สปช. ทยอยรับรัฐธรรมนูญร่างแรกแล้ว แต่ไม่แจกให้สื่อมวลชน
คสช.มีคำสั่งย้ายปลัดและบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ
บ้านเมืองไม่ใช่ของเรา : Anniversary 1 ปีคืนความสุข
รายการ ‘บ้านเมืองไม่ใช่ของเรา’ กลับมาพบกับท่านผู้ชมอีกครั้ง เนื่องในโอกาสพิเศษที่จะเวียนมาครบ 1 ปี ของการคืนความสุขให้กับประชาชนไทย หรือครบ 1 ปีรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 โดยนำเสนอรายการในตอนพิเศษ ว่าด้วยมุมมองจากนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และมานุษยวิทยา-สังคมวิทยา ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ และประเด็นทางด้านสิทธิมนุษยชน
พบกับพิธีกรเจ้าเก่า ‘พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์’ พร้อมแขกรับเชิญ ‘บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ’ นักวิชาการและอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และ ‘ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี’ นักวิชาการและอาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รายการคืนความสุข 'ประยุทธ์' วอนสังคมหยุดสร้างวาทกรรมโจมตีรัฐบาล
เยาวชนสิงคโปร์จำคุกต่อ 1 วัน หลังพ่อแม่ไม่ประกันตัวคดีโพสต์คลิป "ลี กวนยูตายแล้ว"
ศาลสิงคโปร์เพิ่มเงื่อนไขประกันตัว "เอมอส ยี" ห้ามโพสต์โซเชียล และให้มารายงานตัวตำรวจทุกวัน ขณะที่พ่อแม่ไม่ยอมประกันตัวลูกชาย ทำให้ต้องจำคุกต่ออีก 1 วัน ขณะที่อัยการ ขอให้ศาลอนุญาตให้ชาวสิงคโปร์ที่ไม่ใช่พ่อแม่ของเอมอส ยี เป็นนายประกันได้
ภาพจากวิดีโอ "Lee Kuan Yew Is Finally Dead!" ที่ เอมอส ยี เยาวชนชาวสิงคโปร์ บันทึกและโพสต์หลังการเสียชีวิตของอดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ลี กวนยู ซึ่งทำให้เขาถูกตำรวจจับและดำเนินคดี 3 ข้อกล่าวหา
17 เม.ย. 2558 - กรณี เอมอส ยี เยาวชนสิงคโปร์อายุ 16 ปี ซึ่งบันทึกวิดีโอ "Lee Kuan Yew Is Finally Dead!" และโพสต์ในช่อง YouTube ของเขาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ที่ผ่านมา ต่อมาถูกตำรวจจับและดำเนินคดีเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเนื้อหาในวิดีโอเป็นการโจมตี ลี กวนยู และคริสต์ศาสนานั้น
ล่าสุด สเตรทไทม์รายงานว่า ในระหว่างนัดพร้อมเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินคดี เมื่อบ่ายวันที่ 17 เมษายนนั้น ผู้พิพากษาประจำเขต เคสเลอร์ โซะ ได้แจ้งเปลี่ยนเงื่อนไขการประกันตัว จากวงเงินประกันเดิม 20,000 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้กำหนดให้พ่อกับแม่ของ เอมอส ยี เท่านั้นให้เป็นนายประกัน เนื่องจากเอมอส ยีอายุเพียง 16 ปี
โดยระหว่างการนัดพร้อมดังกล่าว ผู้พิพากษายังกำหนดเงื่อนไขในการประกันตัวเพิ่ม โดยผู้พิพากษาได้แจ้งให้เอมอส ลบโพสต์ในเฟซบุ๊ค 2 โพสต์ที่โพสต์เมื่อวันที่ 14 เมษายน และบล็อกที่เขียนพาดหัวว่า "Donate To Help Amos Yee" หรือ "บริจาคเพื่อช่วยเหลือ เอมอส ยี" ซึ่งเขาหวังว่าจะระดมทุนได้ 30,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางคดี นอกจากนี้ยังถูกเสนอให้ตั้งค่าการเข้าถึงวิดีโอใน YouTube ที่เขาโพสต์เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ดังกล่าวให้เป็นวิดีโอส่วนตัว รวมถึงโพสต์ที่แสดงเนื้อหาหยาบคายเมื่อวันที่ 28 มีนาคมด้วย
ในขณะที่ เขาต้องรับรองต่อผู้พิพากษาด้วยว่า ในช่วงมีการดำเนินคดี เขาจะไม่โพสต์ อัพโหลด หรือเผยแพร่สิ่งใดๆ ให้ปรากฏต่อสาธารณะทั้งในรูปแบบของเนื้อหาหรือการแสดงความเห็นใดๆ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะในรูปแบบของโซเชียลมีเดีย หรือการให้บริการออนไลน์ หรือเว็บไซต์ใดๆ นอกจากนี้เขาต้องไปรายงานตัวทุกวันต่อเจ้าพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าทีตำรวจที่ได้รับมอบหมาย โดยรายงานตัวที่สถานีตำรวจเขตเบอด็อก
โดย เอมอส ยี เห็นด้วยกับเงื่อนไขใหม่ของศาล อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ของเขาตัดสินใจไม่ประกันตัวลูกชาย จากนั้น อัยการ ได้ร้องขอต่อศาลให้เปลี่ยนเงื่อนไขการประกันตัว โดยอนุญาตให้ชาวสิงคโปร์ที่ไม่ใช่พ่อแม่ของ เอมอส ยี เป็นนายประกันได้ อย่างไรก็ตามสำนักงานประกันตัวปิดในเวลา 16.30 น. ในเวลาเดียวกับที่การนัดพร้อมเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินคดีสิ้นสุด ทำให้ เอมอส ยี ต้องถูกควบคุมตัวอีก 1 วัน ตามรายของของแชนเนลนิวส์เอเชีย
ในรายงานของสเตรทไทม์ ผู้ช่วยอัยการ ฮอน ยี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า พวกเขาไม่ได้คัดค้านการประกันตัวเอมอส และไม่ได้มีคำขอเจาะจงให้พ่อแม่ของเอมอสเป็นนายประกัน
ก่อนหน้านี้ ภายหลังจากที่เอมอส ยี เผยแพร่คลิป ต่อมาเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา เอมอส ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญาสิงคโปร์ 2 ข้อหา ได้แก่ เผยแพร่เนื้อหาลามกผ่านระบบออนไลน์ มาตรา 292(1) และทำวิดีโอคลิปที่มีภาพและเสียงต่อต้านคริสต์ศาสนา ซึ่งทำร้ายความรู้สึกของชาวคริสต์โดยทั่วไป ตามมาตรา 298 และข้อกล่าวหาล่าสุด เป็นไปตามกฎหมายป้องกันการคุกคาม โดยในมาตรา 4(1) ห้ามไม่ให้แสดงพฤติกรรมข่มขู่หรือดูหมิ่นซึ่งทำให้ผู้รับรู้เกิดความรู้สึกถูกคุกคาม ตื่นตระหนกหรือทุกข์ใจ โดยศาลอ้างว่าที่เอมอส ยี วิจารณ์ลี กวนยูในวิดีคลิปดังกล่าว เจตนาทำให้ผู้พบเห็นหรือผู้รับฟังเกิดความรู้สึกทุกข์ใจ
ทั้งนี้ จะมีการนัดพร้อมเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินคดีอีกครั้งในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ และการพิจารณาการประกันตัวอีกผลัดจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 2 เมษายน เวลา 16.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภาพที่เผยแพร่ในสเตรทไทม์วันนี้ เป็นภาพของ เอมอส ยี เดินทางมาที่ศาลพร้อมกับพ่อแม่ โดยเขาสวมเสื้อยืดสีดำ และกำลังรับประทานกล้วยหอม
ขณะที่ครั้งหนึ่งในสมัยที่ ลี กวนยู ยังปกครองสิงคโปร์และออกกฎห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง นักข่าวบีบีซีเคยแนะนำเขาว่าควรให้คนเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อให้มีความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ ลี กวนยู โต้ตอบกลับมาว่า "ถ้าคุณคิดอะไรไม่ออกถ้าไม่ได้เคี้ยวละก็ ลองกินกล้วยสักใบสิ" (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
สำหรับคลิป ที่เอมอส ยี เผยแพร่นั้น ตอนหนึ่งเขาตั้งคำถามว่าสิงคโปร์แท้จริงแล้วเป็นประเทศที่มั่งคั่งจริงหรือ เพราะประชาชนมีชั่วโมงทำงานสูงที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้วคือ 50.8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ประเทศกลับมีดัชนีความเหลื่อมล้ำที่สูงที่สุด และมีสัดส่วนคนยากจนสูงที่สุดคือร้อยละ 28 และรัฐบาลสิงคโปร์เป็นรัฐบาลที่ใช้จ่ายด้านความมั่นคงสังคมและสาธารณสุขต่ำที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว
"งบประมาณที่ใช้จ่ายให้กับสาธารณะนั้นต่ำมาก เหมือนประเทศโลกที่สาม" เอมอส ยี กล่าวตอนหนึ่งในวิดีโอ นอกจากนั้นเขายังตั้งคำถามถึงมาตรการทางภาษีของสิงคโปร์ที่อยู่ในอัตราที่สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ รวมไปถึงเงินเดือนของผู้นำประเทศก็สูงที่สุดในโลกด้วย
