Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 57985 articles
Browse latest View live

คาดกลาง เม.ย. 58 จะได้ร่าง รธน.ฉบับใหม่

0
0
สนช.จัดโครงการพบประชาชน รับฟังความเห็น-ข้อเสนอเรื่องปฏิรูป-ยกร่างรัฐธรรมนูญ “สุรชัย” ระบุจัดพบปะประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาเป็นข้อมูลปฏิรูป-ยกร่างฯ คาดกลาง เม.ย.58 จะได้ร่าง รธน.ฉบับใหม่ด้าน อนุ กมธ.ยกร่างฯ เตรียมถกกระบวนการตรวจสอบอำนาจรัฐ 24 พ.ย.นี้

 
22 พ.ย. 2557 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จัดโครงการสมาชิกสภานิติบัญญัติพบประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบถึงบทบาทอำนาจหน้าที่และแนวทางการดำเนินงานของ สนช. อีกทั้งเพื่อให้ สนช.รับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชน ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วม โดยมีผู้แทนเครือข่ายนักประชาธิปไตยทั่วประเทศ เข้าร่วม
 
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. กล่าวเปิดโครงการ โดยเน้นย้ำถึงภารกิจสำคัญของ สนช.ในการทำหน้าที่เป็นตัวแทน ส.ส.และ ส.ว. ซึ่ง สนช.ทั้งหมดต้องทำงานอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม สนช.ไม่ได้มีสถานะเหนือประชาชน เป็นแต่เพียงผู้ที่ได้รับโอกาสเข้ามาทำงาน จึงต้องรับฟังความเห็นประชาชน โดยหลังจากนี้จะมีการพบปะประชาชนต่อเนื่อง เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการปฏิรูปประเทศและการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยหวังให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์
 
“ปัญหาประเทศขณะนี้เป็นปัญหาสะสมต่อเนื่องยาวนาน และเมื่อไม่ได้รับการแก้ไขถูกวิธี จนทำให้กลายเป็นความขัดแย้ง ดังนั้นแนวทางการแก้ปัญหาขณะนี้ คือ การสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยมีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็น 5 องค์กรสำคัญในการขับเคลื่อนและผลักดันให้มีประชาธิปไตยที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่ประชาธิปไตยที่มีการผูกขาดของกลุ่มทุนกลุ่มใด หรือมีแต่เพียงกระบวนการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ต้องมีกระบวนการในการดำเนินการตรวจสอบ ถ่วงดุล ถอดถอนผู้แทนประชาชนหรือนักการเมืองที่ทุจริตประพฤติมิชอบออกจากตำแหน่ง” นายสุรชัย กล่าว
 
นายสุรชัย กล่าวอีกว่า สนช.ได้ตั้งคณะกรรมาธิการสามัญรวบรวมความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 34 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีตนเป็นประธาน ซึ่งผู้แทนเครือข่ายนักประชาธิปไตยทั่วประเทศทุกคนสามารถส่งความเห็นเสนอผ่านช่องทางของ สนช.ได้ ก่อนที่จะได้เห็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กลางเดือนเมษายน 2558
 
อนุ กมธ.ยกร่างฯ เตรียมถกกระบวนการตรวจสอบอำนาจรัฐ 24 พ.ย.นี้
 
ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่ 8 ว่าด้วยนิติธรรม ศาล และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า ในการประชุมอนุ กมธ.ฯ ในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ จะมีการพิจารณารายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดเป็นกรอบสาระสำคัญต่อการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
 
นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า เบื้องต้นในกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐนั้น ตนมีแนวคิดจะใช้ 3 ส่วนหลัก คือ 1.องค์กรอิสระ หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2550 ได้กำหนดไว้ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นต้น, 2.ส่วนของผู้แทนปวงชนชาวไทย คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ตรวจสอบในประเด็นนโยบายรัฐบาล, โครงการรัฐบาลที่กระทบกับภาพกว้าง ซึ่งให้สิทธิ์ ส.ส., ส.ว.สามารถตรวจสอบความผิดรัฐมนตรีและยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมได้โดยตรง และ 3.ภาคประชาชนโดยจัดตั้งสภาตรวจสอบภาคประชาชน จำนวน 77 จังหวัด ให้ตรวจสอบในส่วนของท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น และให้อำนาจยื่นฟ้องศาลหรืออัยการประจำจังหวัดได้
 
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ขณะที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีข้อเรียกร้องให้ปรับปรุงกระบวนการทำงานหรือกระบวนการสรรหานั้นเป็นสิ่งที่อนุ กมธ.ฯ  พิจารณาร่วมด้วย โดยประเด็นสำคัญ คือ องค์กรอิสระ เช่น กกต. ไม่ใช่องค์อำนาจธิปไตยที่ 4 ดังนั้นกระบวนการให้โทษ หรือให้คุณ จึงไม่ถือเป็นอำนาจขององค์กรอิสระ จึงไม่ควรมีหน้าที่วินิจฉัยความผิด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่นำเสนอดังกล่าวจะถูกยกเข้าสู่ที่ประชุมอนุ กมธ.ฯ เพื่อพิจารณากำหนดเป็นแนวทางที่นำไปยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป เบื้องต้นอาจมีความเห็นที่แตกต่างจากนี้
 
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: สำนักข่าวไทย
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักศึกษาปาตานี 'ส่งสาส์น' ให้กำลังใจต่อนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย

0
0
สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานีส่งสาส์นเป็นกำลังใจให้ประชาชน นักศึกษา นักกิจกรรม นักวิชาการ เพื่อประชาธิปไตยและสันติภาพให้ยึดมั่นบนแนวทางสันติวิธีและเคลื่อนไหวต่อไป

 
22 พ.ย. 2557 สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานีส่งสาส์นเรื่อง ขอเป็นกำลังใจให้นักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย โดยระบุว่าเนื่องด้วยเหตุการณ์คุกคามเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน นักศึกษา นักกิจกรรม ที่มีมาโดยตลอดหลังการปฏิวัติรัฐประหาร ล่าสุดเหตุการณ์ ควบคุมตัว กลุ่มนักศึกษาดาวดิน จำนวน  5   คน ในวันที่  19 พฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา  ในขณะนักศึกษายืนชู 3 นิ้ว "ไม่-เอา-รัฐ-ประ-หาร"  เป็นการคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน การปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนถือเป็นอุปสรรค์ในการพัฒนาประเทศชาติ
 
สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) เป็นองค์กรที่เคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อสันติภาพปาตานี โดยยึดหลักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนสากล วิตกกังวลอย่างยิ่ง ต่อการยึดอำนาจของทหาร ซึ่งบทเรียนจากสงครามปาตานีได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่า กฎอัยการศึก และแนวทางการทหาร อำนาจเผด็จการไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองได้ ยังจะนำไปสู่ความรุนแรงในที่สุด เพราะประชาชนไม่เคยคิดยอมจำนนต่อการกดขี่เสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน การปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกการปิดพื้นที่ทางการเมืองนั้น อาจเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดความรุนแรงและยืดเยื้อเพราะเราเชื่อว่าแนวทางประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งสันติภาพ
 
ทางสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) ขอเป็นกำลังใจให้ประชาชน นักศึกษา นักกิจกรรม นักวิชาการ เพื่อประชาธิปไตยและสันติภาพให้ยึดมั่นบนแนวทางสันติวิธีและเคลื่อนไหวต่อไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดาวดินระบุถูกคุกคามต่อเนื่อง แต่ยังปลอดภัยดี

0
0
กลุ่มดาวดินร่อนจดหมายจากบ้านดาวดินฉบับที่ 1 ระบุฝ่ายความมั่นคงยังคงติดตามคุกคาม แต่ยังปลอดภัยดีทั้ง 5 คน

 
22 พ.ย. 2557 นักศึกษากลุ่มดาวดินออกจดหมายจากบ้านดาวดิน ฉบับที่ 1  เปิดเผยว่าฝ่ายความมั่นคงยังคงติดตามคุกคาม แต่ยังปลอดภัยดีทั้ง 5 คน โดยรายละเอียดทั้งหมดของจดหมายมีดังต่อไปนี้
 
จดหมายจากบ้านดาวดิน ฉบับที่ 1 
 
หลังจากที่ 2 คนเซ็นยอมรับเงื่อนไขของทหารเพราะแรงกดดันจากทางครอบครัวและอีก 3 คนที่ไม่ยอมเซ็นรับเงื่อนไขของทหารและถูกปล่อยตัวออกจากค่ายศรีพัชรินทร์ หลังจาก ถูกปล่อยตัวออกจากค่ายทหาร พวกเรา (ดาวดิน) รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยเพราะหลังจากที่โดนปล่อยตัวได้มีรถหลายคันมาวนเวียนที่หน้าบ้านหลายครั้ง มีรถกระบะสีดำมาจอดที่หน้าบ้านเมื่อเข้าไปสอบถามก็บอกว่าเป็นความมั่นคงจังหวัดขอนแก่นและได้มีการสอบถามข้อมูลของพวกเราจากร้านขายของชำในละแวกบ้านดาวดิน และมีการถามบ้านเลขที่ของบ้านดาวดินด้วย
 
เนื่องจากความกังวลจากเหตุการณ์ดังกล่าวทั้ง 3 คนที่ไม่เซ็นยอมรับเงื่อนไขของทหารก็ได้มีการแถลงข่าวที่คณะนิติศาสตร์ ในเวลา 18:00 น. จากนั้นมีข่าวมาว่าจะมีทหารเข้ามาที่บ้านดาวดินและยัดข้อหาให้พวกเรา(แหล่งข่าวไม่ชัดเจน) และมีรถหลายคันมาวนเวียนที่หน้าบ้านเราจึงลงความเห็นว่าควรจะย้ายไปอยู่ในที่ปลอดภัยด้วยกัน แต่เมื่อไปถึงที่นัดพบปรากฏว่าได้สังเกตถึงรถคันที่เคยมีทหารได้ขับมาวนเวียนที่หน้าบ้านวนเวียนอยู่บริเวณดังกล่าวจึงตัดสินใจว่าควรแยกย้ายกันไปอยู่ในที่ปลอดภัย
 
