Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 57980 articles
Browse latest View live

สปช. ระบุคุยกับพ่อ นักศึกษา นักกิจกรรม 1 ใน 14 พบมีองค์กรต่างชาติ ปั่นหัวเด็ก

0
0

พลเอกธวัชชัย สมุทรสาคร ระบุได้คุยกับพ่อ นักศึกษา นักกิจกรรม ไม่เผยชื่อ ที่สุรินทร์ พบว่ามีองค์กรต่างชาติพาตัวเด็กไป 2 คืน พอกลับมาเริ่มมีความคิดเคลื่อนไหวทางการเมือง พร้อมย้ำกระบวนการแบบนี้เกิดขึ้นเสมอในภาคอีสาน

7 ก.ค. 2558 มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่อาคารรัฐสภา พลเอกธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)  อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึง กรณี 14 นักศึกษากลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ว่า เมื่อวานนี้ตนได้พูดคุยกับบิดา 1 ใน 14 นักศึกษา ที่เป็นชาวจังหวัดสุรินทร์ โดยตนขอสงวนนาม บิดานักศึกษากล่าว ว่ามีองค์กรจากต่างประเทศนำตัวบุตรชายไป 2 คืน ซึ่งเหตุการณ์นี้ผ่านมาแล้วกว่า1เดือน ซึ่งทำให้บุตรชายเกิดความคิดออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง อีกทั้งบิดาต้องการให้บุตรชายประกันตัวออกมาอีกด้วย

ทั้งนี้เปิดเผยว่า มีกระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่เสมอในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ โดยเริ่มต้นจากจังหวัดขอนแก่นและขยายไปยังจังหวัดอื่นๆในภาคอีสาน เป็นกระบวนการต่างชาติที่ไม่หวังดีต่อประเทศ ซึ่งตนไม่ขอลงรายละเอียดเพราะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง แต่ยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดเป็นจริง 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อมร. เชียร์ ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ชี้ 14 คนควรยื่นประกันตัว ด้านชาวบ้านนามูลอีกฝั่ง ระบุ ดาวดิน ทำลายความมั่นคงของชาติ

0
0

องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ระบุ ควรปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง และขอให้ 14 คนในขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ยื่นขอประกันตัว เพื่อสร้างบรรยากาศปรองดอง ด้านช้าวบ้านนามูลอีกฝั่งหนึ่ง ต้าน ดาวดิน ระบุ เข้ามาทำลายความมั่นคงของชาติ

7 ก.ค. 2558 มติชนออนไลน์ รายงานว่า ตัวแทนองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง นำโดยนางสาวสุพัตรา ไชยพลฤทธิ์ นายกองค์การนักศึกษา ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เพื่อขอให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งโดยเฉพาะด้านการศึกษาที่จะต้องเป็นรูปธรรมมากกว่าที่เป็นอยู่ และขอให้นักศึกษาทั้ง 14 คนที่ถูกจับกุมใช้สิทธิประกันตัวตามกฎหมาย เพื่อลดบรรยากาศความขัดแย้ง และหาทางออกร่วมกันของทุกฝ่าย ในบรรยากาศที่ปรองดอง

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2558 ผู้จัดการออนไลน์ASTVรายงานว่า 6 ก.ค. 2558 เวลา 10.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น อุดม หลาบยองสี อายุ 58 ปี ตัวแทนชาวบ้านนามูล ต.ดูนสาด อ.กระนวน จ.ขอนแก่น พร้อมด้วยชาวบ้าน ต.ดูนสาด 11 หมู่บ้าน กว่า 100 คน ถือป้ายคัดค้านนักศึกษากลุ่มดาวดินเรียกร้องให้หยุดกิจกรรมต่อต้านรัฐบาล และการกระทำที่แสดงออกถึงความแตกแยก โดยยื่นหนังสือผ่าน กำธร ถาวรสถิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เพื่อสนับสนุนรัฐบาลใน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้บริหารงานเดินหน้าปฏิรูปประเทศต่อไป

อุดมกล่าวว่า ได้รวมตัวกับชาวบ้านออกมาคัดค้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาดาวดินที่มา ทำลายความน่าเชื่อถือ และความมั่นคงของชาติ บิดเบือนข้อเท็จจริง หลังจากที่ผ่านมากลุ่มดาวดินและกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูลดูนสาด 50 คนเข้าแทรกแซงในหมู่บ้าน ต่อกรณีพิพาทการขุดเจาะบ่อก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ของบริษัท อพิโก้ (โคราช) จำกัด สร้างความปั่นป่วนและความแตกแยกขึ้นในหมู่บ้าน

ล่าสุดทางบริษัทได้ลงพื้นที่สร้างความเข้าใจ และประชุมร่วม 3 ฝ่าย (ไตรภาคี) ทำให้ชาวบ้านเกิดความกระจ่างใจและลดความขัดแย้ง จึงขอสนับสนุนให้บริษัทขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ เพราะมองว่าเป็นประโยชน์ในระดับประเทศ และสนับสนุนให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินหน้าปฏิรูปประเทศ และเร่งเกิดการขุดเจาะบ่อก๊าซในพื้นที่ต่อไป

ด้านกำธร ถาวรสถิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ทางราชการเคารพสิทธิประชาชน ขณะเดียวกันต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และการประกอบการที่ได้รับอนุญาตจากราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นจึงได้ตั้งคณะกรรมการไตรภาคี ประกอบด้วย ประชาชน หน่วยงานราชการ และผู้ประกอบการ ร่วมทำความเข้าใจกันแก้ปัญหาการขุดเจาะบ่อก๊าซที่ผ่านมา

“ยอมรับว่าขณะนี้บ้านเมืองเราป่วยทุกโรค เราจึงต้องให้โอกาสที่จะปฏิรูปบ้านเมืองเสียก่อน ไม่ใช่เอาพี่น้องไปเป็นปัญหาระดับประเทศ รัฐบาลกำลังควบคุมการปกครองให้ผ่านไปได้ วันนี้ประชาชนเข้าใจการบริหารของรัฐบาล และการบริหารของจังหวัด เรากำลังได้ประชาชนที่มีคุณภาพมาร่วมแก้ปัญหา ซึ่งลำดับต่อไปทางจังหวัดจะได้รายงานรัฐบาลให้เห็นว่าคนขอนแก่น และชาวนามูล-ดูนสาดเป็นคนมีคุณภาพ เราได้รักษาบ้านเมืองร่วมกัน หากมีปัญหาอะไรจะแก้ไขด้วยกันโดยชาวบ้านมีส่วนร่วม”

กำธรกล่าวว่า ข้อเท็จจริงในพื้นที่ประชาชนได้รับการดูแล และมีส่วนร่วมในการขุดเจาะบ่อก๊าซตามสัญญาสัมปทาน หลังเกิดความกังวลขึ้น ตอนนี้ประชาชนได้มาชี้แจงว่าที่ผ่านมาได้แก้ปัญหาโดยไตรภาคีแล้ว และบอกว่ากลุ่มอนุรักษ์ที่ออกมาคัดค้าน พร้อมด้วยนักศึกษากลุ่มดาวดินมีเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งประชาชนคงทนไม่ได้ จึงต้องมาชี้แจงให้คนทั้งประเทศได้ทราบข้อเท็จจริง พร้อมเป็นกำลังให้รัฐบาลและ คสช.บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คำนูณ ระบุ การโหวตร่าง รธน. ต้องโหวตโดยเปิดเผย ยัน กมธ.ยกร่าง จะรักษาเจตนารมณ์เดิมของร่างฯไว้

0
0

โฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุ ข้อบังคับการประชุมและธรรมเนียมปฏิบัติ ชี้ชัดการลงมติโหวตร่างรัฐธรรมนูญต้องทำโดยเปิดเผย มั่นใจร่างสุดท้ายจะได้รับการยอมรับจาก สปช. พร้อมยืนยัน กรรมาธิการยกร่างฯ พยายามอย่างที่สุดที่จะรักษาเจตนารมณ์เดิมของร่างรัฐธรรมนูญไว้ให้ได้

ที่มาภาพ: เว็บข่าวรัฐสภา

7 ก.ค. 2558 เว็บข่าวรัฐสภา รายงานว่า คำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่มีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) บางส่วนเสนอให้ลงมติร่างรัฐธรรมนูญแบบลับ ว่า ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว แต่ส่วนตัวมองว่าตามข้อบังคับการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติและธรรมเนียมปฏิบัติ การลงมติร่างรัฐธรรมนูญหรือการปรับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญต้องลงมติแบบเปิดเผย พร้อมมั่นใจว่าร่างรัฐธรรมนูญร่างสุดท้ายจะได้รับการยอมรับจากที่ประชุม สปช. แต่สุดท้ายขึ้นอยูากับการตัดสินใจของ สปช. ซึ่งจะไม่มีการก้าวก่ายการตัดสินใจของสมาชิก สปช.

โฆษกกรรมาธิการยกร่างฯ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราด้วยว่า กรรมาธิการยกร่างฯ พยายามที่จะพิจารณาทุกคำขอให้ดีที่สุด และรักษาเจตนารมณ์เดิมของร่างรัฐธรรมนูญไว้ให้ได้มากที่สุด เช่น เรื่องระบบการเลือกตั้ง ที่ยังยังคงระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมเอาไว้เพื่อให้ทุกคะแนนเสียงของ ประชาชนมีค่ามากที่สุดส่วนการปรับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อลดเหลือ 150 คน ส.ส.แบบแบ่งเขต 300 คน เพื่อไม่ให้กระทบกับความเคยชินของประชาชนที่เคยมีก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ คำนูณ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้ทำหนังสือไปยังประธานสปช. เพื่อเชิญสมาชิก สปช. มาเป็นอนุกรรมาธิการร่างปพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และหากมีเวลาเหลือเพียงพอก็จะเชิญผู้ทีายืนคำขอแก้ไขเพิ่มเติมทั้ง 9 กลุ่ม เข้าร่วมรับเหตุผลการปรับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รมต.การคลังกรีซผู้สละตำแหน่ง เขียนเหตุผล 6 ข้อ ที่ชาวกรีซควรโหวต 'โน'

0
0

ยานิส วารูฟาคิส รัฐมนตรีการคลังของกรีซที่ลาออกหลังการลงประชามติเรื่องการยอมรับเงื่อนไขที่บีบคั้นทางการเงินของเจ้าหนี้กรีซเขียนเหตุผล 6 ข้อที่กรีซควรลงคะแนนไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว เช่นเรื่องที่ว่ากลุ่มเจ้าหนี้พยายามบีบให้คนจนต้องรับเคราะห์หนักที่สุด


7 ก.ค. 2558 จากกรณีวิกฤติหนี้กรีซและการลงประชามติเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาซึ่งทำให้รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของกรีซลาออกโดยสมัครใจเพื่อเปิดทางให้กับนายกรัฐมนตรีได้เจรจาด้านหนี้สินกับกลุ่มเจ้าหนี้ของกรีซ ในเว็บไซต์ของยานิส วารูฟาคิส รัฐมนตรีการคลังที่ลาออกได้เขียนถึงเหตุผลที่กรีซควรจะโหวต "ไม่ยอมรับ" มาตรการด้านหนี้สินจากกลุ่มเจ้าหนี้ยุโรปสั้นๆ 6 ข้อเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ดังนี้

ข้อที่ 1 การเจรจาเรื่องหนี้สินก่อนหน้านี้มีอุปสรรคเพราะฝ่ายเจ้าหนี้กรีซปฏิเสธที่จะลดหนี้สาธารณะซึ่งไม่สามารถจ่ายได้ และยังยืนยันให้มีการจ่าย 'ตามค่าคงเดิม' (parametrically) โดยผู้จ่ายคือกลุ่มคนที่อ่อนแอที่สุดในสังคมของพวกเขา รวมถึงลูกถึงหลานของพวกเขาด้วย

ข้อที่ 2 ทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF), รัฐบาลสหรัฐฯ , รัฐบาลประเทศอื่นๆ จำนวนมาก และนักเศรษฐศาสตร์อิสระส่วนใหญ่ รวมถึงพวกเรา ต่างก็เห็นตรงกันว่าต้องมีการจัดโครงสร้างหนี้สินใหม่

ข้อที่ 3 กลุ่มเจ้าหนี้ยุโรปเคยยอมรับ (เมื่อเดือน พ.ย. 2555) ว่าควรจะมีการปรับโครงสร้างหนี้สินใหม่ แต่ปฏิเสธที่จะทำตามที่บอกไว้

ข้อที่ 4 ตั้งแต่มีการประกาศทำประชามติ ทางการของยุโรปก็ส่งสัญญาณว่าพวกเขาพร้อมจะหารือเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้สินใหม่ ซึ่งสัญญาณเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าทางการยุโรปเองก็เตรียมจะโหวต "ไม่สนับสนุน" ข้อเสนอที่พวกเขาเสนอออกมาเอง

ข้อที่ 5 กรีซจะยังคงอยู่ในสมาชิกภาพสหภาพยุโรป เงินที่ฝากไว้ในธนาคารของกรีซก็จะยังคงปลอดภัย เจ้าหนี้เลือกวิธีการแบล็กเมล์ด้วยการขู่ว่าจะมีการปิดธนาคาร ปัญหาทางตันด้านเศรษฐกิจในตอนนี้เกิดจากทางเลือกของฝ่ายเจ้าหนี้ไม่ได้เป็นเพราะรัฐบาลกรีซไม่ยอมเจรจาต่อ ไม่ได้เป็นเพราะว่ากรีซต้องการออกจากการเป็นสมาชิกภาพยุโรปหรือการลดค่าเงินตรา ที่ทางของกรีซในยูโรโซนและในสหภาพยุโรปถือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ข้อที่ 6 ข้อเรียกร้องในอนาคตคือต้องการให้กรีซอยู่ในยุโรโซนและในใจกลางของยุโรปอย่างมีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจ ข้อเรียกร้องนี้จะต้องให้ชาวกรีซหนักแน่นว่าจะโหวต "ไม่ยอมรับ" เงื่อนไขของเจ้าหนี้ในวันอาทิตย์ ให้รู้ว่าพวกเขาก็อยู่ในภาคพื้นยุโรป และการประกาศไม่ยอมรับถือเป็นการเสริมกำลังให้กับพวกเราเอง พวกเราชาวกรีซก็จะมีกำลังในการเจรจาหารือเรื่องหนี้สาธารณะใหม่ รวมถึงมีเรื่องการกระจายภาระให้กับคนที่มั่งมีและคนที่ยากจน


เรียบเรียงจาก

Why we recommend a NO in the referendum – in 6 short bullet points, Yanis Varoufakis, 01-07-2015
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คุยกับ 'ประจักษ์ ก้องกีรติ' ว่าด้วยการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หน้าห้องเรียนใหม่ชื่อ 'เรือนจำ'

0
0

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ประชาไทสัมภาษณ์ ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ภายหลังจากเข้าเยี่ยม ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ ลูกเกด 1 ใน 14 นักศึกษาที่ถูกจับกุมจากขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ในประเด็นการถูกคุกคามของคณาจารย์จากเครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง และมุมมองต่อการดิสเครดิตของนักศึกษาจากขบวนการประชาธิปไตยใหม่

ประชาไท: กรณีมีอาจารย์ที่ลงชื่อกับเครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง ถูกคุกคามจากทั้งทหารและตำรวจ เพื่อกดดันให้ยุติกิจกรรมต่างๆ อาจารย์ถูกคุกคามด้วยหรือไม่
ประจักษ์: ยังไม่โดนคุกคามจากการลงนามในแถลงการณ์ อาจจะเป็นเพราะว่าโดนมาก่อนหน้าแล้ว หมายถึงโดนจับตามองมาตลอดตั้งแต่หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคมปีที่แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้หนีไปไหน ไม่ได้ไปซ่อนตัวที่ไหน และก็ยังยืนยันในสิทธิและเสรีภาพในทางวิชาการในการวิจารณ์เรื่องต่างๆ บนหลักการทางวิชาการว่ารัฐประหารไม่ดีอย่างไร ทำให้ประเทศถดถอยอย่างไร โดยเฉพาะในด้านสิทธิมนุษยชน และสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของประชาธิปไตย ซึ่งถ้าบอกว่าจะสร้างประชาธิปไตย แล้วในกระบวนการสร้างนี้ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน แล้วไม่ให้ประชาชนมีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้เลย ประชาธิปไตยจะงอกเงยขึ้นมาได้อย่างไร ประชาธิปไตยไม่มีทางงอกเงยขึ้นมาได้ จากการปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน

