Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 58141 articles
Browse latest View live

คสช.เรียกมุสลิมชีอะห์รายงานตัวหลังชุมนุมต้านอิสราเอล

$
0
0

ประธานสมาพันธ์อัลกุดส์ ประเทศไทย เข้ารายงานตัว คสช. หลังจัดชุมนุมต้านอิสราเอลรุกฉนวนกาซา โดยได้รับการปล่อยตัวหลังจากเข้ารายงานตัว ยืนยันเป็นการชุมนุมต้านความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ ทั่วโลกก็มีชุมนุมเช่นเดียวกัน และไม่เกี่ยวการเมืองไทย

31 ก.ค. 2557 - เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า นายเสถียรภาพ สุขสำราญ ผู้นำมุสลิมชีอะฮ์ ประธานสมาพันธ์อัลกุดส์นานาชาติแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายสมชาย สายสวัสดิ์ ประธานฝ่ายความมั่นคง สมาพันธ์อัลกุดส์นานาชาติแห่งประเทศไทย เดินทางเข้ารายงานตัวต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต ตามหนังสือเชิญให้เข้าชี้แจงกรณีที่มีการชุมนุมหน้าสถานทูตอิสลาเอล

โดยนายเสถียรภาพ เปิดเผยภายหลังเข้าชี้แจงปรับความเข้าใจกับ คสช. ว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมต่อต้านความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับพี่น้องชาวมุสลิมในประเทศปาเลสไตน์ ซึ่งในหลายประเทศทั่วโลกก็มีการชุมนุมในลักษณะเดียวกัน พร้อมระบุว่า การชุมนุมดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองในประเทศไทยแต่อย่างใด

ทั้งนี้ นายเสถียรภาพ ยืนยันว่า หลังจากนี้จะยุติการชุมนุมในลักษณะดังกล่าว แต่หากมีกลุ่มอื่นที่เคลื่อนไหวในลักษะการชุมนุม ขอยืนยันว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มสมาพันธ์ของตนเอง

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 25 ก.ค. สมาพันธ์อัลกุดส์นานาชาติแห่งประเทศไทย นำโดยนายเสถียรภาพ พร้อมสมาชิกกลุ่มได้รวมตัวที่กันหน้า ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร เพื่อไปยังสถานทูตอิสราเอล เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมหลังปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลบริเวณฉนวนกาซา รัฐปาเลสไตน์ ทั้งนี้ทางกลุ่มได้แถลงประณามการกระทำดังกล่าว เรียกร้องขอให้หยุดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์โดยด่วน และขอให้รัฐบาลไทยร่วมประณามการกระทำดังกล่าวด้วยท่าทีที่ชัดเจน พร้อมให้องค์การสหประชาชาติ เข้ามายุติปัญหาความขัดแย้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ในการชุมนุมดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 และ สน.ทองหล่อ และเจ้าหน้าที่ทหารจาก ม.พัน 1 รอ. เข้ามารักษาสถานการณ์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปฏิบัติการคืนความสุขให้ชาวบ้านรอบเหมืองทองเลย: ข้อควรระวังในการใช้อำนาจ

$
0
0
ภายหลังการประกาศรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา การออกมาแสดงตัวของผู้ที่ไม่เห็นด้วยลดน้องลงอย่างชัดเจน อาจจะด้วยหลายเหตุผล ทั้งที่เห็นว่าเหตุการณ์เริ่มดีขึ้น สังคมสงบสุข บ้างอาจกำลังเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ จนกระทั่งบางกลุ่มที่กำลังติดตามรอเวลาที่การดำเนินนโยบายต่างๆ ของ คสช. จะพลาดพลั้ง และยิ่งเมื่อสวนดุสิตโพล [1] ได้ออกมาเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,689 คน เรื่องผลการดำเนินงานในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาของ คสช. โดยภาพรวมให้คะแนน 8.87 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ช่วยยืนยันว่าทิศทางการทำงานในภาพรวมของ คสช. ที่ผ่านมานั้นประชาชนพึงพอใจ ดูคล้ายกับว่ากระแสความคิดเห็นที่แตกต่างได้ลดลงไปแล้ว ความสุขกำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างแท้จริง และหลังจากนี้ความขัดแย้งในสังคมจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
 
เมื่อหันกลับมามองสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากนโยบายการจัดการทรัพยากรของประเทศ ด้วยรูปธรรมของพื้นที่เหมืองทองคำจังหวัดเลย ภายหลังเหตุความรุนแรงจากการปะทะกันในพื้นที่ระหว่างชาวบ้านรอบเหมืองทองคำกับกลุ่มคนที่เข้ามาทำร้ายชาวบ้านเพื่ออำนวยให้การขนแร่ของบริษัททุ่งคำ จำกัด เป็นไปอย่างสะดวกในช่วงกลางดึกวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 ต่อเนื่องจนถึงมีการข่มขู่แกนนำหลังจากเหตุการณ์อีกหลายครั้ง โดยภายหลังการประกาศกฎอัยการศึก ชาวบ้านได้ยื่นจดหมายถึง คสช. เพื่อขอให้ช่วยดูแลความปลอดภัยและติดตามเอาผิดกลุ่มคนที่เข้ามาทำร้ายชาวบ้าน ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานกำลังทหารกว่าร้อยนาย จากหน่วยต่างๆ และหน่วยเฉพาะกิจเขาหลวง ถูกส่งเข้าไปในพื้นที่ ช่วยให้ชาวบ้านรู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้างว่าการข่มขู่คุกคามจะลดลง และเชื่อว่าการทำงานเพื่อติดตามเอาผิดกลุ่มคนร้ายและผู้บงการจะมีความคืบหน้า และสามารถนำตัวมารับโทษได้
 
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติกลับพบว่า ทหารที่เข้ามาในพื้นที่อธิบายว่าจะเป็นคนกลางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านในชุมชนกับบริษัททุ่งคำ จำกัด เพื่อนำความสุขคืนสู่ชุมชน มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาจำนวน 4 ชุด ซึ่งได้ดำเนินการจัดเวทีประชาคมเพื่อหาทางออกกรณีเหมืองทองคำ ไปเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2557 และเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม พบว่าชาวบ้านในพื้นที่ได้ทำหนังสือคัดค้านการแต่งตั้งและให้ยกเลิกคณะกรรมการทั้ง 4 ชุด โดยอ้างถึงที่มาและสถานะของคณะกรรมการทั้ง 4 ชุดว่าไม่มีความชัดเจน และส่วนใหญ่เป็นข้าราชการในพื้นที่ ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งของชาวบ้านอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังไม่มีชาวบ้านอยู่ในคณะกรรมการทั้ง 4 ชุด จึงเห็นได้ชัดเจนว่ากระบวนการแก้ปัญหาของทหาร ไม่ให้ชาวบ้านในชุมชนได้เข้ามีส่วนร่วมในการตัดสินใจหาทางออกอย่างแท้จริง
 
จากการติดตามข่าวสารในกรณีความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านรอบเหมืองทองคำจังหวัดเลย กับบริษัททุ่งคำจำกัด พบว่าการแก้ไขปัญหาของทหารโดยอ้างกฎอัยการศึก ห้ามชาวบ้านประชุมพูดคุยปรึกษาหารือ ห้ามไม่ให้จัดกิจกรรมรณรงค์ในหมู่บ้าน และลดทอนการมีส่วนร่วมของชาวบ้านในทุกระดับนั้น ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านและทหารในพื้นที่ไม่ดีนัก มีการทำหนังสือเรียกชาวบ้านเข้าพูดคุยเพื่อปรับทัศนคติเป็นรายบุคคล ติดตามการทำงานของนักศึกษาที่เข้าพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลใช้เป็นหลักฐานในการขึ้นศาลให้กับชาวบ้านกรณีถูกฟ้องร้องจากบริษัททุ่งคำ จำกัด อย่างใกล้ชิด อีกทั้งการเข้าออกหมู่บ้านของบุคคลหรือกลุ่มองค์กรต้องมีการรายงานตัวกับทหารอย่างเข้มงวด ล่าสุดมีการยึดบัตรประชาชนของนักศึกษาที่เข้าเก็บข้อมูลในพื้นที่และคืนให้เมื่อออกจากพื้นที่ โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งที่ได้รับมา ทำให้ชาวบ้านจึงเริ่มตั้งคำถามกับวิธีการทำงานเพื่อสร้างความปรองดองในพื้นที่ของทหาร
 
จากเดิมที่ชาวบ้านคาดหวังว่าการเข้ามาของทหารจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ แต่รูปธรรมที่เกิดขึ้นดังที่กล่าวมา ประกอบกับความไม่คืบหน้าในการหาตัวผู้กระทำผิดในคืนวันที่ 15พฤษภาคม 2557 มาลงโทษทั้งที่เป็นประเด็นหลักซึ่งชาวบ้านเรียกร้องจากทหารในฐานะผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองตั้งแต่ต้น นอกจากจะไม่ช่วยแก้ไขปัญหา กลับค่อยๆ สร้างความขัดแย้งระหว่างทหารกับชาวบ้านในชุมชน ด้วยวิธีสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ผ่านการบังคับให้เห็นด้วย บังคับให้ร่วมมือ พูดคุยและกดดันทางจิตวิทยารายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม และการใช้อำนาจตามกฏอัยการศึก
 
ปฏิบัติการคืนความสุขด้วยวิธีห้ามพูด ห้ามประชุม ห้ามคิด ห้ามแสดงความคิดเห็น โดยอำนาจซึ่งไม่สามารถโต้แย้ง-ตรวจสอบได้ จะนำความสุขคืนสู่ชุมชนได้จริงหรือ ในเมื่อต้นตอของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ผู้กระทำผิดกรณีทำร้ายชาวบ้านยังลอยนวล คะแนนนิยมจากสาธารณะอาจไม่ใช่ตัวชี้วัดผลการทำงานของ คสช. ได้อย่างแท้จริง เพราะการจัดการปัญหาในพื้นที่ความขัดแย้งจะค่อยๆ เผยให้เห็นความจริงใจและเอาจริงเอาจังในการทำงานของ คสช. อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ การใช้กำลังทหารในการคลี่คลายความขัดแย้งในพื้นที่ ควรต้องระมัดระวัง และใช้อย่างมีศิลปะ หากลุแก่อำนาจ ใช้มันอย่างลืมตัว อำนาจก็นำมาสู่ความหายนะได้เช่นกัน
 
 
[1] อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9570000084797
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ซิป้าและทีดีอาร์ไอคาดซอฟต์แวร์ไทยโต 8.6%

$
0
0
ซิป้าและทีดีอาร์ไอแถลงผลการสำรวจตลาดซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ไทยปี 2556 โต 9.9% คาดการณ์สิ้นปี 2557 โตประมาณ 8.6% โดยยังต้องเร่งสร้างบุคลากรคุณภาพสูงต่อไป

 
วานนิ้ (31 กรกฎาคม 2557) สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (ซิป้า) ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แถลงผลการสำรวจมูลค่าตลาดซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ของประเทศไทยประจำปี 2556 และประมาณการปี 2557  โดยนางสุวิมล เทวะศิลชัยกุล รักษาการผู้อำนวยการ ซิป้า กล่าวว่า การสำรวจตลาดซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์เป็นกิจกรรมที่ ซิป้าจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อติดตามความก้าวหน้าตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของอุตสาหกรรม  โดยในปีนี้ได้ร่วมงานต่อเนื่องกับทีดีอาร์ไอ  
          
ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอและ ดร. เสาวรัจ รัตนคำฟู นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงการสำรวจในปี 2556 ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญซึ่งมีผลต่อการสำรวจมูลค่าอุตสาหกรรมคือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีการปรับปรุงการจัดหมวดหมู่กิจกรรมของอุตสาหกรรมในประเทศไทย (TSIC) จาก TSIC2001 เป็น TSIC2009 ซึ่งมีการแบ่งหมวดหมู่ของธุรกิจซอฟต์แวร์ละเอียดมากขึ้น  ทำให้พบจำนวนประชากรที่เกี่ยวข้องในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 985 บริษัท เป็น 1,705 บริษัท   คณะผู้สำรวจได้ปรับผลการสำรวจในปี 2555 ย้อนหลังให้สอดคล้องกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นด้วย เพื่อให้ผลการสำรวจในปีนี้สามารถเปรียบเทียบกับปี 2555 ได้ 
 
การสำรวจพบว่า ตลาดซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ของไทยในปี 2556 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการผลิตเฉพาะที่เกิดขึ้นในประเทศไทย  45,652 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตจากปี 2555  ร้อยละ 9.9  โดยจำแนกเป็นมูลค่าการผลิตซอฟต์แวร์สำเร็จรูป 10,661 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตร้อยละ 5.9 และมูลค่าการผลิตบริการซอฟต์แวร์ 34,991 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตร้อยละ 11.2  โดยภาคการเงินยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่มีค่าใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์สูงที่สุด 
  
ในส่วนของตลาดซอฟต์แวร์สมองกลฝังตัวนั้นพบว่า ปี 2556 ที่ผ่านมามีมูลค่าการผลิตสูงถึง 5,730 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 34.4 ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลัก เนื่องจากได้รับประโยชน์จากนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลชุดก่อน โดยเฉพาะในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2556 มีการส่งมอบรถยนต์จำนวนมาก ประกอบกับอุตสาหกรรมรถยนต์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
            
ในด้านการส่งออกนั้น ประเทศไทยมีการส่งออกซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ และซอฟต์แวร์สมองกลฝังตัวรวมกันทั้งสิ้นมูลค่า 5,700 ล้านบาทในปี 2556 โดยเป็นมูลค่าการส่งออกบริการซอฟต์แวร์ร้อยละ 53.9   การส่งออกซอฟต์แวร์สมองกลฝังตัวร้อยละ 41.2  และที่เหลือเป็นการส่งออกซอฟต์แวร์สำเร็จรูปร้อยละ 4.9  
 
การสำรวจยังพบว่า ตลาดราชการมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่าตลาดซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ ไม่รวมซอฟต์แวร์สมองกลฝังตัว และ 2 ใน 3 เป็นตลาดของภาคเอกชน  ทั้งนี้ยังคาดว่า มูลค่าตลาดของหน่วยงานราชการในปี 2557 จะชะลอตัวลงมาก สืบเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองทำให้สถานที่ราชการหลายแห่งถูกปิดในต้นปี  หลังจากนั้น ยังมีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจและหน่วยราชการ  ทำให้การตรวจรับงานและการจัดซื้อซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ตามโครงการใหม่ๆ ต้องล่าช้าออกไป ในส่วนของตลาดภาคเอกชนนั้น คาดการณ์ว่า องค์กรต่างๆ ยังจะไม่ลงทุนด้านซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์มากนัก เนื่องจาก คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตโดยรวมในปี 2557 ในอัตราประมาณร้อยละ 1.5  ซึ่งจะทำให้การผลิตซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ในประเทศมีมูลค่าประมาณ 49,560 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 8.6  โดยเป็นมูลค่าการผลิตซอฟต์แวร์สำเร็จรูปประมาณ 11,698 ล้านบาท (เติบโตร้อยละ 9.7) และบริการซอฟต์แวร์ประมาณ 37,862 ล้านบาท (เติบโตร้อยละ 8.2)  ส่วนการผลิตซอฟต์แวร์สมองกลฝังตัวนั้น คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 12.3
            
กล่าวโดยสรุป มูลค่าการผลิตซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ รวมทั้งซอฟต์แวร์สมองกลฝังตัวของไทยจะเติบโตต่อเนื่องแม้จะชะลอตัวลงบ้างในปีนี้  และจะสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีกมากในอนาคต หากสามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพในทุกด้าน.  
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนง.เลขาธิการวุฒิสภาเปิดรับ สนช.รายงานตัว คาดเลือกประธาน 8 ส.ค.

$
0
0
สนช.ทยอยเข้ารายงานตัว "ตวง" มาคนแรก เร่งสอบสอบคุณสมบัติ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และลงรับสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ.57 คาดประชุมนัดแรกเลือกประธาน สนช. 8 ส.ค. รองเลขา ป.ป.ช.ขอดูกฎหมาย สนช.ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินหรือไม่

 
 
1 ส.ค. 2557 วันนี้เป็นวันแรกที่เปิดให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เข้ารายงานตัวที่อาคารรัฐสภา 2 หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ซึ่งจนถึงขณะนี้มีผู้มารายงานตัวแล้ว 9 คน และคาดจะมีการประชุมนัดแรกเพื่อเลือกประธานและรองประธานในวันที่ 8 ส.ค.นี้
 
นางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา กล่าวถึงการรับรายงานตัว สนช.ว่า เจ้าหน้าที่วุฒิสภาได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ เชื่อว่าระยะเวลา 5 วันที่ใช้รายงานตัวจะเพียงพอ ทั้งนี้ คาดว่า สนช.จะมารายงานตัวครบตามกำหนด ส่วนเรื่องรัฐพิธีต้องรอกำหนดอย่างเป็นทางการ และเมื่อเสร็จสิ้นรัฐพิธีแล้วจะนัดประชุมทันที ซึ่งคาดว่าจะมีการประชุมนัดแรกเพื่อเลือกประธานและรองประธานในวันที่ 8 ส.ค.นี้ สำหรับบุคคลที่จะมาเป็นประธานการประชุม คือ นายสมพร เทพสิทธา เพราะมีอาวุโสสูงสุด ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ขณะที่ข้อบังคับการประชุมจะใช้ข้อบังคับ สนช.ของปี 2549
 
ส่วนกรณีของ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร ที่กำลังมีการตรวจสอบว่าขาดคุณสมบัติหรือไม่ เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และลงรับสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะมีการตรวจสอบเพื่อรายงาน คสช.ต่อไป
 
สนช.ทยอยเข้ารายงานตัว "ตวง" มาคนแรก
 
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทยอยเข้ารายงานตัวแล้ว โดยนายตวง อันทะไชย อดีต ส.ว.สรรหา เดินทางมาเป็นคนแรก เผยไม่ทราบล่วงหน้า และไม่มีการทาบทาม ชี้ สนช.มีสัดส่วนทหารมาก ไม่มีผลต่อการทำงาน เพราะทุกคนมีเป้าหมายทำเพื่อบ้านเมือง
 
จนถึงขณะนี้มี สนช.เดินทางมารายงานตัวแล้ว 5 คน นอกจากนายตวง คือ นายศิระชัย โชติรัตน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ พล.อ.จิระเดช โมกขะสมิต ประธานที่ปรึกษากองทัพบก พล.อ.ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ ผอ.สำนักนโยบายและแผน สำนักปลัดกระทรงกลาโหม พล.ท.สุวโรจน์ ทิพย์มงคล
 
รองเลขาฯ ป.ป.ช.ขอดูกฎหมาย สนช.ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินหรือไม่
 
นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. กล่าวถึงการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสนช.ว่า ต้องรอฝ่ายเลขาธิการ สนช.ทำความเห็นสอบถามมายัง ป.ป.ช.ก่อน แต่ตามระเบียบของ สนช.เมื่อปี 2549 กำหนดให้ สนช.ได้รับการแต่งตั้งปี 2549 จะต้องมีการยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.
 
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความชัดเจนในข้อกฎหมาย ระหว่างนี้ ป.ป.ช.จะนำรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2549 กับรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 รวมถึงระเบียบของ สนช. มาเปรียบเทียบเพื่อดูรายละเอียดว่ารัฐธรรมนูญดังกล่าวให้อำนาจ ป.ป.ช.ในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ สนช.หรือไม่
 
คสช.เตรียมเสนอ พ.ร.บ.งบฯ 58-กม.เร่งด่วนเข้าที่ประชุม สนช.
 
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขานุการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานประชุมสรุปผลการปฏิบัติงานรายสัปดาห์ของฝ่ายต่างๆ ในคสช. โดยที่ประชุมรับทราบการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 200 คน โดย พล.อ.อุดมเดช ย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมดำเนินการตามกรอบปฏิทินของ สนช. โดยเฉพาะการเสนอเรื่องเร่งด่วนเข้าพิจารณาเป็นวาระแรกๆ อาทิ งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ร่าง พ.ร.บ.เร่งด่วนตามที่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ คสช.เห็นชอบกว่า 40 ฉบับ
 
พล.อ.อุดมเดช กล่าวในที่ประชุมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ขอให้ทุกฝ่ายช่วยทำความเข้าใจกับสังคมว่า คสช.ไม่ใช่รัฐบาล เป็นงานคนละส่วนกัน แต่จะทำงานคู่ขนานกัน ซึ่งหลังจากนี้โครงสร้าง คสช.จะลดขนาดลงเพื่อให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงานควบคู่กับรัฐบาล ขอให้แต่ละฝ่ายเร่งสรุปผลงานส่งให้สำนักงานเลขานุการ คสช. เพื่อเตรียมส่งข้อมูลต่อให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีขึ้นภายในเดือนกันยายนนี้  
 
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า หัวหน้า คสช.ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกองกำลังรักษาความสงบ (กกล.รส) เตรียมพร้อมช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ และให้เร่งรัดจับกุมนายทุนและขบวนการบุกรุกทำลายป่า รวมถึงติดตามการดำเนินคดีให้ถึงที่สุด 
 
ส่วนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.อุดมเดช ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ คปต. ย้ำให้ทุกหน่วยเฝ้าระวังและป้องกันกลุ่มก่อความไม่สงบก่อเหตุในชุมชนใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชมรมพลังอาชีวะปกป้องชาติและราชบัลลังก์มอบเสื้อยืดให้แก่ พล.ต.วีระ ลือวิชนะ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เพื่อนำไปมอบให้ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
 
 
ที่มา: เรียบเรียงจากสำนักข่าวไทย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญชี้รายชื่อ สนช. ไม่หลากหลายขัด ม.7 รธน.57

$
0
0
 
1 ส.ค. 2557 สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยออกแถลงการณ์ "คัดค้านการประกาศรายชื่อ สนช. ที่ไม่หลากหลายขัด ม.7 รธน.57" เตรียมยื่นคำร้องหรือยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 7 หรือไม่
 
ทั้งนี้รายละเอียดทั้งหมดของแถลงการณ์มีดังต่อไปนี้
 
แถลงการณ์
สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย
คัดค้านการประกาศรายชื่อ สนช. ที่ไม่หลากหลายขัด ม.7 รธน.57
 
ตามที่ได้มีการประกาศแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 200 คน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมานั้น ปรากฏโดยชัดแจ้งว่า รายชื่อ สนช.ที่ประกาศส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มาจากตัวแทนของตำรวจทหารมากกว่า 112 คนหรือ 56 % (ประกอบด้วยทหารบก 66 คน ทหารเรือ 19 คน ทหารอากาศ 18 คน ตำรวจ  9 คน) มีฝ่ายพลเรือนเพียง 88 คนเท่านั้นและไม่หลากหลายตามกลุ่มต่าง ๆ ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ซึ่งไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 7 ที่บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “การถวายคำแนะนำเพื่อทรงแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้คำนึงถึง ความรู้ความสามารถ ความหลากหลายของบุคคลจากกลุ่มต่าง ๆ ในภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม ภาควิชาการ ภาควิชาชีพ และภาคอื่นที่จะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ”
 
การประกาศรายชื่อ สนช. ดังกล่าวจึงเข้าข่ายการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราวโดยชัดแจ้งดังนั้น สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงขอใช้สิทธิตามมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวดังกล่าว ในการยื่นคำร้องหรือยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวว่าประกาศแต่งตั้ง สนช.ดังกล่าว เข้าข่ายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 7 หรือไม่ และจะขอให้ผู้ตรวจการส่งเรื่องให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อระงับการปฏิบัติหน้าที่ของ สนช.ไว้พรางก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมา โดยสมาคมฯ จะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินในวันจันทร์ที่  4 สิงหาคม 2557 เวลา 10.00 น. ณ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ หลักสี่ กทม.
 