เข้าวันต่อมา (วันที่21พฤศจิกายน) เรานัดรวมตัวกันแต่ก็มีรถกระบะมาวนเวียนอยู่หน้าบ้านบ้าง และเมื่อเรารวมตัวกันมีเพื่อนคนหนึ่งรู้สึกว่ามีคนตามขึงรับขับรถหนีและมาที่บ้านดาวดิน
 
จากนั้นในช่วงเย็น ผู้ปกครองของนักศึกษาหนึ่งในสองคนที่ยอมเซนต์ชื่อแล้ว มารับลูกกลับบ้านหลังจากที่ได้กลับมาเพียงไม่นาน เนื่องจากมีทหารนอกเครื่องแบบไปพบผู้ใหญ่บ้านแล้วให้พาไปถ่ายรูปบ้าน ในขณะที่ตนไม่อยู่บ้าน จึงเกิดความกังวลต่อความปลอดภัยของลูก
 
นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าว (ที่มาไม่ชัดเจน) มาว่าทางตำรวจจะเตรียมหมายค้น มาตรวจค้นบ้านดาวดิน ซึ่งเป็นบ้านสำหรับทำกิจกรรม ภายใน 3-4 วันนี้ และยังมีข่าวเรื่องที่จะดรอปเรียน นักศึกษาทั้ง 5 คน มาเป็นระยะ ซึ่งจากการตรวจสอบสถานะนักศึกษาทั้งห้าคนตอนนี้ ยังมีสถานะนักศึกษาอยู่ทั้งหมด
 
ตอนนี้พวกเรายังคงปลอดภัยดี เพื่อนๆ ของเราทั้ง 5 คนก็ยังปลอดภัยดีเช่นกัน....
 
ปล.รักษาเนื้อรักษาตัวกันด้วยนะทุกคน
 
วันที่ 22 พฤศจิกายน 57
15:30 น. เขียนที่ บ้านดาวดิน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สหภาพฟอร์ดมาสด้าเจรจาครั้งที่ 3 บริษัทเสนอโบนัส 5.5 เดือนบวก 4 หมื่น

0
0

22 พ.ย. 2557 สหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้า ประเทศไทย เปิดเผยว่าในการเจรจาข้อเรียกร้องเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2557 ที่ผ่านมานั้นมีความคืบหน้าคือ หลังจากที่สหภาพแรงงานขอให้ทางบริษัทจ่ายโบนัส ประจำปี 2557 ในอัตรา 9 เท่าของเงินเดือน และเพิ่มพิเศษอีก 50,000 บาท ตามข้อเรียกร้องที่ยื่นไปเมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมานั้น ในการเจรจาครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2557 ที่ผ่านมาทางบริษัทฯ ได้เสนอต่อสหภาพฯ ที่จะให้โบนัส 5.5 เท่าของเงินเดือน และเพิ่มพิเศษอีก 40,000 บาท
 
นอกจากนี้บริษัทฯ ได้เสนอต่อสหภาพฯ ขึ้นเงินเดือน 5% เพิ่มพิเศษอีก 300 บาท และให้ค่าสาธารณูปโภค ค่าเบี้ยขยันรายเดือน และค่าเบี้ยขยันรายปี 300 บาท ส่วนข้อเรียกร้องอื่นๆ นั้นทางบริษัทฯ จะนำเสนอในการเจรจาครั้งต่อไป
 
อนึ่งข้อตกลงที่ยังไม่บรรลุข้อตกลงระหว่างสหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้าแห่ง ประเทศไทยกับบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่น่าสนใจก็ยังเหลือเช่น ให้บริษัทฯ กำหนดสัดส่วนของพนักงานประจำต่อพนักงานเหมาค่าแรงในอัตราส่วนพนักงานประจำ 90 เปอร์เซ็นต์ พนักงานเหมาค่าแรง 10 เปอร์เซ็นต์ การให้บริษัทฯ จ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการให้กับพนักงานเหมาค่าแรงเพื่อให้สอดคล้องตามมาตรา 11/1 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน เป็นต้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สวนกุหลาบแปรอักษรให้สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล-วีระ สมความคิด

0
0

แปรอักษรฟุตบอลจตุรมิตรครั้งที่ 27 ฝั่งเด็กสวน แปรอักษรให้อดีตศิษย์เก่าสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และวีระ สมความคิด พร้อมข้อความ "-1 (OSK) +1 (OSK) = 0" นอกจากนี้มีการแปรอักษรให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาด้วย

22 พ.ย. 2557 - ที่สนามศุภชลาศัย มีการแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี ครั้งที่ 27 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยผลการแข่งขันชิงอันดับที่ 3 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ชนะ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย 1 ต่อ 0 ส่วนรอบชิงชนะเลิศ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เสมอ โรงเรียนอัสสัมชัญ 1 ต่อ 1

ที่มา: เพจศาสดา

ในการแข่งขันฟุตบอล อัฒจันทร์ด้านไม่มีหลังคามีการแปรอักษรของโรงเรียนต่างๆ ด้วย โดยช่วงหนึ่งที่นั่งชมกีฬาฝั่งโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยได้แปรเป็นภาพ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ วีระ สมความคิด และข้อความ -1 (OSK) +1 (OSK) = 0

โดยทั้ง 2 คนเรียนจบจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โดยสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยุติการใช้เฟซบุ๊คนับตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จนกระทั่งกลับมาเปิดใช้งานใหม่วันนี้ โดยเป็นผู้ที่ถูก คสช. เรียกให้ไปรายงานตัวด้วยและยังไม่เข้ารายงานตัว ส่วนวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติซึ่งเคลื่อนไหวอ้างสิทธิในพื้นที่พิพาทกับกัมพูชา และถูกเจ้าหน้าที่กัมพูชาจับกุมในวันที่ 29 ธันวาคม 2553 เนื่องจากข้ามเข้าไปในฝั่งกัมพูชา  กระทั่งได้รับอภัยโทษจากรัฐบาลกัมพูชาและกลับไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2557

นอกจากนี้ที่นั่งชมกีฬาฝั่งโรงเรียนสวนกุหลาบ มีการแปรอักษรรูป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. และมีข้อความ "ขอเวลาอีกไม่นาน" และ "We can't refuse"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มทบ.33 ปรับทัศนคติ 2 หนุ่มชู 3 นิ้ว แนะมีปัญหาให้มาเสนอ สปช.-ศูนย์ดำรงธรรม

0
0

2 หนุ่มชู 3 นิ้วที่ท่าแพเข้ารายงานตัวค่ายกาวิละ ระบุทำไปเพื่อให้กำลังใจดาวดินและเป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ด้านนายทหารแนะไม่ควรใจร้อน-ขอโอกาส คสช. เตือนเคลื่อนไหวแบบนี้จะทำให้เลิกกฎอัยการศึกไม่ได้ หากทำอีกจะต้องไปศาลทหารและ จนท.จะไปเยี่ยมถึงบ้าน ขณะที่ตลอดทั้งวันมีการเพิ่มกำลังทหาร-ตำรวจเฝ้าหลายจุด รับมือ 6 เดือน คสช.

22 พ.ย.57 - เมื่อเวลา 9.00 น. ที่มณฑลทหารบกที่ 33 จังหวัดเชียงใหม่ นายษิณะพันธ์ เกิดสนอง และนายดำนาย ประทานัง ได้นัดเข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ทหาร หลังถูกติดตามตัว เนื่องเหตุทำกิจกรรมชูสามนิ้วที่ประตูท่าแพ เมื่อค่ำวันที่ 20 พ.ย.57

หลังจากวานนี้ เจ้าหน้าที่ทหารได้เชิญตัวนายนิติพงศ์ สำราญคง บรรณาธิการสนพ.บุราคุมิน ไปพูดคุยปรับทัศนคติ จากกรณีที่ได้ทำกิจกรรมชูสามนิ้วที่ประตูท่าแพและโพสต์ภาพลงเฟซบุ๊ค (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)เจ้าหน้าที่ทหารยังได้ติดตามไปยังบ้านพักของนายษิณะพันธ์ เกิดสนอง แต่ไม่เจอตัว นายษิณะพันธ์และนายดำนายจึงได้นัดหมายกันเข้าพบเจ้าหน้าที่ทหารด้วยตนเอง พร้อมมีทนายความอาสาจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนติดตามเข้าพบด้วย

ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า การพูดคุยในวันนี้มีขึ้นที่สโมสรค่ายกาวิละ โดยมีพันเอกโภคา จอกลอย หัวหน้ากองข่าวมณฑลทหารบกที่ 33 เป็นผู้มาพูดคุยด้วย โดยได้ถูกสอบถามถึงประวัติส่วนตัว สาเหตุการไปชูสามนิ้ว ประวัติการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ และถามถึงสิ่งที่อยากให้เจ้าหน้าที่ทหารแก้ไข ซึ่งทั้งสองคนก็เสนอให้มีการยกเลิกกฎอัยการศึก และยืนยันว่าพวกเขาทำกิจกรรมชูสามนิ้วเพื่อให้กำลังใจกับนักศึกษากลุ่มดาวดิน และกิจกรรมนี้เป็นสิทธิของประชาชนที่จะทำได้ในระบอบประชาธิปไตย

