Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 58138 articles
Browse latest View live

คนทำงาน กรกฎาคม 2558


ครม.ทุ่มงบ 600 ล้านบาทให้บอร์ด สปสช.ดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงหนึ่งแสนคนเริ่ม 1 ต.ค. 58

$
0
0

ทุ่มงบ 600 ล้านบาทให้บอร์ด สปสช.ใช้ดูแลผู้สูงอายุเป็นครั้งแรก รองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เน้นดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงกว่าแสนคนในปีแรก เริ่ม 1 ต.ค.58 ภายใน 3 ปี ขยายให้ครบล้านคน

 

ครม.ทุ่มงบ 600 ล้านบาทให้บอร์ด สปสช.ใช้ดูแลผู้สูงอายุเป็นครั้งแรก รองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เน้นดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงกว่าแสนคนในปีแรก เริ่ม 1 ต.ค.58 ภายใน 3 ปี ขยายให้ครบล้านคน ด้านบอร์ด สปสช.เห็นชอบหลักเกณฑ์บริหารงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี 59 รวมขยายสิทธิคลอดไม่จำกัดจำนวนครั้ง เพิ่มวัคซีนป้องกันโปลิโอแบบฉีด เพิ่มป้องกันติดเชื้อเอชไอวีร่วมกับกรมควบคุมโรค และเพิ่มการดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง พร้อมอนุมัติเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐเพื่อจ่ายช่วยเหลือบุคลากรสาธารณสุขที่ได้รับความเสียหายต่อเนื่องจากระบบที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2558 ณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่อง ข้อเสนองบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2559 และ ผลการหารือร่วมระหว่าง สธ.และ สปสช.การจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้บุคลากรสาธารณสุขที่ได้รับความเสียหาย

ศ.นพ.รัชตะ กล่าวว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการฯ วันนี้เห็นชอบข้อเสนอหลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี 2559 ซึ่งจะเป็นปีแรกที่จะเปิดงานการดูแลผู้สูงอายุเป็นครั้งแรกเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณจำนวน 600 ล้านบาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ซึ่งในปี 2559 นี้ ที่จะเริ่มเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 นั้น จะเน้นการดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงกว่าแสนคน ภายใน 3 ปีจะขยายให้ครบประมาณล้านคน เป็นการสนับสนุนงบให้สถานพยาบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง

นอกจากนั้นยังได้มีการขยายสิทธิการคลอดโดยไม่จำกัดจำนวนครั้งด้วย และเพิ่มการให้วัคซีน IPV หรือวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด จากเดิมที่มีสิทธิประโยชน์วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทานเท่านั้น แต่ทั้งนี้วัคซีน IPV นั้นต้องได้รับการบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติก่อน รวมทั้งเพิ่มขอบเขตบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะดำเนินการร่วมกับกรมควบคุมโรค เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผู้ติดเชื้อรายใหม่

“สำหรับผลหารือระหว่าง สธ.และ สปสช.เพื่อหาแหล่งงบประมาณในการช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหาย หลังจากมีข้อสรุปว่าไม่สามารถใช้เงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาจ่ายได้นั้น คณะกรรมการฯ เห็นชอบตามข้อเสนอที่ให้ใช้เงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐที่องค์การเภสัชกรรมสนับสนุนไปก่อน ซึ่งเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเรื่องนี้คณะกรรมการฯ เห็นตรงกันว่าการจ่ายเงินดังกล่าวให้บุคลากรสาธารณสุขมีความจำเป็นและส่งผลให้เกิดการบริการและความเข้าใจที่ดีภายในระบบสาธารณสุข แต่เมื่อมีข้อสรุปว่าผิดวัตถุประสงค์ ก็ใช้เงินจากแหล่งอื่นมาทดแทนไปก่อน เพื่อไม่ให้บุคลากรสาธารณสุขได้รับความเสียหาย รวมถึงกรณีเจ้าหน้าที่ รพ.บ้านใหม่ไชยพจน์ ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุขณะนำส่งผู้ป่วยก็จะได้รับการช่วยเหลือจากงบประมาณตรงนี้ด้วย” ศ.นพ.รัชตะกล่าว

ด้าน นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รักษาราชการแทนเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2559  รัฐบาลให้ความสำคัญกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างมาก โดยจัดงบเหมารายหัว 3,028.94 บาทต่อประชากร จากประชากรทั้งหมด 48.7 ล้านคน รวมเป็นเงิน 147,772 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 2558 กว่าร้อยละ 6 ในจำนวนนี้เป็นเงินเดือนภาครัฐขั้นปกติ 40,143 ล้านบาท คงเป็นเงินกองทุน 107,629 ล้านบาท ที่จะให้บริการประชาชน 48.7 ล้านคน ซึ่งงบเหมาจ่ายรายหัวแบ่งเป็น 8 รายการ ได้แก่ ผู้ป่วยนอก 1,103.92 บาท ผู้ป่วยใน 1,060.14 บาท กรณีเฉพาะ 305.29 บาท สร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค 398.60 บาท ฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการแพทย์ 16.13 บาท แพทย์แผนไทย 10.77 บาท บริการทางการแพทย์ที่เบิกจ่ายในลักษณะงบลงทุน 128.69 บาท และเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 กันไว้จำนวน 5.40 บาท

ขณะที่ค่าบริการอื่นๆ นอกเหนือจากงบเหมาจ่ายรายหัว มีดังนี้

          1.ค่าบริการสุขภาพผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ รวมป้องกันการติดเชื้อ 3,011.9010 ล้านบาท

          2.ค่าบริการสุขภาพผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 6,318.0990 ล้านบาท

          3.ค่าบริการควบคุมป้องกันความรุนแรงของโรคเรื้อรัง เบาหวาน/ความดันโลหิตสูง และปี 59 รวมจิตเวชเรื้อรังในชุมชนด้วย 959 ล้านบาท

          4.ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับสถานพยาบาลในพื้นที่กันดาร เสี่ยงภัย และ 3 จังหวัดชายแดนใต้ รวมกรณี 3,000 อัตราของ สธ.ด้วย 1,490.2875 ล้านบาท

          5.ค่าตอบแทนกำลังคนสาธารณสุขของ สธ. 3,000 ล้านบาท

          6.ค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 600 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีแรกที่จะมีการดำเนินการในเรื่องนี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐศาสตร์ ม.อุบลฯ ตั้งศูนย์รับแจ้งปัญหารับน้อง ประกาศ นศ.ปี1 ไม่ใช่น้องใหม่แต่เป็นเพื่อนใหม่

$
0
0

เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา ปฐวี โชติอนันต์ อาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งเป็น 1 ในกรรมการคณะที่ควบคุมกิจกรรมรับน้อง โพสต์ ประกาศคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี  เรื่องการรับน้อง ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Patawee Chotanan’ ในลักษณะสาธารณะ โดยระบุว่า

1. สิทธิต่างๆ ของนักศึกษาเกิดจากการลงทะเบียนเรียนไม่ใช่จากการเข้าห้องเชียร์

2. การยอมรับระบบรับน้องที่ริดรอนสิทธิคือการเพิกเฉยต่อการปกป้องสิทธิของตนเอง

3. ไม่ควรเคารพผู้ที่ใช้อำนาจกดขี่บังคับผู้อื่นในสถานศึกษา

4. อย่าเคารพคนที่สถานะ แต่ให้เคารพคนที่ความคิดและเหตุผล

5. นักศึกษาปี1 ไม่ใช่น้องใหม่ แต่เป็นเพื่อนใหม่ที่เข้ามาร่วม ฝึกฝนการใช้สติ ปัญญาในรั้วมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

6. มิตรภาพที่ยั่งยืน ไม่ได้เกิดจากการกดขี่ บังคับ ข่มขู่ ให้เข้าห้องเชียร์

7. นักศึกษาที่ถูกบังคับ หรือ มีปัญหาใดๆ ขอให้ติดต่อ ปรึกษา หรือขอความช่วยเหลือจากคณะรัฐศาสตร์ได้ ตลอดเวลา

ล่าสุด 3 ส.ค. ปฐวี ได้โพสต์ระบุถึงสถานที่ตั้งของศูนย์รับเรื่อง ปัญหาการรับน้อง ของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อยู่ที่ ห้องสำนักงาน 1 คณะรัฐศาสตร์ พร้อมระบุว่า นักศึกษาปี 1 ท่านใดมีปัญหาเรื่องการรับน้องสามารถมาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ได้ตลอดเวลา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พิจารณาจากถ้อยแถลงสุเทพ: รัฐบาล คสช. ต้องปฏิรูปแบบไหน-ถึงจะพอใจและให้เลือกตั้ง

$
0
0

แม้น้ำเสียงในการแถลงของสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ ยังให้โอกาส คสช. จนกว่าจะปฏิรูปแล้วเสร็จ แต่ก็ต้องเป็นการปฏิรูปที่ กปปส. เคยเสนอไว้ นั่นคือ "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" 6 ประเด็น รวมทั้งข้อเสนอกำจัดระบอบทักษิณ 

การแถลงข่าวเปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2558

3 ก.ค. 2558 - จากการแถลงข่าวของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2558 ที่ผ่านมา (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) แม้น้ำเสียงในการแถลง ยังคงให้โอกาสรัฐบาล คสช. ทำงานจนกว่าจะปฏิรูปแล้วเสร็จ แต่ก็มีเงื่อนไขว่าเป็นการปฏิรูปตามแนวทางที่ กปปส. เคยเสนอไว้ จึงจะถือเป็นการปฏิรูปที่เป็นที่ยอมรับเพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้งครั้งต่อไป หากมิเช่นนั้น ทางกลุ่มของเขาก็เห็นว่าจะให้เวลากับรัฐบาลในการปฏิรูปไปจนลุล่วงตามข้อเสนอ โดยปราศจากกรอบเวลา

ระหว่างนี้ หากมีอะไรที่ไม่เข้ารูปเข้ารอยที่ทาง “มวลมหาประชาชน” เห็นว่าควรท้วงติง ก็จะมีการออกมาแสดงความเห็น “อย่างสุภาพเรียบร้อย” และจะไม่มีการยึดสถานที่สำคัญๆ

ลองมาพิจารณากันดูว่า การปฏิรูปตามแนวทางที่กลุ่มของมูลนิธิมวลมหาประชาชนเห็นว่ารอได้อย่างไม่มีเงื่อนเวลา คืออะไรกันบ้าง

 

ข้อเสนอ "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" 6 ด้าน และการสึกมาทวงปฏิรูปของสุเทพ เทือกสุบรรณ

สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และผู้สนับสนุน ขณะเดินขบวน 9 สาย ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2556 (ที่มา: ประชาไท/แฟ้มภาพ)

 

ข้อเสนอของสุเทพ "ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ป็นประมุขอย่างแท้จริง" สู่ "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง"

นับตั้งแต่ชุมนุมต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวันที่ 31 ต.ค. 2556 นั้น ในเวลาต่อมา สุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งลาออกจาก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นแกนนำการชุมนุมต้านนิรโทษกรรมในเวลานั้น ได้เริ่มยกระดับข้อเสนอปฏิรูปการเมือง โดยในการนัดชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2556 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สุเทพกล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่าจะหยุดเคลื่อนไหวต่อเมื่อระบอบทักษิณหมดสิ้นไป "จะได้สร้างประเทศไทยสำหรับลูกหลาน เปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นประเทศที่ปกครองด้วย 'ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง' ไม่ให้พวกทรราชย์ นายทุนสามานอาศัยคราบประชาธิปไตยมากดขี่ เราจะต้องร่วมกัน สร้างเกราะ สร้างกติกา ไม่ให้ประเทศไทย เป็นประเทศของนักทุจริต คอรัปชั่นอีกต่อไปแล้ว เราจะต้องร่วมกัน กำหนดกฎเกณฑ์กติกาให้เสียงของประชาชน อธิปไตยของประชาชนเป็นจริง และทุกคนต้องฟังประชาชน" (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

โดยก่อนที่สุเทพจะประกาศบนเวทีใหญ่ถึงเป้าหมาย ก่อนหน้านั้น 1 วัน ในวันที่ 23 พ.ย. สุเทพได้กล่าวบนเวทีชุมนุมของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. ซึ่งเป็นแนวร่วมหนึ่งของการชุมนุม โดยสุเทพระบุข้อเรียกร้อง 2 ข้อ คือ 1.ขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซากพ้นแผ่นดินไทย และ 2.เปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นประเทศไทยที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่สมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามสุเทพกล่าวผิดไปว่า "ระบอบพระมหากษัตริย์ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง" (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ถือว่าสุเทพในเวลานั้นกล่าวถึงเงื่อนไขทางการเมืองที่ต้องกำจัดระบอบทักษิณ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศที่ปกครองด้วย “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติรย์เป็นประมุขที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น” โดยที่ยังไม่ลงรายละเอียดว่าจะปฏิรูปด้านใดบ้าง

 

ริเริ่มข้อเสนอปฏิรูป 6 ข้อ เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2556

จนกระทั่งอีก 2 วันต่อมา ในวันที่ 26 พ.ย. 2556 สุเทพ ได้ปราศรัยที่กระทรวงการคลัง โดยเขาย้ำถึงเงื่อนไขทางการเมืองว่า “จะต้องขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยให้จงได้” แล้วจะสร้าง "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง" โดยสุเทพเสนอว่า ถ้าขจัดระบอบทักษิณซึ่งเขาระบุว่า “ที่เป็นพิษเป็นภัย” แล้วจะทำอะไร คำตอบคือต้องร่วมกันคิด เปลี่ยนแปลงประเทศไทย โดยเขาเสนอการปฏิรูป 6 ข้อ ได้แก่

หนึ่ง ต้องให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ให้คนชั่วเข้ามา

สอง เปลี่ยนแปลงประเทศไทยไม่ให้ทุจริต คอร์รัปชั่นจนชาติวิบัติเสียหาย ต้องขจัดคอร์รัปชั่นให้ได้ โดยเสนอให้คดีทุจริตคอร์รัปชั่นไม่มีอายุความ

สาม มีบทบัญญัติให้ประชาชนมีอำนาจในการเมืองการปกครอง เช่น ประชาชนต้องสามารถถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ถ้ากระทำความผิด รวมทั้งมีอำนาจถอดถอน ส.ส. ได้ โดยต้องมีกระบวนการรับรองอำนาจประชาชนเอาไว้ และกระบวนการถอดถอนใช้เวลาไม่ยืดยาวต้องเห็นผลภายในระะเวลา 5 เดือนถึง 6 เดือน

สี่ ปฏิรูปโครงสร้างตำรวจให้โครงสร้างตำรวจอยู่ภายใต้ผู้ว่าราชการจังหวัด

ห้า ออกแบบกติกาให้ข้าราชการอยู่ในระบบคุณธรรม ไม่ใช่ระบบอุปถัมภ์

หก นโยบายด้านการศึกษา สังคม สาธารณสุข คมนาคมขนส่ง ต้องทำเป็นวาระแห่งชาติ ไม่ใช่นโยบายประชานิยม โดยถือว่าไม่ว่ารัฐบาลชุดใดก็ต้องทำ รวมทั้งนโยบายเรื่องของคนจนต้องเป็นวาระแห่งชาติ

สุเทพย้ำว่าจะใช้กลไก "สภาประชาชน" เพื่อขับเคลื่อนข้อเสนอการปฏิรูปที่ว่ามา โดยเขากล่าวด้วยว่า "ที่กล่าวมานั้น เพื่อตอบคนที่คนตั้งข้อรังเกียจคนที่จะร่วมต่อสู้ ถ้าจะขจัดระบอบทักษิณออกไป เราจะปฏิรูปประเทศไทยอย่างไร"

"แล้วถามว่าใครจะเป็นคนทำถ้าระบอบทักษิณหมดไป ผมตอบเลย คนทำคือประชาชน ถ้าเราขจัดระบอบทักษิณหมดไป อยู่ที่เราจัดตั้งสภาประชาชนมาจากคนทุกสาขาอาชีพ แล้วสภาประชาชนจะเลือกคนดีมาเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สร้างดรีมทีม คณะรัฐมนตรีในฝัน มีรัฐบาลประชาชน" สุเทพอธิบาย (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ทั้งนี้แกนนำได้ยกระดับขบวนผู้ชุมนุมไปสู่ "คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" หรือ กปปส. เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2556 มีการเปิดตัวแกนนำระหว่างชุมนุมยืดเยื้อที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ โดยมีสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการ กปปส. เขากล่าวติดตลกหลังจากแนะนำชื่อขบวนใหม่ว่า "ชื่อยาวหน่อย แต่ความหมายชัดเจน ชื่อย่อๆ ว่า กปปส." และกล่าวด้วยว่า "จะเป็นองค์กรกำหนดแนวทางตัดสินใจต่อสู้กับระบอบทักษิณ จัดการให้ระบอบนี้พ้นจากประเทศไทยให้ได้"

"เมื่อเราจัดการระบอบทักษิณเสร็จเรียบร้อย เราจะได้เริ่มเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยด้วยมือของประชาชน ให้ประเทศเราได้ก้าวไปข้างหน้า อย่างประเทศที่มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ไม่มีทุนสามานย์ ไม่มีทุจริต ไม่มีข้าราชการขี้ข้า เป็นรัฐบาลโดยประชาชนแท้จริงเท่านั้น" (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

 

ย้ำ "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" หลังยิ่งลักษณ์ยุบสภา พร้อมชูข้อเสนอปฏิรูป 6 ข้อ

ทั้งนี้เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2556 ต่อมาในวันที่ 13 ธ.ค. 2556 สุเทพ ระบุว่าจะไม่ไปเลือกตั้ง โดยเป็นครั้งแรกที่เขาเสนอให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง "เราต้องการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปประเทศไทย ให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน แล้วจึงไปเลือกตั้งกับเขา"

สุเทพมีข้อเสนอให้แก้ไขกฎหมายการเลือกตั้งและพรรคการเมือง โดยเขากล่าวว่า ถ้าต้องการให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ แสดงออกถึงความต้องการของประชาชน เลือกคนดีไปทำหน้าที่แทนตัวเองจริงๆ จะต้องมีการดำเนินการประกอบด้วย หนึ่ง แก้กฎหมายเลือกตั้ง กำหนดว่าการซื้อสิทธิขายเสียง ทั้งคนซื้อ คนขาย ผิดกฎหมายทั้งนั้น นักการเมืองที่ซื้อเสียงนอกจากถูกตัดสิทธิทางการเมืองแล้ว ต้องมีโทษจำคุก สอง ปฏิรูปพรรคการเมือง มีกฎหมายพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง เพื่อไม่ให้คนๆ เดียวชี้ขาดในพรรคการเมือง สาม มีการหยั่งเสียงประชาชนในเขตเลือกตั้งเพื่อเลือกผู้สมัครของพรรค แทนการกำหนดโดยแกนนำพรรค สี่ ต้องแก้กฎหมายการเงินของพรรค เพื่อไม่ให้มีเศรษฐีมาซื้อพรรคการเมือง (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

โดยสุเทพและแกนนำ กปปส. ยังย้ำแนวทาง "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" ในการประชุมการปฏิรูปของ กปปส. ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2556 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ข้อเสนอการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งของสุเทพ ยังถูกย้ำอีกครั้งในการปราศรัยเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2556 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยเขาได้เรียบเรียงและจัดประเด็นการปฏิรูปออกเป็น 6 เรื่อง ได้แก่

หนึ่ง กระบวนการเลือกตั้ง ต้องทำให้กระบวนการเลือกตั้งเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม เป็นที่มาของ ส.ส. และรัฐบาล ดีๆ โดยกระบวนการเลือกตั้ง ครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และจะให้สภาประชาชนไปช่วยกันคิด

สอง การป้องกันปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น แก้กฎหมายเกี่ยวกับการคอรัปชั่นทั้งกระบวนการ ให้คนไทยเป็นโจทก์ฟ้องคดีทุจริตได้ โดยไม่ต้องรอตำรวจ หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ คดีต้องไม่มีวันหมดอายุความ

สาม ระบอบประชาธิปไตย อำนาจต้องไม่อยู่ในมือนักการเมือง แต่ต้องยึดโยงกับอำนาจประชาชน เช่น ให้ประชาชนมีอำนาจในการตรวจสอบควบคุมข้าราชการและนักการเมืองมากขึ้น กฎหมายที่เขียนไว้ให้ประชาชนลงชื่อถอดถอนนักการเมืองนั้น และแก้กฎหมายกำหนดให้กระบวนการถอดถอนนักการเมืองให้จบได้ภายใน 6 เดือนหรือ 1 ปี

สี่ ข้อเสนอกระจายอำนาจ โดยสุเทพใช้คำว่า "คืนอำนาจให้ประชาชน" โดยระบุว่าอำนาจปกครองบ้านเมืองหลายอย่างที่รวบไว้ที่รัฐบาลกลาง กรุงเทพฯ คณะรัฐมนตรี ต้องคืนให้ประชาชนต่างจังหวัด ให้ประชาชนทุกจังหวัดเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดจะได้มีความรับผิดชอบ และพัฒนาจังหวัด งบประมาณจังหวัดก็ไม่ต้องรวมในส่วนกลาง

ห้า แก้ไขความเหลื่อมล้ำในสังคม การดูแลคนจนต้องเป็นวาระแห่งชาติ ให้มีโอกาสประกอบอาชีพ ได้รับการรักษาพยาบาล ได้รับการศึกษา และต้องยกเลิกนโยบายประชานิยมเด็ดขาด

หก ปรับโครงสร้างตำรวจ ตำรวจต้องอยู่ภายใต้การควบคุมโดยคณะกรรมการตำรวจที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

โดยสุเทพกำหนดระยะเวลาการปฏิรูปไว้ 1 ปี ไม่เกินปีครึ่ง แล้วจึงกำหนดให้มีการเลือกตั้ง โดยเสนอให้นายกรัฐมนตรี และ ครม. ในเวลานั้น ลาออกจากรักษาการ เพื่อเปิดโอกาสให้คนกลางเป็นคณะรัฐมนตรี เพื่อตั้งสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย "ปีเดียว ไม่เกินปีครึ่ง กลับไปเลือกตั้งเหมือน่เดิม" สุเทพย้ำ

 

หลังประกาศกฎอัยการศึก ย้ำปฏิรูปก่อนเลือกตั้งกับ พล.อ.ประยุทธ์ 1 วันก่อนรัฐประหาร

โดยการชุมนุมของ กปปส. ซึ่งยืดเยื้อมานับตั้งแต่หลังยุบสภา เพื่อต่อต้านการเลือกตั้ง 2 ก.พ. กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญประกาศให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ กระทั่งในเดือนพฤษภาคม สุเทพยังคงย้ำแนวทางปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ในระหว่างนำมวลชน กปปส. ถวายสัตยาธิษฐานต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ท้องสนามหลวง เนื่องในฉัตรมงคลเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2557 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)โดยตอนหนึ่งสุเทพนำกล่าวว่า

"พวกข้าพเจ้ามวลมหาประชาชนจะร่วมกันต่อสู้กับโจรแผ่นดิน จะร่วมกันขจัดระบอบทักษิณและทรราช เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ โดยตั้งใจมั่นแน่วแน่ไม่ท้อถอย ไม่ลดละ จนกว่าขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไป และปฏิรูปประเทศไทยก่อนการเลือกตั้ง ด้วยสัตยาธิษฐานนี้แม้การต่อสู้กับโจรแผ่นดิน จะใช้เวลาเพียงใด พวกข้าพเจ้าจะไม่ยกเลิกไม่ย่อท้อ จนการลุล่วงเป็นที่เรียบร้อย..."

ต่อมาหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในเวลานั้น ได้ประกาศกฎอัยการศึก ตั้งแต่เวลา 03.00 น. เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2557 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)และเสนอให้มีการเจรจาของฝ่ายการเมืองหลายฝ่ายที่สโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2557 โดยมีการเชิญตัวแทนฝ่ายรัฐบาล ตัวแทนฝ่ายคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตัวแทนฝ่ายวุฒิสมาชิก ตัวแทนฝ่ายพรรคเพื่อไทย ตัวแทนฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ ตัวแทนฝ่าย กปปส. และตัวแทนฝ่าย นปช.

ในที่ประชุมสุเทพระบุถึงข้อเสนอต่อที่ประชุมให้มีรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็ม 100% ไม่มีฝ่ายการเมืองในรัฐบาลชุดที่จะตั้งขึ้นมา และให้รีบปฏิรูปประเทศ

"หนึ่ง ต้องมีนายกรัฐมนตรี ที่มีอำนาจเต็มมาแก้ไขปัญหาของประชาชน เช่น ปัญหาของชาวนา เป็นต้น และจะต้องแก้ไขปัญหาอื่นของประเทศ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่จะรุนแรงขึ้น จำเป็นต้องมีรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็ม 100%"

"ข้อสอง ผมเสนอว่าเมื่อได้นายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ต้องตั้งคณะรัฐมนตรีที่ไม่มีฝ่ายการเมือง ไม่มีนักการเมืองอยู่เลยแม้แต่คนเดียว"

"ข้อสาม นายกรัฐมนตรี และ ครม. ต้องรีบปฏิรูปประเทศตามเจตนารมณ์ของประชาชน ผมเรียนต่อที่ประชุมว่า อย่าเอาข้อกฎหมายมาโต้เถียงกับผม อย่าเอารัฐธรรมนูญมาตรานั้นมาโต้เถียงกับผม ผมพูดในภาพรวม ว่าถ้าทุกคนเห็นด้วยก็มาช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรถึงจะได้นายกรัฐมนตรี ได้คณะรัฐมนตรีที่ไม่เป็นนักการเมืองแล้วรีบปฏิรูปประเทศไทย" (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้การบ้านสำคัญไปให้ทุกฝ่ายไปหารือ ได้แก่ หนึ่ง การทำประชามติ จะเลือกตั้งก่อน หรือปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง สอง การตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง โดยยึดกรอบกฎหมายสามารถทำได้หรือไม่ สาม การตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล โดยวุฒิสภา สี่ ให้ กปปส. กับ นปช. ยุติการชุมนุม โดยให้ทุกฝ่ายกลับมาให้หารือกันอีกครั้งในเวลา 14.00 น. วันที่ 22 พ.ค. 2557

อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่ผลการเจรจาจะบรรลุผล พล.อ.ประยุทธ์ ก็ประกาศยึดอำนาจ ทำรัฐประหารกลางที่ประชุม ในวันที่ 22 พ.ค. 2557 จนกระทั่งเวลาผ่านไป หลังจากสุเทพไปบวชที่ จ.สุราษฎร์ธานี นานนับปี และสึกออกมาทวงความคืบหน้าการปฏิรูปก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่ผ่านมา  (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

"เราต้องการเห็นรัฐบาลนี้ปฏิรูปให้สำเร็จ ไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่" และถ้าเมื่อไหร่ที่เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ทำไปในแนวทางที่ถูกต้อง ก็จะแสดงความเห็นอย่างเรียบร้อย สุเทพย้ำ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญงดประชุม 3-4 ส.ค. เพื่อให้ กมธ. ไปประชุม สปช.