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 31 มีนาคม มีชาวคริสต์ในสิงคโปร์รายหนึ่ง ริเริ่มการล่ารายชื่อ "ปล่อยเอมอส ยี จากความโกรธของคุณ"
"เราไม่รู้สึกโกรธจากคำแถลงของ เอมอส ยี ความเห็นของเขาต่อพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซู ไม่สามารถคุกคามต่อความศรัทธาของเรา หรือทำให้ความรักของเราต่อพระเยซูลดลง กรุณาปล่อย เอมอส ยี จากความโกรธเคืองของคุณ เราอภัยต่อเขา และหวังว่าเขาจะมีชีวิตที่สมบูรณ์เพื่ออุทิศต่อชุมชนของเขาในภายหน้า" ตอนหนึ่งของแถลงการณ์เชิญชวนโดย วัลลี ตัม ระบุ โดยขณะนี้มีผู้ลงชื่อสนับสนุน 3,547 คน
นักปรัชญาชายขอบ: คนดีกับความเป็นมนุษย์
พุทธศาสนาเถรวาทแบบสยามไทย คือพุทธศาสนาที่สร้างแนวคิดทางสังคมการเมืองบนพื้นฐาน “จักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ” ที่ถือว่าลำดับชนชั้นสูงต่ำทางสังคมขึ้นอยู่กับ “ปุพเพกตปุญญตา” หรือบุญบารมีที่คนเราทำมาแต่ปางก่อนไม่เท่ากัน ฉะนั้น บุญบารมีที่แต่ละคนทำมาในอดีตชาติจึงเป็นเงื่อนไขที่กำหนดล่วงหน้าให้คนเราเกิดมาในชนชั้นทางสังคมที่ต่างกัน
ผู้ปกครองสมควรเป็นผู้ปกครอง ไม่ใช่เพราะผ่านการแข่งขันในเรื่องวิสัยทัศน์ นโยบาย ความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของประชาชน และได้อำนาจมาจากความยินยอมหรือเป็นไปตามเจตจำนงทั่วไปของประชาชน แต่เป็นเพราะคุณธรรมในตัวของผู้ปกครองและบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนกำหนดล่วงหน้าให้มาเป็นผู้ปกครอง ประชาชนควรยอมรับคุณธรรมหรือบุญบารมีของผู้ปกครอง ไม่ใช่เพราะมีเสรีภาพพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง แต่เป็นความเชื่อที่ไม่สามารถโต้แย้งหักล้างได้
ความคิดทางสังคมการเมืองบนฐานของจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ จึงกำหนดให้คนมี 2 ชนชั้นอย่างตายตัว คือชนชั้นปกครองกับชนชั้นผู้ถูกปกครอง มาตรฐานการแบ่งชนขั้นคือบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนและคุณธรรมในตัวคนที่ไม่เท่ากัน
พุทธศาสนาแบบไตรภูมิเป็นพุทธศาสนาแบบสยามเก่า ที่พัฒนามาเป็นพุทธชาตินิยมในสยามใหม่ นั่นคือพุทธที่สถาปนาองค์กรสงฆ์เป็นกลไกสนับสนุนอุดมการณ์รัฐสมัยใหม่ และพุทธศาสนากลายเป็น 1 ใน 3 สถาบันหลักของชาติคือ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
พุทธแบบสยามเก่าบวกกับพุทธแบบสยามใหม่ก็คือ พุทธศาสนาแห่งรัฐที่มีบทบาทหลักในการสร้างความคิดทางสังคมการเมืองว่า “ผู้ปกครองต้องเป็นคนดีมีคุณธรรม” และ “พลเมืองดี” ต้องจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ภายในระบบความคิดทางสังคมการเมืองของพุทธเถรวาทแบบสยามไทยดังกล่าว จึงไม่มีความคิดเกี่ยวกับคุณค่าสากล เช่นเสรีภาพ ความเสมอภาคที่เป็นรากฐานของประชาธิปไตยสมัยใหม่ แต่เป็นความคิดที่ถือว่าผู้ปกครองที่มีบุญบารมีและคุณธรรมอยู่เหนือหลักเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเป็นประชาธิปไตย ฉะนั้น เสรีภาพ ความเสมอภาค และความเป็นประชาธิปไตยจึงไม่ใช่สิ่งที่มีค่าในตัวมันเอง มันจะมีค่าก็ต่อเมื่อไม่ขัดแย้งหรือคล้อยตาม “สิ่งสูงสุด” ที่เรียกว่า “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” เท่านั้น
อุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์จึงเป็นความจริงสูงสุด หรือความดีสูงสุดที่โต้แย้งและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ของระบบสังคมการเมืองไทย เป็นความสูงสุดที่เป็นนิรันดร์!
แต่รัฐฆราวาสที่เป็นเสรีประชาธิปไตย ย่อมไม่ปกครองด้วยหลักความเชื่อทางศาสนา (เช่นความเชื่อเรื่อง “คุณธรรม” “คนดี” ตามหลักศาสนาใดศาสนาหนึ่ง) และไม่อ้างความดีหรือความจริงสูงสุดที่โต้แย้งหักล้างไม่ได้ใดๆ เป็นหลักในการปกครอง แม้หลักเสรีประชาธิปไตยเองก็ไม่ใช่ความดีหรือความจริงสูงสุด แต่เป็นหลักที่โต้แย้งหักล้างหรือเสนอให้เปลี่ยนแปลงได้ ตราบใดที่ไม่ใช้ความรุนแรงล้มล้าง
ฉะนั้น ความคิดเรื่องคนดีและชนชั้นทางสังคมตามจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ และการถือว่าอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์เป็นความจริงและความดีสูงสุดที่พุทธศาสนาชาตินิยมสนับสนุน จึงขัดแย้งกับคุณค่าสากลคือเสรีภาพ ความเสมอภาคและความเป็นประชาธิปไตยสมัยใหม่ หรือเสรีประชาธิปไตย และนับวันจะถูกตั้งคำถามท้าทายมากขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของประชาชน อันเนื่องมาจากระบบเศรษฐกิจ การเมือง การสื่อสารในโลกสมัยใหม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ประเด็นท้าทายที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือ ความดี คุณธรรม คนดี และอุดมการณ์อันเป็นความจริงและความดีสูงสุดหนึ่งเดียวที่โต้แย้ง หักล้างไม่ได้นั้น “ไม่มีความเป็นมนุษย์” หรือขัดกับความงอกงามของความเป็นมนุษย์ในโลกสมัยใหม่หรือไม่?
เพราะความงอกงามของมนุษย์ ทั้งในแง่ศักยภาพทางปัญญา ความคิด อารมณ์ สังคม ไปจนถึงการพัฒนาความสามารถที่จะขับเคลื่อนความก้าวหน้าในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และอื่นๆ ตลอดถึงการเปิดกว้างในการเรียนรู้เพื่อแสวงหาอิสรภาพทางจิตวิญญาณ ล้วนเป็นความงอกงามที่เป็นไปได้ในสังคมพหุนิยมที่ต้องอาศัยสนามการเรียนรู้ที่มีเสรีภาพ ความเสมอภาค และ/หรือความเป็นเสรีประชาธิปไตย
ทว่าการปลูกฝังกล่อมเกลาสร้าง “พลเมืองดี” ที่ไม่ใช่พลเมืองซึ่งมีสิทธิ เสรีภาพตามหลักสากล แต่เป็นพลเมืองที่มี “หน้าที่” เชื่อฟังผู้ปกครองที่เป็นคนดีมีคุณธรรม เพราะเชื่อว่าผู้ปกครองที่เป็นคนดีมีคุณธรรมนั้นๆ จะรู้ทุกเรื่อง คิดแทน ทำแทนได้ทุกเรื่อง เป็นคนดีแล้วจะไม่ทำสิ่งที่ผิดใดๆ หรือกระทั่งมีอภิสิทธิ์ทำสิ่งที่ผิดหลักการประชาธิปไตยได้ เช่นทำรัฐประหาร และผูกขาดการกำหนดกติกาปกครองประเทศได้ตลอดไป เป็นต้น นี่ย่อมเป็นการทำให้พลเมืองไม่มีความเป็นมนุษย์ในความหมายสมัยใหม่ และสำหรับพลเมืองที่ต้องการจะพัฒนาความเป็นมนุษย์ของตนเองให้งอกงาม ด้วยการยืนยันการใช้เสรีภาพแสดงความคิดเห็นและเรียกร้องเสรีประชาธิปไตย เขาย่อมเผชิญกับการปราบปรามของอำนาจรัฐ
คำถามก็คือ ที่มักอ้างกันตลอดเวลาว่าพุทธศาสนาเถรวาทสยามไทยสอนให้คนเป็น “คนดี” นั้น ความเป็นคนดี ทำไมจึงไปกันไม่ได้กับความเป็นมนุษย์ในโลกสมัยใหม่? หรือขัดแย้ง เป็นอุปสรรคต่อความงอกงามของความเป็นมนุษย์ในโลกสมัยใหม่?
นี่ต่างหากที่ควรเป็นคำถามหลักของการปฏิรูปพุทธศาสนา เพราะการปฏิรูปพุทธศาสนาจะไม่มีความหมายอะไรเลย หากไม่ปลดปล่อยพุทธศาสนาจากการเป็นกลไกอำนาจรัฐ และทำให้พุทธศาสนาเชิงคำสอนมีความหมายต่อการสนับสนุนคุณค่าความเป็นมนุษย์ในโลกสมัยใหม่
ดาวน์โหลดร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2558
ชาวกะเหรี่ยงภาคตะวันตกขอมีส่วนร่วมในการประกาศแก่งกระจานเป็นมรดกโลก
อดีตคนงาน บ.อาร์ซีเอ ไต้หวันชนะคดีค่าเสียหาย 'เจ็บป่วย-ตาย' จากสารเคมี
เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2015 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ focustaiwan.tw รายงานว่าศาลของไต้หวันได้ตัดสินเมื่อวันศุกร์ (17 เม.ย.) ให้บ...