เจ้าหน้าที่ทหารได้ตักเตือนทั้งคู่ว่าไม่ควรใจร้อน ควรให้โอกาสคสช. หรือถ้ามีปัญหาอะไร ก็ควรส่งเรื่องไปยังสปช.หรือศูนย์ดำรงธรรม และยังกล่าวด้วยว่าเพราะมีการเคลื่อนไหวลักษณะนี้ ทำให้ยังเลิกกฎอัยการศึกไม่ได้ และเตือนด้วยว่าถ้าหากทั้งคู่ยังเคลื่อนไหวทางการเมืองอีก จะถูกดำเนินคดีขึ้นศาลทหาร อีกทั้งเจ้าหน้าที่อาจจะไปเยี่ยมเยือนที่บ้าน

การพูดคุยใช้เวลาราวชั่วโมงครึ่ง ก่อนทั้งสองคนจะถูกนำตัวขึ้นรถตู้ไปยังสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงใหม่ เพื่อลงบันทึกประจำวันและเซ็นเอกสารข้อตกลงไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองอีก โดยเจ้าหน้าที่มีการกรอกข้อมูลให้เองว่าทั้งสองคนไปชูสามนิ้ว เพราะความคึกคะนอง

สำหรับนายดำนาย อายุ 40 ปี ประกอบอาชีพเป็นนักเขียนนักแปลอิสระ ผู้ใช้นามปากกาว่า “ปั้นคำ” ส่วนนายษิณะพันธ์ อายุ 31 ปี ประกอบอาชีพเป็นพนักงานโรงแรม

ทหารตั้งจุดอำนวยการที่ประตูท่าแพ ถ่ายเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2557 ทั้งนี้จุดอำนวยการดังกล่าวมีมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร และมีการปรับลดกำลังลง อย่างไรก็ตามล่าสุดนี้มีการเพิ่มกำลังมากขึ้น และเปลี่ยนจุดอำนวยมาอยู่ติดถนน หลังเกิดเหตุมีบุคคลมาชูสามนิ้วเมื่อวันที่ 20 พ.ย. โดยตลอดทั้งวันยังมีรายงานเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ เพิ่มจุดวางกำลังในพื้นที่สำคัญของเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งในห้างสรรพสินค้า และโรงภาพยนตร์ด้วย

ทหารจอดรถฮัมวี่ในที่ห้ามจอด หน้าอาคารยูนิเซิร์ฟ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2557 โดยในวันดังกล่าวที่สนามกีฬาหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน มีการจัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรง ต่อเด็กและสตรีด้วย (ที่มาของภาพ: เพจลัทธิชาว มช.)

ขณะเดียวกัน ตั้งแต่เมื่อวานนี้มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้เพิ่มกำลังมากขึ้นในบริเวณจุดสำคัญของเมืองเชียงใหม่ โดยที่ประตูท่าแพได้มีการย้ายเต้นท์ของเจ้าหน้าที่ที่เคยตั้งอยู่ด้านมุมของลานประตูท่าแพ มาตั้งอยู่กลางลาน และเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่มากยิ่งขึ้น หรือที่บริเวณโรงภาพยนตร์หลายโรงในจังหวัดเชียงใหม่ ก็มีการส่งกำลังเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าดู และนำรถควบคุมผู้ต้องขังของตำรวจไปจอดในบริเวณห้างสรรพสินค้า อีกทั้งยังมีการส่งกำลังทหารไปเฝ้าดูภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในช่วงสายวันนี้ด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกร็ดข่าว: กระรอกเซลฟี่หน้ากล้อง-ก่อนคาบขึ้นต้นไม้กลายเป็นภาพมุมสูง

0
0

กระรอกเข้ามาจดๆ จ้องๆ ก่อนคาบกล้องวิดีโอแบบแอคชั่นขึ้นต้นไม้ (ที่มา: Viva Frei/Youtube)

20 พ.ย. 2557 - ผู้ใช้ YouTube ชื่อบัญชี "Viva Frei" ซึ่งอาศัยอยู่ที่แคนาดา โพสต์วิดีโอคลิปความยาว 1.06 นาที และ 2.08 นาที จากกล้องวิดีโอแบบแอคชั่น GoPro ซึ่งกำลังเปิดหน้าจอบันทึกวิดีโอในมุมมองระดับพื้น และถูกกระรอกซึ่งเข้ามาจดๆ จ้องๆ คาบกล้องวิดีโอขึ้นต้นไม้ก่อนปล่อยกล้องจากกิ่งไม้ลงสู่พื้น โดยผลจากการคาบกล้องขึ้นต้นไม้ ทำให้เห็นภาพมุมสูงฝีมือกระรอกที่น่าสนใจ โดยขณะนี้มีผู้ชมวิดีโอดังกล่าวใน YouTube กว่า 4 ล้านวิว และ 1.27 แสนวิว ตามลำดับ

สำหรับกล้อง GoPro เป็นกล้องแนวแอคชั่น ที่มีขนาดกระทัดรัดและน้ำหนักเบา สามารถถ่ายภาพขนาด Hi-definition โดยผู้ใช้กล้องนิยมพกพาติดไปกับพาหนะต่างๆ เพื่อบันทึกภาพวิดีโอเช่น ระหว่างขี่จักรยาน หรือมอเตอร์ไซค์ นอกจากนี้ยังมีผู้นำไปติดกับสัตว์เลี้ยงก็มี โดยมุมกล้องที่กว้างและมีระบบป้องกันการสั่นไหวของกล้องดังกล่าว มักทำให้เกิดมุมมองจากภาพวิดีโอที่น่าสนใจ เช่น ที่ผ่านมา มีการนำกล้องประเภทนี้ไปติดกับสัตว์ประเภทต่างๆ เช่น สุนัข เหยี่ยว หรือแม้แต่ปลาโลมา (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

กล้อง GoPro HD HERO ติดหลังโลมา ที่ซานครูส มลรัฐแคลิฟอเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2555 (ที่มา: GoPro/Youtube)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อนุมัติหมายจับ 'พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์' ม.112

0
0

เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่าเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2557 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีรายงานข่าวเปิดเผยว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 631/2557 ลงวันที่ 21 พ.ย. 2557 ให้พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.ขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน. พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล ผกก.ตม.สมุทรสาคร ตำรวจชั้นประทวน 1 นาย และพลเรือนอีก 4 ราย ในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเป็นเจ้าพนักงาน เรียกรับสินบนหรือประโยชน์อื่นใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 149 ล่าสุดวันเดียวกันนี้ศาลได้อนุมัติหมายจับบุคคลทั้งหมดตามคำร้องของผบช.น.แล้ว
 
แหล่งข่าวระดับสูงกล่าวว่าขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมด ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดและสถานที่ ก่อนหน้านี้นายตำรวจทั้งหมด ถูกคำสั่งย้ายพ้นตำแหน่งไปประจำที่ ศปก.ตร. รวมทั้งพ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ ผกก.1 ป.ที่เพิ่งเสียชีวิตจากการตกจากที่สูงเมื่อวันที่ 21 พ.ย.
 
สำหรับหมายจับออกแล้วรายนามดังนี้
 
1.พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ข้อหา ป.อาญา ม.112 (หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ), ม.148 (เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ), ม.149 (เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ), ม.157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ
 
2.พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ข้อหาเหมือนกับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์
 
3.พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ข้อหา ป.อาญา ม.149 (เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ), ม.157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ)
 
4.พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ ข้อหา ม.148 (เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ), ม.149 (เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์), ม.157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ)
 
5.ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา (เจ้าหน้าที่ขับรถพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์) ข้อหา ม.148 (เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ), ม.149 (เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์), ม.157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ)
 
6.ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง ข้อหา ม.148 (เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ), ม.149 (เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ), ม.157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ)
 
7.พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล ข้อหา ม.7.1 ร่วมกันก่นสร้างแผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าฯ หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ฯ พ.ศ.2484 ม.54, 55
 
7.2 ร่วมกันปลูกสร้างอาคารฝายล่วงล้ำในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำหรือทะเลสาบ ที่ประชาชนใช้ร่วมกันโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 ม.117,183
 
8.นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ข้อหาเหมือนกับพ.ต.อ.โกวิทย์
 
9.นางสวงค์ มุ่งเที่ยง ข้อหาร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ม.19, 47
 
10.นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช ข้อหาเหมือนกับนางสวงค์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จับตา วันนี้ทหารเข้าพูดคุย 'กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด' ถามความสัมพันธ์ 'กลุ่มดาวดิน'

0
0

ทหารลงพื้นที่เข้าพูดคุย 'กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด' หลังแสดงจุดยืนสนับสนุนและให้กำลังกลุ่มนักศึกษา 'ดาวดิน' ด้านชาวบ้านหวั่นปัญหาสิ่งแวดล้อม และสิทธิชุมชนถูกมองข้าม

23 พ.ย. 2557 - กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย เตรียมพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทหารกรณีปัญหาการทำเหมืองแร่ทองคำ และความสัมพันธ์กับกลุ่มนักศึกษา "ดาวดิน" วันนี้ 09.00 น. หลังจากได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ เพื่อที่จะเข้ามาพูดคุยเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 22 พ.ย. ที่ผ่านมา สองวันหลังจากกลุ่มฅนคนรักษ์บ้านเกิด ออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุน และให้กำลังใจกลุ่มดาวดิน ด้วยการชู 3 นิ้ว กลางทุ่งนา(อ่านข่าวที่นี่)

กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จังหวัดเลย ชูป้ายให้กำลังใจ นักศึกษากลุ่มดาวดิน เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2557

สุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ในหนึ่งแกนนำกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดให้ข้อมูลว่า เจ้าหน้าที่ทหารได้ประสานเข้ามาว่าจะเข้ามาพูดคุยสองเรื่องคือ เรื่องการทำเหมืองแร่ และเรื่องความสัมพันธ์กันกลุ่มดาวดิน