ประกาศมา ณ วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2557
 
นายศรีสุวรรณ  จรรยา
เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

“แดง ชินจัง” สารภาพยิง M79 ใส่เวที กปปส.

$
0
0
 
ตำรวจได้นำ นายยงยุทธ บุญดี หรือ “แดง ชินจัง” ผู้ถูกกล่าวหาว่า ก่อเหตุยิงระเบิด เอ็ม 79 ใส่หลายสถานที่ในกรุงเทพฯ รวมถึงเวทีชุมนุมของกลุ่มกปปส. เมื่อปีที่แล้ว มาแถลงข่าว และว่า นายยงยุทธสารภาพ โดยไม่ได้ถูกจ้างวานจากใคร 
 
1 สิงหาคม 2557 มติชนออนไลน์รายงานว่า ตำรวจได้นำ นายยงยุทธ บุญดี หรือ “แดง ชินจัง” ผู้ถูกกล่าวหาว่า ก่อเหตุยิงระเบิด เอ็ม 79 ใส่หลายสถานที่ในกรุงเทพฯ เมื่อปีที่แล้ว มาแถลงข่าว โดยนายยงยุทธ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน กระทำให้เกิดระเบิด มีเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด และยุทธภัณฑ์ ไว้ในครอบครอง 
 
โดยตำรวจกล่าวว่า นายยงยุทธได้ยอมรับว่า ร่วมกับพวกก่อเหตุยิงระเบิด เอ็ม 79 ใส่อาคารชินวัตร 3 ถนนวิภาวดี เวที กปปส. ถนนแจ้งวัฒนะ ห้างโลตัสสาขาสุวินทวงศ์ ห้างโลตัสสาขาแจ้งวัฒนะ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. รวมถึงขว้างระเบิด อาร์จีดีไฟว์ ใส่เวที กปปส. บริเวณลานน้ำพุ ริมถนนสายบ้านบึงแกลง จังหวัดระยอง และธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาถนนเลียบคลองสอง และอื่นๆ รวม 11 ครั้ง
 
โดยนายยงยุทธ สารภาพว่า ไม่ได้รับการว่าจ้างจากใคร แต่รู้จักกับนายชัชวาลย์ ปราบบำรุง ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ ในที่ชุมนุมทางการเมือง เป็นผู้ชักชวนให้ร่วมก่อเหตุ และส่วนใหญ่ตนจะเป็นผู้ติดตามนายชัชวาลย์ มีเพียงครั้งเดียว ที่ลงมือก่อเหตุเองที่อาคารชินวัตร 3
 
ส่วนวิธีการยิง ไม่มีการฝึก แต่เรียนรู้จากนายชัชวาลย์ ประกอบกับก่อนก่อเหตุทุกครั้งก็จะมีการดื่มสุรา เพื่อย้อมใจ ก่อนหลบหนีไปกลบดานที่จังหวัดบุรีรัมย์ จนกระทั่งถูกจับกุมได้ พร้อมปฎิเสธด้วยว่า ไม่รู้จักกับนายวุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดงจังหวัดปทุมธานี เป็นการส่วนตัว แต่เข้าร่วมชุมนุมที่เวทีของโกตี๋เท่านั้น
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สหภาพพนักงานมหาวิทยาลัยอังกฤษ: University and College Union

$
0
0

 

สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศอังกฤษ ย่อมประกอบด้วยบุคลากรสองประเภทหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่ บุคลากรสายผู้สอน (academic staff)กับบุคลากรสายสนับสนุน (support staff)ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบุคลากรประเภทใดก็ตาม ต่างก็มีบทบาทที่สำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อให้ภารกิจในการให้บริการทางการศึกษาแก่นักศึกษาเจริญรุดหน้าไปในอนาคต

สถาบันอุดมศึกษาในประเทศอังกฤษจึงมีความจำเป็นที่จะต้องคัดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทางวิชาการและการบริการทางการศึกษา ให้เข้ามาทำงานในสถาบันการศึกษาของตน ในขณะเดียวกัน สถาบันก็อาจใช้ประโยชน์จากบุคลากรในด้านต่างๆ เพื่อเอื้อต่อการดำเนินกิจกรรมทางวิชาการและกิจกรรมทางธุรกิจอื่นๆ ของสถาบันการศึกษา อีกด้วย สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของอังกฤษ จึงได้พยายามเฟ้นหาบุคคลให้เข้ามาทำงานในสถาบันโดยบุคลากรของสถาบันการศึกษาที่ดำรงสถานะต่างๆ จะถูกผูกพันด้วยสัญญาจ้างแรงงาน (contract of employment)ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานจากทางสถาบันการศึกษาแบบรายภาคการศึกษา (fixed-term employment)หรือการจ้างงานจากทางสถาบันการศึกษาในลักษณะสัญญาจ้างถาวร (permanent employment)

สถาบันอุดมศึกษาของอังกฤษในฐานะที่เป็นผู้รับบุคลากรเข้ามาทำงานโดยจ่ายค่าจ้างกับบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาในฐานะที่เป็นบุคคลซึ่งตกลงทำงานให้แก่สถาบันอุดมศึกษาเพื่อรับค่าจ้าง ภายใต้เงื่อนไขการจ้างหรือการทำงาน กำหนดวันและเวลาทำงาน ค่าจ้าง สวัสดิการการเลิกจ้าง หรือประโยชน์อื่น ของสถาบันอุดมศึกษาหรือบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาอันเกี่ยวกับการจ้างงาน ย่อมล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้เรื่องของแรงงานสัมพันธ์ (labour relations)ทั้งสิ้น

อนึ่ง แม้ว่าการดำเนินกิจกรรมบริการสาธารณะด้านการจัดการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศอังกฤษ จะมีกฎหมายให้อำนาจสถาบันอุดมศึกษาในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการจัดการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาเอาไว้ ตัวอย่างเช่น  พระราชบัญญัติFurther and Higher Education Act 1992อันเป็นกฎหมายที่กำหนดการยกฐานะของวิทยาลัยอาชีวะและวิทยาลัยอาชีพต่างๆ ให้กลายมาเป็นสถาบันอุดมศึกษาของท้องถิ่น โดยกฎหมายดังกล่าวได้ให้อำนาจแก่สถาบันอุดมศึกษาที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการให้บริการทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาแก่นักศึกษาและประชาชนทั่วไป ที่สนใจมาศึกษาในระดับอุดมศึกษา (โปรดดู The National Archives, Further and Higher Education Act 1992, http://www.legislation.gov.uk/ukpga/1992/13)  อย่างไรก็ตาม กฎหมายอังกฤษมิได้มุ่งจะกำหนดนิติสัมพันธ์ทางแรงงานระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาภายใต้สัญญาทางปกครองแต่ประการใด แต่กฎหมายอังกฤษกลับมุ่งกำหนดนิติสัมพันธ์ระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษา ให้เป็นความผูกพันภายใต้สัญญาจ้างแรงงาน ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ของอังกฤษ

เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา เป็นไปในรูปแบบของความผูกพันทางด้านแรงงานสัมพันธ์แล้ว บุคลากรของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัย จึงสามารถรวมตัวกันตามกฎหมายเพื่อการแสวงหาแนวทางส่งเสริมสิทธิเกื้อกูลและคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้างงานและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษา

ดังนั้น บุคลากรของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วทั้งประเทศอังกฤษ จึงได้รวมตัวกันตั้ง สหภาพพนักงานมหาวิทยาลัย(University and College Union - UCU)อันถือเป็นสหภาพแรงงาน (Trade union) ประเภทหนึ่ง (โปรดดูเพิ่มเติมใน University and College Union,  Our history, http://www.ucu.org.uk/2176) โดยสหภาพพนักงานมหาวิทยาลัยของประเทศอังกฤษ ก่อตั้งขึ้น เพื่อสร้างอำนาจต่อรองของบุคลากรของสถาบันการศึกษาในฐานะที่เป็นลูกจ้างต่อสถาบันอุดมศึกษาในฐานะที่เป็นนายจ้าง ผ่านการต่อสู้ทางแรงงานต่างๆ ที่ทางสหภาพพนักงานมหาวิทยาลัยของอังกฤษ ได้นำมาใช้เพื่อผลทางเศรษฐกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการคุ้มครองแรงงานและแรงงานสัมพันธ์โดยเฉพาะ เช่น การชุมนุมประท้วงเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้างงานต่อสถาบันอุดมศึกษา การคว่ำบาตรการเจรจากับสถาบันอุดมศึกษาเกี่ยวกับแรงงานสัมพันธ์ และการนัดหยุดการเรียนการสอนเพื่อกดดันสถาบันอุดมศึกษา เป็นต้น

การจัดตั้งสหภาพพนักงานมหาวิทยาลัยของอังกฤษ ย่อมส่งผลดีในแง่ของการเจรจาต่อรองและการกดดันสถาบันอุดมศึกษา ในเรื่องเกี่ยวกับเงินเดือน สวัสดิการและสิทธิเกื้อกูลอื่นๆ ที่บุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาหรือพนักงานมหาวิทยาลัยพึ่งจะได้รับอย่างเหมาะสม ภายใต้การปฏิบัติอย่างเป็นธรรมในสังคมแรงงาน ตัวอย่างเช่น การนัดหยุดงานครั้งใหญ่ของบุคลากรสถาบันอุดมศึกษาอังกฤษครั้งใหญ่ ในปี ค.ศ. 2013 (UK higher education strike 2013) เพื่อประท้วงและเรียกร้องการจ่ายค่าตอบแทนที่มีความไม่เป็นธรรมหรือการจ่ายค่าตอบแทนไม่ได้สัดส่วนกับมาตรฐานค่าตอบแทนที่ควรจะเป็นตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้กำหนดเอาไว้ รวมไปถึงการตัดเงินเดือนของบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ โดยไม่มีเหตุจำเป็น (โปรดดูเพิ่มเติมใน BBC News, University strike expected to go ahead on Thursday, http://www.bbc.com/news/education-24726743)   

สำหรับกรณีของประเทศไทยนั้น การรวมตัวของพนักงานสถาบันอุดมศึกษาหรือพนักงานมหาวิทยาลัย เพื่อตั้งสหภาพพนักงานมหาวิทยาลัย สำหรับดำเนินกิจกรรมอันนำมาซึ่งผลทางเศรษฐกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการคุ้มครองแรงงานและแรงงานสัมพันธ์โดยเฉพาะ (industrial actions) ย่อมเป็นไปได้ยากยิ่งด้วยเหตุว่าความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานมหาวิทยาลัยกับสถาบันอุดมศึกษาเป็นไปในรูปแบบของสัญญาทางปกครองมิใช่รูปแบบของสัญญาจ้างแรงงานจึงเป็นการยากที่บุคลากรสถาบันอุดมศึกษาของไทยจะสามารถใช้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับการจ้างงาน ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมประท้วง การคว่ำบาตรหรือการนัดหยุดการเรียนการสอน ต่อสถาบันอุดมศึกษา อนึ่ง กฎหมายแรงงานไทยในปัจจุบัน ได้แก่ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2518 และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2543ก็ไม่ได้เปิดช่องให้ลูกจ้างตามสัญญาจ้างในกิจการบริการสาธารณะทุกประเภท (รวมถึงพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาสายวิชาการและพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาสายสนับสนุน) สามารถทำกิจกรรมต่อรองบางประการอันนำมาซึ่งผลทางเศรษฐกิจอันเกี่ยวเนื่องผลประโยชน์ทางด้านการคุ้มครองแรงงานหรือแรงงาน  เช่น การนัดหยุดงาน เป็นต้น

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มผู้ชุมนุม กคป.ชุดแรกรายงานตัวอัยการคดีปิดล้อม ปตท.

$
0
0
กลุ่มผู้ชุมนุม กคป.ชุดแรกกว่า 30 คน รายงานตัวอัยการ คดีปิดล้อม ปตท. เตรียมหลักทรัพย์ประกันคนละ 40,000 บาท

 
1 ส.ค. 2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่าที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความ นำผู้ชุมนุมกลุ่มกองทัพประชาชนและเครือข่ายปฏิรูปพลังงานไทย (กคป.) จำนวนกว่า 30 คน ผู้ต้องหา เข้ารายงานตัวกับพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 คดีมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง บุกรุกสถานที่ราชการ และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากกรณีเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2557 นพ.ระวี มาศฉมาดล แกนนำ กคป. ได้นำผู้ชุมนุมและรถบรรทุกติดเครื่องขยายเสียงไปปิดล้อมและบุกรุกเข้าไปในพื้นที่สำนักงานบริษัท การปิโตเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำกัด (มหาชน) สาขาใหญ่ ถนนวิภาวดี-รังสิต โจมตีการทำงานของรัฐบาล
 
น.ส.พวงทิพย์ กล่าวว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนพร้อมความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการเรียบร้อยแล้ว จึงต้องนำตัวผู้ต้องหาที่เหลืออยู่อีกทั้งหมด 138 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กคป. มารายงานตัวต่อพนักงานอัยการ รวม 3 กลุ่ม โดยวันนี้เป็นการนัดรายงานตัวกลุ่มแรกประมาณกว่า 30 คน ส่วนกลุ่มที่ 2 และ 3 นัดเข้ารายงานตัววันที่ 5 ส.ค. และ 8 ส.ค.นี้ ประมาณกลุ่มละ 50 คน ส่วน นพ.ระวี และแกนนำ กคป.คนอื่น ๆ ทางอัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาไปก่อนหน้านี้ เบื้องต้นหลังจากรายงานตัวกับพนักงานอัยการแล้ว ก็จะขอประกันตัวตามหลักทรัพย์เดิมซึ่งเป็นเงินสดคนละประมาณ 40,000 บาท  โดยทางอัยการจะนัดสั่งคดีอีกครั้ง ส่วนแนวทางการต่อสู้คดีหลังจากนี้จะยึดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าการชุมนุมปิดล้อม ปตท.ของกลุ่ม กคป. เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ไม่ขัดต่อกฎหมาย พร้อมเตรียมรวบรวมพยานหลักฐานและพยานบุคคลเพิ่มเติม เพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

1 ปีน้ำมันรั่ว เกาะเสม็ด (ฟื้นฟู) เสร็จแล้วจริงหรือ?

$
0
0

 

เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา สมาคมประมงพื้นบ้านเรือเล็กระยอง ชาวประมงพื้นบ้านและกลุ่มแม่ค้าผู้ได้รับผลกระทบจาก เหตุการณ์นํ้ามันดิบของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) (PTTGC) รั่วไหลในทะเล จ.ระยอง เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2556 รวม 455 ราย โดยความช่วยเหลือทางกฎหมายของคณะทํางานตรวจสอบข้อเท็จจริงและจัดทํารายงานกรณีน้ำมันดิบของบริษัท PTTGC รั่วไหลออกทะเล จ.ระยอง ในคณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมกับศูนย์ข้อมูลชุมชน (The Community Resources Centre: CRC) ตั้งคณะทนายยื่นฟ้อง PTTGC ในฐานะผู้ก่อมลพิษ และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย คณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน (กปน.) กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ในฐานะผู้มีหน้าที่ตามกฎหมาย ในการบําบัดแก้ไขป้ญหามลพิษและบรรเทาผลกระทบที่เกิดแก่ประชาชนและทรัพยากรทางทะเลชายฝั่ง ต่อศาลจังหวัดระยอง ศาลแพ่ง และศาลปกครองระยอง ก่อนการฟ้องร้องคดีจะหมดอายุความในวันที่ 27 ก.ค. 2557

สำออย รัตนวิจิตร นายกสมาคมประมงพื้นบ้านเรือเล็กระยอง กล่าวว่า การฟ้องร้องในครั้งนี้ ไม่ได้เน้นเรียกร้องเงินเยียวยา แต่ต้องการให้เกิดการจัดการสิ่งแวดล้อมกลับคืนสู่สภาพเดิม เพื่อที่จะสามารถกลับมาประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน มีรายได้เลี้ยงชีพเท่าก่อนเกิดเหตุการณ์น้ำมั่นรั่ว รวมถึงกระตุ้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานอย่างเต็มรูปแบบ


เป็นเวลาเกือบหนึ่งปี หลังเกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบของ PTTGC รั่วไหลออกทะเล จ.ระยอง แต่ดูเหมือนว่าการเยียวยาผลกระทบที่เกิดกับชาวบ้านและทรัพยากรธรรมชาติ จะยังไม่สามารถฟื้นฟูวิถีชีวิตของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านให้กลับคืนมาดังเดิมได้

วีรศักดิ์ คงณรงค์ สมาชิกคนสมาคมประมงพื้นบ้านเรือเล็กระยอง กล่าวว่า เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา ผลกระทบที่เกิดขึ้นถือว่าสาหัสมาก แม้ว่าภายหลังเกิดเหตุการณ์ระยะแรกจะยังพอหาปลาได้บ้าง แต่ผู้บริโภคเกิดความไม่มั่นใจ งดบริโภคอาหารทะเล ทำให้จำหน่ายปลาไม่ได้ ขณะที่ชาวประมงเองก็ไม่กล้านำปลาที่จับได้ในช่วงนั้นออกจำหน่าย เนื่องจากกลัวน้ำมันดิบปนเปื้อนในอาหารไปสู่ผู้บริโภค

ทั้งนี้ รายได้จากการประมงยังลดลงอย่างเห็นได้ชัด ยืนยันได้จากบัญชีครัวเรือนที่แต่คนทำไว้ รายได้ที่เคยได้รับจากการทำประมงก่อนจะเกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่ว อยู่ที่ประมาณ 500 -10,000 บาทต่อวัน แต่หลังเกิดเหตุการณ์ทำให้จำหน่ายอาหารทะเลไม่ได้ และหาอาหารทะเลได้น้อยลงมาก ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เพราะต้องออกทะเลไปไกลขึ้น กระทั่งต้นปีที่ผ่านมามีชาวประมงบางส่วนเริ่มเปลี่ยนอาชีพ หันไปรับจ้างประมาณ 40% ค่าแรงที่ได้รับจากการรับจ้างอยู่ที่ 300 บาทต่อวัน ทั้งยังเป็นงานที่ไม่ถนัด แต่ที่คนส่วนใหญ่ยังยึดอาชีพประมงอยู่เพราะไม่มีทางเลือก และขาดความรู้ในการประกอบอาชีพอื่น

นอกจากนี้ การทำประมงโป๊ะเชือก เครื่องมือประมงประจำที่ขนาดใหญ่ ที่ชาวบ้านได้รับการสนับสนุนจากกรมประมง และศูนย์พัฒนาประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAFDEC) ได้ผลลดลงอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดสำคัญของทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเล เนื่องจากโครงสร้างของเครื่องมือยึดตรึงอยู่กับพื้นทะเล ห่างจากชายฝั่งประมาณ 3-4 กม. และมีการบันทึกผลการจับสัตว์น้ำและรายได้อย่างเป็นระบบ

ชาวประมงโป๊ะเชือก จ.ระยอง กล่าวว่า ที่ผ่านมาจะกู้โป๊ะแบบวันเว้นวัน แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่ว ต้องเปลี่ยนมากู้แบบวันเว้นสองวัน เพราะถ้ากู้ตามปกติจะขาดทุน เนื่องจากมีปลาน้อยมาก 

ในช่วงฤดูกาลก่อนน้ำมันดิบรั่ว ช่วงเดือน ต.ค. 2555 - เม.ย. 2556 รายได้จากการประมงโป๊ะเชือกอยู่ที่ 898,370 บาท แต่ฤดูกาลหลังเกิดเหตุการณ์  เดือน พ.ย. 2556 - เม.ย. 2557 รายได้จากการประมงโป๊ะเชือกลดลงไปมากกว่า 3 แสนบาท เหลือเพียง 574,538 บาท รวมถึงปลาที่เคยกู้ได้หลายสิบกิโลกรัมอย่างปลาจะละเม็ด หลังเกิดเหตุการณ์จับได้เพียง 2 ตัว และเป็นปลาขนาดเล็ก ส่วนปลาที่อยู่ในพื้นที่ อย่างปลาสากเหลือง ปลาข้างเหลือง ลดปริมาณลงกว่าครึ่ง

ด้านอำนาจ ศรีชลา ชาวประมงพื้นบ้าน จ.ระยอง กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านกังวลใจกันมากคือเรื่องของสุขภาพ เนื่องจากมีชาวประมงบางคนได้รับสารเคมีที่ใช้ย่อยสลายคราบน้ำมันดิบ โปรยถูกโดยตรงระหว่างออกหาปลาในช่วงที่น้ำมันดิบเพิ่งรั่วไหล สารพิษอาจสะสมในร่างกายจนเกิดโรค นอกจากนี้ เริ่มมีชาวประมงหลายรายที่มีอาการผื่นแพ้ ซึ่งแพทย์ระบุว่าเป็นอาการที่เกิดจากการสัมผัสสารพิษ ถ้าหากเป็นไปได้ควรจะมีการตรวจเช็คสุขภาพให้ชาวบ้านทุกปี ทว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์กลับไม่มีหน่วยงานด้านสาธารณสุขเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง

ขณะที่ ไพบูลย์ เล็กรัตน์ หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบ กล่าวว่า PTTGC อ้างว่าให้เงินเยียวยารายละ 30,000 บาท ที่ PTTGC และหน่วยงานรัฐเป็นผู้กำหนด โดยปฏิเสธข้อเรียกร้องของชาวบ้าน แต่ยังไม่สามารถตกลงเรื่องเงินชดเชยสำหรับผู้ได้รับผลกระทบได้ และที่ PTTGC รวมถึงหน่วยงานภาครัฐออกมาให้ข่าวว่าพื้นที่ได้รับการเยียวยา ปัญหาได้รับการแก้ไข ปลอดภัยแล้ว ชาวบ้านขอยืนยันเลยว่าปัญหายังไม่ได้ถูกแก้ไข ปัญหามันเกิดอยู่ในทะเล แต่วิธีการพูด การนำเสนอ หรือทำความเข้าใจกับสังคมมักไม่พูดถึงผลกระทบในทะเล แต่จะเลี่ยงไปพูดถึงเกาะเสม็ดแทน

ด้านสุวรรณ นันทศรุต ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 ยืนยันกับชาวบ้านว่า กรมควบคุมมลพิษในฐานะหน่วยงานสนับสนุนด้านวิชาการของ กปน. ได้ลงพื้นที่จัดเก็บตัวอย่างน้ำบริเวณรอบเกาะเสม็ด 12  สถานี ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. 2556 ถึงปัจจุบัน พบว่า แม้จะมีการการปนเปื้อนสารปรอท และสารประกอบปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน เกินค่ามาตรฐานในช่วงแรก แต่หลังวันที่ 23 ก.ย. 2556 - 19 ก.ค. 2557 ค่าการปนเปื้อนได้กลับสู่ระดับปกติ