ฉะนั้นก็ยืนยันมาโดยตลอด ส่งผลให้ปลายปีที่แล้ว ตอนช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาที่จะจัดงานห้องเรียนประชาธิปไตย 2 ผมกับอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ก็โดนพาไปสอบสวนที่โรงพัก หลังจากนั้นถ้าผมไปร่วมงานเสวนาที่ไหน แม้แต่เรื่องที่จริงๆ แล้ว เป็นเรื่องที่ คสช. ก็ทำอยู่ หมายถึงในเรื่องการต่อสู้คอร์รัปชั่น ก็ยังมีตำรวจทหารนอกเครื่องแบบไปฟังตลอด ซึ่งมองว่าการกระทำแบบนี้เป็นการคุกคามแบบหนึ่ง เพราะในทุกงานเสวนาทางวิชาการ ก็จะมีตำรวจทหารไปถ่ายรูป ไปจดบันทึก มานั่งกดดัน แม้แต่งานที่คณะจัด ที่เป็นงานเสวนาธรรมดา ก็กลายเป็นบรรยากาศที่ไม่ดีในรั้วมหาวิทยาลัย ที่ตำรวจ ทหารนอกเครื่องแบบเข้ามาตลอดเวลา

ฉะนั้นในกรณีของผมจึงมองว่าอยู่ในเรดาร์อยู่แล้ว และตัวเองก็เคลื่อนไหวแบบเปิดเผยมาตลอด แต่ถ้าจะบอกว่าผมเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักศึกษา ผมไม่ได้อยู่เบื้องหลังแต่อยู่เบื้องข้าง และสู้ไปพร้อมๆ กันกับนักศึกษา เพราะเห็นด้วยกับหลักการที่นักศึกษาต่อสู้ 5 ข้อหลักการประชาธิปไตยใหม่ ถ้าใครจะเถียงกับกับนักศึกษาก็ขอให้เถียงที่เนื้อหา ไม่ใช่มาดิสเครดิต ด้วยเรื่องที่มันตื้นเขิน เช่น หน้าตาไม่เหมือนนักศึกษา ทำไมเกรดได้น้อยเท่านี้ สิ่งนี้ไม่ใช่สาระสำคัญ

คุณกล้าเถียงไหมว่าหลักการที่เขานำเสนอมันผิดตรงไหน แล้วมันเป็นหลักการที่ไม่ดีตรงไหน เราไม่ต้องการเหรอ สังคมแบบนั้น ที่มีประชาธิปไตย มีหลักการเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน มีสิทธิมนุษยชน มีสิทธิชุมชนที่ได้รับการเคารพ และมีสันติวิธี

ในหลักการ 5 ข้อ ถ้าไม่เห็นด้วยตรงไหนก็ให้เถียงมาด้วยเหตุและผล เพราะนักศึกษาเขาต่อสู้ในสิ่งนี้ เขาก็ชัดเจนในหลักการของเขา คนที่ไม่เห็นด้วยแทนที่จะไปดิสเครดิตเขาในเรื่องอื่น ให้มาเถียงด้วยเหตุและผลว่าหลักการ 5 ข้อ มันไม่ดีอย่างไร

คุณอาจจะต่างสี ต่างอุดมการณ์ แต่ที่คุณเคยออกมาท้องถนนเพื่อต่อสู้ คุณไม่ได้ต่อสู้เพื่อหลักการ 5 ข้อนี้เหมือนกันเหรอ เราก็ต้องการการมีส่วนร่วมของประชาชน เราก็ต้องการรัฐบาลที่โปร่งใสตรวจสอบได้ เราก็ต้องการสิทธิชุมชนที่ได้รับการเคารพ
 

กลุ่มคนที่ยังลังเลในการต่อสู้ของกลุ่มนักศึกษาอาจกังวลว่า หากเรียกร้องให้ คสช.ออกไปแล้วบ้านเมืองจะเดินไปทางไหนต่อ
การต่อสู้ของนักศึกษาในครั้งนี้ก้าวข้ามการเมืองเสื้อสีไปแล้ว สิ่งที่นักศึกษาต่อสู้ ไม่ได้ต่อสู้เพื่อใคร เพื่อนักการเมืองไหน เพื่อกลุ่มอำนาจไหนเลย แต่ต่อสู้เพื่อสร้างสังคมใหม่ที่มีหลักการ 5 ข้อ ที่ว่าประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ยุติธรรม การมีส่วนร่วมและสันติวิธีซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน ถามว่านักศึกษาไร้เดียงสาถึงขนาดคิดว่าการต่อสู้ของพวกเขาครั้งนี้จะสำเร็จภายในวันสองวันเดือนสองเดือนหรือไม่ มองว่าไม่เพราะคนที่สนับสนุน คสช.แบบไม่ตั้งคำถามยังมีอีกมากเพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบ 14 ตุลา เกิดการโค่นล้ม คสช. เพราะถ้าชนชั้นกลางยังหลับใหลอยู่ ก็ไม่สามารถล้ม คสช.ได้ เมื่อชนชั้นกลางตื่นเท่านั้นถึงจะล้มได้

แต่ตอนนี้นักศึกษาต่อสู้เพื่ออนาคตอาจจะไม่สำเร็จในวันนี้ แต่อย่างน้อยก็ได้จุดประเด็นแล้วว่า สังคมไทยสมควรได้ระบอบการปกครองที่ดีกว่าปัจจุบัน ระบอบการปกครองที่เป็นอยู่ตอนนี้ที่ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และก็ไม่ได้มีทิศทางที่ชัดเจนเลยในการที่จะสร้างความปรองดอง ที่เป็นอยู่ตอนนี้ถามว่าปรองดองหรือไม่ ในเมื่อการปฏิรูปก็ไม่ชัดเจน รัฐธรรมนูญที่กำลังร่างอยู่ก็เห็นชัดเจนแล้วว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ อนาคตเป็นสิ่งที่สังคมต้องสร้างร่วมกัน

ถามว่า คสช.ออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ก็เหมือนกับครั้งหนึ่งที่ถนอม ประภาส ออกไป ก็เหมือนที่ครั้งหนึ่งประชาชนปี 35 ขับไล่ รสช. ออกไป เพราะฉะนั้นอนาคตจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่ว่าประชาชนจะร่วมกันสร้าง แต่ที่เห็นได้แน่ๆ ก็คือ สมัยที่ปะชาชนขับไล่ ถนอม ประภาส ออกไป เพราะประชาชนบอกว่านี้ไม่ใช่ระบอบที่เขาปรารถนา นี่ไม่ใช่ระบอบการเมืองที่เราใฝ่ฝัน

ที่ทุกคนสู้กันก็เพราะว่าเราอยากได้ระบอบการเมืองที่ดีกว่านี้ ลองถามใจตัวเองลึกๆ ว่า สภาพที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นสภาพอุดมคติที่เราใฝ่ฝันหรือ แล้วทำไมถึงดูถูกพลังของตัวเองว่าประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายไม่สามารถสร้างสังคมที่ดีกว่านี้ สร้างระบอบการเมืองที่ดีกว่านี้ ฉะนั้นไม่ต้องถามเลยว่า คสช.ออกไป แล้วจะทำอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนจะเชื่อมั่นในศักยภาพตัวเองหรือไม่ ระบอบที่เราอยู่ในปัจจุบันมันเป็นระบอบพิกลพิการที่ไม่มีใครใช้อยู่ในขณะนี้อีกแล้ว แล้วถามว่าทั่วโลกเขาอยู่กันอย่างไร ก็อยู่กันปกติ เขาก็อยู่ได้ ก็สู้กันไป ขัดแย้งกันไป ภายใต้กติกา และก็ช่วยกันในการฟื้นฟูกติกาประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ โดยทีทุกฝ่ายมีส่วนร่วม โดยไม่ใช่ความรุนแรง ใช้สันติวิธี ซึ่งเป็นสิ่งที่นักศึกษาเขาก็แสดงออกให้เห็นมาโดยตลอด คือถ้าคุณยึดหลักการ 5 ข้อของนักศึกษา แล้วค่อยๆ สร้างระบอบนี้ขึ้นมาด้วยกัน ถ้าประชาชนตื่นตัวแล้วพร้อมที่จะตรวจสอบอำนาจของทุกฝ่ายไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตามสังคมก็จะไปได้
 

การดิสเครดิตทั้ง 14 คนตรงนี้สะท้อนอะไรได้บ้าง
ตอนนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า น่าเสียดาย ตรงที่ว่าที่ผ่านมาสังคมไทยชอบเทศนาชอบพร่ำสอนเยาวชนของชาติว่า อย่าสนใจแต่เรื่องตัวเอง อย่าเอาแต่เรียนหนังสือ อย่าเอาแต่อยู่ในรั้วห้องเรียน ให้เปิดออกมาสู่โลกภายนอก ให้มีจิตสำนึกเพื่อสังคมให้ทำงานเพื่อผู้อื่น ซึ่งผู้ใหญ่พร่ำสอนนักศึกษามาโดยตลอด ในทุกๆ เดือนตุลา ผู้ใหญ่เดือนตุลาก็ออกมาบ่นมาถามว่านักศึกษาหายไปไหน ออกมาก่นด่านักศึกษาว่านักศึกษารุ่นปัจจุบันไม่มีสำนึกอีกแล้ว พอนักศึกษาออกมาจริงๆ มาใช้สิทธิใช้เสียงของเขา ผู้ใหญ่เหล่านั้นยังไม่ฟังเลยว่าเขาเสนอเรื่องอะไรบ้าง กลับก็ออกมาดิสเครดิตเขา มาโจมตีเขาด้วยเรื่องต่างๆ นานา มาโจมตีเขาในเรื่องที่ตื้นเขิน อย่างเรื่องเกรด เรื่องหน้าตา ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องเศร้ามาก ซึ่งคนเดือนตุลาสมัยก่อน พวกเขาเหล่านั้นก็เคยโดนโจมตีด้วยเรื่องพวกนี้มาแล้ว

คุณกำลังด่าตัวตนของตัวเองในอดีต คุณกำลังดูถูกตัวตนของตัวเองในอดีต ครั้งหนึ่งคุณก็เคยเป็นคนหนุ่มสาวที่มีความใฝ่ฝัน สู้เพื่อสังคมที่ดีกว่า ถามว่าตอนก่อน 14 ตุลานักศึกษาไร้เดียงสาไหม ไร้เดียงสาและอุดมคติมาก กินอุดมคติมากไม่อย่างนั้นคุณจะกล้าออกไปสู้กับระบอบทหารที่มันปกครองสังคมไทยมาเป็นสิบๆปีหรือ

สมัยก่อน 14 ตุลานั้นยิ่งเป็นระบอบเผด็จการที่เข้มข้นมาก ระบอบ สฤษดิ์ ถนอม ประภาส คนสมัยนั้นยังกล้าออกไปถนนเพื่อต่อสู้ ก็เพราะตอนนั้นคนเหล่านั้นไร้เดียงสา ต้องเรียกว่าไร้เดียงสาระดับหนึ่ง แต่ว่าเป็นความไร้เดียงสาที่ประกอบด้วยอุดมคติ และมีความใฝ่ฝันว่าสามารถสร้างสังคมที่ดีกว่านี้ได้ เพราะฉะนั้นอย่าดูถูกตัวตนของตัวเองในอดีต และในการมองนักศึกษานั้นก็อยากให้สังคมมีสติในการพิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างรอบด้านโดยอยู่กับข้อมูลข้อเท็จจริง การแชร์ข้อมูลผิดๆ การดิสเครดิต มันง่าย แต่การทำความเข้าใจคนอื่น เป็นสิ่งที่ยากกว่า ต้องใช้ความพยายาม ซึ่งนี่คือสิ่งที่สังคมไทยขาด เราเก่งในการทำลายคนอื่น ทำลายคนที่เขาออกมาต่อสู้อะไรแบบนี้ซะมากกว่า
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เอ็นจีโอ-องค์กรระหว่างประเทศ เผยเด็กไร้สัญชาติในไทยกว่าล้านคนเข้าไม่ถึงการศึกษา

0
0

เอ็นจีโอ-องค์กรระหว่างประเทศ เผยในเวทีทบทวน 10 ปี นโยบายการศึกษาของเด็กไร้สัญชาติในไทย ชี้มีเด็กไร้สัญชาติในไทยกว่าล้านคนเข้าไม่ถึงระบบการศึกษา เกรงหากไม่แก้ปัญหาจะส่งผลกระทบระยะยาว

7 ก.ค.2558 ที่โรงแรมแมนดาริน กรุงเทพฯ เครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติ (MWG), องค์การ Save the  children international, องค์การ World education,  องค์การ world vision และสำนักงานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (สพฐ.) ร่วมกันจัดเสวนาหัวข้อ “ทบทวน 10 ปี นโยบายการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยและก้าวต่อไปสู่การศึกษาเพื่อปวงชน” ชี้เด็กไร้สัญชาติกว่าล้านคนในประเทศไทย ยังเข้าไม่ถึงการศึกษา

นายอิชิโระ มิยาซาว่า จากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) กล่าวว่า จากการสำรวจเด็กไร้สัญชาติในภาพรวมของประเทศไทย พบว่า มีเด็กข้ามชาติอยู่มากถึง 3 ล้านคน โดยมีจำนวนเด็กข้ามชาติที่ยังไม่เข้าสู่ระบบการศึกษามากสุดในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือเด็กพม่าที่เกิดในประเทศไทย และเด็กที่ย้ายตามครอบครัวมาเพื่อประกอบอาชีพ โดยพบว่ามีเด็กมากกว่า 1 ล้านคนที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา  ซึ่งสถิติดังกล่าวจะนำมาสู่ปัญหาระยะยาว โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ และผลผลิตมวลรวมของประเทศ รวมถึงปัญหาทางสังคมในอีก 20 ปีข้างหน้า 

นายอิชิโระ กล่าวว่า การเปิดเสรีเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีเพิ่มมากขึ้น จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กตามมามากขึ้นอีกด้วย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องร่วมกันปรึกษาหารือเพื่อทาทางออกร่วมกันในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการจัดการเรื่องการศึกษาให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษา

ด้านนายพะโยม ชิณวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทยนั้น ปัจจุบันได้มีมติคณะรัฐมนตรีและร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานวันเดือนปีเกิดในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา โดยระบุให้บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร์ หรือไม่มีสัญชาติสามารถเข้ามาเรียนได้โดยผ่านโรงเรียนเครือข่าย และผ่านการศึกษาตามอัธยาศัยหรือการศึกษานอกระบบ โดยเฉพาะตามแนวชายแดน ซึ่งต่อไปนี้หลักสูตรในการดำเนินการเรื่องการเรียนการสอนต้องมีการปรับเปลี่ยนโดยเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ทั้งในส่วนของเด็กที่ด้อยโอกาสเด็กที่พิการโดยทำหลักสูตรให้มีความหลากหลาย เพราะที่ผ่านมามีการประเมินความสามารถของเด็กผ่านระบบโอเน็ต-เอเน็ตเป็นตัววัดประสิทธิภาพ  ซึ่งระบบการวัดประสิทธิภาพแบบนี้ถือว่าไม่ถูกทาง  ซึ่งทุกวันนี้การศึกษาของไทยยังไม่ตอบสนองและสอดคล้องกับสถานประกอบการ ขณะที่ผู้ใช้ทรัพยากรบุคคลควรจัดกลุ่มเป้าหมายในการใช้ทรัพยากรบุคคลให้ชัดเจน ผ่านการวางแผนที่ดี ที่เด็กทุกคนต้องได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกเชื้อชาติและสัญชาติ

