังต้องใช้กฎหมายพิเศษเพราะกลัวคุมไม่อยู่ ระบุตัวเองเป็น “ผู้จัดการแข่งขัน” ไม่ได้อยู่ในเกมความขัดแย้ง

 
 
21 พ.ย. 2557   เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยโดยระบุตอนหนึ่งว่า ในส่วนของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ประชาชน สื่อสารมวลชนนั้น ขณะนี้ยังขับเคลื่อนร่วมมือกันยังไม่ได้เต็มที่ ดีขึ้นมาก อาจจะต้องมีการพูดคุยปรับทัศนคติที่มีต่อกัน หันหน้ากัน พูดคุยกันทุกช่องทาง ส่งเสริมกันบ้างในสิ่งที่ดีๆ พร้อมทั้งเสนอความคิดเห็นต่างเหล่านั้น ตามช่องทางที่มีอยู่ ที่เหมาะ ที่ควร ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติจริง ถ้าหากว่าเราสร้างเงื่อนไขต่อไป หรือแสดงความขัดแย้งกันต่อไป ก็จะเกิดประเด็นความขัดแย้งใหม่ และขยายแผลเก่าในสังคม ซึ่งมีอยู่มากมายในปัจจุบัน จนรัฐบาลก็ไม่สามารถจะแก้ไขหรือดำเนินงานอะไรได้เลย เราทำเพื่อประชาชนทุกคน รับฟังเสียงทุกเสียง แต่จะหาช่องทางใดที่ถูกต้องที่รวดเร็ว และก็มีผลในเชิงปฏิบัติได้มากก็ขอให้เชิญเขามาเลยทุกคนทราบดีอยู่แล้ว
  
“วันนี้ถ้าหากว่าไม่เข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทย ว่าอยู่ในลักษณะใด ในปัญหาใด ก็ขอเรียนว่าวันนี้ เราย้ำอีกครั้งเราอยู่ในสถานการณ์ที่ยังไม่ปกติมากนัก ความขัดแย้งยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะยังไม่เกิดความรุนแรงขึ้นก็ตาม บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย แต่เราก็มีความจำเป็น ในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งกฎหมายปกติและกฎหมายพิเศษ อย่างระมัดระวังเพื่อรักษาบรรยากาศในการพัฒนา และเพื่อลดความขัดแย้ง แต่ขอร้องไม่ให้ก้าวล่วงละเมิดซึ่งกันและกัน รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลพิเศษ มาเพื่อแก้ไขปัญหา ไม่ได้มาสร้างปัญหา หรือว่ามาทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พร้อมที่จะรับฟังทุกเรื่อง เราจะแก้ไขทั้งปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมทั้งวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไปด้วย ซึ่งเราคงต้องการความร่วมมือ และเชื่อใจจากพี่น้องทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
 
“ผมคิดว่าอะไรที่ผิด ก็ต้องผิด อะไรที่ถูก ก็ต้องถูก หากทุกคนยึดถือกฎหมาย เคารพในกระบวนการยุติธรรม ที่ปราศจากความกดดัน ไม่มีกฎหมายพิเศษ  ไม่มีกฎหมายพิเศษมาบังคับหรือมีกลไกต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากกระบวนการยุติธรรมปกติมาบังคับมาแก้ไขกัน ผมว่าก็ไม่มีเรื่องราว ที่จะขัดแย้งกันอีกต่อไป เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ทุกคนเร่งรัดหรือชี้นำแล้วก็ไม่ด่วนตัดสินกันเอง ตามอารมณ์ความรู้สึก มิเช่นนั้นแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาอีก ขัดแย้งกันได้อีก เราต้องส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมให้ได้รับการยอมรับ โดยรัฐบาลนั้นยึดมั่นในความเป็นกลาง เป็นกลางระหว่างถูกกับผิดกฎหมาย ไม่ใช่เป็นกลางระหว่างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใครทำผิดก็ว่าไป ใครทำถูกก็ว่าไป ใครที่มีเจตนาบริสุทธิ์เราก็ไม่ได้ว่าอะไร อันที่จริงแล้วนั้น อำนาจฝ่ายบริหารนั้น มีอย่างจำกัดเราก็พยายามไม่ก้าวก่ายใครอยู่แล้ว แต่หน้าที่ของเราคือการกำกับดูแลให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรม เพื่อจะรักษาบรรยากาศในการปรองดองของคนในชาติ”
 
 “สำหรับเรื่องสื่อต่าง ๆ นั้น ผมเรียนขอร้องอีกครั้ง ทั้งเจ้าของ บรรณาธิการ สำนักพิมพ์ สื่อมวลชน พิธีกรรายการ ขอให้เข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองว่า ถ้าหากท่านจะใช้เสรีภาพของสื่อว่าไม่มีขอบเขต ไร้ขอบเขต อาจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีต่อประเทศชาติในสภาวการณ์แบบนี้  รัฐบาลและ คสช. ไม่เคยมีความคิดที่จะไปใช้ความรุนแรงใด ๆ กับท่านเลย ก็ชี้แจงทำความเข้าใจกัน วันนี้ผมได้สั่งให้นำผลสรุปของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยของสถานีโทรทัศน์ ที่จัดมาผมเห็นสรุปวันนี้ก็ดูดี นำมาแล้วเดี๋ยวจะให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปศึกษา ไปดู เพื่อจะนำแนวความคิดเหล่านั้นมา ที่ผ่านมานั้น ถ้าท่านทำมาแบบนี้ เราก็ไม่เคยมีปัญหากับท่าน ถ้าท่านมาว่ากล่าวเรา ว่ากล่าวรัฐบาล ว่ากล่าว คสช. อันนั้นไม่ถูกต้อง แต่ท่านสรุปมาว่าประชาชนต้องการอะไรแค่นี้ง่าย ง่ายจะตายไป เพราะฉะนั้นทำให้ถูกช่องทางแบบนี้ก็ไม่มีใครมาก้าวล่วงซึ่งกันและกัน ในวันนี้เราจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ เพราะว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้อยู่ยังไง เพราะฉะนั้นก็ขอให้เคารพกฎหมาย เคารพคนอื่นเขา มีจริยธรรมและก็ส่งเสริมการปฏิรูป ต้องปรับตัวช่วยกันนำเสนอข้อเท็จจริงเชิงสร้างสรรค์ ผมยินดีรับฟังทุกสื่อ ทุกช่อง ทุกคนด้วยซ้ำไป แต่อย่าไปสร้างปัญหา อย่าไปสร้างความเกลียดชังให้กับพวกเรา”
 
โดยรายละเอียดทั้งหมดของรายการคืนความสุขให้คนในชาติมีดังต่อไปนี้
 
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2557 เวลา 20.15 น.
 
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รัก สัปดาห์นี้ มีเรื่องน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง กรณีเฮลิคอปเตอร์กองทัพบกประสบอุบัติเหตุเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำให้นายทหารเสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ 9 นาย ซึ่งเป็นนายทหารผู้ใหญ่ระดับรองแม่ทัพรวมอยู่ด้วย ทุกท่านนั้นเป็นผู้ที่ได้เสียสละทำงานเพื่อประเทศชาติมาโดยตลอดชีวิตรับราชการ ผมในนามของรัฐบาลและอดีตผู้บังคับบัญชา ขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตทุกท่านอย่างสุดซึ้ง
 
หลักการในการบริหารราชการในปัจจุบัน คือ ข้าราชการนั้นต้องน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นหลักในการปฏิบัติ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน การร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมปฏิบัติ อย่างสามัคคีนั้นจะทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ ความพึงพอใจและความสุขอย่างยั่งยืนของประชาชน
 
สำหรับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจนั้น นับเป็นห่วงโซ่ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ทั้งในระดับประชาชนแต่ละกลุ่ม ทั้งเล็กและใหญ่ ต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจภายในประเทศ เศรษฐกิจชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เศรษฐกิจในภูมิภาค  ไปจนถึงเศรษฐกิจการค้า การลงทุนในเวทีโลก ซึ่งมีข้อผูกมัดพันธสัญญาต่าง ๆ มากมาย ที่ไม่เพียงแต่ผูกพันเราเฉพาะมิติเศรษฐกิจ แต่ยังคงเชื่อมโยงในทุกมิติ ทั้งการเมือง ความมั่นคง สังคม และวัฒนธรรม เพราะนั้นเราทุกคนในทุกระดับ ก็จำเป็นต้องปรับตัว มีความตระหนักรู้ และรู้เท่าทันต่อสถานการณ์ รวมทั้งสิ่งสำคัญคือประชาชน รัฐ เอกชน หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องทั้งปวงนั้น ก็จะต้องร่วมมือกันทำงาน อย่างประสานสอดคล้องในทุกมิติอย่างพร้อมเพรียงกัน
 
ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น วัตถุประสงค์หลัก ๆ ก็คือ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคน ทั้งในเรื่องการเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน เพิ่มราคาขาย เพิ่มผลกำไรให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต เลี้ยงดูครอบครัว ไม่ให้มีปัญหาปากท้อง ปัญหาสังคม และในเรื่องของการรักษาพยายาล สามารถจ่ายภาษีให้กับรัฐได้ เพื่อนำงบประมาณจากภาษีทุกรูปแบบ ไปใช้จ่าย จัดสรรสวัสดิการกลับไปสู่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยการบริหารราชการแผ่นดินนั้น จะต้องมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้และสามารถนำมาประเมินผลได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อการพัฒนาประเทศเป็นไปตามวิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์ที่ได้กำหนดไว้ร่วมกันล่วงหน้า
 
สิ่งที่เราต้องรีบปรับตัวให้ทันต่อการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี 2015 คือการสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน การเตรียมความพร้อมของทรัพยากรมนุษย์ ทั้งความรู้ การศึกษา ความชำนาญในการประกอบอาชีพ หรือวิชาชีพด้านต่าง ๆ และภาษาเพื่อรองรับการพัฒนา การค้า การลงทุน ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง มีการแข่งขันกันมากขึ้น รวมทั้งทันต่อการพัฒนาของประเทศเพื่อนบ้าน ภูมิภาคอาเซียน และประชาคมโลกที่มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว
 
เราจะต้องปรับเทคโนโลยีให้ทันสมัย ทั้งในธุรกิจขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ มีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน สร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง มุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ สร้างภูมิปัญญาไทย สร้างแบรนด์ไทย ให้สามารถแข่งขันกับนานาชาติ เพื่อการเปิดตลาดใหม่ให้ได้อย่างโดยเร็ว
 
รัฐบาลจะต้องวางมาตรการที่เอื้ออำนวย ส่งเสริมให้เกิดการค้า การลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ให้ทันกับประเทศอื่น ๆ โดยจะต้องลดอุปสรรคต่าง ๆ ทั้งทางการค้า ทั้งกฎหมาย และขั้นตอนที่ยุ่งยาก ตลอดจนการมอบสิทธิประโยชน์ในการลงทุนที่เหมาะสม ควบคู่กับการมุ่งผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
 
วันนี้ ประชาคมโลกนั้นพูดกันถึงวิสัยทัศน์ปี 2015 , 2025 , 2035 เราก็จำเป็นต้องศึกษา และวางแผนเตรียมการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ได้ในระยะยาว
 
สำหรับการช่วยเหลือเกษตรกรในเรื่องเงินอุดหนุน หรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำต่าง ๆ นั้น เป็นการแก้ไขปัญหาเพียงชั่วคราว ยังไม่ยั่งยืน รัฐบาลจะต้องใช้วิธีการทั้งรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ในการขับเคลื่อน ประชาชนต้องปรับตัว เรียนรู้ มีกระบวนการคิดที่ดีเป็นระบบ เพื่อให้เกิดการร่วมมือกัน คงไม่ใช่การรวมกลุ่มเพื่อสร้างเงื่อนไขแต่เพียงอย่างเดียว เป็นการรวมกลุ่มกันช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันแก้ไข จะสามารถทำให้เกิดสิ่งที่ดี ๆ และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นได้ สิ่งใดที่เป็นปัญหาก็เตรียมการป้องกันแก้ไขไว้ก่อน หากยังมีความไม่ไว้วางใจกันซึ่งกันและกัน ไม่เชื่อใจกัน ยังมีความหวาดระแวงซึ่งกันและกันอยู่ โดยคนบางกลุ่มก็ยังไม่ค่อยจะปรับทัศนคติ ปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นคงแก้ไขไม่ได้ ทั้งวันนี้และในอนาคตด้วย เราจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย สิ่งเหล่านั้นก็ยังคงเป็นปัญหา เป็นความขัดแย้ง เป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป
 