"เรื่องความสัมพันธ์กับกลุ่มดาวดิน ทหารเขาจะเข้ามาคุยกับผมเองเลยที่บ้าน ผมก็บอกให้เขามา เพราะเราไม่ได้ปิดบังอะไรอยู่แล้ว" สุรพันธ์

สุรพันธ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ทหารก็น่ารู้อยู่แล้วว่าเรากับดาวดินมีความสัมพันธ์อย่างไรกัน เพราะกลุ่มดาวดินเป็นกลุ่มนักศึกษาที่ลงมาศึกษาปัญหาในพื้นที่ตั้งแต่ 7 ปีก่อน ช่วงแรกนักศึกษาเข้ามาเพื่อศึกษาข้อมูลในพื้นที่ พอเริ่มเห็นปัญหาของชาวบ้าน ก็ได้เข้ามาช่วยชาวบ้านเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชุมชน ปัญหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่ทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่จึงเห็นกลุ่มดาวดินเหมือนลูกหลาน มีความสัมพันธ์ไปมาหาสู่กันตลอด นักศึกษาที่เรียนจบไปแล้วก็ยังเข้ามาในพื้นที่มาเยี่ยม มาพาน้องรุ่นน้องมาทำความรู้จักกับชาวบ้านทุกปี

เมื่อถามถึงความกังวลต่อการเข้ามาพูดคุยของเจ้าหน้าที่ทหารครั้งนี้ สรุพันธ์กล่าวว่า รู้สึกว่าการเข้ามาอาจจะเป็นการคุกคาม การแสดงออกทางความคิด และเกรงว่าการเข้ามาครั้งนี้ของเจ้าหน้าที่ทหารอาจจะทำให้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม และสิทธิชุมชนถูกมองข้ามไป

ทั้งนี้ปัญหาในพื้นที่เหมืองแร่ทองคำ จังหวัดเลย เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านมานานกว่า 12 ปี และภายหลังจากการรัฐประหารได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ทหารหนึ่งกองร้อย เข้ามาดูแลความสงบเรียบร้อยภายในพื้นที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวบ้านมาว่าเป็นการเข้าควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ เพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กับนายทุนเหมืองแร่มากกว่า ที่จะเข้ามาดูแลความปลอดภัยให้กับชาวบ้าน อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ทหารได้ถอดกำลังออกจากพื้นที่ เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา และได้มีการตั้งคณะกรรมการ 4 ชุด เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่เองไม่ได้มีโอกาสในการมีส่วนร่วมกับการแก้ไขปัญหาเลย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เธอประกาศว่า “ถึงเวลาทุกคนต้องสร้างสันติภาพ ผู้หญิงต้องมีส่วนร่วมในการเจรจา”

0
0

เครือข่ายผู้หญิงยุติความรุนแรงและแสวงหาสันติภาพ ร่วมจัดกิจกรรมเนื่องในวันขจัดความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากลวันที่ 25 พฤศจิกายน นายกเหล่ากาชาดปัตตานีนำเดินรณรงค์ต่อต้านความรุนแรง ศอ.บต.มอบเงินช่วยเหลือเด็ก พวกเธอประกาศในเวทีว่า “ถึงเวลาทุกคนต้องสร้างสันติภาพ ผู้หญิงต้องมีส่วนร่วมในการเจรจา”

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2557 ที่ห้องประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) เครือข่ายผู้หญิงยุติความรุนแรงและแสวงหาสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับมูลนิธิเพื่อนหญิงจังหวัดปัตตานี กองทุนบทบาทสตรี และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า(กอ.รมน.ภาค 4 สน.) จัดกิจกรรม “รวมพลังผู้หญิง เด็ก สตรี เยาวชน ชายแดนใต้ ยุติความรุนแรงทุกรูปแบบ” เนื่องในโอกาสวันขจัดความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากลวันที่ 25 พฤศจิกายน

โดยในพิธีมี พล.ต.อัตธเดช มาถนอม ที่ปรึกษาแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธาน โดยมีเด็กและสตรีที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประมาณ 400 คน เข้าร่วม กิจกรรมเริ่มด้วยการเดินขบวนรณรงค์ยุติความรุนแรงจากหน้าโรมแรมมายการ์เดนท์ไปตามถนนเจริญประดิษฐ์จนถึงม.อ.ปัตตานี นำโดยนางสุไพ แก้วสุวรรณ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดปัตตานี และคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จ.ปัตตานี จากนั้นมีการมอบเงินโครงการอุดหนุนสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี 100,000 บาท

ผู้หญิงต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพ
จากนั้นมีการจัดเสวนาหัวข้อ “เรา……จะยติความรุนแรงและสร้างสันติภาพได้อย่างไร กรณีความขัดแย้งชายแดนใต้” โดยนางปาตีเมาะ สะดียามู ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารกลางศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กล่าวว่า ความรุนแรงในพื้นที่สามารถยุติได้แต่รัฐต้องสร้างพื้นที่ของผู้หญิงในการลดความรุนแรง

“เรามักพูดถึงการยุติความรุนแรงโดยTrak1 Trek2 และ Trek 3 แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการยุติความรุนแรงคือคนในหมู่บ้าน เพราะความรุนแรงเกิดขึ้นในหมู่บ้าน และคนที่สำคัญที่จะทำให้ยุติความรุนแรงในหมู่บ้านได้คือผู้หญิง เพราะผู้หญิงสามารถพูดคุยกับคนทุกระดับในหมูบ้านได้ และพลังของผู้หญิงทั้งหมดที่มีอยู่ในหมู่บ้านเป็นเครือมือสำคัญในการช่วยลดความรุนแรง ไม่ใช่เครื่องมือในการตอบโต้ระหว่างกัน” นางปาตีเมาะ กล่าว

นางปาตีเมาะ กล่าวด้วยว่า การเจรจาเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งประสบความสำเร็จหลายๆพื้นที่ และในกระบวนการเจรจานั้นก็มีผู้หญิงเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ท้าทายรัฐและหน่วยงานความมั่นคงว่าที่จะต้องให้สตรีเข้าไปมีส่วนร่วมในการเจรจาด้วย โดยเฉพาะการเจรจาในระดับTrack 1เพราะผู้หญิงเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงโดยตรง

ถึงเวลาที่ทุกคนต้องร่วมสร้างสันติภาพ
นางรอมือละห์ แซแยะ ภรรยาผู้ถูกดำเนินคดีความมั่นคง กล่าวว่า สันติภาพไม่สามารถเกิดขึ้นเพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ทุกคนต้องช่วยกัน ประชาชนในพื้นที่ ประชาชนทั่วประเทศไทยและทั่วโลกต้องช่วยกัน โดยเฉพาะคนในพื้นที่ต้องช่วยกันสร้างสันติภาพขึ้นมา เพราะพื้นที่ตรงนี้เป็นบ้านของเราและเป็นพื้นที่ที่เรารักด้วย

“ณ วันนี้หากเราไม่ช่วยสร้างสันติภาพหรือเพียงแค่โพสต์ในเฟสบุ๊คอย่างเดียว โดยไม่ได้ลงมือสร้างสันติภาพ สันติภาพก็จะไม่เกิดขึ้นและดิฉันเชื่อว่าความยุติธรรมและสันติภาพจะต้องเกิดน้ำมือของพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแด็ก ผู้หญิงและผู้ใหญ่ก็ตาม ถึงเวลาที่ทุกคนต้องสร้างสันติภาพในพื้นที่ขึ้นมาแล้ว”นางรอมือละห์ กล่าว

การเสวนาปิดท้ายด้วยการมอบเงินทุกการศึกษาแก่เด็กกำพร้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 894 ทุนเป็นเงินจำนวน 5,076,000 บาท โดยผศ.ปิยะ กิจถาวร รองเลขาธิการศอ.บต.เป็นผู้มอบ


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อย่าช่วยกันทำให้การล่าแม่มดเป็นสิ่งถูกต้อง!

0
0

ขอประณามบทความนี้ในประชาไท เพจที่บทความนี้สัมภาษณ์ ได้ล่าแม่มดทนายชื่อธาตรี ซึ่งทำคดีคนที่พวกเขาล่าแม่มดอยู่ (ตามหลักว่าคนที่เกี่ยวข้องกับแม่มด ก็จะต้องเป็นแม่มดแน่นอน เหมือนกรณีนายดุษฎี นักแทรกปาดรถที่ถูกล่าแม่มดจนตกงานและติดคุกอยู่ แฟนเขาซึ่งนั่งในรถก็ถูกล่าแม่มดด้วย ให้คนเข้าไปรุมด่าที่เลือกแฟนอย่างไม่รอบคอบ)

บังเอิญการล่าแม่มดทนายธาตรีดันมีสำนักข่าวใหญ่มาติดกับดักเงิบเอง โดยไม่มีใครตั้งใจ เป็นความชุ่ยของสำนักข่าวเอง เมื่อเจอเพจ“ธาตรีรับจัดน้องสุนัขสำหรับเซ็กซ์ทางเลือก” ก็ตื่นเต้นดีใจ ไม่ยอมตรวจสอบว่าเพจชื่อธาตรีนั้นมีหลายสิบ และไม่ค่อยมีไลค์หรือกิจกรรม ดันเชื่อว่าได้เจอเพจส่งเสริมพฤติกรรมทางเพศที่น่าอับอายเหมาะสมลง นสพ.ตัวเอง ก็เลยเงิบไป ปัญหาลักษณะนี้เกิดบ่อย สื่อควรจะอายและเลิกทำชุ่ยๆแบบนี้สักที แต่ผมรู้ว่าเขาไม่สนหรอกจรรยาบรรณหรือคุณภาพ เพราะว่าไม่มีทั้งสองอย่าง