นายแพทริคเครินส์ ผู้อำนวยการ World education กล่าวว่า จากการลงพื้นที่หาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กไร้สัญชาติที่เข้าไม่ถึงระบบการศึกษาในประเทศไทย พบว่า มีกว่า 4 แสนคน ซึ่งอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี และกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เป็นเด็กที่มาจากประเทศพม่า โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กที่เกิดในประเทศไทยและติดตามพ่อแม่มาทำงาน  ซึ่งที่ผ่านมาแม้เด็กเหล่านี้จะเข้าถึงระบบการศึกษาในประเทศไทยตามมติคณะรัฐมนตรี 5 ก.ค. 2548 เรื่องการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร์หรือไม่มีสัญชาติไทย ที่ทำการรองรับให้คนไม่มีสัญชาติสามารถเข้าสู่ระบบการศึกษา แต่ก็เกิดปัญหาเนื่องจากมีเด็กจำนวนมากต้องหยุดเรียนกลางคัน โดยเฉพาะเด็กอายุระหว่าง 11-14 ปี เพื่อไปทำงานและดูแลครอบครัว แม้จะเปิดโอกาสให้เด็กกลับมาเรียนได้ใหม่ แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะเด็กส่วนใหญ่ที่ออกไปแล้วจะไม่ได้กลับเข้ามาสู่ระบบการศึกษาอีกเลย จึงเป็นปัญหาที่ต้องคิดว่าต่อไปนี้เราจะทำอย่างไรให้เด็กเหล่านี้อยู่ในระบบของโรงเรียนจนจบกระบวนการศึกษาจนได้วุฒิบัตรเพื่อนำไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้

ผู้อำนวยการองค์กร World education กล่าวต่ออีกว่า แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายรองรับที่ชัดเจนเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กไร้สัญชาติเข้าถึงการศึกษา ซึ่งถือเป็นการเปิดกว้าง แต่ก็ยังคงมีปัญหาในเรื่องของการไม่มีระบบติดตามการดำเนินงาน จนทำให้หลายคนต้องพลาดโอกาสทางการศึกษาไป นอกจากนี้ การให้เด็กได้มีโอกาสได้เรียนภาษาแม่ก็จะเป็นประโยชน์กับเด็กเมื่อต้องกลับไปประเทศต้นทางอีกด้วย

“การที่รัฐบาลไทยจะต้องเข้ามาช่วยดูแลเด็กๆ เหล่านี้นั้น เป็นเพราะกฎหมายที่ประเทศไทยได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนในเรื่องการศึกษาเพื่อคนทั้งมวลหรือ Education for all นอกจากนี้ไทยยังเป็นผู้นำในประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพในการที่จะช่วยเหลือประเทศเหล่านี้ทั้งในเรื่องนวัตกรรม และในเรื่องทรัพยากร และที่สำคัญไทยถือได้ว่าเป็นประเทศศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนที่มีตลาดแรงงานขนาดใหญ่ จึงทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากเราจัดการศึกษาที่เหมาะสมให้กับเด็กไร้สัญชาติ จะทำให้เด็กๆ เหล่านี้สามารถพึ่งพิงตนเองและไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ หรือต้องตกเป็นเหยื่อของการใช้แรงานเด็ก นอกจากนี้ถึงแม้ว่าเด็กๆ จำนวนมากจะติดตามพ่อแม่ที่เข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้ความว่าเด็กๆ จะใช้เหตุผลนี้ในการการกีดกันเด็กไม่ให้เข้าถึงระบบการศึกษาที่จะเป็นประโยชน์กับเด็กในอนาคตเด็กได้” นายแพทริคกล่าว

ด้าน น.ส.โรยทราย วงศ์สุบรรณ ตัวแทนเครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กย้ายถิ่นว่า ไม่สามรรถเชื่อมต่อกับประเทศต้นทางได้ ดังนั้น ระบบการศึกษาไทยต้องส่งเสริมให้เด็กไปศึกษายังประเทศต้นทางได้ด้วย โดยมีข้อเสนอให้

1. ต้องมีแนวทางร่วมกันในเรื่องการวัดระดับความรู้ ว่าในแต่ละระดับชั้นที่เด็กเรียนจบ จะมีระบบการวัดความรู้อย่างไร โดยที่เด็กไม่ต้องไปเริ่มเรียนใหม่
2. ให้มีข้อตกลงร่วมกันที่จะรองรับกรอบการศึกษาโดยกระทรวงศึกษาธิการ โดยต้องดำเนินการว่า จะประสานประเทศต้นทางเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กอย่างไร โดยต้องประชุมกันในหลายระดับ ทั้ง ระดับรัฐมนตรี อธิบดี เลขาธิการ เพื่อให้เข้าใจนโยบาย แล้วนำไปสู่การปฏิบัติ  ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการต้องมีข้อมูลพื้นฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนของเด็กข้ามชาติว่าอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนเท่าใด และไทยต้องเตรียมข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย เพื่อให้ประเทศต้นทางสามารถรับไปดำเนินการต่อได้ทันที

ด้านนายฮุ้คเดเลนี่ย์  ตัวแทนจาก UNICEF ประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้พบว่ามีเด็กไร้สัญชาติใช้แรงงานในประเทศไทยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแสดงว่าแรงงานเด็กมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยมาก และในอนาคตจะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานแบบเสรี การศึกษาของเด็กเหล่านี้จึงมีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งหน่วยงานเอกชน และบริษัทต่างๆ ที่เขาได้ไปเยี่ยมดูงานก็ให้ความช่วยเหลือเด็กทั้งในเรื่องการเงินและการปฏิบัติการ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ตัวแทนจาก UNICEF กล่าวว่า หากสามารถเชื่อมโยงการทำงานรัฐและเอกชนได้ จะเป็นการดีกับเด็กและแรงงานในอนาคต ทั้งนี้เรื่องการศึกษาของเด็กจะพูดถึงกระทรวงศึกษาธิการอย่างเดี่ยวไม่ได้ แต่ทุกหน่วยงานต้องมาช่วยกัน เพื่อนำไปสู่การเท่าเทียมกันในการศึกษา


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อินโฟกราฟฟิคจากกลุ่มศิลปินอิสระ ‘3.6 หมื่นล้านบาท นำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ?’

0
0

กลุ่มศิลปินอิสระ ‘The Whaleswatcher’ จัดทำอินโฟกราฟฟิค ชื่อว่า ‘KALAHOME : กะลาโฮม’ เผยแพร่ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจของกลุ่ม โดยแจกแจงถึงงบประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาทที่รัฐบาลจะใช้ในการจัดซื้อเรือดำน้ำให้กับกองทัพเรือ เปรียบเทียบว่า เงินจำนวนดังกล่าวสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ อะไรได้บ้าง

ดูภาพขนาดใหญ่

ที่มา : เฟซบุ๊กเพจ The Whaleswatcher

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงซื้อเรือดำน้ำมีไว้ให้เกรงใจ เพื่อแสดงศักยภาพยังไม่ได้เอาไปรบ

0
0
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชี้แจงเรื่องจัดซื้อเรือดำน้ำว่าเป็นแผนพัฒนาล่วงหน้าของกองทัพเรือ - ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ปฏิรูปตัวเองแล้ว ย้อนถามฝ่ายการเมืองจะปฏิรูปตัวเองไหม คิดแต่จะใช้อำนาจ - ย้ำเรือดำน้ำจำเป็นเพื่อรักษาเส้นทางเดินเรือ ใช้แสดงศักยภาพ ยังไม่ได้ใช้รบ ซื้อมาไม่ได้ใช้วันนี้ แถมต้องผ่อนกันอีกไม่รู้กี่ปี

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ชี้แจงเรื่องจัดซื้อเรือดำน้ำ ระหว่างแถลงข่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อ 7 ก.ค. 2558 (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

7 ก.ค. 2558 - หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แถลงข่าวเมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (7 ก.ค. 58) โดยมีประเด็นสำคัญต่างๆ ดังนี้

เรื่องการแก้ไขปัญหาการทำประมง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องไปพิจารณาการประมงทั้ง 3 ประเภท โดยเฉพาะการทำประมงพื้นบ้านที่อาจได้รับผลกระทบ โดยอาจต้องพิจารณามาตรการผ่อนผันที่อาจต้องออกเป็นกฎหมายลูก หรือใช้อำนาจตามมาตรา 44 และไม่กระทบกับกฎของ IUU ทั้ง 15 ข้อ รวมถึงการทำความเข้าใจว่าการเข้มงวดถือเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว หากไม่ดำเนินการ จะทำให้ไทยเสียการส่งออกกับยุโรป ซึ่งเป็นตลาดประมงที่ใหญ่ที่สุดของไทย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ตรวจสอบสมาคมประมง หรือผู้ที่สั่งไม่ให้เรือประมงที่ถูกกฎหมายออกทำการประมง ว่าเป็นการใช้อิทธิพลหรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้จะเชิญทุกฝ่ายเข้าหารือ และทำความเข้าใจร่วมกัน

มาตรการแก้ปัญหาภัยแล้งในขณะนี้ว่า ได้สั่งการให้เร่งขุดเจาะบ่อบาดาลในกรุงเทพมหานคร และอีก 500 จุดทั่วประเทศ ซึ่งการดำเนินการจะต้องดูพื้นที่ที่เหมาะสม ทั้งนี้ ต้นเหตุปัญหาเกิดจากการทำลายป่าไม้ โดยเฉพาะป่าต้นน้ำ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและดำเนินการผู้กระทำผิดกฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะหากพบว่าเป็นกลุ่มนายทุน สำหรับการบริหารจัดการน้ำที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินหน้าในหลายโครงการ โดยเฉพาะการขุดลอกแหล่งน้ำธรรมชาติ อ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็ก เพื่อสามารถรองรับน้ำหากมีปริมาณน้ำฝนเกิดขึ้นมาก

พล.อ.ประยุทธ์ ยังขอบคุณชาวนาในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ให้ความร่วมมือเลื่อนการปลูกข้าวออกไปอีก 2 เดือน ส่วนพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ยังมีการเพาะปลูกอยู่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้เตือนแล้ว หากน้ำไม่เพียงพอต่อการทำเกษตรกรรม รัฐบาลไม่สามารถช่วยเหลือได้

ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจะเปิดตลาด 4 จุด รอบกรุงเทพมหานคร พร้อมขอความร่วมมือผู้ผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภค รายใหญ่ ช่วยลดราคาสินค้าเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย

กรณี พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้แถลงว่า 14 นักศึกษากลุ่มประชาธิปไตยที่เคลื่อนไหวต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จนถูกศาลทหารสั่งฝากขังว่า มีองค์กรต่างชาติองค์กรหนึ่ง อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของนักศึกษากลุ่มดังกล่าว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานดังกล่าว ทั้งนี้ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติต้องทำหนังสือรายงานประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติตามสายบังคับบัญชา ซึ่งไม่ต้องรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ

การสร้างนิคมอุตสาหกรรมฮาลาล ณ จังหวัดเชียงใหม่ ที่ยังติดปัญหา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัญหาอยู่ที่การเมืองท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ที่ยังมีความขัดแย้งเรื่องการใช้พื้นที่ดินที่กำหนดไว้ จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ขณะนี้กำลังหาสถานที่สร้างนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งใหม่ พร้อมกล่าวว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่นายกรัฐมนตรี และไม่สามารถบังคับประชาชนได้ แต่นายกรัฐมนตรีพร้อมสนับสนุนทุกอย่างที่จะทำให้ประชาชนมีรายได้ และสร้างอาชีพให้กับประชาชน

กรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "เป็นเรื่องของแผนงานพัฒนาของกองทัพ อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นหรือไม่จำเป็น ผมต้องดูว่าวันนี้กองทัพมีแผนพัฒนาล่วงหน้าเป็น 10 ปี 20 ปี แล้วผมถามว่าเรื่องนี้เกิดมานานหรือยัง เกิดมานาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องมารัฐบาลนี้ อะไรต่างๆ ถามว่าแล้วรัฐบาลอื่นจะทำไหมล่ะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน"

"ตอนนี้เป็นขั้นตอนของเขา เป็นการกำหนดความต้องการของเขา ว่าถ้าจะมี มีอย่างไร มีที่ไหน จะหามาจากที่ใคร เอามาประกวดกันอย่างไร เป็นเรื่องภายในของเขา ยังไม่ได้ซื้อสักลำเลย อะไรกันหนักหนา ผมไม่เข้าใจ โยงเรื่องการเมืองบ้าง โยงรถไฟบ้าง ไม่ต้องทำอะไรเลยถ้าอย่างนั้น อยู่เฉยๆ ดีกว่า เอาเงินมาแจกกัน หรือเอาไปโกงกัน เอาไหมล่ะ เปิดฟรีกันไปเลย แบ่งเค้กกันไป ใครอยากจะเอาอะไรมาติดต่อกับตนนี่ตั้งโต๊ะกันไปเลยเอาไหม แล้วก็เป็นอย่างนี้แล้วกัน อยู่กันไปอย่างนี้แล้วกันหากินกันไปเรื่อยๆ"

"เขาอยู่ในกระบวนการของเขา จะซื้อหรือไม่ซื้อ เขาก็พูดให้ฟัง มันเป็นเรื่องภายใน เป็นแผนกองทัพ 10-20 ปี แผนปฎิรูปกองทัพก็มีเขามีหมดน่ะ แผนปฏิรูปกองทัพเขามี แผนปฎิรูปตำรวจก็มี ปฎิรูปข้าราชการมีหมด แต่เขาเป็นระยะๆ ของเขา แล้วถามว่าปฎิรูปการเมืองน่ะมีไหม เคยทำไหมเล่า ปฏิรูปการเมืองตัวเองเคยทำไหม ไม่เคยทำหรอก มีแต่อยากจะได้อำนาจ แล้วใช้อำนาจแบบนี้ที่ผ่านมา ผมพยายามใช้อำนาจให้ถูก ก็โจมตีผมนั่นแหละ ว่าผมเข้ามาถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ว่าผมไม่ได้ ผมเป็นคนควบคุมกติกา ผมไม่เกรงใจ เกรงใจแล้วเคยตัว เพราะฉะนั้นต้องรอดู ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอน ถ้ามันซื้อได้ พิจารณาความจำเป็นที่ต้องซื้อไหม มีไว้เพื่ออะไร จะมีไว้เพื่อรบ หรือมีเพื่อไม่รบ มีเพื่อรบกับใครหรือไม่รบกับใคร จะเอาไว้ที่ไหน ทะเลอ่าวไทยทะเลเดียวหรือไง ทะเลอันดามันมีไหม จำเป็นต้องไปพิทักษ์ปกป้องทรัพยากรทางทะเลไหม

"ไม่ได้มีเพื่อไปรบไปยิงใคร มีไว้ให้เกรงใจ วันหน้าจะรักษาการเดินเรืออย่างไร รักษาเส้นทางการประมงอย่างไร ก็เห็นอยู่ว่าทะเลอื่นเขาก็มีปัญหากันอยู่ วันหน้าเราจะไม่มีปัญหาหรือไง มันเป็นการแสดงศักยภาพแค่นั้นเอง แล้วมีไม่ใช่ว่าจะใช้วันนี้ ผ่อนกันไม่รู้อีกกี่ปี กว่าจะผ่อนเสร็จ เรือผุไปหมดแล้ว โธ่"

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การจะซื้อเรือดำน้ำจากจีน ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ นายกรัฐมนตรีตอบว่า "ไม่จำเป็นต้องซื้อกับเขาหรอก เราดีกับเขาอยู่แล้ว ตอนนี้ดีกับทุกประเทศทั่วโลกกับผมนี่ เว้นแต่ติดคำว่าประชาธิปไตย คำเดียว ผมจะบอกให้ ไม่ได้คุยนะ ผมแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของผม ความตั้งใจจริงของประเทศไทย ที่พร้อมจะดีกับทุกประเทศ"

ผู้สื่อข่าวถามด้วยว่า การที่ศาลอนุมัติปล่อยตัวนักศึกษา กังวลหรือไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มอื่นๆ ออกมาอีก พล.อ.ประยุมธ์ กล่าวว่า ก็อยู่ที่คนทำ อยู่ที่นักศึกษา ในเมื่อศาลให้ความเมตตาไปแล้วก็ไปดูกัน แต่ถ้าบอกว่าไม่ผิดมันจะใช่หรือเปล่าก็ต้องไปดู วันนี้พ่อแม่และทุกๆ คนก็เป็นห่วง