ในระหว่างที่รัฐบาลกำลังจัดระเบียบ หรือปฏิรูปใด ๆ นั้น รัฐบาลพยายามจะทำให้ไม่กระทบความเป็นอยู่ของสุจริตชน ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ยาก เพราะการบังคับใช้กฎหมายและการเปลี่ยนแปลงใด ๆ นั้น ก็จะต้องมีทั้งผู้ที่มีส่วนได้ ส่วนเสีย ซึ่งก็จะต้องมาดูกันว่าเราจะมีมาตรการอย่างไร ในการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบต่าง ๆ
 
รัฐบาลยืนยันจุดยืนในการรักษาความถูกต้องและผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ที่กล่าวมานั้นเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ในการที่เราจะร่วมกันก้าวผ่านกับดักของประเทศเราให้ได้ เพื่อจะนำประเทศเราก้าวไปข้างหน้า
 
สำหรับปัญหา ข้อขัดข้องสำคัญ ๆ ที่รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ประสบ และประเมินแล้ว พบว่า การขับเคลื่อนการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติยังไม่เกิดประสิทธิภาพเต็มที่ ยังไม่มีผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนมากนัก เนื่องจากอาจจะขาดข้อมูลที่ถูกต้อง ทันสมัย และเพียงพอ ข้าราชการและหน่วยงานระดับผู้ปฏิบัติที่ใกล้ชิดกับประชาชน ยังอาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้งในนโยบายเท่าที่ควร ทำให้ไม่สามารถที่จะประยุกต์ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม หรืออาจจะมีการสื่อสารกับประชาชนให้เข้าใจได้ชัดเจนไม่มากนัก เพราะฉะนั้นการทำงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ต้องไม่ขาดความประสานสอดคล้องซึ่งกันและกัน ทั้งแผนงาน โครงการ และงบประมาณ ซึ่งอาจจะทำให้การวัดผลสัมฤทธิ์และความพึงพอใจของประชาชนนั้น ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรองรับได้ ในสถานการณ์ในปัจจุบัน นี่คือมุมมองของรัฐบาลในปัจจุบัน ต้องช่วยกันทุกหน่วยงาน
 
ในการขับเคลื่อนนโยบายใหม่ ๆ หรือการแก้ไขปัญหานั้น ก็ต้องมีความเข้าใจให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดการต่อต้าน ไม่ให้ความร่วมมือ มีการปลุกปั่น อาจจะเกิดจากผู้มีอิทธิพล ผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์ทั้งกลุ่มเดิม และกลุ่มใหม่ ยังคงมีอยู่กลุ่มเหล่านี้ อาจจะยังไม่เข้าใจในบทบาทของตนเองว่า ทุกท่านก็เป็นคนไทยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวใด ๆ ต้องคำนึงถึงความสงบสุขของประเทศไทย และประชาชนไทยโดยรวม เราไม่เคยมีความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ขอวิงวอนให้ท่านทำหน้าที่ของท่านได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาหลักความสมดุล ระหว่างเรื่องของท่าน ของสากลโลก กับการสร้างความก้าวหน้า ความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยในอนาคตด้วย
 
ในส่วนของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ประชาชน สื่อสารมวลชนนั้น ขณะนี้ยังขับเคลื่อนร่วมมือกันยังไม่ได้เต็มที่ ดีขึ้นมาก อาจจะต้องมีการพูดคุยปรับทัศนคติที่มีต่อกัน หันหน้ากัน พูดคุยกันทุกช่องทาง ส่งเสริมกันบ้างในสิ่งที่ดี ๆ พร้อมทั้งเสนอความคิดเห็นต่างเหล่านั้น ตามช่องทางที่มีอยู่ ที่เหมาะ ที่ควร ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติจริง ถ้าหากว่าเราสร้างเงื่อนไขต่อไป หรือแสดงความขัดแย้งกันต่อไป ก็จะเกิดประเด็นความขัดแย้งใหม่ และขยายแผลเก่าในสังคม ซึ่งมีอยู่มากมายในปัจจุบัน จนรัฐบาลก็ไม่สามารถจะแก้ไขหรือดำเนินงานอะไรได้เลย เราทำเพื่อประชาชนทุกคน รับฟังเสียงทุกเสียง แต่จะหาช่องทางใดที่ถูกต้องที่รวดเร็ว และก็มีผลในเชิงปฏิบัติได้มากก็ขอให้เชิญเขามาเลย ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว
 
วันนี้ถ้าหากว่าไม่เข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทย ว่าอยู่ในลักษณะใด ในปัญหาใด ก็ขอเรียนว่าวันนี้ เราย้ำอีกครั้งเราอยู่ในสถานการณ์ที่ยังไม่ปกติมากนัก ความขัดแย้งยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะยังไม่เกิดความรุนแรงขึ้นก็ตาม บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย แต่เราก็มีความจำเป็น ในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งกฎหมายปกติและกฎหมายพิเศษอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาบรรยากาศในการพัฒนา และเพื่อลดความขัดแย้ง แต่ขอร้องไม่ให้ก้าวล่วงละเมิดซึ่งกันและกัน รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลพิเศษ มาเพื่อแก้ไขปัญหา ไม่ได้มาสร้างปัญหา หรือว่ามาทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พร้อมที่จะรับฟังทุกเรื่อง เราจะแก้ไขทั้งปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมทั้งวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไปด้วย ซึ่งเราคงต้องการความร่วมมือ และเชื่อใจจากพี่น้องทุกคน
 
เรื่องที่ผิดกฎหมาย หรือเรื่องที่เป็นความขัดแย้งกันอยู่ ทั้งอดีตและปัจจุบัน เราก็อยากให้ทุกพวกทุกฝ่ายนั้นเข้ามาร่วมหารือพิจารณานำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม หากว่ายังคงถูกต่อว่าจากบางกลุ่ม บางฝ่ายว่าเราสร้างปัญหา และพยายามนำปัญหาเดิม ๆ มาตำหนิการทำงานของเราในวันนี้ ก็น่าจะไม่ถูกต้องนัก รัฐบาลก็ยังคงใช้ความเพียรพยายาม ในการจะสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ก็คงต้องมีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
 
ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น อาจจะไม่ได้มากนัก เพราะว่าเราต้องการแก้ไขปัญหา แต่เราก็พยายามอย่างเต็มที่ จะไม่ไปก้าวล่วงให้เป็นไปตามขั้นต้อนของกฎหมาย ซึ่งก็อาจจะไม่ทันอกทันใจบางคนบางกลุ่ม ผมคิดว่าอะไรที่ผิด ก็ต้องผิด อะไรที่ถูก ก็ต้องถูก หากทุกคนยึดถือกฎหมาย เคารพในกระบวนการยุติธรรม ที่ปราศจากความกดดัน ไม่มีกฎหมายพิเศษมาบังคับหรือมีกลไกต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากกระบวนการยุติธรรมปกติมาบังคับมาแก้ไขกัน ผมว่าก็ไม่มีเรื่องราว ที่จะขัดแย้งกันอีกต่อไป เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ทุกคนเร่งรัดหรือชี้นำแล้วก็ไม่ด่วนตัดสินกันเอง ตามอารมณ์ความรู้สึก ไม่เช่นนั้นแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาอีก ขัดแย้งกันได้อีก เราต้องส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมให้ได้รับการยอมรับ โดยรัฐบาลนั้นยึดมั่นในความเป็นกลาง เป็นกลางระหว่างถูกกับผิดกฎหมาย ไม่ใช่เป็นกลางระหว่างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใครทำผิดก็ว่าไป ใครทำถูกก็ว่าไป ใครที่มีเจตนาบริสุทธิ์เราก็ไม่ได้ว่าอะไร อันที่จริงแล้วนั้น อำนาจฝ่ายบริหารนั้น มีอย่างจำกัดเราก็พยายามไม่ก้าวก่ายใครอยู่แล้ว แต่หน้าที่ของเราคือการกำกับดูแลให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรม เพื่อจะรักษาบรรยากาศในการปรองดองของคนในชาติ
 
โดยสรุปแล้วสิ่งที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งต่อไปในอนาคต ก็คือ ในการเรื่องตัดสินในคดีต่าง ๆ นั้น การใช้กระบวนการยุติธรรมหากไม่ได้รับการยอมรับ แล้วมีผู้เห็นต่าง แน่นอนต้องมีการผิดถูกข้างใดข้างหนึ่ง เพราะฉะนั้นหากมีการปลุกระดมประชาชน โดยการใช้คำพูด โดยใช้สื่อ ที่อาจจะไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองมากนักเหล่านี้จะทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายไปได้อีก ประการที่สอง คือ เจ้าหน้าที่ถูกกดดัน ทำงานภายใต้สภาพแรงกดดัน ทำให้การใช้วิจารณญาณหรือการดำเนินการไปตามหลักการนั้น ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง หรือหลักฐาน หรือกฎหมายที่มีอยู่ทุกคนต้องลดอัตตาตัวเองให้ได้ ประการที่สาม ก็คือ ในเรื่องสื่อ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ ในเรื่องของโซเชียลมีเดียทั้งหมด ทั้งในและนอกประเทศ ก็ยังคงมีอยู่ใช้เป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดแค้น ชิงชัง ไปสู่ความขัดแย้ง แตกแยก โดยการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะที่ Hate Speech เป็นเรื่องจริงบ้าง  ไม่จริงบ้าง ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจริง มีวัตถุประสงค์แอบแฝงบางอย่างอยู่
 
ผมในฐานะผู้นำรัฐบาล จำเป็นต้องรักษาสถานการณ์ให้เป็นปกติ ประชาชนปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องรักษาสถานการณ์ในช่วงนี้ ในระยะที่สอง ซึ่งมีการปฏิรูปในหลาย ๆ ด้าน และต้องนำไปสู่การเลือกตั้งให้ได้โดยเร็ว  อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ เรารอไม่ได้ที่จะต้องขับเคลื่อน ทั้งการบริหารประเทศ บริหารแก้ไขปัญหาภายในประเทศและการสร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศให้มีความต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความเชื่อมั่น สร้างเสถียรภาพให้กับประเทศไทย ทั้งด้านความมั่นคง  เศรษฐกิจ  สังคม  แล้วก็เพิ่มมูลค่าในการค้าการลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น
 
ขอยืนยันว่า ถ้าหากว่าเรานั้น ยังคงมีความขัดแย้งกันต่อไปหรือว่าขัดแย้งต่อการทำงานของรัฐบาลโดยที่ไม่มีเหตุผล โดยที่ไม่ขาดข้อเท็จจริงจะทำให้ประเทศนั้นขาดความมีเสถียรภาพอีก ซึ่งทุกประเทศในโลกต้องการทั้งหมดให้ประเทศไทยมีเสถียรภาพ มีความมั่นคง บ้านเมืองเป็นปกติสุข เขาก็พร้อมที่จะลงทุนในประเทศเรา พร้อมที่จะเดินหน้าร่วมกับประเทศเรา คำว่า ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์   เข้มแข็ง ที่ทุกคนคาดหวัง ที่เรากำลังร่วมกันสร้างขึ้นมานั้น ถ้าหากว่ายัง ขัดแย้งกันอยู่ต่อไปก็เกิดขึ้นไม่ได้อย่างแน่นอนก็เป็นแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง
 
สำหรับเรื่องสื่อต่าง ๆ นั้น ผมเรียนขอร้องอีกครั้ง ทั้งเจ้าของ บรรณาธิการ สำนักพิมพ์ สื่อมวลชน พิธีกรรายการ ขอให้เข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองว่า ถ้าหากท่านจะใช้เสรีภาพของสื่อว่าไม่มีขอบเขต ไร้ขอบเขต อาจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีต่อประเทศชาติในสภาวการณ์แบบนี้  รัฐบาลและ คสช. ไม่เคยมีความคิดที่จะไปใช้ความรุนแรงใด ๆ กับท่านเลย ก็ชี้แจงทำความเข้าใจกัน วันนี้ผมได้สั่งให้นำผลสรุปของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยของสถานีโทรทัศน์ ที่จัดมาผมเห็นสรุปวันนี้ก็ดูดี นำมาแล้วเดี๋ยวจะให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปศึกษา ไปดู เพื่อจะนำแนวความคิดเหล่านั้นมา
 