ขณะที่การเก็บตัวอย่างเพื่อวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่งทั้งหมด 9 สถานี บริเวณที่มีปัญหา คือ สวนรุกขชาติเพ หาดพะยูน และหาดแม่รำพึง แต่เป็นบริเวณที่มีการปนเปื้อนน้ำเสียและโลหะหนักจากบ้านเรือน จากพื้นที่เกษตรด้านบน ส่วนปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานถึงเกินเล็กน้อย

สอดคล้องกับการแถลงข่าว ครบรอบ 1 ปี น้ำมันรั่วไหลลงทะเล จ.ระยอง โดยกรมควบคุมมลพิษ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2557 โดยสรุปว่า สถานการณ์สิ่งแวดล้อม บริเวณรอบเกาะเสม็ด และชายฝั่งทะเล จ.ระยอง ณ วันที่ 25 ก.ค. 2557 ภาพรวมคุณภาพน้ำทะเลมีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล น้ำทะเลมีสภาพใส ไม่พบคราบน้ำมันใน น้ำทะเลและบนชายหาด ระบบนิเวศหาดทรายพบว่ามีแนวโน้มเข้าสู่สภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม ควรมีการติดตามคุณภาพน้ำ ตะกอนดิน และการปนเปื้อนหาดทรายอย่างต่อเนื่องต่อไป

นอกจากนี้ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2556 ได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยาการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการศึกษาผลกระทบในระยะยาวต่อทรัพยากรธรรมชาติและฟื้นฟูให้กลับไปอยู่ในสภาพเดิม จัดทำแผนงานแก้ไขและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมัน จ.ระยอง

ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยาการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เสนอกรอบแผนงานแก้ไข และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมัน จ.ระยอง ต่อที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และจัดส่งไปยัง กปน. รวมถึงบริษัท PTTGC เพื่อดำเนินการตามแผนงานที่กำหนด โดยแผนงานประกอบด้วย

1. แผนงานแก้ไขและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม ประกอบด้วย 5 กิจกรรม คือ 1) การฟื้นฟูผลกระทบต่อระบบนิเวศ 2) การฟื้นฟูผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต 3) การฟื้นฟูผลกระทบต่อการบริการของระบบนิเวศ 4) การติดตามเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และ 5) การฟื้นฟูสภาพแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของเกาะเสม็ด มีโครงการรวม 25 โครงการ

2. แผนงานติดตามและประเมินผล เป็นการติดตามทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม 7 โครงการ ได้แก่ โครงการติดตามประเมินผล 1) ปัจจัยทางสมุทรศาสตร์ 2) แนวปะการัง 3) แหล่งหญ้าทะเล 4) ระบบนิเวศชายหาด/หาดหิน 5) ระบบนิเวศป่าชายเลน 6) สัตว์ทะเลหายาก และ 7) ด้านมลพิษ

แผนการฟื้นฟูฯ มีกรอบระยะเวลาการดำเนินงาน 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2556-2560 โครงการส่วนใหญ่จะดำเนินการถึงปี 2558 ยกเว้นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูแนวปะการังและระบบนิเวศชายหาด/หาดหิน มีกรอบวงเงินงบประมาณรวม 166 ล้านบาท อยู่ในแผนงานแก้ไขและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 73 ล้านบาท และแผนงานติดตามและประเมินผล 93 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านยังคงกังวลใจว่า ข้อมูลของภาครัฐหลายส่วนยังขาดความน่าเชื่อถือ ทั้งปริมาณน้ำมันดิบที่แท้จริงที่รั่วไหลลงสู่ทะเล ผลกระทบที่เกิดจากสารเคมีที่ใช้สลายคราบน้ำมันดิบ รวมถึงการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ ความเป็นกลางในการศึกษาผลกระทบเชิงวิชาการ การประเมินความเสียหาย และการฟื้นฟู ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้ทรัพยากรของ PTTGC

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รอบโลกแรงงานกรกฎาคม 2014

$
0
0
 
ลาวหารือเรื่องขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
 
1 ก.ค. 2014 หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ไทม์ของ สปป.ลาวรายงานในวันนี้ว่า ตัวแทนจากหลายภาคส่วนได้หารือกันเรื่องความเป็นไปได้ในการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากที่ขึ้นครั้งหลังสุดเมื่อปี 2011
 
ตัวแทนจากสมาพันธ์สหภาพแรงงาน สปป.ลาว หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติ สปป.ลาว กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมกำลังหารือกันที่กรุงเวียงจันทน์ ซึ่งจะเป็นการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ปี 1991 เพื่อให้ประชาชนสามารถรับมือกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และแก้ปัญหาแรงงานในประเทศขาดแคลน
 
สปป.ลาวขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งหลังสุดเป็นเดือนละ 626,000 กีบ (ราว 2,500 บาท) สหภาพแรงงานเสนอว่า จากการวิเคราะห์ค่าครองชีพในกรุงเวียงจันทน์และสามจังหวัดสำคัญพบว่า ควรต้องเพิ่มเป็นเดือนละ 800,000 กีบ (ราว 3,200 บาท) เพื่อดึงดูดแรงงานให้ทำงานในภาคเอกชนและแก้ปัญหาแรงงานในประเทศขาดแคลน ขณะที่หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติ สปป.ลาว เกรงว่า จะเกิดผลกระทบต่อธุรกิจและการลงทุนหากไม่ใคร่ครวญข้อเสนอให้ดีพอหรือไม่ปรึกษาผู้เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง เวียงจันทน์ไทม์ระบุว่า ตัวแทนจากหลายฝ่ายส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องการลดผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นกับภาครัฐและเอกชน
 
สภาโบลีเวียผ่านร่าง กม. ให้เด็ก 10 ขวบใช้แรงงานได้
 
2 ก.ค. 2014 สภาโบลิเวียได้ผ่านกม.อนุมัติให้เด็กอายุ 10 ปี สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ภายใต้เงื่อนไขพิเศษของการจ้างงาน โดยสภาได้ออกกฎหมายนี้เพื่อหวังคุ้มครองเด็กโบลิเวียที่ต้องทำงานอยางผิดกฎหมาย ได้รับการคุ้มครองด้านสวัสดิภาพและจิตใจจากผู้จ้างงาน และป้องกันการถูกฉวยประโยชน์ รวมทั้งกำหนดว่า ภายใต้การทำงานดังกล่าว จะต้องได้รับความยินยอมจากเด็ก รวมทั้งครอบครัว หรือผู้ปกครองดูแลด้วย ขณะที่ผู้สนับสนุนกฎหมายนี้อ้างว่า กฎหมายนี้จะช่วยให้โบลิเวียพ้นจากภาวะความยากจนได้ก่อนปี 2025 
 
กฎหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากเด็กโบลิเวียที่ต้องการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ เพื่อช่วยเหลือครอบครัว และเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด โดยที่ผ่านมา มีเด็กโบลิเวียอายุเยาว์วัยได้เริ่มทำงานต่าง ๆ ตั้งแต่งานร้านอาหาร ไปจนถึงงานในเหมือง พวกเขาบอกว่า ต้องการเงิน โดยสำหรับเด็กโบลิเวียจำนวนมาก การมีงานทำหมายถึงการได้ชีวิตอยู่รอด โดยปัจจุบัน โบลิเวีย มีเด็กเป็นจำนวน 8.7 แสนคนต้องทำงาน หรือคิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรทั้งหมด ขณะที่รายงานด้านแรงงานเด็กโบลิเวียก่อนหน้านี้เผยว่า 28 เปอร์เซนต์ของเด็กโบลิเวียอายุ 5-17 ปี ต้องเข้าสู่ภาวะรับจ้างใช้แรงงาน จำนวนนี้ 87 เปอร์เซนต์ต้องอยู่ในาภาวะเสี่ยงต่อร่างกายและสภาพจิตใจ      
 
ขณะเดียวกัน กฎหมายนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานยูนิเซฟในโบลิเวีย ที่ต้องการให้รัฐบาลโบลิเวียคุ้มครองเด็กที่ทำงานในสภาพอันตราย เช่น งานเกษตร และงานในเหมืองแร่ แต่ก็หน่วยงานเอ็นจีโอบางกลุ่มคัดค้านกม.นี้ โดยระบุว่า มาตรการนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาหลักของแรงงานเด็กโบลิเวีย เพราะรัฐบาลสมควรจะที่ใช้นโยบายและคุ้มครองประชากรที่เบาะบาง รวมทั้งครอบครัวที่ยากจน และสนับสนุนครอบครัวเหล่านี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กต้องออกมาทำงานก่อนเกณฑ์อายุ
 
คนงานภาคขนส่งแคเมอรูน ขู่นัดหยุดงานทั่วประเทศ หลัง รบ.เลิกอุดหนุนเชื้อเพลิง-ห้ามขึ้นค่าโดยสาร
 
2 ก.ค. 2014 คนงานชาวแคเมอรูนที่ทำงานในธุรกิจการขนส่งทั่วประเทศออกคำแถลงร่วมในวันพุธ (2 ก.ค.) ขู่นัดหยุดงานประท้วงในสัปดาห์หน้า หลังรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี “ปอล บิยา” ตัดสินใจยกเลิกการจ่ายเงินอุดหนุนค่าเชื้อเพลิง
       
ก่อนหน้านี้รัฐบาลของประธานาธิบดีบิยาประกาศในวันจันทร์ (30 มิ.ย.) ยกเลิกการจ่ายเงินอุดหนุนด้านพลังงานทุกรูปแบบทั้งเงินอุดหนุนน้ำมันดีเซลและแก๊สหุงต้ม จนส่งผลราคาเชื้อเพลิงทั้งสองประเภทปรับพุ่งขึ้นทันทีระหว่าง 14-15 เปอร์เซ็นต์ โดยที่รัฐบาลออกคำสั่งห้ามผู้ประกอบการขนส่งขึ้นราคาค่าบริการโดยเด็ดขาด เป็นเหตุให้เกิดความไม่พอใจในวงกว้างในหมู่ผู้ประกอบการและคนงานในธุรกิจดังกล่าว
       
ปิแอร์ เอ็นเยเม็ก ประธานสหภาพแรงงาน “CGSTC” ซึ่งเป็นหนึ่งในสหภาพแรงงานภาคขนส่งที่ใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดของแคเมอรูนออกมาระบุว่า หากรัฐบาลไม่ต้องการให้ประเทศเป็นอัมพาตในสัปดาห์หน้าก็ต้องยินยอมให้ผู้ประกอบการสามารถขึ้นราคาค่าโดยสารและค่าขนส่งสินค้าได้โดยไม่มีเงื่อนไข มิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับการนัดหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของแคเมอรูน
       
ทั้งนี้ ประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้เรียกร้องอย่างยาวนาน ให้รัฐบาลแคเมอรูนภายใต้การนำของประธานาธิบดีปอล บิยาที่ครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 1982 ยุติการดำเนินมาตรการอุดหนุนด้านพลังงานที่ส่งผลให้รัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณมากกว่า “ปีละ 600 ล้านดอลลาร์” และซ้ำเติมปัญหาขาดดุลงบประมาณของประเทศให้เลวร้ายหนักข้อกว่าเดิม
       
อย่างไรก็ดี รัฐบาลบิยาได้ชะลอการตัดสินใจดังกล่าวเรื่อยมา แม้จะเผชิญการขาดดุลงบประมาณในสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 5.5 ของจีดีพี เนื่องจากหวั่นสูญเสียคะแนนนิยมทางการเมือง และเกรงจะเกิดปัญหาความไม่สงบภายในประเทศ ซ้ำรอยวิกฤตการประท้วงของ “คนขับรถแท็กซี่” ทั่วประเทศเมื่อปี 2008 ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คน
 
รัฐสภาเยอรมนีอนุมัติร่างกฎหมายปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ
 
4 ก.ค. 2014 สถานีโทรทัศน์ ARD ของเยอรมนีรายงานว่า สภาผู้แทนราษฎรของเยอรมนีหรือ Bundestag ได้ลงมติเสนอแผนปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 8.50 ยูโร (ราว 11.60 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อชั่วโมง
 
โดยข้อบังคับครั้งใหม่นี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2015 โดยคาดว่าพนักงานกว่าหลายล้านคนจะได้รับผลประโยชน์จากการปรับเพิ่มค่าจ้าง อุตสาหกรรมบางภาคส่วนสามารถเลื่อนการปรับเพิ่มค่าจ้างได้เป็นเวลาสองปีเพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมเหล่านั้นสามารถปรับตัวได้ อย่างไรก็ตาม กฎหมายใหม่นี้ไม่ครอบคลุมพนักงานบางกลุ่ม เช่น พนักงานฝึกงานระยะสั้นและพนักงานที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
 
ที่ผ่านมาได้มีการเจรจาด้านค่าจ้างขั้นต่ำในเยอรมนีระหว่างผู้ว่าจ้างและสหภาพในแต่ละอุตสาหกรรม การอนุมัติกฎหมายปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำของ Bundestag เกิดขึ้นภายหลังจากการเจรจาอันยืดเยื้อระหว่างพรรคคริสเตียน เดโมเครติค (CDU) ของนายกรัฐมนตรีอังเกล่า แมร์เคล และพรรคโซเชียล เดโมเครติค (SPD) ซึ่งเป็นพรรคพันธมิตรในรัฐบาลผสม
 
ร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงการหลักของพรรค SPD ได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างหนักในเยอรมนี โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากฝ่ายที่เชื่อว่า การปรับเพิ่มค่าจ้างจะก่อให้เกิดตลาดแรงงานที่มีความยุติธรรมมากขึ้น และช่วยลดจำนวนงานที่ให้ค่าจ้างต่ำเกินควร
 
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายอื่นๆได้ออกมาโต้แย้งว่า การปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศจะส่งผลกระทบต่ออัตรางานไปเรื่อยๆ และจะกลายเป็นปัญหาต่อศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก หลังค่าใช้จ่ายด้านแรงงานปรับตัวเพิ่มขึ้น และบริษัทพากันย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศมากขึ้น
 
กลุ่มผู้ประท้วงในรัฐแคลิฟอร์เนียเข้าขวางขบวนรถบัสที่บรรทุกผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจากประเทศในอเมริกากลาง
 
4 ก.ค. 2014 กลุ่มผู้ประท้วงประมาณ 150 คนในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ เข้าขวางขบวนรถบัสที่บรรทุกผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจากประเทศในอเมริกากลางราว 140 คนไม่ให้เข้าไปถึงศูนย์พักพิงในเมืองเมอร์เรียตา พร้อมตะโกนขับไล่ให้กลับประเทศตัวเอง ทำให้ขบวนรถบัสคันดังกล่าวต้องเปลี่ยนเส้นทางไปยังเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากนายกเทศมนตรีเมืองซานดิเอโก "นายอลัน ลอง" เรียกร้องให้ชาวเมืองร้องเรียนไปยังเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับแผนการย้ายผู้อพยพไปยังรัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อบรรเทาความแออัดตามศูนย์พักพิงตลอดแนวชายแดนด้านที่ติดกับเม็กซิโก ซึ่งผู้อพยพเหล่านี้ถูกจับหลังหลบหนีความรุนแรงและการข่มขู่คุกคามจากแก๊งต่างๆ ในกัวเตมาลา, เอล ซัลวาดอร์ และฮอนดูรัส
 
ช่วยคนงานติดในเหมืองฮอนดูรัสได้แล้ว 3 ราย
 
5 ก.ค. 2014 เจ้าหน้าที่กู้ภัยฮอนดูรัสช่วยเหลือคนงานที่ติดอยู่ในเหมืองใต้ดินทางตอนใต้ของประเทศได้แล้ว 3 คน จากทั้งหมด 11 คน หลังจากพวกเขาติดอยู่นาน 2 วัน
 
คนงานเหมืองที่ได้รับการช่วยเหลืออยู่ในสภาพอิดโรย ขาดน้ำ และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว แต่ยังไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคนงานที่ยังติดอยู่อีก 8 คน เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้เจาะลึกลงไปใต้ดิน 100 เมตร และตะโกนติดต่อกับคนงานที่อยู่ข้างใต้ จนกระทั่งสามารถนำตัวพวกเขาขึ้นมาผ่านซอกหิน ท่ามกลางญาติมิตรที่รอคอยอย่างยินดีอยู่ด้านบนเหมือง เจ้าหน้าที่กู้ภัยคนหนึ่งเผยว่า อาจต้องเปลี่ยนจุดค้นหาคนงานที่ยังติดอยู่ เนื่องจากจุดที่ช่วยคนงานขึ้นมาได้นั้นมีดินหินจำนวนมากร่วงลงไปภายในช่องทางเดิน
 
เหตุเหมืองถล่มเกิดขึ้นเมื่อวันพุธ ตามเวลาท้องถิ่น ที่ระดับความลึก 80 เมตร เป็นเหมืองเถื่อนในจังหวัดโชลูเตกา ทางใต้สุดของประเทศ ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปี มีคนงานเหมืองเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 1 คน หลังจากติดอยู่ในเหมืองเดียวกันนี้ พื้นที่ในเขตนี้เป็นพื้นที่เทือกเขา มีเหมืองใต้ดินประมาณ 80 แห่ง และมีคนจากชุมชนใกล้เคียงเดินทางมาทำเหมืองประมาณ 4,000 คน
 
จีเอ็ม-บีเอ็มฯ หยุดผลิตในแอฟริกาใต้ หลังการชุมนุมประท้วงของสหภาพแรงงานเหล็กลุกลาม
 
5 ก.ค. 2014 จีเอ็ม และบีเอ็มดับบลิว ยุติสายการผลิตที่โรงงานในแอฟริกาใต้ หลังการชุมนุมประท้วงของสหภาพแรงงานเหล็กกว่า 2 แสนคน ลุกลามทำให้การผลิตชิ้นส่วนรถชะงักงันและสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
 
เจนเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็ม และบีเอ็มดับบลิว 2 ค่ายรถชั้นนำโลก ตัดสินใจยุติการผลิตหลังจากการชุมนุมประท้วงของสหภาพแรงงานเหล็ก ทำให้บริษัททั้งสองแห่งไม่สามารถเดินสายการผลิตตามปกติได้ ล่าสุด ตำรวจได้จับกุมผู้ชุมนุมประท้วงไป 26 คน ที่ก่อเหตุโจมตี ทำลายข้าวของ และคุกคามโรงงานต่างๆรอบกรุงโยฮันเนสเบิร์ก หลังจากการเจรจาขอขึ้นค่าจ้างแรงงานระหว่างสมาพันธ์อุตสาหกรรมวิศวกรรมและเหล็กแห่งแอฟริกาใต้ และสหภาพแรงงานเหล็กกล้าของแอฟริกาใต้ ประสบความล้มเหลว
 
การผละงานประท้วงของแรงงานกว่า 220,000 คนเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ส่งผลกระทบต่อผลผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆในแอฟริกาใต้ราว 1 ใน 3 ส่งผลให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชื่อดังอย่างมูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส เตือนว่า สถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น เพิ่มความเสี่ยงให้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ที่สำคัญ การประท้วงครั้งนี้ เกิดขึ้นตามหลังการประท้วงของคนงานเหมืองแพลตตินัมจำนวนกว่า 70,000 คนนาน 5 เดือนเต็ม จนทำให้เศรษฐกิจของแอฟริกาใต้ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้หดตัวลง
 
ทั้งนี้ไซฟาในฐานะตัวแทนนายจ้าง เสนอขึ้นค่าจ้างแรงงาน 10% ขณะที่ตัวแทนลูกจ้าง เรียกร้องขอขึ้นค่าแรง 12% พร้อมทั้งให้ยกเลิกระบบนายหน้าหางาน
 
กรีซสั่งให้คนงานการไฟฟ้ากลับไปทำงานแล้ว
 
5 ก.ค. 2014 กรีซสั่งให้คนงานการไฟฟ้ากลับไปทำงานแล้ววันนี้ และขู่ว่าจะจับกุมหากพวกเขายังคงหยุดงานประท้วงต่อไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้ต้องตัดกระแสไฟฟ้าทั่วประเทศ ในฤดูแห่งการท่องเที่ยวนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังคนงานบริษัทการไฟฟ้าหรือพีพีซี. ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่สุดของกรีซ ได้ละเมิดคำสั่งศาล หยุดงานประท้วงอย่างผิดกฎหมายเมื่อวานนี้ ตามเวลาท้องถิ่น ทั้งนี้คนงานโรงไฟฟ้าจำนวนมากไม่พอใจที่กรีซพยายามแปรรูปการไฟฟ้าให้เป็นของภาคเอกชน และมีการประท้วงต่อต้านมาเป็นระยะๆ 
 
แรงงานต่างชาติในสิงคโปร์ขยายตัวลดลงครึ่งหนึ่งติดต่อกันสองปี
 
8 ก.ค. 2014 นายตัน ชวนจิน รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของสิงคโปร์เผยว่า จำนวนแรงงานต่างชาติในสิงคโปร์เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงถึงครึ่งหนึ่งติดต่อกันสองปี
 
นายตันเผยเรื่องนี้ระหว่างชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับรายงานเหตุจลาจลย่านลิตเติลอินเดียเมื่อปลายปีก่อนว่า แรงงานต่างชาติไม่รวมคนงานก่อสร้างและแม่บ้านเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงจากร้อยละ 9.4 ในปี 2554 เหลือร้อยละ 4.6 ในปี 2555 และร้อยละ 2.3 ในปี 2556 นายตันย้ำว่า ในขณะที่ทางการให้ความสำคัญต่อการปรับปรุงแหล่งที่แรงงานต่างชาตินิยมมารวมตัวกันและคุณภาพชีวิตของแรงงานต่างชาติ การลดอัตราการเพิ่มขึ้นของแรงงานต่างชาติก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ ที่ผ่านมาทางการได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อยกระดับคุณภาพแรงงานต่างชาติและลดการพึ่งพาแรงงานต่างชาติค่าแรงต่ำ
 
สิงคโปร์ลดจำนวนแรงงานต่างชาติลงอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้ ข้อมูลของกระทรวงแรงงานเผยว่า แรงงานต่างชาติในประเทศนับจนถึงเดือนมิถุนายนปีก่อนมีมากกว่า 1.3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 24 ของประชากรทั้งประเทศ ส่วนใหญ่มาจากจีน ประเทศในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แรงงานค่าแรงงานต่ำ เช่น ก่อสร้าง ขับรถบรรทุก ทำความสะอาด มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 1,500-2,500 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 37,500-62,500 บาท)
 
สิงคโปร์เพิ่มกำลังตำรวจปราบจลาจลหลังคนงานอินเดียก่อความไม่สงบ
 
8 ก.ค. 2014 สิงคโปร์เพิ่มกำลังตำรวจปราบจลาจลเป็น 2 เท่าและเพิ่มการตรวจตราหลังเกิดกรณีคนงานชาวอินเดียก่อเหตุความไม่สงบเมื่อปีที่แล้ว แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของตำรวจหลังจากสิงคโปร์มีกฎระเบียบทางสังคมที่เข้มงวดมาเป็นเวลา 40 ปี
 
นายเตียว ชีเฮียน รัฐมนตรีมหาดไทยของสิงคโปร์กล่าวต่อรัฐสภาวานนี้ว่า สำนักงานตำรวจจะเพิ่มกำลังตำรวจใหม่จำนวน 300 นายให้แก่กองบัญชาการปฏิบัติการพิเศษ (เอสโอซี) ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยงานปราบปรามการก่อการร้ายด้วย ซึ่งมาตรการดังกล่าวสอดคล้องกับข้อเสนอแนะภายหลังการสอบสวนกรณีเหตุจลาจลเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2013 ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บ 39 คนและรถยนต์เสียหาย 25 คัน
 