Posted by Workazine on 17 เมษายน 2015
ชงยกระดับ 'กองทุนหมู่บ้าน' เป็น 'สถาบันการเงินชุมชนเพื่อเศรษฐกิจพอเพียง'
นักข่าวพลเมือง: ชาวบ้านชุมชนคลองมุดงฉลองโวยนายทุนไล่ที่ สงสัยได้โฉนดมาได้อย่างไร
'สมบัติ' ค้านระบบเลือกตั้งผสมของเยอรมัน ชี้ทำให้รัฐบาลอ่อนแอ
คนงานในสหรัฐเคลื่อนไหวครั้งใหญ่-เรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำ 15 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง
แรงงานหลายสาขาอาชีพจากหลายเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกากว่า 200 เมือง ชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง - เรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำ 15 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ พร้อมเรียกร้องความเป็นธรรมทางสังคมด้านอื่น รวมทั้งต่อต้านการเหยียดสีผิว
สำนักข่าวคอมมอนครีมส์รายงานว่าเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (16 เม.ย.) มีการประท้วงของแรงงานเพื่อเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำ ครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยมีแรงงานจากหลากหลายสาขาอาชีพอาทิเช่น แรงงานฟาสต์ฟู้ด, แรงงานซักรีด, คนทำงานบ้าน, พี่เลี้ยงเด็ก, แรงงานร้านค้า และลูกจ้างงานด้านการศึกษา รวมหลายหมื่นคนออกมาเดินขบวนกันตามเมืองต่างๆ มากกว่า 200 เมืองทั่วสหรัฐอเมริกา
การเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำ 15 เหรียญสหรัฐ (480 บาท) ต่อชั่วโมงซึ่งเป็นเรื่องที่มีการพูดถึงในสหรัฐฯ มาเป็นเวลามากกว่า 3 ปีแล้วเกี่ยวกับปัญหาความยากจนและความไม่เสมอภาคในสังคม โดยในการเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ไม่เพียงแค่คนงานในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มคนงานจากอีก 35 ประเทศ ใน 6 ทวีป เช่น นิวซีแลนด์, บราซิล, ญี่ปุ่น เข้าร่วมด้วย
เทอร์เรนซ์ ไวส์ ซึ่งเป็นพ่อลูกสาม ซึ่งทั้งสามคนทำงานในร้านฟาสต์ฟู้ดที่เมืองแคนซัสซิตี้ รัฐมิสซูรี ไวส์แถลงต่อสื่อว่าพนักงานฟาสต์ฟู้ดกำลังเรียกร้องสิทธิพลเมืองร่วมกับนักกิจกรรมสายอื่นๆ อย่างนักศึกษา นักกิจกรรมต่อต้านการเหยียดผิว นักวิชาการ และแรงงานสายอื่น ทำให้พวกเขาเข้มแข็งมากขึ้น และไวส์เชื่อว่าพวกเขาจะชนะ
การประท้วงเมื่อวันพุธที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนจากสหภาพแรงงานภาคบริการนานาชาติ (Service Employees International Union) ซึ่งจงใจให้จัดการประท้วงตรงกับวันภาษีแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (15 เม.ย.) เพื่อเน้นย้ำให้เห็นว่าคนงานค่าแรงขั้นต่ำถูกบีบให้จำเป็นต้องพึ่งพาโครงการสาธารณะเพื่อจะมีชีวิตอยู่รอดได้
คนงานผู้ประท้วงชูป้าย "พวกเรามีค่ามากกว่านี้" ในขณะที่เรียกร้องค่าแรงที่สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ (living wages) รวมถึงเรียกร้องสิทธิในการรวมกลุ่มกันในที่ทำงานโดยไม่ถูกข่มขู่คุกคามหรือถูกลงโทษ
ผู้ประท้วงยังช่วยกันร่วมเรียกร้องในประเด็นอื่นๆ นอกจากเรื่องค่าแรง โดยเชื่อมโยงเรื่องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจกับความเป็นธรรมทางสังคมเช่นในประเด็นเรื่องที่ตำรวจสังหารคนผิวดำที่ไม่มีอาวุธในหลายกรณีเช่นที่เกิดขึ้นในเมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา หรือในเมืองเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี โดยมีการรำลึกถึงผู้ที่ถูกตำรวจสังหารซึ่งเป็นกิจกรรมของขบวนการ 'ชีวิตคนผิวดำก็มีความหมาย' (Black Lives Matter) ที่กำลังเติบโตขึ้น
ชาร์ลีนน์ คาร์รูเทอร์ ผู้อำนวยการ 'โครงการยุวชนคนผิวดำ 100' (Black Youth Project 100) กล่าวว่าพวกเขาร่วมต่อสู้กับคนงาเพื่อเรียกร้องค่าแรง 15 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมงเพราะคิดว่าความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและความเป็นธรรมด้านเชื้อชาติสีผิวเป็นเรื่องเดียวกัน "คนงานผิวดำต้องคอยชำระหนี้ที่พวกเขาไม่ควรจะมีให้กับบรรษัทจอมละโมบมาเป็นเวลานานเกินไปแล้ว" คาร์รูเทอร์กล่าว
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (13 เม.ย.) โครงการกฎหมายการจ้างงานแห่งชาติสหรัฐฯ (National Employment Law Project) เผยแพร่รายงานระบุว่ามีผู้หญิงและคนผิวสีอยู่ในกลุ่มคนงานที่ได้รับค่าแรงต่ำกว่าที่ควรเป็นจำนวนมาก โดยมีคนงานเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันมากกว่าร้อยละ 50 และคนงานเชื้อสายละตินมากกว่าร้อยละ 60 ได้ค่าแรงน้อยกว่า 15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อชั่วโมง
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประท้วงเมื่อวันพูะยังเรียกร้องให้มีความเป็นธรรมต่อแรงงานเกิดขึ้นในที่อื่นๆ นอกจากสหรัฐฯ ด้วย
มาสซิโม แฟรตตินี่ ผู้ประสานงานระหว่างประเทศของสหภาพแรงงานอาหารสากลแถลงต่อสื่อว่า อุตสาหกรรมอาหารฟาสต์ฟู้ดถูกถูกกุมอำนาจอยู่โดยบรรษัทระดับโลกที่ร่ำรวยระดับพันล้านอยู่เพียงไม่กี่บรรษัท ดังนั้นพวกเขาจึงต้องฟลัหกันขบวนการเคลื่อนไหวของแรงงานไปสู่ระดับโลกเพื่อให้ได้ค่าจ้างที่ดีขึ้น การปฏิบัติต่อคนงานที่ขึ้น และสิทธิที่ดีขึ้น
ผู้เข้าร่วมการชุมนุมกล่าวว่าขบวนการนี้เป็นการโต้ตอบอย่างเร่งด่วนต่อความไม่เสมอภาคที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก
"เพียงเพราะผมทำงานในร้านฟาสต์ฟู้ดไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องทนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก" แอนดรูว์ โอลซัน พนักงานแมคโดนัลด์ในลอสแองเจลิสกล่าวให้สัมภาษณ์ต่อสื่อแอลเอไทม์
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวชื่อรานา ฟอรูฮาร์ ระบุในนิตยสารไทม์ว่าการเปลี่ยนค่าแรงขึ้นต่ำเป็น 15 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมงเป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ทำให้เป็นเรื่องที่นักการเมืองต้องพิจารณาหนักมากในช่วงการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้เพราะประเด็นนี้ดูเหมือนจะยังไม่จบลงง่ายๆ
เรียบเรียงจาก
'I Know We Will Win': Largest Ever Low-Wage Worker Protest Sweeps United States, CommonDreams, 16-04-2015 http://www.commondreams.org/news/2015/04/16/i-know-we-will-win-largest-ever-low-wage-worker-protest-sweeps-united-states
ข้อเขียนเพื่อทำความเข้าใจร่างรัฐธรรมนูญ 2558 และข้อสังเกตบางประการ
เพื่อทำความเข้าใจร่างรัฐธรรมนูญ 2558 และข้อสังเกตบางประการ ขอแบ่งออกเป็น 5 ประเด็น คือ 1.นายกรัฐมนตรี 2. สภาผู้แทนราษฎร 3. วุฒิสภา 4. คณะกรรมการ สภา สมัชชา ที่จัดตั้งตามรัฐธรรมนูญ และ 5. เรื่องโดยรวม
1. นายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีมาจาก "การเลือก" ของ ส.ส. แต่ไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง หากมาจากการเลือกตั้ง สภาผู้แทนฯ โหวตโดยใช้คะแนนเสียงเกิน1/2 ในกรณีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง สภาผู้แทนฯ ต้องใช้คะแนนเสียง 2/3 (ม. 172)
กำหนดวาระว่าห้ามเกิน 2 สมัย รัฐธรรมนูญปี 50 ใช้คำว่าห้ามเกิน 8 ปี แปลว่าคราวนี้การดำรงตำแหน่งอาจยิ่งสั้นลง เพราะ 2 วาระ อาจไม่ถึง 8 ปี
นำหลักแบ่งแยกอำนาจแบบฝรั่งเศสซึ่งเคยใช้ใน รัฐธรรมนูญปี 40 กลับมาใช้ กล่าวคือ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในขณะเดียวกันมิได้ หมายความว่า ส.ส.ต้องลาออกมาเพื่อรับตำแหน่ง รมต.