ประเด็นข้างต้นก็ช่างเถอะ ประเด็นของผมคือบทความในประชาไทจับมุมมองว่าสื่อโซเชียลฯเล็กๆ ได้สร้างวีรกรรมเอาชนะสื่อระดับชาติได้ โดยสัมภาษณ์แอดมินเพจดังกล่าวในมุมนั้น โดยไม่สนว่าทนายธาตรีที่ว่ามีตัวตน และกำลังถูกล่าแม่มดอยู่ (เขาน่าจะรู้เพราะเห็นเซ็นเซอร์ชื่อธาตรีออก) บทความนี้จึงเป็นการชู “การล่าแม่มดที่ล้มสื่อยักษ์” ขึ้นมา เพื่อเข้าประเด็นของประชาไทสื่อทางเลือก ซึ่งเป็นการทำให้การล่าแม่มดถูกต้องอีกหน หลังจากที่ตำรวจ เพิ่งมองการล่าแม่มดของดุษฏีและแฟนว่าโอเค เป็นการช่วยเหลือทางการ

การล่าแม่มดนับวันจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ได้รับการยอมรับ เห็นดีเห็นงามมากขึ้นเรื่อยๆในสังคม เราให้อำนาจในการไต่สวนและลงโทษกับคนกลุ่มนึงอย่างไม่มีลิมิต ให้อภัยพวกเขาเมื่อเกิดความผิดพลาด เพราะเราชอบที่ความยุติธรรมเกิดขึ้นเร็ว แม้ว่าการลงโทษต่อผู้ต้องหาจะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม เราก็เชื่อว่าดีคนต่อไปจะได้ไม่กล้าทำอีก นอกจากนี้เรามองข้ามกรณีที่ล่าแม่มดผิดคน ล่าแม่มดคนที่ไม่ได้ผิด ล่าแม่มดเพียงเพราะคิดต่าง ฯลฯ บ่อยครั้งเรามองว่าแฟร์เพียงเพราะความสะใจ ไม่ใช่ความถูกต้องเหมาะสม

ผมว่าสังคมไทยตระหนักผลกระทบของการล่าแม่มดน้อยไป ในอนาคตความรุนแรงที่เกิดกับเหยื่อจะมากกว่านี้ และมากขึ้นเรื่อยๆตราบใดที่สังคมชื่นชมมัน ผมนึกดู ถ้าคนแถวประชาไทไม่เก็ตเรื่องนี้ จะเหลือใครใส่ใจ

 

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: http://mytwosatang.blogspot.com

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสท.เตรียมแก้ประกาศเรียงเลขช่องกล่องดาวเทียม–เคเบิล

0
0

สุภิญญา แนะจับตาการประชุมบอร์ด กสท. เตรียมแก้ไขประกาศเรียงเลขช่องกล่องดาวเทียม – เคเบิล และร่างรวมกลุ่มสื่อส่งเสริมสิทธิเสรีภาพมากกว่าควบคุม

23 พ.ย. 2557 สุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า วันจันทร์ที่ 24 พ.ย. นี้ การประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ครั้งที่ 51/2557 มีวาระน่าจับตาได้แก่ การพิจารณา(ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดลำดับบริการโทรทัศน์ พ.ศ. ... ภายหลังการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะก่อนดำเนินการส่งให้ที่ประชุม กสทช.พิจารณาก่อนลงราชกิจจานุเบกษาต่อไป

สุภิญญา กล่าวว่า การแก้ไขร่างประกาศฉบับนี้ เพื่อต้องการให้กล่องทีวีทุกรุ่นในประเทศไทยเรียงลำดับเลขช่องให้ตรงกัน คือนำช่องทีวีดิจิตอลมาเรียงไว้ก่อนที่หลายเลขช่อง 1 – 36 เพื่อประโยชน์ของคนดู จะจำเลขช่องได้ง่าย รวมทั้งแยกได้ว่าอะไรเป็น เพย์ทีวี หรือฟรีทีวี แต่แน่นอนว่า มีเสียงคัดค้านจากผู้ประกอบการดาวเทียม อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าน่าจะมีประโยชน์กับวงการโทรทัศน์ไทย เพราะอย่างไรทุกกล่องดาวเทียมต้องสามารถรับชมฟรีทีวีได้อยู่แล้ว จะได้เกิดความเข้าใจง่ายไม่สับสน ตนเองอยากให้หาจุดสมดุลที่ลงตัว ไม่อยากให้มีการฟ้องร้องต่อศาลต่อไป

ส่วนวาระเดิมที่ค้างการพิจารณาจากการประชุมครั้งที่แล้วน่าสนใจจับตา ได้แก่  การออก (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการส่งเสริมการรวมกลุ่มของผู้รับใบอนุญาต ผู้ผลิตรายการและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนที่เกี่ยวกับกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ...  ซึ่งร่างนี้ฯ ได้เสริมบทบาทองค์กรวิชาชีพ โดยที่ กสทช. ไม่ได้เข้าไปแทรกแซง แต่อาจมีจุดยึงโยงบ้างในกรณีที่เข้าข่ายการทำผิดกฎหมาย แต่หากเรื่องไหนเกี่ยวข้องด้านจริยธรรม จะให้ส่งเสริมวิชาชีพสื่อเข้ามากำกับดูแลกันเองซึ่งน่าจะเป็นหนทางที่ดี

“โดยเฉพาะในเวลานี้ที่อำนาจรัฐต่างๆ พยายามจะเข้ามาควบคุมสิทธิเสรีภาพสื่อ น่าจะเป็นจุดกระตุ้นสำคัญที่สื่อ ควรจะเร่งรวมตัวกัน และมีมาตรการกำกับดูแลตนเองตามกรอบจรรยาบรรณ ซึ่ง กสทช. มีหน้าที่และควรต้องส่งเสริม รวมทั้งร่างฯฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการส่งเสริมนั้น ซึ่งอย่างไรก็ตามยังต้องมีการศึกษาหาแนวทางที่เหมาะสมในการนำไปปฏิบัติจริงต่อไป” สุภิญญา กล่าว

ทั้งนี้ ในที่ประชุมเตรียมพิจารณาร่างประกาศฯ สำคัญหลายฉบับได้แก่ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่องแนวทางการกำกับดูแลอัตราค่าบริการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ... การแก้ไข(ร่าง) เรื่อง การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของคนพิการและคนด้อยโอกาสให้เข้าถึงหรือรับรู้และใช้ประโยชน์จากรายการของกิจการโทรทัศน์ 

ส่วนวาระอื่นๆ น่าติดตาม ได้แก่ การชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตของผู้รับใบอนุญาต มาตรา 75 แห่ง พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 วาระเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการรับชมทีวีดิจิตอลในแพลตฟอร์มอื่นๆ  และวาระการรายงานผลการแจกคูปองเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิตอลทีวีและแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรค

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย : เพศทางเลือกในภาพยนตร์ไทย

0
0

 

หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ พบกับ ‘อรรถ บุนนาค’ และพิธีกรรับเชิญ ‘สัณห์ชัย โชติรสเศรณี’ ผู้เชี่ยวชาญภาพยนตร์ไทย จากหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) มาสนทนาเรื่องราวเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศในภาพยนตร์ไทย

คนส่วนใหญ่มักคุ้นเคยหรือคิดถึงภาพยนตร์ไทยที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเพศทางเลือกจากเรื่อง เพลงสุดท้าย ที่ฉายในปี 2529 แต่หากย้อนกลับไปก่อนปี 2500 จะพบว่ามีภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวหรือฉากเกี่ยวกับเพศทางเลือกอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง เช่น หนังสั้นเรื่องกะเทยเป็นเหตุ, เรื่องชั่วฟ้าดินสลาย ในปี 2498, และเศรษฐีอนาถา ในปี 2499 และหากมองเพศทางเลือกในภาพยนตร์ก็มักถูกทำให้เป็นความตลกขบขัน หรือเป็นความรักที่ไม่มีทางสมหวัง จนกระทั่งภาพยนตร์ในยุคหลัง จึงนำเสนอความรักที่สมหวังของเพศทางเลือก เช่น เรื่อง Yes or No นอกจากนั้น เพศทางเลือกที่เป็นที่ยอมรับของสังคมไทย จะต้องถูกจัดเข้าไปอยู่ในกรอบคิดแบบชาย-หญิง ในขณะที่ปัจจุบันความลื่นไหลของอัตลักษณ์ทางเพศของสังคมเคลื่อนไปจากชุดความเข้าใจแบบชาย-หญิงไปมากแล้ว

คลิกไลค์เพื่อติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ facebook.com/maihetpraphetthai
 


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทีมโฆษก คสช. ตำหนิผู้โปรยใบปลิวทำให้พื้นสกปรก-ไม่เกิดประโยชน์สังคม

0
0

พ.อ.วินธัย สุวารี กล่าวถึงผู้โปรยใบปลิวที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยช่วงเช้ามืดวันนี้ว่า มีเนื้อหาบิดเบือนขึ้นโดยมีอคติใช้อารมณ์ส่วนตัวและทำให้พื้นที่สกปรก ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ พร้อมแนะนำผู้เห็นต่างมาใช้ช่องทางเสนอความเห็นตามระบบ

พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก และทีมโฆษก คสช. (แฟ้มภาพ)

23 พ.ย. 2557 - กรณีที่เช้ามืดวันที่ 23 พ.ย. นี้ มีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และโปรยใบปลิวโจมตี คสช. นั้น (อ่านข่าวในมติชนออนไลน์)