ที่ผ่านมานั้น ถ้าท่านทำมาแบบนี้เราก็ไม่เคยมีปัญหากับท่าน ถ้าท่านมาว่ากล่าวเรา ว่ากล่าวรัฐบาล ว่ากล่าว คสช. อันนั้นไม่ถูกต้อง แต่ท่านสรุปมาว่าประชาชนต้องการอะไรแค่นี้ง่าย ง่ายจะตายไป เพราะฉะนั้นทำให้ถูกช่องทางแบบนี้ก็ไม่มีใครมาก้าวล่วงซึ่งกันและกัน  ในวันนี้เราจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ เพราะว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้อยู่ยังไง เพราะฉะนั้นก็ขอให้เคารพกฎหมาย เคารพคนอื่นเขา มีจริยธรรมและก็ส่งเสริมการปฏิรูป ต้องปรับตัวช่วยกันนำเสนอข้อเท็จจริงเชิงสร้างสรรค์ ผมยินดีรับฟังทุกสื่อ ทุกช่อง ทุกคนด้วยซ้ำไป แต่อย่าไปสร้างปัญหา อย่าไปสร้างความเกลียดชังให้กับพวกเรา
 
เราไม่ใช่รัฐบาลที่ต้องการสร้างปัญหา หรือสร้างความขัดแย้ง เรามาแก้ไขตรงกลางให้ได้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เฉลี่ย แบ่งปันให้ทุกคนได้มีความสุขมีความพอใจ อำนวยความสะดวก สนับสนุนให้ทุกกลุ่มได้ร่วมกันแก้ไขปัญหา เพราะฉะนั้นอย่าลากเราเข้าไปอยู่ตรงในสนามด้วย ในสนามการแก้ไขด้วย เพราะเราถือว่า อาจจะยกง่าย ๆ ว่า พูดง่าย ๆ ว่า เราเป็น “ผู้จัดการแข่งขัน” แล้วกัน ถ้านำ“ผู้จัดการแข่งขัน”เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยกับผู้เล่นก็เป็นปัญหา กรรมการก็คือจะต้องเป็นคนตัดสิน กรรมการวันนี้ ก็คือ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ รัฐบาล คสช. เป็น “ผู้จัดการแข่งขัน” กรรมการ แล้วก็นักกีฬา
 
เพราะทุก ๆ คนก็ทำหน้าที่กันตามนั้น ในส่วนของกรรมการก็ต้องดำเนินการตามหน้าที่ของกฎหมายในการแก้ปัญหาให้เกิดความเป็นธรรม ประชาชนพึงพอใจ จะได้ไม่เกิดความขัดแย้งกันอีก เหมือนว่าการแข่งกีฬาจะดูกีฬาให้สนุกกรรมการก็ต้องดี ต้องเป็นธรรม นักกีฬาก็ต้องเคารพในกติกา ผู้จัดการแข่งขันก็จะคำนึงถึงความปลอดภัยของการดูกีฬา ต้องช่วยกัน ถ้าลากทุกอย่างมาปนกันไปหมด กีฬาก็แข่งขันไม่ได้เหมือนกับอะไร ก็เหมือนกับวันนี้ปฏิรูปไม่ได้เลย ถ้าตีกันไปตีกันมาอย่างนี้ก็ติดกับดักเหมือนเดิม ไปไหนไม่รอด
 
สำหรับความคืบหน้าในการบริหารราชการของรัฐบาลที่สำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ด้านเศรษฐกิจได้มีประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ได้ขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ให้เกิดขึ้นให้ได้ 5 พื้นที่ ภายในปีงบประมาณนี้  อันได้แก่  อำเภอแม่สอด  จังหวัดตาก  อำเภออรัญประเทศ  จังหวัดสระแก้ว  พื้นที่ชายแดน จังหวัดตราด จังหวัดมุกดาหาร  และอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา  ทุกหน่วยงานกำลังเร่งดำเนินการ อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของแผนงาน งบประมาณ และผังเมือง รวมทั้งมาตรการสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในการลงทุนของผู้ประกอบการ รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะว่าเชื่อมโยงในการสร้างการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจจากในประเทศไปสู่ชายแดนค้าขายระหว่างประเทศแล้วก็เชื่อมโยงไปสู่ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน แล้วก็ไปประชาคมโลกอื่น ๆ รวมทั้งในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าตามแนวชายแดนและการสร้างอาชีพรายได้ให้กับประชาชนที่ยากจนตามพื้นที่ชนบท มีการปรับรูปแบบทั้งหมดในขณะนี้
 
งานด้านความมั่นคง จากที่เรียนไปแล้วว่า รัฐบาลและ คสช. นั้นจะต้องรักษาสถานการณ์ให้เอื้ออำนวยต่อการปฏิรูป แล้วนำไปสู่การเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์มีการเลือกตั้งนั้น เราต้องขอขอบคุณทุกกลุ่มทุกฝ่าย ที่ส่วนใหญ่เข้าใจแล้วก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะอย่างไรก็ตามในเรื่องของการสร้างความปรองดองให้กับคนในชาตินั้น ทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน ประชาชน พรรคการเมือง ต่าง ๆ นั้น ต้องช่วยกัน ความขัดแย้งถ้าหากว่าความคิดขยายไปทั่วลุกลามบานปลายไปไปถึงเด็ก ถึงผู้ใหญ่ ถึงทุกคน ทั้งที่ทำงาน ที่บ้าน เหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกแล้ว ในขณะนี้ทุกคนต้องนำอดีตมาเป็นบทเรียน เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นหัวหน้าแต่ละส่วนแต่ละฝ่าย ต้องหาวิธีการพยายามให้ทุกคนละทิ้งความขัดแย้ง ละทิ้งตัวตนไว้ก่อนแล้วร่วมแรงร่วมใจกันสร้างประเทศ เราก็พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะนำความรัก ความสามัคคีกลับคืนมาสู่ประเทศไทย
 
จากด้านการศึกษานั้น ผมได้เรียนไปแล้วว่า การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมนั้น ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะสร้างความทัดเทียมทางการศึกษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล มีครูน้อย  ผมต้องขอความร่วมมือจากคุณครูช่วยกันให้ความสนใจ แล้วก็เน้นย้ำ อธิบายเพิ่มเติมจากบทเรียนผ่านโทรทัศน์ดาวเทียมด้วย คงไม่ใช่ให้โทรทัศน์หรือตู้ ครูตู้ อาจารย์ตู้ มาสอน ไม่ใช่ ให้ครูดูตัวอย่างจากในโทรทัศน์ นักเรียนก็ดูไปด้วยแล้วก็เน้นย้ำอธิบายเพิ่มเติมทำความเข้าใจจะได้ช่วยในเรื่องของความเท่าเทียมความทันสมัย แล้วก็ในเรื่องของกรณีที่เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมีครูบางคนเหนื่อย บางคนสอนหลาย ๆ ชั้น สัปดาห์ที่แล้วผมพูดไปแล้วบางท่านคนเดียวสอนทุกชั้นเลย บางโรงเรียนก็มีนักเรียนมากแล้วมีหลายชั้นแต่ก็มีครูสอน 3 – 4 คน สอนตั้งแต่ อนุบาลถึงประถม 6 แล้วจะได้อะไรเท่าไรอย่างไร ไม่ทราบ เพราะฉะนั้นนำดาวเทียมมาช่วยด้วยก็จะลดภาระของท่านลงไปได้ ผมไม่ได้ไปดูว่าท่านไม่มีความสามารถในการสอนเพียงแต่ว่าอยากจะช่วยท่านเห็นใจ เพราะท่านเหนื่อยก็ขอขอชื่นชมในความเสียสละ ตั้งใจ ที่อดทนพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอด เราจะต้องใช้ความมีจรรยาบรรณของความเป็นครูให้มาก เป็นกำลังใจให้ทุกคน รัฐบาลจะดูแลสวัสดิการข้าราชการครูให้ดีที่สุดระยะต่อไป
 
ในเรื่องการติดตามการแก้ไขปัญหาของประชาชน เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น ผมและคณะได้มีโอกาสไปติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดกาฬสินธุ์  ได้มีโอกาสพบปะพี่น้องประชาชน ข้าราชการในพื้นที่ ก็ได้ชี้แจง พูดคุย ทำความเข้าใจ และก็ได้รับทราบปัญหา ข้อขัดข้องต่าง ๆ เพื่อจะนำมาปรับปรุงแก้ไข สำหรับศูนย์ดำรงธรรมของจังหวัด อำเภอ ทราบว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ก็เป็นขั้นต้นเท่านั้นเอง ต่อไปปัญหาเหล่านั้นจะนำมาแก้อย่างยั่งยืน อย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย น่าจะเป็นช่องทางที่ประชาชนจะได้รับความสะดวกมากขึ้น จากบริการลักษณะ One Stop Service และได้มีโอกาสไปติดตามความก้าวหน้า ในเรื่องของโครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองใหญ่ อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น และสอบถามถึงเรื่องการบริหารจัดการน้ำที่บ้านหนองเลิงเปือย ไม่มีโอกาสได้ไป เนื่องจากเวลาจำกัด ก็น่าชื่นชม ประชาชนนั้นมีส่วนร่วม พอใจ ก็ขอผมหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นประตูน้ำ คลองส่งน้ำ ผมก็ได้ติดตามดูว่ามีงบประมาณหรือเปล่า ก็ได้อนุมัติให้ไปแล้ว คงจะก่อสร้างในโอกาสต่อไป อันนี้เป็นสิ่งที่เราทำทันที เมื่อเจอความเดือดร้อนก็ทำทันที ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ให้ได้ ให้ทันต่อความลำบากเดือดร้อนของประชาชน ทุกโครงการมีความคืบหน้า และดีใจที่แหล่งน้ำ อำเภอกระนวน สามารถจะดูแลพี่น้อง 4 อำเภอ แต่แหล่งน้ำที่ขาดการปรับปรุง ขุดลอกมาประมาณ 20 ปีนั้น คสช. เข้ามา ก็ได้ตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและบริหารทรัพยากรน้ำ ได้ประชุม พิจารณาแก้ปัญไขอย่างเป็นระบบ ได้อนุมัติงบประมาณเป็นที่เรียบร้อย กำลังขุดอยู่ กำลังดำเนินการอยู่ ก็จะเพิ่มน้ำได้จาก 1 ล้านลูกบาศก์เมตรเป็น 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ก็ขึ้นมาอีกตั้งมากมาย พี่น้องชาวกระนวนมีความพึงพอใจ ขอชื่นชมทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทุกส่วนราชการร่วมกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ด้วย
 
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการขุดลอกคูคลอง การบริหารเรื่องน้ำ เราคงต้องทำทุกพื้นที่ ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ ต้องมีการเชื่อมโยงระบบชลประทานกับแม่น้ำสายหลัก แม่น้ำสาขาต่าง ๆ เพราะว่าต้นน้ำเรามาจากทางด้านเหนือ น้ำเราได้มาจากน้ำฝนเป็นหลักเท่านั้นเอง ถ้าเชื่อมโยงกันไม่ได้ น้ำก็หายไป ล้นไปในที่ ๆ ไม่ต้องการ ก็ไม่ต่อไปข้างล่าง ฉะนั้นเราต้องสร้างกิ่งก้านสาขาของลำน้ำเหล่านี้ให้ได้
 