"จะเสียสละไปเพื่อใคร เวลานี้มันเพื่อใคร ทำไมจะรออีกสักหน่อยไม่ได้หรือ ถามจริงๆ ว่าอยากจะมีรัฐบาลใหม่ในวันพรุ่งนี้เลยหรือไม่ จะเอาหรือเปล่า เพราะท่านเบื่อผมแล้ว ก็เอาคนใหม่เข้ามาแล้วต้อนเขาอย่างนี้บ้าง ส่วนการมีรัฐบาลจะเร็วไป หรือช้าไป ขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่เขาเขียนไว้ วันนี้ผมต้องขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจ ขอบคุณทุกคนที่ติชมอย่างมีสาระ ขอบคุณทุกคนที่เสนอวิสัยทัศน์โลกสวย ผมยอมรับทั้งหมดทุกเรื่อง มันอยู่ในหัวผมทั้งหมด ที่พูดทั้งหมดไม่ได้โกรธหรือว่าสื่อ แต่เราต้องมีมุมมองและเข้าใจถึงคำว่าอดีต ปัจจุบันและอนาคตว่าอดีตบ้านเมืองเป็นอย่างไร ปัจจุบันเรากำลังทำอะไร อนาคตจะเป็นอย่างไรในวันหน้าแล้ววันนี้คือประวัติศาสตร์ของวันข้างหน้า"

"ถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่เปลี่ยนลุคใหม่ แต่ถ้าไม่ทำมันก็กลับไปสู่ที่เก่า ขณะที่คนอื่นเดินไปข้างหน้าทั้งหมด เรากลับเดินถอยหลังหรือยืนอยู่กับที่แค่นี้ก็ตายแล้ว แต่กลัวว่ามันจะหนักยิ่งกว่านี้เพราะเศรษฐกิจจะตกลงยิ่งกว่านี้ ถ้าไม่ทำอย่างที่พูด ขนาดสั่งกันทุกวันยังทำกันไม่ทำ พยายามเร่งทุกอย่าง ใครเชิญไปประชุมที่ไหนก็ไปทุกที่ ไม่เคยได้พักผ่อน ประชุมเสร็จก็กลับเพราะคิดถึงคนไทย พอกลับมาก็ได้รับทั้งรอยและคำถามน่าอบอุ่นและชื่นใจทำให้ผมต้องกระตือรือร้นขึ้นมาอีกนิด เลือดสูบฉีดขึ้นสมองอีกหน่อยก็พอที่จะมีแรง"

"คนไทยต้องทำให้คนทั้งโลกได้เห็นถึงความรัก ความสามัคคี ความมีอัจฉริยะ มีบุคลิกภาพที่ดีในสังคมโลก ไม่ใช่ว่านักการศึกษาก็ตีกัน อาชีวะก็ตีกัน บนถนนก็เดินขบวน ไม่รู้อะไรหมู่ อะไรจ่า อะไรคือกฎหมาย ไม่รู้สถานการณ์ว่าอะไรคืออะไร ปนเปไปหมดทุกเรื่อง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา ตีกันหมดทุกเรื่อง ทำไม่ได้สักเรื่อง แล้วประเทศไทยมันจะไปทางไหน ถ้าเราไม่สร้างระบบไว้ตั้งแต่วันนี้ วันข้างหน้าก็จะเป็นอย่างนี้อีกจำคำของผมและบันทึกไว้ด้วย วันหน้าผมจะถามใหม่ ว่าสิ่งที่ผมคิดไว้มันทำได้หรือไม่ แล้วผมจะคอยประเมิน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่ง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

PPTV ชี้แจง กสทช. หลังนำเสนอข่าวเจรจาลับภาคใต้ - โดยถูกเตือน แต่ยังไม่ขัดคำสั่ง คสช.

0
0

หลัง กสทช. ทำหนังสือเรียกช่อง PPTV ชี้แจงหลังนำเสนอรายงานพิเศษ "เจรจาลับ ดับไฟใต้" ล่าสุด PPTV เข้าชี้แจงแล้ว โดยผลการชี้แจง - กสทช. ไม่ถือว่าขัดคำสั่ง คสช. เรื่องสร้างความแตกแยก แต่เตือนว่าทำข่าวความมั่นคงอย่าลงลึกเรื่องยุทธการของทหาร

ภาพเปิดรายงานพิเศษของ PPTV "เจรจาลับ ดับไฟใต้" ออกอากาศเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2558 ก่อนถูก กสทช. เรียกเข้าไปชี้แจงว่าขัดต่อคำสั่ง คสช. และ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์หรือไม่ (ที่มาของภาพ: PPTV)

7 ก.ค. 2558 - กรณีที่ กสทช. ทำหนังสือลงวันที่ 26 มิ.ย. 58 ส่งถึงกรรมการผู้จัดการบริษัทบางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (สถานีโทรทัศน์ PPTV HD) ให้ไปชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการกำกับผังรายการ กสทช. กรณีเสนอรายงานพิเศษเรื่อง "เจรจาลับ ดับไฟใต้" ที่ออกอากาศในรายการ "เข้มข่าวค่ำ" วันที่ 23 มิ.ย. 58 โดยในจดหมายมีเนื้อหาว่าข่าวที่ PPTV HD นำเสนออาจทำให้ประชาชนสับสน เข้าใจผิด ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม ขัดประกาศ คสช.ฉบับที่ 97/2557, ฉบับที่ 103/2557 และขัดต่อมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551

ล่าสุดในเฟซบุ๊คของ เสถียร วิริยะพรรณพงศา ผู้้สื่อข่าว PPTV HD ระบุว่าได้เข้าชี้แจง กสทช. แล้วเรียบร้อย โดยข่าว "เจรจาลับ ดับไฟใต้" ดังกล่าวไม่ขัดคำสั่ง คสช. อย่างไรก็ตามคณะอนุกรรมการกำกับผังรายการ กสทช. เตือนเรื่องการทำข่าวความมั่นคงอย่าลงลึกเชิงยุทธการของทหาร

ต่อกรณีดังกล่าวนั้น ก่อนหน้านี้ PPTV HDแถลงเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยในข่าวพาดหัวว่า "PPTV HD ยันจุดยืนนำเสนอข่าวถูกต้อง เป็นกลาง รอบด้าน หลัง กสทช.เรียกชี้แจง สภาวิชาชีพกิจการการแพร่ภาพและการกระจายเสียง (ประเทศไทย) ชี้สื่อทำหน้าที่กำกับดูแลกันเองอยู่แล้ว สุภิญญาห่วง กสทช.ใช้อำนาจเหมาะสมหรือไม่" นำเสนอตอนหนึ่งว่า

"นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ดิจิตอล PPTV HD ให้สัมภาษณ์ว่านโยบายการนำเสนอข่าวของ PPTV HD นั้น ยึดหลัก 5 ประการสำคัญที่ PPTV HD ยึดมั่นมาโดยตลอด ได้แก่"

"1.การนำเสนอข่าวจะต้องเป็นกลาง ไม่อิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และต้องมีการนำเสนอความคิดเห็นอย่างรอบด้าน
2.เนื้อหาในการทำข่าวจะต้องเป็นเนื้อหาที่มีความหลากมิติเพื่อให้ประชาชนคิดตาม แต่ไม่ใช่การชี้นำทางสังคม
3.วิธีการนำเสนอข่าวจะต้องมีความน่าสนใจ โดยมีการใช้กราฟิค และภาพเข้าเสริม
4.มีจริยธรรมตามบทบัญญัติการเป็นสื่อมวลชนที่ดี
5.มีความฉับไว"

"เมื่อทางคณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ สำนักงาน กสทช.ได้ส่งหนังสือมาที่ PPTV HD ดังกล่าว ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการสถานีฯ ได้วิเคราะห์ และมีการหารือกับกองบรรณาธิการข่าวถึงเนื้อหาข่าวที่มีการนำเสนอ และที่ผ่านมาก็ไม่มีทั้งฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายรัฐบาล สมาคมนักข่าว และสภาวิชาชีพสื่อมวลชนต่างๆ มาบอกว่าเป็นการนำเสนอข่าวที่ผิด หรือมีเนื้อหากระทบต่อความมั่นคงแต่อย่างใด จึงคิดว่าข่าวนี้มีลักษณะการนำเสนอข่าวที่ถูกต้องแล้ว เพราะเป็นการนำเสนอข้อมูลทั้ง 2 ด้านไม่ได้อิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และเนื้อหาของข่าวที่นำเสนอในรายการ "เข้มข่าวค่ำ" ก็เป็นเนื้อหาที่พูดถึงเรื่องสันติวิธี โดยไม่ได้ว่าใคร ซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวอย่างถูกต้องตามหลักของการสื่อสารมวลชนที่ดี"

"นายเขมทัตต์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาดูแล้วว่าเป็นข่าวที่นำเสนออย่างถูกต้อง วานนี้ (2 ก.ค.58) จึงได้เข้าไปปรึกษาหารือกับสภาวิชาชีพกิจการการแพร่ภาพและการกระจายเสียง (ประเทศไทย) ซึ่งทางสภาวิชาชีพฯ ได้ให้คำแนะนำว่า กรรมการฯ ได้พิจารณาแล้ว มีความสอดคล้องกับหลักกฎหมายที่ให้สื่อกำกับดูแลกันเอง จึงรับเรื่องไว้ และหาก กสทช.จะเรียกชี้แจง ทางกรรมการสภาวิชาชีพฯ จะขอเข้าร่วมการชี้แจงดังกล่าวด้วย เนื่องจากสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ต่างก็เป็นสมาชิกของสภาวิชาชีพฯ ทั้งนี้เมื่อสภาวิชาชีพฯ รับเรื่องนี้ไว้พิจารณาแล้ว ก็จะนำกรณีของสถานีโทรทัศน์ PPTV HD เข้าไปหารือกันในสภาวิชาชีพฯ ด้วย"

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวกับ PPTVHD ถึงความเหมาะสมในการเรียกเข้าชี้แจงว่า โดยหลักการแล้วควรให้สื่อดูแลกำกับกันเองก่อน หากเป็นเรื่องของความเป็นกลาง และจริยธรรม ส่วนกรณีของ Thai PBS หรือ PPTVHD ก็ควรในฝ่ายนโยบายเป็นผู้ดูแลกำกับ

ทั้งนี้หากถามว่ากรณีที่เกิดขึ้นขัดต่อหลักกฎหมายหรือไม่ก็ไม่ขัด เนื่องจาก กสทช. เป็นผู้ดูแล หากได้รับเรื่องร้องเรียน แต่ทว่าขณะนี้สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ โดยผู้ร้องเรียนมาจากฝ่ายความมั่นคง จึงทำให้ต้องพิจารณา แต่ กสทช. ก็ควรทบทวนตนเองว่าใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ หรือเหมาะสมหรือไม่

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นัดรวมตัวตี 5 พรุ่งนี้ รับ 14 ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ออกจากเรือนจำ

0
0

ตัวแทนขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ประกาศยุติกิจกรรม ‘รับเพื่อนเรากลับบ้าน’ ในวันนี้แล้ว นัดหมายใหม่ตี 5 พรุ่งนี้ ส่วนญาติและเพื่อนบางส่วนปักหลักรอหน้าเรือนจำถึงเช้า

7 ก.ค.2558 เวลาประมาณ 19.40 น. ตัวแทนขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ประกาศยุติกิจกรรม ‘รับเพื่อนเรากลับบ้าน’ ที่ด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยนัดหมายมวลชนให้มารวมตัวใหม่ในเวลา 05.00 น.ของวันพรุ่งนี้ (8 ก.ค.) เพื่อรอรับ 14 นักศึกษาและนักกิจกรรมขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ที่คาดว่าจะถูกปล่อยตัวจากเรือนจำในเวลา 06.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนยุติกิจกรรม มีการจุดเทียนและร้องเพลง ‘เราคือเพื่อนกัน’ หลังจากนั้น มวลชนบางส่วนเดินทางแยกย้ายกันกลับ และมีบางส่วนยังคงปักหลักรออยู่ด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพจนถึงเช้า อาทิ กลุ่มพ่อแม่ นักศึกษา นักกิจกรรม และเพื่อนๆ ราว 30 คน

ก่อนหน้านี้ ในช่วงประมาณ 16.00 น. มีผู้หญิง 5 คน นำแผ่นกระดาษขนาดใหญ่เขียนข้อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของนักศึกษา มาชูที่ป้ายบริเวณทางเข้า-ออกของเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หนึ่งในนั้นกล่าวว่าต้องการให้ประเทศสงบไม่วุ่นวาย ซึ่งเป็นในเวลาเดียวกับที่กลุ่มผู้มาให้กำลังใจขบวนการประชาธิปไตยใหม่เดินทางมาถึง เจ้าหน้าที่เรือนจำจึงเชิญหญิงทั้ง 5 คน ออกจากพื้นที่ทันทีโดยไม่ทีเหตุรุนแรงแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงประมาณ 18.00 น. ตัวแทนญาตินักศึกษาและนักกิจกรรมขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ได้เข้าพบกับผู้อำนวยการส่วนทัณฑสถานปฏิบัติ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ กรมราชทัณฑ์ เพื่อสอบถามถึงสาเหตุที่ทางเรือนจำยังไม่ปล่อยตัวทั้ง 14 คนเมื่อครบตามกำหนดเวลาฝากขัง แต่กลับจะปล่อยตัวทั้ง 14 คนในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเกินกำหนดเวลาการฝากขังไปแล้วนั้น เป็นการใช้อำนาจอะไรและใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมตัวเกินกำหนด ทางด้านตัวแทนของเรือนจำรับว่าจะนำคำถามเหล่านี้ไปปรึกษากับผู้บังคับบัญชาต่อไป

ต่อมาเวลาประมาณ 19.00 น. อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมารอการปล่อยตัวของนักศึกษาและนักกิจกรรม กล่าวว่า ได้เข้าพูดคุยกับผู้บังคับการเรือนจำ ซึ่งได้รับคำตอบว่าจะมีการปล่อยตัวนักศึกษาและนักกิจกรรมทั้ง 14 คน ในเวลา 06.00 น. ของพรุ่งนี้ (8 ก.ค.) โดยให้เหตุผลว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทางเรือนจำปฏิบัติมานานกว่า 20-30 ปีแล้ว และไม่เคยมีการปล่อยตัวผู้ต้องหาในยามวิกาล


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โต้ สปช. พ่อดาวดินยันลูกมาพบยูเอ็น-อียู ไม่ใช่ปั่นหัว ยันให้สิทธิลูกทำกิจกรรม

0
0

7 ก.ค. 2558 กรณี พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แถลงว่า ได้พูดคุยกับพ่อของ 1 ใน 14 นักศึกษา นักกิจกรรมกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ซึ่งเป็นคนจังหวัดสุรินทร์ พร้อมระบุว่า ผู้ปกครองของเด็กได้แสดงความเป็นห่วงลูกและทราบว่านักศึกษาได้เข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่มนี้ เมื่อเดือนก่อนโดยมีองค์กรต่างชาติที่ไม่หวังดีต่อประเทศมาติดต่อนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นให้เข้ากระบวนการเป็นเวลา 2 วันนั้น  

ความคืบหน้าล่าสุด ผู้ปกครองของหนึ่งในสมาชิกกลุ่มดาวดิน ซึ่งเป็นคนเดียวที่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดสุรินทร์ ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับ สปช.คนดังกล่าว ไม่เคยคุยด้วย แต่เคยพูดคุยกับสมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนหนึ่งที่จังหวัดสุรินทร์ แต่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ เขามาถามไถ่พูดคุยโดยปกติว่าเหตุการณ์เริ่มขึ้นอย่างไร จึงได้เล่าไปว่า ลูกชายมาทำกิจกรรมที่กรุงเทพฯ แต่ไม่เคยพูดว่า มาเข้าค่ายแล้วถูกล้างสมอง โดยในช่วงเวลา 2 วันที่ลูกชายลงมากรุงเทพฯ ได้เข้ามาพบเจ้หน้าที่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) และสหภาพยุโรป (อียู)  โดยตัวเขาเพิ่งทราบเรื่องการทำกิจกรรมของลูกชายเมื่อวันที่ลูกถูกจับกุมที่ขอนแก่น

พ่อของสมาชิกกลุ่มดาวดินคนดังกล่าว ระบุด้วยว่า โดยส่วนตัวพ่อไม่ได้ห้ามลูกชายทำกิจกรรม เป็นสิทธิของลูก และหลังจากลูกถูกจับกุมตัวก็ได้พูดคุยกับลูกแล้วซึ่งลูกชายยังคงยืนยันทำกิจกรรมต่อไป คงไม่สามารถห้ามอะไรได้ ปล่อยเป็นสิทธิของลูก

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กำลังพลสำรอง - นายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างในวันรับราชการทหารเจอลงโทษ

0
0

มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กำลังพลสำรอง กำหนดให้มี "คณะกรรมการกำลังพลสำรอง" ดูแลกิจการกำลังพลสำรอง หากมีการเรียกระดมพลเพื่อตรวจสอบ ฝึกทหาร ปฏิบัติราชการ แล้วหลีกเลี่ยงไม่มาให้รับโทษอาญา นายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างที่ต้องลามารับราชการทหาร ต้องรับโทษอาญา

ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (7 ก.ค.) คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กำลังพลสำรอง พ.ศ. .... โดยเนื้อหาสำคัญจะกำหนดให้มี "คณะกรรมการกำลังพลสำรอง" หรือ คกส. มีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ คกส. มีอำนาจเกี่ยวกับเสนอแนะนโยบายเกี่ยวกับกิจการกำลังพลสำรอง นอกจากนี้กำหนดให้กำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหารในการเรียกกำลังพลสำรองเพื่อตรวจสอบ ฝึกวิชาทหาร ปฏิบัติราชการ ทดลองความพรั่งพร้อม หากหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่เข้ารับราชการทหารต้องระวางโทษอาญา กำหนดสิทธิค่าตอบแทน สวัสดิการ ให้กับกำลังพลสำรอง นอกจากนี้ยังระบุว่า หากนายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นกำลังพลสำรองในวันลาเพื่อรับราชการทหารตามพระราชบัญญัติ จะมีอัตราโทษทางอาญาเช่นเดียวกับบทบัญญัติมาตรา 146 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน

โดยมีรายละเอียดดังนี้

เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง พ.ศ. ....