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจะเริ่มทดลองใช้กล้องที่สวมไว้กับตัว และบนรถตำรวจจะมีกล้องถ่ายทอดภาพยังศูนย์บัญชาการ และจะติดตั้งกล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ที่มีแรงงานต่างด้าวอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก
 
เหตุจลาจลบนท้องถนนในสิงคโปร์เริ่มขึ้นหลังจากคนงานชาวอินเดียราว 400 คนเกิดความไม่พอใจหลังจากเพื่อร่วมชาติถูกรถโดยสารทับเสียชีวิต รายงานการสอบสวนพบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของกองกำลังตำรวจ ซึ่งรวมถึงโครงสร้างการสื่อสาร การฝึกอบรมและการจัดคณะทำงาน
 
แอฟริกาใต้ ประกาศใช้ “ไบโอเมตริก วีซ่า” สกัด ก่อการร้าย-ลักพาตัวเด็ก-อัตราว่างงานสูง กระทบ “แรงงานซิมบับเวร่วม 250,000 มีสิทธิ์ถูกส่งกลับ”
 
10 ก.ค. 2014 แอฟริกาใต้เดินหน้าประกาศมาตรการออกหนังสืออนุญาตเข้าประเทศให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยการให้นักท่องเที่ยวต้องยื่นขอเป็นการส่วนตัว “ ไบโอเมตริก วีซ่า” หรือวีซ่าชนิดเก็บข้อมูลชีวภาพส่วนบุคคล หวังเพื่อคุมเข้มระบบความปลอดภัยและลดปัญหาการลักลอบค้าเด็ก ซึ่งมาตรการวีซ่าใหม่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายปรับปรุงกฎหมายเข้าเมืองแอฟริกาใต้ที่ทำขึ้นอย่างเร่งด่วนหลังการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่ออุดช่องโหว่ต่างๆ รวมไปถึงอัตราาว่างงานสูงลิ่วในประเทศ ส่งผลให้แรงงานต่างด้าวในแอฟริกาใต้ เช่น ชาวซิมบับเวจำนวนหลายแสนคนได้รับผลกระทบหนัก อาจถึงขึ้นถูกส่งตัวกลับระเทศ 
       
มาตรการใหม่ของแอฟริกาใต้สำหรับนี้ที่มีเป้าประสงค์เพื่อป้องกันการก่อการร้าย และลดปัญหาลักลอบค้าเด็กข้ามชาติ โดยกำหนดกฎเกณ2 มาตรการเข้มสำหรับนักท่องเที่ยว
       
ทั้งนี้มาตรการแรก นักท่องเที่ยวที่เป็นผู้ปกครองประสงค์นำบุตรหลานเดินทางเข้าแอฟริกาใต้ ต้องนำหลักฐานสูติบัตรขนาดย่อตัวจริงสำหรับเด็กทุกคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี และทั้งนักเดินทางที่เป็นพลเมืองแอฟริกาใต้และนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องให้ข้อมูลรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับบิดามารดาของเด็ก
       
และมาตรการที่สอง นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องร้องขอวีซ่าเพื่อเดินทางเข้าแอฟริกาใต้ ต้องยื่นด้วยตัวเองขอรับ “ไบโอเมตริก วีซ่า” หรือ หรือวีซ่าชนิดเก็บข้อมูลชีวภาพส่วนบุคคล
       
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแอฟริกาใต้ รวมถึงสายการบิน บริษัททัวร์ เกรงว่ามาตรการเข้มงวดนี้จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการท่องเที่ยวแอฟริกาใต้ในระดับโลก และพยายามล็อบบี้เพื่อให้การบังคับใช้กฎเหล็กนี้เลือนออกไป 12 เดือน โดยเกรงว่าจะมีผลกระทบหนักสุดในตลาดการท่องเที่ยวของชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น จีน และ อินเดีย
       
เช่นในจีน พบว่ามีแค่ 2แห่งในกรุงปังกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ ที่นักท่องเที่ยวชาวจีนจะสามารถเดินทางด้วยตนเองเพื่อร้องขอ ไบโอเมตริก วีซ่าเดินทางเข้าแอฟริกาใต้ได้ และพบว่านักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่ที่เดินทางมาท่องเที่ยวแอฟริกาใต้นั้นอาศัยอยู่นอกกรุงปักกิ่ง และเซียงไฮ้ ดังนั้นเมื่อมาตรการใหม่บังคับใช้ จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนต้องจัดสรรค์เวลาและเงินเพื่อยื่นขอวีซ่าแบบใหม่นี้ ไมเคิล โทลแมน (Micheal Tollman) ซีอีโอของ คูลินาน โฮลดิงส (Cullinan Holdings) ให้สัมภาษณ์กับเมล และการ์เดียน สื่ออังกฤษ
       
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลแอฟริกาใต้ได้ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2014 เพื่อบังคับใช้มาตรการใหม่นี้ และทำให้ทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยมีเวลามากพอเพื่อหารือกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวแอฟริกาใต้โดยไม่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวท้องถิ่น
       
แต่ทว่าธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแอฟริกาใต้มีแผนขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวแอฟริกาใต้ให้ยืดระยะเวลาการบังคับใช้ออกไปอย่างน้อย 12 เดือน สภาการท่องเที่ยวแอฟริกาใต้(TBCSA) ที่ควบคุมธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศได้ยื่นจดหมายถึงมาลูซี กิกาบา (Malusi Gigaba) รัฐมนตรีมหาดไทยแอฟริกาใต้ ร้องขอให้มีการยกเลิก หรือเลื่อนการบังคับใช้ออกไป และโอกาสที่จะยื่นขออุทธรณ์ในมาตรการใหม่นี้
       
อย่างไรก็ตาม กิกาบากล่าวว่า ทางกระทรวงยินดีรับฟังในผลที่จะตามหลังจากมีการบังคับใช้ และยังกล่าวว่า ไม่มีใครสามารถประกาศใช้มาตรการใหม่ที่ประสบความสำเร็จ 100% ในครั้งแรก
       
ด้านดีเรค ฮาเนกอน (Derek Hanekon) รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวแอฟริกาใต้ ให้สัมภาษณ์ในสัปดาห์ที่ผ่ามาว่า ทางกระทรวงพยายามจะป้องกันถึงผลกระทบที่ตามมาหลังจากการประกาศใช้ และกำลังอยู่ในระหว่างหารือกับกระทรวงมหาดไทยของแอฟริกาใต้ในการหาทางออกที่เหมาะสมในเรื่องนี้
       
นอกจากนี้ มาตรการไบโอเมตริก วีซ่า ที่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายปรับปรุงกฎหมายเข้าเมืองแอฟริกาใต้ที่ถูกปรับให้เข้มงวดขึ้นหลังจากที่มีการเลือกตั้งทั่วไปในแอฟริกาใต้ในเดือนมิถุนายนล่าสุด นั้นไม่กระทบเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประสงค์เดินทางเข้ามาในแอฟริกาใต้เป็นระยะเวลาอันสั้น แต่ยังมีผลกับแรงงานต่างด้าว เช่น ชาวซิมบับเวที่มีหลายแสนคนอยู่ในแอฟริกาใต้อีกด้วย เพราะนโยบายนี้ต้องการระบุให้แน่ชัดระหว่างนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการท่องเที่ยวในประเทศแดนกาฬทวีปเป็นระยะเวลาอันสั้น และผู้ต้องการพำนักถาวรในแอฟริกาใต้ เช่น แรงงานซิมบับเวจำนวน 250,000 คน ที่ลี้ภัยจากสงครามการเมืองและความอดอยากหลังการเลือกตั้งทั่วไปในซิมบับเวปี 2008 จะต้องหาทางต่ออายุใบอนุญาตการพำนักและทำงานในแอฟริกาใต้หลังจากที่สิทธิการพำนักจะสิ้นสุดในสิ้นปีนี้
       
ซึ่งแอฟริกาใต้ถือเป็นฮับของกาฬทวีปสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติที่มาจาก คองโก โซมาเลีย ไนจีเรีย และซิมบับเว ล้วนต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ทั้งสิ้น
       
เอเอฟพีรายงานว่า นโบายใหม่ยกเครื่องตรวจคนเข้าเมืองของแอฟริกาใต้นี้มีผลบังคับใช้ทันทีหลังเสร็จศึกเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมิถุนายน 2014 เพื่อแก้ปัญหาแอฟริกาใต้ที่ต้องเผชิญกับอัตราว่างงานที่สูงลิ่วทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งหามาตรการอุดช่องโหว่
       
โดยกิกาบาที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ให้สัมภาษณ์ว่า “แรงงานต่างด้าวนั้น ผมกล้าพูดได้ว่า เช่น ชาวซิมบับเวที่แห่เข้ามาเพื่อขอที่ลี้ภัยนั้น ทางรัฐบาลแอฟริกาใต้ต้องถามกลับว่า ในขณะนี้มีสงครามเกิดขึ้นในซิมบับเวที่ชาวซิมบับเวจำเป็นต้องยื่นขอที่ลี้ภัยในแอฟริกาใต้หรือไม่”
       
แต่จากปัญหาเศรษฐกิจทรุดหนักของซิมบับเวที่มีอัตราว่างงานสูงถึง 80% และประธานาธิบดีโรเบิร์ต มูกาเบ (Robert Mugabe) มีชัยกลับเข้าสู่อำนาจได้อีกสมัย เป็นผลทำให้ชาวซิมบับเวส่วนใหญ่ลังเลที่จะอพยพกลับ
       
สหราชอาณาจักร-ลูกจ้างรัฐนัดหยุดงานประท้วง
 
10 ก.ค. 2014 แรงงานภาครัฐกว่า 1 ล้านคน ทั่วสหราชอาณาจักร นัดหยุดงาน 24 ชั่วโมงเพื่อประท้วงมาตรการจำกัดการขึ้นค่าแรงของรัฐบาล หรือที่เรียกว่า Poverty Pay
 
แรงงานหลากหลายอาชีพ อย่างเช่น ครูอาจารย์ ลูกจ้างรัฐ พนักงานกวาดถนน และคนดูแลสวนสาธารณะ ร่วมกันหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ปี 
 
ผู้ประท้วงนัดชุมนุมตามเมืองใหญ่ๆ รวมถึงจัตุรัสทราฟัลการ์ในกรุงลอนดอน เพื่อประท้วงรัฐบาลผสมภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน ที่ใช้มาตรการควบคุมค่าจ้างแรงงานภาครัฐตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศในปี 2010 โดยห้ามขึ้นค่าแรง 2 ปี หลังจากนั้นยังจำกัดการขึ้นค่าแรงได้เพียงปีละ 1  % ตามนโยบายรัดเข็มขัดเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการนี้ทำให้รายได้แรงงานภาครัฐปรับขึ้นไม่ทันค่าครองชีพ จนถูกเรียกว่า Poverty Pay หรือค่าแรงที่ทำให้จนลง 
 
ครูคนหนึ่งที่มาประท้วงแสดงความไม่พอใจที่ได้เงินเดือนขึ้นเพียง 1% ขณะที่นายกรัฐมนตรีได้เงินเดือนขึ้น 11% ในปีนี้ การประท้วงส่งผลให้โรงเรียน 3,225 โรง ปิดการเรียนการสอน และอีก 1,000 โรง ปิดสอนบางส่วน
 
นายกฯอิตาลี วอน “อาลิตาเลีย” ยอมรับแผนปลด พนง.ครั้งใหญ่ แลกเงินลงทุนจากสายการบินเศรษฐีอาหรับ
 
11 ก.ค. 2014 รัฐบาลอิตาลีและทีมผู้บริการของสายการบินอาลิตาเลีย กำลังเปิดการเจรจากับทางสหภาพแรงงานของสายการบินเพื่อหาทางประนีประนอมและลดทอนผลกระทบให้กับแรงงานมากกว่า 2,000 คน ที่กำลังจะถูกเลิกจ้าง หลังจากที่สายการบินชื่อดังจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อย่าง “เอติฮัด” เข้ามาซื้อหุ้นของอาลิตาเลียจำนวน 49 เปอร์เซ็นต์ และทางเอติฮัดยื่นเงื่อนไขให้มีการปลดพนักงานออกครั้งใหญ่ เพื่อปรับโครงสร้างและลดค่าใช้จ่ายในองค์กร
       
รายงานข่าวระบุว่า ผู้นำอิตาลีได้เรียกร้องให้ทางสหภาพแรงงานของสายการบินอาลิตาเลีย ยอมรับมาตรการปลดพนักงานดังกล่าว เพื่อแลกกับการดำรงอยู่ของสายการบินแห่งชาติ ซึ่งเปิดดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 และมีการจ้างแรงงานในขณะนี้มากกว่า 14,000 ตำแหน่ง
       
“สำหรับสายการบินอาลิตาเลียนั้น ในขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะมานั่งพูดกันถึงเรื่องจำนวนพนักงานที่ต้องถูกเลิกจ้าง แต่สิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ การที่เราจะต้องตัดสินใจเลือกระหว่างการปลดพนักงานออกเพื่อให้องค์กรอยู่รอด หรือการรักษาตำแหน่งงานไว้ แต่ต้องแลกกับการปิดกิจการ” นายกรัฐมนตรี เรนซี กล่าวหลังเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีในกรุงโรม
       
ทั้งนี้สายการบินอาลิตาเลียซึ่งมีหนี้สินล้นพ้นตัว และแทบไม่เคยมีกำไรนับตั้งแต่ก่อตั้งกิจการ ได้ยื่นขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอิตาลีเมื่อปีที่แล้วในวงเงิน 500 ล้านยูโร (ราว 21,906 ล้านบาท) ก่อนที่จะมีการเจรจาขายหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ให้กับสายการบินเอติฮัดของรัฐบาลอาบูดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อแลกกับเงินลงทุนก้อนโต อย่างไรก็ดี ทางเอติฮัดได้ยื่นเงื่อนไขให้อาลิตาเลียต้องยอมปลดพนักงานครั้งใหญ่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายภายในเสียก่อน
 
ซัมซุงเร่งสอบกรณีถูกกล่าวหาใช้แรงงานเด็กในจีน
 
10 ก.ค. 2014 บริษัทซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์แห่งเกาหลีใต้แถลงว่า บริษัทกำลังเร่งสอบสวนตามข้อกล่าวหาที่ว่าหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายสินค้าของซัมซุงในจีนจ้างแรงงานเด็กและนักเรียนอายุยังไม่ถึงเกณฑ์
 
กลุ่มไชนาเลเบอร์วอชท์ในนิวยอร์กแถลงคาดว่า บริษัทซินหยางอิเล็กทรอนิกส์ ผู้จัดจำหน่ายสินค้าของซัมซุงในจีน จ้างแรงงานอายุต่ำกว่า 16 ปี อย่างน้อย 5 คน นอกจากนี้ยังละเมิดกฎหมายหลายด้าน เช่น ไม่จ่ายค่าแรงล่วงเวลา ใช้ทำงานเกินเวลา ไม่มีประกันสังคม และฝึกอบรมพนักงาน  
 
แถลงการณ์ของบริษัทซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ระบุว่า บริษัทเร่งสอบสวนตามข้อกล่าวหานี้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีใช้แรงงานเด็ก และว่าบริษัทตัวแทนจำหน่ายสินค้ารายงานผลการตรวจสอบไปเมื่อต้นปี แต่ยังไม่พบว่ามีกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กลุ่มไชนาเลเบอร์วอชท์ระบุว่าระบบการตรวจสอบของซัมซุงไม่มีประสิทธิภาพ
 
"ซูเปอร์มาร์เก็ต" UK อ่วม สงครามราคาพุ่ง-เลิกจ้างลดต้นทุน
 
11 ก.ค. 2014 หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนรายงานว่า "แอสด้า" ซึ่งเป็นบริษัทลูกของวอลล์มาร์ท ระบุว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้กระทบพนักงานจำนวน 4,100 คน แต่ส่วนใหญ่เป็นพนักงานที่มีรายได้ไม่สูงนัก 
 
ที่ผ่านมาเชนซูเปอร์ มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ 4 อันดับแรกในสหราชอาณาจักรต่างก็มองหาการตัดลดค่าใช้จ่ายเช่นกัน หลังจากต้องเผชิญกับการถูกกดดันจากสงครามราคาที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการแต่ละแห่งต้องตัดราคาขายกันเอง เพื่อแข่งขันกันอยู่รอดและสู้กับดิสเคานต์สโตร์ต่าง ๆ ที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว 
 
"นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุด ของเรา ในการทำสิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้กับแอสด้าในฐานะซีอีโอของบริษัท แต่เราก็มีความเชื่ออย่างแท้จริงว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วสำหรับ อนาคตของบริษัท มิเช่นนั้นก็ไม่อาจที่จะตามทันตลาดหรือคนอื่นได้" แอนดี้ คลาก ประธานบริหารแอสด้าระบุ 
 
การออกมาปรับลดจำนวนพนักงานในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีอังกฤษ "เดวิด คาเมรอน" ได้ชมเชยว่าแอสด้าเป็นบริษัทที่สร้างงานใหม่ ๆ ให้แก่ผู้คนกว่า 12,000 ตำแหน่ง ในช่วงเวลา 5 ปีต่อจากนี้ จากแผนของบริษัทในการรุกเปิดสาขาใหม่ ๆ ซึ่ง ในตอนนั้น "ดัก แมคมิลเลียน" ประธานและซีอีโอของบริษัทวอลล์มาร์ท ระบุว่า แอสด้ากำลังจะสร้างตำแหน่งงานใหม่ให้เกิดขึ้นจำนวนมาก และจะทำให้แอสด้าเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรมากขึ้นอย่างต่อ เนื่อง 
 
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านบุคลากรในครั้งนี้ ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เมื่อแอสด้าได้ระบุว่า ต้องการลดสตาฟจำนวน 2,600 คน ในครั้งนั้นโรงอาหารพนักงานได้ถูกปิดตัวลง และถูกแทนที่ด้วยเครื่องจำหน่ายอาหารและน้ำดื่มอัตโนมัติแทน เช่น เดียวกันกับ "มอริสัน" เชนซูเปอร์มาร์เก็ตอีกรายในสหราชอาณาจักร ที่ประกาศในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า กำลังพิจารณาการปรับโครงสร้างใหม่ ซึ่งอาจทำให้ต้องลดจำนวนพนักงานลงถึง 2,600 ราย 
 
"แอสด้า" ระบุว่า การปรับโครงสร้างในครั้งนี้จะช่วยให้การบริหารจัดการร้านมีความยืดหยุ่นมาก ขึ้น และสามารถตอบรับกับการพฤติกรรมการช็อปปิ้งในปัจจุบันและอนาคตของลูกค้า โดยการหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซ และลดภาระหน้าที่ขององค์กรในส่วนแบ็กออฟฟิศลง ซึ่งภายในอาทิตย์หน้าพนักงานระดับผู้จัดการที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยน แปลงครั้งนี้จะได้รับการเทรนนิ่งสำหรับตำแหน่งงานใหม่ หรือได้รับค่าชดเชยพิเศษจากการเลิกจ้าง
 
ก่อนหน้าที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำขึ้นนั้น ดิสเคานต์สโตร์เป็นเพียงตัวเลือกเล็ก ๆ ในอุตสาหกรรมค้าปลีกของสหราชอาณาจักรเท่านั้น แต่ หลังจากนั้นช่องทางดังกล่าวก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยพฤติกรรมการบริโภค ที่ระวังการจับจ่ายมากขึ้น จนทำให้เชนดิสเคานต์สโตร์อย่าง "อัลดิ" และ "ลิดเดิล" ในปัจจุบันมีอำนาจการต่อรองมากกว่า "โค-ออป" ซึ่งเป็นเชนซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่อันดับที่ 5 ของสหราชอาณาจักร
 
นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่ากลยุทธ์ของบิ๊กซูเปอร์มาร์เก็ตก็ไม่เพียงแต่จะปรับ ตัวรับ โดยมุ่งไปยังช่องทางอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว เช่น ในเดือนที่ผ่านมา "เซนบิวรี่" ได้ประกาศถึงการร่วมทุนกับบริษัทด้านค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในเดนมาร์ก "แดงส์ซูเปอร์มาร์เก็ต" เพื่อเปิดตัวดิสเคานต์สโตร์ใหม่ "เน็ตโต้" ซึ่งคาดว่าจะมีสาขาครบ 15 แห่งภายในปีหน้าได้
 
"ไคลฟ์ แบล็ค" นักวิเคราะห์จากบริษัท ชอร์ แคพปิทอล กล่าวว่า ผู้บริหารของซูเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ กำลังถูกกดดันให้ จัดการกับต้นทุนการจ้างงานที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้ในขณะนี้ เพราะปัจจุบันดีมานด์ที่เกิดขึ้นในตลาดมีการลดลงอย่างมาก รวมไปถึงการแข่งขันทางด้านราคา ทำให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันเพื่อรักษายอดขายและฐานลูกค้า 
 
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เศรษฐกิจตกต่ำ พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวอังกฤษได้พยายามที่จะหันมาระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งการลดจำนวนการซื้อลง เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองกับสินค้าหรืออาหารที่ไม่จำเป็น โดยเพิ่มความถี่ในการไปจับจ่ายยังร้านค้าเล็ก ๆ มากกว่าที่จะไปร้านใหญ่เพื่อซื้อของจำนวนมากในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ 
 
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมากต่อยอดขายของร้านขนาดใหญ่ต่าง ๆ ซึ่งมีต้นทุนคงที่ในอัตราค่อนข้างสูง โดย "แบล็ค" ยังระบุต่อไปอีกว่า เขาเชื่อว่าทั้งเซนบิวรี่และเทสโก้ก็จะต้องประกาศแผนการปรับโครงสร้างเพื่อ เพิ่มจำนวนของยอดขาย ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการปรับลดพนักงานอย่างแน่นอน
 
ซัมซุงพบหลักฐานการใช้แรงงานเด็กที่โรงงานในจีน
 
14 ก.ค. 2014- ซัมซุง บริษัทอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของเกาหลีใต้เผยว่า ได้ระงับการทำธุรกิจกับผู้ผลิตรายหนึ่งในจีน หลังจากพบหลักฐานว่าอาจมีการใช้แรงงานเด็กที่โรงงานแห่งนั้น
 
ซัมซุงแถลงว่า ได้เปิดการสอบสวนบริษัทตงกวนซินหยางอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากกลุ่มจับตาแรงงานจีนซึ่งตั้งอยู่ที่นครนิวยอร์กของสหรัฐแจ้งว่า โรงงานแห่งนี้จ้างงานเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ผลการสอบสวนทำให้บริษัทตัดสินใจระงับการทำธุรกิจกับโรงงานดังกล่าวเป็นการชั่วคราวเพราะพบหลักฐานว่าน่าจะมีการใช้แรงงานเด็กจริง นอกจากนี้ทางการจีนก็กำลังสอบสวนเรื่องนี้เช่นกัน หากผลการสอบสวนยืนยันว่าโรงงานนี้จ้างแรงงานเด็กอย่างผิดกฎหมาย บริษัทก็จะยุติการทำธุรกิจด้วยเป็นการถาวร
 