2. สภาผู้แทนราษฎร
สภาผู้แทนราษฎรจำนวนโดยประมาณ 450 คน มาจาก
ก) เลือกตั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดา 1 เขต 1 คน จำนวน 250 คน ดังนั้นเขตเลือกตั้งจะใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเปลี่ยนจากเดิม 375 เขต เหลือ 250 เขต
ข) เลือกตั้งแบบผสมเขตและสัดส่วน (MMP) จำนวนประมาณ 200 คน โดยแบ่งประเทศเป็น 6 เขต น่าจะตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แบ่งไว้ แต่ละภาคประชากรไม่เท่ากัน ดังนั้นแต่ละเขตอาจมี ส.ส. จำนวนไม่เท่ากัน การเลือกตั้งบัญชีรายชื่อเป็นแบบเปิด ผู้ใช้สิทธิสามารถเลือกผู้สมัครในบัญชีที่พรรค/กลุ่มการเมืองเสนอมา ได้ 1 ชื่อ
ข้อสังเกตคือ ประชาชนมีแนวโน้มเลือกผู้สมัครที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ส่วนผู้สมัครคนอื่น ๆ ในบัญชี ก็ต้องหาเสียงแข่งกันเพื่อให้ตัวเองถูกเลือก เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะได้เห็นการเลือกตั้งที่เน้นตัวบุคคล มากกว่านโยบายและแบรนด์พรรคการเมือง เคยประเมินประเด็นนี้ไปแล้วว่า จะทำให้พรรคขาดแรงจูงใจนำเสนอนโยบาย ทำให้การซื้อเสียงโดยตัวบุคคลเพิ่มสูงขึ้น และจะทำใหระบบอุปถัมภ์และเจ้าพ่อท้องถิ่นกลับมามีบทบาทในการเมืองระดับชาติ เพราะทั้ง ส.ส เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เน้นตัวบุคคลทั้งสองระบบ
ประเทศต้นแบบอย่างเยอรมัน และประเทศอื่น ๆ อีก 9 ประเทศที่ใช้ระบบ MMP ใช้ระบบบัญชีรายชื่อแบบปิด ส่วนประเทศที่ใช้ระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิด มักไม่มี ส.ส. เขต เช่น อินโดนีเซีย
ในมาตรา 112 มีข้อกำหนดว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง หมายความว่าไม่จำเป็นต้องจัดตั้งพรรคการเมือง เป็นแต่เพียงการรวมกลุ่มอย่างหลวมๆ ซึ่งดูเหมือนจะเอื้อให้เกิดการรวมกลุ่มโดยธรรมชาติ
แต่ในมาตราเดียวกันกลับกำหนดว่าหากพรรคหรือกลุ่มการเมืองส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อในภาคใด ก็ต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในภาคนั้นเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อด้วย
มองได้ว่าเป็นมาตรการที่สร้างข้อจำกัดให้พรรคขนาดเล็ก เพราะที่ผ่านมาพรรคการเมืองขนาดเล็ก ทุนน้อยประสบปัญหาในการหาผู้ลงสมัครในนามพรรค นอกจากนั้นยังเอื้อพรรคภูมิภาค สกัดพรรคที่ได้รับความนิยมระดับชาติ เช่นพรรครักไทยของคุณชูวิทย์ซึ่งในการเลือกตั้งปี 2554 ส่งแต่บัญชีรายชื่อ ไม่ส่งผู้สมัครระบบเขต
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญได้ทำให้การการช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน มีนัยสำคัญต่อผลเลือกตั้ง โดยกำหนดว่า ผู้สมัครจะได้รับเลือกตั้งต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าคะแนนเสียงที่ไม่เลือกผู้ใดหรือไม่เลือกบัญชีใด (ม113)
การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยสภาผู้แทนฯ ทำได้เช่นเดียวกับที่เคยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี 50 คือ อภิปรายนายกรัฐมนตรีใช้เสียงไม่น้อยกว่า 1/5 อภิปราย รมต รายบุคคล ใช้เสียงไม่น้อยกว่า 1/6 และหลังจาก 2 ปี ลดเหลือเพียง ½ ของฝ่ายค้าน
ผู้เคยถูกถอดถอนหรือถูกตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองหมดสิทธิลงเลือกตั้ง
3. วุฒิสภาจำนวน 200 คน มาจาก 5 ช่องทาง
ก) 77 คนมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน แต่ผู้ลงสมัครต้องผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการจังหวัดผู้ทรงคุณวุฒิและคุณธรรม 10 คน ส่วนคณะกรรมการจังหวัดชุดนี้มีที่มาอย่างไร รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุไว้ ต้องรอดู พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
ข) ผู้เคยเป็นปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า 10 คน และปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ 10 คน โดยเลือกกันเองในแต่ละประเภท
ค) ตัวแทนสภาวิชาชีพ องค์กรวิชาชีพ เลือกกันเอง 15 คน
ง) ผู้แทนองค์กรด้านเกษตรกรรม ด้านแรงงาน ด้านวิชาการ ด้านชุมชน และด้านท้องถิ่น เลือกกันเอง 30 คน
จ) ผู้ทรงคุณวุฒิและคุณธรรมด้านต่างๆ มาจากการสรรหา 58 คน ทั้งนี้คณะกรรมการสรรหาเป็นใครบ้าง มีที่มาอย่างไร ไม่ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ
เช่นเดียวกับ รัฐธรรมนูญ ปี 40 และ 50 ที่กำหนดว่า สว. ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี และเหมือน รัฐธรรมนูญ ปี 50 ที่ห้ามเป็นบุพการี คู่สมรส หรือบุตรของ ส.ส. นอกจากนี้ยังห้ามผู้เคยเป็น ส.ส. ภายใน 5 ปี และ เคยดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญภายในระยะเวลา 2 ปี มาเป็น สว.ด้วย
ข้อสังเกตสำคัญคือ มีการเพิ่มอำนาจวุฒิสภาอย่างกว้างขวางและเข้มข้น กล่าวคือ ก) การแต่งตั้งรัฐมนตรีทั้งคณะและรายบุคคลจะต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา (มาตรา 130) ข) วุฒิสภา 40 คน สามารถเสนอร่างพระราชบัญญัติได้ (มาตรา 147) และ ค) สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างมีอำนาจยับยั้งร่างกฎหมายของอีกฝ่าย (มาตรา 153-154)
จะเห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มอำนาจวุฒิสภาจากรัฐธรรมนูญ 40 และ 50 อย่างมาก เมื่อพิจารณาอำนาจที่ใช้ร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยมติ 3/5 ของรัฐสภา (มาตรา 253-254) อาจทำให้มองเบื้องต้นได้ว่าระบบรัฐสภาไทยมีอำนาจหน้าที่คล้ายกับรัฐสภาคู่ที่เท่าเทียมกัน (symmetrical bicameralism) ของสหรัฐอเมริกา
หากแต่ ความแตกต่างที่เด่นชัดคือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาของอเมริกา ต่างมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ของไทย ดูเหมือนวุฒิสภาจะมีอำนาจหน้าที่มากกว่าสภาผู้แทนราษฎร
4. คณะกรรมการ สภา สมัชชา และองค์กรที่จัดตั้งตามรัฐธรรมนูญ
ถ้านับไม่ผิด รัฐธรรมนูญได้จัดตั้ง คณะกรรมการ องค์กร สภา สมัชชา ขึ้นมาใหม่ ที่มุ่งหมายให้แสดงบทบาทสำคัญในอนาคตไว้อย่างน้อย 10 องค์กร ได้แก่
1.สภาผู้ทรงคุณวุฒิ คุณธรรม 77 จังหวัด (10 คน) กลั่นกรองผู้สมัคร สว.
2.สภาตรวจสอบภาคพลเมือง (50 คน) ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐภายในเขตจังหวัดของตน 77 จังหวัด
3.สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ
4.คณะกรรมการประเมินผลแห่งชาติ
5.คณะกรรมการดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนโดยระบบคุณธรรม
6.ศาลปกครองแผนกคดีวินัยการคลังและการงบประมาณ
7.คณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง (กจต.)