ต่อมา สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และหนึ่งในทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงออกที่ไม่สร้างสรรค์ โดยเฉพาะเนื้อหาในใบปลิว เป็นลักษณะการกล่าวหาและบิดเบือนทำขึ้นโดยใช้อารมณ์ส่วนบุคคล เป็นมุมมองในเชิงอคติ ส่งผลกระทบหลายด้าน เช่น ทำให้พื้นที่ดังกล่าวสกปรก ไม่สวยงาม ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อสังคมอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตามเข้าใจว่าผู้ที่มีความเห็นต่าง และยังไม่เข้าใจในการทำงานของ คสช. อาจพยายามหาโอกาสที่จะแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งขอให้คำนึงถึงเป้าประสงค์ที่สังคมส่วนใหญ่ต้องการด้วย

ทั้งนี้เชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศพัฒนาและเดินไปข้างหน้า โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน หากผู้เห็นต่างมีความตั้งใจจริงที่จะมีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นใดๆ ที่มองว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติยังมีช่องทางที่เหมาะสมในระบบมากมายที่สามารถกระทำได้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เด้ง 5 ตำรวจขอนแก่นเซ่นนายกฯ เสียหน้า น.ศ.ชูสามนิ้ว-ดาวดินโวยถูกคุกคามไม่กล้ากลับบ้าน

0
0

23 พ.ย. 2557 - มติชนรายงานว่า วันนี้ (23 พ.ย.) พล.ต.ท.บุญเลิศ ใจประดิษฐ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4(บช.ภ.4) ลงนามคำสั่ง ภ.4 ที่ 2396/2557 ให้ข้าราชการตำรวจไปประจำศูนย์ปฏิบัติการ ภ.4 จำนวน 5 นาย ประกอบด้วย 1.พ.ต.อ.สุภากร คำสิงห์นอก รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น รรท.ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น  2.พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ คงศิริสมบัติ ผกก.สส.  กองกำกับการสืบสวนสอบสวน ภ.จว.ขอนแก่น 3. พ.ต.ท.อนุศักดิ์ ศักดาวัชรานนท์ รอง ผกก. ป. สภ.เมืองขอนแก่น 4.พ.ต.ต. จีรัชติกุล จะรัสกมลพงษ์ สว.ป. เมืองขอนแก่น และ 5.พ.ต.ต.ชาติชาย ทิมนิกุล สว.สส. เมืองขอนแก่น  ทั้งนี้แต่วันที่  22 พฤศจิกายน 57 โดยได้ลงประจำวันปฏิบัติหน้าที่ ศปก.ภ.4 ตั้งแต่ เวลา 09.00 น. วันที่ 23 พฤศจิกายน

ทั้งนี้ มติชนระบุว่า เหตุผลที่มีการสั่งย้ายครั้งนี้เนื่องจาก ในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ได้มีการมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย กำหนดหน้าที่แล้ว แต่กลับมีความบกพร่องปล่อยให้มีกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น  เข้าไปชู 3 นิ้ว แสดงสัญลักษณ์ ต่อต้านการรัฐประหารที่หน้าเวทีขณะนายรัฐมนตรีกำลังขึ้นพูดได้

ด้านกลุ่ม น.ศ.ดาวดิน ได้แถลงในแฟนเพจ ดาวดิน สังกัดพรรคสามัญชนว่าได้มีเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบได้ไปวนเวียน สอดส่อง และถ่ายภาพบริเวณบ้านพักของสมาชิกกลุ่มและยังมีข่าวจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่าจะมีการบุกค้นบ้านพักโดยเจ้าหน้าที่รัฐ

ในแฟนเพจได้ระบุว่าเนื่องจากทางสมาชิกกลุ่มเกรงว่าจะมีการถูกคุกคาม จึงได้แยกย้ายกันออกไปอาศัยอยู่ที่อื่นกันหมดแล้ว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หม่อมอุ๋ยคาดเศรษฐกิจปีหน้าโตร้อยละ 4 มั่นใจแผนกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผล

0
0

23 พ.ย. รองนายกรัฐมนตรีเชื่อต้นปีหน้าเศรษฐกิจจะฟื้น ผลจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดเติบโตร้อยละ 4 ขณะที่ด้านการท่องเที่ยวหากร่วมมือทุกฝ่าย มั่นใจนักท่องเที่ยวมาไทยเกิน 25 ล้านคน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาถกฐาพิเศษ "การขับเคลื่อนประเทศไทย" ภายในงานสัมมนาหอการค้าไทยทั่วประเทศ ว่า จะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเดือนมกราคมปีหน้า จากมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 ที่เหลือและงบประมาณปี 2558 ที่ใช้ในการลงทุน 270,000 ล้านบาท จะเพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยยังไม่มีความจำเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ และคาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะเติบโตร้อยละ 4

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภาครัฐกำลังเร่งพิจารณาแก้ไขกฏหมายกว่า 100 ฉบับ เพื่อให้รองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปีหน้า และยังติดต่อไปยังองค์กรธุรกิจบางแห่งให้เข้าร่วมโครงการนาโนไฟแนนซ์ ซึ่งอาจต้องใช้หลายองค์กร ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศปล่อยสินเชื่อกับเอกชนรายเล็กและประชาชนทั่วไปได้ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและการกู้ยืมเงินนอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง

นอกจากนี้ การขับเคลื่อนประเทศจะต้องทำ 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ต้องขจัดอุปสรรค แก้ไขจุดบกพร่อง ซึ่งได้ฝากความหวังไว้ที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารใหม่ ๆ ได้อย่างจริงจัง ขณะที่ด้านเศรษฐกิจไทยยังมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขอีก 3 จุด คือ ภาษี ที่เพิ่มการจัดเก็บภาษีมรดก การปรับโครงสร้างน้ำมัน ซึ่งไทยเป็นประเทศใช้น้ำมันฟุ่มเฟือยถึงร้อยละ 18.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จากก่อนหน้านี้ที่ร้อยละ 9 รัฐบาลต้องปรับโครงสร้างน้ำมันระยะยาวให้มีพลังงานใช้อย่างยั่งยืน และการปรับโครงสร้างภาคขนส่ง ซึ่งกระทรวงคมนาคมเดินหน้าแก้ไขจุดนี้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนการเปิดจุดใหม่ คือ เพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ยากไร้ โดยเฉพาะภาคเกษตรที่ยังมีรายได้น้อย การอำนวยความสะดวกการค้า และเดินหน้าดิจิตอล อีโคโนมีให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงฯ อยู่ระหว่างจัดทำยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวและบูรณการทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เพื่อให้ประเทศไทยเป็นท่องเที่ยวอย่างแท้จริง แต่การที่จะให้ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างสมบูรณ์จะต้องได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนที่จะต้องทำงานร่วมกัน โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นรักษาแหล่งท่องเที่ยวให้ดีขึ้นและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม หากทุกฝ่ายสามารถร่วมมือกันได้ เชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในประเทศไทยเกินกว่าปีละ 25-26 ล้านคนทำได้แน่นอนและจะมีรายได้เข้าประเทศมากกว่าปีละ 200,000 ล้านบาทของจีดีพีเป็นไปได้อย่างมาก

 

 

ที่มา สำนักข่าวไทย
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ความเงียบที่รัก

0
0

 

เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเดินมาสู่จุดหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง ในยุคสมัยรัฐบาล คสช. ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประเด็นการถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และ นายนิคม ไวยรัชพานิช รวมถึงประเด็นถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังใกล้ขึ้นมาทุกขณะ ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมไหวครั้งใหญ่ของกลุ่ม กปปส. ที่แกนนำได้ออกมาขยับเขยื้อนกายอีกครั้งเพื่อเตือนสติรัฐบาลประยุทธ์ ถึงความคาดหวังของกลุ่มกปปส.ในการล้างบางกลุ่มการเมืองขั้วตรงข้าม (อย่าลืมว่ากปปส.นั้นคือกลุ่มพลังทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์)

อันเนื่องมาจากท่าทีของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช.) สายทหาร ที่ออกแนวอิดออด ทำเอาคาดเดากันได้ว่า การถอดถอนเหล่านี้จะ "ขัดลำกล้อง" ไปเสียทุกนัด แม้แต่การโหวตรับสำนวนถอดถอน สมศักดิ์-นิคม วันที่ 6 พฤศจิกายนจะดูเหมือนท่าทีสนช.จะฉลุย แต่ความจริงแล้วคือ สนช.สายทหารเกือบทั้งหมด โดดร่มการประชุม ทำให้สำนวนถอดถอนถูกโหวตรับสำเร็จ ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ทราบว่าสนช.สายทหารจงใจทำให้ดูเหมือนสนช.รับสำนวนเพื่อพยายามลดแรงกดดันภายนอกหรือไม่อย่างไร สุดจะคาดเดาได้

แน่นอน หลังจาก กปปส. ออกมาขยับ ขาดไม่ได้คือนปช. และแนวร่วมกลุ่มพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาคัดง้าง กปปส. ทำให้สถานการณ์คุกรุ่น ต่างฝ่ายพยายามขู่ด้วยมวลชน ว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง  จึงเป็นที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเด็นการถอดถอนนี้ คือตัวจุดชนวนนำไปสู่ความร้อนแรงทางการเมืองที่ทุกคนต่างสัมผัสได้