ซัมซุงย้ำว่า ได้ตรวจสอบผู้ผลิตอย่างสม่ำเสมอเพราะมีนโยบายไม่ปล่อยให้มีการใช้แรงงานเด็ก เฉพาะโรงงานตงกวนซินหยางนี้บริษัทได้ตรวจสอบมาแล้ว 3 ครั้งตั้งแต่ปีก่อน แต่ก็ยังเกิดข้อกล่าวหาดังกล่าวขึ้น บริษัทจะเพิ่มการตรวจสอบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก ด้านกลุ่มจับตาแรงงานจีนตำหนิว่า ระบบตรวจสอบของซัมซุงไร้ประสิทธิภาพ เพราะนอกจากจ้างแรงงานเด็กแล้ว โรงงานแห่งนี้ยังไม่จ่ายค่าแรงนอกเวลาทำงาน ให้ทำงานนอกเวลามากเกินควร ไม่มีประกันสังคมและการฝึกอบรมแก่คนงาน
 
Microsoft เตรียมแผนหั่นพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี
 
15 ก.ค. 2014 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า เจ้าพ่อซอฟต์แวร์อย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) กำลังวางแผนประกาศปรับโครงสร้างบริษัทซึ่งจะนำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี แหล่งข่าวชี้การปรับโครงสร้างบริษัทครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อรับกับการผูกรวมหน่วยธุรกิจโทรศัพท์มือถือของโนเกีย (Nokia Oyj) ที่ไมโครซอฟท์เพิ่งซื้อกิจการมา
       
บลูมเบิร์ก อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าววงในไมโครซอฟท์ว่า การประกาศปรับโครงสร้างบริษัทจะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้ โดยการเลิกจ้างพนักงานจะเป็นไปตามส่วนงานที่ทับซ้อนกันระหว่างหน่วยธุรกิจโนเกีย และบุคลากรที่ไมโครซอฟท์มีอยู่แล้ว คาดว่าการปรับโครงสร้างจะรวมถึงส่วนงานสายการตลาด และวิศวกรรม
       
ข่าวการปรับโครงศร้างองค์กรของไมโครซอฟท์นั้นถูกจับตามองมานาน เนื่องจากนับตั้งแต่ไมโครซอฟท์ซื้อหน่วยธุรกิจโทรศัพท์มือถือของโนเกียเมื่อช่วงปีที่แล้ว จำนวนบุคลากรของไมโครซอฟท์นั้นเพิ่มขึ้นเป็น 127,000 คนทันที จำนวนทีมงานมหาศาลนี้ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในวงการไอทีอย่าง แอปเปิล (Apple) และกูเกิล (Google) จุดนี้เหล่านักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทล้วนเชื่อว่า ซีอีโอไมโครซอฟท์อย่าง สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) จะลงมือปลดพนักงานบางส่วนแน่นอน และมีแนวโน้มว่านี่อาจเป็นการเลย์ออฟพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009
       
หากย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ไมโครซอฟท์ ประกาศเลิกจ้างพนักงานมากกว่า 5,800 ตำแหน่งในปี 2009 จุดนี้มีความเป็นไปได้ที่จำนวนการปลดพนักงานของไมโครซอฟท์ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นอาจจะทำลายสถิตินี้อย่างราบคาบ
 
เบื้องต้น บลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่า ไมโครซอฟท์จะมุ่งปลดพนักงานส่วนการตลาดในบางธุรกิจ เช่น หน่วยการตลาดในธุรกิจเกมอย่างเอ็กซ์บ็อกซ์ (Xbox) เป็นต้น ขณะเดียวกัน ทีมทดสอบซอฟต์แวร์ หรือ software tester และส่วนวิศวกรรมก็อาจมีการปรับโครงสร้างเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายบริหารบริษัทของซีอีโอคนใหม่
       
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานว่า ซีอีโอไมโครซอฟท์ลงมือส่งบันทึกภายในถึงพนักงานไมโครซอฟท์เพื่อแจ้งถึงนโยบายปรับองค์กรเพื่อให้กระบวนการทำงานระหว่างแผนก และหน่วยธุรกิจมีความคล่องตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในบันทึกภายในฉบับนั้นไม่มีการให้ข้อมูลการปลดพนักงานครั้งใหญ่ใดๆ
       
ก่อนหน้านี้ ซีอีโอไมโครซอฟท์เคยให้สัมภาษณ์ว่า จะแถลงนโยบายบริหารองค์กร และงบการเงินของบริษัทสำหรับปีงบประมาณใหม่ในวันที่ 22 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่ไมโครซอฟท์วางแผนแถลงผลประกอบการบริษัทช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายนที่ผ่านมา คาดว่านโยบายต่างๆ จะมีความชัดเจนในวันดังกล่าว ก่อนที่ปีงบประมาณใหม่ของไมโครซอฟท์จะเริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้
 
สิงคโปร์ขู่ถอนใบอนุญาตบริษัทจัดหางานที่ปฏิบัติต่อแรงงานต่างชาติไม่เหมาะสม
 
17 ก.ค. 2014 กระทรวงแรงงานของสิงคโปร์ประกาศเตือนบรรดาบริษัทจัดหางานว่า ทางกระทรวงเป็นกังวลเกี่ยวกับการนำเสนอคนรับใช้ตามบ้านอย่างไม่เหมาะสมในโฆษณา อาทิ การโฆษณาว่านายจ้างสามารถว่าจ้างแรงงานเหล่านี้ในราคาถูกหรือในราคาที่ลดลงจากปกติราวกับพวกเขาเป็นสินค้า รวมถึงการโฆษณาว่านายจ้างสามารถทดลอง ซื้อและเปลี่ยนคนรับใช้ตามบ้านได้หากไม่พอใจ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สามารถยอมรับได้ ทางกระทรวงขอให้บริษัทจัดหางานในสิงคโปร์ยุติการโฆษณาที่ไม่ให้เกียรติแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานเป็นคนรับใช้ตามบ้านทุกรูปแบบ หากฝ่าฝืนจะถูกเพิกถอนใบอนุญาต
 
กระทรวงแรงงานของสิงคโปร์ประกาศเตือนหลังจากมีรายงานข่าวและได้รับการร้องเรียนจากนักเคลื่อนไหวแรงงานต่างด้าวเกี่ยวกับการนำตัวแรงงานต่างชาติที่มาทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านไปสาธิตการทำงานที่บริษัทจัดหางานซึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้า
 
แรงงานพม่าประท้วงเกาหลีปิดโรงงานไม่จ่ายค่าจ้าง
 
18 ก.ค. 2014 แรงงานจากโรงงานมาสเตอร์สปอร์ตฟุตแวร์ในนครย่างกุ้ง ระบุว่า เจ้าของโรงงานปิดกิจการอย่างผิดกฎหมาย และไม่มีการแจ้งให้ทราบในเดือน พ.ค. และได้เดินทางออกจากประเทศไปแล้ว แรงงานเหล่านี้กำลังเรียกร้องให้ทูตเกาหลีใต้เข้าช่วยเหลือ เนื่องจากพวกเขาประสบปัญหาทางการเงิน และต้องการความช่วยเหลือในการหางานใหม่
       
หลังรัฐบาลเต็งเส่ง เข้าบริหารประเทศในปี 2011 อุตสาหกรรมในประเทศเติบโตขึ้น และการลงทุนจากต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในประเทศหลังชาติตะวันตกคลายมาตรการคว่ำบาตร
       
แรงงานกล่าวว่า พวกเขาติดต่อไปยังสถานทูต รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและความมั่นคงสังคม รัฐสภา และพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ยังไม่มีรับการตอบรับใดๆ
       
“นี่เป็นเพราะรัฐบาลไม่เคยเคียงข้างคนรากหญ้า พวกเขาไม่เคยปกป้องคุ้มครองคนรากหญ้า หรือแรงงาน นั่นเพราะพวกเขาไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ยิ่งทำให้มีการทุจริตมากขึ้น และลำเอียงเข้าข้างฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐ และนักธุรกิจ ส่วนเหยื่อก็มีแต่แรงงาน และคนรากหญ้า” ทนายความฝ่ายแรงงาน กล่าว
 
ผู้ใช้แรงงานหลายพันรวมตัวประท้วงใหญ่กลางเมืองหลวงกานา วอนรบ.เร่งแก้ปัญหา ศก.-ค่าครองชีพ
 
24 ก.ค. 2014 กลุ่มผู้ใช้แรงงานจำนวนหลายพันคนเข้าร่วมการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ ที่จัดขึ้นในกรุงอักกรา เมืองหลวงของกานาในวันพฤหัสบดี (24 ก.ค.) เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และปัญหาค่าครองชีพพุ่งสูง
       
รายงานข่าวระบุว่า การเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ที่มีจุดเริ่มต้นจากบริเวณ “วงเวียนควาเม เอ็นครูมาห์” กลางกรุงอักกราในครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงพลังของกลุ่มผู้ใช้แรงงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีที่เกิดขึ้นในกานา
       
ด้านโซโลมอน โกเต เลขาธิการใหญ่ของสหภาพแรงงานด้านอุตสาหกรรมและการค้า (ICU) เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า การประท้วงครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลกานาออกมาตรการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมเพื่อพลิกฟื้นภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของประเทศโดยเร็ว พร้อมขอให้มีการทบทวนความเหมาะสมของระดับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ตลอดจนราคาน้ำมัน เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาค่าครองชีพพุ่งสูง
       
รายงานระบุว่า บรรยากาศโดยรวมของการประท้วงเป็นไปอย่างสันติ แม้รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีจอห์น ดรามานี มาฮามา ที่ก้าวขึ้นครองอำนาจเมื่อ 2 ปีก่อน จะสั่งระดมกำลังตำรวจปราบจลาจลจำนวนกว่า 500 นายพร้อมอาวุธครบมือ เข้าประจำการตามเส้นทางเดินขบวนของกลุ่มผู้ประท้วง
       
ขณะเดียวกัน โฆษกรัฐบาลกานาออกคำแถลงในกรุงอักกรา ประณามการรวมตัวประท้วงของกลุ่มผู้ใช้แรงงานครั้งนี้ โดยระบุเป็นความพยายามของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในการบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศ
 
ปธน.สโลวะเกียมอบเงินเดือนให้คนจน
 
26 ก.ค. 2014 สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ประธานาธิบดีสาธารณรัฐสโลวะเกีย นายแอนเดรจ คิสกา ทำตามสัญญาตอนที่ชนะเลือกตั้ง ด้วยการมอบเงินเดือนเดือนแรกในฐานะผู้นำประเทศให้กับ 10 ครอบครัวที่มีฐานะยากจน
 
ทั้งนี้ หลังจากชนะเลือกตั้ง นายคิสกา วัย 51 ปี ที่ร่ำรวยขึ้นมาจากธุรกิจบัตรเครดิตเพื่อผู้บริโภค ประกาศมอบเงินเดือนที่ได้เดือนละ 5,376 ยูโร ให้แก่ประชาชนผู้ยากจนตลอดระยะเวลา 5 ปีที่เขาดำรงตำแหน่ง ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีผู้ใจบุญขแห่งสโลวะเกีย ได้ใช้เงินหลายล้านดอลลาร์ ก่อตั้งองกรค์การกุศลขนาดใหญ่ชื่อ "กู้ด แองเจิล"เพื่อช่วยเหลือครอบครัวและเด็กที่มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ
 
ยอดแรงงานจีนไหลตายพุ่งสูง เกือบ 1 พันคนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
 
26 ก.ค. 2014 จำนวนแรงงานชายชาวจีน ซึ่งยังหนุ่มแน่น นอนหลับ แล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย หรือที่เรียกกันว่า เป็นโรคไหลตายนั้น เพิ่มสูงอย่างมากในช่วง 10 ปีทีผ่านมา จากรายงานผลการศึกษาของนักวิจัยล่าสุด แม้ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุการตายได้อย่างชัดเจน แต่ก็พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า แรงงานเหล่านี้เสียชีวิตในเขตพื้นที่เดียวกัน
       
ผลการศึกษาของคณะนักวิจัยจากโรงเรียนแพทยศาสตร์จงซานในเมืองก่วงโจว (กวางเจา) มณฑลก่วงตง (กวางตุ้ง) ระบุว่า มีแรงงานชาวจีนเป็นโรคไหลตายจำนวน 893 คน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลของตำรวจในเมืองแห่งนี้ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่เดือน ม.ค. 2001 - ต.ค. 2013 ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่า 3 เท่าจากคดี ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือน ม.ค. 1990 - ธ.ค. 1999 จำนวน 231 คดี เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเมืองต่งกวน ซึ่งเป็นฐานการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมหลายประเภท ตำรวจระบุว่า ไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิต โดยจากผลการชันสูตรศพไม่พบว่า ป่วยเป็นโรค หรือได้รับบาดเจ็บ ที่อาจทำให้เสียชีวิตได้
       
ข่าวแรงงานเป็นโรคไหลตาย ที่เคยปรากฏมานั้น ส่วนใหญ่เกิดในชาติแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้ง ไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยผู้เสียชีวิตมักมีอาการหายใจติดขัดก่อนตาย งานวิจัยล่าสุดก็พบลักษณะการเสียชีวิต ที่คล้ายคลึงกับงานวิจัยของนานาชาติ และบ่งชี้ว่า คนงาน ซึ่งเป็นชายหนุ่มและใช้แรงกายในการทำงานจัดอยู่ ในกลุ่มเสี่ยง ที่จะตายด้วยโรคนี้มากที่สุด โดยผู้เสียชีวิตกว่าร้อยละ 90 ในเมืองต่งกวนก็อยู่ในคนกลุ่มนี้
       
การทำงานติดต่อกันนานหลายชั่วโมง ประกอบกับสถานที่ทำงาน ตลอดจนที่พักอาศัย ซึ่งขาดสุขลักษณะ อากาศไม่ถ่ายเท และคับแคบ ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เสี่ยงนอนหลับตายได้
       
กลุ่มรณรงค์ด้านสิทธิของผู้ใช้แรงงานในเมืองก่วงตงมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาแรงงานอพยพเสียชีวิตจากอาการปัจจุบันทันด่วนนี้มานานแล้ว และเชื่อว่า เป็นผลมาจากการตรากตร่ำทำงานจนเกินกำลัง จากการเปิดเผยของนาย เจิง เฟยหยัง ผู้อำนวยการศูนย์แรงงานอพยพก่วงตงพันอี๋ว์ในก่วงโจว ( Guangdong Panyu Migrant Worker Centre ) 
       
เขายังระบุด้วยว่า การเรียกร้องค่าเสียหายแก่ผู้ตาย เนื่องจากทำงานหนัก เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก เพราะกฎหมายของจีนไม่รองรับในเรื่องนี้ อีกทั้งเจ้าของโรงงานสามารถโต้แย้งได้ว่า คนงานอื่น ๆ ก็มีชั่วโมงทำงานเท่ากัน แต่เหตุใดจึงยังไม่เสียชีวิต 
       
งานวิจัยชิ้นนี้ยังพบว่า ผู้มีอายุระหว่าง 20-40 ปี ซึ่งมักเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวและอยู่ในภาวะถูกกดดันอย่างหนัก จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่สุดที่จะเป็นโรคไหลตายยกตัวอย่าง เช่น พบว่า กว่าร้อยละ 80 ของผู้เสียชีวิตจำนวน 328 คนในช่วงปี 2544-2549 มีอายุระหว่าง 21-40 ปี นอกจากนั้น เมื่อคิดอัตราเฉลี่ยแล้ว เห็นได้ว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิต 10 คน เป็นผู้ชายมากกว่า 9 คน 
 
คนงานชายกะดึก เจอศึกโรคเบาหวาน
 
28 ก.ค. 2014 วารสาร “เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมและอาชีวะ” ของสหรัฐฯรายงานว่า ผลของการสำรวจแรงงานตามชาติต่างๆครั้งใหญ่ ได้พบว่า ผู้ที่ต้องทำงานเป็นผลัดจะเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานแบบที่ 2 ได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ชายจะยิ่งน่ากลัวที่สุด
 
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคของอังกฤษโทษว่าอาจเป็นเพราะมันไปรบกวนนาฬิกาชีวภาพ ซึ่งเกี่ยวพันกับขนาดของรอบเอว ระดับฮอร์โมน และการนอนเข้า
 
การศึกษาของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจีนก็พบว่า คนทำงานที่ต้องทำงานเป็นกะ จะป่วยเป็นเบาหวานกันประมาณร้อยละ 9 และหากเป็นในหมู่ผู้ชายแล้วจะเพิ่มขึ้นสูงเป็นร้อยละ 35 ยิ่งเป็นผู้ที่ต้องสลับหมุนเวียนระหว่างกลางวันกับกลางคืนด้วยแล้ว ยิ่งสูงถึงร้อยละ 42 นักวิจัยได้บอกเตือนว่า “ผลการวิจัยส่อว่า ผู้ชายที่ต้องทำงานเป็นผลัดแล้ว ควรจะระมัดระวังตัว ควรจะกินอาหารให้ถูกส่วนไว้”
 
สื่อผู้ดีแฉแรงงานสร้างสนามบอลไม่ได้ค่าจ้าง
 
29 ก.ค. 2014 สื่อของอังกฤษ ออกข่าวแฉกาตาร์ เจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022 ว่า แรงงานต่างชาติ ที่เข้ามาสร้างสนามแข่งขันรับค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม และบางส่วนไม่ได้รับค่าจ้างมานานนับปี
 
ประเทศกาตาร์ เจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022 ถูกสื่ออังกฤษ โจมตีมาโดยตลอด ตั้งแต่การเผยแพร่ข้อมูลว่ามีการติดสินบนเพื่อให้ได้จัดฟุตบอลโลก 2022 ล่าสุด สื่อของอังกฤษ เปิดเผยว่า แรงงานกว่าหลายร้อยคน ที่ก่อสร้างสนามอัล วาคราห์ กำลังประสบปัญหาไม่ได้รับค่าจ้างมานานกว่า 1 ปี และมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก นอกจากนั้นเปิดเผยว่าแรงงานต่างชาติจำนวนมาก ต้องเสียชีวิตจากทั้งอุบัติเหตุ ฆ่าตัวตาย และอาการหัวใจล้มเหลว
 
สื่อของอังกฤษ พบว่าแม้บางคนจะได้รับค่าจ้าง แต่ก็เป็นค่าตอบแทนที่ต่ำมาก เฉลี่ยเพียงวันละ 4.9 ปอนด์ หรือประมาณ 220 บาท คิดเป็นสัปดาห์ละประมาณ 1,500 บาทเท่านั้น ส่วนทำงานล่วงเวลาได้ค่าตอบแทนต่ำกว่าเกณฑ์ ขณะที่ผู้จัดการโครงการ ตัวแทนจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างในกาตาร์ ยืนยันว่าค่าตอบแทนในกาตาร์ยังมากกว่าค่าแรงในอินเดียและเนปาล ซึ่งทำให้แรงงานจากหลายประเทศ อพยพเข้ามาทำงานในกาตาร์เป็นจำนวนมาก
 
สำหรับกาตาร์ใช้งบประมาณในการวางโครงสร้าง และระบบสาธารณูปโภคทั้งหมดถึง 134,000 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 6 ล้านล้านบาท ส่วนงบประมาณในการก่อสร้างสนาม ทั้ง 8 แห่ง เพื่อใช้ในฟุตบอลโลก ใช้งบประมาณ 2,400 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 180,000 ล้านบาท
 
อพยพแรงงานจีนออกจากลิเบีย
 
31 ก.ค. 2014 กลุ่มติดอาวุธในลิเบียยอมหยุดยิงชั่วคราวใกล้สนามบินในกรุงทริโปลี ขณะที่จีนเริ่มอพยพแรงงานจีนหลายร้อยคนจากลิเบียไปยังมอลต้าแล้ว กลุ่มติดอาวุธต่างๆ ในลิเบียที่เปิดฉากสู้รบเพื่อยึดครองสนามบินในกรุงทริโปลี ยอมหยุดยิงชั่วคราวเมื่อวานนี้ เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าไปควบคุมไฟที่กำลังลุกลามในคลังน้ำมัน ทำให้เมื่อวานนี้สถานการณ์ในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีการสู้รบกัน และเงียบที่สุดในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
 
ส่วนที่เมืองเบงกาซี เมืองใหญ่อันดับ 2 ของลิเบีย มีรายงานว่า พบศพอย่างน้อย 75 ศพ และ ส่วนใหญ่เป็นทหารที่ล้มตายจากการสู้รบกับกลุ่มติดอาวุธ 2 กลุ่มที่บุกยึดฐานทัพของกองทัพได้แล้ว เมื่อ 2 วันก่อน
 
สำหรับสถานการ์ณในลิเบียช่วง 2 สัปดาห์ทีผ่านมา นับว่าเลวร้ายที่สุดตั้งแต่เกิดสงครามกลางเมืองจากการโค่นอำนาจมูอัมมาร์ กัดดาฟี่ ผู้นำลิเบีย เมื่อปี 2011 ส่งผลให้ชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐฯ รวมไปถึงสหประชาชาติ ต้องถอนเจ้าหน้าที่ทางการทูตออกจากลิเบีย
 
ล่าสุด เมื่อวานนี้จีนได้อพยพแรงงานของตนหลายร้อยคนจากลิเบียทางเรือไปยังมอลต้าแล้ว ซึ่งรัฐบาลมอลต้าได้เตรียมที่พักชั่วคราวให้กับคนงานเหล่านี้ และ เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการอพยพครั้งใหญ่ หากเหตุการณ์ความไม่สงบในลิเบียยังไม่ยุติ
 
ทั้งนี้จีนได้เรียกร้องให้พลเรือนของตนเดินทางออกจากลิเบียก่อนหน้านี้แล้ว สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ชาวจีนอพยพออกจากลิเบียราว 1,000 คน แต่ยังมีอีก 1,000 คนที่ยังอยู่ในลิเบีย รายงานระบุว่า ชาวจีนส่วนใหญ่หลบหนีออกจากลิเบียมายังตูนิเซีย-เมื่อวานนี้ ฟิลิปปินส์ได้ส่งเรือเช่าเหมาลำมารับแรงงานของตน 1,000 คน ไปยังมอลต้าแล้ว
 
 
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก:ประชาไท, ครอบครัวข่าว, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, สำนักข่าวไทย, กรุงเทพธุรกิจ, ไทยรัฐออนไลน์, เดลินิวส์, สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เอเอสทีวี ผจก.สุดสัปดาห์พิมพ์ปกดำ-ไม่ลงภาพและข้อความใดๆ

$
0
0

หลัง คสช. ออกคำสั่ง 108/2557 เตือนเอเอสทีวี ผจก.สุดสัปดาห์ ตีพิมพ์ข้อความ "บิ๊กตู่ คสช.พ่อทุกสถาบัน" ฯลฯ และให้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติสอบ ล่าสุดเอเอสทีวี ผจก.สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 252 ขึ้นปกดำล้วน ขณะที่ไทยพีบีเอสอ้างแหล่งข่าวระบุว่าเอเอสทีวี ผจก.สุดสัปดาห์ตัดสินใจหยุดวางจำหน่าย 4 ฉบับ

1 ส.ค. 2557 - ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และอดีตโฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊คแฟนเพจของเขา เป็นภาพปกหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 252 ประจำวันที่ 2-8 สิงหาคม โดยทั้งหน้าปกเป็นหัวหนังสือพิมพ์ พื้นสีดำล้วน ไม่มีการตีพิมพ์ข้อความและภาพปกใดๆ

ทั้งนี้ ไทยพีบีเอส รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวในผู้จัดการว่า หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการสุดสัปดาห์ จะไม่มีการตีพิมพ์อีก 4 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 253 ถึง 256 โดยจะเสนอแต่เวอร์ชั่นออนไลน์ เพื่อลดแรงกดดันให้กับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ที่เข้ามาสอบสวนเรื่องดังกล่าวตามร้องขอของ คสช.