8.ผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิมนุษยชน (เป็นการยุบรวมคณะกรรมสิทธิมนุษยชนฯ เดิม เข้ากับผู้ตรวจการแผ่นดิน)
9.คณะกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ
10.สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปแห่งชาติ
การจัดการเลือกตั้ง จะไม่ได้เป็นหน้าที่ของ กกต แต่จะมี คณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการที่แต่งตั้งโดยปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ มาดำเนินการแทน (มาตรา 268)
5. เรื่องโดยรวม มีประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น
5.1 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประชาชน กำหนดไว้ชัดเจนด้วยประโยคว่า
“ประชาชนชาวไทยย่อมมีฐานะเป็นพลเมือง” ความเป็นพลเมืองและหน้าที่ของพลเมือง (มาตรา 26 และ 27) มาก่อนมาตราที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย
คุณสมบัติของพลเมืองเช่น มีค่านิยมที่ดี มีวินัย รู้รักสามัคคี มีความเพียร พึ่งตนเอง เสียภาษีอากรโดยสุจริต ไม่ทำให้เกิดความเกลียดชังกัน ฯลฯ รัฐมีหน้าที่ต้องปลูกฝัง เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองตามมาตรานี้
5.2 อำนาจวินิจฉัยของศาลรัฐธรมนูญ ระบุไว้ชัดเจนในมาตรา 7 ว่า สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุด หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ สามารถขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ชี้ขาดได้ กล่าวคือ ไม่ต้องฟ้องผ่านอัยการสูงสุดตามที่เคยถกเถียงกัน นอกจากนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (เดิม) ของเนื้อหารัฐธรรมนูญ (ใหม่) เสมอ
5.3 พรรคการเมืองจะถูกควบคุมภายใต้แนวคิด “ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้แทนที่ดี” มีการใช้คำว่า การสร้างความเป็นประชาธิปไตยในพรรคการเมือง มีความพยายามที่จะให้พรรคจัดการเลือกตั้งขั้นต้น โดยใช้คำว่าหยั่งเสียงประชาชน อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้ จะต้องดู พรบ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ว่าจะไปไกลแค่ไหน
5.4 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้จะมีการเขียนไว้เสมือนทำได้เหมือนภายใต้รัฐธรมนูญ 50 แต่ในทางปฎิบัติ จะเป็นไปได้ยากมาก เพราะมีข้อห้ามหลายประการ เช่น ห้ามเปลี่ยนโครงสร้างและองค์ประกอบของแต่ละสภา ห้ามแก้ไขกลไกที่กระทบวินัยการเงิน การคลัง และการงบประมาณ หลักนิติธรรม ศาล และองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ รวมถึงการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ข้อห้ามเหล่านี้ครอบคลุมแทบทุกสาระหัวใจของรัฐธรรมนูญ (มาตรา 300) และดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังต้องผ่านประชามติ (เสียง 1/2) โดยประชาชนอีกด้วย ทุก 5 ปี จะมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอิสระประเมินผลการใช้บังคับรัฐธรรมนูญ
5.5 ให้ความคุ้มครองการใช้อำนาจของ คสช. และรัฐบาลปัจจุบัน โดยบทเฉพาะกาลมาตรา 315 ระบุว่าบรรดาการใด ๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้
18 องค์กรประชาสังคมวอนประยุทธ์เผยจุดยืนคุ้มครองการลงทุนที่กระทบต่อนโยบายสาธารณะ
องค์กรประชาสังคม 18 องค์กรทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ชี้ท่าทีและจุดยืนการคุ้
19 เมษายน 2558 กรุงเทพฯ กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้
“กระทรวงพาณิชย์อ้างว่า กฎหมายต่างๆ ที่กำลังแก้ไขเพื่อให้
ประชาชนคนไทยมีสุขภาวะที่ดีขึ้ นซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการปฏิรู ปประเทศอาจสร้าง ‘ผลกระทบต่อการค้าและการลงทุน’ จะทำให้รัฐไทยถูกนักลงทุนต่ างชาติฟ้องเรียกค่าเสียหายผ่ านอนุญาโตตุลาการ ทั้งที่ตัวแทนของกระทรวงการต่ างประเทศได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิ การของรัฐสภาหลายสมั ยและหลายวาระ ยืนยันว่า การคุ้มครองการลงทุ นของไทยในเอฟทีเอต่างๆนั้น ยังไม่อนุญาตให้มีการฟ้องร้องผ่ านกลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรั ฐและเอกชนต่อนโยบายสาธารณะ เราจึงต้องการให้รัฐบาลชี้แจงต่ อสาธารณะอย่างเปิดเผยว่า จุดยืนและท่าทีของรัฐบาลชุดปั จจุบันยังเป็นเช่นนี้หรือไม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงเพื่ อเอาใจนักลงทุนไปแล้ว”
ที่ผ่านมา รัฐไทยเคยถูกนักลงทุนต่างชาติฟ้
“ที่ผ่านมา ผู้เจรจาเอฟทีเอประเด็นนี้จะยึ
ดตามกรอบการเจรจาความตกลงเพื่ อส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุ นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจั กรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 190 ที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2553 ที่กำหนดให้ ไม่คุ้มครองการลงทุนที่ไม่มีกิ จกรรมทางเศรษฐกิจจริง (real economic activities) และจะคุ้มครองการลงทุนที่มี การลงทุนแล้ว (post-establishment) เท่านั้น และกำหนดมาตรการที่จำเป็น และเหมาะสมเพื่อรักษาประโยชน์ สาธารณะ เช่น สิ่งแวดล้อม สุขภาพสาธารณะ มาตรการเพื่อปกป้องดุ ลการชำระเงิน นโยบายเศรษฐกิจมหภาค ต้องถูกละไว้ ไม่ให้เป็นประเด็นที่นำไปสู่ การฟ้องร้อง แต่ขณะนี้ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กำลังกำหนดกรอบการให้ความคุ้ มครองการลงทุนแก่นักลงทุนต่ างประเทศโดยไม่ได้เปิดเผยต่ อสาธารณะมากนัก เราจึงขอให้การกำหนดกรอบต่ างๆเป็นไปอย่างมีธรรมาภิ บาลและโปร่งใส แม้จะดำเนินการในรัฐบาลที่ มาจากการรัฐประหารก็ตาม”
นอกจากนี้ ผู้ประสานงานเอฟทีเอ ว็อทช์ระบุว่า นอกเหนือจากคดีบริษัทวอเตอร์
“ช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมากระทรวงการต่
างประเทศได้มีการเจรจาอย่างไม่ เป็นทางการกับผู้ถือหุ้นของบริ ษัทดังกล่าว ขอให้เปิดเผยต่อสาธารณะอย่ างตรงไปตรงมาว่า กรณีนี้มีความคืบหน้าอย่างไร การเจรจาต่อรองจะส่งผลทำให้รั ฐบาลไทยต้องย่อหย่อนกฎระเบียบต่ างๆ ของ ก.ล.ต.(คณะกรรมการกำกับหลักทรั พย์และตลาดหลักทรัพย์แห่ งประเทศไทย) หรือมาตรการด้านสิ่งแวดล้ อมในการทำเหมืองและผลกระทบต่อชุ มชนรอบเหมืองหรือไม่อย่างไร เราตระหนักดีว่า รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารย่ อมต้องการแสวงหาการยอมรับจากต่ างประเทศ แต่นั่นไม่พึงเป็นเหตุให้เกิ ดการทำลายหรือแลกเปลี่ยนกั บนโยบายสาธารณะที่มีไว้เพื่ อปกป้องประชาชนและสังคม”
ทั้งนี้ ภาคประชาสังคม 18 องค์กรที่ร่วมลงนามประกอบไปด้วย กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรี
..........................
เนื้อหาจดหมายเปิดผนึก
วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558
เรียน นายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา)
สำเนาเรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พล.อ.ฉัตรชัย สาลิการิยะ)
อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (นายชุตินทร คงศักดิ์)
เรื่อง ท่าทีและจุดยืนการคุ้
ตามที่ ขณะนี้หน่วยราชการต่างๆ ดังเช่น กระทรวงพาณิชย์มักจะอ้างว่า กฎหมายต่างๆ ที่กำลังแก้ไขเพื่อให้
พวกเรา ภาคประชาสังคม อันประกอบไปด้วย เครือข่ายนักวิชาการ เครือข่ายผู้ป่วย เครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายองค์กรประชาชน และองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้
1. ตัวแทนของกระทรวงการต่
2. ที่ผ่านมา จากการชี้แจงของตั
3. หลังจากรัฐไทยเคยถูกนักลงทุนต่
4. ในขณะนี้กรมเศรษฐกิจระหว่
ทั้งนี้ เราทั้งหมดนี้ไม่ปฏิเสธว่า การค้าและการลงทุนมีความสำคัญต่
จึงเรียนมาเพื่อขอให้ทางรั
ขอแสดงความนับถือ
(ภญ. สำลี ใจดี)
กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรี
เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอ
สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค, เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก, ชมรมเพื่อนโรคไต, เครือข่ายเพื่อนมะเร็ง, มูลนิธิเข้าถึงเอดส์, คณะกรรมการองค์การพัฒนาเอกชนด้
มูลนิธิเภสัชชนบท, ชมรมเภสัชชนบท, กลุ่มศึกษาปัญหายา, มูลนิธิชีววิถี, มูลนิธิบูรณะนิเวศ, มูลนิธิสุขภาพไทย,
โครงการศึกษาและปฏิบัติการงานพั
[1] หนังสือของกระทรวงพาณิชย์ ที่ พณ 0703/275 ลงวันที่ 15 ม.ค.2558 ความตอนหนึ่งว่า “จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์
[2] ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2553 http://www.mfa.go.th/business
[3] ผู้ถือหุ้น”ทุ่งคา”ยื่นฟ้อง รบ. ก.ล.ต.มึนปมต้านเหมืองทองคำ จ.เลยบานปลาย, ประชาชาติธุรกิจ 23 ส.ค.57
กวีประชาไท: ขอแสดงความยินดีด้วยสหาย
เป็นไงสหาย
ที่เคยใส่ร้ายป้ายสีเขาไปทั่ว
คำประชาชนคำก็มหาประชาชนระรัว
คนอื่นชั่วเมื่อไม่เอาไม่ตามใจ
ที่เคยกร่างเบ่งบอกจะปฏิรูป
รักกอดจูบแกนนำ น้ำปลื้มไหล
เลิกเผด็จการเสียงข้างมาก ประชาธิปไตย
ประชาชนต้องเป็นใหญ่ถล่มทลาย
ปิดบ้านทิ้งเรือน นั่งเครื่องบิน
ไปอยู่กินสนุกกันหลากหลาย
ปิดเมืองปิดถนน พล่านท้าทาย
ไม่สนใจกฏหมาย ลงขันเงินตรา
คงยังไม่ลืมนะสหาย
วาดฝันอันพริ้งพราย สวยหนักหนา
คนโกงจะหมดสิ้น จากแผ่นดินมารดา
ราคาพืชผล เต็มยุติธรรม
ข้าวชาวนา ยางพารา สวนปาล์ม
ราคาจะงามไม่ตกต่ำ
ทุนนิยมสามานย์เคยกระทำ
จะสิ้นซากคนนำบางตระกูล
เป็นอย่างไรสหาย
สบายสมอยาก สิ่งเคยสูญ
ยึดประเทศมาได้ รัฐธรรมนูญ
ได้คืนมาสมบูรณ์ คงสมใจ
คงไม่มีการนิรโทษกรรม
อย่างพวกศีลธรรมต่ำ แล้วใช่ไหม
ในรัฐธรรมนูญคงไม่เขียนไว้
เรื่องให้นิรโทษกรรมตัวเอง
ยังนอนกับลูกกับเมียเปี่ยมสุขศรี
เมียคงปรนเปรอผัวดี ยิ้มบานเบ่ง
ไทยไม่เป็นทาสแล้ว แสนครื้นเครง
ไม่มีใครเอาเปรียบข่มเหง สหายแล้ว
อ่านรัฐธรรมนูญใหม่แล้วนะสหาย
ประกายฉลาด จรัสแก้ว
คงเต็มตาสมอง อยู่พราวแพรว
เป็นหลักแนวแถวหน้าของโลกสินะ
ขอแสดงความยินดีด้วย คนเก่งสหาย
ลูกหลานคงสบายไปทุกขณะ
มรดกแห่งความมืดมน ภาระ
คงผละไปจากลูกหลานเคยอ้างกัน
มีความสุขและเชื่องดีนะสหาย
ควายและอีโง่ สมาธิสั้น
พร้อมกับรัฐธรรมนูญใหม่คงสูญพันธุ์
ไชโยให้โลกลั่นเลย สหายที่รัก!