$
0
0

กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ งดการประชุมวันที่ 3 และ 4 ส.ค. เพื่อเปิดทางให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ควบสมาชิกสภาปฏิรูปเข้าร่วมประชุม สปช. และจะกลับมาประชุมอีกครั้ง 5-7 ส.ค. คาดจะทวน รธน. ครบทุกมาตรา 14 ส.ค.

4 ส.ค. 2558 - สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายงานว่า พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า วันที่ 3 ส.ค. และ 4 ส.ค. ไม่มีการประชุมกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ที่เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปต้องเข้าร่วมประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ และจะประชุมอีกครั้งวันที่ 5 ถึง 7 ส.ค. เพื่อพิจารณาบันทึกเจตนารมณ์ตั้งแต่มาตรา 86 - 285

ส่วนสัปดาห์ต่อไป จะนำประเด็นที่มีข้อท้วงติงเรื่องที่มา ส.ว. และที่มาจำนวนของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปและการปรองดอง มาพิจารณาเพื่อหาข้อสรุปให้เสร็จภายในวันที่ 10-11 ส.ค. จากนั้นจะทบทวนเป็นรายมาตรารอบสุดท้ายให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 14 ส.ค. นี้

พล.อ.เลิศรัตน์ ยังกล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เสนอให้มีการปฏิรูปฯ ให้เสร็จสิ้นก่อนจัดการเลือกตั้ง ซึ่งสมาชิกสภาปฏิรูปฯ หลายคนเห็นด้วย รวมถึงประเด็นที่นำมาเปิดเผยว่า มีความพยายามให้รับร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การเลือกตั้งเร็วขึ้น ว่า ทั้ง 2 ประเด็นเป็นเรื่องเก่าที่นำมาพูดใหม่ จึงขอให้กลับไปดูรายละเอียดรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ซึ่งมีกรอบให้ดำเนินการแล้วทั้งสิ้น จึงอยากให้ปฏิบัติตามกรอบที่วางไว้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปฏิรูปสงฆ์ไทยผ่านประสบการณ์ดูสังเวชนียสถาน

$
0
0

 


ผมไปสังเวชนียสถานมา 2 ครั้งแล้วครับ เมื่อปี 2552 และ 2554 แต่ยังไม่เคยบวช หลายท่านบอกว่าไปบวชในที่เหล่านี้คงได้กุศลแรง แต่ผมก็ไม่สู้จะเห็นด้วย เพราะน่าจะอยู่ที่ใจมากกว่า และไม่คิดว่าเราจะพึงยึดติดอะไรมากมายปานนั้น การไปบวชหรือจาริกแสวงบุญยังสังเวชนียสถานนี้ ต้องใช้เงินทองไม่น้อย ค่าจีวรใหม่อะไรก็คงเป็นเงินพอสมควร ผมแทบไม่เคยเห็นพระรูปไหน ทั้งบวชใหม่บวชเก่าที่ห่มจีวรเก่าคร่ำคร่าเลย แต่ก็คงไม่ต้องถึงขนาดใช้ผ้าบังสุกุลในสมัยเริ่มแรก เพราะต่อมาพระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้รับผ้าจากฆราวาสได้

ผมเห็นคนไปบวช โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว ต่างก็นุ่งผ้าหรือเสื้อหนาวกันหลายชั้น จีวรก็ห่มไว้เป็นพิธีมากกว่าจะอาศัยผ้า 3 ผืนตามบัญญัติของพระพุทธเจ้า บ้างก็ยังมีถุงเท้า ถุงน่อง หมวก ถุงมือ ในข้อนี้บางท่านก็อาจอ้างว่า ตนยังไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับความหนาวเหน็บประมาณ 12 องศาได้ แต่ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่ง หากเราตั้งใจมาบวชเพื่อสละกิเลสบนแผ่นดินที่พระพุทธเจ้าเคยเผยแพร่ศาสนา ไหนเลยจะย่อท้อต่ออุปสรรคเพียงเท่านั้น แต่คงเป็นเพราะเรามาบวชเพื่อหวังบุญกุศล ก็เลยไม่คิดจะละกิเลสต่างหาก

ว่ากันว่าในเมืองไทยของเรา พระสงฆ์กำลังเดินสวนทางกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบวชเพื่อละจากความเป็นพระราชาผู้มีทรัพย์ศฤงคารมหาศาล มาสู่ความเป็นยาจก หรือสละทุกอย่าง ไม่รังเกียจกระทั่งจัณฑาล แต่พระสงฆ์ไทยหรืออาจจะพระสงฆ์ในประเทศอื่นในปัจจุบันนี้เช่นกันที่พอได้บวช ก็เท่ากับละจากความเป็นยาจก กลายมาเป็นผู้มีฐานะในสังคม เป็นเศรษฐี พอบวชเสร็จก็ได้รับการถวายปัจจัย หรือกระทั่งไปเรี่ยไร ร่ำรวยกันไปมากมาย ยิ่งถูกกราบไหว้มาก ๆ เข้า ก็อาจเป็นบ้าไปได้เพราะหลงว่าตนมีอำนาจ วิเศษ กลายเป็นเทพเทวดาที่อยู่เหนือหัวชาวบ้านไป

ผมเห็นคนที่ไปแสวงบุญ ไปวัด ไปทานอาหารในวัดไทย ซึ่งล้วนแต่เป็นของดี ๆ ทั้งคาวหวาน และเหลือทิ้งไว้มากมายอย่างน่าเสียดาย ท่านผู้ไปแสวงบุญคงไม่ได้มุ่งไปชำระจิตใจตามคำสอนของพระพุทธเจ้า การเดินทางไปก็ใช้ระยะเวลาเพียงประมาณ 7-14 วัน แทนที่จะตั้งใจไปละกิเลส นึกถึงพระพุทธองค์เป็นแบบอย่างด้วยการทำตัวสมถะ แต่คงกลับไปสะสมบุญไว้ชาติหน้า หรือหวัง "ล้างบาป" เสียมากกว่า

ยิ่งหากเป็นกองคาราวานแสวงบุญของส่วนราชการใหญ่โตหรือคหบดีรายใหญ่ ๆ ที่ยกโขยงไปประมาณ 50-80 คนด้วยแล้ว ก็จะมีกองครัว พร้อมแม่ครัว 3-5 คนและลูกมือ ไปทำอาหารให้ทานกันถึงที่เลย ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องตระเตรียมสิ่งของไปมากมาย นัยว่าคนไทยเหล่านั้นท่านไม่คุ้นลิ้นกับรสชาติอาหารอินเดีย นี่ก็เป็นการไปสะสมกิเลส หรือท่องเที่ยวมากกว่าการไปแสวงบุญ

ตกลงการไปบวชหรือไปแสวงบุญ ณ สังเวชนียสถานของคนส่วนใหญ่ คงไม่ได้ไปชำระล้างจิตใจ แต่ไปเที่ยว ไปสะสมบุญดังว่ามากกว่า เช่นนี้แล้ว จะเป็นการสืบต่อศาสนาอะไรมากกว่าไปเพื่อตัวเอง ทำอย่างนี้อาจสืบต่อศาสนาได้แต่ในรูปแบบ แต่น่าจะเป็นการกัดกร่อนศาสนามากกว่า เพราะไม่ได้เข้าถึงแก่นธรรมของพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด ยิ่งเมื่อเราเห็นนักบวชที่แลดูสกปรกรุงรัง แต่พวกเขาก็อาจเข้าถึงแก่นธรรมมากกว่าพระหรือผู้จาริกแสวงบุญจำนวนมาก

เราจึงควรทบทวน จรรโลงศาสนาให้ถูกทาง

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

TDRI: หรือเราจะไม่ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติอีกต่อไป?

$
0
0

 

ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมามีข่าวสำคัญที่เกี่ยวกับการค้าการลงทุนระหว่างประเทศอย่างน้อย 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ ประธานาธิบดีบารัก โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกาได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรสในการเจรจา Trans-Pacific Partnership (TPP) กับประเทศคู่ค้าอีก 11 ประเทศ รวมถึงประเทศอาเซียนอย่างเวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และบรูไน  ซึ่งคาดว่าผลของการเจรจาจะครอบคลุมประมาณ 40% ของมูลค่าการค้าโลก และอีกเรื่องคือการมาเยือนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เดวิด คาเมรอน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการหาช่องทางการค้าการลงทุนในอาเซียน โดยนำนักธุรกิจกลุ่มทุนและนวัตกรรมใหญ่อย่าง Airbus, Rolls-Royce, JCB และ Lloyds มาด้วย ซึ่งนายกคาเมรอนมีกำหนดการเยือน 4 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และมาเลเซีย และคาดว่าจะมีการเจรจาข้อตกลงการค้ามูลค่ากว่า 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ

นับเป็นข่าวดีสำหรับอาเซียน แต่อาจเป็นข่าวร้ายสำหรับประเทศไทยที่ตกขบวนโอกาสทางการค้าและการลงทุนมูลค่ามหาศาล ท่ามกลางข่าวร้ายทางเศรษฐกิจมากมาย ทั้งการย้ายฐานการผลิตของซัมซุง การปิดตัวลงของกิจการจำนวนมาก ความผันผวนของตลาดหุ้น และฟองสบู่ที่กำลังก่อตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ การถูกมหาอำนาจในเวทีโลกอย่างสหรัฐและอังกฤษเมินอย่างจังจึงเป็นเหมือนสัญญาณว่า วิกฤตินี้จะแก้ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติได้ยาก เพราะประเทศไทยอาจไม่น่าดึงดูดในสายตาประเทศคู่ค้าอีกต่อไป

รายงาน IMD World Competitiveness Yearbook 2015 ซึ่งจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ ทั้งหมด 61 ประเทศ ซึ่งรวมถึง ASEAN 5 หรือกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนดั้งเดิม ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ก็ระบุว่าความสามารถในการแข่งขันของไทยตกลงมาจากอันดับที่ 27 ในปี 2556 มาอยู่อันดับที่ 30 ในปี 2558  โดยอยู่ตรงกลางของตารางและเป็นอันดับสามของอาเซียน ดังที่เป็นมาหลายปีแล้ว

แต่เมื่อลงไปดูในรายละเอียดจะพบว่า มีดัชนีหลายตัวที่ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าประเทศอาเซียนอีก 4 ประเทศ ซึ่งล้วนแต่เป็นดัชนีที่มีนัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และความน่าดึงดูดต่อการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น

- ความเสี่ยงของเศรษฐกิจต่อการย้ายฐานการผลิต (Relocation Threats of Production) อันดับที่ 53

- ผลิตภาพบริษัท (Productivity of Companies) อันดับที่ 33

- ผลิตภาพและประสิทธิภาพของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Productivity & Efficiency of Small and Medium Size Enterprises) อันดับที่ 53

- จำนวนแรงงานฝีมือที่มีอยู่ในตลาด (Availability of Skilled Labor) อันดับที่ 46

- ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของคนในประเทศต่อความท้าทายใหม่ (Flexibility and Adaptability of People when Faced with New Challenges) อันดับที่ 40

- ระดับการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นผลจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public-Private Partnerships Supports Technological Development) อันดับที่ 35

- ความสามารถในการผลิตนวัตกรรม (Innovative Capacity) อันดับที่ 51

- ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ วัดจากผลการสอบโทเฟล (English Proficiency - TOEFL) อันดับที่ 57

- ทักษะด้านภาษาที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจ (Language Skills Meets the Needs of Enterprises) อันดับที่ 53

- ระบบการศึกษาที่ตรงกับความต้องการของเศรษฐกิจที่ต้องแข่งขัน (Educational System Meet the Needs of a Competitive Economy) อันดับที่ 46

ดัชนีข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของสัญญาณที่บ่งบอกว่า ประเทศไทยกำลังจะสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันด้านเศรษฐกิจให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ไทยเคยเหนือกว่ามาตลอดอย่างฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งแม้ว่าในภาพรวมแล้วไทยจะยังมีความสามารถในการแข่งขันที่ดีกว่า แต่ยังมีดัชนีอีกหลายตัวที่แม้ไทยจะไม่ได้ที่โหล่ แต่ก็ถูกฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซียหายใจรดต้นคอเตรียมเบียดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เช่น ผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) ที่ไทยอยู่อันดับที่ 56 นั้น อินโดนีเซียตามมาที่อันดับ 59 และฟิลิปปินส์ที่ 60  และระดับการปรับตัวของนโยบายรัฐบาลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ (Adaptability of Government Policy to Changes in the Economy) ซึ่งไทยอยู่อันดับที่ 34 และฟิลิปปินส์ตามอยู่ที่ 35 ส่วนอินโดนีเซียนั้นก้าวไปอันดับที่ 21 แล้ว

ดังที่กล่าวไว้ตอนต้น ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศอาจไม่สามารถแก้ได้ด้วยกระตุ้นการลงทุนจากต่างชาติเพียงอย่างเดียว เพราะรายงาน IMD ฉบับเดียวกันจัดอันดับความน่าดึงดูดของมาตรการส่งเสริมการลงทุน (Investment Incentive Attractive to Foreign Investors) ไว้สูงถึงอันดับที่ 20 พูดง่าย ๆ ว่าเราพร้อมจะให้สิทธิพิเศษแก่นักลงทุนไม่แพ้ใครหากต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุน แต่ปัญหาอยู่ที่เขามองดูเราแล้วจะอยากเข้ามารึเปล่าต่างหาก การถูกประเทศที่มีทุนใหญ่อย่างสหรัฐและอังกฤษมองข้ามไปนั้นก็ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงตนเอง เช่น ทำอย่างไรให้เรามีความสามารถในการผลิตนวัตกรรม ปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้ตรงกับความต้องการของธุรกิจ และยกระดับความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ เป็นต้น

มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่ของง่ายที่จะทำเสร็จในวันเดียว แต่ถ้าไม่เริ่มตอนนี้ก็น่าคิดว่าไทยอาจจะต้องเห็นประเทศอาเซียนอื่นอย่างอินโดนีเซียซึ่งมีศักยภาพในการเป็นทั้งฐานการผลิตและตลาดขนาดใหญ่ และฟิลิปปินส์ซึ่งมีความพร้อมด้านกำลังแรงงานทักษะแซงหน้าไป ยังไม่นับเวียดนามซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในการสำรวจของ IMD แต่ก็คาดว่าจะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงในสายตามหาอำนาจขนาดที่ประธานาธิบดีโอบามา และนายกรัฐมนตรีคาเมรอนต้องเดินทางมาจีบด้วยตัวเอง.

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภัควดี วีระภาสพงษ์: ถ้าไม่ใช่ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ...ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย

$
0
0





ระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งผู้แทนถูกวิจารณ์อย่างมากในระยะหลัง ทั้งในแง่ที่ทำให้เกิดชนชั้นนักการเมืองขึ้นมาเป็นกลุ่มอิทธิพลอีกกลุ่มหนึ่งในหมู่ชนชั้นนำ ทั้งในแง่ของการขาดการยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในประเทศที่มีการรวมศูนย์อำนาจสูงอย่างประเทศไทย  ทั้งในแง่ของการเล่นประตูหมุนกับภาคธุรกิจและบรรษัท และทั้งในแง่ของการคอร์รัปชั่น  แต่ในแง่มุมหลังสุดนี้ คนที่ไม่คิดวิเคราะห์อย่างถ่องแท้และไม่เข้าใจกลไกการทำงานของทุนมักมองข้ามความเป็นจริงว่า ชนชั้นนักการเมืองจะคอร์รัปชั่นอย่างเป็นระบบไม่ได้เลย หากไม่ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการ ภาคธุรกิจ ศาล และชนชั้นนำ อาทิ กองทัพและสถาบันชนชั้นนำอื่น ๆ

แต่การหันหลังให้ระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งผู้แทนเพื่อกระโจนลงเหวของระบอบเผด็จการยิ่งไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง  เราสามารถปรับปรุงระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งให้ยึดโยงกับประชาชนได้มากขึ้นด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น ส่งเสริมการจัดตั้งรวมตัวของประชาชน สร้างระบอบประชาธิปไตยทางตรงเข้ามาเสริม เช่น การจัดทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วม หรือการสร้างกลไกของระบอบประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือที่ประชาชนสามารถยื่นข้อเสนอและกำหนดนโยบายระดับต่าง ๆ ได้มากขึ้น

กระนั้นก็ตาม อีกมิติหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยที่เรามองข้ามไม่ได้ก็คือประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ  หากเราปล่อยให้สังคมตกอยู่ใต้ระบอบเผด็จการทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยทางการเมืองก็เป็นแค่ละครฉากเล็ก ๆ เอาไว้ปลอบใจชนชั้นล่างให้หลงคิดว่าตัวเองมีอำนาจในการกำหนดชะตากรรมของตัวเองนาน ๆ ครั้ง  หรืออย่างมากก็แค่ต่อรองได้ผลประโยชน์เล็กน้อยจากชนชั้นนักการเมือง  ในขณะที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจยังขยายตัวต่อไป จนชนชั้นล่างและแม้แต่ชนชั้นกลางก็ตกเป็นทาสระบบหนี้ทางเศรษฐกิจ อันเปรียบเสมือนสัญญาทาสที่ผลักดันให้ทุกคนต้องวิ่งรอกหมุนฟันเฟืองของระบบทุนนิยมประหนึ่งหนูถีบจักร

นักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมมักเชื่อในทฤษฎีน้ำหยด กล่าวคือ แนวคิดว่าต้องส่งเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจให้ชนชั้นบนก่อน เมื่อผลประโยชน์ข้างบนอิ่มตัวแล้ว หยาดน้ำแห่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจะหยดลงจนถึงชนชั้นล่าง  แต่การณ์กลับปรากฏว่าความเป็นจริงก็ดังเช่นภาพการ์ตูนที่คนเขียนล้อเลียนกัน นั่นคือแก้วรองรับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชนชั้นบนนั้นใหญ่ขึ้นทุกที ๆ  แทบไม่เหลือหยาดผลประโยชน์กระเส็นกระสายลงมา ปล่อยให้คนเบื้องล่างแห้งเหือดลงทุกวี่วัน

ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจพลิกคว่ำแก้วทฤษฎีนั้น เมื่อปล่อยให้หยาดน้ำผลประโยชน์รดพื้นดินเบื้องล่างจนชุ่ม  ผืนดินย่อมผลิยอดไม้งามที่เจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านไพศาล  แนวคิดของประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจพลิกกลับทฤษฎีน้ำหยดนั้นใหม่  หากคนเบื้องล่างได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม  ก็ไม่ต้องห่วงหรอกว่าชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่มีความได้เปรียบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจะไม่พลอยอุดมสมบูรณ์ตามไปด้วย

คนเบื้องล่างที่อยู่เบื้องล่างสุดกลุ่มหนึ่งของสังคมไทยก็คือชาวบ้านที่ยังเหยียบขาข้างหนึ่งอยู่ในวิถีชีวิตและวิถีการผลิตแบบดั้งเดิม  ชาวบ้านเหล่านี้อาจไม่แร้นแค้นยากจนเท่าคนจนเมือง  แต่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่ไม่มีหลักประกัน  ชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับฝนฟ้า สุขภาพของพวกเขาขึ้นอยู่กับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ต้องคอยต่อรองไม่ให้ชนชั้นนำยกเลิก  สถานะของพวกเขาถูกลดทอนลงทุกวันจากสัดส่วนของภาคเกษตรที่ต่ำต้อยในจีดีพี การศึกษาของพวกเขาต้องอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการลองผิดลองถูก เพราะระบบการศึกษาในโรงเรียนไม่เคยตอบโจทย์วิถีการผลิตของพวกเขา

ในระบอบทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ที่ชนชั้นสูงตอบโต้กระแสปฏิวัติของชนชั้นล่างด้วยการทุบทำลายสายพานการผลิตให้กระจัดกระจายไปทั่วโลก รวมทั้งเพิ่มอำนาจให้ตัวเองด้วยวิถีการสะสมทุนแบบปล้นชิง  การแย่งชิงทรัพยากรหวนกลับมาเป็นวิถีการสะสมทุนที่ทรงประสิทธิภาพกว่าการขูดรีดแรงงาน  ชาวบ้านที่ยังต้องอาศัยวิถีการผลิตแบบดั้งเดิมครึ่งหนึ่งในการดำรงชีพกลายเป็นกลุ่มคนโชคร้ายแห่งศตวรรษที่ 21  พวกเขาตกอยู่ใต้คำสาปของความมั่งคั่ง เพราะผืนดินที่พวกเขาเหยียบยืนและเรียกว่า “บ้าน” บังเอิญตั้งทับทรัพยากรมหาศาลไว้ข้างใต้

การแย่งชิงทรัพยากรจึงเกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย  ไม่ว่าจะเป็นเหมืองทองที่วังสะพุง สัมปทานปิโตรเลียมที่บ้านนามูล-ดูนสาด อุตสาหกรรมเหล็กที่บางสะพาน-บ้านกรูด เหมืองแร่โปแตซที่อุดรธานี และที่อื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน  การต่อสู้ของชาวบ้านจำต้องผูกติดอยู่ในพื้นที่ กระจัดกระจายยากต่อการรวมตัวและหลายครั้งที่เสียงไม่ดังพอให้ใครได้ยิน  ยิ่งในประเทศที่รวมศูนย์อำนาจและรวมศูนย์ข่าวสารอย่างประเทศไทย  การต่อสู้ของชาวบ้านยิ่งต้องดำเนินไปอย่างโดดเดี่ยวเงียบเชียบ  หลายแห่งต้องพ่ายแพ้ท่ามกลางความเงียบงัน

แม้มีหลายแห่งที่การต่อสู้ของชาวบ้านดังพอให้ได้ยินในระดับประเทศ  แต่พวกเขาไม่เพียงต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐและอำนาจทุนเท่านั้น พวกเขายังต้องผจญกับทัศนคติของบรรดาชนชั้นกลางเสรีนิยมที่คิดว่าตัวเองรอบรู้ถ้วนทั่วจักรวาล  นักเสรีนิยมเหล่านี้พยายามกดบีบให้ชาวบ้านยอมสยบต่ออำนาจทุนด้วยข้ออ้างของ “เสียสละเพื่อส่วนรวม” “ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ” “โลกาภิวัตน์” “วิถีการผลิตเปลี่ยนไปแล้ว” และ “การผลิตในภาคเกษตรไม่คุ้มกับการลงทุน”

แต่สิ่งที่นักเสรีนิยมเหล่านี้มองข้าม ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตามที ก็คือคำถามว่าทำไมชาวบ้านจึงต้องยอมสูญสิ้นวิถีชีวิตและปัจจัยการผลิตของตนเพื่อแลกกับค่าชดเชยเพียงน้อยนิด?  ในเมื่อทรัพยากรใต้ถุนบ้านของพวกเขามีมูลค่ามหาศาล  เหตุใดพวกเขาในฐานะเจ้าของพื้นที่จึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการกำหนดชะตากรรมของตัวเองและการกระจายความมั่งคั่งของทรัพยากรนั้น?  หากนักเสรีนิยมที่เชิดชูระบบทุนนิยมกลับไม่เข้าใจแม้แต่ตรรกะพื้นฐานของระบบทุนนิยมและเสรีนิยมข้างต้น  คำพูดของ “นักเสรีนิยม”(?) เหล่านี้ก็เปรียบเสมือนแค่การผายลมของคนท้องเสียเท่านั้นเอง

ผู้สันทัดกรณีบางคนให้เหตุผลว่า กระแสการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในปัจจุบันล้วนมุ่งเข้าหาเมือง เมืองจะขยายใหญ่ขึ้น ชนบทจะ “เล็กลง” เมืองคืออนาคตที่จะทำให้การต่อสู้ปฏิวัติสังคมง่ายขึ้น  แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง เราอยากเห็นเจ้าของทรัพยากรอันมีค่ามหาศาลนั้นถอนรากจากวิถีชีวิตดั้งเดิมและมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองในลักษณะไหน?  ในลักษณะของคนจนไร้รากที่ต้องขายแรงงานในเมือง เป็นกำลังแรงงานไร้สิ้นศักดิ์ศรีที่ดิ้นรนเหนือเส้นความอดอยากเพียงปริ่ม ๆ เพื่อให้ประเทศนี้มีศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจแบบล้าหลัง?  หรือก้าวเข้าสู่เมืองในฐานะชนชั้นผู้ผลิตใหม่ที่สามารถปรับตัวเข้าสู่วิถีเมืองและระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่จะช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง?