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง พ.ศ. ....ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ

1. กำหนดให้มีคณะกรรมการกำลังพลสำรอง เรียกโดยย่อว่า “คกส.” ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ โดย คกส. มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเสนอแนะนโยบายเกี่ยวกับกิจการกำลังพลสำรองและการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับกำลังพลสำรอง กำหนดแนวทางการปฏิบัติและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับกิจการกำลังพลสำรอง เสนอแนะแผนพัฒนากิจการกำลังพลสำรองและกำลังสำรองอื่น ๆ และเสนอแนะการกำหนดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้แก่กำลังพลสำรองและนายจ้างที่ให้ความร่วมมือสนับสนุนให้ลูกจ้างซึ่งเป็นกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหารตามพระราชบัญญัตินี้

2. กำหนดให้กรมการสรรพกำลังกลาโหม สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของ คกส. มีอำนาจหน้าที่วางแผนและประสานงานการดำเนินการของ คกส. รวบรวมเอกสารและข้อมูลตลอดจนส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ในกิจการกำลังพลสำรองเป็นศูนย์กลางการติดต่อประสานงานในการดำเนินงานทั้งปวงเกี่ยวกับกิจการกำลังพลสำรองหรือปฏิบัติการอื่นใดตามที่ คกส. มอบหมาย

3. กำลังพลสำรองมีหน้าที่ดังต่อไปนี้

3.1 เข้ารับราชการทหารในการเรียกกำลังพลสำรองเพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหาร เพื่อปฏิบัติราชการ หรือเพื่อทดลองความพรั่งพร้อม หากหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่เข้ารับราชการทหารต้องระวางโทษอาญา

3.2 กรณีที่มีการเปลี่ยนชื่อตัวหรือนามสกุล หรือแก้ไขเลขประจำตัวประชาชน ให้แจ้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไปยังหน่วยทหารที่ตนมีรายชื่อบรรจุอยู่ หากไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษอาญา

4. การเรียกกำลังพลสำรองและการระดมพล กำหนดให้อยู่ภายใต้ขอบเขตและวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ โดยได้นำหลักการการเรียกกำลังพลสำรองเพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหาร เพื่อทดลองความพรั่งพร้อม และการระดมพลมาจากข้อบังคับ กห. ว่าด้วยการเตรียมพล พ.ศ. 2515

5. กำลังพลสำรองมีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าอาหาร ค่าพาหนะ ค่าเช่าที่พัก การรักษาพยาบาล และสิทธิประโยชน์อื่น ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

6. นายจ้างซึ่งไม่จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นกำลังพลสำรองในวันลาเพื่อรับราชการทหารตามพระราชบัญญัตินี้โดยมีอัตราโทษทางอาญาเช่นเดียวกับบทบัญญัติมาตรา 146 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้ประสานงานสมัชชาคนจนเจอหมายเรียกผิด ม.116 หลังร่วมหนุน "ขบวนการประชาธิปไตยใหม่"

0
0

บารมี ชัยรัตน์ เผยได้รับหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาผิด ม.116 เจอ ผบ.กองพันทหารราบ ศูนย์การกำลังสำรอง ฟ้อง หลังไปร่วมชุมนุมกับ "ขบวนการประชาธิปไตยใหม่" เมื่อ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยต้องไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.สำราญราษฎร์ 10 ก.ค. นี้

บารมี ชัยรัตน์ แสดงหมายเรียกจาก สน.สำราญราษฎร์ ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 10 ก.ค. 2558 นี้ ในข้อกล่าวหาว่าสนับสนุน "ขบวนการประชาธิปไตยใหม่" (ที่มาของภาพ: เฟซบุ๊คของบารมี ชัยรัตน์)

8 ก.ค. 2558 - เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ออกหมายเรียก นายบารมี ชัยรัตน์ ผู้ประสานงานสมัชชาคนจน ข้อกล่าวหาว่า ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 "ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด มิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญฯ"

โดยข่าวการออกหมายเรียกนี้ นายบารมี เปิดเผยแก่ผู้สื่อข่าวเมื่อ 6 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า หมายเรียกดังกล่าวออกที่ สน.สำราญราษฎร์ ลงวันที่ 3 ก.ค. 2558 โดยส่งเป็นจดหมายทางไปรษณีย์มาที่บ้านพักของเขา โดยผู้กล่าวหาคือ พ.ท.พงศฤทธิ์ ภวังค์คะนันท์ ผบ.พัน.ร.ศสร. โดยต้องไปรายงานตัวกับ พ.ต.ท.มานิตย์ ทองขาว พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สน.สำราญราษฎร์ ในวันที่ 10 ก.ค. 2558 เวลา 09.00 น.

บารมี ซึ่งเป็นกรรมการบริหารของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า การออกหมายเรียกดังกล่าวถือเป็นการละเมิดและข่มขู่ เขากล่าวด้วยว่าเขาถูกแจ้งข้อกล่าวหาอาจมาจากการที่เขาสนับสนุน 14 นักศึกษา-นักกิจกรรม "ขบวนการประชาธิปไตยใหม่"

เขากล่าวว่า ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด นอกจากการแสดงออกตามสิทธิขั้นพื้นฐาน "ผมว่ารัฐบาลไม่มีความชอบธรรม และการกระทำเช่นนี้ก็เป็นสิ่งไม่มีเหตุผล เป็นการละเมิดเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องออกมาเคลื่อนไหว"

บารมีระบุว่า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. เขาไปร่วมกิจกรรมกับ 14 นักศึกษา-นักกิจกรรมด้วย เพื่อแสดงความสนับสนุน บารมีระบุด้วยการที่เจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกเช่นนี้ เป็นการใช้กฎหมายเพื่อใช้ดำเนินคดีประชาชนเช่นนี้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน "ประชาชนต้องออกมายืนข้างสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" บารมีกล่าว

ส่วนกรณีสมาชิก "ขบวนการประชาธิปไตยใหม่" ทั้ง 14 คนนั้น เมื่อวันที่ 7 ก.ค. หลังจากฝากขังครั้งแรกครบ 12 วัน ศาลทหารมีคำสั่งไม่รับคำร้องพนักงานสอบสวนเพื่อขอฝากขังต่ออีก 12 วัน (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)โดยผู้บังคับการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จะปล่อยตัวทั้ง 14 คน ในเวลา 06.00 น. วันที่ 8 ก.ค. นี้ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักศึกษาในยุโรปประท้วงหน้าสถานทูตไทยที่เวียนนา-เรียกร้องให้เคารพสิทธิมนุษยชน

0
0

"เครือข่ายนักศึกษาสิทธิมนุษยชนสากล" หรือ UHRSN ประท้วงหน้าสถานทูตไทยที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวและถอนฟ้อง 14 นักกิจกรรม รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลทหารของไทยเคารพหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน

เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา นักศึกษาซึ่งเป็นนักกิจกรรมต่างประเทศ ร่วมกับ เครือข่ายนักศึกษาสิทธิมนุษยชนสากล (Universal Human Rights Student Network - UHRSN) ซึ่งเป็นเครือข่ายนักศึกษาด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ประท้วงหน้าสถานทูตไทย ประจำกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัว รวมทั้งถอนข้อกล่าวหาต่อ 14 นักศึกษาและนักกิจกรรมชาวไทย

ในเว็บไซต์ของ UHRSNซึ่งรายงานข่าวการประท้วงนี้ ระบุว่า กิจกรรมที่หน้าสถานทูตไทยที่เวียนนา ยังมีการอ่านจดหมายของธิกานต์ ศรีนารา อาจารย์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งเขียนถึง ชลธิชา แจ้งเร็ว หนึ่งในนักศึกษาที่ถูกควบคุมตัว ว่าเธอได้รับแรงบันดาลใจด้านสังคมอย่างไร ภายหลังจากที่เริ่มสนใจเรื่องราวของคุณปู่คือ "สุพจน์ แจ้งเร็ว" ซึ่งเป็นนักเขียนคนสำคัญคนหนึ่ง

นอกจากนี้ผู้ประท้วงได้ตะโกนคำขวัญให้ยุติการตั้งข้อหา ปล่อยตัวนักศึกษาให้เป็นอิสระ และคำขวัญเรียกร้องประชาธิปไตย นอกจากนี้มีการอ่านแถลงการณ์ของนักเรียนไทยในยุโรปที่ต่อต้านรัฐประหาร นอกจากนี้ยังแสดงความสมานฉันท์จากนานาชาติด้วยการเขียนโพสต์อิทเพื่อแปะใน "กำแพงประชาธิปไตย" โดยเป็นการติดโพสต์อิทข้อความให้กำลังใจนักศึกษาในประเทศไทย นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้รัฐบาลทหารไทยเคารพหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชนด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปล่อย 14 นักกิจกรรม-นักศึกษาแล้ว

0
0

ปล่อยตัว 14 นักศึกษานักกิจกรรมแล้ว หลังศาลทหารไม่อนุมัติคำร้องฝากของพนักงานสอบสวน ลุ้นต่ออัยการศาลทหารส่งฟ้องหรือไม่ แม่ชลธิชา น.ศ.หญิงคนเดียวในกลุ่มเผย จนท.พาลูกไปส่งที่บ้าน ไม่ปล่อยหน้าเรือนจำ




ภาพจากช่างภาพอาสา

 

8 ก.ค. 2558 เวลา 05.20 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความของนักศึกษาและนักกิจกรรมทั้ง 14 คน มารอรับที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยระบุว่า ทั้ง 14 คนกำลังอยู่ระหว่างการทำเอกสารปล่อยตัว 

หน้าเรือนจำฯ มีครอบครัว เพื่อน และผู้สื่อข่าวมารอเป็นจำนวนมาก

เวลา 5.30 น. 13 นักศึกษา-นักกิจกรรมชายได้รับการปล่อยตัว ขณะที่ไม่พบ ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด นักศึกษาหญิงคนเดียวในกลุ่ม

ด้านรังสิมันต์ โรม นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มธ. แถลงว่า เรือนจำดูแลดี ไม่ถูกทำร้าย ยืนยันสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และการนำตัวพลเรือนขึ้นศาลทหารขาดความชอบธรรม พร้อมประกาศสู้ต่อ

ด้านรัฐพล ศุภโสภณ หรือบาส นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. ให้สัมภาษณ์พร้อมกับโอบกอด เรวดี สิทธิสุราษฎร์ ผู้เป็นแม่ โดยเขาระบุว่า ยังยืนยันสู้ด้วยหลักการของขบวนการประชาธิปไตยใหม่ 5 ข้อ พร้อมยืนยันว่ากลุ่มยึดหลักสันติวิธีและต้องรับฟังความเห็นต่าง

ลมูล แจ้งเร็ว แม่ของ ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด นักศึกษาคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่ได้ปล่อยตัวที่เรือนจำตามที่ได้นัดหมาย แต่ได้แยกนำตัวลูกเกดไปส่งที่บ้าน ตั้งแต่เวลา 5.00น. ขณะที่ครอบครัวได้มารอรับตัวที่เรือนจำ ทำให้ไม่ได้พบกัน และเมื่อแม่และทนายความได้ติดต่อให้นำตัวเธอมาส่งให้ครอบครัวที่เรือนจำ ก็ได้รับการปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่เรือนจำ

พะเยาว์ อัคฮาด หรือแม่ของกมนเกด อาสาพยาบาลที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯ ระหว่างเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 กล่าวว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่เป็นสิ่งไม่สมควร สิ่งที่ถูกควรจะเป็นการนำนักศึกษามาปล่อยตัวให้สาธารณะได้รับรู้พร้อมๆ กัน

หนึ่งชั่วโมงถัดมา ญาติของลูกเกดได้พาลูกเกดเดินทางมาพบกับกลุ่มเพื่อนที่หน้าเรือนจำอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ 14 นักศึกษานักกิจกรรม กลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ถูกควบคุมตัวตามหมายจับด้วยความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.และมาตรา 116 กฎหมายอาญา จากการทำกิจกรรมเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยถูกนำตัวไปที่ สน.พระราชวังในช่วงเย็นวันที่ 26 มิ.ย. จากนั้นถูกนำตัวส่งศาลทหารในเวลา 21.30 น. ก่อนจะเสร็จสิ้นกระบวนการในศาลทหาร เวลาประมาณ 00.30 น. (อ่านข่าวที่นี่)

ทั้งนี้ แม้จะไม่มีการฝากขังนักศึกษาและนักกิจกรรมทั้ง 14 คน แต่กระบวนการยุติธรรมยังคงดำเนินต่อไป เมื่อครบกำหนดหากอัยการทหารส่งฟ้องต่อศาลทหารก็ต้องมีการพิจารณาคดีตามที่ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกฟ้องในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง 3/2558 ที่ออกโดยมาตรา 44 และมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี

นอกจากนี้ ทั้ง 14 คนยังเป็นผู้ต้องหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. จากการทำกิจกรรมเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2558 แบ่งเป็นกลุ่มที่ทำกิจกรรมที่หน้าหอศิลป์ กรุงเทพฯ 7 คน (ไม่รวม นัชชชา กองอุดม และธัชพงศ์ แกดำ ถูกอัยการศาลทหารสั่งฟ้องไปก่อนหน้านี้) และกลุ่มดาวดินอีก 7 คนจากการชูป้ายผ้าที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จ.ขอนแก่น

ด้าน อนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มธ. และ ประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตัวแทนกลุ่มเครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยลูกศิษย์ที่ถูกคุมขัง แถลงเรียกร้อง คสช.ยุติการดำเนินคดีและคุกคามนักศึกษา ครอบครัว เพื่อน นักวิชาการและผู้เกี่ยวข้อง

เนื้อหามีดังนี้ 

0000

แถลงการณ์เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง
ฉบับที่  5
ขอบคุณประชาชนทุกฝ่าย