00:02 น./ 19 เมษายน 2015
เนินตะวัน - พรหมคีรี: นครศรีธรรมราช
"หลังอ่านกวาด ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2558"
หมายเหตุประเพทไทย : 50 ปีกำเนิดชาติสิงคโปร์
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ เป็นควันหลงอันเนื่องจากการถึงแก่อสัญกรรมของ ‘ลีกวนยู’ อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับว่ามีบทบาทโดดเด่นอย่างสำคัญในการสร้างประเทศ รายการในเทปนี้ชวนท่านผู้ชมมาทำความรู้จักประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆ อันเก่าแก่แห่งนี้ ในแง่มุมด้านประวัติศาสตร์ กำเนิดและความเป็นมาของสิงคโปร์ รวมถึงการเรื่องราวของลีกวนยูที่นำการพัฒนาประเทศจนมีความเจริญก้าวหน้าเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาค พบกับ อรรถ บุนนาค และแขกรับเชิญ ‘ลลิตา หาญวงศ์’ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์
คลิกไลค์เพื่อติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ facebook.com/maihetpraphetthai
ชำนาญ จันทร์เรือง: ศาสนาของโลกในอนาคต
ในขณะที่โลกเรากำลังสับสนวุ่นวายเพราะเหตุแห่งความขัดแย้งทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งต่างศาสนาเช่น พุทธศาสนิกชนกับชาวมุสลิมในรัฐยะไข่ของพม่า ความขัดแย้งในศาสนาเดียวกันระว่างสุหนี่กับชีอะห์ของศาสนาอิสลาม หรือแม้แต่ในไทยเราเองระหว่างเอาธรรมกายกับไม่เอาธรรมกาย ฯลฯ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเพราะเป็นเรื่องของความเชื่อและศรัทธา ซึ่งในอดีตก็เคยมีการสู้รบกันอย่างยาวนานถึงสามร้อยปีคือคริสต์กับอิสลามในสงครามครูเสด ผมในฐานะของผู้ที่สนใจศึกษาในศาสนามาอย่างยาวนานแม้ว่าจะยืนยันตนเองในรายการของสำเนาทะเบียนบ้านว่าไม่นับถือศาสนาใดๆเป็นการเฉพาะก็ตาม ก็ได้พบว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจที่น่าจะนำมาเสนอต่อผู้อ่าน
ข้อมูลดังกล่าวที่ว่าก็ได้มาจากการสำรวจของสำนักวิจัยพิว(Pew Research Center) ในสหรัฐอเมริกาพบว่าในปี 2050(2593)หรือในอีก 35 ปีข้างหน้าซึ่งโลกจะมีประชากร 9.3 พันล้านคน หากสถิติการเพิ่มของประชากรของโลกยังอยู่ในอัตราปัจจุบันนี้เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติของปี2010 แล้วพบว่า
1)โลกจะมีจำนวนชาวมุสลิมใกล้เคียงกับชาวคริสต์ คือ 2.8 : 2.9 พันล้านคน(30:31%) ซึ่งในปี 2010 ศาสนาคริสต์มีผู้นับถือมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง(31%) คือ 2.2 พันล้านคนซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสามของประชากรโลกที่มีอยู่ 6.9 พันล้านคน ส่วนศาสนาอิสลามมีผู้นับถือเป็นอันดับสอง คือ 1.6 พันล้านคน หรือ 23 %
2)พวกที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ(ซึ่งอยู่ในอันดับสามของโลกรองจากคริสต์และอิสลาม) ที่ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสโดยจะเพิ่มจากเดิมในปัจจุบัน 1.1 พันล้านคนอีกประมาณ100 ล้านคนเป็น 1.2 พันล้านคน แต่อัตราส่วนโดยรวมต่อประชากรของโลกจะลดลงจาก 16% เป็น 13%
3)จำนวนของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธจะคงที่เท่ากับปี2010 เนื่องจากประเทศที่มีชาวพุทธส่วนใหญ่จะอยู่ในสังคมคนสูงวัย(aging population)และอัตราการเกิดต่ำ(low fertility rates) เช่น จีน ไทยและญี่ปุ่น เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกันผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู(Hindu)กับชาวยิว(Jewish)กลับมีจำนวนมากขึ้นกว่าปัจจุบัน
4)ในยุโรปประชากรชาวมุสลิมจะมีจำนวนเพิ่มเป็น 10 % ของประชากรชาวยุโรป
5)ในอินเดียผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูจะยังคงเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ในขณะเดียวกันประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามในอินเดียจะมีจำนวนมากที่สุดในโลกแซงอินโดนีเซียในปัจจุบัน ในภาพรวมทั้งโลกผู้นับถือศาสนาฮินดูจะเพิ่มขึ้น 34%จากจำนวนเกินหนึ่งพันล้านคนนิดหน่อยไปเป็นเกือบ 1.4 พันล้านคน
6)ในสหรัฐอเมริกาชาวคริสต์จะมีจำนวนลดลงจากเดิมที่มีจำนวนสามในสี่ของประชากรปี2010ไปเป็นสองในสามในปี2050 จำนวนผู้นับถือศาสนายูดาย(Judaism)จะไม่มีจำนวนมากที่สุดของบรรดาผู้ที่ไม่ใช่ชาวคริสต์ในสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป แต่จำนวนชาวมุสลิมในสหรัฐอเมริกาจะมีจำนวนมากกว่าผู้ที่ระบุตนเองว่าเป็นชาวยิว(Jewish)แทน
7)จากสีในทุกๆสิบคนของชาวคริสต์ในโลกนี้จะเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในซับสะฮาราอาฟริกา(sub-Saharan Africa)
นอกจากนั้นในรายงานยังระบุว่าในทศวรรษที่จะถึงนี้ศาสนาคริสต์จะเสียดุลของการเปลี่ยนศาสนา โดยจะมีผู้ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ 40 ล้านคน แต่ในขณะเดียวกลับสูญเสียไป 106 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เปลี่ยนไปเป็นผู้ไม่นับถือศาสนาใดๆ
แนวโน้มหลังจากปี 2050(2593)
ถ้าแนวโน้มยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องเช่นเดิมจำนวนชาวมุสลิมจะมีอัตราส่วนเท่ากับชาวคริสต์คือ 32% ในราวๆปี2070(2613) หลังจากนั้นจำนวนของชาวมุสลิมจะมากกว่าชาวคริสต์และก่อนปี2100(2643)จะมีชาวมุสลิม 35 % และชาวคริสต์ 34%
ที่นำข้อมูลทั้งหมดมาเสนอนี้เพื่อเป็นข้อมูลทางวิชาการเพื่อให้ศาสนิกแต่ละศาสนาให้รู้ว่ามีข้อมูลและแนวโน้มเช่นนี้อยู่ ส่วนใครจะนำไปปรับใช้อย่างไรก็สุดแล้วแต่มุมมองของแต่ละคนครับ
หมายเหตุ
1)สามารถค้นคว้าเพิ่มเติมรายงานฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://www.pewforum.org/2015/04/02/religious-projections-2010-2050/
2)ผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 15 เมษายน 2558
นักวิจารณ์ชี้ 5 ข้อ ความตกลงการค้า TPP เอื้อบรรษัทข้ามชาติ ทำลายประเทศคู่ค้า
18 เม.ย. 2558 เดวิด คอร์เตน นักวิจารณ์บรรษัทตัวยงผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการวารสาร YES! เขียนบทความเกี่ยวกับการหารืออย่างลับๆ ในการประชุมความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ซึ่งทางผู้นำสหรัฐฯ กำลังส่งร่างข้อตกลงสุดท้ายให้กับรัฐสภาพิจารณาเร็วๆ นี้
จากเอกสารลับเกี่ยวกับความตกลง TPP ที่ถูกเปิดโปงระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวนี้ไม่ได้สนับสนุนสิทธิแรงงาน การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือการช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กตามที่กล่าวอ้างโดยรัฐบาลสหรัฐฯ
คอร์เดนอ้างอิงร่างเอกสารลับที่ลงวันที่ 20 ม.ค. ที่ถูกเปิดโปงโดยเว็บไซต์วิกิลีกส์ ระบุให้เห็นว่ากลุ่มผู้สนับสนุน TPP พยายามปกปิดเอกสารลับเหล่านี้เพื่อทำให้การเจรจาดำเนินไปอย่างปิดลับ และสิ่งที่ถูกเปิดโปงเป็นไปตามสิ่งที่กลุ่มต่อต้านความตกลง TPP เคยวิจารณ์ไว้ คือการที่ข้อตกลงนี้ให้อำนาจบรรษัทในการฟ้องร้องรัฐบาลถ้าหากรัฐบาลช่วยเหลือคุ้มครองแรงงานหรือสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังทำให้การช่วยเหลือธุรกิจในท้องถิ่นโดยรัฐบาลเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