ทั้งนี้ในการประชุมร่วม ครม. คสช. ที่ทั้งท่านนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. คือบุคคลคนเดียวกันได้เปรยในที่ประชุมถึงเค้าลางสถานการณ์นี้เช่นกัน โดยนายกรัฐมนตรี(และหัวหน้าคสช.) อยากให้มีการเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวทางการเมืองและการกระทำเข้าข่ายปลุกระดม จนถัดจากนั้นมาไม่กี่วัน สื่อมวลชนสายทหารท่านหนึ่งมีรายงานข่าวถึง ความเป็นไปได้ว่า คสช. จะมีการเรียกตัวรอบ 2 เพื่อลดระดับความร้อนแรงของสถานการณ์ ซึ่งเข้าเค้ากับการที่นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยออกมาพูดว่ามีนายทหารยศพันเอกสายตรงถึงตัว เพื่อให้ลดการแสดงความเห็นทางการเมือง ทั้งนี้เหล่าแกนนำม๊อบทั้งหลาย และนักการเมือง จะโดนสายตรงถึงตัวกี่คนไม่อาจทราบได้ เพราะคงไม่ทุกคนที่จะบอกกล่าวกับสื่อมวลชนไปได้ทั้งหมด

แน่นอนว่า "ความเงียบ" ที่มากขึ้นในขณะนี้หลังการสายตรง เป็นที่น่าพอใจของรัฐบาล เนื่องจากตอนนี้ รัฐบาลกำลังต้องการสิ่งนี้ที่สุดในการเดินหน้า "ปฏิรูป" หรืออะไรก็สุดแต่จะเรียก หรือไม่เพียงแต่รัฐบาล แต่เป็นประชาชนจำนวนหนึ่งก็รักในความเงียบนี้

ภายหลังการกู่ร้องตะโกนครั้งใหญ่ของมวลชนบนถนนราชดำเนิน (และจุดต่างๆ เกินกว่าจะนับไหว) เสียงนกหวีด เสียงตีนตบ เสียงปืน เสียงระเบิด ถูกกลบฝังด้วยเสียงเพลงปลุกใจ และเสียงคำประกาศ คสช. ในวันที่ 22 พฤษภาคม ความเงียบเข้าปกคลุมประเทศนี้พักใหญ่ ด้วยการเรียกบุคคลเข้ารายงานตัวไปนั่งกินนอนกินที่ค่ายทหาร (หรือมากกว่านั้น) เหล่า "แอคทีฟ ซิติเซน" ทั้งหลายในอดีตต่างก็ละทิ้งสิ่งที่เคยเป็น จากประชาชนผู้ตื่นรู้และจะไม่ยอมให้ใครใช้อำนาจแห่งปวงประชาไปในทางที่ผิด ประชาชนผู้ไม่ยอมสยบต่อรัฐที่ฉ้อฉล ประชาชนผู้ติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังทุกย่างก้าวของรัฐบาล ผู้ประกาศตนเป็นเสรีชน และใช้การต่อสู้ด้วยสันติ อหิงสา มาวันนี้ แอคทีฟ ซิติเซน ต่างพักผ่อนหย่อนใจ ไปเที่ยว ไปกิน ไปช้อปปิ้ง คล้ายกับว่าการลุกฮือครั้งใหญ่นั่นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือ แอคทีฟ ซิติเซนนั้นเป็นเพียงสถานะชั่วคราวกันแน่ ก็ไม่ทราบได้

แน่นอนว่าความเงียบสงัดทางการเมืองนั้น ไม่ว่าจะเป็นการห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือการรวมกลุ่มเรียกร้องอะไรก็ตามแต่ของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย คือการแผ้วถางเส้นทางของรัฐบาลประยุทธ์สู่การ "สะสาง" ปมปัญหาทั้งการถอดถอน การบริหารความพึงพอใจของประชาชน และการปฏิรูปประเทศ เพื่อจะเปิดไพ่ใบถัดๆ มา เพื่อให้คนในสังคมได้เห็นกันต่อไปอีกว่า ความจริงแล้วรัฐบาลนี้มีเจตนาจะเข้ามาสลายขั้วสีและทำเพื่อประเทศจริงๆ หรือสุดท้ายแค่ปาหี่หน้าม่าน ที่ความจริงก็แค่การเปลี่ยนมือคนแบ่งเค้ก และเพื่อทำลายฝ่ายการเมืองกันแน่

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ พวกเขาต้องการความเงียบจากประชาชน และถ้าจะให้ดี จงรักในความเงียบนี้เสียเลย

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ถือป้ายไล่ พล.อ.ประยุทธ์ หน้ากงสุลในแคนาดา-ม.ล.ปนัดดาเกรงชูสามนิ้วฮอลลีวูดจะหัวเราะ

0
0

มีคนไทย 3 คน ยืนประท้วง คสช. หน้ากงสุลไทยที่แคนาดา และขอชูสามนิ้วแทนคนที่อยู่ในประเทศ ด้าน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล เห็นว่าเรื่องชูสามนิ้ว คนไทยไม่ควรเอาภาพยนตร์มาสร้างความแตกแยก เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน ฮอลลีวูดจะหัวเราะเยาะเอา

24 พ.ย. 2557 - เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่หน้าสถานกงสุลใหญ่ประจำประเทศไทย  ถนนเบอร์ราร์ด นครแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา มีคนไทย 3 คน มาถือป้ายประท้วง โดยผู้ถือป้ายประท้วง ป้ายหนึ่งมีข้อความขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และมีข้อความระบุว่า "#District Thai is real" ส่วนอีกป้ายหนึ่งเขียนว่ารัฐบาลทหารไทยจับคนชูสามนิ้ว และข้อความ "Free #District Thai"

ผู้ใช้ชื่อว่า "นายเดช" กล่าวถึงสาเหตุที่มาประท้วงว่า เป็นเพราะรัฐบาลกดขี่ประชาชน แม้กระทั่งการชูสามนิ้วยังถูกทำให้กลายเป็นอาชญากรรม ตัวเขาซึ่งอยู่ในแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศเสรี ให้สิทธิประชาชนในการแสดงออกอย่างเต็มที่ จึงขอใช้สิทธินี้ออกมาถือป้าย และชูสามนิ้วเรียกร้องแทนคนไทย และส่งเสียงไปถึงชาวโลกว่า ให้ช่วยกดดันรัฐบาลฟาสซิสต์ ให้คืนอำนาจให้กับประชาชนและหยุดละเมิดสิทธิมนุษยชน

"นายเดช" ยังกล่าวเชิญชวนคนไทยที่อยู่ในประเทศเสรีประชาธิปไตยต่างๆ แสดงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลด้วย

ส่วนผู้ประท้วงอีกรายกล่าวถึงเหตุผลที่มาถือป้ายประท้วงว่า "ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้งแต่เป็นการออกมาต่อต้านการยกเลิกการเลือกตั้ง อีกทั้งประชาธิปไตยคือการปกป้องสิทธิของคนที่ต้องการให้เราไม่มีสิทธิ ที่สำคัญการอยู่ประเทศที่เสรีแต่ยัดเยียด ไม่ยินดียินร้ายกับความเป็นทาสไร้สิทธิไร้เสียงให้ของบ้านเกิดถือว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง"

อย่างไรก็ตามวันที่ผู้ประท้วงไปดังกล่าวเป็นวันที่สถานกงสุลติดป้ายปิดทำการ ทำให้ไม่มีเจ้าหน้าที่ออกมารับเรื่อง

 

ปนัดดากลัวคนไทยชูสามนิ้ว ฮอลลีวูดจะหัวเราะเยาะ

ส่วนความเห็นจากฝั่งรัฐบาล ไทยรัฐออนไลน์สัมภาษณ์ความเห็นของ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการชูสามนิ้วว่า เป็นเรื่องที่มาจากภาพยนตร์ฝรั่ง ที่ฮอลลีวูดสร้างขึ้น ไม่น่าเอาเรื่องภาพยนตร์มาสร้างความแตกแยก ซึ่งเราเป็นชนชาติไทยเดียวกัน เกรงว่าฮอลลีวูดจะหัวเราะเยาะเอา เท่าที่ทราบก็มีเพียงฉากเดียว ที่ชูมือ 3 นิ้ว ส่วนความหมายจะเป็นเช่นไรก็เป็นหนังฮอลลีวูด ไม่ใช่เรื่องที่จะมาสร้างความแตกแยกของผู้คน ดังนั้น เรารักกันดีกว่า พยายามทำความเข้าใจกัน ท้ายที่สุดจะเกิดความร่มเย็นต่อสังคมไทยของเรา

ขณะเดียวกัน มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่ามีนายตำรวจใน จ.ขอนแก่น 5 ราย ถูกสั่งย้ายตามคำสั่ง ภ.4 ที่ 2396/2557 ลงวันที่ 23 พ.ย. 2557 ให้ไปปฏิบัติราชการประจำศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร ภาค 4 หลังจากเมื่อวันที่ 11 พ.ย. เกิดเหตุนักศึกษากลุ่มดาวดินใน จ.ขอนแก่น 5 ราย เข้าไปชูสามนิ้วต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนขับรถจ้างเหมาของเฟซบุ๊กเข้าร่วมสหภาพแรงงานระดับชาติ

0
0

หลังมีการเปิดเผยว่าเฟซบุ๊กใช้คนขับรถจากบริษัทเหมาช่วงในการรับส่งพนักงาน ส่วนคนขับรถกลับมีสภาพการทำงานและรายได้ย่ำแย่ ล่าสุดคนขับรถเหล่านั้นเข้าร่วมสหภาพแรงงานภาคขนส่งแล้ว หวังเจรจาต่อรองและกระตุ้นให้เฟซบุ๊กเห็นคุณค่าคนงานระดับล่างบ้าง

 

 

23 พ.ย. 2014 บริษัทเฟซบุ๊กที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นนายจ้างที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรมกับกลุ่มคนขับรถบัสรับส่งพนักงานของเฟซบุ๊ก ซึ่งคนขับรถเหล่านั้นเป็นคนงานจ้างเหมาช่วงของบริษัทลูป ทรานสปอร์เทชั่น (Loop Transportation) ที่เฟซบุ๊กจ้างมาเป็นผู้จัดบริการรถรับส่งพนักงานของตนอีกที