ท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรนี้เอง การที่กลุ่มดาวดินก้าวเข้ามาเคียงบ่าเคียงไหล่ชาวบ้านในการต่อสู้กับอำนาจทุนและอำนาจรัฐ  มันจึงมิใช่แค่การต่อสู้ของกลุ่มคนในพื้นที่  แต่เป็นการต่อสู้เพื่อคนทั้งหมดในประเทศ  กลุ่มดาวดินและชาวบ้านกำลังต่อสู้เพื่อหลักการของนิติรัฐ นิติธรรม ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและประชาธิปไตย  มันเป็นการต่อสู้เพื่อยืนยันหลักการที่กลุ่มทุนจะต้องไม่ผลักภาระ  ความมั่งคั่งต้องมีการกระจายที่เป็นธรรม  ทรัพยากรต้องเป็นของส่วนรวมและยังประโยชน์แก่ส่วนรวม  ประชาชนต้องเป็นเจ้าของประเทศและเจ้าของทรัพยากรเท่า ๆ กัน การพัฒนาเศรษฐกิจต้องไม่ใช้วิธีการต่ำช้า และถึงที่สุดแล้ว หากวิถีชีวิตดั้งเดิมไม่อาจต้านทานกระแสความเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยที่สุด ประชาชนต้องได้รับการชดเชยอย่างเหมาะสมและมีเวลาปรับตัวเพื่อก้าวตามความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมีส่วนร่วม  หากการต่อสู้ของกลุ่มดาวดินและชาวบ้านประสบความสำเร็จ  ประชาชนทุกคนในประเทศก็ย่อมได้รับประโยชน์จากการความสำเร็จนี้เช่นกัน

เดวิด เกรเบอร์กล่าวไว้ว่า ประธานของการเปลี่ยนแปลงสังคมสมัยใหม่คือศิลปินและชนพื้นเมือง  ศิลปินคือผู้มีปัญญาสร้างสรรค์และลงมือกระทำ  กลุ่มดาวดินคือศิลปินในแง่นี้  ส่วนชนพื้นเมืองคือผู้มีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม  ชาวบ้านคือชนพื้นเมืองในแง่นี้  แต่ในทัศนะของข้าพเจ้า คนสองกลุ่มนี้ยังไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมยุคเสรีนิยมใหม่  ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ข้าพเจ้ามุ่งหวังว่าจะยื่นมือจับกันเป็นพันธมิตรสามเส้าของการเปลี่ยนแปลงสังคม นั่นคือ ศิลปิน ชนพื้นเมืองและแรงงานนอกระบบหรือแรงงานไร้หลักประกัน  การที่กลุ่มดาวดินผูกพันธมิตรกับนักศึกษากลุ่มก้าวหน้าในเมืองเป็นขบวนการประชาธิปไตยใหม่จึงเป็นย่างก้าวที่มีพลังอย่างยิ่ง

ขอให้ดาวดินเป็นศิลปินสร้างสรรค์สังคมใหม่ เป็นปัญญาชนคลุกขี้ดิน และส่องแสงนำทางที่ปลายตีนของประชาชนตลอดไป

 

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในจุลสารครบรอบ 12 ปี ดาวดิน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นิธิ เอียวศรีวงศ์: วิชาศีลธรรม

$
0
0

เรายังควรสอนศีลธรรมในสถาบันการศึกษาหรือไม่? ผมคิดว่าควรอย่างยิ่งทีเดียว แต่ก่อนจะคุยกันเรื่องนี้ต่อไป ต้องแน่ใจก่อนว่า เราเข้าใจคำว่า "ศีลธรรม" ตรงกันหรือไม่

"ศีลธรรม" ในความหมายที่แท้จริงคือความคิดและความรู้สึกที่เกี่ยวกับคนอื่น สัตว์อื่น และสิ่งอื่น คือไม่ใช่ความคิดที่เกี่ยวกับประโยชน์ตน ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม พูดให้เข้าใจง่ายกว่านั้นคือความคิดและความรู้สึกเกี่ยวกับส่วนรวม การไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้น หากสมาทานศีลข้อนี้ด้วยความเชื่อว่าจะทำให้อายุยืน ความเชื่อนี้ไม่เกี่ยวกับศีลธรรม หรือแม้แต่เชื่อว่าเป็นการฝึกใจตนเองให้อ่อนโยนด้วยความเมตตากรุณา ก็ไม่ใช่ความคิดทางศีลธรรมอยู่นั่นเอง เพราะไม่เกี่ยวกับคนอื่น สัตว์อื่น และสิ่งอื่น แต่อาจเป็นความคิดทางศาสนา (ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละศาสนา) ตรงกันข้าม หากไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ด้วยความเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตอื่นก็รักตัวกลัวตายเหมือนกัน จึงไม่ควรไปเบียดเบียนเขา อย่างนี้เป็นความคิดความรู้สึกทางศีลธรรม

ผมเข้าใจว่าพระพุทธศาสนา (และเข้าใจว่าศาสนาอื่นด้วย) สอนไม่ให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งสองอย่าง คือเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านด้วย หากสอนศีลธรรมของพระพุทธศาสนาก็ต้องว่าด้วยประโยชน์ท่าน

สำนึกถึงประโยชน์ท่านนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามความรับรู้ของผู้คน ดังนั้น ศีลธรรมจึงไม่เคยเป็นกฎตายตัว การกระทำที่ครั้งหนึ่งไม่เห็นว่าเป็นการผิดศีลธรรม มาถึงอีกยุคสมัยหนึ่งก็อาจกลายเป็นผิดศีลธรรมไปก็ได้

การกินเนื้อสัตว์นั้น คือการส่งเสริมให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ในสมัยหิน โปรตีนที่หาง่ายที่สุดคือเนื้อสัตว์ (จากการล่า ไม่ต้องเลี้ยง) ง่ายกว่าการหาโปรตีนจากพืชเสียอีก (อย่างน้อยถั่วเหลืองก็ต้องตระเวนเก็บจากธรรมชาติ หรือต้องปลูก) นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้มนุษย์รู้สึกว่าเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนที่อร่อยที่สุดจนถึงปัจจุบัน แต่ถึงแม้ยอมจำนนต่อการยึดติดของลิ้น ก็ต้องรู้ว่าการเลี้ยงสัตว์เพื่อตลาดในโลกปัจจุบันได้กลายเป็นการทารุณสัตว์อย่างเหี้ยมโหดไปเสียแล้ว เพื่อทำกำไรสูงสุดแก่ผู้ลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อไก่-ไข่ไก่ เนื้อหมู ฯลฯ

จึงเหลือทางเลือกทางศีลธรรมแก่ผู้กินเนื้อสัตว์อยู่เพียงสองทาง หนึ่ง-คือเลิกกินเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงขึ้นเชิงพาณิชย์ หรือสอง-ร่วมจัดตั้งพลังของผู้บริโภคกดดันให้ผู้ผลิตคิดถึงใจไก่ ใจหมู ใจวัวให้มากขึ้น

ครับ..ศีลธรรมคือความคิดความรู้สึกต่อคนอื่น, สัตว์อื่น, สิ่งอื่นก็จริง แต่เป็นความคิดความรู้สึกที่ก่อให้เกิดพันธะทางสังคมต่อตัวเราด้วย

ในขณะเดียวกัน เพราะนัยยะทางศีลธรรมของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกและในชีวิตประจำวัน อาจเข้าถึงได้จากการทำความเข้าใจด้วยข้อมูลและเหตุผล อีกทั้งจะเข้าใจความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องก็ต้องใช้ความคิด ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการถกเถียงเพื่อมองเห็นวิธีมองได้หลากหลายแง่มุม ดังนั้น การเรียนรู้ศีลธรรมจึงทำได้เฉพาะในบรรยากาศแห่งเสรีภาพเท่านั้น ไม่มีกฎเกณฑ์หรือค่านิยมอะไรของใครให้ต้องท่องจำ อย่าลืมว่าศีลธรรมไม่ได้มีไว้ให้เรียนเพื่อรู้ (หรือสอบ) แต่รู้เพื่อให้เกิดพันธะทางสังคมแก่ตนเอง การเรียนแบบเปิดกว้างจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีวันที่จะเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพได้เลย

ดังเช่นค่านิยม 12 ประการที่สั่งลงมาจากเบื้องบน

ด้วยเหตุฉะนี้แหละครับ ที่ทำให้ผมคิดว่าไม่มีใครสามารถคิดหลักสูตรวิชาศีลธรรมขึ้นได้ ไม่พักต้องพูดว่า ไม่มีใครสอนวิชาศีลธรรมที่ลอยอยู่โดดๆ โดยไม่สัมพันธ์กับบริบทชีวิตจริงของผู้เรียนได้ ที่เขาพูดว่าพ่อแม่เป็นครูสอนศีลธรรมคนแรกนั้นใช่เลย เพราะท่านไม่ได้สอน "วิชา" ศีลธรรม แต่นำเอามิติทางศีลธรรมเข้าไปเกี่ยวข้องกับประสบการณ์จริงในชีวิตของลูก (เช่น คุยกันว่าจะแก้ปัญหาถูกเพื่อนรังแกอย่างไรโดยไม่ใช้ความรุนแรง เพราะความรุนแรงเป็นภัยต่อส่วนรวม...เป็นการแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์ตนก็จริง แต่วางบนพื้นฐานของประโยชน์ท่าน)

ถึงแม้ไม่มี "วิชา" ศีลธรรมให้ใครสอน แต่โรงเรียนไปถึงมหาวิทยาลัยควรสอนศีลธรรมในทุกวิชาที่เรียน เพราะไม่ว่าจะเป็นความรู้อะไร ก็ล้วนมีมิติทางศีลธรรมแฝงอยู่ทั้งสิ้น เคมีตอบสนองตลาดงานจ้างก็ควรรู้ แต่เคมีทำให้ชีวิตของคนอื่นดีขึ้นได้อย่างไรก็ควรรู้ด้วย โตขึ้นมาหน่อยก็ควรรู้ด้วยว่า เคมีในโลกปัจจุบันถูกใช้เพื่อเอาเปรียบคนอื่นอย่างไร และควรมีเวลาเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และอภิปรายกันถึงทางออกจากความไม่มีศีลธรรมของธุรกิจขนาดใหญ่ได้อย่างไร

ไม่ต้องพูดถึงวิชาสังคมศึกษา-สังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์ ซึ่งมิติทางสังคมเป็นฐานที่ขาดไม่ได้ของการเรียนรู้วิชาเหล่านี้

ศีลธรรมจึงไม่เกี่ยวกับศาสนา จะเป็นพุทธ, มุสลิม, คริสต์, ฮินดู ฯลฯ ก็สามารถนำมิติทางศีลธรรมเข้าไปในการเรียนรู้ได้ทั้งนั้น แม้คนที่ไม่นับถือศาสนาใดเลย ก็อาจคิดและรู้สึกทางศีลธรรมได้ และหลายคนที่ผมรู้จักมีสำนึกเรื่องนี้แหลมคมกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ หรือในทางตรงข้ามเป็นพุทธ, มุสลิม, คริสต์, ฮินดู หรือไม่มีศาสนา ฯลฯ แล้วไม่เคยคิดและรู้สึกในทางศีลธรรมเลยก็ได้

มิติทางศีลธรรมเป็นสิ่งที่แทบจะพูดได้ว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ฝูงที่นึกคิดอะไรนอกสัญชาตญาณได้ การคงอยู่ของฝูงจึงมีความสำคัญต่อการคงอยู่ของมนุษย์ เหมือนสัตว์ฝูงประเภทอื่นซึ่งอาจมีศีลธรรมตามสัญชาตญาณ (นักสัตวศาสตร์ปัจจุบันเริ่มเห็นจากการทดลองว่าสัตว์บางชนิดมีความคิดทางศีลธรรมเหมือนกัน)

ผมคิดว่าความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงของผู้จัดการศึกษาในแบบของไทย นับตั้งแต่เริ่มการศึกษาแผนตะวันตกในประเทศไทย คือดูเบาศีลธรรมและเข้าใจผิดว่าศีลธรรมมีได้เฉพาะในศาสนาเท่านั้น เหตุดังนั้นจึงสอนวิชาพุทธศาสนาเป็นวิชาศีลธรรม แล้วไม่เคยสอนศีลธรรมในวิชานี้เลย นอกจากบังคับให้เด็กท่องจำหมวดธรรมคิหิปฏิบัติไว้หลายหมวดเพื่อสอบ อันที่จริงท่องบัญญัติสิบประการ หรือท่องอัลหะดิษ ก็ได้ผลเท่ากัน คือไม่ได้ผลอะไรในทางศีลธรรมเลย

(เช่นเดียวกับวิชาหน้าที่พลเมืองนะครับ หน้าที่พลเมืองตามกฎหมายนั้นอ่านเองได้ แต่การฝ่าอันธพาลการเมืองไปเข้าคูหาเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นหน้าที่พลเมืองหรือไม่ หรือใช่แต่ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ซึ่งต้องช่วยกันวิพากษ์และหาคำตอบร่วมกัน ทำให้หน้าที่พลเมืองต้องเรียนกันในบรรยากาศแห่งเสรีภาพและเคารพความเห็นของกันและกัน นักกฎหมายไม่ใช่คนที่รู้หน้าที่พลเมืองดีที่สุด ยกเว้นแต่เราเห็นพลเมืองเป็นข้าไพร่อีกชนิดหนึ่งเท่านั้น)

หากศีลธรรมไม่ใช่ศาสนา คำถามที่ตามมาทันทีก็คือ เราควรสอนศาสนาในสถาบันการศึกษาหรือไม่ ผมเห็นว่าควรครับ แต่สอนในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่สำคัญอย่างหนึ่ง ผู้สอนอาจไม่ศรัทธาต่อศาสนาใดเลย แต่ต้องเข้าใจความศรัทธาทางศาสนาอย่างที่เอมิล เดอร์ไคม์พูดไว้ ดังนั้น ศาสนาจึงเป็นส่วนหนึ่งของวิชาสังคมศึกษาในโรงเรียน และอาจเป็นศาสตร์เพื่อการค้นหาความจริงเกี่ยวกับศาสนาในระดับอุดมศึกษา เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ทางสังคมอื่นๆ เช่น รัฐ, รัฐบาล, ความโกรธ, อำนาจ, วัฒนธรรม ฯลฯ นักวิชาการด้านศาสนาอาจนับถือศาสนาใดก็ได้ หรือไม่นับถือศาสนาใดก็ได้ คนที่รู้จักพุทธศาสนาในแง่ปรากฏการณ์ทางสังคมที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่พระภิกษุ เช่นเดียวกับคนที่รู้จักอิสลามในฐานะปรากฏการณ์ทางสังคมที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่บาบอ

ถ้ากระนั้น ศาสนาในแง่ที่เป็นคำตอบให้แก่ปัญหาส่วนบุคคลยังจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ของมนุษย์ในโลกปัจจุบันหรือไม่ ผมคิดว่าจำเป็นอย่างยิ่ง มนุษย์ในโลกสมัยใดก็ตามต้องรู้จักตัวเอง ผมคิดว่าส่วนที่ลึกที่สุดของทุกศาสนาคือความรู้จักตนเอง เพื่อให้เกิดความสามารถจัดการกับตนเองได้ เมื่อหญิงม่ายมุสลิมในภาคใต้ตอนล่างพูดเบื้องหน้าความตายของสามีจากเหตุความไม่สงบว่า "แล้วแต่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า" เธอรู้อย่างซึมซาบทีเดียวว่าเธอเป็นเพียงสิ่งสร้างของพระเจ้า เล็กจนเกินกว่าจะยึดมั่นถือมั่นตัวเองเป็นตัวเป็นตนเหมือนศูนย์กลางจักรวาล

และด้วยเหตุดังนั้นจึงสามารถจัดการกับความโศกเศร้าและความเคียดแค้นในใจของตนได้ อย่างน้อยก็บรรเทามันได้ก่อนจะเสียสติ

ผมอยากเตือนด้วยว่า ความ "รู้แจ้ง" (ผมใช้ในความหมายว่ารู้จนกำหนดบุคลิกภาพของผู้รู้) เช่นนี้โดยเฉพาะในโลกปัจจุบัน อาจบรรลุได้จากความรู้อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาก็ได้ เช่น หญิงม่ายผู้นั้นอาจใช้ความรู้ความเข้าใจในเชิงสังคมศาสตร์ถึงเหตุปัจจัยอันสั่งสมมานานในสังคมภาคใต้ตอนล่าง (และความสัมพันธ์กับรัฐไทย) จนเห็นว่าความตายเช่นนี้เป็นผลที่ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ส่วนจะเกิดแก่สามีของเธอหรือสามีของคนอื่น สังคมศาสตร์ยังอธิบายถึงที่สุดว่าทำไมถึงเป็นสามีเธอไม่ได้ แต่ก็พอเพียงที่จะให้เธอยอมรับชะตากรรมนั้นอย่างไม่เสียสติ และอาจมีสติพอจะคิดอะไรสร้างสรรค์จากชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ก็ได้

ไม่ว่าจะเป็นศาสน์หรือศาสตร์ นี่คือส่วนลึกที่สุดของมัน ซึ่งผมไม่เชื่อว่าใครจะสอนใครในการศึกษามวลชนได้ แต่เราทุกคนล้วนเคยเรียนรู้แบบ "นิสิต" มาในชีวิตทั้งสิ้น (นิสิตแปลว่าผู้เข้าไปนั่งใกล้) ได้เคยเห็นพ่อแม่จัดการกับความทุกข์ของตน โดยอาศัยความเชื่อลึกๆ บางอย่าง เคยคุยกับคนอื่นอย่างลึกๆ (ซึ่งไม่อาจทำได้ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก) ฯลฯ มาแล้ว รวมทั้งตนเองก็เคยมีประสบการณ์ทางอารมณ์ความรู้สึก ที่ต้องเที่ยวค้นหาคำตอบจากการคิดและจากผู้อื่น

และส่วนนี้ของศาสนาแหละครับ ที่ผมคิดว่าทุกคนควรมีโอกาสได้เรียน แต่ไม่ใช่ในหลักสูตร หากเรียนรู้ในชีวิต ครูอาจารย์พอช่วยได้เหมือนพ่อแม่ คือมีโอกาสได้ฟังอย่างเปิดอก (ฉะนั้น จึงต้องมีความสัมพันธ์ที่นักเรียนไว้วางใจ) มีโอกาสจะเสนอประสบการณ์ของตนเองและคนอื่นให้ฟัง ช่วยให้ได้เห็นมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น แทนการยัดเยียดศรัทธาของตนเองให้เขา แต่ที่เหนือกว่าสิ่งที่ครูอาจารย์ทำได้คือโอกาสที่นักเรียนได้เรียนรู้จากชีวิตจริง และตรงนี้แหละครับที่ผมเห็นว่านักเรียนและนักศึกษาไทยไม่มีโอกาส ไม่มีเวลา ไม่มีแรงกระตุ้นที่จะเรียน เพราะโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเอาโอกาสและเวลาของเขาไปหมด อีกทั้งไม่กระตุ้นให้เขาได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ในชีวิตจริง (เช่น เมาเหล้าแล้วสอนอะไรให้ได้บ้าง) ครูชอบคิดว่าตัวมีอำนาจกำหนดประสบการณ์ในชีวิตนักเรียนได้ มากกว่ายุให้นักเรียนเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และอาจไม่เคยเกิดกับครูเลย เช่น ช่วยแม่เข็นรถขายของไปให้ถึงที่ก่อนมาโรงเรียนสายและถูกลงโทษ

ถ้าเชื่อในคุณค่าของส่วนลึกในศาสนาจริง โรงเรียนและมหาวิทยาลัยก็สอนให้น้อยลงสิครับ พยายามให้นักเรียนได้เรียนเองบ้าง เพราะส่วนใหญ่ของสิ่งที่สอนกันนั้นไม่จำเป็นต้องสอน เช่น ข้อมูลดิบจำนวนมากซึ่งล้วนอ่านเองได้ทั้งนั้น แบบเรียนไม่ได้มีไว้ให้ครูสอน แต่มีไว้ให้สอนตัวเอง แต่ละวิชาอาจใช้เวลาในห้องเรียนน้อยลงมาก และห้องเรียนอาจเป็นที่ซึ่งนักเรียนนักศึกษาต้องใช้ความคิดและฝึกการจับประเด็นเสนอประเด็นจนพูดกับคนอื่นรู้เรื่อง และมีความสามารถคิดต่อยอดความคิดของคนอื่นได้

สรุปก็คือ ควรสอนในสถาบันการศึกษาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรม ศาสนาทั้งในส่วนที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและวิถีล้ำลึกเพื่อเข้าใจตนเอง แต่จะสอนอย่างไรโดยไม่ต้องมีในหลักสูตรต่างหากที่สำคัญกว่า ผมเชื่อว่าครูอาจารย์ไทยทำได้ ถ้าได้รับการส่งเสริมอย่างถูกต้อง และไม่ต้องเสียเวลาและความนับถือตนเองในการกรอกคำถามงี่เง่าในการประเมินของ สมศ.

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: มติชน รายวัน 3 สิงหาคม 2558

ที่มา: มติชนออนไลน์

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

“ทหารกล้าพระนเรศ” ผลผลิตซ้ำของประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมภายในมหาวิทยาลัย

$
0
0



ณ มหาวิทยาลัยนเรศวรที่ผู้เขียนนั้นศึกษาอยู่ เริ่มเข้าสู่เทศกาลรับน้องใหม่อีกแล้ว วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ จำได้ว่าช่วงนี้ของปีที่แล้วผู้เขียนยังเป็นน้องใหม่อยู่เลย และในตอนที่ผู้เขียนได้เข้ากิจกรรมปรับสภาพนิสิตใหม่ (Beginning Camp) ได้ยินวาทกรรมหนึ่งที่สะดุดหูและจำได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง นั้นคือ “ทหารกล้าพระนเรศ” ครั้งแรกที่ได้ยินในตอนนั้นรู้สึกได้เลยว่านี่เป็นผลผลิตซ้ำของ “ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม” ที่เราซึมซับมาตั้งแต่จำความได้และเราผ่านประวัติศาสตร์รูปแบบนี้จากแบบเรียน ประถมและมัธยม ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมคืออะไร อธิบายอย่างสั้นๆเลยก็คือเป็นประวัติศาสตร์ที่มีศูนย์กลางเรื่องอยู่ที่พระมหากษัตริย์ อยู่ที่ชนชั้นปกครอง และมีทัศนคติที่เหยียดหยามประเทศเพื่อนบ้าน มากกว่ามูลเหตุและปัจจัยที่ส่งผลทำให้เกิดเหตุการณ์นั้น และการที่ใส่ “ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม”  ลงในแบบเรียนก็เป็นเสมือน ”ยากล่อมประสาท” ที่กล่อมประสาทจนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น นี่แหละคือประวัติศาสตร์แบบไทยๆ ใครที่ตั้งข้อสงสัยมักจะถูกสังคมตีตราว่าไม่รักชาติ ไม่สำนึก ”บุญคุณ” ของบรรพบุรุษและบูรพกษัตริย์ ทั้งๆที่เราพูดถึงเรื่องให้เด็"คิดเป็น"กันอย่างกว้างขวาง แต่ในเรื่องนี้กลับแตะต้องไม่ได้เลย แสดงให้เห็นถึงความย้อนแย้งของสังคมไทยได้เป็นอย่างดีว่า อยากให้เด็กคิดเป็นหรืออยากให้เด็กเชื่องจะได้ปกครองง่าย

วาทกรรม “ทหารกล้าพระนเรศ” นั้นหลังจากที่ค้นคว้าและสอบถามรุ่นพี่ วาทกรรมนี่ใช้มาตั้งแต่การยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศ (ปี 2533) และทางองค์การนิสิตก็ได้ใช้วาทกรรมนี่เพื่อปลุกใจเด็กเรื่อยมาก แต่มาเด่นชัดที่สุดในงาน Beginning Camp #13 ได้มีการนำบทเพลง ”กลับถิ่นแผ่นดินเดิม” ซึ่งเป็นนำมาใช้เป็นวงกว้างชัดเจนที่สุด ดั่งท่อนหนึ่งของเพลงที่ร้องว่า

“เคยคิดไหมว่าทำไม ณ วันนี้ เราจึงมาร่ำเรียนที่นเรศวร ฤ ดั่งว่าชาติก่อนเก่า เราได้ทบทวน จึงกลับหวนคืนถิ่นแผ่นดินเดิม” และอีกท่อนคือ “เราคงเป็นทหารกล้าพระนเรศ ที่ตั้งเจตจำนงจิตเป็นนิจสิน ขอเป็นข้าเบื้องยุคลตราบชีพนี้สิ้น เพื่อเพียงกลับมาเกิดถิ่นแผ่นดินเดิม” 

หลังจากที่ได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกผู้เขียนรู้สึกว่ามันขัดกับสามัญสำนึกของตัวเอง เพราะไม่ใช่เราใช้ความสามารถของเราหรือที่สอบได้คะแนนถึงจนสามารถเข้าทำการศึกษาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นรอบรับตรง หรือ Admission  ก็เป็นความสามารถพวกคุณทั้งนั้น และผู้เขียนมองว่า “มหาวิทยาลัย” เป็นธุรกิจรูปแบบหนึ่ง เพราะเราก็จ่ายเงินค่าเทอมเพื่อศึกษาเล่าเรียน ทางมหาลัยไม่จ้างเรามาเรียน แต่เรากลับไปเชื่อปกป้องและภาคภูมิใจในวาทกรรม “ทหารกล้าพระนเรศ” ที่ผู้เขียนสงสัยมากว่าเราจะไปรบกับใคร ทำให้เห็นได้ว่า “ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม” นั้นมีผลอย่างมากต่อการรับรู้ทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็น ”ยากล่อมประสาท” ที่ได้ผลอย่างร้ายกาจ ทำให้เรามองไม่เห็นแง่มุมอื่นทางประวัติศาสตร์เลย เราจะพบแต่บทเรียนที่เดิมๆ ที่ท่องเป็นสูตรสำเร็จ ดังเช่น ความสามัคคี ความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษ ความสำนึกในบุญคุณของพระมหากษัตริย์ เป็นต้น แต่เราไม่เคยมองเห็นว่าการนำเสนอเหล่านี้ เกิดขึ้นมาจากไหนและมีที่มาที่ไปอย่างไร มีจุดประสงค์อะไร เพราะเรานั้นถูกสอนให้เชื่อมากกว่าการสอนให้คิดวิเคราะห์ ทำให้โดน “ยากล่อมประสาท” นี่อย่างง่ายดายการนำเอา “พระนามของกษัตริย์” มาเป็นหลักเกาะยึดเพื่อความภาคภูมิใจในสถาบันการศึกษาแห่งนี้ แล้วถ้าเกิดมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่ได้ชื่อมหาวิทยาลัยนเรศวร จะเป็นอย่างไร จะเอาอะไรมาเป็นจุดขายแทน “ทหารกล้าพระนเรศ”

ผู้เขียนเชื่อว่ามีไม่น้อยคนที่คิดเรื่องนี้แต่ก็แสดงออกไม่ได้มากนักเพราะอาจเป็นเพราะสังคมไทยไม่เคยเปิดกว้างให้กับเรื่องแบบนี้ เราเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมคนในสังคมบ้างกลุ่มจึง “เหยียดหยามประเทศเพื่อนบ้าน” และมองว่าเขาด้อยกว่าเราและมองว่าเขาเป็นฝ่ายรุกรานเราในอดีตอย่างนั้นเหรอ เพราะเราไม่เคยรุกรานใครเราอยู่อย่างสงบสุขด้วยพระบารมีมากตลอด มีแต่ชาติอื่นๆมารุกรานเรา การรับรู้ประวัติศาสตร์เพียงด้านเดียวทำให้เราขาดการมองบริบทของช่วงเวลานั้น และอีกอย่างอย่าลืมว่ามหาวิทยาลัยของเรา มีนิสิตจากต่างประเทศที่เป็น พม่า ลาว และกัมพูชามาศึกษาอยู่ด้วย พวกเขานั้นจะมองเรื่องพวกนี้ว่าอย่างไร บ้างคนอาจมองเรื่องนี้ว่าเป็นการ “จาบจ้วงเบื้องสูง” เพราะพระองค์เป็นถึงพระมหากษัตริย์ผู้กอบกู้ ”เอกราช” ให้กับประเทศชาติ  แต่เรานั้นเคยศึกษาบริบทของสังคม ความเชื่อในยุคนั้นเลยว่าในขณะนั้นมีความเป็น “รัฐชาติ” แล้วหรือไม่

ถึงแม้เราจะเข้าสู่การศึกษาระดับอุดมศึกษาแล้วก็ตาม เพราะแทนที่จะเป็นสังคมแห่งการตั้งคำถามและแสวงหาความรู้ กลับเป็นที่ผลิต “เครื่องจักรที่มีชีวิต” ออกไปสู่ตลาดแรงงานมากกว่า และตอนที่ผู้เขียนยังไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยนั้นคิดและฝันไฝ่เสมอว่าสังคมมหาวิทยาลัยจะเปิดกว้างทางความคิดและการแสดงออกทางความคิด แต่พอได้มาเผชิญจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ยังมีการแบนและล่าแม่มดสำหรับที่ผู้เห็นต่าง จึงไม่แปลกที่วาทกรรม “ทหารกล้าพระนเรศ” จะคู่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปอีกนาน

 


อ้างอิง
ธงชัย วินิจจะกูล.ประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยมจากยุคอาณานิคมอำพรางสู่ราชาชาตินิยมใหม่หรือลัทธิเสด็จพ่อของกระฏมพีไทยในปัจจุบัน.ศิลปวัฒนธรรม:ปีที่ 23 ฉบับที่ 1.หน้า 56-65
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

$
0
0

"1. สิทธิต่างๆ ของนักศึกษาเกิดจากการลงทะเบียนเรียนไม่ใช่จากการเข้าห้องเชียร์
2. การยอมรับระบบรับน้องที่ริดรอนสิทธิคือการเพิกเฉยต่อการปกป้องสิทธิของตนเอง
3. ไม่ควรเคารพผู้ที่ใช้อำนาจกดขี่บังคับผู้อื่นในสถานศึกษา
4. อย่าเคารพคนที่สถานะ แต่ให้เคารพคนที่ความคิดและเหตุผล
5. นักศึกษาปี1 ไม่ใช่น้องใหม่ แต่เป็นเพื่อนใหม่ที่เข้ามาร่วม ฝึกฝนการใช้สติ ปัญญาในรั้วมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
6. มิตรภาพที่ยั่งยืน ไม่ได้เกิดจากการกดขี่ บังคับ ข่มขู่ ให้เข้าห้องเชียร์
7. นักศึกษาที่ถูกบังคับ หรือ มีปัญหาใดๆ ขอให้ติดต่อ ปรึกษา หรือขอความช่วยเหลือจากคณะรัฐศาสตร์ได้ ตลอดเวลา"

ในคำประกาศของคณะ เรื่องการรับน้อง

เครือข่ายภาคประชาสังคม จี้ สนช. ล้ม 7 รายชื่อ กสม.