คอร์เตนช่วยย่อยเอกสารลับของการประชุม TPP ออกมาเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายและเผยแพร่เป็นหัวข้อต่างๆ ในบทความดังต่อไปนี้
1) การสั่งห้ามสนับสนุนเจ้าของธุรกิจท้องถิ่นเกินหน้าบรรษัทยักษ์
ในข้อตกลง TPP ส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนมีการระบุข้อควรปฏิบัติของประเทศสมาชิกต่อนักลงทุนจากต่างชาติไว้ว่า ประเทศสมาชิกควรปฏิบัติต่อนักลงทุนจากประเทศสมาชิกชาติอื่นในระดับที่ไม่ด้อยไปกว่าปฏิบัติกับนักลงทุนในชาติตนเองด้านต่างๆ ของธุรกิจ ทั้งการก่อตั้ง การจัดหา การขยาย การบริหาร การดำเนินการ การปฏิบัติการ และการขาย รวมถึงแง่มุมอื่นๆ ของการลงทุน ซึ่งสรุปอย่างง่ายว่าห้ามการสนับสนุนธุรกิจในท้องถิ่นเหนือธุรกิจต่างชาติในด้านต่างๆ รวมถึงส่วนที่เกี่ยวข้องกับสภาพความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วย
ในเวลาต่อมาประเทศสมาชิกทั้ง 12 ประเทศยังประกาศยกเลิกสิทธิในการสนับสนุนเข้าข้างเจ้าของธุรกิจในประเทศตนไม่ว่าจะในระดับเล็กหรือระดับใหญ่ แม้ว่าธุรกิจในประเทศเหล่านั้นจะส่งเสริมให้มีการสร้างงาน สร้างสินค้าและการบรอการเพื่อรับใช้คนในประเทศ โดยถูกระบุให้ปฏิบัติต่อบรรษัทข้ามชาติเท่าๆ กับธุรกิจในประเทศตนเอง
2) ต้องมีการจ่ายให้กับบรรษัทในกรณีที่ต้องกำจัดมลภาวะ
ในข้อตกลงของ TPP ยังมีการกำหนดเงื่อนไขห้ามไม่ให้มีการอายัดหรือทำให้ "การลงทุน" กลายเป็นของประเทศนั้นๆ ซึ่งอาจจะฟังดูมีเหตุผล แต่ข้อตกลงนี้มีการนิยามการลงทุนว่าหมายรวมถึง "ความคาดหวังรายได้หรือกำไร" คอร์เตนระบุว่าการนิยามนี้เปิดโอกาสให้บรรษัทฟ้องร้องประเทศสมาชิกได้หากประเทศสมาชิกออกกฎที่ทำให้บรรษัทมีผลกำไรที่คาดหวังไว้ลดลงเช่น การสั่งห้ามขายสินค้าอันตราย การห้ามทำลายสิ่งแวดล้อม หรือห้ามกดขี่แรงงาน
"พูดอีกอย่างหนึ่งคือประเทศสมาชิก TPP มีสิทธิในการยับยั้งบรรษัทต่างประเทศในการทำร้ายประชาชนและสิ่งแวดล้อมของพวกเขา แต่ทว่าประเทศนั้นๆ ต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับบรรษัทเพื่อไม่ให้พวกเขาทำสิ่งเหล่านั้น" คอร์เตนระบุในบทความ
องค์กรจับตามองการค้าเสรีระบุว่าข้อตกลงทำนองเดียวกันนี้เคยมีระบุไว้ในความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) เช่นกัน โดยมีบรรษัทต่างชาติชนะคดีได้รับค่าชดเชยจากรัฐรวม 360 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินภาษีประชาชนสหรัฐฯ
3) มีการตั้งศาลลับโดยอาศัยนักกฎหมาย 3 คน
ข้อมูลที่ถูกเปิดโปงระบุอีกว่าประเทศสมาชิกจะมีวิธีการแก้ไขข้อพิพาทด้วยการตั้งศาลยุติธรรมที่ประกอบด้วยผู้ตัดสิน 3 คน สองคนแรกมาจากการแต่งตั้งของคู่ขัดแย้งที่มีข้อพิพาทกันฝ่ายละหนึ่งคน คนที่สามจะเป็นผู้ตัดสินที่มาจากการแต่งตั้งโดยการตกลงกันระหว่างคู่ขัดแย้ง ทั้งนี้เว้นแต่คู่ขัดแย้งจะตกลงร่วมกันให้เป็นไปในลักษณะอื่น
คอร์เตนระบุว่า ผู้ตัดสินที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นนักกฎหมายที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน ซึ่งเป็นความพยายามให้อำนาจกับบรรษัทในการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากสาธารณะ อีกทั้งยังมีการปกปิดกระบวนการศาลและตัวตนของผู้ตัดสินเป็นความลับ ทำให้การตัดสินไม่ได้รับการพิจารณาจากระบบยุติธรรมของชาตินั้นๆ
สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทม์ระบุว่าศาลของ TPP มีต้นแบบมาจากศาลแบบเดียวกับ NAFTA ซึ่งให้อำนาจพลิกคำตัดสินแม้แต่จากศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ได้ จอห์น ดี อีเชเวอร์เรีย นักวิชาการด้านกฎหมายจากมหาวิทยลัยจอร์จทาวน์กล่าวว่า วิธีการแก้ไขข้อพิพาทแบบนี้เป็นภัยอย่างใหญ่หลวงต่อความเป็นอิสระของระบบศาลสหรัฐฯ
4) ให้สิทธินักเก็งกำไรเคลื่อนย้ายเงินได้เต็มที่
ในข้อตกลงยังระบุห้ามไม่ให้มีการจำกัดการเคลื่อนย้ายเงินข้ามประเทศ แต่กลับให้สิทธินักเก็งกำไรในการทำลายเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ผ่านการชักใยอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดการเงินโดยไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาลชาตินั้นๆ โดยการห้ามไม่ให้รัฐบาลของประเทศสมาชิกมีสิทธิจำกัดการเก็งกำไร
5) ให้ผลประโยชน์บรรษัทมาก่อนผลประโยชน์ของชาติ
ส่วนหนึ่งของข้อตกลงระบุเน้นย้ำให้เห็นว่าบรรษัทไม่จำเป็นต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศที่พวกเขาทำธุรกิจอยู่ โดยสั่งห้ามไม่ให้ประเทศสมาชิกออกข้อบังคับให้บรรษัทต้องผลิตเพื่อส่งออกหรือใช้ในประเทศตามที่กำหนดจำนวนไว้ รวมถึงไม่สามารถออกข้อบังคับให้ต้องซื้อสินค้าหรือทำสัญญาเรื่องการใช้สินค้าของผลิตภัณฑ์ในประเทศนั้นๆ นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเพิ่มเติมอีก 6 ข้อซึ่งระบุไปในทางไม่จำเป็นต้องให้บรรษัททำประโยชน์ต่อประเทศ
ถึงแม้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลโอบามาจะอ้างว่าข้อกำหนดข้างต้นมีไว้เพื่อให้บริษัทสัญชาติอเมริกันมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นบ้างในการทำธุรกิจกับต่างชาติ แต่คอร์เตนก็ตั้งคำถามสำคัญว่า "บริษัทสัญชาติอเมริกันคืออะไรกันแน่"
โดยบทความของคอร์เตนระบุถึงการที่บรรษัทขนาดใหญ่ที่ทำกำไรมหาศาลระดับล้านล้านโดยมีที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เหตุใดถึงยังเรียกบรรษัทเหล่านี้ว่ามีสัญชาติอเมริกันฯ
คอร์เตนระบุอีกว่า การอนุมัติ TPP จะหมายถึงการบูชายันต์ประชาธิปไตยและสิทธิในการควบคุมตลาดและทรัพยากรเพื่อทำประโยชน์ให้ส่วนรวมของพวกเขาเพื่อให้ประโยชน์กับพวกบรรษัทที่แอบอ้างชาติอเมริกันในการกดขี่ประชาชนประเทศอื่นและใช้ทรัพยากรของประเทศอื่นที่ร่วมลงนามในข้อตกลงที่ต่ำทรามนี้ด้วย
เรียบเรียงจาก
รายงานพิเศษ: เยียวยารอยร้าว…หลังเหตุการณ์สุคิริน
รายงานพิเศษจากพื้นที่ เรื่องราวต่อเนื่องหลังความตาย 4 ศพ ที่บ้านน้อมเกล้า ต.สุคิริน อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ตอน เยียวยารอยร้าว…หลังเหตุการณ์สุคิริน
การเยียวยาข้ามวัฒนธรรมสมานบาดแผลและรอยร้าวทางใจกรณีเหตุการณ์สี่ศพ ที่สุคิริน
“ใช้สุขให้เยอะ ทุกข์ไม่ต้องเอามาใช้ มันหนัก เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา” ยายเจียม รัตนะ วัย 88 ปี บอกกล่าวแก่สมาชิกเครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ และสมาชิกสภาประชาสังคมชายแดนใต้ ที่ไปแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิต ณ วัดลำภู อ.เมือง จ.นราธิวาส ในวันที่ 17 เมษายน 2558 ซึ่งเป็นวันฌาปนกิจศพนางอารีและนายสมนึก รัตนะ สองแม่ลูกที่ถูกยิงเสียชีวิตภายในบ้านพักและจุดไฟเผา ณ บ้านน้อมเกล้า ม.12 ต.สุคิริน อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ทั้งสองเป็นลูกสาวและหลานชายของยายเจียม ศพของคนทั้งสองตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ในวัดแห่งนี้ เพื่อความสะดวกในการจัดการงานศพ ของญาติและผู้มาร่วมงาน