เนื่องจากศาลทหารได้มีคำสั่งยกคำร้องของพนักงานสอบสวน ที่ให้ฝากขังนักศึกษาทั้ง 14 คนอีกหนึ่งผลัด เป็นผลให้นักศึกษาทั้ง 14 คนได้รับการปล่อยตัว คณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ขอแสดงความขอบคุณต่อนักศึกษา นักคิด นักเขียน กวี นักแปล ศิลปิน นักเคลื่อนไหวองค์กรพัฒนาเอกชนและประชาชนจำนวนมากมายที่ให้การสนับสนุนแก่นักศึกษาทั้ง 14 คนและได้ร่วมกันเรียกร้องให้ปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข ปราศจากการผลักดันของท่านเหล่านี้แล้ว นักศึกษาทั้ง 14 คนก็คงจะต้องถูกคุมขัง สูญเสียอิสรภาพต่อไปอีก

ยิ่งกว่านั้น ประสบการณ์รูปธรรมที่เราได้พบจากการร่วมกันช่วยเหลือนักศึกษาในครั้งนี้ทำให้เราเล็งเห็นความเป็นไปได้ที่ พลังสังคมฝ่ายต่าง ๆ ที่อาจมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันจะก้าวข้ามความแตกต่างนั้นมาร่วมมือร่วมใจกัน บนพื้นฐานหลักการอันถูกต้องดีงามและฉันทามติในการปกป้องผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน  ปรากฏการณ์ อันทรงคุณค่าที่ไม่ค่อยได้พบเห็นในท่ามกลางความแตกต่างขัดแย้งทางการเมืองในระยะที่ผ่านมานี้น่าจะเป็นพื้นฐาน ให้สร้างเสริมการสัมพันธ์แลกเปลี่ยนและร่วมมือร่วมใจกันผลักดันสิ่งที่ถูกต้องดีงามเพื่อส่วนรวมต่อไปในภายหน้า

อย่างไรตาม เนื่องจากพนักงานสอบสวนยังคงไว้ซึ่งข้อกล่าวหาต่าง ๆ ทั้งในคดีนี้และคดีอื่นก่อนหน้า จึงยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีการนำเอาคดีการเมืองเหล่านี้ขึ้นมาดำเนินการกับนักศึกษาทั้ง 14 คนอีกเมื่อใดก็ได้ อีกทั้งยังอาจมีการคุกคามสวัสดิภาพของนักศึกษาด้วยวิธีการอื่นๆ อีก คณาจารย์จะยังคงรวมตัวกันในเครือข่ายเพื่อเฝ้าติดตามสวัสดิภาพของนักศึกษาต่อไป

พวกเราขอเรียกร้องให้ยุติการคุกคามนักกิจกรรมและเครือข่ายโดยเฉพาะการออกหมายเรียกตัวนายบารมี ชัยรัตน์และผู้จัดการสวนเงินมีมาในข้อหากระทำการขัดต่อความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นการกล่าวหาเกินจริงและเป็นการคุกคามในลักษณะหนึ่ง

นอกจากนั้น จนถึงบัดนี้ยังมีการคุกคามคณาจารย์ในต่างจังหวัดในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์ เข้าพบสอบถาม หรือกระทั่งขอนัดประชุมกับคณาจารย์ที่ร่วมลงชื่อและรณรงค์กับพวกเรา เครือข่ายคณาจารย์จึงขอย้ำว่า ให้ฝ่ายทหารและเจ้าหน้าที่อื่นๆ ยุติการกระทำดังกล่าวโดยทันที

คณาจารย์ขอยืนยันว่า เราเป็นเพียงอาจารย์ที่รวมตัวกันด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจในศิษย์ที่เคลื่อนไหวโดยเปิดเผย บริสุทธิ์ใจ และชอบธรรม ตามสิทธิเสรีภาพอันพึงมีและเรายินดีที่จะสื่อสารแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องระหว่างกันในเงื่อนไขที่เปิดเผย รับฟัง จริงใจ

ด้วยความเชื่อมั่นในสิทธิ เสรีภาพ และเสมอภาค
เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง
8 กรกฎาคม 2558

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผบ.ตร.กำชับตำรวจต้องแต่งเครื่องแบบขณะจับกุม-ตรวจค้น

0
0

เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในหนังสือ ที่ 0011.13/ว52 เรื่อง กำชับการแต่งเครื่องแบบของข้าราชการตำรวจในกรณีการใช้กำลัง ถึงทุกหน่วยในสังกัด ระบุว่าด้วยปรากฏว่ามีข้าราชการตำรวจบางรายปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้นหรือจับกุมโดยไม่ได้แต่งเครื่องแบบ ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือพบเห็นอาจเกิดเข้าใจผิดหรือเกิดเหตุกระทบกระทั่งกับข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวและนำไปสู่ปัญหาร้องเรียนซึ่งในการนี้ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้สั่งการให้แต่งเครื่องแบบในการใช้กำลังทุกกรณี ดังนั้น ให้ถือปฏิบัติดังนี้

1.กำชับข้าราชการตำรวจในสังกัดกรณีการใช้กำลังปฏิบัติหน้าที่เพื่อทำการตรวจค้นหรือจับกุมทุกกรณี ต้องแต่งเครื่องแบบให้ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยเครื่องแบบตำรวจ เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นหรือเร่งด่วนที่ต้องทำการตรวจค้นบุคคลหรือสถานที่หรือจับกุมบุคคลใด ซึ่งหากไม่ปฏิบัติทันที อาจจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ ถ้าเช่นนี้ไม่ต้องแต่งเครื่องแบบก็ได้ แต่ต้องแจ้งยศ ชื่อ ตำแหน่ง พร้อมทั้งแสดงบัตรประจำตัวให้เจ้าบ้านหรือผู้ครอบครองสถานที่หรือบุคคลที่ถูกตรวจค้นหรือถูกจับกุมนั้นทราบ     

2.หากมีข้าราชการตำรวจผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อ 1 ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาความบกพร่องตามควรแก่กรณีภายในอำนาจหน้าที่ และรายงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผ่าน ศปก.ตร.) ทราบต่อไป เพื่อทราบและถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุรเดช โชติอุดมพันธ์: ต้นกำเนิด และอิทธิพล วรรณกรรม ยู,ดิส-โทเปีย

0
0

สุรเดช บรรยาย ยูโทเปีย วรรณกรรมภาพฝันถึงสังคมอันดีงาม ทรงพลังต่อการเปลี่ยนแปลงโลกแห่งความจริง ส่วนดิสโทเปีย สะท้อนปัญหาของความสมบูรณ์ที่ต้องการการจัดการ ชี้ทั้งสองเกิดจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์

ภาพจาก Bacc

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2558 เวลา 13.00 น. หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (Bacc) จัดบรรยายเปิดค่ายวรรณกรรมสร้างสรรค์ครั้งที่ 4 ภายใต้หัวข้อ “วรรณกรรมดิสโทเปีย” โดยมีวิทยากรคือ สุรเดช โชติอุดมพันธ์ อาจารย์ภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าเรื่องต้นกำเนิดยูโทเปียและดิสโทเปีย - แนะนำนวนิยายน่าอ่าน โดยมีผู้ร่วมงานราว 70-80 คน

สุรเดชเริ่มต้นการบรรยายหัวข้อ “วรรณกรรมดิสโทเปีย” โดยอภิปรายถึงคำว่า ‘ยูโทเปีย’ (Utopia) ซึ่งเป็นชื่อหนังสือนิยายของ โทมัส มอร์ อธิบายถึงสังคมหรือโลกในอุดมคติที่ทุกคนในสังคมไม่มีทรัพย์สมบัติและทุกคนเท่าเทียม ยกตัวอย่างคือ ทุกคนทำอาชีพคล้ายๆกัน เช่น อาชีพงานไม้, ถลุงโลหะ, ก่อสร้าง ฯลฯ ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เรียบง่ายเหมือนๆกัน แต่อย่างไรก็ตาม สังคมอุดมคติในแบบของโทมัส มอร์ นั้น ก็ได้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นส่วนตัวที่ไม่พึงประสงค์ เพราะทุกๆคนต้องใช้ชีวิตในส่วนร่วม ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น

เช่นเดียวกับเนื้อหาในนวนิยายยูโทเปีย เดอะ นิว แอตแลนติส (The New Atlantis) ของฟรานซิส เบคอน ซึ่งเล่าถึงเกาะแห่งหนึ่งซึ่งเชื่อว่าเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศเปรู สถานที่ซึ่งจินตนาการถึงการศึกษาที่ดี ทุกคนมีศรัทธาในศาสนา เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ สุรเดชกล่าวว่า จากนิยายเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าฟรานซิส เบคอน เติบโตมาในช่วงศตวรรษที่17 ซึ่งเป็นช่วงเข้าสู่ยุคนีโอ คลาสสิค ทุกคนเริ่มเห็นความสำคัญของเหตุผลในการแก้ไขปัญหาต่างๆ และการสถาปนาขึ้นมาของความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์

สุรเดชกล่าวว่า ในแง่หนึ่ง เดอะ นิว แอตแลนติส ได้ทำให้ในโลกแห่งความจริง เช่น ในประเทศอังกฤษเปลี่ยนไป เพราะมีกลุ่มปัญญาชนเกิดขึ้น เช่นเดียวกับนวนิยายยูโทเปียของโทมัส มอร์ โดยจุดกำเนิดของยูโทเปียนั้น เกิดขึ้นมาในยุคแห่งวิทยาศาสตร์ที่มีความเชื่อมั่นในความก้าวหน้าทางวิทยาการและเหตุผลนิยม สังคมได้หลุดออกจากยุคกลางและยุคคลาสสิค ดังนั้นในแง่หนึ่ง ยูโทเปีย สามารถอธิบายโดยรากศัพท์ได้ว่า

ยู (U) อาจหมายถึงคำว่า ดี (Good) หรือ ไม่มี (No) ก็ได้

โทเปีย (Topia) หมายถึง สถานที่ (Place)

ภาพจาก Bacc

ดังนั้นจึงสามารถอธิบายยูโทเปียได้ 2 ความหมาย คือ สถานที่ที่ดี หรือ สถานที่ที่ไม่จริง ซึ่งยูโทเปีย มีนิยามคือการสร้างสรรค์โดยการใช้ภาษา การสร้างสรรค์ของชุมชนหรือสังคมของมนุษย์ที่ สถาบัน จารีต มนุษย์ ถูกจัดการหรือออกแบบให้สมบูรณ์แบบมากกว่าโลกความเป็นจริงของผู้เขียนเอง

สุรเดชกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามการเกิดขึ้นมาของยูโทเปีย ก็ทำให้เกิดความหมายตรงกันข้ามหลายคำ แต่คำที่มีการใช้มากที่สุดคือ ดิสโทเปีย (Dystopia) ซึ่งทำให้เราเห็นยูโทเปียที่ซ่อนนัยเชิงลบของความไม่เชื่อในโลกสมบูรณ์แบบ การพยายามควบคุมจัดการสิทธิเสรีภาพ หรือการจัดการที่มากเกินไป ซึ่งจะนำไปสู่มิติเชิงลบได้

ประเด็นที่น่าสนใจที่ทำให้เปลี่ยนจากยูโทเปียเป็นดิสโทเปีย สุรเดชกล่าวว่า มีประเด็นที่น่าสนใจคือ เกิดขึ้นจากวิทยาศาสตร์ สังเกตจากทั้งโทมัส มอร์ หรือ ฟรานซิส เบคอน เอง ทุกคนเชื่อในตรรกะทางวิทยาศาสตร์และมองวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือสำคัญที่นำสังคมไปสู่การก้าวหน้า แต่อย่างไรก็ตามใน ศตวรรษที่ 19 วิทยาศาสตร์ผลักดันให้เกิดปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งสะท้อนวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่เราเริ่มเห็นคือ วิทยาศาสตร์อาจจะไม่ได้ดีเสมอไป ด้านมืดที่แฝงอยู่ที่สำคัญคือ การใช้วิทยาศาสตร์สร้างอาวุธ ทำให้เกิดสงครามโลก หรือการใช้วิทยาศาสตร์ในการสร้างอาวุธในการล่าอาณานิคม เพื่อผลิตและนำผลสำเร็จกลับมาสู่ประเทศแม่ วิทยาศาสตร์ทำให้เกิดการครอบงำในหลายมิติของสังคมเช่นกัน ดิสโทเปียจึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นการเสียดสีสังคม และโต้กลับยูโทเปียซึ่งอธิบายถึงสังคมที่สมบูรณ์แบบ

สุรเดชได้แนะนำนิยายและภาพยนตร์ดิสโทเปียที่น่าสนใจ โดยกล่าวว่า ดิสโทเปียไม่ใช่แค่เรื่องราวของการที่รัฐครอบงำสังคมเพียงเท่านั้นตามความเข้าใจของคนทั่วไป แต่ยังมีอีกหลายบริบท ทั้งวิทยาศาสตร์, เพศ หรือการที่มีเสรีภาพมากเกินไป

ดิสโทเปียจากการเกิดขึ้นของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ภาพยนตร์ Metropolis, 1926 ของ Fritz Lang

ซึ่งเป็นภาพยนตร์ดิสโทเปียในยุคแรกๆ เล่าถึงเมืองแห่งหนึ่งซึ่งคนมีเงินอยู่บนดิน กรรมาชีพอยู่ใต้ดิน ซึ่งคอยทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้คนบนดินมีชีวิตที่มีความสุข วันหนึ่งมาเรีย ผู้หญิงจากใต้ดินได้ลุกขึ้นมารวมคนใต้ดินเพื่อต้องการต่อรองคนบนดินเพื่อที่จะทำให้พวกจนมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่คนด้านบนกลับไม่พอใจ สร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาปลอมเป็นมาเรียเพื่อก่อกวนโลกด้านล่าง

สุรเดชกล่าวว่า ดิสโทเปียในเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงมิติความกลัวเทคโนโลยี คนที่มีเทคโนโลยีจะสามารถควบคุมทุกอย่างได้

ภาพยนตร์ The Matrix โดย 2 พี่น้อง Wachowski ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในโลกดิสโทเปีย มนุษย์ทุกคนถูกให้กำเนิดและโอบอุ้มโดยรัง โดยถูกใส่โปรแกรมให้จินตนาการเห็นภาพความจริง สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเราประสบอยู่จริงหรือเราอยู่อีกโลกหนึ่งกันแน่

“มันมีความกลัวหรือความกังวลว่า เทคโนโลยีจะมาควบคุมเรา จนถึงระดับที่ว่าเรากลายเป็นทาสของเครื่องจักร”

“บางครั้งเราคิดว่าเราวบคุมมือถือของเรา แต่เราต้องมานั่งดูมันตลอดเวลา จริงๆ แล้วใครควบคุมใครกันแน่ ดิสโทเปียในที่นี้จึงเปิดในเห็นถึงมิตินี้ และเปิดให้เห็นถึงการต่อสู้หรือความกังวลให้ชัดขึ้น” สุรเดช กล่าว

ดิสโทเปียจากการวิพากษ์อำนาจเบ็ดเสร็จของรัฐเผด็จการ

Brave New World โดย Aldous Huxley เรื่องราวของโลกที่รัฐควบคุมการกำเนิดของแต่ละคน เมื่อเกิดขึ้นมา รัฐจะแบ่งกลุ่มเด็กเป็น 5 กลุ่ม 2 กลุ่มแรกจะเติบโตเป็นชนชั้นนำก็จะปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติ แต่ 3 กลุ่มหลังต้องทำงานพื้นฐาน ไม่ใช่พลเมืองในแง่สมอง รัฐจึงต้องฉีดสารตัวหนึ่งให้กับคนกลุ่มหลังนี้เพื่อสร้างความพึงพอใจต่อสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ ไม่ตั้งคำถามต่องานที่เขาทำ และไม่มีความคิดเชิงวิพากษ์ในโลกใบนี้ มีแต่เรื่องบันเทิงต่างๆเพื่อไม่ให้คนตั้งคำถาม เมื่ออายุ 60 ปีจะถึงอายุขัยที่ทุกคนต้องตายโดยที่ทุกคนจะไม่เสียใจ เพราะทุกคนไม่มีพันธะต่อใครและชีวิตมีแต่ความสุขมาตลอด เพราะรัฐควบคุมให้ทุกคนอยู่กันเป็นปัจเจกมาตลอด