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 26 ก.ค. มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 108/2557 เรื่องการตักเตือนสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งฝ่าฝืนข้อห้าม โดยระบุว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 251 วันที่ 26 ก.ค. - 1 ส.ค. 2557 ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่องด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช. ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศของ คสช. ในคำสั่ง คสช. ให้ตักเตือนผู้เขียนบทความ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของหนังสือพิมพ์ดังกล่าว หากฝ่าฝืนอีกจะดำเนินการตามกฎอัยการศึก และดำเนินการตามกฎหมาย และสั่งให้องค์กรวิชาชีพดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพต่อบุคคลเหล่านั้น แล้วรายงานผลการดำเนินการให้ คสช.ทราบโดยเร็ว

และในวันที่ 29 ก.ค. คสช. โดยคณะทำงานด้านกฎหมาย ส่วนงานรักษาความสงบเรียบร้อย สำนักเลขาธิการ คสช. ได้ส่งหนังสือมายังสภาการหนังสือพิมพ์ ตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 108/2557 เลขหนังสือ คสช.(สลธ) 1.10/55 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2557

โดยในหนังสือของ คสช. ระบุว่า หนังสือพิมพ์เอเอสทีวี ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 251 ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่อง เช่น ข้อความที่หน้าปกที่ว่า “ธรรมนูญ “บิ๊กตู่” คสช.พ่อทุกสถาบัน”  ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติอยู่เหนือสถาบันเบื้องสูง ส่วนข้อความในหน้า 16 เขียนพาดพิงชื่อบุคคลที่มีหน้าที่เลือกสรรเครื่องสุขภัณฑ์ในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นทายาทของหัวหน้า คสช.

และข้อความในหน้า 18 ที่เปรียบเทียบการสรรหา สนช. กับการแบ่งเค้ก โดยในหนังสือของ คสช. ระบุว่า ข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จ ถือว่าการกระทำดังกล่าวของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์มีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ถือว่าเป็นการฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 97/2557 และ 103/2557

ทั้งนี้ในวันที่ 29 ก.ค. สภาการหนังสือพิมพ์มีการเรียกประชุมด่วนในช่วงเช้า และมีมติให้นายสิทธิโชค ศรีเมือง รองประธานสภาการหนังสือพิมพ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ นำเรื่องดังกล่าวไปดำเนินการพิจารณาตรวจสอบตามธรรมนูญสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ พ.ศ. 2540 และข้อบังคับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติว่าด้วยวิธีพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. 2540 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2554 (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายผู้ติดเชื้อ-มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ แถลงการณ์ร่วม แจงกรณีถูก รร.ปฏิเสธให้บริการ

$
0
0

1 ส.ค. 2557 เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทยและองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ ออกแถลงการณ์ร่วมชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีสององค์กรถูกปฏิเสธให้บริการจากโรงแรมทาวน์อินทาวน์ ชี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ อย่างชัดเจน ระบุจะดำเนินการรณรงค์ให้สาธารณชนได้ร่วมกันบอยคอตการใช้บริการของโรงแรมในเครือแห่งนี้ โดยจะทำหนังสือเวียนถึงทุกหน่วยงานทั้งเอกชน และราชการ เพื่อให้เลิกการสนับสนุนโรงแรมดังกล่าว จนกว่าทางโรงแรมจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย รวมทั้งชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

รายละเอียดแถลงการณ์มีดังนี้

 

๑ สิงหาคม ๒๕๕๗
แถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทยและองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ถูกปฏิเสธให้บริการจากโรงแรมทาวน์อินทาวน์

จากกรณีที่เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย และองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ ถูกปฏิเสธการจัดประชุม สัมมนา และบริการห้องพัก ห้องอาหารจากโรงแรมทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพฯ และเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ที่ผ่านมา ตัวแทนจากเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ และองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ตามที่เป็นข่าวนั้น

เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ อย่างชัดเจน โดยไม่เพียงกระทำต่อผู้ติดเชื้อฯ เท่านั้น แต่ยังเหมารวมถึงทุกองค์กรที่ทำงานในเรื่องเอดส์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นทัศนคติของผู้บริหารโรงแรมที่ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ รวมถึงมีอคติต่อตัวผู้ติดเชื้อฯ ซึ่งสะท้อนจากคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่โรงแรมที่อ้างถึงเหตุผลของผู้บริหารในการไม่ให้บริการ

ตัวอย่างเช่น การอ้างว่า ลูกค้ารายอื่นๆ เกิดความไม่สบายใจในการใช้สถานที่ร่วมกัน อย่างห้องพัก หรือห้องอาหาร ขณะที่ข้อเท็จจริงคือ ไม่เคยมีใครติดเชื้อเอชไอวีจากการใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารโดยใช้ช้อนส้อมร่วมกัน ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ใช้ห้องน้ำ หรือห้องพักร่วมกัน ไม่เพียงเท่านั้น การจะทราบว่าใครติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ ต้องใช้การตรวจเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อเอชไอวีเท่านั้น ไม่สามารถสังเกตจากรูปลักษณ์ภายนอกได้

อนึ่ง การที่เจ้าหน้าที่ของโรงแรมอ้างว่า ทางองค์กรยกเลิกการจัดงานกระทันหัน ข้อเท็จจริงคือ ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน – ๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ติดต่อขอใช้สถานที่เพื่อจัดอบรมให้กับอาสาสมัครสายด่วนปรึกษาเอดส์ ๑๖๖๓ แต่เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่รามคำแหง ซึ่งใกล้กับสถานที่จัดงาน ทางองค์กรผู้จัดคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมอบรม ที่ต้องเดินทางมาในพื้นที่เสี่ยง จึงยกเลิกการจัดอบรมในวันที่ ๑ ธันวาคม โดยได้ปรึกษากับทางฝ่ายขายของโรงแรมเพื่อรับผิดชอบกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทางมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ได้จัดอบรมให้อาสาสมัครสายด่วนฯ อีกครั้งในวันที่ ๑๔ – ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๖, ๑๘ – ๑๙ มกราคม, ๒๕ มกราคม และ ๑ – ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ตามลำดับ
นอกจากนี้ การให้เหตุผลว่ามีทรัพย์สินสูญหาย เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ที่ผ่านมา ทางโรงแรมได้พิสูจน์ด้วยการตรวจสอบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดแล้ว และพบว่าไม่ใช่ผู้เข้าร่วมอบรมจากมูลนิธิเข้าถึงเอดส์แต่อย่างใด การให้สัมภาษณ์เช่นนี้เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงและถือว่า เข้าข่ายการหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งทางมูลนิธิเข้าถึงเอดส์จะพิจารณาเอาผิดต่อกรณีนี้ต่อไป
รวมถึงการอ้างว่ามีการติดต่อไปยังโรงแรม โดยการเปลี่ยนชื่อติดต่อไป และสุดท้ายให้ออกใบเสร็จในชื่อของมูลนิธิฯ นั้นเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นจริง ซึ่งพฤติกรรมการให้ข้อมูลบิดเบือนเช่นนี้แสดงเจตนาต้องการทำให้มูลนิธิฯ เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างชัดเจน

ไม่เพียงเท่านั้น การอ้างว่าผู้เข้าร่วมงานแต่งกายไม่เรียบร้อย สะท้อนให้เห็นทัศนคติของเจ้าหน้าที่และผู้บริหารโรงแรมที่ดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แบ่งแยกชนชั้นจากการแต่งกาย และมองคนจากภายนอก ซึ่งไม่สมควรเป็นทัศนะของผู้ที่ทำหน้าที่ให้บริการ

ทั้งนี้ ทางเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ จะดำเนินการรณรงค์ให้สาธารณชนได้ร่วมกันบอยคอตการใช้บริการของโรงแรมในเครือแห่งนี้ โดยจะทำหนังสือเวียนถึงทุกหน่วยงานทั้งเอกชน และราชการ เพื่อให้เลิกการสนับสนุนโรงแรมดังกล่าว จนกว่าทางโรงแรมจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย รวมทั้งชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวอย่างเป็นทางการ


ขอแสดงความนับถือ

(อภิวัฒน์ กวางแก้ว)
ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ

(นิมิตร์ เทียนอุดม)
ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คสช. ออกประกาศให้หัวหน้าพรรคการเมืองเสนอชื่อสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปได้

$
0
0

1 ส.ค. 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกประกาศฉบับที่ 119/2557 ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์การเสนอชื่อบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 
 
ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ฉบับที่ 119/2557
ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์การเสนอชื่อบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ
 
อาศัยอำนาจตามพระราชกฤษฏีกาว่าด้วยการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ พ.ศ.2557 มาตรา 17 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตามมาตรา 43 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ออกระเบียบเกี่ยวกับการเสนอชื่อบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ดังนี้
 
ข้อ 1. ตามพระราชกฤษฏีกาว่าด้วยสภาปฏิรูปแห่งชาติ พ.ศ.2557 มาตรา 10 การเสนอชื่อบุคคลเพื่อรับการสรรหาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ต้องให้นิติบุคคลซึ่งไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรมาแบ่งปันกันเป็นผู้เสนอชื่อ จึงเห็นควรกำหนดว่า กรณีนิติบุคคลที่เป็นพรรคการเมืองประสงค์จะเสนอชื่อบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ให้หัวหน้าพรรคการเมืองนั้นเป็นผู้เสนอชื่อ
 
ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
 
ประกาศ ณ วันที่ 1 สิงหาคม พุทธศักราช 2557
 
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จุฬาราชมนตรีขอไม่รับตำแหน่ง สนช.

$
0
0
อาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรีทำหนังสือแจ้ง คสช.ขอไม่รับตำแหน่ง สนช.ที่เพิ่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อ 31 ก.ค.57 ระบุตำแหน่งจุฬาราชมนตรีเป็นตำแหน่งผู้นำศาสนา ไม่เหมาะสมหากรับตำแหน่งทางการเมือง นักวิชาการชี้ไม่มีผลต่อการเปิดประชุมสภา

 
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2557 ไทยพีบีเอสออนไลน์ได้รับการเปิดเผยจากคนใกล้ชิดของนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ซึ่งได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลำดับที่ 193  ว่านายอาศิสได้ทำหนังสือแจ้งต่อทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ขอไม่รับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เนื่องจากความเหมาะสมต่อสถานะของผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามในราชอาณาจักร จึงไม่อาจรับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ได้ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีใครทาบทามหรือบอกกล่าวมาก่อนล่วงหน้า มิเช่นนั้นคงกล่าวปฏิเสธไปแล้วก่อนประกาศรายชื่อ
 
แหล่งข่าวยังเปิดเผยอีกว่า ปัจจุบันนายอาศิสยังประสบกับปัญหาสุขภาพอย่างมาก ต้องนั่งรถเข็นในการเดินทางไปประกอบศาสนกิจและปฏิบัติหน้าที่จุฬาราชมนตรี 
 
และจากการสำรวจท่าทีของชาวมุสลิมในประเทศไทยหลังจากมีชื่อของจุฬาราชมนตรีได้รับการแต่งตั้งเป็น สนช.ตามเว็บไซต์และสำนักข่าวออนไลน์พบว่าส่วนใหญ่เป็นไปในทางลบ โดยวิพากษ์วิจารณ์ผู้เสนอชื่อจุฬาราชมนตรีเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะโดยตำแหน่งแล้วจุฬาราชมนตรีนั้นเป็นตำแหน่งสูงสุด ในอดีตจุฬาราชมนตรี เป็นตำแหน่งตัวแทนพระองค์ในฝ่ายมุสลิม แต่การดึงจุฬาราชมนตรีไป เป็นสนช.ถือว่านอกจากไปลดเกียรติของจุฬาราชมนตรีแล้วยังเป็นการทำลายเกียรติตำแหน่งนี้อีกด้วย
 
ในอดีตตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ยังเคยควบตำแหน่งออกญาบวรราชนายก ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรีในยุคปัจจุบันนี้ และในอดีตจุฬาราชมนตรียังเคยควบตำแหน่งพระยากลาโหมเสนา หรือออกญากลาโหมด้วย
 
ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวว่า กรณีผู้ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แล้วไม่ไปรายงานตัวเพื่อรับตำแหน่ง ก็ถือว่าไม่ได้เป็นสนช. ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ต่อการทำงานของ สนช. เพราะมีข้อกำหนดว่ามีสมาชิกไม่เกิน 220 คนเท่านั้น ไม่เหมือนการสมัครเป็นส.ส.หรือส.ว.ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ว่าถ้าไม่ถึงร้อยละ 95 จะไม่สามารถเปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่สนช.แม้มีคนเดียวก็เปิดประชุมได้เลย แต่ทั้งนี้อยู่ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ว่าจะมีการแต่งตั้งคนอื่นมาเป็นแทนให้ครบจำนวนหรือไม่ หรือว่าจะให้ สนช.เท่าที่มีสามารถดำเนินการเปิดประชุมได้เช่นกัน
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ประยุทธ์' ยันปัญหาภาคใต้-ขัดแย้งการเมืองต้องอยู่ภายใต้การทหาร ฝากขอบคุณ 'ฮุนเซน' ปล่อยตัว 'วีระ'

$
0
0

<--break- />เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2557 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ โดยยืนยันว่าการเข้ามาควบคุมอำนาจของคสช.กว่า 2 เดือนที่ผ่านมาทำให้ภาพรวมทั้งการเมืองและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนไทยมีความสงบเรียบร้อย โดยก่อนวันที่ 22 พ.ค.57 บ้านเมืองมีแต่ความวุ่นวาย ซึ่งเป็นปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 10 ปี คือตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนไว้ใจการทำงานของคสช.

ทั้งนี้การดำเนินงานของ คสช. ปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 2 ตามโรดแมป คือการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวและการเดินหน้าการปฏิรูปประเทศ โดยจะมีรัฐบาลประมาณเดือนกันยายนแม้เรียกว่ารัฐบาลเฉพาะกาล แต่ต้องมีอำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดิน เตรียมกติกาการเลือกตั้งต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ทั้งนี้เมื่อจบระยะที่ 2 คสช.จะส่งต่องานให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ขอให้ใจเย็น เพราะต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา จากปัญหาที่เกิดมานานกว่า 10 ปี โดยขอให้ประชาชนไว้ใจว่า คสช.ทำเพื่อประเทศชาติไม่ได้ทำเพื่อพวกพ้อง เพราะถ้าต้องการอำนาจก็ไม่จำเป็นต้องตั้งรัฐบาล

สำหรับการแต่งตั้งสนช.ที่มีการกล่าวหาว่ามีบางกลุ่มมาก บางกลุ่มน้อย พลเอกประยุทธ์กล่าวว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะความขัดแย้งทางการเมืองทำให้ทหารต้องเข้ามามีบทบาท

“การที่มีคนต่อว่าว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย ทำไมกลุ่มนี้มาก กลุ่มนี้น้อย ก็วันนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งไม่ใช่หรือ วันนี้เราจะแก้ปัญหาการปฏิรูป ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งประชาธิปไตย 100% อยู่แล้ว ส่วนสนช.ที่มีการแต่งตั้ง ไม่ได้ใช้ระบบโควตา ส่วนที่จะมีทหารมากน้อยก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นห้วงที่ไม่ปกติ ถ้าปกติก็ทะเลาะกันเหมือนเดิม ทั้งนี้ การทำงานในระยะที่ 2 ของ เป็นหัวใจสำคัญในการปฏิรูป เพื่อจะนำไปสู่จุดสุดท้ายคือการมีรัฐบาลที่ถาวร”

ทั้งนี้วันนี้ยังต้องบริหารราชการแบบไม่ปกติอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ถ้ามีรัฐบาล มีรัฐธรรมนูญชั่วคราว มี ครม. ถือว่าเป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่เป็นประชาธิปไตยแบบไทยบ้างวันนี้เรานำประชาธิปไตยแบบสากลมามาก อาจจะต้องมีประชาธิปไตยแบบไทยชั่วคราวไปก่อน อย่างไรก็ตามต่างชาติ ก็ยอมรับมากขึ้นของการเดินสู่ระยะที่ 2 ของคสช.

สำหรับงานหลักคือการปรับปรุงกฎหมาย โดยสนช.จะดำเนินการปรับปรุงกฎหมายเดิมที่จะต้องมีการแก้ไข ส่วนกฎหมายใหม่ให้เสนอมาทางสภาปฏิรูปโดยสภาปฏิรูป คัดมาจาก 550 เหลือ 173 และคัดมาจาก 5 คนในแต่ละจังหวัดให้เหลือจังหวัดละ 1 คนเป็น 73 คน ทั้งหมดคือ 173 บวก 77 จังหวัด เป็น 250 คน ส่วนแต่ละจังหวัดจะมีการเปิดศูนย์ปรองดองปฏิรูปตามทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ก็เสนอผ่านตัวแทนมาได้เช่นกัน

ขณะนี้ คสช. ให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติรวม 12 ฉบับ ที่จะเสนอเข้าสู่ สนช.ได้ทันทีที่มีการเปิดประชุมสภา เช่น ร่าง พรบ. การกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญ ตาม พรบ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 เพื่อให้ข้าราชการซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) สามารถกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพื่อช่วยเหลือลดภาระและบรรเทาความเดือดร้อนของข้าราชการและผู้รับบำนาญ ซึ่งเป็นสมาชิก กบข. ในการดำรงชีวิตในระยะยาว ร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม แก้ไขให้ขยายขอบเขตการบังคับใช้ให้ครอบคลุมลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ ร่าง พรบ. การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง โดยให้มีคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง เพื่อกำหนดนโยบายและแนวทางดำเนินการให้ความคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งและให้จัดตั้งสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง เพื่อช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนและดูแลคนไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ เป็นต้น

ยันเศรษฐกิจกำลังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง

สำหรับความคืบหน้างานด้านเศรษฐกิจภาพรวมความเชื่อมั่นยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจเอกชน เริ่มปรับตัวดีขึ้น ความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรมก็กำลังปรับตัวดีขึ้น ดัชนีคือคาดการ ความเชื่อมั่น หรือตัวชี้วัดที่ออกมาจากตัวเลขต่าง ๆ ที่ทำมา ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 88.4 จากระดับ 85.1 ในเดือนพฤษภาคม ดีขึ้นเล็กน้อย คำสั่งซื้อในอุตสาหกรรมหลายอุตสาหกรรมเริ่มเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้ากีฬาและรองเท้ากีฬา ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งบ่งชี้ถึงสถานการณ์ในระยะต่อไป เพิ่มขึ้น เป็น 101.9 จากระดับ 101.0 ในเดือน พฤษภาคม

การลงทุนมีสัญญาณดีขึ้นชัดเจน การยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนผ่าน BOI ในช่วงครึ่งปีแรก มีจำนวน 634 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 337,400 ล้านบาท โดยจำนวนโครงการยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายนมีจำนวนสูงที่สุดในรอบ 6 เดือน เป็นสัญญาณที่ดีว่านักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้น คาดว่ายอดขอรับการส่งเสริมฯ ทั้งปี 2557 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ประมาณ 700,000 ล้านบาท ทั้งนี้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีมติครั้งที่ 2/2557 อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนจำนวน 15 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 51,526.5 ล้านบาท รวมทั้งโครงการที่อนุมัติหลังจากตั้งคณะกรรมการชุดใหม่จำนวน 92 โครงการ และคาดว่าจะพิจารณาโครงการที่เหลือแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน

การส่งออกในเดือนมิถุนายน ปรับตัวดีขึ้น จากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในปีแล้วมูลค่าส่งออกในเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 หลังจากลดลงต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า นี่คือผลของปี 2557 หลังจากเดือนพฤษภาคมมาแล้ว โดยมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 19,842 ล้านดอลลาร์ เมื่อแลกเป็นเงินบาทแล้ว รายได้จากการส่งออกในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมร้อยละ 3.0 สินค้าส่งออกขยายตัว ทั้งสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเกษตร รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร

เดือนนี้การส่งออกสินค้าเกษตรกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ที่ผ่านมา จากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร เช่น ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผัก ผลไม้สด แช่แข็งและแปรรูป และไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก และวัสดุก่อสร้าง สำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดว่ามูลค่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวร้อยละ 1.5 สภาพัฒน์ฯ คาดการณ์ร้อยละ 2 เป็นตัวเลขในการคาดการณ์ อาจจะสูงขึ้นหรือต่ำลง แล้วแต่สถานการณ์เศรษฐกิจภายนอกด้วย

“โซนนิ่ง-ลดต้นทุนการผลิต” แก้ปัญหาภาคเกษตรระยะยาว

ที่ประชุม คสช.ได้พิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 งบกลางจำนวน 835.9 ล้านบาทเศษ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อสร้างและปรับปรุงถนนที่ชำรุดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะมีการนำร่องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยการใช้ยางธรรมชาติผสมยางมะตอย ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นบ้าง แต่มีความทนทานกว่าปกติ 2-3 เท่า และมีอายุการใช้งานนานกว่า 2 เท่า จะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาถนน สร้างแพงรักษาง่ายใช้ได้นานน่าจะดีขึ้น และเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราที่เรามีอยู่มากมายประเทศ แก้ปัญหาผลผลิตยางที่ล้นตลาด

โดยในระยะยาวสินค้าเกษตรทั้งยางพารา ปาล์ม อ้อย มันสำปะหลัง ต่อไปจะต้องมีการโซนนิ่ง เพื่อแก้ปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาด โดยจะช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิต โดยผู้ประกอบการต่างๆ ก็จะต้องเข้ามาช่วยด้วย 
สำหรับปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คสช. ได้เห็นชอบและอนุมัติ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลง ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียนและภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก หรือ WTO ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาปริมาณข้าวโพดมีน้อย ในช่วงนี้ ไม่เพียงพอกับความต้องการ มีราคาสูง ส่งผลกระทบต่อราคาอาหารสัตว์ในช่วงเวลานี้ รวมทั้งเพื่อรองรับผลผลิตของผู้ไปลงทุนปลูกข้าวโพดในประเทศเพื่อนบ้านด้วย

ทั้งนี้เมื่อวันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา คสช. ในฐานะทูตพิเศษ ได้เดินทางไปส่งสารถึงประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ของจีน ผ่านรองประธานาธิบดี ณ ศาลามหาประชาชนกรุงปักกิ่ง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางด้านการค้า เศรษฐกิจ และการลงทุน ทราบว่าทางจีนยินดีที่จะช่วยเหลือในการหาตลาดรองรับสำหรับสินค้าทางการเกษตรต่าง ๆ ของไทย เช่น ข้าว ยางพารา ผลไม้ รวมทั้งสินค้าอื่นด้วย ต้องมีการพูดคุย ทำข้อตกลงกันต่อไป โดยใช้หลักการไว้วางใจซึ่งกันและกัน เท่าเทียม เป็นธรรม กับประเทศผู้ค้า

การแก้ไขปัญหาเรื่องข้าว เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 ทางพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้รายงานการตรวจสอบ ทางกายภาพของข้าวทั่วประเทศตามโกดังต่าง ๆ ไปแล้ว 1,290 แห่ง จากที่มีทั้งหมด 1,787 แห่ง ซึ่งคิดเป็น 72% ใน 72% ที่ตรวจสอบไปแล้วประมาณ 80% มีคุณภาพดีและถูกต้อง และอีกประมาณ 10% ที่ยังมีปัญหาอยู่ ไม่ตรงกับที่แจ้งไว้และเสื่อมคุณภาพ ซึ่งตรงนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบในทุกกระบวนการที่มีการทุจริต

ห่วงหนี้สาธารณะ-แต่จำเป็นต้องอนุมัติเพื่อให้เกิดการลงทุน

เรื่องวินัยการเงินการคลัง คสช. รับทราบและจะรักษาวินัยการเงินการคลังให้ได้ โดยในช่วงนี้ จะมีการตรวจสอบและให้มีการปรับปรุงแผนข้อมูล ปรับปรุงแผนในการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2557 ครั้งที่ 2 ที่วงเงินปรับลดลง 6,314.74 ล้านบาท จากผลของการเข้าไปตรวจสอบและตัดลดโครงการต่าง ๆ ที่พบว่าไม่คุ้มค่า ซึ่งได้เงินมาประมาณ 6,000 กว่าล้านบาท มีปัญหาเรื่องความโปร่งใส ไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง แต่จะไม่หยุดทุกโครงการเนื่องจากจะทำให้ไม่เกิดการลงทุน จึงจะมีการอนุมัติบางโครงการ แต่ขอให้ทุกหน่วยงานปรับ TOR ปรับราคาให้เกิดความเป็นธรรม ถูกต้อง หากประชาชนพบว่ามีการทุจริต สามารถแจ้งมาที่คสช.ได้

รถไฟทางคู่ “ซ่อมแซมรางเดิม-เพิ่มรางใหม่ 1.435ม.”

สำหรับเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ มีเรื่องสื่อขอให้เคารพเชื่อถือกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีราคาแพงกว่าเดิม ขอให้เข้าใจว่าเป็นการแค่อนุมัติหลักการยังไม่ได้เงิน ต้องไปดูแผนงานที่ออกมาก่อน ว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือไม่ ยืนยันว่าบางส่วนจะใช้งบประมาณ และบางส่วนอาจต้องกู้ แต่จะไม่กู้เกินกรอบหนี้สาธารณะ เน้นความโปร่งใส และการวางแผนด้านการคมนาคมต้องมีความเชื่อมโยงกันทั้งทางบก น้ำ และอากาศ

ทั้งนี้การซ่อมแซมและการเพิ่มเส้นทางรถไฟรางคู่ขนาด 1 เมตร ยังคงมีความจำเป็น เนื่องจากในปัจจุบันอาเซียนยังคงมีใช้การอยู่ แต่ในอนาคตทุกประเทศก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปใช้งานรางขนาด 1.435 เมตร ดังนั้น แผนงานของ คสช. จะมีทั้งซ่อมแซมรางเดิม 1 เมตร จัดทำเพิ่มเติม เป็นทางคู่ 1 เมตร และจัดทำใหม่ ขนาด 1.435 เมตร ในเส้นทางที่จำเป็น เพื่อเตรียมการเชื่อมต่อกับ จีน อินเดีย สายใต้ ตะวันออก ตะวันตก ครั้งต่อไปต้องถึงกันทั้งหมด

ฝากขอบคุณฮุนเซนปล่อยตัว “วีระ”

ด้านความมั่นคง มีความคืบหน้าการร่วมมือกับสิงคโปร์ จากการเดินทางมาเยือนของผู้บัญชาการทหารบกสิงคโปร์ เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เนื่องในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ และเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางด้านความมั่นคง ความร่วมมือทางการทหาร และการฝึกร่วมของ 2 ประเทศ

นอกจากนี้วันที่ 29 ก.ค.57 คสช.ยังให้การต้อนรับพล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชา พร้อมคณะนายทหารระดับสูงทุกเหล่าทัพ ได้เดินทางมาในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม เพื่อเสริมสร้างกระชับความสัมพันธ์ด้านการทหาร ด้านความมั่นคง ระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ คสช. ด้วย และให้เกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ได้สั่งการมาว่า ให้มาเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันให้ความร่วมมือด้านการทหารให้แน่นแฟ้นขึ้น

“ทาง คสช. ขอบคุณท่านนายกฯ ฮุนเซน พร้อมทั้ง แสดงความซาบซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี และฝากขอบพระคุณไปยังคนกัมพูชาทุกคนด้วย ที่ได้ดูแล ช่วยเหลือ ให้นายวีระ สมความคิด ได้รับการอภัยโทษ เราก็ได้มีการพูดคุยถึงความสัมพันธ์ที่ดี ในฐานะมหามิตรมายังยาวนานของทั้งสองประเทศ รวมถึงประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนด้วย”

คืบหน้าแก้ปัญหาแรงงานต่างชาติ-แรงงานไทยในอิสราเอลขออยู่ต่อ

ความคืบหน้าการแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ฝ่ายความมั่นคง คสช. โดยคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อต่อเนื่อง ปัจจุบันได้เปิดศูนย์ประสานงานแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ และศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ แล้วดังนี้ ศูนย์ประสานงานรับแรงงานกัมพูชากลับเข้าทำงาน จำนวน 4 จังหวัด (สระแก้ว จันทบุรี ตราด และสุรินทร์) ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จของ กทม. จำนวน 6 แห่ง จังหวัดชายทะเล 22 แห่ง (เช่น กระบี่ จันทบุรี ชุมพร ตราด ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี พังงา เพชรบุรี ภูเก็ต ระนอง สตูล และสมุทรสงคราม) ได้ดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวไปแล้ว 354,617 คน แยกเป็น แรงงานพม่า 127,695 คน กัมพูชา 176,169 คน ลาว 50,753 คน และจะดำเนินการจัดตั้งศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จให้ครบทุกจังหวัดโดยเร็ว ในสัปดาห์หน้าจะเปิดศูนย์ฯ เพิ่มเติมอีก 53 แห่ง ทั้งนี้ แรงงานต่างด้าวจะต้องมาขึ้นทะเบียนที่ศูนย์จดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ ภายใน 31 ตุลาคม 2557

สำหรับการช่วยเหลือแรงงานไทยในประเทศอิสราเอล ซึ่งมีอยู่ประมาณ 27,000 คน แต่ทำงานอยู่ในฉนวนกาซ่า 4,276 คน กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ประสานกับทางการอิสราเอลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่ออพยพแรงงานดังกล่าวออกมาจากพื้นที่การสู้รบมาอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว แรงงานส่วนน้อยขอที่จะกลับ ซึ่งส่วนใหญ่จะขออยู่ในประเทศไปก่อนเพื่อประเมินสถานการณ์

ขณะที่สถานการณ์ในลิเบีย สถานเอกอัครราชทูตจะเปิดศูนย์รองรับแรงงานอพยพชาวไทย ที่เมืองตูบาร์ ประเทศตูนีเซีย ใกล้ชายแดนห่างกรุงตริโปลี 170 กิโลเมตร ตั้งแต่บ่ายวันนี้ (1 ส.ค.57) โดยระยะแรก เอกอัครราชทูตจะไปดูแลอย่างใกล้ชิด คนไทยที่อพยพกลับสามารถตรงไปที่เมืองตูบาร์ หรือจะมารวมตัวที่สถานเอกอัครราชทูตไทยที่กรุงตริโปลี สำหรับในไทย กระทรวงการต่างประเทศจะตั้งศูนย์ติดตามและช่วยเหลือ ประสานงาน มีอธิบดีกรมเอเชียใต้ รับผิดชอบขึ้นตรงกับศูนย์ติดตามของฝ่ายความมั่นคงและศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ณ กองบัญชาการกองทัพไทยและเราได้จัดเตรียมเครื่องบินกองทัพอากาศ ซี130 ไว้ในยามฉุกเฉิน ซึ่งเราหวังแต่เพียงว่าอยากให้ทั้งสถานการณ์ของทั้ง 2 ประทศกลับมาสงบสุขและปลอดภัยได้โดยเร็ว

ผลงานจับกุมอาวุธ-บ่อนการพนัน

เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย ผลการปฏิบัติงานของ คสช. ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน - 29 กรกฎาคม 2557 ได้มีการจับกุมคดีอาวุธสงครามปืนยาว ปืนสั้น รวมประมาณ 1,700 กระบอก กระสุนปืนกว่า 10,000 นัด ลูกระเบิดขว้าง 45 รูป ระเบิดยิง 19 ลูก สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องแล้วจำนวน 2,774 คน ในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจำนวน 8 ครั้ง ผู้ต้องหา 12 คน ของกลางประกอบด้วย ปืนกลชนิดต่าง ๆ จำนวน 11 กระบอก ปืนยาวและปืนลูกซอง 3 กระบอก ปืนพก 21 กระบอก เครื่องยิงจรวด RPG 1 เครื่อง ลูกระเบิดชนิดต่าง ๆ 24 ลูก กระสุนระเบิด เอ็ม 79 19 นัด ลูกจรวด RPG 3 ลูก และยุทธภัณฑ์อื่น ๆ การจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การจับกุมผู้ลักลอบเล่นการพนัน และการจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ทรัพยากรธรรมชาติ ยังคงดำเนินการจอย่างต่อเนื่อง และมีผลปฏิบัติอย่างมากมาย

ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม -25 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีผลการดำเนินการที่สำคัญ คือ การจับกุมบ่อนการพนัน และการลักลอบเล่นการพนัน จำนวน 12,782 คดี ผู้ต้องหา 22,752 ราย ของกลาง อาทิ ตู้พนัน (ตู้ม้า ตู้ไฟฟ้า ตู้ดีดลูกแก้ว) จำนวน 4,043 ตู้ และของกลางประเภทไพ่ อุปกรณ์การเล่นไฮโล สลากกินรวบ จำนวนมาก การจับกุมยาเสพติด จำนวน 66,657 คดี ผู้ต้องหา 70,635 ราย ของกลางประกอบด้วย ยาบ้า จำนวน 83,218,736.95 เม็ด ยาไอซ์ จำนวน 1,125.59 กิโลกรัม เฮโรอีน จำนวน 369.11 กิโลกรัม กัญชาอบแห้งจำนวน 22,644.70 กิโลกรัม พืชกระท่อม จำนวน 38,738.49 กิโลกรัม ฝิ่น จำนวน 109.54 กิโลกรัม โคเคน จำนวน 31.17 กิโลกรัม ซูโดอีเฟดรีน จำนวน 229,850 เม็ด และยาแก้ไอ จำนวน 334.32 กิโลกรัม การจับกุมการลักลอบทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และป่าไม้ จำนวน 987 คดี ของกลางประกอบด้วย ไม้พะยูง จำนวน 4,197 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นมูลค่า 630,274,643 บาท ไม้สัก จำนวน 580 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นมูลค่า 15,953,500 บาท และไม้กระยาเลย จำนวน 1,904 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นมูลค่า 29,420,197 บาท

ปัญหาภาคใต้ยังต้องส่งกำลังทหาร-ตำรวจดูแลทุกพื้นที่

เรื่องการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( จชต.) นั้น ยืนยันว่าจะต้องมีการใช้กำลังทหารลงไป เพราะมีเหตุการณ์การลุกลามบานปลาย และทั่วโลกเขาใช้วิธีนี้ในการจัดการความไม่สงบ

“การที่นำกองกำลังทหาร ตำรวจ ไปลงพื้นที่เพิ่มเติมเพราะว่า ในพื้นที่เขารับไม่ได้ รับไม่ไปเพราะอะไร เนื่องจากพื้นที่เรากว้างถึง 30 37 อำเภอ 2,000 กว่าหมู่บ้าน และถ้าเขาทำได้ทุกที่ เราจะต้องนำคนดูทุกพื้นที่ ทั้งพื้นที่ที่แรง แรงมาก แรงน้อย ต้องมีคนอยู่ ถ้าไม่มีคนอยู่เผลอตรงจุดไหนเขาจะทำตรงนั้น เป็นแบบนั้นเราถึงต้องเตือนคนมาก ที่ไปอยู่ไม่ใช่ว่าต้องการอยากจะได้เงินได้เบี้ยเลี้ยง ผมคิดว่าไม่มีใครอยากจะไปอยู่ไกลบ้าน ทหารก็ไม่ได้อยากไปไกลแต่เขาต้องไปเพราะว่ามีหน้าที่ จัดคนไปเขาต้องไป เขาไปดูคน 2 ล้านคน ใน 37 อำเภอหรือ 2,000 หมู่บ้าน ให้ปลอดภัยทั้งหมด และทำให้เต็มที่ใน 37 อำเภอหรือ 2,000 บ้านซึ่งเกิดเฉพาะบางอำเภอแต่เราจะทำเฉพาะบางอำเภอไม่ได้ตรงไหนที่มีช่องว่าง เขาทำตรงนั้นอีก”

ทั้งนี้ยุทธศาสตร์ของฝ่ายตรงข้ามที่สำคัญ คือใช้ทางการเมือง การทหาร และการประชาสัมพันธ์ เราได้เข้าไปช่วยเหลือด้วยผสมผสานกัน การจัดตั้งมวลชน หมู่บ้าน โดยการสร้างแกนนำหมู่บ้าน ขัดขวางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งฝ่ายเราจะใช้ยุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เร่งรัดลงไปพัฒนาลงในพื้นที่

ในส่วนของการพูดคุยสันติภาพ ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยไปตามลำดับทั้งทางความลับ ทางเปิดเผย พอเปิดเผยมากเข้าไม่ได้เราจำเป็นจะต้องมีการเตรียมการสร้างความพร้อมให้มากขึ้นกว่าเดิม อันแรกคือ ต้องสรรหาว่าใครที่จะมาพูดคุยกับเรา คือต้องเป็นผู้นำขบวนการที่แท้จริง ถ้าไม่แท้จริง คือจะต้องไปรวมทุกกลุ่มมาให้ได้ ไม่ใช่กลุ่มนี้ใหญ่แล้วมาคุมกลุ่มเดียว ซึ่งกลุ่มเล็กก็มีศักยภาพ ซึ่งทำคนละมากบ้าง น้อยบ้าง พอกลุ่มใหญ่มาพูดคุย กลุ่มเล็กก็ต้องการยกระดับตัวเองขึ้นมาบ้าง ให้มีการเข้าร่วมการพูดคุยฉะนั้นที่ผ่านมามีหลายกลุ่มที่ทำ เรามีข้อมูลอยู่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการปะทะ มีการจับกุม มีหลักฐาน วันนี้จะทำอย่างไรให้เกิดการรัดกุมขึ้น ทำอย่างไรจะรวมกันได้และมาพูดคุยกันในทุกมิติ ส่วนมาตรการ 66/23 จะนำมาใช้กับทุกภาคไม่ได้ เพราะปัญหาต่างกัน

ยันกลุ่มก่อความไม่สงบทำร้ายชาวมุสลิม

ส่วนกลุ่มที่ก่อความไม่สงบ นอกจากเรื่องแยกดินแดน ยังมีเรื่องของผิดกฎหมาย เรื่องของปัญหาแทรกซ้อน ยาเสพติด แรงงานต่างด้าว ผลประโยชน์ น้ำมันเถื่อนและอีกมากมาย ฉะนั้นคนที่อยู่ร่วมกันเป็นหมู่มากก็จะร่วมกัน ฉะนั้นวันนี้ที่น่าเป็นห่วงคือชาวไทยมุสลิม ซึ่งถูกทำร้ายมากยิ่งขึ้น

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปอยู่ในที่ชุมนุม เช่น ตลาด ซื้อของแต่เดิมบอกว่าสู้เพื่อชาวมุสลิม ทำไมวันนี้มีมุสลิมถึงตายด้วย จะมาบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทำคงไม่เกิดประโยชน์ เพราะไม่ทราบว่าจะต้องทำไปทำไม มีแต่ต้องการให้ทุกคนปลอดภัย”

เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมวันแม่

ทั้งนี้เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเวียนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่ง ใน 12 สิงหาคม 2557 คสช .และหน่วยงานเกี่ยวข้องจะจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ในห้วงระหว่างวันที่ 9 - 12 สิงหาคม ณ พระลานพระราชวังดุสิต (ลานพระบรมรูปทรงม้า) และท้องสนามหลวง ขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน โดยมีหลายกิจกรรมให้ประชาชนเข้าร่วม 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธงชัย วินิจจะกูล ชี้ ผลการตั้ง สนช. เพิ่มความขัดแย้ง

$
0
0

เลขาเสรีไทยฯ ประเมิน สนช. จะทำให้ ไทย เป็น คนป่วยแห่งเอเชีย เพราะเป็นรัฐเผด็จการทหารที่สมบูรณ์ “ธงชัย วินิจจกุล” ชี้ คสช.จะเปลี่ยนไทยเป็น รัฐราชการ จะเพิ่มความขัดแย้งมากขึ้น

2 ส.ค. 2557 นายธงชัย วินิจจะกูล อาจารย์ประจำสถาบันเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์ถึงผลการแต่งตั้ง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า ทุกครั้งที่ ทหารยึดอำนาจ เมื่อมีการแต่งตั้ง สมาชิกสภานิติบัญญัติ ก็จะต้องแต่งตั้งบุคคลที่สามารถสั่งให้ซ้ายหัน ขวาหันได้ เหมือนกับการทำรัฐประหารทุกครั้ง และการแต่งตั้ง สนช. ครั้งนี้ ก็เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของการทำรัฐประหารนั่นก็คือ การออกกฎหมาย เพื่อกำจัดระบอบทักษิณ และทำลายความน่าเชื่อถือของนักการเมือง เพราะเห็นว่า เป็นต้นตอของการคอรัปชั่น ซึ่งการทำลายนักการเมือง ก็เท่ากับเป็นการ ทำลายเสียงของประชาชนด้วย

นายธงชัยกล่าวว่า ถ้าจะให้ประเมิน จากหน้าตาของ สนช.ทั้ง 200 คน ทำให้เห็นว่า คสช.ต้องการที่จะให้ ประเทศไทย เป็นรัฐราชการอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ซึ่ง หาก คสช.มองว่า ปัญหาของสังคมไทยมาจากระบอบทักษิณ มาจากนักการเมือง จึงต้องเปลี่ยนให้เป็น รัฐราชการ เท่ากับมองปัญหาผิด เพราะสังคมไทย และคนไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว รัฐราชการ ไม่เป็นที่ยอมรับของคนไทยอย่างแน่นอน ดังนั้นหากเป็นเช่นนี้ จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น การแก้ปัญหาจึงไม่มีที่สิ้นสุด

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ( FreeThai and Human Right Organisation ) ซึ่งเป็นองค์กรของกลุ่มคนไทยที่ลี้ภัยการเมืองและเคลื่อนไหวอยู่ในต่างประเทศ กล่าวถึง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. จำนวน 200 คนว่า สมาชิก สนช. มากกว่าครึ่งเป็นนายทหาร ซึ่งนั่นหมายความว่า สนช.ชุดนี้ เป็น สมาชิกสภาเผด็จการทหารแห่งชาติมากเป็น สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเป็นการถอยหลังเข้าสู่ยุค จอมพลสกฤษดิ์ ธนะรัตน์ และยุคจอมพลถนอม กิตติขจร

นายจารุพงศ์กล่าวว่า บทบาทหน้าที่ของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คือ การออกกฎหมายที่ใช้กับคนทั้งประเทศ จำเป็นที่จะต้องมีตัวแทนจากประชาชนทุกจังหวัด ทุกพื้นที่ ทุกระดับอาชีพ เพื่อจะได้สร้างกฎหมายที่เป็นธรรมและทั่วถึงกับประชาชนเพื่อให้กฎหมายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนประเทศไปได้ แต่หาก สมาชิก สนช.ส่วนใหญ่เป็นทหาร จึงเป็นสภาที่ไม่มีความสมดุล

“ หน้าที่ของ ทหาร ถูกสร้างให้มาทำหน้าที่ในการต่อสู้ เพื่อความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่สร้างเพื่อมาบริหารประเทศ หรือ เป็นสมองในการบริหารประเทศ ถ้าเปรียบเหมือนร่างกาย ทหารคือ มือ คือ เท้า ไม่ใช่หัว แต่ การบริหารประเทศจะต้องอาศัย หัว หรือ สมองเป็นหลัก ดังนั้นเท่ากับเป็นการใช้ทหารผิดประเภท” นายจารุพงศ์กล่าว

เลขาธิการองค์การเสรีไทยฯ กล่าวว่า ถ้าหน้าตาของ สนช. เป็นอย่างนี้ รับรองได้เลยว่า อนาคตของประเทศไทยจะถดถอย เศรษฐกิจก็จะทรุดโทรมไปมากกว่านี้ เพราะงบประมาณทั้งหลาย ต่อไปนี้ ก็จะทุ่มเทให้กับกองทัพมากกว่าที่จะพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม หรือด้านอื่น ๆ ประเทศไทย ก็จะกลายเป็น รัฐเผด็จการทหาร และสุดท้าย ประเทศไทย ก็จะกลายเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย เพราะไม่มีประเทศไหนที่อยากจะคบค้าด้วย เพราะประเทศเผด็จการทหาร จะไม่ได้รับความไว้วางใจ และอาจจะทำให้ ประเทศไทย ต้องย้อนกลับไปสู่อดีตคือ เปลี่ยนสนามการค้า เป็น สนามรบอีกครั้งหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากประเมินจากโฉมหน้าของ คสช. จะสอดคล้องกับวิกฤตของประเทศที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ได้หรือไม่ นายจารุพงศ์กล่าวว่า ทหารไทย ไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศในโลกยุคใหม่ได้ ไม่สามารถจัดระเบียบประเทศไทยอย่างที่คนไทยคาดหวังเอาไว้ได้ กองทัพ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเทศเท่านั้น แต่เมื่อ กองทัพใหญ่คับฟ้าแบบนี้ ก็จะยิ่งทำให้ นำพาประเทศไปสู่ความถดถอยมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย เศรษฐกิจ การศึกษา เพราะ ศักยภาพของทหารไทย ไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่โลกยุคโลกาภิวัตน์ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงตอนนี้พอจะมองเห็นหน้าตาของ ครม.ได้แล้วหรือไม่ นายจารุพงศ์กล่าวว่า มองจะมองเห็น เพราะถ้าต้นคด ปลายก็คด ต่อไปนี้ สังคมไทย ก็จะเต็มไปด้วยการกดขี่ การจำกัดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยต้องเสียโอกาสในการพัฒนา และการแข่งขันอย่างมาก ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทั้งประเทศ ถ้าไม่ยอมที่จะเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย ก็ต้องร่วมกันแสดงพลังเพื่อปลดแอกจากอำนาจเผด็จการทหาร เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ และทวงคืนอำนาจของตัวเอง เพื่อความเป็นไทแก่ตัวเองให้ได้
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รายงานตัว สนช. วันที่ 2 ยังคึกคัก 'พล.อ.ธวัชชัย' เตรียมยื่นใบลาออก สนช. เหตุคุณสมบัติขัด รธน.