นับเนื่องจากช่วงค่ำวันที่ 12 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงวันสงกรานต์ของพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศ รวมทั้งในพื้นที่ชายแดนใต้ เป็นช่วงเกิดเหตุร้ายกับพี่น้องไทยพุทธ 4 รายคือ นางอารี และ นายสมนึก รัตนะ สองแม่ลูก และ นายจุลกับนางดำ อินเอิบ สองสามีภรรยา ทั้งสี่ถูกยิงเสียชีวิตพร้อมถูกจุดไฟเผาในบ้านพัก
สองครอบครัวนี้ เป็นสองครอบครัวสุดท้ายของพี่น้องไทยพุทธที่ยังคงปักหลักอาศัยและทำมาหากิน ณ บ้านน้อมเกล้า มาเกือบ 30 ปี จนเริ่มมีสถานการณ์ร้ายเกิดขึ้นในพื้นที่ และเกิดเหตุกับเพื่อบ้านใกล้กัน ทำให้ผู้เสียชีวิตทั้งสี่เตรียมตัวละทิ้งทุกอย่างไปอยู่กับลูกหลานในพื้นที่ที่คิดว่าปลอดภัยกว่า หากแต่ยังมิทันได้ย้ายกลับ ก็มาเกิดเหตุร้ายเสียก่อน
“หมดแล้ว ไม่มีใครเหลือ เรามีอยู่แค่นี้จะไปแบกปืนก็ไม่ใช่ กำลังเตรียมทำบ้านเตรียมย้ายออกมาอยู่ที่ลำภู แต่ก็ออกมาไม่ทัน” วนิดา รัตนะ ลูกสาวคนโตของนางอารี บอกด้วยสายตาหมดหวัง
“วันที่ 11 ได้ไปรับแม่ออกมานอนด้วยที่นี่ พอวันที่ 12 ทำพิธีรดน้ำดำหัวเสร็จเขาบอกว่าจะกลับ บอกให้นอนอีกคืนก็ไม่ยอม เขาว่าไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามา กลับบ้านดีกว่า ยาก็ไม่ได้เอามา น้องเขยไปส่งตอนสี่โมงเย็น พอหกโมงแม่ก็โดนยิง มีคนโทรมาบอกตอนทุ่มกว่า บ้านที่ถูกเผา ชาวบ้านแถวนั้นก็มาช่วยดับไฟ จริงๆ วันนั้นจะตามแม่กลับไปด้วย แต่บ้านที่น้อมเกล้า น้ำจะแห้งเวลาหน้าร้อน ลำบากเรื่องน้ำ จึงไม่ได้ตามไป ไม่อย่างนั้นคงโดนมากกว่านี้”
เธอบอกด้วยว่าแม่และน้องชายกำลังเตรียมการที่จะมาอยู่ด้วยกันที่ ต.ลำภู ซึ่งเธอได้มาใช้ชีวิตกับครอบครัวอยู่ก่อนแล้ว สาเหตุที่แม่ของเธอตัดสินใจนาน เพราะเป็นห่วงบ้าน สวนยางและสวนผลไม้ ที่เป็นรายได้หลัก
“แม่สู้ชีวิต ทำงานหนักมาตลอด ตั้งแต่ไปเริ่มบุกเบิกทำมาหากินตรงนั้น จนกระทั่งพ่อและน้าชายมาถูกยิงเมื่อปี 2547 แม่ก็สู้มาตลอด พวกเราย้ายออกมาก่อน แม่อยู่กับน้องชายคนสุดท้อง ที่ดินเป็นสวนผสม 20 ไร่ มีสวนยาง 7 ไร่ นอกนั้นเป็นสวนผลไม้ บางอย่างไม่ต้องออกมาขายที่ตลาด พี่น้องมุสลิมที่อยู่ใกล้ๆ กันก็มาช่วยซื้อกันตลอด เราอยู่กันมาเป็น 30 ปี ไม่เคยมีอะไรผิดใจกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันมาตลอด”
ด้วยความที่มีอยู่กันเพียงสองครอบครัวสี่ชีวิตของครอบครัวรัตนะ และครอบครัวอินเอิบ ที่บ้านรั้วติดกัน ทำให้ลูกหลานก็สนิทชิดเชื้อกัน แต่รุ่นลูก รุ่นหลานของสองครอบครัวนี้จะออกมาอยู่กันแถววัดลำภูเป็นส่วนใหญ่ เพราะดั้งเดิมเป็นคนที่นี่ และเมื่อเกิดสถานการณ์ ก็ไม่มีลูกหลานคนไหนกลับไปอยู่และทำมาหากินในชุมชนบ้านน้อมเกล้านี้อีก จนเกิดเหตุสลดใจล่าสุดขึ้น ทุกคนจึงเห็นพ้องกันว่าให้ขายที่ดิน
วนิดาบอกว่า เมื่อจัดการงานศพแม่และน้องชายเสร็จ ก็จะเข้าไปขนย้ายข้าวของที่บ้านน้อมเกล้า ส่วนเรื่องที่ดินนั้นอยากขาย และทราบว่าทางเจ้าหน้าที่อาจจะเข้าไปตั้งฐานตรงจุดนั้น จะเป็นอย่างไรต่อก็ไม่ว่าอะไร เพราะเธอเองก็ไม่มีกำลังที่จะไปทำอะไรในที่ดินนั้นอีกแล้ว
ในงานศพวันนั้น ลูกสาวคนโตของนายจุลและนางดำ อินเอิบ สองสามีภรรยา เพื่อนบ้านของอารีที่ถูกยิงและเผาเช่นเดียวกันคือ อุบล อินเอิบ อยู่ในงานศพเช่นกัน ศพของพ่อแม่เธอฌาปนกิจไปเมื่อวันที่ 16 เมษายน เธอต้อนรับคณะผู้มาเยือนต่างศาสนิกด้วยท่าทีเป็นมิตร
อุบลบอกว่า พ่อและแม่ของเธอกำลังเตรียมตัวทานข้าวเย็นแต่มาเกิดเหตุร้ายก่อน
“เขาอยู่กันสองคนตายาย มีลูกสี่คน ออกมาอยู่ข้างนอกหมด อยู่นราธิวาสสามคน อยู่นครราชสีมาหนึ่งคน ชวนพ่อแม่ออกมาอยู่ด้วยกัน เขาก็กำลังตัดสินใจ เราเองก็เข้าไปหาเดือนละครั้ง ไม่ได้ไปหาตลอด แม่กรีดยางเอง เพราะเพิ่งเปิดหน้ากรีดได้ 2 ปี ส่วนพ่อไม่ได้ทำอะไรดูแลสวนผลไม้ที่มี”
“เราไม่เคยมีปัญหากับใคร มุสลิมทำตูป๊ะ(ข้าวต้มมัด) ทำขนมก็เอามาให้ แม่ปลูกผักก็เอาไปให้ เป็นความเอื้ออาทรที่มีให้กัน เรื่องที่เกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ในวันเกิดเหตุการณ์เดียวกันนี้ ยางแผ่นสวยๆ ที่แม่เก็บไว้ก็ถูกขโมย ยางแผ่นหลังบ้านก็เอามาเผา ขี้ยางในสวนก็ถูกขโมยในช่วงที่ขนศพออกมา เพื่อนบ้านจะไปเอาขี้ยางมาขาย เพื่อเอาเงินมาช่วยงานศพก็ไม่ทัน เหตุการณ์ครั้งนี้มันสะท้อนใจ ไม่ดูข่าว ดูไลน์เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อและแม่ ถ้าดูแล้วสะเทือนใจ”
ลม้าย มานะการ ตัวแทนจากสภาประชาสังคมชายแดนใต้ และเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพฯ ที่ไปร่วมในงานวันนั้นด้วยบอกว่าดีใจและประทับใจ เมื่อพี่น้องเครือข่ายภาคประชาสังคมบอกว่า อยากไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ
“ตื้นตันแทนญาติ บางองค์กรหยิบเรื่องนี้มาปรึกษากัน และลงมติส่งตัวแทนไปเยี่ยม รู้สึกมีความหวังว่า ภาคประชาสังคมไม่ทอดทิ้งกัน ที่คาดหวังในฐานะที่อยู่ที่นี่มา และคงอยู่ต่อไปคือ จะร่วมแชร์กับพวกเราที่เป็นประชาสังคมทั้งหลาย ให้เป็นตัวต่อที่สำคัญของการสร้างสันติภาพ ถ้าสันติภาพนั้นหมายถึง ความสัมพันธ์ที่ช่องว่างของการแบ่งพวก แบ่งฝ่าย มีน้อยที่สุด ทุกคนมีความปรารถนาดีต่อกัน อยากให้ทุกคนปลอดภัย มีพื้นที่ปลอดภัย อยากให้ประชาสังคม ศอ.บต. กอ.รมน. และชุมชนช่วยกันสร้างสิ่งนี้ ในพื้นที่อันดับแรกเลย ที่เร่งด่วน คือพื้นที่ชุมชนพุทธมุสลิมอยู่ร่วมกัน ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ ของทั้งฝ่ายก่อการเอง ฝ่ายรัฐ ฝ่ายชุมชน และประชาสังคม ซึ่งเราต้องร่วมกันทำอะไรที่เป็นรูปธรรม เพื่อไม่ให้ใครต้องเป็นเหยื่อและถูกบังคับให้ต้องทิ้งถิ่นฐาน ไม่ว่าชุมชนนั้นจะมีพี่น้องส่วนน้อยส่วนใหญ่เป็นใคร ทุกคนมีสิทธิอยู่อย่างปลอดภัย”
คำนึง ชำนาญกิจ จากเครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมฯ ที่ไปร่วมเยี่ยมครอบครัวด้วยในวันนั้น บอกว่า แม้ว่าเธอเป็นมุสลิม แต่ก็เห็นใจในชะตากรรมที่พี่น้องพุทธประสบ ตอนแรกก็รู้สึกกลัวๆเหมือนกันที่จะมาเยี่ยม ไม่รู้ว่าพี่น้องชาวพุทธ จะต้อนรับหรือเปล่า หรืออาจจะรู้สึกไม่ดี หรือหวาดระแวงต่อพี่น้องมุสลิมหรือเปล่า แต่เมื่อมาเยี่ยมแล้ว ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบก็ดีใจ รู้สึกมีกำลังใจ และรู้ว่าพี่น้องมุสลิมก็ห่วงใยเขา
คำนึง บอกว่า เหตุการณ์ความรุนแรงรายวัน อาจมีแรงขึ้น ทั้งประชาชนชาวพุทธ มุสลิมกลายเป็นเหยื่อ ข้ามไปมา จึงอาจจะทำให้เกิดความหวาดระแวง และรอยร้าวระหว่างคนสองศาสนามากขึ้น การเยี่ยมครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบแบบข้ามวัฒนธรรม เช่นพุทธเยี่ยมมุสลิม มุสลิมเยี่ยมพุทธ เพื่อแสดงให้เห็นว่าต่างฝ่ายต่างทุกข์ร้อนในความตายของอีกฝ่าย จะช่วยเยียวยาความรู้สึก และสมานรอยร้าวทางใจของกันและกันได้