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คสช. ครม. สนช. สปช. และคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกัน เพื่อสร้างความเข้าใจ กำหนดทิศทางที่ตรงกัน ในแนวทางที่จะร่วมกันปฏิรูป และสร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์อย่างยั่งยืน มีการแลกเปลี่ยนแนวความคิด เสนอปัญหาข้อขัดข้องอย่างกว้างขวาง ซึ่งทุกท่านล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เป็นผู้หลัก ผู้ใหญ่ ผู้ทรงคุณวุฒิของบ้านเมืองทั้งสิ้น และรับทราบปัญหาของเราดี และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนมามากมายพอสมควร อย่างน้อยก็ได้ดูในสิ่งที่เราทำไว้ในชั้นต้น และก็มีข้อมูลปัญหาต่าง ๆ ส่งเข้ามามากมาย ทุกท่านมีความตั้งใจ และก็เสียสละเข้ามาแก้ไขปัญหา เพื่อจะวางรากฐานสร้างชาติให้มั่นคง ผมก็คงต้องขอความร่วมมืออีกครั้งจากทุกพวกทุกฝ่าย ช่วงเวลานี้เป็นเวลาสำคัญที่สุด ประเทศไทยนั้น อาจจะไม่เคยมีการปฏิรูปแบบนี้เกิดขึ้น อาจจะมีการปฏิรูปเล็ก ๆ น้อย ๆ มาตลอด วันนี้เราปฏิรูปทั้งหมด เพราะฉะนั้นผมก็ได้บอกว่าทำอย่างไรเราจะทำให้เกิดการปฏิรูปได้ทันเวลา ฉะนั้นก็ต้องรวบรวมข้อมูล รวบรวมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน หาช่องทางให้ได้ คือคงไม่ใช่ช่องทางราชการเพียงอย่างเดียว ทุกคนมีพรรคพวก เพื่อนฝูง พี่น้อง ประชาชนในภูมิลำเนาของตนเอง ก็ไปรวบรวมมา มาช่วยกันและนำเข้าสู่สภาปฏิรูป ถ้าบอกว่าทุกคนอยากมีส่วนร่วม แต่ก็ทำสะเปะสะปะ มันไม่ได้ ก็ไม่สามารถจะนำมารวมกันได้สักที ท่านไปหาช่องทางให้สั้นที่สุดให้ตรงที่สุดเข้ามา ผมไม่เคยขัดข้องเลย ดีกว่าไปพูดเปล่า ๆ ที่โน่นที่นี่ ขัดแย้งกันโดยตลอด ถ้าหากทุกคนเสนอข้อคิดเห็นที่สร้างสรรค์ และเข้าช่องทางที่เร็ว ก็จะปฏิรูปได้ การปฏิรูปนั้นผมก็บอกแล้วว่า ให้แนวทางไปแต่เพียงว่า ทำอย่างไรเราจะกำหนดเรื่องที่จะต้องปฏิรูปทั้ง 11 เรื่อง ให้เป็น 3 ระยะให้ได้ ระยะที่ 1 คือ ทำทันที ทำทันทีก็คือ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ที่ไม่ต้องใช้กฎหมาย ท่านก็ส่งมาให้ผม รัฐบาลก็จะทำ ระยะที่ 2 คือ ทำให้มีผลสัมฤทธิ์ใน 1 ปี ถ้าตกลงได้ ไม่มีข้อขัดแย้ง ให้ สนช. ออกเป็นกฎหมายมา แล้วเราก็ปฏิบัติได้ภายใน 1 ปี จากนั้นถ้ายาก ๆ เป็นโครงสร้าง เป็นการจัดตั้งหน่วยใหม่ การแก้ไขกฎหมาย หรือกฎหมายที่มีความผูกพันในหลาย ๆ ส่วน การปฏิรูปแบบนั้น ก็ต้องส่งต่อรัฐบาลหน้า ก็ไปหากลไกมาว่า รัฐบาลหน้าจะทำหรือไม่ทำ ได้อย่างไร นั้นก็คงเป็นภาระของท่านแล้ว ที่จะต้องแก้กันต่อไป เรานำ 100 เรื่อง 100 อย่างมาแก้ 1 ปีไม่ได้ ผมได้ทำความเข้าใจไปแล้ว คิดว่าคงเข้าใจกันดีในขณะนี้ ขอขอบคุณล่วงหน้า คาดหวังทั้งในส่วนของสภาปฏิรูป กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และ สนช. ทั้งหมดต้องเดินหน้าไปด้วยกัน ในระหว่างนี้ คสช. และรัฐบาลก็จะขับเคลื่อนประเทศไปด้วย
 
สำหรับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีนั้น องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้เป็น “วันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรี” สำหรับประเทศไทยนั้น ได้กำหนดให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี” โดยมีการติด “เข็มกลัดริบบิ้นสีขาว”ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สากล แสดงออกถึงการ “ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว” ผมก็ขอรวมไปถึงผู้สูงอายุและคนพิการด้วย วันนี้เป็นวาระสำคัญของโลกด้วย เรื่องสตรีและเด็ก และก็คนพิการเหล่านี้ ให้ความสำคัญด้วย วันนี้ผมคิดว่าผู้ชายไม่ควรจะไปรังแกผู้หญิงโดยเด็ดขาด เราเป็นผู้ชาย เป็นสุภาพบุรุษ ถูกสอนมาว่าผู้ชายต้องดูแลผู้หญิง เพราะฉะนั้นวันนี้สังคมต้องเข้มแข็ง อย่าดูถูกผู้หญิง อย่าดูถูกเด็ก หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม ทำให้ถูกมองว่าประเทศเหล่านั้นไม่เคารพกติกาของสังคมโลก
 
ในโอกาสนี้ขอเชิญชวนทุกท่าน ทุกหน่วยงาน และทุกภาคส่วนในสังคมไทยช่วยกันสร้างความตระหนัก ถึงปัญหาอันเกิดจากการใช้ความรุนแรง ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา “เด็กนั้นเป็นอนาคตของชาติ” และ “ครอบครัวก็คือหน่วยสังคมที่มีความสำคัญที่สุด” วันนี้ที่วุ่นวาย มีเรื่องของยาเสพติด มีเรื่องของการตี การทะเลาะกันอะไรของเด็กเหล่านี้ ผมคิดว่าครอบครัวมีความสำคัญที่สุดในการที่จะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ ครอบครัวไม่มีความอบอุ่น ไม่อบอุ่นเพราะพ่อแม่ต้องหาเงิน รายได้น้อย ลูกก็ขาดความอบอุ่น ก็ไปคบเพื่อน ก็ไปเรื่องยา เรื่องอะไรต่าง ๆ ไป อันนี้ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องดูแลว่าทำอย่างไร ครอบครัวจะมีเวลาอยู่ด้วยกัน ทำอย่างไรจะมีรายได้เพียงพอ พ่อแม่มีเวลาว่างบ้าง และครูโรงเรียน สถานศึกษาก็เป็นพ่อแม่คนที่ 2 ด้วย ก็ต้องช่วยกันในการแก้ปัญหาเหล่านี้กับเด็ก ขอให้ทุกคนได้แก้ไขปัญหาด้วยการพูดคุย อย่างทะเลาะเบาะแว้ง อย่าตีกัน ผู้ชายอย่ารังแกผู้หญิง ในภาพรวมของประเทศนั้น รัฐบาลและ คสช. ก็ได้ยึดแนวทางในการสร้างความปรองดอง ในทางการพูดคุย ความเข้าใจอย่างสร้างสรรค์ กฎหมายคือกฎหมาย คนละเรื่องอย่านำมาปนกัน ทุกครั้งผมต้องพูดแบบนี้ เพราะผมพูดคำว่าปรองดองทีไรมีปัญหาทุกที ผมไม่ได้ปรองดองใครกับใคร ผมปรองดองคนในชาติ ถ้ามีพวกมีฝ่ายก็ไปหาทางเรื่องกฎหมายกันเอง
 
ผู้ที่พบเห็นการกระทำความรุนแรง การละเมิด การทารุณ ทั้งทางร่างกาย ทางจิตใจ สามารถแจ้งเหตุได้ที่ OSCC “One Stop Crisis Center” หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคมกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง
 
ช่วงท้ายของวันนี้ ผมขอเรียนกับทุกท่านว่า อีกประมาณ 2 สัปดาห์ จะถึงวันมหามงคล “วันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวามหาราช” ขอให้ทุกส่วนทั้ง ราชการ เอกชน และประชาชนได้ร่วมจิต ร่วมใจ ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีของประเทศชาติ ร่วมกันเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน รวมทั้งร่วมใจถวายพระพรให้ทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ แข็งแรง เพื่อเป็นมิ่งขวัญของประชาชนในทุกหมู่เหล่า วันนี้ก็คงมีเพียงเท่านี้ อีกเรื่องหนึ่งวันก่อนทุกคนก็เป็นห่วง มีนักศึกษาอะไรต่าง ๆ มา ผมก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ไม่เป็นไร ก็อยากอธิบายน้อง ๆ เด็ก ๆ ให้ทราบ ครู อาจารย์ด้วยว่า วันนี้เราต้องช่วยกันเดินหน้าประเทศ เราไม่ได้มุ่งหวังเพื่อจะมาทะเลาะเบาะแว้งกับใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษา เด็ก ก็ขอร้องแล้วกัน เราก็สั่งไปแล้ว ไม่มีการดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรง ท่านก็เบา ๆ ลงบ้างก็แล้วกัน ฉะนั้นทุกวันเวลานี้ เราต้องการความสงบและสันติ จะได้เดินหน้าแก้ไขปัญหาของชาติได้ และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้
 
เรื่องเศรษฐกิจนั้น ก็ลองติดตามดูหลาย ๆ อย่างมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น วันนี้ได้รับรายงานว่าในเรื่องของการลงทุนต่าง ๆ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลายประเทศให้ความสนใจ เราลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเข้าไปอีก และก็ดูแลในเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ เรื่องการจ้างงาน ทุกอย่างก็น่าจะไปในทางที่ดีขึ้น ขอให้ทุกคนอย่าทุจริตก็แล้วกัน และร่วมมือกัน อย่าขัดแย้งกัน อย่าขัดขวางการทำงานของรัฐบาล ถ้าไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ ไม่ตรงกับความต้องการก็บอกมา บอกมาเลย สิ่งนี้ขอด่วนถึงนายกรัฐมนตรี ขอด่วนมา รับจะแก้ให้ทันที ก็ช่วยกันช่วยชาติ ขอให้ทุกคนมีความสุข เดี๋ยวก็วันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ดูละครให้สนุก สวัสดีครับ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช. ผ่านกฎหมายหลายฉบับ ยึดเครื่องบินโทษหนักถึงประหาร เก็บภาษีดารา-ฟรีแลนซ์

$
0
0
สนช. ผ่านกฎหมายวันเดียวหลายฉบับ อาทิ กม.กระทำผิดบนเครื่องบิน ยึดเครื่องบินโทษถึงประหาร กม.คุ้มครอง ห้ามค้างาช้างและผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่า กม.เก็บภาษี หจก.-คณะบุคคล 'ดารา-ฟรีแลนซ์' อุดช่องโหว่ที่ประชาชนทำอาชีพอิสระ และกลุ่มที่จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคล เพื่อกระจายฐานภาษี ให้การเสียภาษีบุคคลธรรมดาแบบก้าวหน้าน้อยลง

 
21 พ.ย. 2557 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยที่ประชุมได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ฉบับต่างๆ ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ในวาระ 3  อาทิ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ...โดยมีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงกฏหมายเกี่ยวกับความผิดบางประการต่อการเดินอากาศจำนวน 4 ฉบับ ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นการแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2521 ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หลังพบว่ามีผู้โดยสารประพฤติตนไม่เหมาะสมบนอากาศยานเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2538 มีสถิติผู้โดยสารประพฤติตัวไม่เหมาะสมประมาณ 1,000 กว่ารายต่อปี และได้เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 รายต่อปีในปัจจุบัน
          
โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวครอบคลุมไปถึงการยึดอากาศยาน การทำลายอากาศยานหรือทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานที่ให้บริการพลเรือน ซึ่งมีบทลงโทษถึงประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ขณะเดียวกันยังได้เพิ่มเติมการกระทำที่เป็นความผิดเพื่อแก้ไขปัญหาผู้โดยสารประพฤติตนไม่เหมาะสมในอากาศยาน เช่น การสูบบุหรี่ในห้องน้ำ ใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น ใช้วาจาลวนลาม ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในเวลาที่ห้ามใช้ เป็นต้น โดยมีบทลงโทษตั้งแต่จำคุกไม่เกินหนึ่งปีจนถึง 5 ปี หรือปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทจนถึงสองแสนบาท  ซึ่งโทษจะขึ้นอยู่กับลักษณะของความผิด โดยที่ประชุมมติเห็นชอบวาระ 3 ประกาศใช้เป็นกฏหมายต่อไปด้วยคะแนนเสียง 174 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง
 
รวมทั้งวาระพิจารณาเรื่องด่วนร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่..)พ.ศ..... (มาตรการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ โดยนายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอหลักการและเหตุผลว่า กฎหมายดังกล่าวอุดช่องโหว่ ที่ประชาชนทำอาชีพอิสระ ได้แก่ นักแสดง นักจัดการรายการ แพทย์ ทนายความ เป็นต้น ที่จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคล เพื่อกระจายฐานภาษี ให้การเสียภาษีบุคคลธรรมดาแบบก้าวหน้าน้อยลง
 
"สมมติว่า บุคคลธรรมดามีรายได้ปีละ 10 ล้านบาท ต้องเสียภาษีร้อยละ 35 แต่บุคคลดังกล่าวไปจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนฯ และตั้งคณะบุคคลขึ้นมา 10 คณะ กระจายรายได้ตัวเองไปคณะฯ ละ 1 ล้านบาท ทำให้เมื่อคำนวณภาษีทั้งหมด เสียประมาณคณะละร้อยละ 10 และ 15 เท่านั้น แทนที่จะเสียปีละร้อยละ 35 ทำให้เหลือเงินควรจะเสียภาษีตามความเป็นจริง เหลือเข้ากระเป๋าจำนวนมาก" รมว.กระทรวงการคลัง กล่าว
 