1984 โดย จอร์จ ออร์เวล เล่าถึงโลกที่รัฐพยายามควบคุมเราในทุกเรื่อง ทั้งนอกร่างกายและในร่างกาย (ความคิด) รัฐสามารถทำให้เราหายไปจากประวัติศาสตร์ได้โดยการลบคนๆนี้ออกไป รัฐพยายามสร้างและควบคุมความจริงตลอดเวลา และมีการสอดส่องความคิด ซึ่งกระทำโดย Thought Police หรือ ตำรวจความคิด ซึ่งดูแลไปถึงความคิดนอกเหนือการกระทำของคนในสังคม หากใครคิดกบฏจะถูกส่งไปยังห้อง 101 แดนซึ่งลงโทษนักโทษทางความคิดอย่างรุนแรงที่สุด

ดิสโทเปียที่สังคม ‘ชายเป็นใหญ่’ ครอบงำคน

The Stepford Wive, 1972 โดย Ira Levin

เล่าเรื่องจินตนาการในโลกอนาคตซึ่งสามี-ภรรยาคู่หนึ่งย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองหนึ่ง ผู้หญิงทุกคนในเมืองเพอร์เฟ็กต์หมดเลย แต่จริงๆแล้วผู้หญิงทุกคนเป็นหุ่นยนต์ไม่ใช่มนุษย์ แต่ถูกผู้ชายไปซื้อหาบริการมา นางเอกในภายหลังจะถูกเปลี่ยนเป็นหุ่นยนต์แต่สุดท้ายก็หนีออกมาได้

The Handmaid’s Tale, 1985 โดย Margaret Atwood

นวนิยายวิพากษ์โลกอนาคตที่หน้าที่ของผู้ชาย-ผู้หญิงถูกแยกโดยสิ้นเชิง ในโลกที่ผู้ชายมีหน้าที่ปกครองและผู้หญิงให้กำเนิด เมื่อผู้หญิงบางคนไม่สามารถให้กำเนิดได้ ก็จึงต้องมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่ให้กำเนิดบุตรแทน

ดิสโทเปียจากจิตใจมนุษย์

Lord of the Files, 1954 โดย William Golding

เรื่องราวของเด็กกลุ่มหนึ่งซึ่งโดยสารเครื่องบิน ซึ่งได้ตกลงที่เกาะแห่งหนึ่ง เด็กๆจึงต้องอยู่ร่วมกัน จากที่เคยรักกัน นานวันเข้ากลับทะเลาะกันและลุกขึ้นมาสู้และเข่นฆ่ากัน

นวนิยายเรื่องนี้ผู้เขียนสะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์เป็นสัตว์กระหายสงคราม มนุษย์มีแรงกระตุ้นในการทำความรุนแรงต่างๆมากมาย แม้กระทั่งการฆ่ากันเอง ในตอนท้ายแม้ว่าจะมีคนมาช่วยเด็กๆเอาไว้ได้ แต่ความบริสุทธิ์ของเด็กๆก็ได้ถูกทำลายไปเนื่องจากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดคำแถลงของครอบครัว 2 เหยื่อคดีเกาะเต่า เมื่อการพิจารณาคดีจะเริ่มขึ้น

0
0

8 ก.ค.2558 บีบีซีไทย - BBC Thaiรายงานว่า ศาลจังหวัดเกาะสมุยจะเริ่มพิจารณาคดีที่ ซอ ลิน และ วิน ซอ ตัน แรงานชาวเมียนมาร์ ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีข่มขืนและฆาตกรรม ฮันนาห์ วิทเธอริดจ์ วัย 23 ปี และฆาตกรรม เดวิด มิลเลอร์ วัย 24 ปี ทั้งสองเป็นนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่ถูกฆาตกรรมที่เกาะเต่า เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว

การสืบสวนสอบสวนจนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองได้รับความสนใจและเสียงวิพากษ์วิจารณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่เกรงว่าผู้ต้องหาทั้งสองอาจตกเป็นแพะรับบาป ซอ ลิน และวิน ซอ ตัน ซึ่งเคยยอมรับสารภาพในเบื้องต้นได้ขอถอนคำรับสารภาพ ขณะที่ทนายความที่ว่าความให้ระบุว่าลูกความถูกทำร้ายร่างกายให้ยอมรับสารภาพ

เรื่องของรูปคดีและความโปร่งใสในการสืบสวนเป็นประเด็นที่อังกฤษจับตา โดยหลังเกิดเหตุได้ไม่นานกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ ได้เรียก ณัฐวัฒน์ กฤษณามระ อุปทูตประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน ไปให้ข้อมูลขณะที่เดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นอกรอบการประชุมเอเชีย-ยุโรป ที่เมืองมิลาน เป็นผลให้ตำรวจนครบาลอังกฤษ ส่งผู้แทนไปร่วมสังเกตการณ์การสืบสวนสอบสวนด้วย

บีบีซีไทย รายงานด้วยว่า เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ธนู เอกโชติ เลขานุการคณะทำงานคดีเกาะเต่า สภาทนายความ ได้เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า คณะทนายความของผู้ต้องหา ได้ยื่นคำร้องขอพยานหลักฐานจากการตรวจดีเอ็นเอ ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจได้ตรวจไปแล้ว นำมาตรวจซ้ำ และส่งให้ พญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ดำเนินการ

“เราตั้งประเด็นขอพิสูจน์ความจริง ถ้าผลตรวจทางนิติเวชพบตรงกัน ถ้าเป็นเขาสองคนเป็นผู้กระทำ เราก็บอกว่าต้องว่าตามข้อเท็จจริง เราไม่ได้จะช่วยให้ลูกความหลุด” ธนู กล่าว

คาดว่าการพิจารณาคดีจะใช้เวลาประมาณ 18 วัน ในระหว่างเดือนก.ค.-กันยายนนี้ และคาดว่าศาลจะพิพากษาในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

เปิดคำแถลงครอบครัว 2 เหยื่อเกาะเต่า : 

 

คำแถลงในนามของครอบครัวของฮันนาห์ วิทเธอร์ริดจ์

ซึ่งถูกฆาตกรรมอย่างอนาถ พร้อมกับเดวิด มิลเลอร์ ที่เกาะเต่า ประเทศไทย เมื่อเดือนกันยายน 2557  

เราได้เดินทางไปยังเกาะสมุยเพื่อรับฟังการเริ่มพิจารณาคดีฆาตกรรมอันโหดร้ายของฮันนาห์ผู้น่ารักของเราและเดวิด มิลเลอร์ เรายืนหยัดร่วมกับครอบครัวของเดวิดท่ามกลางความโศกเศร้า และปรารถนาที่จะได้รับความเป็นส่วนตัวในระหว่างการพิจารณาคดีนี้

ฮันนาห์ เป็นผู้ที่มีความสวยงามทั้งภายในและภายนอก เธอนำความมีชีวิตชีวามาให้คนรอบข้าง เธอเป็นคนสนุกสนาน ซื่อสัตย์และรักชีวิต อนาคตที่สดใสของเธอต้องสิ้นสุดลงอย่างไร้ความปราณีทิ้งให้ ผู้ที่รักเธอใจสลายอย่างปราศจากความกระจ่าง เราขอให้สื่อมวลชนให้เกียรติฮันนาห์ในการรายงานข่าว การพิจารณาคดีนี้ การคาดคะเน ข่าวลือ และทฤษฎีต่างๆ นั้นสร้างความเจ็บปวดอย่างยิ่งแก่ครอบครัว ของเราและเพื่อนๆ ของฮันนาห์ และยังทาให้ช่วงเวลาที่เราไม่คาดฝัน นี้ผ่านไปได้อย่างยากลาบากยิ่งขึ้น

เราขอให้เจ้าหน้าที่ตารวจและศาลได้ทาหน้าที่อย่างเต็มที่ในช่วงเวลาข้างหน้า และแน่นอนว่า เราอยากเห็นฆาตกรที่พรากฮันนาห์สุดที่รักของเราไปอย่างโหดเหี้ยมถูกนาตัวมาดำเนินคดีในชั้นศาล

คำแถลงในนามของครอบครัว เดวิด มิลเลอร์

เราได้เดินทางไปยังเกาะสมุยเพื่อรับฟังการเริ่มพิจารณาคดีฆาตกรรมอันโหดร้ายของเดวิด มิลเลอร์ ซึ่งเป็นลูกชายและพี่ชายอันเป็นที่รักของเรา และฮันนาห์ วิทเธอร์ริดจ์

เหตุการณ์ที่พรากชีวิตของเดวิดไปได้นาความโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวงมายังครอบครัวของเรา และเพื่อนๆ ของเดวิด เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เดวิดจะเสียชีวิต เขายังได้พูดคุยกับเราด้วยความกระตือรือร้นเหมือนเช่นเคย เดวิดได้บรรยายถึงความสวยงามของเกาะเต่าและความเป็นมิตรของคนไทย ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความกระจ่างว่าเหตุการณ์ที่ทาให้ ชายหนุ่มผู้แสนดีคนหนึ่งถึงต้องมาจบชีวิตลงอย่างน่ากลัวในสภาพแวดล้อมที่งดงามและสงบสุขเช่นนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร

ความเจ็บปวดนี้จะคงเป็นส่วนหนึ่งของเราตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราเก็บงำความคิดไว้อย่างเงียบๆเพราะไม่อยากให้มันมีผลต่อการพิจารณาคดีใดๆ ของศาล แต่เราต้องการที่จะเห็นความยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างเปิดเผย ขอให้สื่อมวลชนกรุณาให้เกียรติเดวิด และฮันนาห์ในการรายงานข่าวการพิจารณาคดีนี้ และกรุณาเคารพความเป็นส่วนตัวของเราในขณะที่เราต้องต่อสู้กับอารมณ์และความรู้สึกในช่วงสัปดาห์ ที่ยากลำบากข้างหน้านี้

สุดท้ายนี้ เราขอขอบคุณเพื่อนของเดวิดทุกคนและครอบครัวของเราที่ได้ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอดตั้งแต่การกระทาที่ไร้ซึ่งความคิดได้พรากชีวิตของเดวิดไปจากพวกเรา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: บทกวีไม่ดี

0
0

                           

มันเป็นบทกวีไม่ดีเลย

ก่อนเขียนผมอยากให้มันดีที่สุด ขณะเขียนก็คิดว่ามันดีที่สุด

และหากเขียนเสร็จ ผมหวังให้มันเป็นบทกวีที่ดีที่สุด

 

เพื่อนเอ๋ย (ไม่มีเพื่อน จึงคิดว่ามีเพื่อน)

บาดแผลที่ลิ้นเลียอยู่เช้าค่ำ

ตั้งแต่วันนั้นกระทั่งวันนี้

นับเป็นศตวรรษ

อย่าว่าแต่หายเพื่อคลายสู่แผลเป็น

แค่แห้งสักระยะลมเป่าก็ยังยากไร้

 

เพื่อนเอ๋ย (อย่างที่บอก ไม่มีเพื่อน จึงคิดว่ามีเพื่อน แสนเฝื่อนขม)

แผลนี้ ไม่มีเวลากลัดหนอง

เพราะลิ้นเจ้าของกวาดกลืนลงท้องทุกเช้าค่ำ

ไม่ใช่เพื่อดับกระหายหรือคลายหิว

มิใช่เพื่อความสะใจหรืออาการเก็บกด

หากคือมือเยียวยา

 

เพื่อนเอ๋ย (เพื่อนเอ๋ย)

เปิดตาที่เคยบอดและเคยถูกทำให้บอด

เงี่ยหูที่เคยหนวกและเคยถูกทำให้หนวก

สูดลมเข้าปอดให้ลึกยาว

ตั้งลิ้นให้มั่นแล้วเปิดปากปล่อยความรู้สึกนึกคิด

ออกมา

ใช่แล้ว บางเพื่อนอาจเลือกกระทำ

บางเพื่อนอาจถูกกระทำ

รู้ตัวและไม่รู้ตัว สมยอมและจำยอม

 

เพื่อนเอ๋ย

หากลำบาก ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อน

เพียงเพื่อนๆ ล้วนธุลี

เพื่อนเป็นอย่างเพื่อนไม่ได้ไม่เป็นไร

ขอเพียงเข้าใจและต่อไปอย่าทำร้าย

คนจนคือคนจน

ไม่ใช่ตัวอะไรที่ไม่พัฒนา

คือเพื่อนที่ทุกคนต้องเป็นเพื่อน

เป็นเพื่อนที่เป็นคนเหมือนเพื่อนๆ

 

เห็นหัวและฟังเสียง สุมหัวร่วมร้องเพลง

ธุลีไม่ใช่คน คนจึงไม่ใช่ธุลี

แต่คนยังเป็นธุลี เป็นธุลีวันยังค่ำ

บาดแผลร้อยฝนจึงไม่มีวันแห้ง ไม่มีวันกลัดหนอง

ด้วยลิ้นเลียทุกเช้าค่ำ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภราดรภาพดาวดินเป็นเพียงจุดเล็กๆ ของประชาธิปไตยเท่านั้น

0
0

เป็นเรื่องน่ายินดีที่การเคลื่อนไหวของนักศึกษาผู้เปี่ยมด้วยอุดมการณ์นำเราไปสู่ภาพพจน์อันอุดมคติของคำขวัญแห่งประชาธิปไตย อย่าง “ภราดรภาพ” (Fraternity) กระนั้นก็ดี การก่อรูปของภราดรภาพดาวดิน (The Fraternity of Dao-Din) เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสำนึกที่ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของพลเมือง” เพราะในขณะนี้ รัฑไทยยังถูกปกครองด้วยแนวคิดที่มีสารัตถะไม่ใช่ประชาธิปไตย แม้จะสะกดด้วยรูปสัญญะ “ประชาธิปไตย” มาเนิ่นนานอย่างน้อย 83 ปี โดยที่ไม่ต้องนึกไกลไปถึงความเป็นเทวสิทธิ์อย่างที่มักถูกใช้เป็นเครื่องมือ ภราดรภาพดาวดินและบรรดาผู้ที่ฝันถึงประชาธิปไตยค่อยๆทราบแล้วว่า ใครเป็นใครในโลกแห่งการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย ซึ่งความทุกข์ยากลำบากต่างๆที่ได้รับ การต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว จะต้องไม่ถูก “สัตว์การเมือง” (Political Animal) ฉกฉวยผลประโยชน์ด้านความนิยมตามสูตรของนักเลือกตั้งระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน เหตุว่า ภราดรภาพดาวดินได้พิสูจน์แล้วว่า “ความเป็นเพื่อน” ก็ย่อมนำไปสู่สำนึกแบบประชาธิปไตยได้ และความเป็นเพื่อนช่วยเราทุกคนให้เป็น “สิ่งมีชีวิตทางการเมือง” (Political Being) ผู้ตระหนักรู้ในสิทธิของความเป็นคน ความมีเลือดเนื้อ มีพ่อแม่ ครอบครัว และมิตรสหาย ภายใต้รัฐที่ไม่ใช่รัฑ [1][2]

ชัยชนะที่ภราดรภาพดาวดินได้รับหรือจะได้รับ ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของกาลเวลา หากแต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น “ใหม่” ซึ่งถ้าเรามีความคิดเรื่องประชาธิปไตย “ใหม่” เราก็ควรจะทำให้การต่อสู้แห่งภราดรภาพดาวดินเป็นอะไรที่ใหม่ กล่าวคือ เป็นความสดใหม่ที่ไม่ซ้ำรอยประวัติศาสตร์อันพลาดพลั้งของนักศึกษาผู้ฝันถึงประชาธิปไตยในรุ่นก่อนหน้า และถ้าปรารถนาจะเห็นชัยชนะอย่างถาวรแห่งอำนาจอธิปไตยของปวงชน (Sovereignty) ภราดรภาพแห่งดาวดินน่าจะต้องพิจารณาดังต่อไปนี้คือ

1.ไปไกลกว่าความเป็นเพื่อนดาวดิน แต่ผู้ฝันถึงประชาธิปไตยทุกคน คือ ดาวดิน (#Je suis Dao Din)