$
0
0

4 ส.ค. 2558 เครือข่ายภาคประชาสังคม ออกแถลงการณ์ ขอให้มีการตรวจสอบและไม่รับรองบุคคลที่ได้รับการสรรหาเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยแถลงการณ์ได้อ้างถึงหลักการปารีส ซึ่งเป็นหลักการของสหประชาชาติเกี่ยวกับสถานะของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยในตอนหนึ่งระบุว่า “กระบวนการสรรหาต้องมีหลักประกันที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า สถาบันจะเป็นผู้แทนที่หลากหลายของพลังทางสังคมหรือภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน” บุคคลผู้เป็นกรรมการสรรหา ไม่ได้เป็นบุคคลในภาคประชาสังคมที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนแต่ประการใด

ขณะที่กระบวนการให้การสรรหาเองไม่ได้มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โดยในแถลงการณ์ระบุว่า “คณะกรรมการสรรหาไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณสมบัติบุคคลที่มีประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์ และการเลือกด้วยการลงคะแนนของกรรมการสรรหาแต่ละบุคคลที่ไม่มีการให้เหตุผล หรืออภิปรายร่วมกันเพื่อตัดสินใจในลักษณะกลุ่ม จึงเป็นการสรรหาที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล และไม่สามารถอธิบายหรือตอบคำถามของสาธารณชนได้ว่าบุคคลที่กรรมการสรรหาเลือกมามีคุณสมบัติเป็นไปตามเจตนารมณ์และบทบัญญัติของกฎหมายที่ต้องการ”

พร้อมแสดงความห่วงใยต่อ ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือเรื่องสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ในสายตานานาประเทศ ทั้งนี้ได้เรียกร้องให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาไม่ให้ความเห็นชอบกับการ สรรหาบุคคลผู้สมควรเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญกำหนดบทบัญญัติให้มีองค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่หลากหลาย เป็นไปตามหลักการปารีส

แถลงการณ์

เรื่อง ขอให้ตรวจสอบและไม่รับรองบุคคลที่ได้รับการสรรหาเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

4 สิงหาคม 2558

 

ตามที่คณะกรรรมการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อันประกอบด้วย นายดิเรก  อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกา นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร  วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายเพ็ง เพ็งนิติ บุคคลซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคัดเลือก และนายเฉลิมชัย วสีนนท์ บุคคลซึ่งที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดคัดเลือก ได้เลือกบุคคลผู้สมควรเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจำนวน 7 คน ได้แก่ นางฉัตรสุดา จันทร์ดียิ่ง นายบวร ยสินทร นางประกายรัตน์  ต้นธีรวงศ์ นายวัส ติงสมิตร รองศาสตราจารย์ศุภชัย  ถนอมทรัพย์ นายสุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย นางอังคณา นีละไพจิตร เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2558 นั้น

สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) องค์กร และบุคคลข้างท้ายนี้  เห็นว่าการสรรหาบุคคลเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไม่เป็นไปตามหลักการปารีส และเจตนารมณ์และบทบัญญัติของกฎหมาย ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1. โดยหลักการปารีสระบุว่า “กระบวนการสรรหาต้องมีหลักประกันที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า สถาบันจะเป็นผู้แทนที่หลากหลายของพลังทางสังคมหรือภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน” แต่องค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กลับไม่มีบุคคลในภาคประชาสังคมที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวข้องกับการ คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนแต่ประการใด

2. กระบวนการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติครั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณสมบัติบุคคลที่มีประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์ และการเลือกด้วยการลงคะแนนของกรรมการสรรหาแต่ละบุคคลที่ไม่มีการให้เหตุผล หรืออภิปรายร่วมกันเพื่อตัดสินใจในลักษณะกลุ่ม จึงเป็นการสรรหาที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล และไม่สามารถอธิบายหรือตอบคำถามของสาธารณชนได้ว่าบุคคลที่กรรมการสรรหาเลือกมามีคุณสมบัติเป็นไปตามเจตนารมณ์และบทบัญญัติของกฎหมายที่ต้องการ ได้บุคคลซึ่งมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์

3. จากประสบการณ์การสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนชุดที่สองได้แสดงให้เป็นที่ ประจักษ์แจ้งว่าการเลือกบุคคลที่ไม่มีความรู้ หรือประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์จะส่งผลเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนประมาณค่ามิได้ และจะทำให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติถูกลดระดับจากเกรด A เป็นเกรด B โดยสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ  ดังนั้น ผลการสรรหาครั้งนี้จะยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของนานาชาติต่อการปฏิบัติ หน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ และมีแนวโน้มที่จะบังเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนต่อไปอีก

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชนและองค์กรร่วมจึงขอเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาไม่ให้ความเห็นชอบกับการสรรหาบุคคลผู้สมควรเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญกำหนดบทบัญญัติให้มีองค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่หลากหลาย เป็นไปตามหลักการปารีส โดยให้มี ประธานสภาผู้แทนราษฎร อัยการสูงสุด นายกสภาทนายความ ตัวแทนสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชนที่มีการเรียนการสอนด้านสิทธิมนุษยชนศึกษา ตัวแทนภาคประชาสังคมที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของกลุ่มคนด้อยโอกาส และตัวแทนสื่อมวลชน เป็นคณะกรรมการสรรหา ทั้งนี้เพื่อให้ได้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนที่มีความหลากหลายตามหลักการปารีส และกำหนดให้ดำเนินการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาล

รายชื่อองค์กรและบุคคลร่วมลงนาม

1.       สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน(สสส)

2.       มูลนิธิส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

3.       คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(กป.อพช.)

4.       มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

5.       ศูนย์เผยแพร่และส่งเสริมงานพัฒนา (ผสพ.)

6.       สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน(สนส.)

7.       เครือข่ายประชาชนสีเขียวจังหวัดมหาสารคาม

8.       มูลนิธิพัฒนาชนกลุ่มน้อยและชาติพันธุ์

9.       ศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนบนพื้นที่สูง(ศปส.) องค์กรสาธารณะประโยชน์ ๗

10.   เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย(คชท.)

11.   เครือข่ายวิจัยและรณรงค์เพื่อสตรี

12.   ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น

13.   มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม

14.   มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ

15.   สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ

16.   มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม

17.   คณะทำงานวาระทางสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

18.   มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ

19.   สมาคมผู้บริโภคสงขลา

20.   เครือข่างองค์กรผู้บริโภคภาคใต้

21.   เครือข่ายหลักประกันสุขภาพประชาชนภาคใต้

22.   กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน

23.   มูลนิธิเพื่อนหญิง

24.   มูลนิธิเข้าถึงเอดส์

25.   มูลนิธิพัฒนาอีสาน

26.   นายประกาศ  เรืองดิษฐ์

27.   นายสุมิตรชัย หัตถสาร

28.   นายสุรชัย ตรงงาม

29.   นางสาวกาญจนา  แถลงกิจ 

30.   นายประยงค์ ดอกลำไย

31.   นางสาวราณี  หัสสรังสี

32.   เพ็ญโฉม  แซ่ตั้ง  ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ

33.   นายชาญยุทธ  เทพา  มูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลิศรัตน์ เชื่อ สปช. จะไม่คว่ำร่าง รธน. พร้อมเผยถ้าจะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ต้องถามประชาชน

$
0
0

โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างฯ มั่นใจ สปช. ไม่คว่ำร่าง รธน. ตามกระแสข่าว ย้ำ กมธ. แก้ไขร่างเป็นอย่างดี พร้อมเห็นว่าข้อเสนอที่ให้ปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง ต้องผ่านการทำประชามติสอบถามความเห็นจากประชาชนก่อน

4 ส.ค. 2558 สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์รายงานว่า พลเอกเลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกระแสข่าวสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ โดยเชื่อว่า สมาชิก สปช.จะใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบ และมีอิสระในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ เชื่อมั่นว่า จะไม่มีการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคณะกรรมาธิการได้ยกร่างฯ อย่างดีแล้ว และมีการปรับแก้ไข โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ

ส่วนข้อเสนอให้ปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง เห็นว่าต้องผ่านการทำประชามติจากประชาชนว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ หากเห็นด้วยต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ( สนช.) ให้ความเห็นชอบ

ส่วนการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญวันนี้ (4 ส.ค.) งดประชุม เพื่อให้คณะกรรมาธิการยกร่างฯ ที่เป็นสมาชิก สปช.เข้าร่วมประชุม สปช.ส่วนความคืบหน้าการยกร่างรัฐธรรมนูญ สัปดาห์หน้าจะเป็นการพิจารณาประเด็นที่ยังค้าง 2-3 ประเด็นให้แล้วเสร็จ และจะเชิญผู้เสนอคำขอแก้ไขเพิ่มเติมมารับทราบการปรับแก้ไข ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคมนี้ จากนั้นจะเริ่มกระบวนการสรุปเรียงมาตรา เพื่อจัดพิมพ์ส่ง สปช.วันที่ 22 ส.ค. นี้

ขณะเดียวกัน เว็บข่าวรัฐสภารายงานว่า พลเอกเลิศรัตน์ กล่าวด้วยว่า กรรมาธิการยกร่างฯ ส่วนใหญ่ถึง 21 คน จากจำนวนทั้งหมด 36 คน มาจาก สปช. และได้มีการประสานระหว่างกันอยู่ตลอดเวลาอีกทั้งเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญ กว่าร้อยละ 50 มาจาก สปช. ทั้งนี้ ยืนยันว่ากรรมาธิการยกร่างฯ บัญญัติทุกมาตราอย่างมีเหตุและผลที่ชัดเจน เป็นประโยชน์ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ ส่วนกรณีมีการตั้งข้อสังเกต สปช. บางคนจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเพราะประเด็นที่มานายกฯ ที่สามารถให้คนนอกเข้าทำหน้าที่ได้นั้น ตนเห็นว่าเป็นบุคคลกลุ่มเดิมที่แสดงออกอยู่แล้วว่าจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ต้น การตั้งประเด็นใด ๆ ถือเป็นข้ออ้างมากกว่า อย่างไรก็ตาม การที่สื่อมวลชนนำข้อคิดเห็นของบุคคลกลุ่มนี้มาเป็นตัวชี้วัดว่า สปช. จะรับร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โควทปลอมแต่กระสุนจริง : อธิบดีDSIยันไม่เคยพูด ‘กระสุนยาง’ พร้อมเปิดคำสั่งศาลชี้ชัดกระสุนจริงสังหาร

$
0
0

รายงานกระแสแชร์โควทอธิบดีDSI ปมทหารใช้กระสุนยางสลายแดง53 ตรวจสอบไม่พบที่มา ด้านเจ้าตัวยันไม่เคยพูด พร้อมย้อนดูยอดใช้กระสุนรวมเกือบ 2 แสนนัด-สไนเปอร์ 500 นัด และเปิด 11 คำสั่งศาลชี้ชัดกระสุนจริงจาก จนท.สังหาร

หลังจากกรณีการแชร์ข้อความในโซเชียลเน็ตเวิร์กในช่วงสัปดาห์ก่อน โดยอ้างว่า สุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวถึงการปฏิบัติหน้าที่ของทหารกรณีการสลายการชุมนุมเสื้อแดงในปี 53 นั้นใช้ ‘กระสุนยาง’ โดยข้อความดังกล่าวที่เผยแพร่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่มีการระบุที่มาแต่อย่างใด

ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตัวอธิบดีดีเอสไออย่างต่อเนื่อง ตัวอย่าง เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ร่วมกันเชียร์ คุณยิ่งลักษณ์ เพื่อไทย’ ซึงมีผู้กดถูกใจเพจถึงกว่า 2.6 แสนไลค์ โพสต์ข้อความและภาพ เมื่อวันที่ 4 ส.ค.58 เวลา 7.59 น. (URL : https://www.facebook.com/cheeryingluck/photos/a.211041105592928.57507.210602172303488/1018704568159907/ ) ในลักษณะดังกล่าวอีก จนมีผู้กดถูกใน 2,900 ไลค์ และแชร์กว่า 259 แชร์

โพสต์เจ้าปัญหาจากเพจ ‘ร่วมกันเชียร์ คุณยิ่งลักษณ์ เพื่อไทย’ 

จากการตรวจสอบ เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ทั้ง ข่าวสดออนไลน์ และผู้จัดการออนไลน์รายงานตรงกันว่า สุวณา ออกมาให้ข่าวถึงความคืบหน้าของคดีสลายการชุมนุมปี 53 ว่า คณะพนักงานสอบสวนได้หารือกันในส่วนของสำนวนการสอบสวนคดี 99 ศพ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 เพื่อดูความสมบูรณ์ของสำนวน และเตรียมเสนอความเห็นให้อัยการสั่งฟ้องภายในเดือน ส.ค. นี้

โดยจากรายงานข่าวของทั้งข่าวสดฯและผู้จัดการฯ ไม่พบว่าสุวณา ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทหารใช้เพียงกระสุนยาง ตามที่มีการเผยแพร่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กแต่อย่างไร มีเพียงรายงานข่าวตอนท้ายที่ระบุว่า

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ..จากการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ทั้งที่บริเวณแยกคอกวัว บริเวณ ถ.ราชปรารภ บริเวณ ถ.พระราม 4 และบริเวณอื่นๆ ที่มีการเสียชีวิตของประชาชนและทหาร โดยเจ้าหน้าที่ทหารส่วนใหญ่ที่พนักงานสอบสวนเรียกเข้ามาให้ปากคำนั้นยืนยันว่า ขณะปฏิบัติหน้าที่ในวันและเวลาดังกล่าวเป็นไปตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) และยืนยันด้วยว่าใช้กระสุนยางเพียงอย่างเดียว ไม่มีการใช้กระสุนจริงแต่อย่างใดทั้งนี้ การสืบสวนสอบสวนดังกล่าวเป็นไปตามขั้นตอนปกติของการสอบสวน ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้เร่งสรุปสำนวนคดีนี้ให้เสร็จโดยเร็ว และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย (คลิกอ่านรายละเอียด)

อธิบดีDSI ยันไม่เคยให้สัมภาษณ์ประเด็นทหารไม่ใช้กระสุนจริง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา โพสต์ทูเดย์ได้รายงานถึงคำชี้แจงของ สุวณา ต่อกรณีดังกล่าวด้วยว่า ไม่เคยให้สัมภาษณ์ หรือยืนยัน เรื่องดังกล่าวแต่อย่างใดเพราะเป็นเรื่องในสำนวนการสอบสวน 

"ที่ผ่านมาได้ให้สัมภาษณ์เพียงว่าเป็นการทำงาน ในรูปแบบคณะพนักงานอบสวนระหว่างตำรวจกองบัญชาตำรวจนครบาล และดีเอสไอ ไม่เคยระบุถึงเนื้อหาในสำนวนการสอบสวนว่าบุคคลต่างๆให้การว่าอย่างไร"อธิบดีดีเอสไอกล่าว

สวุณา กล่าวว่า ในเนื้อหาที่ปรากฎในข่าวเป็นการให้สัมภาษณ์ของตนส่วนหนึ่ง และอีกส่วนเป็นรายงานข่าวเรื่องการสอบสวน โดยได้สอบถามกับรองอธิบดีดีเอสไอที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่มีการให้ข่าวเช่นกัน

ญาติกังวล ขอป.ป.ช. นำสำนวนการไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลมาประกอบ

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้น วันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 ได้รวมตัวกันเพื่อเดินทางมายื่นหนังสือต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมี สุทธิ บุญมี ผู้อำนวยการสำนักการข่าวและกิจการพิเศษ เป็นผู้แทนรับหนังสือ โดยมีเนื้อหาระบุว่า การดำเนินคดีดังกล่าว นั้นหลังเหตุการณ์ผ่านมากว่า 5 ปีแล้ว การดำเนินการต่างๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและการดำเนินการกับผู้สั่งการและผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดยังไม่มีคืบหน้าเท่าที่ควร อีกทั้งกรรมการป.ป.ช.บางรายได้ให้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับการไต่สวนข้อเท็จจริงทำให้ญาติผู้เสียชีวิตเกรงว่าจะไม่ได้ความเป็นธรรม

พร้อมทั้ง ขอให้ป.ป.ช. นำสำนวนการไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลและรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรมาประกอบการพิจารณาและสอบพยานผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด อีกทั้งขอให้นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการทางกฎหมาย (อ่านรายละเอียด)

ยอดใช้กระสุน ปี 53 รวมเกือบ 2 แสนนัด-สไนเปอร์ 500 นัด

ขณะที่หากย้อนกลับไปถึงยอดการใช้กระสุนในการสลายการชุมนุมปี 53 นั้น สำนักข่าวอิศรารายงาน เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2555 โดยอ้างถึงวาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้โพสต์ภาพพร้อมเขียนข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก Wassana Nanuam (เมื่อ ก.ย.55) ว่า “กระสุนศอฉ.53....รายงานที่ คอป.อาจยังไม่เคยเห็น...ทบ.สรุปรายงานยอดกระสุนที่ใช้สลายม็อบแดง 191,949 นัดแม้จะพยายามหามาคืนให้มากที่สุดแล้วก็ตาม เผย “พล.อ.ประยุทธ์” (จันทร์โอชา ผบ.ทบ.) เร่งสรุป ให้ตัวเลขน่าพอใจและยอมรับได้ แต่อ้างใช้กระสุนซุ่มยิง sniper หลายแบบ แต่ที่เป็น sniper จริงๆของหน่วยรบพิเศษ รวมใช้ 500 นัด แต่ปืนซุ่มยิงดัดแปลง M1 ใช้ไป 4,842 นัด....ทบ.เพิ่งสรุปยอดกระสุนที่ใช้ไปในตอน ศอฉ.สลายเสื้อแดง 2553 ได้ เมื่อไม่กี่วันมานี้ ทั้งๆ ที่ผ่านมา 2 ปี ทบ.แจ้งให้หน่วยที่เบิกจ่ายไปส่งคืน ครั้งแรก ตัวเลขกระสุนสูงปรี๊ด จนไม่กล้าสรุป ทบ.ให้เวลาหน่วยไปหากระสุนมาคืนคลังให้ได้มากที่สุด จนมีการส่งคืนครั้งที่ 2 แล้วสรุปออกมาว่า มีการเบิกจ่ายกระสุนไป 9 ชนิด รวม 778,750 นัด และมีการส่งยอดคืน จำนวน 586,801 นัด สรุปใช้ไปจำนวน 191,949 นัด แม้ตัวเลขรวมจะมากกว่ารายงานของ คอป. แต่ยอดกระสุนสไนเปอร์จริงๆ รวม 500 นัด ..โดยรายงานนี้จะนำเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. หลังกลับจากเยือนอินโดนีเซีย”

‘อภิสิทธิ์’ รับกับ BBC ยันใช้กระสุนจริงเป็นสิ่งจำเป็น

ที่มาของภาพ: คัดลอกจาก BBC World News

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 55 รายการ BBC World News ทางสถานีโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษ ได้เผยแพร่การสัมภาษณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อเรื่องการสั่งฟ้องและการมีส่วนรับผิดชอบในคดีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมที่มีสาเหตุจากเจ้าหน้าที่รัฐในระหว่างการสลายการชุมนุมเดือนพ.ค. 53 โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การใช้กำลังทหารและการใช้กระสุนจริงในระหว่างการสลายการชุมนุมเป็นเรื่องที่จำเป็น เนื่องจากมีกลุ่มติดอาวุธอยู่ในพื้นที่ชุมนุม หรือชายชุดดำ ซึ่งยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และผู้ชุมนุม และยังกล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตราว 20 คน ที่สรุปได้แล้วว่า เสียชีวิตจากกลุ่มติดอาวุธภายในผู้ชุมนุม (อ่านรายละเอียด)

เปิดคำสั่งศาล กรณีระบุตายจากการปฏิบัติหน้าที่ จนท.

กระบวนการไต่สวนการเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมปี 53 ซึ่งเริ่มกระบวนการมาได้กว่า 5 ปีแล้วนั้น มีหลายกรณีที่ศาลมีคำสั่งระบุถึงสาเหตุการณ์เสียชีวิตของผู้ตายมาจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ดังนี้

“พัน คำกอง” 

คนขับแท็กซี่ที่ถูกยิงเสียชีวิตคืนวันที่ 14 ต่อ 15 พ.ค.53 บริเวณแอร์พอร์ตลิงก์ ถนนราชปรารภ ในเหตุการณ์ทหารยิงรถตู้ที่วิ่งเข้ามา

ศาลสั่งเมื่อวันที่ 17 ก.ย.55 (อ่านรายละเอียดคำสั่ง)

"เหตุและพฤติการณ์ที่ตายเกิดจากการถูกลูกกระสุนปืนขนาด .223 (5.56 มม.) จากอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงครามที่เจ้าพนักงานทหารร่วมกันยิงไปที่รถยนต์ตู้ หมายเลขทะเบียน ฮค 8561 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายสมร ไหม เป็นผู้ขับ แล้วลูกกระสุนปืนไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตายในขณะเจ้าพนักงานทหารกำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบ ปิดล้อมพื้นที่ควบคุมตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน"

“ชาญณรงค์ พลศรีลา”

คนขับรถแท็กซี่เสื้อแดงที่ถูกยิงและเสียชีวิตบริเวณหน้าปั้มเชลล์ ถนนราชปรารภ ช่วงบ่ายวันที่ 15 พ.ค.53 ภาพเหตุการณ์ที่เขาถูกยิงถูกถ่ายและเผยแพร่โดยช่างภาพต่างประเทศ นิค นอสติทช์

ศาลเมื่อวันที่ 26 พ.ย.55 (อ่านรายละเอียดคำสั่ง)

“เป็นการเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารขณะควบคุมสถานการณ์การชุมนุม ตามคําสั่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ที่บริเวณถนนราชปรารภ ด้วยกระสุนปืนเล็กกลขนาด .223 หรือ 5.56 มิลลิเมตร ที่บริเวณช่องท้องและแขน เป็นเหตุให้เสียชีวิตแต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นทหารคนใดหรือสังกัดใดที่ทำให้นายชาญณรงค์เสียชีวิต” 

คำสั่งศาลระบุด้วยว่ากระสุนดังกล่าวเป็นกระสุนที่ใช้กับ ปืน HK33, M16 และ ปืนทราโว่ ทาร์ 21 ซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกให้กับบุคคลทั่วไปได้ และมีใช้ในการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ ทั้งนี้ประจักษ์พยานที่ส่วนใหญ่ซึ่งเป็นนักข่าวชาวไทยและชาวต่างชาติยืนยันตรงกันว่ากระสุนถูกยิงมาจากฝั่งที่ทหารวางกำลังอยู่ รวมทั้งพยานที่เป็นพนักงานสอบสวนในดดีนี้เบิกความด้วยว่าในบริเวณที่ทหารวางกำลังอยู่นั้นไม่สามารถมีบุคคลอื่นใดเข้าออกได้ ทำให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่ากระสุนปืนที่มาจากฝั่งทหารนั้น จึงไม่มีใครที่อยู่ในพื้นที่นั้นได้นอกจากเจ้าหน้าที่ทหาร อีกทั้งพยานยืนยันด้วยว่าผู้ตายไม่ได้มีการใช้อาวุธตอบโต้หรือยั่วยุเจ้าหน้าที่

"ด.ช.อีซา"

ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณหรือ “อีซา” อายุ 12 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตจากบาดแผลกระสุนปืนความเร็วสูงที่หลังทะลุ เข้าช่องท้องทําให้เลือดออกมากในช่องท้องเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 53 เวลาหลังเที่ยงคืน ที่บริเวณใต้แอร์พอร์ตลิงก์ ปากซอยหมอเหล็ง หน้าโรงภาพยนตร์โอเอ ถนนราชปรารภ 

ศาลมีคำสั่งเมื่อ 20 ธ.ค.55 (อ่านรายละเอียดคำสั่ง)

“ผู้ตายคือ ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ ตายระหว่างถูกนำส่งโรงพยาบาลพญาไท 1 แขวงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 พ.ค.53 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง เหตุและพฤติการณ์ที่ตายคือถูกลูกกระสุนปืนซึ่งยิงจากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่

คำสั่งศาลระบุด้วยว่า แม้พยานผู้ร้องจะไม่มีใครสามารถระบุตัวได้แน่ชัดว่า ผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นใคร แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันเกิดเหตุ ถ.ราชปรารภตั้งแต่ สี่แยกประตูน้ำไปจนถึง สี่แยกมักกะสัน เป็นพื้นที่ควบคุม โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 31 รักษาพระองค์ และกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ประจำอยู่ตลอดแนวถนนราชปรารภทั้ง 2 ฝั่ง จึงเป็นการยากที่บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทหารจะเข้าไปอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุได้โดยไม่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งประจำการอยู่พบเห็น อีกทั้งแพทย์ผู้ตรวจศพผู้ตายได้เบิกความรับรองว่าพบโลหะชิ้นเล็กที่บาดแผลของผู้ตาย สันนิษฐานว่าเป็นโลหะจากหัวกระสุนปืนความเร็วสูงซึ่งเป็นปืนที่ใช้ในราชการสงคราม ประเภท เอ็ม16 หรืออาก้า ซึ่งเมื่อพิจารณาคำเบิกความของพยานผู้ร้องและภาพที่ปรากฏในแผ่นดีวีดีหลักฐาน จะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำการบริเวณที่เกิดเหตุหลายคนมีอาวุธปืนเอ็ม16 อยู่ด้วย ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังเป็นประการอื่นได้

“พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ”
ทหารสังกัด ร.พัน. 2 พล.ร. 9 จ.กาญจนบุรี ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่เร็ว เพื่อระงับเหตุการณ์การปะทะกันของตำรวจ ทหาร กับผู้ชุมนุม นปช. ที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เขตบางเขน ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2553

ศาลมีคำสั่งวันที่ 30 เม.ย.56 (อ่านรายละเอียดคำสั่ง)

"เหตุและพฤติการณ์การตายคือ ถูกระสุนปืนความเร็วสูง ซึ่งยิงจากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังปฎิบัติหน้าที่ โดยกระสุนถูกที่ศรีษะด้านซ้ายหางคิ้วผ่านทะลุกระโหลกศรีษะทำลายเนื้อสมองเป็นเหตุให้เสียชีวิต”

“ฟาบิโอ โปเลนกี”

ช่างภาพชาวอิตาลี ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553

ศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 56 (อ่านรายละเอียดคำสั่ง)

“เหตุและพฤติการณ์แห่งการตายสืบเนื่องมาจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืน เป็นเหตุให้เกิดบาดแผลกระสุนปืนทะลุหัวใจ ปอด ตับ เสียโลหิตปริมาณมาก โดยมีวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าพนักงานที่กำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่จากทางแยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ”

“6 ศพวัดปทุมฯ”

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ผู้เสียชีวิตทั้ง 6 รายได้แก่ นายสุวัน ศรีรักษา ผู้ตายที่ 1 นายอัฒชัย ชุมจันทร์ ผู้ตายที่ 2 นายมงคล เข็มทอง ผู้ตายที่ 3 นายรพ สุขสถิต ผู้ตายที่ 4 นางสาวกมนเกด อัคฮาด ผู้ตายที่ 5 นายอัครเดช ขันแก้ว ผู้ตายที่ 6

ศาลมีคำสั่งเมื่อ 6 ส.ค.56 (อ่านรายละเอียดคำสั่ง)

“ผู้ตายทั้ง 6 เสียชีวิตเนื่องมาจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งวิถีกระสุนปืนยิงมาจากเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมวนารามราชวรวิหารและบริเวณถนนพระรามที่ 1 ซึ่งเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.”