นายสมหมาย กล่าวว่า หากกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในปีนี้ จะทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.–31 ธ.ค.58 ได้ทันที และทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นปีละ 9 พันล้านบาทด้านนายสมชาย แสวงการ สนช. กล่าวว่า จะผลักดันให้กฎหมายดังกล่าวให้เสร็จสิ้นในปีนี้ และมีผลในการจัดเก็บภาษีในปี 2558 จากนั้นที่ประชุมเห็นชอบหลักการวาระแรก 167 ต่อ 1 เสียง พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการฯ วิสามัญ โดยให้คณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สนช.พิจารณา 15 วันให้แปรญัตติ 3 วัน
 
นอกจากนี้ประชุมยังให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การค้างาช้าง พ.ศ. ...ด้วยคะแนนเสียง 169 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง และร่าง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่....) พ.ศ...ด้วยคะแนน 154 ต่อ 3 งดออกเสียง 7 เสียง  ซึ่งร่างพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ดังกล่าวมีเนื้อหาที่คล้ายกันคือ การควบคุมการค้า การครอบครอง การนำเข้า การส่งออก และการนำผ่าน ทั้งงาช้าง สัตว์ป่า รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มาจากซากสัตว์ป่า พร้อมกับข้อกำหนดในการขออนุญาต ใบรับรอง ใบอนุญาตเพาะพันธุ์  โดยร่าง พ.ร.บ.การค้างาช้าง มีสาระสำคัญคือการสกัดขบวนการลักลอบซื้อขายงาช้างข้ามชาติ ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่....) พ.ศ....มีสาระสำคัญคือการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการห้ามนำเข้าหรือส่งออกซึ่งผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ตามที่รัฐมนตรีกำหนด และห้ามนำผ่านซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากสัตว์ หรือสัตว์ป่าคุ้มครอง ส่วนบทกำหนดโทษนั้นหากผู้ใดซ่อนเร้น จำหน่าย ซื้อ รับจำนำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำและปรับ  อย่างไรก็ตามทางคณะกรรมาธิการฯได้มีการตั้งข้อสังเกตถึงอัตราโทษที่น้อยควรจะมีการเพิ่มอัตราโทษให้สูงขึ้น ทั้งตัวการและผู้สนับสนุน ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ. 2 ฉบับออกมาเพื่อให้สอดรับการที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์หรือไซเตส และที่ประชุมยังเห็นชอบวาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.การรับขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ.... ร่าง พ.ร.บ.จราจรทางบก  (ฉบับที่...) พ.ศ..... (ส่งใบสั่งทางไปรษณีย์)  ร่าง พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ พ.ศ... (กำหนดสัญญาณจราจรเพิ่มเติมกำหนดให้เพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ไฟฉายเรืองแสงในการแสดงสัญญาณจราจรได้ ) ร่าง พ.ร.บ.ราชบัณฑิตยสภา พ.ศ....
 
 
 
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: เว็บไซต์สยามรัฐ, เว็บไซต์ไทยรัฐ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

น้องประยุทธ์ลั่นอย่าให้ซ้ำรอยขอนแก่น สั่งเข้มงานข่าว-เน้นพื้นที่เสี่ยง

$
0
0
ประชุมศูนย์ปฎิบัติการกองทัพบกหลังกลุ่มนักศึกษาแสดงเชิงสัญลักษณ์ "ไม่เอารัฐประหาร" พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ระบุ กกล.รส. กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก โดยเฉพาะงานด้านการข่าวต้องมีความแม่นยำ

 
21 พ.ย. 2557 เว็บไซต์แนวหน้ารายงานว่า พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานในการประชุมศูนย์ปฎิบัติการกองทัพบก เพื่อติดตามสถานการณ์ในภาพรวมของประเทศ หลังจากเกิดการณ์กลุ่มนักศึกษาแสดงเชิงสัญลักษณ์ "ไม่เอารัฐประหาร" ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำลังกล่าวปราศรัยกับประชาชน ในขณะลงพื้นที่ปฎิบัติภาระกิจตรวจเยี่ยมภัยแล้ง ที่ จ.ขอนแก่น รวมถึงกรณีที่นักศึกษาหญิงแสดงสัญลักษ์ชู 3 นิ้ว ภายหลังจากชมภาพยนต์เรื่อง "ฮังเกอร์ เกมส์" จบ ว่าในที่ประชุมได้เน้นย้ำให้กองทัพบก โดยเฉพาะกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก โดยเฉพาะงานด้านการข่าวต้องมีความแม่นยำ รัดกุมมากกว่านี้ ยิ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงจะมีกลุ่มต่อต้านออกมาแสดงสัญลักษณ์ พร้อมประสานหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อเตรียมมาตราการป้องกัน โดยใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแนวทางหาวิธีป้องกัน เพราะเราอยากเห็นประเทศมีบรรยากาศที่ดี สามัคคี และคิดเห็นไปในแนวทางเดียวกัน
 
พล.อ.ปรีชา กล่าวย้ำอีกว่า สำหรับการดำเนินการกับกลุ่มคนที่ออกมาแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการทำงานของรัฐบาล และ คสช.ยังคงเน้นการพูดคุย ทำความเข้าใจ ปรับทัศนคติเหมือนที่ผ่านมา ส่วนกรณีที่นายกฯ เตรียมจะลงพื้นที่ภาคเหนือนั้น เบี้ยงต้นยังไม่ทราบว่าท่านจะเดินทางลงไปเมื่อไหร่ แต่ทราบว่าท่านจะเดินทางลงไปเยี่ยมประชาชนทุกภาค ขึ้นอยู่กับจังหวะและเวลาที่เหมาะสม เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต่างๆ ที่จะต้องเตรียมการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับนายกฯ
 
"ในส่วนของภาคเหนือ ทาง พล.ท.สาธิต พิชรัตน์ แม่ทัพภาคที่ 3 คงเตรียมมาตราการดูแลอยู่แล้ว เพราะได้เน้นย้ำไปแล้วว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนที่ จ.ขอนแก่น อีก" พล.อ.ปรีชา กล่าว
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสวนาเชียงใหม่ในหนัง: จากฉากหลังบนแผ่นฟิล์มสู่เมืองอุตสาหกรรมภาพยนตร์

$
0
0

วงเสวนาโดย ณัฐกร วิทิตานนท์ - บดินทร์ เทพรัตน์ - ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล เล่าเรื่องเชียงใหม่กับภาพยนตร์ นับตั้งแต่ฉากหลังในภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ การยืมเป็นฉากหลังแทนย่านอินโดจีน การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของโรงหนังแสตนด์อะโลน จนถึงเชียงใหม่ที่เป็นแหล่งผลิตภาพยนตร์ และโอกาสเติบโตของโปรดักชั่นเฮ้าส์และคนทำหนังที่เชียงใหม่

19 พ.ย. 57 เวลา 13.00 น. ห้องประชุมชั้น 4 อาคาร 3 คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทางศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับกลุ่มปันยามูฟวี่คลับ จัดงานเสวนาเรื่อง “เชียงใหม่ในหนัง หนังกับเชียงใหม่” โดยมีวิทยากร ได้แก่ ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์และหัวหน้าสตูดิโอคำม่วน, บดินทร์ เทพรัตน์ กลุ่มฉายหนังปันยามูฟวี่คลับ และดำเนินรายการโดย ชลธิดา พระเมเด หัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสารฮิป

 

เชียงใหม่ในภาพยนตร์ต่างประเทศ

 

"นัยยะสำคัญของเชียงใหม่ในหนังฝรั่ง เกิดขึ้นหลังจากสงครามเวียดนามสิ้นสุด ประมาณปี 1975 ที่มีความต้องการพูดเรื่องปัญหาเวียดนาม ที่สหรัฐส่งทหารเข้ามาทำสงคราม จึงมีการมองหาฉากที่พอจะเทียบเคียงกับเวียดนามได้ เพราะย่านอินโดจีนยังเป็นประเทศปิด จึงมีการเลือกมาถ่ายที่เชียงใหม่กว่า 10 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังเกี่ยวกับสงครามโดยตรง"

ณัฐกร วิทิตานนท์กล่าวว่างานวิชาการหรืองานข้อมูลในต่างประเทศมีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับหนังในมิติต่างๆ จำนวนมากและหาได้ทั่วไป แต่ในเมืองไทยแทบจะยังไม่มีใครศึกษามีการวิเคราะห์ถึงเมืองสำคัญที่เป็นฉากหลังของหนังเรื่องต่างๆ หรือการจัดเที่ยวตามรอยสถานที่ในหนังบางเรื่อง

ณัฐกรกล่าวตนเคยเขียนบทความเรื่องเชียงใหม่ในหนังตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ช่วงปี 48-49 ที่มีหนังหลายเรื่องมาถ่ายทำที่เชียงใหม่ และประสบความสำเร็จ ทำให้เริ่มสนใจเชียงใหม่ในหนังขึ้นมา และเสนอว่าเชียงใหม่ในหนังกับเชียงใหม่ในชีวิตจริงไม่เหมือนกัน เชียงใหม่ในหนังมันสวยงาม น่าอยู่ แต่เชียงใหม่ในชีวิตจริงมันค่อนข้างเต็มไปด้วยปัญหา

ต่อมาได้พบว่าวารสาร Compass ได้เสนอข้อมูลว่าหนังต่างประเทศเรื่องแรกที่เข้ามาถ่ายทำในไทย ยังเลือกเชียงใหม่เป็นฉากหลัง ได้แก่ หนังเรื่องนางสาวสุวรรณ พ.ศ. 2466 (1923) โดยมีฉากมาดูการทำไม้ที่เชียงใหม่ ในเรื่องนี้ทีมงานเบื้องหลังล้วนเป็นชาวต่างชาติ ทำให้ไม่ถูกยอมรับว่าเป็นหนังไทยแท้ และเท่าที่พบ ต่อมาก็มีหนังสารคดีสวีเดนเรื่องข้าวกำมือเดียว พ.ศ. 2483 (1940) กับหนัง Emmanuelle พ.ศ. 2517 (1974)

นัยยะสำคัญของเชียงใหม่ในหนังฝรั่ง เกิดขึ้นหลังจากสงครามเวียดนามสิ้นสุด ประมาณปี พ.ศ. 2518 (1975) ที่มีความต้องการพูดเรื่องปัญหาเวียดนาม ที่สหรัฐส่งทหารเข้ามาทำสงคราม จึงมีการมองหาฉากที่พอจะเทียบเคียงกับเวียดนามได้ เพราะย่านอินโดจีนยังเป็นประเทศปิด จึงมีการเลือกมาถ่ายที่เชียงใหม่กว่า 10 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังเกี่ยวกับสงครามโดยตรง

ฉากในภาพยนตร์ Final Run (1989)

ภาพยนตร์สัญชาติออสเตรเลีย Au Nord de Chiang Mai (1992)

ฉากในภาพยนตร์ Sniper 3 (2004)

 

อีกจุดเปลี่ยนหนึ่ง คือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 (2003) พบหนังที่มาถ่ายเชียงใหม่เฉลี่ยปีละ 1-2 เรื่อง เชื่อกันว่าเป็นผลมาจากความสำเร็จในหนังเรื่ององค์บาก พ.ศ. 2546 (2003) ทำให้ต่างประเทศเข้ามาใช้ฉากในเมืองไทยมากขึ้น และเลือกเชียงใหม่ เพราะต้นทุนการผลิตถูกกว่าในภาคอื่น

แต่เชียงใหม่ในหนังฝรั่ง มักถูกสมมติให้เป็นที่อื่นในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านของไทย รวมแล้ว 13 เรื่อง จากทั้งหมด 33 เรื่อง โดยเฉพาะสมมติให้เป็นเวียดนามและพม่า และมักจะเป็นหนังแนว Action มากที่สุด อีกทั้งภาพย้ำของเชียงใหม่ในหนังต่างประเทศจะเป็นประเด็นชนกลุ่มน้อย ยาเสพติด และมักจะมีช้างอยู่ในหนังด้วย ส่วนฉากสำคัญที่มีบ่อยในหนัง คือกาดหลวง และวัดต่างๆ โดยระยะหลังมักจะชอบให้มีการปล่อยโคมอยู่ในหนังด้วย