เมื่อกลางเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาคนขับรถเหล่านั้นได้ออกมาเปิดเผยกับสื่อว่าพวกเขาได้รับการปฏิบัติจากพนักงานเฟซบุ๊กเหมือนเป็นคนรับใช้ ต้องทำงานใช้เวลารวม (ขับรถจากที่พักรวมทั้งตระเวนรับส่งพนักงานเฟซบุ๊ก) ถึงวันละ 16 ชั่วโมง และได้รับค่าจ้างแค่ประมาณ 9.5 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น

บริษัทลูป ทรานสปอร์เทชั่น จัดรถรับส่งพนักงานให้เฟซบุ๊กประมาณ 40 คัน วิ่งบนเส้นทางจากนครซานฟรานซิสโก-เมนโลพาร์ก รัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่ 5.30-20.45 น. นอกจากคุณภาพชีวิตย่ำแย่แล้วเขาต้องจ่ายค่าแผนประกันสุขภาพเป็นเงินอีก 1,200 เหรียญสหรัฐต่อเดือนด้วย ซึ่งสวัสดิการที่พวกเขาได้รับนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหวจากพนักงานค่าตัวแพงของเฟซบุ๊กที่พวกเขาเป็นคนรับส่งและดูแลความปลอดภัยบนท้องถนนระหว่างการเดินทาง

ล่าสุดเว็บไซต์ของสหภาพแรงงานทีมสเตอร์ (Teamsters)รายงานเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2014 ที่ผ่านมาว่าคนขับรถ 87 คนของบริษัทลูป ทรานสปอร์เทชั่น ที่ขับรถให้เฟซบุ๊กนั้นได้เข้าร่วมกับสหภาพแรงงานขนส่งระดับชาติอย่างทีมสเตอร์แล้ว โดย International Brotherhood of Teamsters (IBT) หรือเรียกสั้นๆ ว่า "ทีมสเตอร์" นั้นก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1903 อันเป็นการควบรวมกันของสหภาพแรงงานคนทำงานภาคการขนส่งท้องถิ่นทั้งในแคนานาและสหรัฐอเมริกา โดยทีมสเตอร์เคลื่อนไหวเรียกร้องสภาพการจ้างที่ดีด้วยวิธีการรณรงค์และเจรจาต่อรองกับนายจ้างให้กับสมาชิก และตัวเลขสมาชิกของทีมสเตอร์ล่าสุดจากการสำรวจเมื่อปี ค.ศ. 2011 มีทั้งสิ้น 1,309,690 คน 

ทั้งนี้กลุ่มคนขับให้เฟซบุ๊กต่างมุ่งหวังว่าจะใช้สหภาพแรงงานเป็นตัวต่อรองกับผู้ว่าจ้างในเรื่องปรับค่าแรงให้สูงขึ้น และปรับแผนค่าประกันสุขภาพให้ลดลง รวมถึงมีชั่วโมงการทำงานที่เป็นธรรมมากขึ้น นอกจากนี้พวกเขายังหวังว่าเฟซบุ๊กจะตัดสินใจเลิกใช้บริษัทเหมาช่วงซึ่งเปรียบเหมือนนายหน้าขายแรงงานของพวกเขาอย่างบริษัทลูป ทรานสปอร์เทชั่น และหันมาจ้างพวกเขาเป็นพนักงานของเฟซบุ๊กโดยตรง เหมือนอย่างที่กูเกิล (Google) เคยตัดวงจรการจ้างเหมาช่วงของบริษัทรักษาความปลอดภัยออกไป และหันมาจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยไว้เองโดยตรง

อนึ่งเมื่อปี 2010 เฟซบุ๊กเคยคว้ารางวัลบริษัทนายจ้างที่ดีที่สุดในอเมริกาจากการจัดอันดับของ Glassdoor.com ซึ่งเว็บไซต์เกี่ยวกับเรื่องการจ้างงาน จากการสำรวจความคิดเห็นบรรดาพนักงานของบริษัท และผู้ใช้เว็บ Glassdoor.com โดยเฟซบุ๊กนั้นให้เงินและผลตอบแทนแก่พนักงานอย่างมากมาย เป็นบริษัทที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วมาก โดยวิธีการดึงพนักงานที่เคยทำงานกับคู่แข่งด้านไอทีมาร่วมงานมากมาย นอกเหนือจากเงินเดือนงาม และผลประโยชน์มากมาย บริษัทยังนำเสนอหุ้นของบริษัทให้กับพนักงานด้วย และเมื่อเฟซบุ๊กเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ พนักงานหลายคนก็กลายเป็นเศรษฐีหน้าใหม่เมื่อขายหุ้นเฟซบุ๊กของตนเองให้แก่นักลงทุน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทีมโฆษก คสช. เตือน "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" โพสต์ลบหลู่กองทัพไม่ใช่วิสัยอาจารย์

0
0

พ.อ.วินธัย สุวารี เตือนพาดพิงกองทัพใช้แต่ความรู้สึก ข้อมูลไม่ครบ ไม่ใช่วิสัยอาจารย์ จะกระทบความน่าเชื่อถือทางวิชาชีพ - มั่นใจโรงเรียนการทหารในประเทศได้มาตรฐานระดับสากล บุคลากรประสบความสำเร็จ มีผลงานจับต้องได้จริง ด้าน 'สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล' โพสต์ตอบล้ม รธน.- ผิด ม.113 มีสิทธิอะไรมาเตือนคนอื่น

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (แฟ้มภาพ)

24 พ.ย. 2557 - หลังจากเมื่อวานนี้ (23 พ.ย.) สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศโพสต์เฟซบุ๊ควิจารณ์กรณีกองทัพเรียกคนจำนวนมากไปรายงานตัว และคนที่ถูกเรียกรายงานตัวได้เล่าว่าทหารที่มาสอบสวนพูดอะไรบ้าง ซึ่ง "บอกตรงๆ ฟังแล้วก็ได้แต่ "สายหน้า" นะ คนเหล่านี้ "ไม่ฉลาด" เอามากๆ สิ" พร้อมวิจารณ์การแสดงความเห็นทางรายการคืนความสุขให้คนในชาติ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ว่า "หมอนี่ไปอยู่ที่ไหนมา? เกิดเมื่อศตวรรษที่แล้วหรือไง?" นั้น

ต่อมาวันนี้ (24 พ.ย.) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมงานโฆษก คสช. กล่าวถึงกรณีดังกล่าว โดยไทยรัฐออนไลน์รายงานความเห็นของ พ.อ.วินธัย ที่ระบุว่า นายสมศักดิ์มีอาชีพเป็นครูบาอาจารย์ สถาบันที่มีชื่อเสียง การแสดงความคิดเห็นในช่วงนี้ ควรเป็นในเชิงสร้างสรรค์ บางลักษณะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ควรต้องระมัดระวัง อย่างกรณีที่ใช้คำว่า "โง่" ก็ไม่อยากเชื่อ เพราะลักษณะคำพูดดังกล่าวเป็นการพูดในเชิงลบหลู่ ดูหมิ่นดูแคลน ไม่ใช่วิสัยของบุคลากรระดับอาจารย์ ซึ่งอาจมีลูกศิษย์มากมาย การเสนอข้อมูลใดๆ ในขณะที่มีข้อมูลไม่ครบไม่เพียงพอ หรือใช้เพียงความรู้สึกความเข้าใจเฉพาะในมุมมองของตัวเอง ไปพาดพิงบุคคล และองค์กรอื่นๆ อยากให้ได้ระมัดระวัง มิฉะนั้น อาจจะกระทบภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือทางด้านวิชาชีพได้

"มั่นใจว่าเรื่องระบบการศึกษาในโรงเรียนทหารทุกแห่งในประเทศไทย มีพัฒนาการมาตามกาลสมัย มีมาตรฐานในระดับสากลเป็นที่ยอมรับจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ นำไปสู่เมื่อบุคคลากรสำเร็จออกปฏิบัติราชการ จะมีผลงานให้เห็นสามารถจับต้องได้จริง ตั้งแต่การป้องกันประเทศ การรักษาความสงบภายใน การพิทักษ์ปกป้องสถาบัน และการช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช้ล้มเหลวอย่างที่กล่าวอ้าง"

หลังจากนั้นสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โพสต์ทางเฟซบุ๊คตอบ พ.อ.วินธัยว่า "แต่คุณวินธัยครับ คนที่ทำผิดกฎหมายร้ายแรงที่สุดของประเทศ คือล้มรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมายมาตรา 113 (โทษประหารชีวิตทั้งนั้น) มีสิทธิอะไรในการ "เตือน" คนอื่นเรื่องทำผิดโน่นผิดนี่อีกครับ?"

"ปล. สำหรับ "ข้ออ้าง" ของ คสช ประเภท "จำเป็นต้องทำ" คือ ผิดกฎหมาย 113 ล้มรัฐธรรมนูญ อะไร .. แหม ไม่มีกฎหมายอาญาไหน เขียนว่า ไม่สามารถกบฏได้ "ยกเว้นแต่มีความจำเป็น" อะไรแบบนั้นนะ คือ ใครคิดว่าข้ออ้างประเภทนี้มีความหมายอะไร ก็บ้าแน่ ปล.2 อ้อ แล้วกรณีที่มีมือปืนไปยิงผมถึงบ้าน ไม่กีวันหลังจากคุณวินธัย ในนามกองทัพบอกออกมาขู่ว่า ต้อง "ใช้มาตรการทางสังคม" เล่นงานผมน่ะ มีวี่แววจะจับได้หรือยังครับ?" สมศักดิ์โพสต์ตอบ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 57985 articles
Browse latest View live