ภายหลังการอ่านคำสั่ง ศาลกล่าวสรุปประเด็นให้ผู้ที่เข้าร่วมฟังด้วยว่า

1.     เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานทหาร

2.     ผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีคราบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้าง แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนมาก่อน

3.     การตรวจยึดอาวุธในวัดปทุมวนาราม ไม่น่าเชื่อว่ามีการตรวจยึดจริง และ

4.     กรณีชายชุดดำ ไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณดังกล่าว

“จรูญ ฉายแม้น-สยาม วัฒนนุกูล”

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53

ศาลสั่งเมื่อวันที่ เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 56 (อ่านรายละเอียดคำสั่ง)

"วิถีกระสุนปืนยิงมาจากฝ่ายเจ้าพนักงานที่ถอยร่นจากแนวป้องกันบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาไปที่บริเวณซอยข้างวัดบวรนิเวศใกล้แยกสะพานวันชาติ โดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ"

ศาลระบุว่า ได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องแล้วเห็นว่า ผู้ร้องมีประจักษ์พยาน 4 ปากอยู่ในที่เกิดเหตุบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ต่างเบิกความยืนยันว่า เห็นประกายไฟจากกระบอกปืนและได้ยินเสียงปืนจากทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่ถอยร่นจากแนวป้องกันบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาไปบริเวณซอยข้างวัดบวรนิเวศใกล้สี่แยกสะพานวันชาติ ซึ่งขณะนั้นประจักษ์พยานเห็นผู้ตายทั้งสองล้มลงที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา จึงเชื่อว่าพยานทั้ง 4 ต่างเบิกความไปตามความจริงที่ได้รู้เห็นมา ประกอบกับแพทย์จากนิติเวชที่ชันสูตรศพผู้ตายทั้งสองยืนยันว่านายจรูญ ผู้ตายที่ 1 ถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลกลาง โดยสาเหตุการตายเกิดจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง

ทั้งนี้เมื่อตรวจสอบพบเศษลูกกระสุนปืน เศษตะกั่ว เศษเหล็กในศพของผู้ตายที่ 1  ส่วนนายสยาม ผู้ตายที่ 2 เสียชีวิตระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาลกลาง ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืน ตรวจพบเศษตะกั่วในศพผู้ตายที่ 2 ประกอบกับผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนยืนยันว่า เศษลูกกระสุนปืนที่พบในศพของผู้ตายที่ 1 เป็นอาวุธปืนที่เจ้าหน้าที่ใช้ในวันเกิดเหตุ และแม้ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเศษตะกั่วที่พบในศพผู้ตายที่ 2 มีขนาดเท่าใด แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้ตายทั้งสองอยู่ในบริเวณเดียวกันและล้มลงในช่วงระหว่างที่เจ้าพนักงานใช้อาวุธปืนยิงมาทางผู้ชุมนุมที่ติดตามเข้าไป จึงเชื่อว่าผู้ตายทั้งสองถูกกระสุนปืนที่ยิงมาจากบริเวณเดียวกัน นอกจากนี้ คำเบิกความของพยานยังสอดคล้องกับผู้ตรวจวิถีกระสุนในบริเวณที่เกิดเหตุ จากข้อเท็จจริงและเหตุผลทั้งหมดที่ได้วินิจฉัยมา เชื่อได้ว่ากระสุนปืนที่ยิงถูกผู้ตายทั้งสองนั้น มีวิถีกระสุนปืนที่ยิงมาจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ แต่พยานของผู้ร้องทั้งหมดที่นำสืบมา ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ

“ถวิล คำมูล”
ถวิล คำมูล ศพแรก 19 พ.ค.53 บริเวณศาลาแดง ข้างตึก สก. รพ.จุฬาลงกรณ์

ศาลศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.56 (อ่านรายละเอียดคำสั่ง)

เสียชีวิตด้วยกระสุนปืนลูกโดดความเร็วสูงที่ศีรษะ วิถีกระสุนมาจากด้านเจ้าหน้าที่ทหาร แต่ยังไม่ทราบว่าใครลงมือ”

“ชายไม่ทราบชื่อ”

ชายไทยไม่ทราบชื่อนามสกุล ที่ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณแยกสารสิน ถนนราชดำริ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53

ศาลมีคำสั่งเมื่อ 17 ก.พ.57 (อ่านรายละเอียดคำสั่ง)

“ผู้ตายคือชายไทยไม่ทราบชื่อนามสกุล ถึงแก่ความตายที่ถนนราชดำริ หน้าอาคาร สก. รพ.จุฬาฯ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 เวลาประมาณ 10.00 น. เหตุและพฤติการณ์การตาย สืบเนื่องมาจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนลูกโดดความเร็วสูงที่ศีรษะทะลุเข้ากะโหลกศีรษะทำลายเนื้อสมอง ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทหารเคลื่อนกำลังพลเข้ามาควบคุมพื้นที่จากแยกศาลาแดงมุ่งหน้าถนนราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำ”

“นรินทร์ ศรีชมภู”

ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 เวลาประมาณ 8.00 – 9.00 น. โดยถูกยิงเข้าที่ศีรษะ บริเวณทางเท้าหน้าคอนโดมิเนียมบ้านราชดำริ ถนนราชดำริ (ใกล้เคียงกับจุดที่ฟาบิโอ ช่างภาพอิตาลีถูกยิง)

ศาลมีคำสั่งเมื่อ 25 มี.ค.57 (อ่านรายละเอียดคำสั่ง)

“เหตุและพฤติการณ์แห่งการตาย สืบเนื่องมาจากถูกยิงบริเวณศรีษะ กระสุนปืนทำลายสมองด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง วิถีกระสุนปืนมาจากทางด้านเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ในการเข้าควบคุมพื้นที่จากแยกศาลาแดงมุ่งไปทางแยกราชดำริ ตามคำสั่งของ ศอฉ. โดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ”

“เกรียงไกร คำน้อย”

โชเฟอร์รถตุ๊กตุ๊ก ที่ถูกยิงเสียชีวิตเป็นศพแรกในเหตุการณ์สลายการชุมนุม นปช. บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยถูกยิงข้างกำแพงกระทรวงศึกษาธิการ ช่วงบ่ายวันที่ 10 เม.ย. 53 และเสียชีวิตวันต่อมา

ศาลมีคำสั่งเมื่อ 4 ก.ค.57 (อ่านรายละเอียดคำสั่ง)

เสียชีวิตที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2553  ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากเสียเลือดมาก จากการถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง ซึ่งมีวิถีกระสุนมาจากเจ้าหน้าที่ทหารในการปฎิบัติหน้าที่ขอคืนพื้นที่ จากทางด้านแยกสวนมิสกวัน ผ่านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ มายังสะพานมัฆวานรังสรรค์ ตามคำสั่งของศอฉ. โดยไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เรื่องราวชีวิตคนขายน้ำชาข้างถนนในอินเดีย ผู้มีหนังสือขายดีในเว็บ Amazon

$
0
0

เรื่องราวของคนขายน้ำชาข้างถนนในอินเดียผู้มีความมุมานะอยากเป็นนักเขียนถึงขั้นเร่ขายหนังสือที่ตีพิมพ์เองตามสถานศึกษาต่างๆ และมีการส่งขายทางร้านค้าอินเทอร์เน็ต เขาเคยได้รับรางวัลทางวรรณกรรมและเคยพบปะกับอดีตนายกฯ อินทิรา คานธี แต่เรื่องราวชีวิตเขาก็สะท้อนให้เห็นการแบ่งชนชั้นในวงการวรรณกรรมอินเดีย


เพจเฟซบุ๊กของ ลักษมัณ เรา ที่ลูกชายเปิดให้


3 ส.ค. 2558 สำนักข่าวบีบีซีเผยแพร่รายงานแนะนำให้รู้จักกับ ลักษมัณ เรา ชายคนขายชาข้างถนนที่มีชื่อเสียงในฐานะนักเขียนที่มีผลงานทั้งนิยาย บทละคร และบทความทางการเมือง มากกว่า 24 เล่ม โดยมีการขายหนังสือของเขาผ่านเว็บไซต์อย่างแอมะซอน

ผู้สื่อข่าวบีบีซี อนัสสุยา บาสุ สัมภาษณ์ "ลักษมัณ เรา" ชายผู้ที่ไม่เพียงแค่เป็นคนขายชานมรสหวานบนร้านริมทางเท้าที่ดูสมถะ แต่ยังเป็นนักเขียนนิยายภาษาฮินดีผู้ที่เขียนถึงชีวิตการต่อสู้โดยได้แรงบันดาลใจมาจากการพูดคุยกับลูกค้าของเขาเอง

ลักษมัณเกิดมาในครอบครัวชาวนาที่รัฐมหาราษฏระก่อนที่ต่อมาจะเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงกรุงนิวเดลีในปี 2518 เพื่อที่จะทำตามความฝันของตัวเองคือการเป็นนักเขียน เขาเคยทำงานเป็นคนงานก่อสร้างและคนล้างจานจนกระทั่งสามารถเปิดร้านขายใบพลูและยาสูบของตัวเองได้ หลังจากนั้นเขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดลีด้วยโครงการศึกษาทางไกลแล้วจึงหันมาเปิดร้านน้ำชาเพราะทำกำไรได้มากกว่า

บีบีซีรายงานว่าลักษมัณพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะหาคนตีพิมพ์หนังสือของเขา แต่ทุกครั้งที่มีการพบปะหารือกับสำนักพิมพ์ก็ทำให้เขาผิดหวังเพราะไม่มีสำนักพิมพ์ไหนอยากเสี่ยงตีพิมพ์งานของคนขายของข้างถนน แต่ลักษมัณก็ไม่ยอมแพ้ เขาสะสมเงินตีพิมพ์ผลงานของตัวเองจนมีนิยายที่ตีพิมพ์ด้วยตัวเองเล่มแรกในปี 2522

"สำนักพิมพ์มักจะมีท่าทีถือตัวว่ามีรสนิยมกว่าคนอย่างพวกเราและต้องการเงินตีพิมพ์ผลงานของพวกเรา ผมไม่มีเงินให้พวกเขา ดังนั้นผมจึงต้องตั้งสำนักพิมพ์เอง" ลักษมัณกล่าว

อย่างไรก็ตามหนังสือของเขาก็กลายเป็นที่นิยม เช่นเรื่อง "รามดาส" ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2535 เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างครูกับนักเรียน มียอดขายมากกว่า 4,000 เล่มและมีการตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 3 อีกทั้งลักษมัณยังเคยเข้าพบกับผู้นำทางการเมืองจนเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนบทความทางการเมือง โดยหลังจากมีนักการเมืองอาวุโสของอินเดียพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีในยุคนั้นคืออินทิรา คานธี เกี่ยวกับหนังสือของลักษมัณทำให้เขาได้รับเชิญจากนายกฯ เข้าพบในปี 2527

ลักษมัณเล่าว่าเขาไปพบอินทิรา คานธี พร้อมกับหนังสือ 2 เล่ม อินทิราดูชื่นชมผลงานของเขามากและให้กำลังใจเขาให้เขียนต่อไป เขาบอกว่าเขาต้องการเขียนเรื่องของอินทิราแต่ตัวนายกฯ เองบอกเขาว่า อยากให้เขียนถึงผลงานของเธอมากกว่าเรื่องราวชีวิตเธอเอง ทำให้ลักษมัณเขียนบทความเกี่ยวกับช่วงเวลาที่อินทิราดำรงตำแหน่งในช่วงปี 2512-2515 แต่อินทิราก็ถูกยิงเสียชีวิตก่อนที่หนังสือจะตีพิมพ์ หลังจากอินทิราเสียชีวิต ลักษมัณก็เขียนบทละครเกี่ยวกับชีวิตของเธอในชื่อ "ประธานมนตรี" (คำที่อินเดียใช้เรียกนายกรัฐมนตรี) ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับหนังสือบทความ

บีบีซีระบุว่าในตอนนี้ลักษมัณขายหนังสือของเขาผ่านทางเว็บออนไลน์อย่างแอมะซอนและฟลิบคาร์ท ซึ่งทางโฆษกของแอมะซอนอินเดียให้สัมภาษณ์ต่อบีบีซีว่าหนังสือของลักษมัณขายดีมากในเว็บของพวกเขาและพวกเขาก็ดีใจที่ลักษมัณใช้เว็บของพวกเขาเป็นช่องทางขายหนังสือ

เรื่องหนึ่งของลักษมัณที่ติดอันดับหนังสือขายดีคือเรื่อง 'นาร์มาดา' (Narmada) นิยายโรแมนติกที่มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ ที่เป็นเรื่องราวความรักของชายนักศึกษาไอทีที่ตกหลุมรักกับนาร์มาดาลูกสายของหัวหน้าคนงานก่อสร้าง แต่ก็ถูกผู้ใหญ่จับคลุมถุงชนให้แต่งงานกับผู้หญิงในวรรณะเดียวกับเขา

ลักษมัณยังมีผู้ช่วยประสานงานการขายหนังสือทางอินเทอร์เน็ตคือลูกชายคนโตของเขาเอง อีกทั้งยังเป็นคนเปิดเพจของพ่อเขาในเฟซบุ๊ก แม้ว่าจะขายหนังสือในอินเทอร์เน็ตได้มาก แต่ลักษมัณก็ยังคงปั่นจักรยานตระเวนขายหนังสือของเขาตามที่ต่างๆ อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เว็บไซต์ยัวร์สตอรี่ระบุว่าเขาปั่นจักรยานเร่ขายหนังสือในตอนเช้าเป็นระยะทางมากกว่า 60 กม. ตามสถานศึกษาและห้องสมุดต่างๆ และคนที่ซื้อหนังสือน้อยคนที่จะรู้ว่านี่เป็นหนังสือที่เขาเขียนเอง

"มองดูแล้วคงไม่มีใครคิดว่าผมเป็นคนเขียนหนังสือ พวกเขาคงมองเห็นจักรยานเก่าๆ เสื้อผ้าโทรมๆ เปราะเปื้อนด้วยโคลนและเหงื่อแล้วคงคิดว่าผมเป็นแค่คนเร่ขายของคนหนึ่ง ผมไม่บอกใครว่าผมเป็นคนเขียนหนังสือของผมจนกระทั่งจะมีคนถามถึงผู้เขียน" ลักษมัณกล่าว

ถึงแม้ว่าลักษมัณจะได้รับรางวัลทางวรรณกรรมหลายรางวัลและได้รับการยอมรับจากอดีตประธานาธิบดีประติภา ปาฏีล แต่เขาก็ไม่เคยได้รับเชิญให้ไปเข้าร่วมเทศกาลวรรณกรรมในอินเดียเลยสักครั้ง นอกจากนี้อาชีพขายชาของลักษมัณก็สร้างรายได้ไม่มากนัก เขาได้เงินราว 1,200 รูปี (ราว 600 กว่าบาท) ต่อวันจากร้านน้ำชาเล็กๆ ของเขาซึ่งในอินเดียถือเป็นรายได้ที่พอมีพอกินไปวันๆ

อย่างไรก็ตาม ลักษมัณเองบอกว่าเขาเขียนหนังสือเพื่อเป็นการทำตามความปรารถนาของตนเองมากกว่าจะเป็นการหารายได้ เขาเป็นคนที่จะรู้สึกมีความสุขมากกว่าเวลาที่ได้เห็นคนอ่านหนังสือของตน แต่กระนั้นสิ่งที่ลักษมัณต้องเผชิญถือเป็นการสะท้อนให้เห็นสภาพการแบ่งชนชั้นของศิลปินในสังคมอินเดีย ยัวร์สตอรี่ระบุว่าลักซ์มีเคยเข้าหาสังคมวรรณกรรมหลายแห่งในอินเดียพร้อมกับหนังสือของเขาแต่ก็ถูกขับไล่ไสส่งโดยที่ไม่แม้แต่จะดูผลงานของเขาเลย

"ไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าคนขายน้ำชาข้างถนนจะอ่านและเขียนหนังสือได้ด้วย" ลักษมัณกล่าว

"นักเขียนหลายคนพยายามงัดกลวิธีทำการตลาดให้กับหนังสือของพวกเขา มีการทำภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์จากหนังสือของพวกเขา แต่ตัวผมเองเป็นคนเรียบง่าย ผมได้รับจดหมายส่งมาให้ที่อยู่บนทางเท้าของผมเอง หนังสือของผมมีอยู่ตามห้องสมุดของโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยในเมือง แล้วตัวผมเองก็มักจะถูกเชิญให้ไปพูดในโรงเรียนหรือวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ ผมคงไม่เรียกร้องอะไรไปมากกว่านี้ในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง" ลักษมัณกล่าวในขณะที่กำลังส่งถ้วยชาให้กับผู้หญิงไร้บ้านคนหนึ่งที่มารอน้ำชาที่ร้านเขาอย่างอดทน

 

เรียบเรียงจาก

Indian tea-seller who hawks his books on Amazon, BBC, 03-08-2015
http://www.bbc.com/news/world-asia-india-33532665

This Delhi roadside chaiwalla cycles 100 km a day to peddle his 24 books, Your Story, 17-05-2015
http://yourstory.com/2015/05/chaiwalla-author/


ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

ข้อมูลหนังสือเรื่อง Narmada, Amazon India
http://www.amazon.in/NARMADA-English-Edition-Bestselling-Romantic-ebook/dp/B00XKWSRNW/ref=zg_bs_2590379031_1

https://en.wikipedia.org/wiki/Laxman_Rao

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กมธ. ปฏิรูปสังคมฯ สปช. เสนอ ปฎิรูปสังคมเตรียมรับสังคมสูงวัย เน้นสร้างกลไกการออม

$
0
0

เตรียมปฏิรูปรองรับสังคมผู้สูงวัย สปช. เสนอสร้างหลักประกันทางรายได้ผู้สูงอายุ เน้นรัฐสร้างกลไกการออม เปลี่ยนกฏหมายเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุ เป็น พ.ร.บ. บำนาญพื้นฐาน

4 ส.ค. 2558 เว็บข่าวรัฐสภา รายงานว่า ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เสนอรายงานวาระปฏิรูปสังคมสูงวัย ต่อที่ประชุม สปช. เรื่อง การปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัย (รอบ 2) ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ พิจารณาเสร็จแล้ว

เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ประธานคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย พร้อมคณะ ได้ชี้แจงประเด็นการปฏิรูปใน 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย การปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยด้านเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างหลักประกันทางรายได้สำหรับผู้สูงอายุและประชากรรุ่นใหม่ โดยรัฐต้องสร้างกลไกการออมและสร้างกลไกการเชื่อมต่อและบริหารจัดการกองทุน ต่างๆ แบบบูรณาการเพื่อการวางระบบบำนาญพื้นฐานให้กับประชาชนในทุกกลุ่มด้วยการ พัฒนาระบบบำนาญแห่งชาติ อาทิ เปลี่ยนสถานะของกฎหมายของเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุ ให้เป็น “พระราชบัญญัติบำนาญพื้นฐาน” และการจัดโครงสร้างใหม่ในการอภิบาลระบบบำนาญแห่งชาติให้เป็นระบบมากขึ้น ควบคู่กับการเตรียมความพร้อมพัฒนาคุณภาพแรงงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับระบบเศรษฐกิจไทยภายใต้บริบทสังคมสูงวัย อาทิ การขยายอายุเกษียณของภาคราชการ และส่งเสริมการทำงานผู้สูงอายุ

ขณะที่การปฏิรูปด้านสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสาธารณะ ควรสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนสร้างชุมชนที่น่าอยู่สำหรับผู้สูงวัย ปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สามารถเชื่อต่อระบบขนส่งมวลชนและบริการ สาธารณะได้อย่างเหมาะสม รวมถึงส่งเสริมบ้านปลอดภัยสำหรับประชากรวัยเกษียณด้วย

ส่วนการปฏิรูปด้านสุขภาพ ได้เน้นสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการร่วมพัฒนาระบบดูแลสุขภาพผู้สูงวัยใน ทุกระดับตั้งแต่ครอบครัว พร้อมจัดระบบผู้ดูแลที่ได้รับการว่าจ้างทั้งการดูแลที่บ้าน และในหน่วยบริการทั้งภาครัฐและเอกชนโดยมีกฎหมายรองรับในการกำกับมาตรฐาน

สำหรับการปฏิรูปด้านสังคม ต้องส่งเสริมการวางแผนชีวิตครอบครัวแนวใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพครอบครัวให้เป็นสถาบันหลักในการสร้างความมั่นคง และเพิ่มคุณค่าผู้สูงอายุเพื่อพัฒนาทัศนคติที่ดีในการสร้างคุณค่าประชากรใน ทุกช่วงวัย โดยภาครัฐและเอกชนต้องทำงานเชิงรุกเพื่อรองรับสังคมสูงวัยด้วย

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จำคุก ‘ชนม์สวัสดิ์’ 1 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีทุจริตเลือกตั้ง

$
0
0

ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น จำคุกนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายก อบจ.สมุทรปราการ 1 ปี 6 เดือน ความผิดฐานทุจริตเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล ไม่รอลงอาญา

4 ส.ค.2558 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า เวลา 13.00 น.วันนี้ ศาลจังหวัดสมุทรปราการ อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา สั่งจำคุกนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ เป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นผู้มีหน้าที่การในเลือกตั้งหรือเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง จงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำการโดยเจตนาขัดขวางไม่เป็นไปตามกฎหมาย

คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 พ.ค.2542 นายประสันต์ ศีลพิพัฒน์ ผู้สมัครเลือกตั้งกลุ่มเมืองสมุทร คู่แข่งขันกับกลุ่มปากน้ำ 2000 ของนายนายชนม์สวัสดิ์ เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.อ.เมืองสมุทรปราการว่า มีการทุจริตการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ โดยมีผู้นำบัตรเลือกตั้งผีมาใส่ในหีบบัตรของนายประสันต์

ต่อมา อัยการจังหวัดสมุทรปราการ ได้ยื่นฟ้องนายชนม์สวัสดิ์ หัวหน้ากลุ่มปากน้ำ 2000 และผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ โดยศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกนายชนม์สวัสดิ์ เป็นเวลา 4 ปี ไม่รอลงอาญา และต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำนายชนม์สวัสดิ์ เป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญาเช่นเดียวกัน ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ในวันนี้


ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คุยนุ่มๆ กับแอดมินเพจ ‘ทุกอย่างดูซอฟท์เมื่อเป็นพาสเทล’ ทำไมต้องหยาบในสีหวานเย็น

$
0
0

หากกล่าวถึงเฟซบุ๊กแฟนเพจที่น่าจับตาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่อเพจ ‘ทุกอย่างดูซอฟท์เมื่อเป็นพาสเทล’ คงถือเป็น 1 ในเพจที่ควรถูกกล่าถึง ด้วยสไตล์ของเพจ และจำนวนยอดถูกใจหลังจากเปิดมาเมื่อปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาเท่านั้น ยอดขณะนี้ 40,000 ไลค์แล้ว

ด้วยคำอธิบายเพจที่ว่า “เพจที่ทดสอบว่า สีพาสเทลทำให้ทุกอย่างดูซอฟท์ลงจริงหรือไม่” ในโอกาสนี้ประชาไท จึงขอพูดคุยเพื่อทำความรู้จักกับแอดมินเพจ เหตุผลที่สร้างเพจดังกล่าวขึ้นมา พร้อมหาคำตอบที่ว่า ‘สีพาสเทล’ มันทำให้ทุกอย่างดูซอฟท์ลงจริงหรือไม่

บางอย่างก็ซอฟท์ลงได้ แต่บางอย่างมันก็ช่วยไม่ค่อยได้เท่าไหร่” แอดมินเพจ ‘ทุกอย่างดูซอฟท์เมื่อเป็นพาสเทล’ กล่าว

00000

(ดูโพสต์ในเพจ)

ประชาไท : แอดมินเพจ ‘ทุกอย่างดูซอฟท์เมื่อเป็นพาสเทล’ ตัวตนจริงๆ แล้วเป็นใคร?

แอดมินเพจ ‘ทุกอย่างดูซอฟท์เมื่อเป็นพาสเทล’ : เหล่าเเอดมินเป็นครีเอทีฟโฆษณาฮะ

แรงบันดาลใจในการทำเพจนี้คืออะไร? ทำไมต้องเป็นพาสเทล?

แรงบันดาลใจเกิดจาก แอดมินคนหนึ่งอยากหัดวาดรูป บวกกับข้อสงสัยตามชื่อเพจเลยครับ "สีพาสเทลทำให้ทุกอย่างซอฟท์ลง" จริงหรือ คุยกันเล่นๆ ในตอนนั่งกินข้าว เสร็จแล้วก็เลยลองตั้งเพจดู เพื่อพิสูจน์ว่าข้อสงสัยนี้เป็นจริงไหม

โดยตอนแรกตั้งใจจะให้เป็นเพจวาดรูปสถานการณ์เหี้ยๆ ชั่วๆ แล้วใช้สีพาสเทล แต่ทำไปทำมากลายเป็นเพจ รวมคำแรงๆ ในแบคกราวน์พาสเทลไปซะงั้น จริงๆ รูปก็มีวาดนะ (หัวเราะ)

ตัวอย่างโพสต์ที่ไม่ได้มีแค่คำหยาบ (ดูโพสต์ในเพจ)

ทำไมถึงตั้งข้อสงสัยว่าสีพาสเทลสามารถทำให้ทุกอย่างดูซอฟท์ลง?

จริงๆ มันพอมีทฤษฎีอารมณ์ของสี แต่ละสีอยู่ ซึ่งสีพาสเทลมันก็ให้อารมณ์นุ่มๆ นิ่มๆ อยู่แล้ว แต่เราอยากลองดูว่ามันช่วยได้ขนาดไหน

มองการใช้คำหยาบ หรือคำและภาพที่รุนแรง ในโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างไร?