$
0
0
2 ส.ค. 2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่าตั้งแต่เวลา 08.30น. วันนี้ (2 ส.ค. ) ที่อาคารรัฐสภา 2 ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการเปิดให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ  แต่งตั้งมารายงานตัว บรรยากาศคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้า เพียงครึ่งวัน มีผู้มารายงานตัวแล้ว 36 คน ส่วนใหญ่เป็นนายทหารและตำรวจ โดยเฉพาะกองทัพอากาศที่เดินทางมาพร้อมกัน 6 คน
 
สำหรับรายชื่อผู้ที่เดินทางมาในวันนี้ อาทิ พล.อ.อู้ด เบื้องบน พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ  นายศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ พล.ท.ธีรชัย นาควานิช นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ นางพิไลพรรณ สมบัติศิริ  พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี  คุณหญิง สุมณฑา พรหมบุญ นางเสาวณี สุวรรณชีพ พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ พล.ร.อ.ทวีวุฒิ พงศ์พิพัฒน์พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง โดยรัฐสภาจะเปิดให้รายงานตัวถึงเวลา 16.30 น.
 
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เผยดีใจและเป็นเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจจะตั้งใจทำงานเต็มที่ ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะมีความชัดเจนและเป็นที่ยอมรับของ ประชาชน
 
“พล.ต.อ.วัชรพล” หนุน “พรเพชร” นั่งประธาน สนช.
 
พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พร้อมทำหน้าที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เนื่องจากเคยทำหน้าที่นี้เมื่อปี 2549 มาแล้ว ซึ่งขณะนี้เตรียมจะเสนอแนวทางการกระจายอำนาจในการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ เพื่อให้แต่ละหน่วยสามารถจัดการงบประมาณและมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น
 
“ส่วนการเลือกประธาน สนช. ขณะนี้ยังไม่ได้พูดคุยกัน แต่เห็นว่า นายพรเพชร วิชิตชลชัย เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เนื่องจากเคยร่วมงานกันมาก่อน ขณะเดียวกัน เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีความเหมาะสมที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากที่ผ่านมา สามารถจัดการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้กลับมาสงบเรียบร้อยได้” พล.ต.อ.วัชรพล กล่าว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรุ่งนี้ (3 ส.ค.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้ตรวจการแผ่นดิน จะเดินทางมารายงานตัวที่อาคารวุฒิสภา
 
“สุรชัย” ระบุนัดอดีต ส.ว.ทานอาหาร 4 ส.ค.นี้นานแล้ว ไม่เกี่ยวล็อบบี้ ปธ. สนช.
 
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีนัดหารือและรับประทานอาหารกลางวันกับอดีต ส.ว. วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคมนี้ ว่าไม่มีนัยหรือต้องการล็อบบี้ตำแหน่งใน สนช.  แต่ได้นัดกันไว้ล่วงหน้าก่อนจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น สนช.
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีแคนดิเดตตำแหน่งประธาน สนช.หลายคน นอกจากนายพรเพชร วิชิตชลชัย ที่คาดว่าจะมารายงานตัววันพรุ่งนี้ (3 ส.ค.) แล้วยังมีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยสนับสนุน พล.อ.ธีรเดช มีเพียรด้วย
 
ทั้งนี้ สนช.จะประชุมนัดแรกเพื่อเลือกประธานและรองประธาน สนช. วันที่ 8 ส.ค.  นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิก สนช.จะมายื่นใบลาออกจาก สนช.ต่อสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา วันที่ 4 ส.ค. เวลา 10.00 น. หลังปรึกษาฝ่ายกฎหมายแล้วพบว่ามีลักษณะต้องห้ามเป็น สนช.ตามที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวกำหนด ห้ามดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองภายในระยะ 3 ปี ก่อนวันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น สนช.
 
เลขาฯ กฤษฎีกาไม่ขัดข้องถ้า "พล.อ.ประยุทธ์" เป็นนายก
 
นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเข้ารายงานตัวเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช. ) ว่า ไม่ขัดข้องหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. จะเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งขึ้นอยู่กับที่ประชุม สนช. และไม่คิดว่าเป็นการแทรกแซงงานของฝ่ายบริหาร แต่จะทำให้การทำงานของทุกฝ่ายมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
นายชูเกียรติ ยืนยันว่าไม่รู้สึกกังวลในการทำหน้าที่ สนช. เพราะทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำงาน ส่วนการประชุมของ สนช. จะเดินหน้าไปได้หรือไม่ เพราะอยู่ระหว่างการประกาศใช้กฎอัยการศึกไม่ใช่เรื่องใหญ่ เชื่อว่าจะเดินหน้าประชุมต่อไปได้ ส่วนการพิจารณากฎหมายสมาชิกจะพิจารณาตามลำดับความสำคัญของกฎหมายแต่ละฉบับที่มีความเร่งด่วน แม้ สนช.จะมีกรอบเวลาการทำงานไม่นานนัก แต่เชื่อว่าโรดแมปของ คสช. ได้พิจารณากรอบเวลามาอย่างรอบคอบแล้ว ส่วนอำนาจในการถอดถอดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ สนช. ต้องขอศึกษาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงก่อน
 
'พล.อ.ธวัชชัย' เตรียมยื่นใบลาออก สนช. เหตุคุณสมบัติขัด รธน. ลั่นไม่ยึดติดตำแหน่ง
 
ด้านมติชนออนไลน์รายงานว่าพล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสภานิติบัญญัติ (สนช.) ลำดับที่ 57 เปิดเผยว่า ในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ เวลาประมาณ 10.00 น. ตนจะเข้ายื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งสนช.ต่อสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา หลังจากที่ได้ปรึษากับฝ่ายกฎหมายและบุคคลที่เกี่ยวข้องแล้วพบว่า ตนมีลักษณะต้องห้ามของการเป็น สนช.ตามที่รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 8(1) ว่าด้วยการดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองภายในระยะ3ปีก่อนวันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น สนช.กำหนดไว้ ทั้งนี้การลาออกดังกล่าวไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดเสนอเรื่องให้ส่วนงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบก่อน เมื่อตนรู้ว่ามีคุณสมบัติที่ขัดด้วยตนเองก็พร้อมจะลาออก โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่งใดๆ
               
"ต้องให้ความเป็นธรรมกับผมด้วย กรณีที่สื่อนำข่าวไปลง โดยผมไม่ได้ชี้แจง ทั้งนี้ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นสนช. ผมไม่ได้เข้าไปสมัครด้วยตนเอง ตอนแรกผมดีใจที่ได้รับเลือกให้เข้าไปทำงานเพื่อประเทศแต่เมื่อตรวจสอบคุณสมบัติของตนเองแล้วพบว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญก็ต้องลาออกเอง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ส่วนการลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคชาติพัฒนาก่อนหน้านี้ เป็นไปตามคำชักชวนของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรค ที่อยากให้เข้าร่วมการแก้ปัญหาบ้านเมือง" พล.อ.ธวัชชัย กล่าว
 
 
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: สำนักข่าวไทย, มติชนออนไลน์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครึ่งปีการเมืองเปลี่ยน 'ลุงอะแกว' อัมพาต ไม่เปลี่ยน

$
0
0

อัพเดทอาการล่าสุดนายอะแกว แซ่ลิ้ว เหยื่อคมกระสุนศึกชิงคูหาเลือกตั้งหลักสี่ ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนไปอย่างมากในเวลาครึ่งปี ลูกสาวเผยชีวิตครอบครัวเปลี่ยนต้องลาออกจากงานมาดูแลพ่อที่ยังอัมพาต

วันที่ 2 ส.ค.นี้ถือเป็นวันครบรอบครึ่งปีของการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 ก.พ.57 ที่ผ่านมาการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หลังเลือกตั้งกลุ่ม กปปส. ก็ยังคงชุมนุมต่อเนื่อง จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 เฉพาะในส่วนที่กําหนดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 ก.พ. นั้น ไม่สามารถจัดการให้เป็นการเลือกตั้งวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 วรรคสอง และตามมาด้วยการรัฐประหารเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กลางเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา จนล่าสุดประเทศไทยพึ่งได้เห็นชื่อรายสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่ชาติอีก 200 รายชื่อแล้ว

อย่างไรก็ตามก่อนหน้าการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 ก.พ. เพียง 1 วัน อีกข่าวที่ได้รับความสุนใจขณะนั้นคือข่าวศึกชิงคูหาเลือกตั้งที่หลักสี่ กรุงเทพ โดยด้านหนึ่งปรากฏภาพ ‘มือปืนป็อบคอร์น’ และมือปืน ‘ถุงกีต้าร์’ ขณะที่อีกด้านหนึ่งปรากฏภาพชายชรานอนจมกองเลือดอยู่ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลเน็ตเวิร์กขณะนั้นตั้งแต่ถูกฝ่ายเสื้อแดงยิงบาดเจ็บ จนเป็นชาวกัมพูชาที่เป็นแกนนำกองกำลังติดอาวุธที่มายิงทำร้ายผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.

ซึ่งต่อมาทราบชื่อคือนายอะแกว แซ่ลิ้ว วัย 72 ปี พ่อค้าขายน้ำหวาน น้ำอัดลมที่บริเวณหน้าโรงเรียนเคหะทุ่งสองห้องวิทยา 2 ที่วันเกิดเหตุด้วยความเป็นห่วงลูกสาวที่ทำงานขายอาหารอยู่ฟู้ดเเลนด์ ภายในห้างไอทีสเเควร์ จึงได้เดินทางมาหา และเห็นมาการชุมนุมกันบริเวณที่เกิดเหตุจึงเข้าไปสังเกตุการณ์และถูกยิงจนกลายเป็นอัมพาตจนกระทั่งปัจจุบัน

วลัยพร แซ่ลิ้ว บุตรสาวของนายอะแกว วัย 35 ปี เปิดเผยอาการล่าสุดของบิดาตนว่า ขณะนี้อาการดีขึ้น กลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว ไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจแล้ว แต่ยังมีการพ้นยาละลายเสมหะอยู่เพราะไม่สามารถขับออกมาด้วยตนเองได้ และยังคงให้อาหารผ่านทางสายยางอยู่ ส่วนอาการอัมพาตนั้นยังเป็นเหมือนเดิม และไม่สามารถพูดได้  แต่สามารถขยับปากได้เท่านั้น

สำหรับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลนั้น วลัยพร กล่าวว่าใช้สิทธิบัตรทอง ส่วนเงินเยียวยาจากหน่วยงานต่างๆนั้นยังไม่ได้รับ มีเพียงได้รับจากเงินช่วยเหลือจากผู้ที่มาเยี่ยม รวมทั้งบริจาคผ่านบัญชีที่ตนเปิดไว้

วลัยพร กล่าวถึงสิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือขณะนี้ว่า ต้องการเครื่องสำหรับพ้นยา    รวมทั้งรถเข็นที่สามารถนอนได้สำหรับใช้เคลื่อนย้ายบิดาได้ เนื่องจากบ้านที่อยู่นั้นอยู่ในเคหะทุ่งสองห้อง ทำให้รถไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ เวลาเหตุฉุกเฉินหากต้องนำตัวบิดาออกมาเพื่อไปโรงพยาบาลจะค่อนข้าง เนื่องจากเตียงนอนนั้นแม้จะเข็นได้แต่ไม่ใช้เตียงที่ใช้สำหรับเข็นบนถนน

วลัยพร กล่าวด้วยว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ชีวิตของครอบครัวเปลี่ยนค่อนข้างมาก พี่สาวของตนก็ต้องออกจากงานเพื่อมาดูแลบิดาโดยตรง ขณะที่ตนเองก็ไม่สามารถทำงานได้เต็มที วันหยุดก็ไม่สามารถทำโอทีได้ ต้องมาช่วยพี่สาวดูแลพ่อ

 

สำหรับหมายเลขบัญชีธนาคารทหารไทยที่เปิดรับบริจาคนั้น ชื่อบัญชี ‘วลัยพร แซ่ลิ้ว’ หมายเลขบัญชี 265 201 9817 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รธน.ชั่วคราวกับอคติต่อระบบประชาธิปไตยเสียงส่วนใหญ่

$
0
0

 

เนื้อหาของรัฐธรรมนูญชั่วคราวของ คสช. สะท้อนทัศนคติที่ต่อต้านนักการเมือง ระบบการเมืองแบบรัฐสภา และผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นทัศนะที่ครอบงำกลุ่มคนชนชั้นนำ ปัญญาชน ชนชั้นกลางในเมือง และสื่อมวลชนส่วนใหญ่มาเป็นเวลาเนิ่นนาน สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ อคติดังกล่าวจะถูกนำไปบรรจุลงใน รธน.ฉบับใหม่ต่อไปอย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลให้ความสุขของคนบางกลุ่ม กลายเป็นความทุกข์ของคนส่วนใหญ่ในประเทศในที่สุด

  • หลายมาตราใน รธน.ชั่วคราวกีดกันไม่ให้นักการเมืองเข้ามาเป็นสมาชิกของคณะรัฐมนตรี (ม.20), สมาชิกของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ม.8), สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (ม.29) และกรรมาธิการยกร่างรธน. (ม.33) ภารกิจอันสำคัญที่จะส่งผลต่อระบบการเมืองไทยในระยะข้างหน้าอย่างกว้างขวางล้วนอยู่ในมือของนายทหารและข้าราชการระดับสูง
     
  • เมื่อนักการเมืองถูกกีดกันจากการมีส่วนร่วม ก็หมายความว่าไม่มีช่องทางให้ความต้องการของประชาชนอันหลากหลายได้เข้าสู่กระบวนเปลี่ยนแปลงประเทศไทยนี้เลย
     
  • มาตรา 8, 20, 29, 33 ก็คือผลของวาทกรรมนักการเมืองเลว คอรัปชั่นที่ถูกสร้างอย่างต่อเนื่องในช่วงราว 3 ทศวรรษที่ผ่านมา แน่นอนว่าการคอรัปชั่นของนักการเมืองเป็นปัญหาใหญ่ แต่การคอรัปชั่นในระบบราชการที่เกิดขึ้นรายวัน ตามระบบกินตามน้ำ ไม่ใช่ปัญหาที่เล็กกว่าเลย ระบบการจัดซื้อจัดจ้างอาวุธยุทโธปกรณ์ในกองทัพ ที่ไม่สามารถตรวจสอบเอาผิดเป็นปัญหาที่ส่งผลต่องบประมาณของประเทศอย่างแน่นอน
     
  • ความเกลียดชังนักการเมือง ยังลุกลามไปสู่การดูถูกเหยียดหยามประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ที่อยู่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน พวกเขาถูกมองว่าเป็นพวกโง่ จน เจ็บที่เห็นแก่อามิสสินจ้างอันน้อยนิด พวกเขาจึงเป็นสาเหตุที่เปิดประตูให้นักการเมืองเลวเข้าสู่ระบบและทำร้ายประเทศไทย
     
  • แม้ว่าจะมีงานวิจัยทั้งไทยและเทศออกมามากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยืนยันว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของคนในต่างจังหวัดนั้น เกี่ยวข้องกับนโยบายที่ส่งผลต่อการพัฒนาชีวิตและชุมชน มากกว่าการขายเสียง แต่ทัศนคติของชนชั้นกลางในเมืองก็ปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ และยังยืนยันโจมตีต่อไปว่า ต่อให้เลือกเพราะนโยบาย ก็ผิด เพราะเป็นนโยบายประชานิยมที่เลว เห็นแก่ได้ ทำลายเศรษฐกิจของประเทศ งบประมาณที่ทุ่มลงไปส่วนใหญ่เป็นเงินภาษีของคนกรุงเทพฯ นักการเมืองไม่มีสิทธินำไปใช้เพื่อสร้างความนิยมให้กับตนเอง
     
  • ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่ คสช.จะต้องกำหนดให้คณะกรรมาธิการร่าง รธน. สภาปฏิรูปฯ และสภานิติบัญญัติฯ หาทางสร้างกลไกต่างๆ และบรรจุไว้ใน รธน.ฉบับใหม่ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการคอรัปชั่น กีดกันนักการเมืองที่คอรัปชันไม่ให้เข้าสู่ตำแหน่งการเมืองได้อีก ป้องกันการใช้นโยบายประชานิยมเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เป็นต้น (ดูมาตรา 35)  
     
  • ประการสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ที่ยังโง่ จน เจ็บ เป็นผู้ตัดสินว่าใครหรือพรรคการเมืองใดจะเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศนี้อีกต่อไป ก็เชื่อได้แน่ว่า รธน.ใหม่จะต้องสร้างกลไกที่ทำให้เสียงส่วนใหญ่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดอีกต่อไป แต่ระบบแต่งตั้งจะถูกนำมาใช้เพื่อลบล้างอำนาจของระบบเสียงส่วนใหญ่ในที่สุด
     
  • ในขณะที่การปฏิรูปของ คสช.มุ่งไปที่ปัญหาคอรัปชั่น สร้างกลไกตรวจสอบ-ควบคุมนักการเมือง และลดอำนาจของเสียงส่วนใหญ่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนอีกฝั่งหนึ่งถึงภาวะสองมาตรฐานของกลไกศาล ตุลาการ และองค์กรอิสระทั้งหลาย ที่มุ่งห่ำหั่นกลุ่มการเมืองอีกฝ่ายหนึ่งจนทำลายความศรัทธาและหลักการขององค์กรของตนอย่างยับเยิน ตลอดจนเรียกร้องให้กลไกเหล่านี้มีที่มาที่ยึดโยงกับเสียงของประชาชน สามารถถูกตรวจสอบเอาผิดได้ เชื่อได้แน่ว่าจะไม่เกิดขึ้นใน รธน.ฉบับใหม่ ความเชื่อว่าคนในฟากฝ่ายนี้ล้วนเป็น “คนดี” ทำให้กลไกตรวจสอบ-ปฏิรูปไม่จำเป็นแต่ประการใด
     
  • สิทธิ เสรีภาพของประชาชน และความรับผิด (accountability) ของผู้มีอำนาจ สูญหายไปจาก รธน.ชั่วคราวโดยสิ้นเชิง แม้จะมีอยู่ 48 มาตรา แต่ต้องถือว่ามาตรา 3 ที่ระบุว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของมวลชนชาวไทย และ 4 ไม่มีรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของประชาชนไทยตามรธน.และกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่มีอยู่จริง เพราะถูกลบล้างด้วยมาตรา 44 และมาตราอื่นๆ ที่ปิดกั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน จึงถือได้ว่า รธน.ชั่วคราว มีแค่ 46 มาตราเท่านั้น
     
  • มาตรา 44 ได้ให้ความชอบธรรมกับการใช้อำนาจเด็ดขาดกับผู้นำ คสช.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการจัดการกับผู้ที่มีการกระทำใดๆ ที่ถือว่าเข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อเป้าหมายของ คสช. ไม่มีข้อสงสัยว่ามาตรา 44 นั้นคือการรับมรดกของมาตรา 17 ที่ใช้อย่างกว้างขวางในยุครัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คสช.คงเชื่อว่าด้วยอำนาจอันเด็ดขาดนี่จะทำให้พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับจอมพลสฤษดิ์ ที่ประสบความสำเร็จทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ (ภายใต้การอุปถัมภ์อัดฉีดจากสหรัฐฯ) และประชาชนในยุคนั้นก็ยังชื่นชมในความเด็ดขาดของท่านผู้นำ แต่สังคมไทยยุคสฤษดิ์และยุค คสช. นั้นต่างกันอย่างลิบลับ (ดูบทสนทนาของชาญวิทย์ เกษตรศิริ และทักษ์ เฉลิมเตียรณ)
     
  • รธน.ชั่วคราวไม่ได้ระบุว่า คสช.จะสลายตัวไปหลังจากมีรธน.ใหม่และมีการเลือกตั้งหรือไม่ บทเฉพาะกาลในรธน.ใหม่ อาจะเป็นที่สิงสถิตย์ของ คสช.และอำนาจตามมาตรา 44 ต่อไปก็เป็นได้

 

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุริยะใส กตะศิลา: สภาสีเขียว กับภารกิจปฏิรูป

$
0
0

 

เห็นโฉมหน้า สมาชิก สนช. ทั้ง 200 คนแล้ว เป็นไปตามคาดว่า เพราะเต็มไปด้วยทหารและข้าราชการประจำเป็นหลัก ซึ่งพอจะบ่งบอกโฉมหน้ารัฐบาลและยุทธศาสตร์ระยะยาวของการยึดอำนาจครั้งนี้ได้ว่า

จะขับเคลื่อนเคลื่อนโดยพึ่งพากลไกและวิธีคิดรัฐราชการเป็นหลัก ยังคงรักษาระยะห่างที่มีกับภาคประชาชน ทุกกลุ่มทุกขั้วอย่างระมัดระวัง

ทำให้ สนช.มีภาพออกมาไม่ถูกโจมตีว่าเป็นสภาของคู่ขัดแย้งหรือสีใดสีหนึ่ง ถ้าจะคาดสีให้ ก็ต้องเรียก "สภาสีเขียว (ทหาร)" มากกว่า

ผมคิดว่ามีงานที่ท้าทาย สนช. ในเรื่องใหญ่ๆ อยู่ 3 เรื่องที่จะเป็นบทพิสูจน์ว่ายึดอำนาจครั้งนี้ "เสียของ" หรือไม่

- การสลายเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่ไม่ใช่แค่ดำเนินคดีที่กระทำผิด แต่ต้องเท่าทันยุทธศาสตร์ของระบอบทักษิณที่วิวัฒนาการไปตลอดเวลา โดยเฉพาะระบบธุรกิจการเมือง ที่อำนาจทางธุรกิจและการเมือง กลายเป็นเครืองมือหาประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทำให้สังคมอ่อนแอ เกิดระบบผูกขาดทั้งทางเศรษฐกิจการเมือง จนสังคมการเมืองกลายเป็นหลุมดำ

- การปรองดองสมานฉันท์ ต้องเอาความจริงและต้นเหตุปัญหามาพูดกัน ไม่ใช่แกล้งลืมหรือแกล้งตายกัน งานปรองดองไม่ใช่งานที่ทำได้ในปีเดียว อาจยกสถานะของกระบวนการปรองดองเป็นหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีแผนปรองดองระยะกลางและระยะยาวด้วย

- จะต้องออกกฎหมายที่เป็นต้นน้ำหรือแม่บทของการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ โดยเฉพาะใน 11 ประเด็นที่ คสช. วางเค้าโครงไว้ ถือเอาโอกาสนี้ออกกฎหมายสำคัญๆ ที่สภาผู้แทนไม่ทำและไม่กล้าทำ เพราะกระทบผลประโยชน์นายทุนพรรค

เราคงไปหวังให้ สนช.ทำทุกเรื่องทุกความคาดหวังไม่ได้ เพราะมีขัอจำกัดมากมาย แต่ผมขอสงวนสิทธิ์ที่จะคาดหวังว่ายึดอำนาจครั้งนี้ ไม่ใช่แค่สถาปนาขั้วอำนาจใหม่ขึ้นมา หรือเสียของซ้ำซาก

อย่าให้เสียของ เพราะมีของเสียในสภาฯ

ผมขอให้กำลังใจ สนช. ที่หวังดีต่อส่วนรวมและบ้านเมืองครับ!

 

 

ที่มา: เฟซบุ๊ก สุริยะใส กตะศิลา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 58141 articles
Browse latest View live




Latest Images