ส่วนใหญ่เป็นหนังสัญชาติอเมริกันมากที่สุด ประมาณ 20 เรื่อง ตามด้วยฮ่องกง 4 เรื่อง ญี่ปุ่นและฝรั่งเศส ประเทศละ 2 เรื่อง แต่ที่น่าสนใจคือหนังจีนเรื่อง Lost in Thailand พ.ศ. 2555 (2012) ซึ่งมาถ่ายในเชียงใหม่กว่า 80% และประสบความสำเร็จอย่างสูงในเมืองจีน ส่งผลให้คนจีนอยากมาเที่ยวเมืองไทย มีคนวิจัยโดยถามคนจีนที่มาเที่ยวเมืองไทยถึงสถานที่ที่อยากมา และพบว่าส่วนใหญ่เป็นสถานที่ที่อยู่ในหนัง

ณัฐกรเห็นว่าหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง ที่ตนเห็นว่าบอกเล่าความเป็นเชียงใหม่ที่ค่อนข้างสมจริง คือเรื่อง The Elephant King พ.ศ. 2552 (2009) ซึ่งใช้ฉากเชียงใหม่เกือบทั้งเรื่อง และให้ภาพเชียงใหม่ที่แตกต่างจากในหนังไทย

 

เชียงใหม่ในภาพยนตร์ไทย

 

"เชียงใหม่ในหนังมักเน้นย้ำภาพที่ไม่เกิดในชีวิตจริงเลย คือเมืองร้างไร้รถยนต์ติดขัด และอากาศดี ทั้งที่ความจริงในปัจจุบันไม่ได้เป็นเช่นนั้น มายาคติของเชียงใหม่ในหนังไทยกับหนังต่างประเทศมีความแตกต่างกันชัดเจน โดยหนังไทยย้ำเรื่องความน่าอยู่ของเมือง ส่วนหนังต่างประเทศพูดถึงปัญหา"

ณัฐกร กล่าวว่าเชียงใหม่ในหนังไทย อาจเริ่มนับได้ตั้งแต่เรื่องสาวเครือฟ้า (2477) ที่เป็นหนังไทยแท้ที่มาถ่ายเชียงใหม่ โดยเชียงใหม่ในหนังช่วงต้นๆ ก่อนปี 2500 มักมีพล็อตคล้ายคลึงกัน คือเรื่องเกี่ยวกับสาวเชียงใหม่ที่มีศรัทธาในรักมั่นคงมีอันต้องถูกชายหนุ่มจากเมืองกรุงหลอก และท้ายที่สุดก็กลายเป็นโศกนาฏกรรมความรัก ภาพเชียงใหม่ในหนังไทยช่วงต้นๆ จึงค่อนข้างอ่อนแอ สยบยอม และมีลักษณะเป็นผู้หญิง

ช่วงสงครามเย็น ปี 2501-2510 พบหนังที่มาถ่ายเชียงใหม่ 8 เรื่อง โดยเริ่มมีหนังแนวอื่น คือหนังผีและหนังบู๊ ช่วงทศวรรษ 2510 ช่วงนี้เชียงใหม่เริ่มขายได้ มีหนังราว 32 เรื่อง และหลายเรื่องเริ่มใช้ชื่ออำเภอต่างๆ ถูกใช้เป็นชื่อหนัง เช่น สันกำแพง (2511), วังบัวบาน (2515) สวรรค์เวียงพิงค์ (2516), สักขีแม่ปิง (2516), แม่อายสะอื้น (2523)

ภาพจากหนัง 2 สิงห์ 2 แผ่นดิน (2515)

ภาพจากหนังความรักของคุณฉุย (2532)

แต่ยุคที่เฟื่องฟูที่สุดของหนังไทยคือทศวรรษ 2520 โดยช่วงนี้พบเชียงใหม่ในหนังกว่า 43 เรื่อง ช่วงนี้มีลักษณะเป็นหนังรักวัยรุ่นมากขึ้น และปลายๆ ยุคเป็นหนังรักวัยผู้ใหญ่มากขึ้น เช่น หมอเมืองพร้าว (2523) ดอกไม้ร่วงที่แม่ริม (2522) จ่ากำแพงดิน (2521)

ช่วงทศวรรษ 2530 พบราว 29 เรื่อง มีหนังตลกมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเป็นยุคที่หนังไทยถูกยึดครองโดยหนังแนว “กระโปรงบานขาสั้น” หรือหนังวัยรุ่นนักเรียน เดินตามความสำเร็จของกลิ้งไว้ก่อนฯ (2534) ซึ่งแทบทุกเรื่องในแนวนี้มักมาถ่ายที่เชียงใหม่

ช่วงต้นทศวรรษ 2540 หนังไทยซบเซาลง จึงไม่มีหนังเชียงใหม่มากนัก จนมาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น จากหนัง The Letter (2547) และเพื่อนสนิท (2548) โดยช่วงนี้เกิดกระแสท้องถิ่นนิยมมากขึ้น หนังพยายามถ่ายทอดเชียงใหม่ให้มีเอกลักษณ์ โดยมีการพยายามพูดคำเมืองในหนัง อีกทั้ง หนังเชียงใหม่ในยุคนี้ค่อนข้างประสบความสำเร็จ คือหนังได้รางวัลหลายเรื่อง ประสบความสำเร็จด้านรายได้ หรือได้รับคำวิจารณ์เชิงบวก

ณัฐกรประเมินว่าเกือบ 70% ของหนังที่มาถ่ายที่เชียงใหม่เป็นหนังรัก เชียงใหม่ในหนังไทยค่อนข้างโรแมนติค สถานที่ยอดนิยมที่ใช้ในการถ่ายทำ มีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ, วัด, สถาบันการศึกษา, ห้างสรรพสินค้า, ที่พัก, ร้านอาหาร, สถานีรถไฟ, สนามบิน, แลนด์มาร์คต่างๆ ของเมือง อีกทั้ง เชียงใหม่ในหนังมักเน้นย้ำภาพที่ไม่เกิดในชีวิตจริงเลย คือเมืองร้างไร้รถยนต์ติดขัด และอากาศดี ทั้งที่ความจริงในปัจจุบันไม่ได้เป็นเช่นนั้น มายาคติของเชียงใหม่ในหนังไทยกับหนังต่างประเทศมีความแตกต่างกันชัดเจน โดยหนังไทยย้ำเรื่องความน่าอยู่ของเมือง ส่วนหนังต่างประเทศพูดถึงปัญหา

 

เชียงใหม่ในมุมมองคนทำหนัง

 

"ข้อดีของเชียงใหม่คือโลเกชั่นขอใช้ได้ไม่ยาก และถูกกว่าที่ กทม.ไปหลายเปอร์เซ็นต์ การเคลื่อนย้ายทางโลจิติสก์ใช้เวลาไม่นาน ใช้เวลาย้ายไปจุดต่างๆ น้อยกว่ากรุงเทพฯ ราว 4 เท่า ซึ่งการออกกองในภาพยนตร์ เวลาคือเงิน วันหนึ่งออกกองใช้เงินต่ำสุด 3 แสนบาท จึงต้องพยายามประหยัดเวลา ทำให้โปรดักชั่นหลายอันเลือกมาใช้เชียงใหม่ เพราะการเคลื่อนย้ายสะดวก มีสถานที่รองรับ ทั้งกองถ่ายและดารา และมุมหลายมุมในเชียงใหม่ค่อนข้างสวยงาม"

ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล "มะเดี่ยว" เล่าประสบการณ์อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในเชียงใหม่

ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล เล่าถึงประสบการณ์การทำงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ตั้งแต่ปี 2546 และได้เปิดสตูดิโอคำม่วนราวปี 2553 ซึ่งตอนแรกก็อยู่ที่กรุงเทพ และเพิ่งขยับขยายมาที่เชียงใหม่ในช่วงสองปีนี้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตงานค่อนข้างถูกกว่ากรุงเทพไปราว 3-4 % และมีสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างเยอะ แต่ก็พบว่าเชียงใหม่ยังขาดทรัพยากรทั้งด้านบุคคล และอุปกรณ์ แม้จะมีโปรดักชั่นเฮาท์เล็กๆ อยู่ในเชียงใหม่บ้าง แต่คุณภาพของคนก็ยังไม่สามารถจะใช้อุปกรณ์ขนาดใหญ่ที่ใช้ถ่ายหนังจริงได้ ยังต้องใช้คนมาจากกรุงเทพอยู่ เพราะต้องใช้แรงงานที่มีความสามารถ ทักษะสูง ซึ่งเชียงใหม่ยังผลิตไม่ทัน

ขณะเดียวกัน เชียงใหม่ก็มีจุดเด่นคือคนทำงานโพสต์โปรดักชั่นมาอยู่ค่อนข้างเยอะ โดยมีบริษัททำกราฟฟิคในเชียงใหม่เยอะ แต่ปัญหาคือยังไม่สามารถมารวมกันได้ และยังต้องใช้เวลาในการสร้างคน โดยที่สตูดิโอคำม่วนพยายามทำ คือดึงโปรดักชั่นจากต่างประเทศเข้ามา เพื่อให้งานต่อเนื่อง

ข้อดีของเชียงใหม่คือโลเกชั่นขอใช้ได้ไม่ยาก และถูกกว่าที่ กทม.ไปหลายเปอร์เซ็นต์ การเคลื่อนย้ายทางโลจิติสก์ใช้เวลาไม่นาน ใช้เวลาย้ายไปจุดต่างๆ น้อยกว่ากรุงเทพฯ ราว 4 เท่า ซึ่งการออกกองในภาพยนตร์ เวลาคือเงิน วันหนึ่งออกกองใช้เงินต่ำสุด 3 แสนบาท จึงต้องพยายามประหยัดเวลา ทำให้โปรดักชั่นหลายอันเลือกมาใช้เชียงใหม่ เพราะการเคลื่อนย้ายสะดวก มีสถานที่รองรับ ทั้งกองถ่ายและดารา และมุมหลายมุมในเชียงใหม่ค่อนข้างสวยงาม

ชูเกียรติ กล่าวถึงมายาคติเกี่ยวกับเมืองเชียงใหม่ ว่าแม้จะส่งผลดีในการด้านการท่องเที่ยว แต่ตนไม่เคยมองเชียงใหม่แบบ exotic ไม่ได้มองว่าเชียงใหม่ต้องขี่ช้าง กางร่ม เชียงใหม่สำหรับตนเป็นเรื่องของผู้คน ไม่ได้ขายทิวทัศน์หรือการท่องเที่ยว และภาพของความเป็นเมืองแบบคนทั่วโลก การใช้ชีวิตสมัยใหม่ ซึ่งค่อนข้างเวิร์ค เพราะเห็นว่าทำให้เกิดกระแสว่าจังหวัดอื่นๆ ก็สามารถจะเล่าเรื่องของตนเองผ่านหนังได้

ชูเกียรติกล่าวว่าเมืองมีความเปลี่ยนแปลงและเติบโตตลอดเวลา การอนุรักษ์วิถีดั้งเดิมก็ควรทำ แต่ปัญหาที่สำคัญกว่า คือเราจะอยู่กันต่อไปในอนาคตอย่างไร จะจัดการเมืองที่ผู้คนมาอยู่กันเยอะขึ้น จะจัดการขยะอย่างไร หรือการขนส่งมวลชนจะทำอย่างไร พอคิดถึงการอนุรักษ์อย่างเดียว เราจะไม่สามารถจัดการกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้

 

โรงหนัง และชุมชนภาพยนตร์ในเชียงใหม่

 

"เป็นเมืองใหญ่ ที่มีนักศึกษา ศิลปิน ชาวต่างชาติ และชนชั้นกลางที่มีเวลาสนใจในงานศิลปะอาศัยอยู่ค่อนข้างมาก ทำให้มีการจัดเสวนาและจัดฉายภาพยนตร์ค่อนข้างมาก"

บดินทร์ เทพรัตน์ กล่าวว่าเชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่ ที่มีนักศึกษา ศิลปิน ชาวต่างชาติ และชนชั้นกลางที่มีเวลาสนใจในงานศิลปะอาศัยอยู่ค่อนข้างมาก ทำให้มีการจัดเสวนาและจัดฉายภาพยนตร์ค่อนข้างมาก