ผมมองว่าการใช้คำหยาบคายมันต้องใช้ให้ถูกที่ ถ้าคุณอยู่ในวงเพื่อนฝูงสนิทกัน มันโอเค แต่ถ้ามันออกสู่พื้นที่สาธารณะที่คนอยู่กันเยอะๆ มันไม่โอเคแน่นอน

ซึ่งบนโลกโซเชียลมีเดียมันก็กึ่งๆ สาธารณะ เพราะอย่างงั้นเราก็ควรระวังการใช้คำพูดกันนิดนึง ไม่ใช่แค่คำหยาบคาย แต่ความคิดเห็นทุกอย่างที่สามารถสร้างให้เกิดประเด็นหรือความเกลียดชังได้ อย่างที่เราเห็นอยู่เนืองๆ ที่หลายๆ คนโดนโซเชียลประนามเพราะความคิดเห็นที่เเย่ๆ

ขอเสริมว่าแอดมินไม่ได้สนับสนุนให้หยาบคายกันนะ เพราะผมพยายามหาสิ่งที่ดูรุนแรงอย่างนอกเหนือจากคำหยาบ มาเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีนี้ด้วย คำหยาบเป็นแค่ 1 ในความรุนเเรง ที่เสียงตอบรับดี เท่านั้นเองฮะ

จากการที่ต้องคำอธิบายเพจไว้ว่า "เพจที่ทดสอบว่า สีพาสเทลทำให้ทุกอย่างดูซอฟท์ลงจริงหรือไม่" แล้วตอนนี้ได้ข้อสรุปหรือยัง?

ได้ข้อสรุปกันว่า บางอย่างก็ซอฟท์ลงได้ แต่บางอย่างมันก็ช่วยไม่ค่อยได้เท่าไหร่ (หัวเราะ)

ตัวอย่างภาพที่แฟนเพจร่วมส่งมาและเฟจแชร์ต่อ (ดูโพสต์ในเพจ)

หลังจากตั้งเพจแล้วไม่กี่วันขณะนี้มีผู้กดไลค์เพจกว่า 4 หมื่นแล้ว คิดว่าทำไมคนถึงตอบรับเช่นนี้?

คิดว่าเกิดจากการช็อกครั้งแรกที่เห็นอะไรประหลาดแบบนี้ และเกิดการแท็กเรียกเพื่อนมาดู กลายเป็นปากต่อปากไปเรื่อยๆ เหมือนเวลาเราเจอหมาแปดขาสีชมพู เราก็จะเรียกเพื่อนๆ มาดู (หัวเราะ)

ที่โพสต์มามีภาพไหนที่แอดมินชอบที่สุด?

ภาพที่ชอบสุดคือรูปที่แนบไปฮะ เพราะหลายคนรู้สึกว่ามันดูซอฟท์ลง

รูปที่แอดมินระบุว่าชอบที่สุด

ถ้าให้เอาสีพาสเทลไปทาอยากเอาไปทาอะไรมากที่สุดตอนนี้?

อยากเอาไปทาอารมณ์ของคนไทยหลายๆ คนฮะ เพราะถ้าเราคิดด้วยอารมณ์ที่ซอฟท์ลงเราน่าจะแก้ปัญหาหลายๆ อย่างได้ดีกว่านี้ (หัวเราะ)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม.อนุมัติงบเร่งด่วน 6.5 พันล้านช่วยเกษตรกร-คนจน เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์ฉบับใหม่

$
0
0

ที่ประชุม ครม.อนุมัติงบเร่งด่วนช่วยเกษตรกรและคนยากจนกว่า 6.5 พันล้านบาท เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม รวมถึงเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์ฉบับใหม่

4 ส.ค.2558 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ มีมติอนุมัติงบประมาณสนับสนุนแผนงานและโครงการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนกว่า 6 พันห้าร้อยล้านบาท และเห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม รวมถึงเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์ แทน พ.ร.บ.พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ฉบับ พ.ศ. 2504 และ 2508

ครม.อนุมัติหลักการตามข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย ในการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินมาตรการสำคัญเร่งด่วนในการช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยอนุมัติในหลักการแผนงาน/โครงการ การดำเนินมาตรการงบประมาณจำนวน 6,541,090,030 บาท โดยจะขออนุมัติใช้งบประมาณจากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินประจำปีงบประมาณ 2558

ทั้งนี้ แบ่งเป็นงบประมาณสนับสนุนเพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการจำนวน 4,966 โครงการ, ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการของจังหวัด และกระทรวงมหาดไทยในการติดตาม ประเมินผล การประชุม การประชาสัมพันธ์ และอื่นๆ โดยให้กระทรวงมหาดไทยประสานการดำเนินการกับสำนักงบประมาณ ในการพิจารณาอนุมัติงบประมาณ

นอกจากนี้ ครม.มีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. .... ซึ่งกำหนดให้ตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรภาคประชาสังคมดำเนินกิจกรรม หรือโครงการเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม รวมถึงกิจการเพื่อสังคม โดยจัดทำแผนงานเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ รวมถึงสนับสนุนการศึกษาวิจัย การฝึกอบรม การพัฒนาศักยภาพและธรรมาภิบาลขององค์กรภาคประชาสังคม การจัดทำและพัฒนาระบบฐานข้อมูลองค์กรภาคประชาสังคม และการจัดทำนโยบายสาธารณะที่เสนอโดยองค์กรประชาสังคม โดยร่างระเบียบดังกล่าวผ่านการพิจารณาคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์ พ.ศ. ... ตามข้อเสนอของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยยกเลิก พ.ร.บ.พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. 2504 และ พ.ร.บ.พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2508

สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์ กำหนดให้ใช้บังคับในการดำเนินการเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์และรังสีในทางสันติ โดยมีข้อยกเว้นกับยานพาหนะทางทหารของต่างประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ที่เข้ามาในประเทศไทย และกำหนดให้มีคณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นรองประธาน และกรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 9 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกิน 6 คน และเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการใช้ประโยชน์จากพลังงานนิวเคลียร์ กำกับดูแลทางนิวเคลียร์และรังสี ให้คำแนะนำแก่รัฐมนตรีในการออกกฎกระทรวง วางระเบียบควบคุมและดำเนินกิจการให้เป็นไปตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในใบอนุญาต ส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยจากพลังงานนิวเคลียร์ กำหนดมาตรฐานต่างๆ อันพึงใช้โดยเฉพาะเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ รวมทั้งกำหนดแผนเพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี

โดยทั้งนี้ พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์ผ่านการพิจารณาคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

ที่มา เว็บไซต์รัฐบาลไทย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 30 ก.ค.-5 ส.ค. 2558

$
0
0
 
ฝีมือคนพิการพัฒนาขึ้น “นคร” หนุนสังคมจ้างงาน ชี้ความสามารถสู้คนปกติได้
 
นายนคร ศิลปอาชา ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ประเทศไทยยังมีปัญหาในเรื่องช่องว่างระหว่างคนปกติกับคนพิการ ทั้งในด้านการศึกษา การจ้างงาน และการเข้าถึงบริการของรัฐประเภทต่าง ๆ ขณะเดียวกัน คนทั่วไปก็ยังมีทัศนคติที่ว่า คนพิการคือผู้ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้เต็มที่ ดังนั้น ภาคสังคมและภาครัฐจะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติมาให้การสนับสนุนคนพิการให้มีทักษะในการดำรงชีวิต เพื่อหาเลี้ยงชีพ และเพิ่มโอกาสในการศึกษาให้มากขึ้น สำหรับการแข่งขันฝีมือคนพิการ เราต้องการให้ผู้เข้าแข่งขันสามารถบอกตัวเองและสังคมอย่างภาคภูมิใจได้ว่า คนพิการมีความสามารถในทักษะที่เข้าแข่งขัน สามารถทำงานในโรงงาน หรือตามสถานประกอบการต่าง ๆ ได้ โดยที่คุณภาพของงาน หรือสินค้าอยู่ในระดับดีเป็นที่ยอมรับ และหากคนพิการได้รับการส่งเสริมในด้านทักษะต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ก็สามารถทำทุกสิ่งได้เท่าหรือเกือบเท่ากับคนร่างกายปกติหรืออาจจทำได้ดีกว่าด้วย
       
นายนคร กล่าวว่า ผลการแข่งขันในครั้งนี้ คณะอนุกรรมการเทคนิค ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ ได้ประเมินผลงานในภาพรวมของผู้เข้าแข่งขันแล้วมีความเห็นว่า แทบทุกสาขาที่จัดแข่งขัน พบว่า ผลงานมีคุณภาพที่สูงขึ้นกว่าการแข่งขันครั้งที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านฝีมือของผู้เข้าแข่งขันที่สูงขึ้นกว่าเดิม สำหรับผู้ชนะการแข่งขันในครั้งนี้จะได้รับเกียรติบัตรและเงินรางวัล ดังนี้ รางวัลที่ 1 เงินรางวัล 30,000 บาท รางวัลที่ 2 เงินรางวัล 15,000 บาท รางวัลที่ 3 เงินรางวัล 9,000 บาท และรางวัลชมเชย 3,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ชนะบางสาขาอาจมีโอกาสได้รับการพิจารณาให้เข้าเก็บตัวฝึกซ้อม เพื่อรับการคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันฝีมือคนพิการนานาชาติ ครั้งที่ 9 ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ในปี 2559 ด้วย
 
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 30/7/2558)
 
นักวิชาการแรงงานปฏิบัติการสุโขทัยนำเหยื่อเข้าแจ้งความ ถูกสาวหลอกลวงไปทำงานประเทศญี่ปุ่นเรียกเก็บหัวละ 25,000 บาท
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอานนท์ เกิดเกตุ นักวิชาการแรงงานปฏิบัติการ สำนักงานจัดหางานจังหวัดสุโขทัย พร้อมด้วย น.ส.สุนิสา นันดาวงค์ และพวกรวม 4 คน ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.นิกร มงคลประดิษฐ์ ร้อยเวร สภ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย กรณีถูก น.ส.ปาริชาติ จักรบุตร หลอกลวงไปทำงานประเทศญี่ปุ่น
 
นายอานนท์เปิดเผยว่า สำนักงานจัดหางานจังหวัดสุโขทัยได้รับเรื่องร้องทุกข์จาก น.ส.สุนิสา และพวกรวม 4 คน ว่าได้รับการชักชวนจาก น.ส.ปาริชาติ ให้สมัครไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเรียกเก็บเงินคนละ 25,000 บาท แต่ไม่สามารถจัดส่งไปทำงานได้ตามที่กล่าวอ้าง
 
จากการตรวจสอบพบว่า น.ส.ปาริชาติไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานให้คนงานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ และไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนจัดหางานของบริษัทจัดหางานใด การกระทำของ น.ส.ปาริชาติจึงเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.จัดหางานฯ มาตรา 30, 82 และมาตรา 91 ตรี ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเรียกตัวมาสอบสวนดำเนินคดีต่อไป.
 
(ไทยโพสต์, 30/7/2558)
 
ผอ.ช่างสิบหมู เผยคนรุ่นใหม่สนใจเทคโนโลยี เมินงานช่างศิลป์ ห่วงข้าราชการเกษียณ ไร้ผู้สานต่อ - เสนอเปิดเวทีแสดงผลงานช่างศิลป์
       
นายสมควร อุ่มตระกูล ผู้อำนวยการสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กล่าวว่า ในขณะนี้สำนักช่างสิบหมู่ มีบุคลากรข้าราชการ และลูกจ้าง ประมาณ 200 คน ซึ่งถือว่ายังมีจำนวนน้อยในการดำเนินการสืบทอดและสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ถ้าหากบุคลากรราชการที่ครบวาระเกษียณแล้ว ทางผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องเปิดรับบุคลากรรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น ก็คือ คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยให้การตอบรับที่เข้ามารับหน้าที่ในการผลิตผลงานด้านช่างศิลป์มากนัก เนื่องจากปัจจุบันนี้ได้มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา ทำให้คนรุ่นใหม่หันไปสนใจงานด้านเทคโนโลยีแทน ขณะเดียวกัน หลักสูตรการเรียนการสอนด้านงานช่าง งานฝีมือที่ลดน้อยลงด้วย ทำให้บุคลากรด้านงานแกะสลักไม้ งานด้านฝังมุก ศิลปะปูนปั้น และอื่น ๆ มีจำนวนน้อย
       
“น่าห่วงงานช่างฝีมือกำลังจะสูญหายไปเรื่อย ๆ เนื่องจากข้าราชการด้านช่างศิลป์เกษียณ อาจจะทำให้ขาดช่วงรับต่อในการทำงาน ที่สำคัญ ผู้ที่ทำงานด้านช่างแต่ละคนต้องใช้เวลาในการสั่งสมประสบการณ์ 5 - 10 ปี กว่าจะมีความเชี่ยวชาญผลิตชิ้นงานได้อย่างงดงาม สำหรับแนวทางการแก้ไขในเบื้องต้นสำนักช่างสิบหมู่ ต้องได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมร่วมเป็นภาคีเครือข่ายกับหน่วยงานภายนอก ทั้งสถานศึกษา ภาครัฐ และเอกชน ร่วมเป็นภาคีเครือข่าย รวมทั้งแนะแนวกระบวนการผลิตผลงานด้วยฝีมือ ให้การสนับสนุนงานด้านศิลปะปูนปั้น พร้อมดำเนินการให้เยาวชนได้มีเวทีในการนำผลงานมาแสดง และเกิดความกล้าแสดงออก รวมทั้งยังเกิดแรงบันดาลใจจากผู้ถ่ายทอดผลงานก่อนหน้า เพื่อให้ผลิตชิ้นงานใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งผลที่ได้จากแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว จะทำให้เกิดเครือข่ายคนรุ่นใหม่ที่จะผลิตงานศิลป์และผู้ที่เสพผลงานเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งยังเป็นผลดีต่อการมีผู้สืบทอดงานช่างให้คงอยู่สืบไป” ผู้อำนวยการสำนักช่างสิบหมู่ กล่าว
 
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 30/7/2558)
 
'ปวีณา'ช่วย 69 ลูกเรือไทยเหยื่อค้ามนุษย์พ้นอินโดฯ
 
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 30 ก.ค. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แถลงข่าวการให้ความช่วยเหลือลูกเรือประมงไทย 69 คน กลับจากประเทศอินโดนีเซีย ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ถนนรังสิต-นครนายก คลอง 7 ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ลูกเรือประมงไทย 69 คน หลังถูกทางการอินโดนีเซียจับกุมฐานลุกล้ำน่านน้ำ และถูกควบคุมตัวที่เมืองปอนเตียนะก์ จังหวัดกะลิมันตันตะวันออก นานกว่า 6 เดือน ต้องทนทุกข์ทรมาน ด้านนายจ้างก็ไม่เหลียวแลให้การช่วยเหลือแต่อย่างใด จนกระทั่งทั้งหมดรวมตัวกันร้องขอความช่วยเหลือผ่านเฟซบุ๊คมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ขอให้ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือให้ได้กลับบ้านเกิด โดยลูกเรือประมงไทยทั้ง 69 คน มีจำนวน 39 คนที่ร้องขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณาฯ ส่วนอีก 30 คนร้องขอความช่วยเหลือจากกระทรวงต่างประเทศ
 
จากการประสานงานของมูลนิธิปวีณาฯ และกระทรวงการต่างประเทศที่เร่งให้การช่วยเหลือ ทำให้ทางการอินโดนีเซียยอมปล่อยตัวลูกเรือประมงไทย 69 คน และทั้งหมดเดินทางกลับถึงประเทศไทยโดยสายการบิน Air Asia เที่ยวบินที่ QZ 252 เมื่อเวลา 20.10 น. วันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้แรงงานประมงไทย ที่ขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ ยังตกค้างอยู่อีก 13 คน ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาล 1 คน ทางมูลนิธิฯ ได้ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเร่งช่วยเหลือแล้ว แต่ปรากฏว่าผู้ที่ตกค้างไม่มีหลักฐานใดๆ ทางมูลนิธิปวีณาฯ จึงได้ประสานไปยังตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ปคม.) เพื่อหาหลักฐานจากทะเบียนกลางให้การรับรองความเป็นคนไทยเพื่อให้สามารถเดินทางกลับประเทศได้
 
ด้านนายทวีวัฒน์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ชาวร้อยเอ็ด 1 ในลูกเรือประมงที่ถูกหลอกไปทำงาน เปิดเผยว่า เดินทางมาหางานทำที่กรุงเทพฯ ถูกหลอกจากหัวลำโพง และมีหลายคนที่ถูกหลอกไปจากสนามหลวงและหมอชิต โดยมีนายหน้าชักชวนให้ไปทำงานคัดแยกปลาที่มหาชัย จ.สมุทรสาคร จะมีรายได้ดี แต่เมื่อเดินทางไปถึงที่มหาชัย กลับถูกส่งต่อไปลงเรือที่สงขลา แรงงานบางคนปฏิเสธไม่ยอมลงเรือ แต่นายจ้างอ้างว่าได้จ่ายเงินให้กับนายหน้าที่พามาส่งแล้วก็ต้องทำงานใช้หนี้โดยไม่ได้รับค่าแรง หากอยากได้เงินต้องลงเรือออกไปหาปลาในน่านน้ำอินโดนีเซีย และนายจ้างได้จัดทำหนังสือคนประจำเรือให้ จนถูกจับกุมตัวในที่สุด
 
ส่วนนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ เปิดเผยว่า ขณะนี้แรงงานประมงทั้ง 39 คนอยู่ในความดูแลของมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี และได้จัดที่พักให้อยู่ร่วมกับญาติระหว่างที่ต้องสอบปากคำเพื่อคัดแยกเหยื่อ โดย พล.ต.ต.ธิติ แสงสว่าง ผู้บังคับการกองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ผบก.ปคม.) ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ปัญญา ปิ่นสุข รองผู้บังคับการกองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (รอง ผบก.ปคม.) และ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ อภัยภักดิ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ปคม.) ร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ สอบข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งในจำนวน 39 คนมีส่วนหนึ่งที่เข้าข่ายถูกหลอกค้ามนุษย์และบังคับใช้แรงงานในเรือประมง เมื่อทางการอินโดนีเซียตรวจสอบกับทางการไทยก็พบว่าหนังสือคนประจำเรือทั้งหมดเป็นเอกสารปลอม
 
วันจันทร์ที่ 3 ส.ค.นี้ เจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ จะนำผู้เสียหายทั้งหมดไปสอบปากคำอย่างเป็นทางการที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ปคม.) โดยมีพนักงานสอบสวน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และกระทรวงแรงงาน ร่วมสอบปากคำ ซึ่งแรงงานทั้งหมดประสงค์จะแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของเรือ นายหน้า และผู้ที่หลอกลวงค้ามนุษย์ เนื่องจากนายจ้างได้ให้แรงงานทุกคนใช้หนังสือคนประจำเรือปลอมเพื่อให้ทางการอินโดนีเซียเชื่อว่าทางการไทยได้อนุญาตให้แรงงานทำการประมงบนเรือจริง แต่เอกสารทั้งหมดเป็นของปลอม ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว และแรงงานประมงทั้งหมดจะทำการฟ้องร้องร่วมกับกระทรวงแรงงาน เพื่อเรียกเงินชดเชยค่าแรงที่ไม่ได้รับระหว่างที่ทำงานบนเรืออีกด้วย
 
วันเดียวกันนี้ นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้ให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือเพื่อส่งตัวลูกเรือประมงไทยที่ตกค้างอยู่ที่เกาะอำบน และเกาะอื่นๆ ในอินโดนีเซีย กลับไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.57 จนถึงวันที่ 29 ก.ค.58 นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอสรุปมีรายละเอียดดังนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.57 จนถึงวันที่ 28 ก.ค.58 กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการส่งตัวลูกเรือประมงกลับไทยอย่างต่อเนื่องแล้ว 1,184 คน และในวันที่ 29 ก.ค.58 ได้ดำเนินการส่งกลับอีก 60 คน ดังนั้นกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการส่งกลับรวมทั้งสิ้น 1,244 คน และขณะนี้ได้ออกหนังสือรับรองสัญชาติ (Certificate of Identity-C.I.) แล้วประมาณ 150 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อส่งตัวกลับในโอกาสแรก โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
 
วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 9 เม.ย.58 ส่งกลับ 232 คน เดือน เม.ย.58 ส่งกลับ 137 คน เดือน พ.ค.58 ส่งกลับ 372 คน เดือน มิ.ย.58 ส่งกลับ 308 คน วันที่ 1 ถึง 29 ก.ค.58 ส่งกลับ 195 คน
 
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการช่วยเหลือลูกเรือประมงไทยอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในของประเทศเจ้าภาพ ซึ่งต้องอาศัยความละเอียดอ่อน และ
 
ความสัมพันธ์ที่ดี สำหรับลูกเรือที่กลับมาแล้วกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านของการเยียวยาและการสอบสวนหาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ซึ่งสะท้อนถึงนโยบายของรัฐบาลที่มีความห่วงใย และมุ่งช่วยเหลือชาวไทยที่ตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศทุกคน รายละเอียดความคืบหน้าจะได้ชี้แจงให้ทราบต่อไป
 
(บ้านเมือง, 31/7/2558)
 
กรมจัดหางานเตือนสาวไทยโดนหลอก
 
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ได้รับข้อมูล จากสำนักงานแรงงาน ณ เมืองฮ่องกง เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือหญิงไทยรายหนึ่งที่ถูกหลอกลวงจากนายหน้าจัดหางานให้ลักลอบเดินทางเข้าไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ ที่ร้านอาหาร Mingies Restaurant and Bar ตั้งอยู่ที่สาธารณรัฐปาเลา ซึ่งเป็นประเทศเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ใกล้กับประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเจ้าของร้านเป็นชายชาวไต้หวัน โดยอ้างว่าจะได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท ไม่รวมค่าทิปที่จะได้จากลูกค้า โดยเป็นการไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายมีใบอนุญาตทำงาน และนายจ้างจ่ายเงินค่าประกันสังคมให้
 
แต่เบื้องต้นต้องลักลอบเดินทางไปในลักษณะนักท่องเที่ยวก่อนแล้วไปขอใบอนุญาตทำงานกับทางการปาเลาในภายหลัง โดยได้จ่ายเงินค่านายหน้าฯ จำนวน 20,000 บาท แต่เมื่อไปทำงาน ปรากฏว่าในแต่ละเดือนจะถูกหักค่าจ้างเป็นค่าภาษีอีก เดือนละ 20 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 660 บาท และไม่ได้รับเงินค่าทิปตามที่นายหน้าอ้างฯ จะได้รับก็ต่อเมื่อคนงานนั่งดื่มและยินยอมให้บริการทางเพศกับลูกค้าเท่านั้น จึงรู้ว่าถูกนายหน้าหลอกลวง แต่เนื่องจากทำสัญญาจ้างงานไว้กับนายจ้าง จึงยังไม่สามารถกลับประเทศได้จนกว่าจะครบกำหนดสัญญาจ้างในเดือนเมษายน พ.ศ.2559 จึงได้มาขอความช่วยเหลือเพื่อเดินทางกลับประเทศไทย
 
อีกกรณี ได้รับการรายงานการให้ความช่วยเหลือหญิงไทย จำนวน 25 คน ที่ถูกทางการประเทศมาเลเซียส่งตัวกลับประเทศไทยหลังจากครบกำหนดการคุมขังในประเทศมาเลเซีย ซึ่งจากการสอบถามกลุ่มหญิงไทยดังกล่าว ทั้งหมดให้การว่าถูกเพื่อนที่อยู่ในประเทศไทยชักชวนให้เข้าไปทำงานในประเทศมาเลเซีย ในฐานะนักท่องเที่ยว เมื่อสามารถเข้าประเทศมาเลเซียได้แล้วก็จะมีคนมารับไปส่งในสถานบันเทิงต่างๆ เพื่อลักลอบทำงาน จนกระทั่งมีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซียเข้าไปจับกุม ซึ่งพวกตนถูกจำคุกอยู่คนละประมาณ 1-3 เดือน
 
กรมการจัดหางานจึงขอเตือนคนหางานอย่าหลงเชื่อสาย นายหน้าหรือบุคคลใดที่ชักชวนให้ลักลอบเข้าไปทำงานโดยอ้างว่าจะช่วยให้ได้ใบอนุญาตทำงานภายหลัง โดยเฉพาะงานนวด โคโยตี้ นักร้อง นั่งเชียร์ดื่ม นั่งชั่วโมงในบาร์หรือคอกเทลเลานจ์ เนื่องจากการทำงานอย่างถูกต้องในประเทศมาเลเซียจะต้องได้รับเอกสารยืนยันการอนุญาตให้ไปทำงาน (Calling Visa) จากสถานทูต/สถานกงสุลของมาเลเซียในประเทศไทยโดยที่นายจ้างจะต้องเป็นผู้ดำเนินการอย่างถูกต้องเท่านั้น หากประสงค์จะไปทำงานในต่างประเทศ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ แต่หากต้องการร้องทุกข์ หรือแจ้งเบาะแสผู้มีพฤติกรรมหลอกลวงคนหางาน ติดต่อได้ที่ กองตรวจและคุ้มครองคนหางาน โทร.0-2245-6763 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
 
(บ้านเมือง, 31/7/2558)
 
รง.ส่งลิเกไทยไปอิสราเอล ร่วมสร้างสัมพันธ์สองประเทศ
 
นายนคร ศิลปอาชา ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานประสานความร่วมมือกับ สถานทูตไทย ณ ประเทศอิสราเอล, กองทุนโฮลี่แลนด์ทรัสต์และเทศบาลกรุงเยรูซาเลม จัดกิจกรรม ลิเกไทย “ชูแรงใจ สู่แรงงานไทยในอิสราเอล” เพื่อสร้างความสุขและกำลังใจในการดำเนินชีวิตให้แรงงานไทย นับเป็นครั้งแรกที่คณะลิเกจากสถาบันคริสเตียนนิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยพายัพ ทั้งคณะใหญ่จำนวน20 คน จะเดินทางไปเปิดการแสดงที่ประเทศอิสราเอล ระหว่างวันที่ 3-13 สิงหาคม 2558 เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทยและร่วมเสริมสร้างความสัมพันธ์ ความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยในวันที่ 12 สิงหาคม 2558 สถานทูตไทยประจำประเทศอิสราเอล ได้จัดให้คณะลิเกไทยไปแสดงในงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา เพื่อบำรุงขวัญกำลังใจผู้ใช้แรงงานไทย รวมถึงนายจ้างชาวอิสราเอลด้วย ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ดี ช่วยสร้างความบันเทิงและเสริมสร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิตให้แรงงานไทยและผู้ที่พักอาศัยในประเทศอิสราเอล เป็นประโยชน์และความสุขที่ได้รับเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนและเผยแพร่วัฒนธรรมของไทย
 
สำหรับจำนวนแรงงานไทยเดินทางไปทำงานในประเทศอิสราเอล ในปี 2557 ที่ผ่านมา มีประมาณ 28,146 คน ส่วนใหญ่เป็นภาคเกษตร 27,396 คน อยู่ในภาคบริการร้านอาหารและโรงแรม ประมาณ 500 คน ภาคดูแลคนชราหรือผู้พิการ ประมาณ 200 คน และในภาคการก่อสร้างอีกประมาณ 50 คน
 
(RYT9, 31/7/2558)
 