จะทำอย่างไรให้ผู้ฝันถึงประชาธิปไตยหรืออ้างว่าฝันถึงก็ตาม เป็น “ดาวดิน”? จะทำอย่างไรให้ “ดาวดิน” เลยจากความเป็นกลุ่มนักศึกษาเล็กๆ แต่เป็นวาทกรรมแห่งอุดมการณ์ประชาธิปไตยใหม่ จะทำอย่างไรให้ผู้คนเหล่านั้น เข้าใจว่าประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องของอำนาจ(เสียงข้างมาก)นิยม เพราะประชาธิปไตย แม้จะตัดสินนโยบายด้วยการลงมติของเสียงข้างมาก แต่ในขณะหนึ่งก็พยายามรับฟังด้วยท่าทีที่เปิดกว้าง รอบคอบต่อความคิดเห็นของเสียงข้างน้อย นั่นหมายถึง ประชาธิปไตยคุ้มครองสิทธิของเสียงข้างน้อยในทุกระดับ ดังนั้น สำเนียงแบบอนุรักษนิยมย่อมได้รับความคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกันภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตยด้วย โดยทฤษฎีแล้ว ผู้มีสำนึกประชาธิปไตยถูกเชื่อมโยงเข้ากับความเป็นอารยะ ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า ท่าทีแบบอำนาจนิยมมีแนวโน้มสูงกว่าที่จะลุแก่อำนาจและกระทำอย่างอนารยะ จึงกลายเป็นว่า “ผู้รักประชาธิปไตย” ต้องเป็นแบบอย่างของสิ่งที่เรียกว่า สันติวิธี หรือแม้กระทั่งเรื่องของอารยะขัดขืน

ในที่นี้ “ดาวดิน” เป็นเสียงข้างน้อย แม้จะนับภราดรภาพดาวดินแล้วก็ตาม ก็ยังนับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับทหารทั้งกองทัพ หรือผู้ฝักใฝ่อำนาจนิยม ดังนั้น จะตีให้ตรงประเด็นอย่างไร? เพื่อปลุกสำนึกของพวกเขาเหล่านั้น จะโน้มน้าวให้เขาเห็นด้วยกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างไร? จะทำอย่างไรให้เราไปไกลกว่าพวกอำนาจนิยมที่หมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองและอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง และถ้าหนึ่งในพวกเราก้าวไม่ข้ามประเด็นนี้ สักวันหนึ่งจะมีอดีตสมาชิกดาวดินฝักใฝ่อำนาจนิยมอย่างที่หลายคนเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ได้

2.สถาปนาวาทกรรมประชาธิปไตยเพื่อเบียดแทรกวาทกรรมอำนาจนิยม

ที่ว่า “คนเท่ากัน” หรือ “หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง” เป็นวาทกรรมที่สะท้อนภาพพจน์อันอุดมคติของคำขวัญแห่งประชาธิปไตยอย่าง “ความเสมอภาค” (Equality) ได้ดีในแง่ปรากฎการณ์ ซึ่งวาทกรรมกลุ่มนี้สร้างผลตอบรับหรือปลุกประชาชนให้ตื่นจากหลับใหลได้ดีประมาณหนึ่ง ทว่า การจะขจัดหรือทำให้ “อำนาจนิยม” หมดสภาพไปโดยปริยายนั้น นักวิชาการต่างทราบดีว่าอาจทำได้หลายวิธี คำถามอยู่ที่ “วิธีการใดเหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย” แน่นอนที่สุด วิธีการบางอย่างใช้ได้ผลกับนานาอารยประเทศ เช่น การยั่วล้อ หรือทำให้อำนาจที่เข้มข้นกลายเป็นเรื่องตลก แต่นั่นก็มิได้รับประกันว่าจะใช้ได้ผลในประเทศไทย และ/หรือ ประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดตะวันออกด้วย ตัวอย่างเรียบง่ายเช่น วิถีคิดแบบตะวันตกมักใส่ใจเรื่องที่มาของอำนาจ เช่น การจัดจำแนกระบอบการปกครองตามที่มาของอำนาจ แต่วิถีคิดแบบตะวันออกนั้น ให้น้ำหนักกับการใช้อำนาจเมื่อได้รับมามากกว่า เห็นได้ชัดในรัฑไทยว่า เสียงสนับสนุนอำนาจนิยมพยายามสถาปนาวาทกรรมที่ว่า “แม้ที่มาจะไม่ถูกต้อง แต่ก็ปกครองด้วยคุณธรรมจริยธรรม” ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า อำนาจของวาทกรรมที่ยืนอยู่บนวิถีคิดตะวันออกนั้นทรงพลังมากพอที่จะไม่ทำให้ชนชั้นต่างๆ ลุกขึ้นมาทำอะไรต่อมิอะไรอย่างที่ประวัติศาสตร์ต่างประเทศเป็น ดังนั้น โจทย์ของประชาธิปไตยจึงมีว่า จะชี้ให้เห็นความบกพร่องเรื่องคุณธรรมอย่างไร? ซึ่งคำว่าคุณธรรมในที่นี้ ไม่ใช่เรื่องการโจมตีส่วนตัว (Ad hominem) แบบที่ฝ่ายอำนาจนิยมพลาดพลั้งทำกับดาวดิน แต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์แห่งปวงชน เช่น การทำเหมืองซึ่งดาวดินเองได้เคลื่อนไหว, การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน/นิวเคลียร์, การปกปิดซ่อนเร้นเรื่องระบบการจัดการพลังงานของรัฐ, การใช้งบประมาณที่ขัดแย้งกับสภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

 เพราะประชาธิปไตยเป็นอำนาจของปวงชน สำคัญว่า พลเมืองต้องมีส่วนร่วมในประเด็นสำคัญเหล่านี้ จุดยืนที่ร่วมกันแบบนี้ อาจช่วยให้ได้แนวร่วมแห่งประชาธิปไตย ซึ่งการสถาปนาวาทกรรมที่ตรงจุดและสอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยจะทำให้การเบียดแทรกเป็นไปได้ง่ายขึ้น

3.สลายความเป็นอื่นด้วยชั้นเชิงทางการทูตทางอ้อมและต่อยอดไปสู่การสานเสวนา

อย่าประเมินชั้นเชิงทางการทูตโดยอ้อมต่ำไป ในวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ช่วงสงครามเย็น หลายปัญหาแก้ได้จากวงสนทนาแบบวงเหล้า เพราะในวงเหล้าอาศัยว่ามีเหล้าเป็นศูนย์กลางทำให้เราได้สลายความเป็นอื่น (other & Other) ดังนั้น ชั้นเชิงทางการทูตแบบนี้เป็นสิ่งที่อุดมการณ์ประชาธิปไตยมิได้ละเลย เพราะความไม่เป็นทางการ ความถือว่าเป็นญาติมิตรพี่น้องกัน ช่วยทำให้ “อำนาจนิยม” เกิดขึ้นได้ยาก กลับกัน ความนิยมในอะไรก็ตามที่เป็นทางการ, เป็นพิธีการ ช่วยส่งเสริม “อำนาจนิยม” ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และความเป็นมิตรนี้เข้ากับวัฒนธรรมของคนไทย อาจเรียกได้ว่า อยู่ในสายเลือดก็ว่าได้ ถ้าพิจารณาจากเหตุการณ์รุนแรงในประวัติศาสตร์ทางการเมือง จะพบว่า ผู้มีอำนาจสั่งการโดยเฉพาะผู้สั่งให้ประหารหรือปราบปรามมักเป็นบุคคลที่ถูกรายล้อมด้วยข้อมูลผิดๆ เสียจนไม่อาจจะสวมบทบาทอย่างไม่เป็นทางการได้ ดังนั้น การที่จะสลายความเป็นอื่น หรือที่เรียกกันว่า “ปรองดองสมานฉันท์” ควรเริ่มจาก “ความกล้าหาญของท่านผู้นำ” ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในระดับใด เพราะว่าสำหรับคนไทยนั้น “ทุกอย่างคุยกันได้” และสภาพอำนาจนิยมที่เป็นอยู่ในรัฑไทยนี้ เชื่อว่าผู้นำมีความกล้าหาญพอและมีความเป็นกันเองมากพอที่จะเข้ามาพูดคุยกัน “แบบไม่เป็นทางการ”  เช่น ทำไมลุงจะคุยกับหลานไม่ได้? แล้วทำไมเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องทำตัวเหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้ญาติขาดมิตร นั่นไม่จริง เพราะทุกคนล้วนมีเลือดเนื้อ เข้าใจภาษาคน เพียงแต่อาจมีบางคนที่แฝงตัวอย่างหวาดกลัวด้วยอาการทางจิต ซึ่งคนเหล่านี้อันตรายต่อทุกฝ่าย โดยที่เราไม่ต้องชี้เป้าเลยว่าคนเหล่านี้เป็นใคร เพราะในทุกองค์การมันจะมี “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” สร้างปัญหาอยู่เสมอ และทุกคนทุกฝ่ายก็มีความใฝ่ฝันเดียวกันไม่ใช่หรือ คือการทำให้คนเหล่านี้เลิกก่อปัญหา

สุดท้าย ในเมื่อเราหวังไม่ได้กับพวกนักสานเสวนา (Dialogue) หรือพวกสันติวิธีเชิงวิชามาร [3]  หรือพวกนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนที่มักปล่อยให้การละเมิดเกิดขึ้นก่อนเสมอ เราควรสร้างวิถีแห่งการสานเสวนาขึ้นมาเอง พัฒนารูปแบบที่เฉพาะอันเหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย เพื่อกระตุ้นและเชิญชวนให้เกิดแนวร่วมในอุดมการณ์ประชาธิปไตย และเมื่อพูดแบบนี้ เราอาจต้องทิ้งภาพไฮปาร์ค เฮทสปีช (Hate Speech) หรือลีลาแบบดุเด็ดเผ็ดมันเอาไว้ก่อน แต่ก็ไม่ต้องถึงกับโลกสวย อ่อนหวาน เป็นที่น่าสังเกต ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เรานิยมขับเคลื่อนมวลชนด้วย Hate Speech คำถามอยู่ที่ว่า มันประสบความสำเร็จบ้างหรือไม่ คำตอบคือไม่ เพราะในปี 2015 นี้เอง เรากำลังอยู่ในระบอบอำนาจนิยมเข้มข้น การเคลื่อนไหวในอดีตไม่ได้ทำให้มันอ่อนแอลงเลย ซ้ำร้าย หลายคนแปรพักตร์ไปเข้ากับพวกอำนาจนิยมแล้วด้วยจนเป็นเรื่องน่าขันขื่น หากเราไม่เลิกที่จะทำแบบเดิมๆ ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นผลแบบเดิมๆ ซึ่งทำให้การสร้างประชาธิปไตยใหม่เป็นเรื่องไร้สาระ เลิกพูดไปได้เลย เพราะมันจะถูกลดทอนเป็นเพียงคำปราศรัยของคนที่โกรธแค้นเท่านั้น เราต้องเห็นว่า คำปราศัยแบบนี้ ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสสอนเราว่า มันต้องแลกมาด้วยอะไรบ้างหลังจากนั้น

4.พลังเงียบแห่งฉันทามติเพื่อการหยุดยั้งอำนาจนิยมแบบสมบูรณ์

ถ้าเราคือดาวดิน และเราคิดว่าเราเป็นอย่างนั้น เราควรนึกถึงความเป็นดาว นั่นคือ ดวงดาวทั้งหลายย่อมส่องแสงระยิบระยับในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด กล่าวคือ ยิ่งมืดมิดเท่าไรเราก็ยิ่งจะพบว่า มีดวงดาวอยู่เต็มฟ้า ซึ่งถ้าเราเป็นดาวดินก็อุ่นใจเถิดว่า เรามีเพื่อนอยู่มากมาย และถ้าเปรียบอำนาจนิยมเป็นความมืด ช่วงเวลาที่อำนาจนิยมรุ่งเรืองที่สุด ก็เป็นช่วงเวลาที่ฟ้าค่อยๆมืดขึ้นเรื่อยๆจนถึงที่สุดเช่นกัน เวลานั้นเองที่เราจะเห็นดาวเต็มฟ้า แต่เมื่อครั้นอำนาจนิยมเสื่อมลงเพราะทำลายตัวมันเองแล้ว ดวงดาวเหล่านั้นก็ค่อยๆจางหายไปจากการสังเกต ซึ่งที่แท้ ดวงดาวก็มิได้หายไป หากแต่ยังคงอยู่ที่เดิมเสมอ เราคือกันและกัน ก็ย่อมอยู่เคียงข้างกันเสมอ เหมือนเช่นอุดมการณ์แห่งประชาธิปไตยที่ไม่เคยแปรเปลี่ยน

ดาวดินก็เช่นนั้น เป็นแสงสว่างแห่งธาตุดิน เป็นแสงสว่างของมนุษยธรรมในจิตใจมนุษย์ เวลานี้แสงสว่างของภราดรภาพดาวดินร้องเรียกกันและกันท่ามกลางความมืดมิดของเหตุการณ์ ขอให้มองออกไปกว้างๆ มองข้ามความมืดมนของจิตใจแห่งอำนาจนิยม เราจะเห็นแสงระยิบระยับของดาวดินดวงเดียวกัน ผุดพรายสว่างไสวอบอุ่น เป็นพลังเงียบแห่งฉันทามติที่จะหยุดยั้งอำนาจนิยมแบบสมบูรณ์ ภาพเช่นนี้เป็นภาพอุดมคติเช่นเดียวกับคำขวัญแห่งประชาธิปไตยที่ว่า “เสรีภาพ, เสมอภาพ, ภราดรภาพ” (Liberté, Égalité, Fraternité ) และอำนาจอธิปไตยจะเป็นคืนกลับสู่มือของปวงประชาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับดาวแต่ดวงที่จะก้าวข้ามเรื่องส่วนตัวและผลักดันเรื่องส่วนรวมให้สำเร็จไปตามบทบาทและหน้าที่ของตน  ไม่เช่นนั้น มันอาจคืนกลับสู่มือนักเลือกตั้งที่หากินอยู่บนเลือดเนื้อและน้ำตาของเรา หรือไม่ก็คืนกลับไปสู่นักกิจกรรมที่อยากได้อำนาจ หรือไม่ก็คืนกลับไปสู่อำนาจนิยมแบบเข้ม ที่ดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆตลอดมาในประวัติศาสตร์

ในเมื่อพันธกิจนี้สำคัญ ก็จงอย่าปล่อยให้ความมืดเข้าท้าทายแสงสว่างแห่งดาวดิน อย่าปล่อยให้ความโกรธแค้น ความชิงชัง ความเกลียด เข้าครอบงำดวงดาวแห่งความสว่าง จงทำจิตใจให้ร่าเริง  (Do you hear people sing?)  จงผลักดันอำนาจนิยมซึ่งคือความมืดออกไปจากจิตใจของปวงประชา เพราะที่สุดแล้ว เผด็จการ ก็คือคนเช่นเดียวกับเรา เขาจะได้รับผลตอบแทนในราคาที่เขาจ่าย แม้ว่าจะยากลำบากเพียงใด ดาวดินทุกคนต้องจำไว้ว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะยั่วยุเพียงใด ไม่ว่าสงครามจิตวิทยาจะเข้มข้นแค่ไหน ถ้าเราตกอยู่ในความโกรธแค้น ความชิงชัง และความเกลียด เราก็คือเผด็จการคนใหม่ เราคืออำนาจนิยม และเราจะไม่ได้มอบประชาธิปไตยคืนกลับให้ปวงประชา อย่างที่เราไม่เคยได้รับมาตลอด 83 ปี ถ้าไม่เชื่อจงดู อดีตนักศึกษา อดีตปัญญาชน ที่เคยเรียกร้องประชาธิปไตยสิ พวกเขาหมดแสงสว่างในตัวเองไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่มีใครรู้

เชิงอรรถ
[1] “รัฐศาสตร์ 101” สู่ “รัฑศาสตร์ 010”

[2] ถอดเล่น “ประชาธิปไตย” ในรัฑโรแมนติก

[3] คนไทยกับสันติวิธีเชิงวิชามาร

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 57980 articles
Browse latest View live