หากดูโรงภาพยนตร์ในเชียงใหม่ ปัจจุบันมีทั้งหมด 5 โรงใหญ่ โดยโรงหนังแบบมัลติเพล็กซ์จะดำเนินการด้วยระบบสายหนัง โดยสายหนังจะเป็นคนซื้อขาดมาจากเจ้าของหรือผู้จัดจำหน่ายในประเทศไทย นำหนังเข้าฉายในโรง และแบ่งรายได้ในลักษณะ 50-50% หรือขึ้นอยู่กับการเจรจา คนที่เลือกหนังมาฉายจึงคือสายหนัง

โรงหนังในปัจจุบันมีลักษณะแข่งขันกันที่ตลาดเฉพาะกลุ่ม niche market ไม่ได้เน้นแข่งขันเรื่องหนังทุนสูงหรืคุณภาพของโรงหนัง โดยโรงหนังที่มีหนังนอกกระแสฉายมาก และถูกใช้จัดเทศกาลภาพยนตร์หลายครั้งในเชียงใหม่ คือที่โรงหนัง SFX ที่ห้าง Maya

ส่วนโรงหนังเก่าแก่ที่มีอยู่ตอนนี้คือโรงหนังวิสต้า ซึ่งเคยมีหลายสาขา แต่ปัจจุบันเหลือสาขาเดียว คือที่กาดสวนแก้ว ก่อนหน้านี้ เคยมีการจัดเทศกาลหนังยุโรป เคยจัดชมรมคนรักหนัง เพื่อฉายหนังหาดูยาก ปัจจุบันฉายเฉพาะหนังพากย์ไทย เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ไม่ชอบดูหนัง soundtrack หนังมีระยะเวลาในการฉายนานกว่า และลดราคาตั๋วลง

บดินทร์เล่าต่อถึงชุมชนภาพยนตร์ในเชียงใหม่ ชุมชนแรก คือ FilmSPACE ที่จัดฉายหนังที่ดาดฟ้าตึกภาควิชา media arts and design ฉายหนังในอารมณ์หนังกลางแปลง ฉายครั้งแรกเมื่อปี 2005 และฉายอาทิตย์ละครั้งทุกวันเสาร์ มีการประกาศโปรแกรมฉายรวดเดียว 1 ปี โดยมีการกำหนดธีมในแต่ละเดือน ต่อมา มีการเปลี่ยนชื่อเป็น untitled for film และเปลี่ยนเป็นฉายตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม

ชุมชนต่อมา คือกลุ่มปันยามูฟวี่คลับ เกิดขึ้นจากการได้ไปจัดฉายเรื่อง “แสงศตวรรษ” ที่เชียงราย เมื่อปี 2553 และเน้นการเสวนาหลังหนังฉาย กลุ่มไม่ได้มีที่จัดฉายของตนเอง แต่ตระเวนไปจัดฉายหลายๆ ที่ และร่วมงานกับกลุ่มหรือพื้นที่ศิลปะต่างๆ

อีกพื้นที่หนึ่งคือ Documentary Art Asia เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่สนับสนุนคนทำสารคดีในเอเชีย เป็นพื้นที่ตึกสามชั้นย่านวัวลาย มีห้องสมุด กิจกรรมจัดแสดงภาพถ่าย และจัดฉายหนังทุกวันจันทร์และพฤหัส

นอกจากนั้นเชียงใหม่ยังเคยมีการจัดเทศกาลภาพยนตร์กันเอง เช่น ดอยสะเก็ดฟิล์มเฟสติวัล จัดในช่วงปี 2553 ซึ่งจัดฉายหนังหลายพื้นที่มาก มีหนังฉายมากกว่า 80 เรื่อง, Lifescapes South East Asian Film Fesival ฉายหนังอาเซียนลุ่มน้ำโขงและมีการจัดเสวนาต่างๆ โดยจัดได้สองครั้ง คือปี 2011-12 หรือเทศกาลภาพยนตร์สารคดีจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดโดยการสนับสนุนของกงสุลสหรัฐฯ ในปี 2552 และ 2554

 

ย้อนอดีตโรงหนังเชียงใหม่

ณัฐกร วิทิตานนท์ กล่าวเพิ่มเติมถึงข้อมูลพัฒนาการของโรงหนังในเชียงใหม่ โดยโรงหนังยุคแรกๆ มีชนชั้นนำเก่าหรือเป็นเจ้าเก่าที่มาบุกเบิก โรงหนังแห่งแรกในเชียงใหม่ ชื่อพัฒนากร (2466) ตั้งอยู่ย่านถนนช้างคลาน ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นศรีเวียง (2483) และเวียงพิงค์ (2517) ตามลำดับ โดยมีเจ้าไชยสุริวงศ์ ณ เชียงใหม่ เข้ามาเป็นเจ้าของ อีกโรงหนังที่มีชื่อเสียงในย่านกาดหลวง คือศรีนครพิงค์ (2488) ที่มีเจ้าแก้วนวรัฐเป็นเจ้าของ เน้นฉายหนังฝรั่งและแนวคาวบอย และเจ้าไชยสุริวงศ์ ณ เชียงใหม่ ยังมาทำโรงหนังใหม่อีกแห่ง ชื่อสุริวงศ์ (2497)

ต่อมา เป็นยุคทุนท้องถิ่นใหม่ มีคนเข้ามาทำโรงหนังหลายคน หลายศูนย์กลาง เช่น เลิศ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของโรงหนังสามโรง (ศรีวิศาล, ชินทัศนีย์, นครเชียงใหม่) หรือนายณรงค์ โพธิพูนสวัสดิ์ (เสี่ยปุ้ย) สร้างโรงหนังเมืองฟ้า และฟ้าธานี

ยุคกำนันนั้ม นครปฐม หรือนายวีรศักดิ์ จุลนิพิฐวงษ์ ได้กลายมาเป็นเจ้าของโรงหนังขนาดใหญ่หลายแห่งในเมืองเชียงใหม่ โดยใช้วิธีเช่าหลายๆ โรงหนังมา จนสามารถกุมทิศทางของโรงภาพยนตร์ในเชียงใหม่ได้ เช่น แสงตะวัน, ฟ้าธานี, มหานคร, โชตนา

หลังจากนั้นเป็นยุควิสต้า โดยเสี่ยทอมมี่ (ธวัชชัย โรจนะโชติกุล) หันมาจับธุรกิจโรงหนัง เริ่มจากวิสต้า เจริญเมือง เริ่มเปิดปี 2535 ทำจนเครือวิสต้าสามารถผูกขาดโรงหนังทุกโรงที่มีในเชียงใหม่ จนปัจจุบันเหลือที่วิสต้า กาดสวนแก้วเพียงแห่งเดียว ภายใต้การเข้ามาโรงหนังของทุนใหญ่จากเมืองหลวง ทั้งในเครือเอสเอฟซีนีม่า และเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์

โดยสรุป ทำเลที่ตั้งของโรงหนังเชียงใหม่ในอดีตมักจะกระจุกตัวอยู่แต่ในย่านธุรกิจการค้าที่สำคัญ ก่อนที่ต่อมาจะเกิดกระจายตามการขยายของเมือง อีกทั้ง โรงหนังดั้งเดิมจะมีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ แต่ละแห่งจะมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งแทบหาไม่ได้จากโรงหนังในยุคปัจจุบัน และโรงหนังแบบ Standalone เดิม จะสร้างเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนรายรอบด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ขอแสดงความเคารพผู้ต้านรัฐประหารและขอบคุณผู้ช่วยเหลือ

$
0
0

ฤกษ์ 22.11 เฟซบุ๊ค 'สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล' เปิดใช้งานใหม่ เขียนแสดงความเคารพอย่างสูงผู้ต่อต้านการยึดอำนาจการปกครอง ขอบคุณผู้ช่วยเหลือ โดยจะจดจำน้ำใจไว้ตลอดไป และรู้สึกตื้นตันใจที่เห็นนักศึกษาต้านรัฐประหาร ถือว่าช่วยกู้เกียรติชุมชนมหาวิทยาลัยที่ถูกทำให้เสื่อมเสียโดยฝ่ายผู้บริหาร

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (แฟ้มภาพ)

22 พ.ย. 2557 - เมื่อเวลา 03.40 น. ตามเวลาประเทศไทย เฟซบุ๊คของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งปิดการใช้งานไปตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. 2557 ได้เปิดการใช้งานขึ้นมาใหม่ และเปลี่ยนภาพปกเป็นข้อความตอนหนึ่งจาก โคลงสรรเสริญเกียรติกรุงเทพมหานครยุคไทยพัฒนาของจิตร ภูมิศักดิ์ โดยยกท่อนที่เขียนว่า "ถึงยุคทมิฬมาร จะครองเมืองด้วยควันปืน..." และ "แต่คนย่อมเป็นคน" มาเป็นภาพปก

ภาพปกล่าสุดของเฟซบุ๊คสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โดยเป็นการยกท่อนหนึ่งของโคลงสรรเสริญเกียรติกรุงเทพมหานครยุคไทยพัฒนา ของจิตร ภูมิศักดิ์

จากนั้นสมศักดิ์ ยังได้โพสต์สเตตัสเพิ่มเติมมีดังต่อไปนี้

000

[1] ด้วยความเคารพอย่างสูง

เสรีชนทุกท่าน ที่ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ในสภาพที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ได้พยายามแสดงออกด้วยวิธีต่างๆว่า ไม่ยอมรับการใช้อำนาจปืน มาล้มรัฐธรรมนูญ ยึดอำนาจการปกครอง

ขออภัยอย่างสูง ที่ไม่สามารถมีส่วนร่วมในช่วงเวลาที่ผ่านมา

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
22 พฤศจิกายน 2557

[2]คำขอบคุณ

ช่วง 6 เดือนนับจากการรัฐประหาร - อันที่จริง 9 เดือนเศษ นับแต่วันที่มีคนบุกไปยิงถึงบ้าน - จนถึงวินาทีนี้ ผมไม่ได้พักอาศัยอยู่ในบ้านตัวเองเลยแม้แต่คืนเดียว ต้องย้ายที่พักหลายต่อหลายครั้่ง ซึ่งแน่นอนหมายถึงต้องเดินทางหลายครั้่งด้วย

ในการณ์นี้ มีคนจำนวนมาก (ถ้านับแล้วไม่ต่ำกว่า 50-60 คนขึ้นไป) ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ได้ช่วยเหลือ ตั้งแตให้ที่พำนักอาศัย ช่วยเหลือในการเดินทาง ดูแลเรื่องอาหารการกิน ความเป็นอยู่ และอื่นๆอีกหลายเรื่อง หลายคนทำไปอย่างเสี่ยงอันตรายต่อตัวเองอย่างมาก บางคนไม่เพียงแต่เสียแรงกาย และเวลา ยังเสียทรัพย์สินไปไม่น้อย

อันที่จริง ผมอยากจะระบุชื่อแต่ละคน ขอบคุณเป็นคนๆ แต่ถ้าทำเช่่นนั้น ก็มีแตจะสร้างความเดือนร้อนหรือนำปัญหามาให้ทุกคนแน่นอน จึงต้องขออภัยที่จะต้องขอขอบคุณรวมๆมา ณ ที่นี้ ผมจะจดจำน้ำใจครั้งนี้ไว้ตลอดไป

ส่วนใหญ่ที่สุดของท่านที่ให้การช่วยเหลือผมเหล่านี้ ผมไม่รู้จักมาก่อนเลย หลายคน ถ้าจะว่าไปแล้ว ก็มิได้แชร์การเมืองแบบเดียวกับผมเสียทั้งหมดทีเดียว และมีบางคน เป็นผู้ที่ผมมีความเห็นแตกต่าง หรือวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมาก่อน ผมแยกความรู้สึกขอบคุณในน้ำใจที่ให้กับผม กับสิ่งที่เป็นความแตกต่างของเราในอดีต และที่สำคัญ (และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้) ในอนาคตได้ และเชื่อว่า ทุกท่านก็มีวุฒิภาวะมากพอที่เข้าใจเช่นนี้เช่นกัน

ขอได้รับความขอบคุณจากส่วนลึกของหัวใจผม

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
22 พฤศจิกายน 2557

[3]โดยส่วนตัว ในฐานะคนมีอาชีพเป็นครู ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตันใจเป็นพิเศษ ที่เห็นนักศึกษาหลายคนออกมาแสดงบทบาทต่อต้านอำนาจอันธพาลของคณะรัฐประหาร แม้พวกเขาส่วนใหญ่จะไม่ใช่คนที่ผมสอนมาโดยตรงหรือรู้จักเป็นส่วนตัว แตผมรู้สึกภูมิใจในพวกเขามาก อย่างน้อยพวกเขาก็ช่วยกู้ "เกียรติ" ของชุมชนมหาวิทยาลัย ที่ถูกทำให้เสื่อมเสียไปจากการที่ผู้บริหารแทบทุกแห่ง ซึ่งเป็นผู้ใหญ่พอที่จะรู้อะไรผิดอะไรถูก กลับไปยอมสยบให้กับการกระทำผิดที่ร้ายแรงที่สุดในระบบกฎหมายและการปกครอง (สำหรับนักศึกษาบางคนที่ผมโชคดีได้สอนและแลกเปลี่ยน "วิชา" ต่างๆด้วยโดยตรง ผมยิ่งรู้สึกภูมิใจเป็นพิเศษ คิดถึงพวกคุณเสมอ)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อดจัดเสวนา 'ระบบรัฐสภา' เหตุ คสช.ออกใบอนุญาตให้ไม่ทัน