สอท. แนะ ผู้ประกอบการเตรียมพร้อมวัตถุดิบ รับคำสั่งซื้อช่วงเทศกาลปลายปี ที่จะปรับเพิ่มขึ้น 10%  มองไทยหลุดเทียร์ 3 ได้ปีหน้า ยัน ไม่กระทบการค้า การส่งออก
 
นายนิลสุวรรณ ลีลารัศมี รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวถึง สถานการณ์คำสั่งซื้อสินค้าในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่า จะปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ ร้อยละ 10 ตามกำลังซื้อที่จะเพิ่มเป็นประจำในช่วงปลายปี โดยเฉพาะคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ที่จะเช้ามาในช่วงปลายเดือนกันยายน - ตุลาคม  จากอานิสงส์ของเทศกาลต่างๆ ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องเตรียมความพร้อมทั้งวัตถุดิบและแรงงานในการผลิตสินค้าให้เพียงพอกับความต้องการ ส่วนคำสั่งซื้อในประเทศจะเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอ ยอดขายสินค้าจะเพิ่มขึ้นได้ ต้องมาจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยยอดขายสินค้าเกษตรและอาหาร จะเป็นตัวชี้วัดกำลังซื้อของผู้บริโภค และแสดงถึงภาวะเศรษฐกิจ
 
นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการตรึงราคาสินค้า เพราะต้นทุนการผลิตไม่ได้ปรับสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ยังเสนอให้ภาครัฐปรับรูปแบบการจำหน่ายสินค้าธงฟ้า โดยควบคุมราคาจำหน่ายสินค้าทุกชนิดตั้งแต่ต้นทาง จากปัจจุบันที่มีการลดราคาสินค้าเฉพาะบางชนิดทำให้ผู้ประกอบการที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการเสียเปรียบ และอาจขายสินค้าไม่ได้จนถึงขั้นเลิกกิจการ
 
ส่วนกรณีที่ไทยยังถูกสหรัฐอเมริกาคงสถานะรายงานการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ไว้ที่อันดับเทียร์ 3 ว่า จะไม่มีผลต่อการค้า เนื่องจาก ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคู่ค้าของผู้ประกอบการแต่ละราย และไม่ได้มีผลกระทบต่อภาคการค้าการส่งออกในภาพรวม ซึ่งปัจจุบันคู่ค้าต่างประเทศยังคงสั่งซื้อสินค้าจากไทย เช่นเดิม ทั้งนี้ การพิจารณาจัดอันดับการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ เป็นการพิจารณาจากสถานการณ์ปีที่ผ่านมา แต่การแก้ปัญหาของรัฐบาล และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องขณะนี้ ที่ได้ร่วมกันแก้ไขอย่างดีที่สุดแล้ว และจะมีผลในการปรับอันดับในปีหน้า ดังนั้นจึง มั่นใจว่า ไทยจะเลื่อนอันดับขึ้นเป็นเทียร์ 2 ได้ หรืออาจมีแนวโน้มถูกเลื่อนอันดับขึ้นเป็นเทียร์ 1 ได้ในปี 2559
 
(ไอเอ็นเอ็น, 1/8/2558)
 
แนะรัฐบาลถอดบทเรียนซัมซุงโคราช ยกเลิกฐานการผลิต รีบสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติ
 
วันที่ 1 ส.ค.58 ดร.สัมพันธ์  ศิลปะนาฏ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ ว่า ยังไม่ปรากฏสัญญาณน่าเป็นห่วง ของบรรดาโรงงานที่ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย เป็นการปรับขึ้นลงตามกระแสของโลก โดยโรงงานซัมซุง จังหวัดนครราชสีมา ประกาศเลิกจ้างพนักงานกว่า 1.5 พันคน ขณะเดียวกันโรงงานมินิแบ จังหวัดลพบุรี ต้องการพนักงานเพิ่มกว่า 3 พันอัตรา ต้องทำความเข้าใจยุคเปิดเสรีทางการค้าบริษัทชื่อดังระดับโลก ที่มีฐานการผลิตในหลายประเทศ มีนโยบายลดต้นทุนพร้อมเพิ่มประสิทธิภาพสินค้า โดยควบรวมกำลังซื้อ เดิมเคยซื้อชิ้นส่วน อุปกรณ์จากหลายโรงงาน จะยุบซื้อน้อยราย เพื่อเพิ่มยอดการผลิตให้กับโรงงานที่เป็นเครือข่าย สามารถลดต้นทุนต่อหน่วยและสามารถปรับปรุงคุณภาพสินค้าได้  รวมทั้งโยกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่รัฐบาลให้แรงจูงใจกับนักลงทุนต่างชาติ  
 
ฉะนั้นภาครัฐต้องประสานกับภาคเอกชน จัดประชุมหารือ เพื่อกำหนดมาตรการเยียวยาโรงงานผลิตอุปกรณ์ ชิ้นส่วนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม โดยถอดบทเรียนกรณีโรงงานซัมซุง มิฉะนั้นอาจมีโรงงานขนาดใหญ่ทยอยย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านอีก
 
(มติชนออนไลน์, 1/8/2558)
 
ยืนยันเชลล์ไม่เลิกจ้างในไทย
 
กระทรวงแรงงานเผยตรวจสอบบริษัทเชลล์ในไทยหลังบริษัทแม่ประกาศเลิกจ้างพนักงาน 6 พันคน ยืนยันไม่มีการเลิกจ้างในไทย
 
(เนชั่นทีวี, 1/8/2558)
 
แรงงานเสนอตั้งหน่วยวินิจฉัย เจ็บป่วยจากการทำงาน
 
ประธานสภาเครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย นางสมบุญ ศรีคำดอกแค เปิดเผยว่า เครือข่ายได้เสนอให้สปส.ปรับปรุงสิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาลกรณีผู้ประกันตนบาดเจ็บและเจ็บป่วยจากการทำงาน เนื่องจากมองว่าสำนักงานประกันสังคม (สปส.) อยู่ระหว่างจัดทำร่างพ.ร.บ.กองทุนเงินทดแทนฉบับใหม่ เพื่อแก้ปัญหาการเข้าไม่ถึงสิทธิกองทุนเงินทดแทน
 
โดยเมื่อมีการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจากการทำงานก็ให้สามารถไปใช้สิทธิกองทุนเงินทดแทนได้ทันที ไม่ต้องไปใช้สิทธิเงินกองทุนประกันสังคมระหว่างรอแพทย์วินิจฉัยว่าเข้าข่ายบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจากการทำงานหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีผู้ประกันตนหลายคนที่ สปส.ให้ไปใช้สิทธิประกันสังคม แต่แล้วในที่สุดก็ไม่สามารถย้อนกลับมาใช้สิทธิกองทุนเงินทดแทนได้ ทำให้ผู้ประกันตนเสียสิทธิประโยชน์กองทุนทดแทนที่ควรได้รับ รวมทั้งสามารถยื่นใช้สิทธิได้ภายใน 1 วัน ไม่ต้องรอถึง 3 วัน
 
ส่วนกรณีแพทย์วินิจฉัยว่าเข้าข่ายบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจากการทำงานหรือไม่ซึ่งปัจจุบันกระบวนการวินิจฉัยใช้เวลานาน 8 เดือนถึง 6 ปี ก็ได้เสนอให้จัดตั้งหน่วยงานทำหน้าที่วินิจฉัยโดยเป็นองค์กรอิสระอยู่ภายใต้การกำกับของกองทุนเงินทดแทนและมีคณะกรรมการวินิจฉัยประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีวเวชศาสตร์ ผู้แทนกองทุนเงินทดแทน และกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) โดยใช้เวลาวินิจฉัยไม่ควรเกิน 3 เดือน และกรณีหยุดงานตามใบรับรองแพทย์ 1 ปี ควรได้รับเงินทดแทนจากปัจจุบันอยู่ที่60 เปอร์เซ็นต์ของค่าจ้างรายเดือนให้เพิ่มเป็น100 เปอร์เซ็นต์
 
นอกจากนี้ ยังเสนอให้จัดตั้งศูนย์ติดตามการรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ประกันตนที่บาดเจ็บจากการทำงานโดยหลังออกจากศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานแล้ว ควรมีการติดตามดูแลในระยะยาวทั้งด้านร่างกาย จิตใจและอาชีพ ซึ่งปัจจุบันเมื่อผู้ประกันตนออกจากศูนย์ฟื้นฟูแล้วขาดการดูแลอย่างต่อเนื่อง
 
(เนชั่นทีวี, 1/8/2558)
 
กพร.เปิดคอร์สโลจิสติกส์ ช่วย ป.ตรีที่ว่างงาน
 
อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน(กพร.) กระทรวงแรงงาน มล.ปุณฑริก สมิติ บอกว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดโครงการตอบสนองนโยบายการแก้ปัญหานักศึกษาปริญญาตรีที่จบใหม่แต่ไม่ได้ทำงานนั้น ซึ่งจากข้อมูลกรมการจัดหางาน พบว่า ที่ผ่านมามีนักศึกษาปริญญาตรีที่มาสมัครงานทั่วประเทศกว่า 2 หมื่นคน บางส่วนได้งานทำไปแล้ว ขณะที่ส่วนใหญ่ยังไม่มีงานทำ กพร.จะเข้าไปวางแผน เพื่อฝึกอาชีพให้ ซึ่งในวันที่ 3 สิงหาคมนี้จะเปิดตัวหลักสูตรใน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มฝึกระยะยาว และระยะสั้น อาทิ ธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งผู้เข้าอบรมต้องเข้ารับการทดสอบภาษาต่างประเทศและความรู้ทั่วไป จากสมาคมโลจิสติกส์แห่งประเทศไทย เพื่อเข้ารับการฝึกอบรมในระยะเวลา 4 เดือน ที่จะได้ฝึกงานจากสถานที่จริง และได้รับการบรรจุงานหลังฝึกจบ กว่าร้อยละ 90 รวมทั้งหลักสูตรในการเตรียมพร้อมก่อนเข้าไปทำงานในสถานประกอบการ เช่น ออโต้แคต ในการเขียนแบบด้วยคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์กราฟฟิค ที่ได้ให้ศูนย์และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาคทั่วประเทศ เปิดหลักสูตรรองรับในพื้นที่
 
ส่วนหลักสูตรระยะสั้น เช่น การทำอาหาร และจำหน่ายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ โดยจะทยอยเปิดหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง ซึงจะนำร่องในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หากผลตอบรับดีจะขยายให้ครอบคลุมทุกจังหวัด
 
(เนชั่นทีวี, 1/8/2558)
 
นายกฯกำชับ 3 ธนาคารรัฐ เตรียมรับ กอช. เลื่อนเปิดโครงการ จาก 18 ส.ค. เป็น 20 ส.ค. หวังประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึง 
 
วันที่ 2 สิงหาคม พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการโครงการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้ติดตามและกำชับให้การดำเนินโครงการกองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งดำนินการผ่าน ธนาคารรัฐ 3 แห่ง คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ให้มีความพร้อมมากที่สุด ทั้งระบบการให้บริการ การให้คำปรึกษาของเจ้าหน้าที่ และทดสอบระบบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโครงการ เพื่อให้มีความสมบูรณ์และพร้อมให้บริการในวันเปิดโครงการ
 
ทั้งนี้ คาดว่าวันเปิดโครงการจะเลื่อนจากกำหนดเดิม คือวันที่ 18 ส.ค. เป็นวันที่ 20 ส.ค. เพื่อให้มีช่วงเวลาในการประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบอย่างทั่วถึงครอบคลุมมากที่สุด สามารถสมัครได้ตั้งแต่อายุตั้งแต่ 15-60 ปี โดยใช้เอกสารหลักฐานเพียงบัตรประจำประชาชนใบเดียว เพื่อให้ประชาชนที่ไม่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญ ได้สร้างระบบการออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณของตนเอง โดยรัฐบาลจะสมทบเงินให้ส่วนหนึ่ง ปีละไม่เกิน 13,200 บาท เมื่อออมจนเกษียณอายุ 60 ปี กองทุนจะจ่ายเงินบำนาญให้ทุกเดือนตลอดชีพ
 
(ไทยรัฐ, 2/8/2558)
 
ลูกเรือประมงเข้าชี้ตัวผู้ต้องหาหลอกไปค้าแรงงานผิดกม.ที่อินโดนีเซีย
 
วันนี้ (3 ส.ค. 58) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พาลูกเรือประมง 39 คน ที่ถูกบังคับค้าแรงงานประมงผิดกฎหมายในประเทศอินโดนีเซีย เข้าพบพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์(บก.ปคม.) เพื่อชี้ตัวผู้ต้องหา หลังตำรวจสามารถจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา
 
พล.ต.อ.เอก ระบุว่า หลังตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานจนนำไปสู่การออกหมายจับเครือข่ายค้าแรงงานประมงผิดกฎหมายทั้งหมด 7 หมาย ผู้ต้องหา 5 คน ซึ่งสามารถจับกุมได้ 4 คน ถูกควบคุมตัวที่ประเทศไทย 3 คน เป็นตัวการใหญ่ของเครือข่าย ทำหน้าที่จัดหาแรงงานประมง เป็นเจ้าของเรือ และนายทุน ขณะที่มีผู้ต้องหาที่ควบคุมตัวที่ประเทศอินโดนีเซีย 1 คน ทำหน้าที่เป็นไต้ก๋งเรือ ซึ่งทั้งหมดมีความผิดฐานกระทำการประมงโดยผิดกฎหมาย
 
ขณะนี้ตำรวจยังอยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ พร้อมสรุปสำนวนคดีส่งพนักงานอัยการฟ้องศาลแผนกคดีค้ามนุษย์ ภายใน 30 วัน
 
(TNN, 3/8/2558)
 
นักวิชาการคาดปรับค่าแรงขั้นต่ำปีหน้าจะส่งผลดีต่อศก.-การบริโภค-การลงทุนในปท.
 
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ให้ความเห็นสนับสนุนการปรับค่าแรงขั้นต่ำในปีหน้าว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ การบริโภคและการลงทุนในประเทศ เนื่องจากการขึ้นค่าแรงย่อมกระตุ้นอำนาจซื้อการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก กำลังซื้อของเศรษฐกิจภายในของไทยร้อยละ 42 มาจากเงินเดือนและค่าจ้าง หากยกระดับกำลังซื้อนี้ด้วยการเพิ่มค่าจ้างได้ ก็จะมีผลไปต่อแรงงานนอกระบบสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย การกำหนดนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต้องพิจารณาให้เกิดดุลยภาพระหว่าง “ความสามารถในการแข่งขัน" และ “ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ"
 
นอกจากนี้ยังมีประเด็นความสามารถในการจ่ายของนายจ้างก็ไม่เท่ากันอีกด้วย ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ต้องอาศัยทั้ง “ลูกจ้าง" และ “นายจ้าง" ในการขับเคลื่อนการผลิต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่มี “แรงงาน" ย่อมไม่มีสิ่งต่างๆที่เราเห็นอยู่ในโลกใบนี้เกิดขึ้น เพราะสิ่งต่างๆเกิดขึ้นด้วยการสร้างสรรค์จากแรงงานทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน หากปราศจากซึ่ง “ผู้ประกอบการ" ที่เข้มแข็งและแข่งขันได้ เศรษฐกิจย่อมไม่พัฒนาเติบโต “ลูกจ้าง" และ “นายจ้าง" จึงเปรียบเหมือน “แขนขวา" และ “แขนซ้าย" ของระบบเศรษฐกิจ การเพิ่มค่าจ้างโดยเฉพาะค่าแรงขั้นต่ำ (ซึ่งจ่ายให้แรงงานแรกเข้าไม่มีทักษะ) ก็ต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้ง ความจำเป็นต่อการดำรงชีพ การคุ้มครองแรงงาน ค่าตอบแทนฝีมือการทำงาน ความสามารถในการจ่ายของนายจ้างและผลที่มีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ การปรับฐานค่าจ้างให้เป็นธรรม ต้องทำในระยะที่เศรษฐกิจเติบโตดีและอัตราการว่างงานต่ำ การผลักดันให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำปรับเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวหน้าเป็นแนวทางที่ถูกต้องในช่วงเศรษฐกิจขยายตัวดี
 
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เศรษฐกิจซบเซาจึงต้องดูผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดเล็กด้วย ขณะนี้ได้มีการดำเนินการผ่านอนุกรรมการค่าจ้างไตรภาคีประจำจังหวัดปรากฏว่า อาจไม่มีการขึ้นค่าจ้างในหลายพื้นที่ซึ่งตนเห็นว่าควรปรับขึ้นอย่างน้อย 12-20 บาทเป็นค่าจ้างขั้นต่ำพื้นฐานอัตราเดียวทั่วประเทศ หลังจากนั้นจึงค่อยดูอุปสงค์อุปทานตลาดแรงงานในแต่ละพื้นที่
 
พิจารณาดูค่าครองชีพ พิจารณาความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง ในบางพื้นที่ เช่น กรุงเทพฯและปริมณฑลเขตอุตสาหกรรมภาคตะวันออก เมืองศูนย์กลางท่องเที่ยว ควรจ่ายตามที่ฝ่ายองค์กรลูกจ้าง (คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงาน) ร้องขอที่ 360 บาท ตนเสนอให้พบกันครึ่งทางระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง มีค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำสองระดับ ระดับแรก เป็นค่าจ้างแรงงงานขั้นต่ำพื้นฐาน ปรับขึ้น 12-20 บาททั่วประเทศเท่ากัน หลังจากนั้นมาดูตามพื้นที่ต่างๆว่าควรปรับเพิ่มให้อีกเท่าไหร่จากค่าจ้างขั้นต่ำพื้นฐานเพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างมีคุณภาพและมีเงินออมบ้าง มีเงินดูแลครอบครับบ้าง จึงเสนอให้ปรับเพิ่มค่าแรงขึ้นต่ำในช่วงระหว่าง 12-60 บาทเนื่องจากไม่ได้มีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำมาเกือบ 3 ปีแล้ว ค่าจ้างลอยตัวไม่ควรใช้กับระบบค่าแรงขั้นต่ำแต่ควรใช้กับระบบค่าจ้างทั่วไป ซึ่งระบบค่าจ้างทั่วไปขึ้นกับกลไกตลาดเป็นแบบลอยตัวอยู่แล้ว หากนำระบบลอยตัวมาใช้กับระบบค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมากขึ้น ระบบค่าจ้างลอยตัวที่ต้องการให้นายจ้างแข่งขันกันเสนอราคาและลูกจ้างจะสามารถเลือกนายจ้างที่ตนเองพอใจทำงานด้วยเป็นแนวคิดที่อยู่บนพื้นฐานตลาดแรงงานเสรีซึ่งเหมาะสมกับระบบการกำหนดค่าจ้างทั่วไป ไม่ใช่ค่าแรงงานขั้นต่ำ เพราะหลักคิดของระบบค่าแรงขั้นต่ำต้องการคุ้มครองแรงงาน เพราะแรงงานแตกต่างจากสินค้าอื่นๆในระบบเศรษฐกิจ และเกี่ยวกับความอยู่รอดและคุณภาพของชีวิตของคนงานและครอบครับ การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมทางสังคมด้วยไม่สามารถกำหนดจากอุปสงค์อุปทานในตลาดแรงงานอย่างเดียว อีกประการหนึ่งลูกจ้างมีอำนาจต่อรองน้อยและอัตราการรวมตัวของลูกจ้างเป็นสหภาพแรงงานในประเทศไทยต่ำมาเพียงแค่ 1.5% ของกำลังแรงงาน สะท้อน ระดับความเป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจและสถานประกอบการยังอยู่ในระดับต่ำ เพื่อให้เกิดประชาธิปไตยในสถานประกอบการมากขึ้น รัฐบาลไทยควรทำสัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98
 
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงสถานการณ์การจ้างงานและเลิกจ้างจากการวิเคราะห์ข้อมูลของศูนย์ข้อมูลเศรษฐกิจการแรงงาน สำนักเศรษฐกิจการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ว่า แม้นมีสถานการณ์เลิกจ้างเพิ่มขึ้นในบางอุตสาหกรรมช่วง 2-3
 
เดือนที่ผ่านมาอันเป็นผลจากอัตราการขยายตัวติดลบภาคส่งออก แต่แรงงานส่วนใหญ่โดยเฉพาะแรงงานมีทักษะยังคงหางานใหม่ทำได้เนื่องจากอัตราการว่างงานโดยรวมยังต่ำ และคาดว่าการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำปีหน้าหากปรับในระดับที่นายจ้างมีศักยภาพจ่ายได้จะไม่มีผลต่อการจ้างงานในระยะสั้นและไม่มีผลกระทบให้มีการเลิกจ้างเพิ่มขึ้น ประเด็นเรื่องการเลิกจ้างหรือว่างงานจะเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจซบเซามากกว่า ในระยะยาว โครงสร้างภาคการผลิตไทยจะใช้แรงงานลดลง อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นลดลง จะมีการใช้เทคโนโลยี ระบบไอทีเครื่องจักรเข้ามาแทนที่ ทำให้ขีดความสามารถของกิจการดีขึ้นและต้องปรับเปลี่ยนคนงานให้เป็น คนงานที่มีความรู้สูงขึ้น (Knowledge Worker) มีผลิตภาพสูงขึ้น (Higher Productivity) มีมาตรฐานแรงงานดีขึ้น (Better Labour Standard) และ คุณภาพชีวิตดีขึ้น (Better Quality of Life)
 
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า อุตสาหกรรมที่ต้องเฝ้าติดตามปัญหาการเลิกจ้างมากเป็นพิเศษในช่วงนี้ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเครื่องประดับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมสิ่งทอผู้ว่างงานกรณีถูกเลิกจ้างขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 เนื่องจากโรงงาน ปั่นด้ายเคหะสิ่งทอปิดตัวลง 6 โรง เพราะคำสั่งซื้อลดลงจากประเทศที่เคยสั่งซื้อ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย อินเดีย ตุรกี และซาอุดิอาระเบีย และโดนเวียดนามแย่งตลาดไปหมด ส่วนภาพรวมการเลิกจ้างพบสถานการณ์เลิกจ้างยังไม่ถึงเกิดวิกฤติเลิกจ้างแต่ต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อก่อให้เกิดการขยายตัวของการจ้างงาน อุตสาหกรรมสิ่งทอในเดือนมิถุนายน มีการว่างงานขยายตัวร้อยละ 23.27 และการเลิกจ้างขยายตัวร้อยละ 135.19 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากกลุ่มสิ่งทอมีการจำหน่ายชะลอตัวตามการผลิตในกลุ่มปลายน้ำ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เส้นใยฯ และผ้าผืน จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับเวียดนามลดการนำเข้าผ้าผืนจากไทยอุตสาหกรรมเครื่องประดับมีการการเลิกจ้างขยายตัวร้อยละ 28.24 ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเทียบกับระยะเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว
 
อย่างไรก็ตามแม้นมีการเลิกจ้างในอัตราสูง แต่ก็มีการขยายตัวของการจ้างด้วยทำให้โดยภาพรวมสามารถดูดซับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างได้ เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดหลักยังขยายตัวได้ดีไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง สหรัฐอเมริกา รวมถึงตลาดอาเซียนบางประเทศอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า มีการจ้างงานจำนวน 115,195 คน จากข้อมูลศูนย์ข้อมูลเศรษฐกิจการแรงงาน สำนักเศรษฐกิจการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ณ เดือนมิถุนายน 2558 สถานการณ์การเลิกจ้างโดยภาพรวม ณ. เดือนมิถุนายน พบว่า มีผู้ถูกเลิกจ้างในระบบประกันสังคมจำนวน 6,340 คน(มีอัตราขยายตัวอยู่ที่ 9.86%) เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว (มิถุนายน 2557) มีอัตรา 5,771 คน ดังนั้น ณ เดือนมิถุนายน 2558 สถานการณ์เลิกจ้างยังไม่น่าเป็นห่วงและถือว่าการเลิกจ้างอยู่ในระดับที่ต่ำ เนื่องจากการ เลิกจ้างมีอัตราการเติบโต 9.86% ยังต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย และแรงงานที่ถูกเลิกจ้างก็สามารถหางานได้ในเวลาไม่นานนักเนื่องจากอัตราการว่างงานโดยรวมของประเทศยังอยู่ในระดับต่ำมากไม่ถึง 2%
 
นายอนุสรณ์ ยังได้วิเคราะห์ถึงกรณีที่ไทยยังถูกจัดชั้นเรื่องปัญหาเรื่องแรงงานทาสและการค้ามนุษย์ให้อยู่ในระดับ Tier3 โดยสหรัฐอเมริกา ว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยและภาพลักษณ์ของประเทศนำมาสู่การไม่สั่งสินค้าและคว่ำบาตรสินค้าไทยได้ จึงต้องเร่งชี้แจงให้ดี อาจทำให้การส่งออกปีนี้ติดลบมากกว่า 3% ฉะนั้นต้องเร่งปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามมาตรฐานแรงงานสากล การรณรงค์ตอบโต้โดยการไม่ซื้อสินค้าสหรัฐอเมริกาจากกรณีดังกล่าวจะทำให้ปัญหาซับซ้อนและลุกลามมากขึ้นและเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ตรงประเด็น
 
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรัฐบาลไทยได้พยายามแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานทาสอย่างเต็มที่ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้หากสามารถกลับคืนสู่ประชาธิปไตยในปีหน้าได้ คาดว่าในปีหน้าประเทศไทยของเราน่าจะถูกยกอันดับให้ดีขึ้นอันเป็นผลบวกต่อสินค้าส่งออกของไทยและเศรษฐกิจโดยภาพรวม
 
(RYT9, 2/8/2558)
 
ครุศาสตร์จุฬาฯชี้ไทยเน้นผลิตครูเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพ
 
นายบัญชา ชลาภิรมย์ คณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ทั่วประเทศ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตครู อาทิ คุรุสภา ได้ประชุมแนวทางบริหารการศึกษากับนักการศึกษาระดับนานาชาติ  ได้แก่ เครือข่ายโครงการความร่วมมือวิจัยการเรียนรู้ สาขาการศึกษา คณะพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ และผู้เชี่ยวชาญในทีมประเมินและพัฒนาสถาบันครุศึกษา ของสิงคโปร์ พบว่า การผลิตครูของทั้ง 2 ประเทศ  มีความเชื่อมโยงตั้งแต่สถาบันการผลิตครูในระดับอุดมศึกษา สถาบันใช้ครูหรือการศึกษาระดับขั้นพื้นฐาน และผู้ประเมินครู แต่การผลิตครูของไทยกลับทำงานแยกส่วนกัน สถาบันผลิตครูทำหน้าผลิตครูออกไปโดยคำนึงแต่ปริมาณไม่ได้มองเรื่องคุณภาพ ขณะที่สถาบันผู้ใช้ครู ไม่ได้กำหนดตัวเลขความต้องการครูในแต่ละรายวิชาอย่างชัดเจน
 
ส่วนผู้ ประเมินใช้รูปแบบการประเมินแบบเดียวแต่ใช้กับครูที่ผลิตออกมาจากสถาบันการ ผลิตครูที่แตกต่างกันทำให้ตอนนี้การพัฒนาครูในประเทศไทยจึงไม่ประสบความ สำเร็จ
 
(ประชาชาติธุรกิจ, 3/8/2558)
 
แรงงานทาสประมงร้องขอค่าจ้าง
 
นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พาแรงงานประมง จำนวน 39 คน ที่ถูกหลอกไปใช้แรงงานที่ประเทศอินโดนีเซีย เข้ายื่นหนังสือถึงนายพีรพัฒน์ พรศิริเลิศกิจ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน เพื่อร้องเรียนหลังไม่ได้รับค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน และนายจ้างค้างจ่าย
 
โดยนางปวีณา ระบุว่า แรงงานเหล่านี้ ถูกบังคับให้ทำงานมากกว่าวันละ 20 ชั่วโมง และถูกทรมานต่างๆ นานา หากไม่สบายก็จะถูกทำร้าย บางรายก็เสียชีวิต รวมถึงบางส่วนไม่ได้รับค่าจ้างตามที่ตกลงกันไว้ จึงพาแรงงานทั้งหมดมายื่นหนังสือร้องขอ ให้กระทรวงแรงงานช่วยเหลือในการเรียกร้องค่าจ้าง และเอาผิดกับนายจ้างด้วย
 
ด้าน นายพีรพัฒน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงแรงงาน จัดเจ้าหน้าที่ร่วมเดินทางไปช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา พร้อมทั้งตรวจเรือประมงบางส่วนที่เกาะอัมบน และเกาะเบนจิน่า ประเทศอินโดนีเซีย แล้วทั้งสิ้น 897 คน
 
โดยได้รับคำร้องจากแรงงานกว่า 154 คน สามารถช่วยเหลือแรงงานให้ได้สิทธิประโยชน์ 100 คน เป็นเงินกว่า 8 ล้าน 8 แสนบาท ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งแรงงานที่ยังไม่ยื่นคำร้องนั้น เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงให้เข้าใจสิทธิตามกฎหมาย และช่องทางการยื่นคำร้องให้ทราบแล้ว
 
(ไทยรัฐ, 3/8/2558)
 
ลูกจ้างเฮ! สปสช.ให้สิทธิคลอดลูกไม่จำกัดจำนวนครั้ง
 
นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ดหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีมติเห็นชอบขยายสิทธิในงบรายหัว ปี 2559 ที่จะเริ่ม 1 ตุลาคม 2558 จำนวน 3,028.94 บาท แบ่งเป็น 8 รายการ ผู้ป่วยนอก 1,103.92 บาท ผู้ป่วยใน 1,060.14 บาท และครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการแพทย์ แพทย์แผนไทย และบริการทางการแพทย์ที่เบิกจ่ายในลักษณะงบลงทุน และกันเงินไว้ส่วนหนึ่งช่วยเหลือตามมาตรา 41 จากการรักษาพยาบาล แต่สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น คือการขยายสิทธิการคลอดบุตร จากเดิม 2 ครั้ง เป็นไม่จำกัดจำนวนครั้ง
 
ทั้งนี้ เพื่อสอดคล้องกับอัตราประชากรไทยที่ลดลงเฉลี่ยคลอดต่อปี 800,000 ครั้งต่อปี และในสวนของการส่งเสริมสุขภาพได้มีการปรับเปลี่ยนวัคซีนโปลิโอจากเดิมแบบหยดให้มาเป็นชนิดฉีด พร้อมขยายคลินิกปฐมภูมิในพื้นที่กรุงเทพมหานครเพิ่มอีก 400 แห่ง ส่วนงบค่าเสื่อมร้อยละ 10 ของงบประมาณ หรือประมาณ 10,000 ล้านบาท และงบผู้สูงอายุ 600 ล้านบาท ยังต้องรอการทำหนังสือทวงถามมติจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 14 กันยายนนี้
 
(โลกวันนี้, 3/8/2558)
 
สมาคมลูกจ้างประจำสพฐ. ทั่วประเทศ วอนขอค่ารักษาพยาบาลหลังเกษียณ
 
นายสมชาย สุดลอย นายกสมาคมลูกจ้างส่วนราชการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยถึงการเรียกร้องของลูกจ้างส่วนราชการ สพฐ.ในงานการประชุมสัมมนาที่เป็นการประชุมร่วมกันของสมาชิกลูกจ้างประจำทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอุดมศึกษา อาชีวศึกษา กระทรวงสาธารณสุข และการเกษตรฯ และส่วนราชการอื่นๆ ทั้ง 77 จังหวัดรวม 1,100 คน ณ ห้องประชุมคอนเวนชั่นฮอลล์โรงแรมเทพนคร จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2558โดยลูกจ้างประจำได้นำเสนอข้อเรียกร้องถึงสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ อาทิ เรื่องการเกษียณราชการแล้วลูกจ้างที่จะได้รับบำเหน็จรายเดือนว่ายังไม่ได้รับสิทธิค่ารักษาพยาบาล และลูกจ้างที่เกษียณอายุราชการแต่มีอายุราชการไม่ครบ 25 ปี ขาดสิทธิ์ในการ ได้รับบำเหน็จหรือบำเหน็จหลังจากทำงานเกิน 10 ปี และประการสำคัญก็คือ ลูกจ้างประจำผู้รับบำเหน็จรายเดือน สิทธิที่เขาพึงมีก่อนที่จะเกษียณสามารถเบิกค่ารักษาภรรยาและบุตรได้ แต่เมื่อลูกจ้างประจำรับบำเหน็จรายเดือนไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว โดยถูกตัดออกไป ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่ลูกจ้างประจำเมื่อเกษียณอายุราชการออกไปควรจะต้องมีสิทธิในค่ารักษาพยาบาลไว้ดูแลเป็นการดำรงชีพอยู่ในสังคมได้
 
นายพรชัย นาคพล ลูกจ้างประจำ ตัวแทนภาคใต้ กล่าวว่า ลูกจ้างประจำที่ได้มาประชุมกันในวันนี้ทั้งประเทศ ก็เพื่อต้องการหาแนวทางการพัฒนาลูกจ้างประจำไปในแนวทางเดียวกัน โดยเฉพาะด้านค่าครองชีพที่ลูกจ้างได้รับมันต่ำกว่ารายได้ที่พึงได้รับ พร้อมกับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลที่ควรจะได้รับจากหลังเกษียณอายุราชการ จึงอยากจะให้ผู้ใหญ่มาช่วยหาทางช่วยเหลือลูกจ้างที่ทำงานให้กับทางราชการมาหลายปีหลังเกษียณได้สวัสดิการดีกว่าที่เป็นอยู่
 
นายพิษณุ ตุลสุข รองเลขาธิการสภาการศึกษา ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่าการจัดประชุมสัมมนาเชิงวิชาการลูกจ้างส่วนราชการในครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างความเข้มแข็งทั้งระบบเพื่อพัฒนาลูกจ้างส่วนราชการให้มีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ พร้อมรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) และพัฒนาวิธีการทำงานเป็นทีมพร้อมการบริการที่ดีแก่ประชาชนผู้รับการบริการ (Service Mind) เพื่อเสนอให้กับทางหน่วยงานผู้มีอำนาจได้รับฟัง โดยตนอยากแนะนำว่าให้ทางสมาคมได้ร่วมกันเสนอความคิดเห็นโดยสมาชิกได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น คัดกรองข้อคิดเห็นเสนอผ่านสมาคม ก็จะทำให้มีพลังและทำให้ผู้บริหารในแต่ละระดับมาสังเคราะห์ และร่วมกันพิจารณาเพราะว่าไม่ใช่ลูกจ้างแค่หน่วยงานเดียวหากร่วมกันคิดร่วมกันทำก็จะทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนได้ทั้งประเทศ ที่จะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในชีวิตการงานครอบครัวที่ดีด้วย หากผู้บังคับบัญชาให้การสนับสนุนลูกจ้างประจำให้มีค่าครองชีพที่ดีขึ้นก็จะส่งผลถึงคุณภาพการทำงานที่ดีขึ้นด้วย พร้อมสู่การบริการประชาชนที่ดีขึ้นด้วย
 
(แนวหน้า, 3/8/2558)
 
กมธ.ด้านแรงงาน เผย สปช.เห็นชอบแผนปฏิรูปแรงงาน 3 ด้าน เน้นปฏิรูปแรงงานข้ามชาติ - จัดตั้งธนาคารแรงงาน
 
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 ส.ค.ที่รัฐสภา พล.ท. เดชา ปุญญบาล ประธานกรรมาธิการปฏิรูปการแรงงาน พร้อมคณะ ร่วมแถลงถึงผลการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) วันที่ 3 ส.ค.ว่าที่ประชุมได้เห็นชอบวาระปฏิรูปที่ 37 แผนการปฏิรูปการแรงงาน ทั้ง 3 ด้านดังนี้ 1.การพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของแรงงานไทย 2.การปฏิรูปการบริหารจัดการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติ และ 3.การจัดตั้งธนาคารแรงงานและการจัดทำฐานข้อมูลแรงงาน ซึ่งการปฏิรูปการแรงงานทั้ง3 ด้านมีจุดมุ่งหมายเพื่อผลักดันให้มีการปฏิรูปการแรงงานอย่างเป็นรูปธรรมและชัดเจน เพื่อเป็นการสร้างกลไกลหลักประกันความมั่นคงทางรายได้ โดยมีการบริหารจัดการ คนงาน เงินอย่างสมดุลเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ผู้ใช้แรงงานให้เป็นผู้มีศักยภาพทางอาชีพโดยอาศัยการแก้ไขปัญหาด้านแรงงานเชิงรุกอย่างเป็นระบบเป็นสำคัญ
 
พล.ท. เดชา กล่าวว่า แรงงานข้ามชาติเป็นอีกประเด็นหลักที่สำคัญเนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้แรงงานข้ามชาติเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี เพราะความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่ไม่สมดุลกับการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยเริ่มประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานจึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติ โดยจัดทำฐานข้อมูลและพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อรวบรวมข้อมูลแรงงานข้ามชาติแบบบูรณาการและนำข้อมูลกลางเพื่อเรียกดู ประมวลผลและใช้ประโยชน์โดยเฉพาะการปราบปรามกระบวนการค้ามนุษย์ในเชิกรุกได้
 
"ด้านธนาคารแรงงานถูกเสนอให้จัดตั้งขึ้นเป็นธนาคารเฉพาะกิจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงิน ทำให้ผู้ใช้แรงงานสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่าย ไม่ต้องกู้เงินนอกระบบขณะเดียวกันก็เป็นสถาบันการเงินที่ส่งเสริมการออมการวินัยทางการเงิน และเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานให้พ้นจากวงจรความยากจน อีกทั้งเป็นเปิดโอกาสผู้ใช้แรงงานมีสิทธิเข้ามาเป็นเจ้าของผ่านการซื้อหุ้นของธนาคารได้ รวมทั้งมีการบริหารจัดการปัญหาแรงงานเชิงรุกโดยจัดทำฐานข้อมูลและพัฒนาระบบสารสนเทศด้านแรงงานเข้าด้วยกัน ซึ่งจัดตั้งเป็นศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติขึ้น เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักดูแลฐานข้อมูลแรงงานของประเทศ"ปธ.กมธ.ปฏิรูปด้านแรงงานกล่าว
 
(บ้านเมือง, 4/8/2558)
 
เผยผลประชาพิจารณ์นิคมฯ ลำพูน 2 หวั่นปัญหาขยะ-แหล่งน้ำ
 
(4 ส.ค.) ที่หอประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน บริษัท ซับเบิร์บ เอสเต็ท จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการนิคมอุตสาหกรรมลำพูน 2 จัดประชุมและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเป็นครั้งที่ 3 เนื่องจากโครงการมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของผังการใช้ประโยชน์ในพื้นที่และระบบสาธารณูปโภคบางด้านที่แตกต่างไปจากข้อมูลเดิมที่เคยเสนอในครั้งที่ 2 รวมทั้งรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนในพื้นที่ผู้มีส่วนได้เสียได้รับฟังและสอบถามในรายละเอียดอีกครั้ง โดยภายในงานมีประชาชนเข้ามาร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก
       
นายนราพจน์ ทิวถนอม ผู้จัดการบริษัท ซับเบิร์บ เอสเต็ท จำกัด เจ้าของโครงการนิคมอุตสาหกรรมลำพูน 2 กล่าวว่า การประชุมครั้งที่ 2 ที่ผ่านมายังมีข้อบกพร่องในรายละเอียดของการใช้ประโยชน์ในพื้นที่รวมทั้งสาธารณูปโภคบางส่วนเปลี่ยนแปลงไป บริษัท ซับเบิร์บ เอสเต็ท จำกัด และบริษัทที่ปรึกษาสิ่งแวดล้อมจึงต้องนำรายละเอียดดังกล่าวมาชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งข้อคิดเห็นที่ได้รับจากการประชุมมาพิจารณาและปรับปรุงในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้มีความสมบูรณ์ที่สุด ก่อนจะเสนอให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป
       
นายนราพจน์กล่าวต่อไปว่า การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมลำพูน 2 จะช่วยส่งผลให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การเงินในระดับประเทศ, ภูมิภาค, จังหวัด และครัวเรือน ให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะเน้นอุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม, อุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร, อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนและยานยนต์ และอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
       
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการประชุมได้แสดงความเป็นห่วงในเรื่องสิ่งแวดล้อมบริเวณรอบๆ พื้นที่โครงการที่จะได้รับผลกระทบจากการปล่อยมลพิษของโรงงาน และระบบการระบายน้ำ เพราะบริเวณโดยรอบส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก กรณีที่มีโรงงานเข้ามาอาจจะมีการปล่อยน้ำเสียลงในแหล่งน้ำธรรมชาติ จึงอยากให้ทางโครงการพิจารณาถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของประชาชนในบริเวณรอบข้างเป็นหลัก นอกจากนี้ยังแสดงความห่วงใยในกรณีระบบการกำจัดของโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องมีความชัดเจนว่าจะไม่มีการลักลอบนำออกมาทิ้งเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา
       
อนึ่ง นิคมอุตสาหกรรมลำพูนแห่งที่ 2 อยู่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 533 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ลำปาง-เชียงใหม่) อยู่ห่างจากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ (ลำพูน) 300 เมตร และห่างจากตัวเมืองลำพูน 6 กิโลเมตร จำนวน 352 ไร่ 3 งาน 19 ตารางวา ซึ่งหากนิคมอุตสาหกรรมเปิดดำเนินการได้คาดว่าจะสามารถรองรับบริษัทที่จะเข้ามาลงทุนได้ราว 20-25 บริษัท เกิดการจ้างงานในพื้นที่ราว 10,000 คน 
 
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 4/8/2558)
 
มิตซูบิชิยันไม่ลดธุรกิจอาเซียน วางไทยระดับโลก-อินโดฯเสริม
 
นายเทะสึโระ อาอิคาวะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ถึงตลาดรถยนต์ไทยจะชะลอตัวมากในปัจจุบัน แต่ยืนยันไทยเป็นฐานการผลิตระดับโลกของมิตซูบิชิ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก หรืออีโคคาร์ ปิกอัพ และรถอเนกประสงค์แบบพีพีวีอย่างรุ่นปาเจโร สปอร์ต ที่เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ไทยล่าสุด นอกจากนี้มิตซูบิชิยังมีการลงทุนตั้งโรงงานในอินโดนีเซีย เพื่อรองรับการผลิตรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี และรถเพื่อการพาณิชย์ สำหรับรองรับตลาดในประเทศ และส่งออกบางส่วนในอาเซียน
       
“แม้มิตซูบิชิจะลดขนาดธุรกิจในอเมริกาเหนือ ด้วยการปิดโรงงานของมิตซูบิชิที่สหรัฐอเมริกา แต่ยืนยันจะไม่มีการลดขนาดธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนแน่นอน โดยเฉพาะประเทศไทยที่เป็นฐานการผลิตสำคัญของมิตซูบิชิ ดังจะเห็นจากการลงทุนสนามทดสอบมูลค่ากว่า 500 ล้านบาทที่เพิ่งเปิดไป หรือล่าสุดได้แนะนำรถรุ่นใหม่ มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต ที่ผลิตจากโรงงานในไทยเป็นครั้งแรกในโลก ซึ่งบทบาทของไทยจะสำคัญในระดับสากล จากการเป็นฐานการผลิตส่งออกกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ส่วนอินโดนีเซียจะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของมิตซูบิชิในภูมิภาคนี้ เนื่องจากมองทิศทางตลาดอาเซียนมีศักยภาพและจะขยายตัวต่อเนื่องในอนาคต”
       
ทั้งนี้โรงงานแห่งใหม่ของมิตซูบิชิในไทยอินโดนีเซีย จะเริ่มทำการผลิตรถอเนกประสงค์รุ่นปาเจโร่ สปอร์ต ที่เพิ่งแนะนำสู่ตลาดไทยครั้งแรกในโลกช่วงเดือนเมษายน 2560 หลังจากนั้นปลายปีเดียวกันจึงจะเริ่มผลิตรถอเนกประสงค์แบบพีวีขนาดเล็ก และในปี 2561 จะมีการผลิตรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งรถเอ็มพีวีเล็กที่ผลิตจากโรงงานอินโดนีเซียจะส่งออกมาขายในไทยด้วย ส่วนสาเหตุที่ต้องผลิตรุ่นปาเจโร่ สปอร์ตเหมือนกับไทย เป็นเงื่อนไขการจำหน่ายและลงทุนของทางประเทศอินโดนีเซียกำหนด โดยกำลังการผลิตที่โรงงานอินโดนีเซียอยู่ที่ปีละประมาณ 1.6 แสนคัน แบ่งเป็นทำตลาดในประเทศกว่า 80,000 คัน ที่เหลืออีกครึ่งเพื่อการส่งออก 
 
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 4/8/2558)
 
นายกรัฐมนตรีจะเป็นสมาชิก กอช.คนแรก
 
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สามารถสรุปรายละเอียดการเริ่มงานกับนายสมพร จิตเป็นธม ในตำแหน่งเลขาธิการ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เรียบร้อยแล้ว รัฐบาลจึงได้มอบนโยบายให้เลขาธิการ กอช. เร่งดำเนินการรับสมัครสมาชิก โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความประสงค์จะมารับสมัครสมาชิกคนแรกของ กอช. ที่ทำเนียบรัฐบาล
 
“ผมอยากย้ำถึงนโยบายของรัฐบาลที่จะสร้างวินัยการออมของคนไทย แม้ว่าการออมเงินกับ กอช. จะเป็นการออมเพื่อผลระยะยาว แต่หากเราไม่สร้างวินัยการออมในวันนี้ เศรษฐกิจไทยจะไม่สามารถพัฒนาให้เทียบเคียงกับประเทศที่พัฒนาแล้ว และที่สำคัญ วินัยการออม ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่รัฐบาลเล็งเห็นว่าหากคนไทยรักการออมและมีวินัยการออมแล้ว คนไทยภายหลังการเกษียณแล้ว จะไม่เป็นภาระแก่ลูกหลาน” นายวิสุทธิ์ กล่าว
 
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้มอบนโยบายให้ กอช. เร่งประสานงานกับหน่วยงานในกระทรวงการคลัง ได้แก่ธนาคารเพื่อเกษตรและสหกรณ์หรือ ธกส. ธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้จัดทำระบบการรับสมาชิกผ่านเครือข่ายของธนาคารเหล่านี้
 
“ขณะนี้ ทั้ง 3 ธนาคาร ได้รายงานให้ผมทราบแล้วว่าทุกธนาคารมีความพร้อมในการจัดทำระบบเชื่อมต่อเข้ากับระบบของ กอช. ในวันเปิดรับสมาชิกครั้งแรก และคนไทยทุกคนที่มีคุณสมบัติในการสมัครสมาชิก กอช. สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ธนาคารเพื่อสมัครเป็นสมาชิกได้” นายรังสรรค์ กล่าว
 
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ กอช. มีความพร้อมที่จะเปิดรับสมัครสมาชิก โดยจะมีพิธีเปิดรับสมัครสมาชิกอย่างเป็นทางการประมาณกลางเดือนสิงหาคมที่ทำเนียบรัฐบาล โดย กอช. ได้เรียนเชิญ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานเปิดรับสมัครสมาชิกคนแรกของ กอช.
 
กอช. ถือเป็นหน่วยงานล่าสุดที่รัฐบาลนำโดยพลเอกประยุทธ์ ได้ผลักดันจนสามารถเปิดรับสมัครสมาชิกได้ ซึ่งภารกิจสำคัญของ กอช. คือการสนับสนุนให้ประชาชนทั่วประเทศที่มีอาชีพอิสระและไม่มีสวัสดิการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการรับเงินกรณีชราภาพ ให้สามารถใช้สวัสดิการรับเงินบำนาญผ่าน กอช. ได้ โดยผู้มีสิทธิ์สมัครเป็นสมาชิกจะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทยอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีและไม่เกิน 60 ปี แต่ปีแรกที่ พ.ร.บ. มีผลบังคับ ได้อนุญาตให้ผู้สมัครที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปมีสิทธิออมกับกองทุนได้ 10 ปีนับจากวันที่เป็นสมาชิก ทำให้ในช่วงปีแรกผู้สนใจที่มีอายุเกิน 60 ปี สามารถสมัครสมาชิกได้
 
นายสมพร กล่าวว่า ขณะนี้ระบบการรับสมัครสมาชิกมีความพร้อมสมบูรณ์แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมงานเปิดรับสมัครสมาชิกอย่างเป็นทางการในกลางเดือนสิงหาคมนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์หรือ ธกส. ธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทย ทั้ง 3 ธนาคารนี้จะเป็นเครือข่ายรับสมัครสมาชิกทั่วประเทศ โดยผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดและสมัครได้ที่สำนักงานสาขาของธนาคารทั้ง 3 ธนาคาร โดยใช้หลักฐานเพียงบัตรประชาชนเท่านั้น ผู้ที่ออมเร็วและออมในอัตราสูงก็จะได้รับเงินบำนาญมากขึ้นตามสัดส่วน อาทิ ออมเดือนละ 1,000 บาท หากเริ่มตั้งแต่อายุ 15 ปี เมื่อเกษียณจะได้รับเงินบำนาญพร้อมเบี้ยยังชีพรวม 7,000 บาทต่อเดือน แต่หากเริ่มอายุ 30 ปี จะได้เงินบำนาญ 4,000 บาท
 
ส่วนผู้ที่มีเวลาหรือจำนวนเงินออมน้อย เช่น อายุ 50 ปี ออมเดือนละ 500 บาท เมื่ออายุ 60 ปีจะได้เพียง 421 บาท ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานการครองชีพ โดย กอช.จะใช้จ่ายเป็นเงินดำรงชีพแทนในอัตราเดือนละ 600 บาท เมื่อรวมกับเบี้ยยังชีพของรัฐบาลเดือนละ 600 บาท รวมรับเดือนละ 1,200 บาท ซึ่งน่าจะช่วยแบ่งเบาภาระการดำรงชีพในวัยชราได้พอสมควร
 
“ปีนี้คาดว่าจะสามารถรับสมัครสมาชิกได้ประมาณ 100,000 คนและสิ้นปี พ.ศ. 2559 เพิ่มเป็น 1,500,000 คน โดย กอช. คาดว่าจะรับสมัครสมาชิก กอช. ได้เท่ากับเป้าหมายใหญ่ที่รัฐบาลตั้งไว้จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2561 รวมทั้งสิ้นประมาณ 3,000,000 คน” นายสมพร กล่าว
 
จากข้อมูลสถิติในปี 2555 แรงงานไทยจำนวน 24.6 ล้านคนเป็นแรงงานนอกระบบ หรือคิดเป็นร้อยละ 62.6 ของกำลังแรงงานทั้งหมดจำนวน 39.3 ล้านคน เป็นแรงงานที่ไม่ได้รับเงินชดเชยจากการว่างงาน อุบัติเหตุ และเกษียณอายุ เนื่องจากแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตนในกองทุนประกันสังคม ทำให้ขาดความมั่นคงทางรายได้ ยามชราภาพจากแหล่งใด นอกจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของรัฐบาลเท่านั้น
 
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยเข้าสู่สังคมประชากรสูงอายุ และมีอัตราเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานลดลง อันเนื่องจากความก้าวหน้าทางการแพทย์และอัตราการเกิดลดลง ซึ่งคาดว่าในปี 2563 จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนสูงถึงประมาณร้อยละ 15 หรือ 10.5 ล้านคน จากประชากรทั้งประเทศ
 
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุไทยกว่าครึ่งหนึ่งราว 2 ล้านคนจากจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมดประมาณ 4 ล้านคน ที่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ในช่วง 400 – 3,300 บาทต่อเดือน ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ (ร้อยละ 87) พึ่งพิงรายได้จากบุตรหลาน และมีผู้สูงอายุเพียงร้อยละ 10 ที่พึ่งพิงรายได้จากเบี้ยยังชีพ เงินบำเหน็จบำนาญที่ได้จากการออมและการลงทุนเป็นหลัก นอกจากนี้ผลการสำรวจของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่าผู้สูงอายุร้อยละ 31 ไม่มีการเก็บออม และผู้สูงอายุร้อยละ 42 มีปัญหารายได้ไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต ซึ่งสังคมต้องดูแลและรัฐต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อดูแลกลุ่มผู้สูงอายุในอนาคต
 
(โลกวันนี้, 5/8/2558)
 
พม.เยียวยาแรงงานประมงอินโดฯ
 
พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ยังมีแรงงานเดินทางกลับจากประเทศรัฐอินโดนีเซีย อย่างต่อเนื่อง โดยผ่านการช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ   กระทรวงแรงงาน  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวง พม.
 
ทั้งนี้ กระทรวงพม. ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ดำเนินการคัดแยกผู้เสียหายโดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน และให้ความช่วยเหลือแรงงานไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ปี 2557 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2558 รวมจำนวนทั้งหมด 940 คน พบว่า เข้าข่ายการค้ามนุษย์ 51 คน ไม่เข้าข่าย 877 คน และมีหมายจับคดีอาญา จำนวน 12 คน
 
ส่วนการรับลูกเรือประมง ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นครั้งที่ 45 มีลูกเรือประมงจำนวน 35 คน ทางกระทรวงฯ ได้เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือทันที โดยมีทีมสหวิชาชีพ ร่วมกันรับลูกเรือประมงไทยที่กลับจากประเทศอินโดนีเซีย ก่อนนำตัวไปคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งผลจากการคัดแยก พบว่าทั้งหมดไม่เข้าข่ายการค้ามนุษย์
 
กระทรวงพม. ได้ให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น เช่น ค่าเดินทางกลับภูมิลำเนา ค่าอาหารระหว่างเดินทาง และประสานด้านการดำเนินคดี พร้อมทั้งประสานกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้ดำเนินการเรียกร้องค่าจ้างค่าแรงที่พึงได้รับอย่างเหมาะสม ในกรณีที่คัดแยกฯแล้วลูกเรือที่อาจจะเข้าข่ายการค้ามนุษย์ หรือเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์นั้น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ลูกเรือทราบถึงสิทธิในการเข้ารับการคุ้มครองชั่วคราวแล้ว
 
(ไทยรัฐ, 5/8/2558)
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 58138 articles
Browse latest View live




Latest Images