$
0
0



22 พ.ย. 2557 โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ว่า เดิม สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษามีกำหนดจัดงานเสวนา ชื่อ "เวทีเสาร์ถกแถลง" ในประเด็นเรื่อง "ระบบรัฐสภาแบบไหน? ความหวังประชาธิปไตย" วันนี้ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ต้องงดจัดเพราะไม่ได้รับอนุญาตจากทหาร

โคทม กล่าวว่า ทราบมาว่า จุฬาฯ ได้ทำเรื่องขอไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ทางสถาบันฯ จึงได้ทำหนังสือขออนุญาตไปที่ทหารอีกทางหนึ่งเมื่อวันที่ 20 พ.ย. ต่อมา ได้รับการติดต่อจากทหารเมื่อเวลา 19.00 น. วานนี้ว่าทำหนังสือให้ไม่ทัน

โคทม กล่าวว่า ที่ผ่านมา มีการจัดเวทีเสาร์ถกแถลงไปแล้วสามครั้ง โดยสองครั้งแรกเป็นประเด็นเรื่องระบบการเลือกตั้ง และการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จุฬาฯ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นกิจกรรมวิชาการ จึงไม่ได้ขออนุญาต และก็สามารถจัดได้

ส่วนครั้งที่สามซึ่งเสวนาเรื่องกระบวนการปรองดองนั้น เดิมวางหัวข้อวิเคราะห์สาเหตุของความขัดแย้งไว้สามหัวข้อย่อย คือ 1) แนวคิดจารีต vs แนวคิดชนชั้นกลางใหม่ 2) แนวคิดอำนาจนิยมอันจำเป็นแก่การคืนความสุข vs ประชาธิปไตยต้องทนกันได้ และ 3) การปกป้องระบบเจ้านายที่ถูกคุกคาม vs ปรับปรุงระบบเจ้านายให้โปร่งใส ปรากฏว่าทหารไม่ชอบหัวข้อ 2 กับ 3 จึงต้องตัดออก ส่วนสถานที่จัดนั้นมีความสับสนเกิดขึ้น เนื่องจากนายทหารคนหนึ่งบอกว่าจัดได้ ขณะที่นายทหารอีกคนติดต่อไปยังรองอธิการบดีจุฬาฯ คนหนึ่งว่าไม่เห็นด้วยที่จะจัด จึงย้ายไปจัดที่ม.มหิดล แทน

สำหรับครั้งที่ 4 นี้ เป็นประเด็นเรื่อง ระบบรัฐสภาแบบไหน? ความหวังประชาธิปไตย จะมีการบรรยายใน 3 หัวข้อ ได้แก่ ระบบรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ 2540 โดย พนัส ทัศนียานนท์ อดีต ส.ว. และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบบรัฐสภาที่แยกอำนาจเด็ดขาดระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ โดย บุญสม อัครธรรมกุล และ ระบบรัฐสภาแก้ไขเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 โดย โคทม อารียา

โคทม กล่าวว่า ไม่เคยคิดว่าจะมีปัญหา ครั้งที่ 4 นี้ ก็คุยกันเรื่องการออกแบบระบบรัฐสภา โดยหวังว่าจะนำข้อเสนอทางวิชาการ ที่มีเหตุมีผล มีข้อสนับสนุนรองรับ เสนอต่อคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม แม้วันนี้ไม่ได้จัด แต่ก็ยังวางแผนจะจัดต่อไปในเดือนหน้า

ทั้งนี้ เขาแนะนำ คสช.ด้วยว่า ควรจะคืนประชาธิปไตย และเริ่มกระบวนการปรองดอง ซึ่งระยะแรกประกอบด้วย การเยียวยาอดีต ไม่เพิ่มเงื่อนไข และไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ระยะกลาง ปฏิรูปโครงสร้าง ลดความเหลื่อมล้ำ และระยะยาว ต้องสร้างวิสัยทัศน์และคุณค่าร่วมกันเรื่องประชาธิปไตย ให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของอธิปไตย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สามนิ้วโผล่ญี่ปุ่น นักศึกษาทำกิจกรรมต้านครบรอบ 6 เดือนรัฐประหาร

$
0
0

นักศึกษาในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทำกิจกรรมในวาระครบรอบ 6 เดือนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 โดยการชูป้ายข้อความภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น รวมทั้งการชู 3 นิ้วสัญลักษณ์ต้านรัฐประหาร

 

22 พ.ย. 2557 นักศึกษา International Studies กลุ่มหนึ่งในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทำกิจกรรมในวาระครบรอบ 6 เดือนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 โดยการชูป้ายข้อความภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น รวมทั้งการชู 3 นิ้วเป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านรัฐประหาร

นักศึกษาผู้เข้าร่วมกิจกรรมผู้หนึ่ง แสดงความเห็นว่า เป้าหมายในการรัฐประหารคือความต้องการกระชับอำนาจเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปในทิศทางที่ตนเองควบคุมได้ การปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอาจเพิ่มความตึงเครียดในระบบการเมืองและนำไปสู่ความรุนแรงที่มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่  

นักศึกษาชาวจีนผู้หนึ่ง กล่าวถึงการรัฐประหารในประเทศไทยว่า เมื่อ 6 เดือนก่อนเธอยังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในคืนที่มีการรัฐประหาร เธอพบว่าโทรทัศน์เปิดแต่เพลงปลุกใจ ในวันต่อๆ มา เธอประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เพื่อนร่วมชั้นของเธอที่ธรรมศาสตร์ล้วนแต่สนับสนุนรัฐประหาร เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดกลุ่มคนไทยที่มีการศึกษาระดับสูงจำนวนมากจึงต้องการให้ประเทศถูกปกครองภายใต้ระบบเผด็จการทหาร

นักวิชาการจากประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผู้หนึ่งกล่าวว่า เธอคิดว่าระบบการเมืองกับทหารควรแยกออกจากกัน โดยส่วนตัวแล้วเธอยอมรับได้กับระบบอำนาจนิยมบางแบบ เช่นที่เป็นอยู่ในสิงคโปร์ แต่เธอยอมรับไม่ได้หากทหารจะเข้ามามีบทบาทในการเมือง นอกจากนั้น เธอเห็นว่าการที่รัฐไทยไล่จับคนที่ชูสัญลักษณ์ 3 นิ้วนั้นเป็นเรื่อง silly เธอเข้าใจได้ว่าเหตุใดรัฐไทยจึงเป็นกังวลกับการเคลื่อนไหวอันมีที่มาจากภาพพยนต์ซึ่งมีเนื้อหาต่อต้านอำนาจอย่าง The Hunger Games อย่างไรก็ตาม เธอไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจจับกุมของรัฐบาลไทย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผุดป้ายผ้ารูปชูสามนิ้ว-ต้านรัฐประหาร หลายจุดในเมืองเชียงราย

$
0
0

ผุดป้ายผ้ารูปชูสามนิ้ว และป้ายมีข้อความต่อต้านรัฐประหารหลายจุดในเมืองเชียงราย เบื้องต้นยังไม่ทราบผู้ใดติดป้ายดังกล่าว คาดต้อนรับ ‘อนุพงษ์’ ปาฐกถาหอการค้าเชียงราย

 

 

22 พ.ย. 2557 ที่จังหวัดเชียงราย ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตั้งแต่ช่วงค่ำวานนี้ (21 พ.ย.) มีผู้พบเห็นป้ายผ้าหลายอัน ที่มีรูปวาดมือชูสามนิ้ว และป้ายผ้าที่มีข้อความต่างๆ ในลักษณะต่อต้านการรัฐประหาร เช่น ป้ายที่มีคำว่า “Freedom”, “ผมนี่สามนิ้วเลย”, “ไม่เอารัฐทหาร” เป็นต้น

เท่าที่มีผู้พบเห็น ป้ายลักษณะดังกล่าว ถูกติดอยู่ทั้งบริเวณถนนย่านมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย, บริเวณย่านมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, บริเวณถนนหน้าค่ายเม็งรายมหาราช เป็นต้น โดยมีผู้ถ่ายรูปป้ายผ้าดังกล่าวและโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก แต่ในเบื้องต้นยังไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้ติดป้ายผ้าดังกล่าว

 

มือมืดป่วนรอบค่ายฯ-มฟล.พ่นสีต้าน คสช. รับ "อนุพงษ์" เยือนเวทีหอการค้า

ด้านมติชนออนไลน์รายงานวันนี้ (22 พ.ย.) ว่าจากกรณีที่ทางหอการค้าไทยจัดให้มีการประชุมหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 37 ที่ จ.เชียงราย โดยมีพิธีเปิดที่หอประชุมสมเด็จย่า มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ต.ท่าสุด อ.เมือง และทาง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.กระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "กระทรวงมหาดไทยกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค" ในช่วงเช้าของวันนี้พบว่าได้มีผู้ออกเคลื่อนไหวด้วยการเขียนข้อความและภาพสัญลักษณ์ที่มีเนื้อหาต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)โดยก่อนเช้าได้มีผู้นำสีไปพ่นบริเวณถนนรอบค่ายเม็งรายมหาราชซึ่งเป็นที่ตั้งของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดทหารบกเชียงราย (กกล.รส.จทบ.ชร.) และหน่วยทหารอื่นๆ อีกหลายหน่วย

โดยแต่ละข้อความส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นบริเวณถนนรอบค่ายเม็งรายมหาราชมีข้อความที่หลากหลายและบางครั้งก็มีภาพมือชู 3 นิ้วซึ่งการพ่นข้อความตามจุดต่างๆ ดังกล่าวกระจายไปตามถนนรอบค่ายห่างกันรวมจำนวนประมาณ 7 จุด

กระทั่งรุ่งเช้ามีผู้ไปพบเห็นข้อความจึงแจ้งเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร ทำให้ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ออกมาทำความสะอาดและลบข้อความดังกล่าวให้เป็นไปตามปกติ ทั้งนี้เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นแม้ว่าช่วงคืนที่ผ่านมาทาง พ.ต.อ.สงวน โรงสะอาด รอง ผบก.ภ.เชียงราย ได้เป็นประธานปล่อยแถวการปฏิบัติภารตำรวจและทหารกว่า 100 นาย จากบริเวณห้าแยกพ่อขุน อ.เมือง เพื่อร่วมกันตั้งจุดตรวจจุดสกัดกลางคืนเพื่อป้องกันการกระทำผิดกฎหมายและตรวจสอบการเคลื่อนไหวเชิงแสดงสัญญาลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลแล้วก็ตาม

นอกจากนี้พบว่าบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงซึ่งทาง พล.อ.อนุพงศ์ เดินทางไปปาฐกถายังพบมีผู้นำป้ายข้อความไปติดเอาไว้บนป้ายประชาสัมพันธ์งาน MFU Book Fair 2014 มีเนื้อหากระทบกระเทียบการห้ามชู 3 นิ้วและเขียนภาพคนชูนิ้วมือ 3 นิ้วพร้อมข้อความประชดประชัน ขณะที่บางจุดพ่นข้อความด้วยสีระบุข้อความและตัวหนังสือคล้ายๆ กับที่เกิดขึ้นบนถนนใกล้ค่ายเม็งรายมหาราชด้วย

ซึ่งหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำความสะอาดและเก็บสิ่งแสดงสัญลักษณ์ดังกล่าวก่อนจะมีการจัดวางกำลังตามจุดต่างๆเพื่อเฝ้าระวังการแสดงสัญลักษณ์ดังกล่าว

ทั้งนี้เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่พบผู้กระทำการดังกล่าวในทั้ง 2 จุด คาดว่าได้ออกกระทำตั้งแต่เช้ามืดหรือกลางคืนจึงมีการติดตามด้วยกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามหาตัวว่าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาหรือไม่อย่างไรต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 58138 articles
Browse latest View live




Latest Images