'หมอยุทธ' ลาออก ปธ.แก้ปัญหา รพ.สธ.ขาดทุน หลังประชุมนัดแรกล่ม ไร้เงา กก.สธ.
ผู้เสียหายและญาติยื่่นข้อเสนอแนะต่อร่างกฎหมายทรมานและคนหายต่อปลัด กท.ยุติธรรม
กรรมการสิทธิชี้ชาวบ้านประชามติย้ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีทำไปเพราะขาดความรู้
ให้ 'ไพบูลย์' เป็นเจ้าภาพเดินหน้าเอาผิดผู้ละเมิด ม.112
‘เกษียร’ อ่าน ‘นิธิ’ และ 20 ปีให้หลัง : อสูรกาย ใกล้ถือกำเนิด
เกษียร เตชะพีระ ชี้งาน “นิธิ” เป็นคู่มืออ่าน วัฒนธรรมไทย พร้อมเผยคนชั้นกลาง และชนชั้นนำไม่ยอมเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม พยายามตรึงรั้งมโนทัศน์เก่าอยู่เสมอ และก้าวเดินสู่สังคมไร้อำนาจนำ
หมายเหตุ. นี่เป็นรายงานเสวนาฉบับเต็มของเกษียร เตชะพีระ ในงานเสวนาหัวข้อ “นิธิ 20 ปีให้หลัง” และงานเปิดตัวหนังสือพิมพ์ซ้ำ 4 ปก อันประกอบด้วย “กรุงแตก, พระเจ้าตากฯ และประวัติศาสตร์ไทย” , “โขน, คาราบาว, น้ำเน่าในหนังไทย” , “ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์” และผ้าขาวม้า, ผ้าซิ่น, กางเกงใน และ ฯลฯ โดยกล่าวขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2557 ที่อาคารมติชนอคาเดมี ซึ่งจัดขึ้นโดย ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ สำนักพิมพ์มติชน และมติชนอคาเดมี ประชาไทนำเสนอโดยละเอียด
ที่มาภาพ : เฟซบุ๊ก Prince Juthamas
ก่อนมามติชนได้ยินข่าวลือว่าขาดทุน มีโครงการให้พนักงานออก ใจตุ๋มๆ ต่อมๆ แต่มาถึงก็สบายดี พนักงานก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ผู้คนอุ่นหนาฝาคั่ง พูดตรงๆ ที่ผ่านมาเราเจอ กปปส.เข้า เจอ คสช.เข้า ใครบ้างไม่ขาดทุน มีกิจการไหนบ้างที่ไม่ขาดทุน หายากมาก แต่ขาดทุนแล้วยังยืนอยู่ได้และยังมีความหวัง ยังเชื่อว่ามติชนจะอยู่รอดหลัง กปปส.และคสช.เป็นอดีตไปแล้ว
นอกจากยินดีที่ได้มาเยี่ยมมติชน ก็ชอบมากที่ชวนให้ขึ้นมาพูดเรื่องอาจารย์นิธิ อีกทั้งยังเป็นหนังสือที่ผมเขียนคำนำให้เมื่อ 20 ปีก่อน อ.นิธิเป็นปัญญาชนผู้ปรับทัศนติของสังคมวัฒนธรรมไทยไปอย่างใหญ่หลวงที่สุด ไอ่ที่คสช.พยายามจะปรับทัศนคตินี่ (หัวเราะ) ให้เซ็นอะไรก็ต้องไปเซ็นไปนะ แต่ถ้าจะหาคนที่ปรับทัศนคติของสังคมวัฒนธรรมไทยอย่างใหญ่หลวงที่สุดในรอบทศวรรษล่ะก็ เขานั่งอยู่ตรงนี้ (ผู้ฟังปรบมือ) คิดอย่างนี้ดูแล้วกัน อีก 20 ปีข้างหน้า ปี 2578 ใครบ้างจะยังจำค่านิยม 12 ประการของ คสช.ได้ ทุกวันนี้ผมยังจำไม่ได้เลย (หัวเราะ)
ผมเข้าใจว่าผมควรโฟกัสไปที่รวมบทความของอ.นิธิ เล่มที่ผมเขียนคำนำให้ก็คือ “ผ้าขาวม้า ผ้าซิ่น และกางเกงใน” แล้วก็จะคิดถึงมันและพยายามขยายเชื่อมโยงไปถึงภาพที่กว้างขึ้นหรืองานเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง ผมแบ่งการพูดเป็นสองส่วนหยาบๆ ส่วนแรก อยากจะเริ่มว่าเมื่อ 20 ปีก่อนผมเข้าใจว่าเนื้อหาใจความสำคัญที่อ.นิธิฝากไว้มีอะไรบ้าง และส่วนหลังนั้นอยากจะมองตามมาว่าเมื่อเราคิดถึงข้อคิดของอ.นิธิประเด็นมันมีอะไรบ้าง แต่เพื่อตอบอ.ประจักษ์ว่า 20 ปีให้หลังมานี้งานอ.นิธิเชยไปแล้วไหม คือ ไม่เชยเลย เพราะอ.นิธิไม่หยุด ถ้าไปดูงานอ.นิธิใน 20 ปีให้หลังจะเห็นว่ามีการปรับเปลี่ยนทัศนคติความคิดให้ไล่เท่าทันสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา พูดอย่างเปรียบเทียคือ จ๊าบได้ตลอด สำหรับคนที่จะว่าไปก็รุ่นปู่แล้ว (หัวเราะ)
นิธิ กับการอ่านวัฒนธรรมไทย
ผมอยากจะจับประเด็นสำคัญก่อนว่าถ้าเรานึกถึงงานผ้าขาวม้า ผ้าซิ่น กางเกงในของอาจารย์ เรื่องสำคัญก็คือการอ่านวัฒนธรรมไทยของอ.นิธิ เนื้อหาในเล่มพูดตรงไปตรงมาก็คือ วัฒนธรรมไทยกับความเป็นไทย ฐานะของหนังสือเล่มนี้คืออะไร มันเป็นคู่มือในการอ่านวัฒธรรรมไทยร่วมสมัย ทีนี้เวลาอ่านวัฒนธรรมไทยจะอ่านเข้าไปตรงไหน อะไรคือแก่นของวัฒนธรรมไทย ผมคิดว่าเป้าการอ่านของอ.นิธิคือไวยกรณ์การคิดทางวัฒนธรรม มันก็เหมือนภาษา ภาษาก็จะมีแกรมม่ากำกับ อ.นิธิพยายามจับว่าอะไรคือไวยกรณ์ความคิดทางวัฒนธรรมที่อยู่เบื้องลึก เบื้องหลังของสังคมไทย ถ้าคิดอย่างนี้ บทบาทของอ.นิธินั้นเป็นทั้งอารักษ์และเป็นทั้งล่าม เป็นอารักษ์ในความหมายที่ว่าเป็นคนที่จดบันทึกวัฒนธรรมไทยในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านทางประวัติศาสตร์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วก็เป็นล่ามที่ช่วยแปลความหมายให้คนไทยได้คุยกับคนไทยด้วยกัน ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าคนไทยมีความแตกต่างหลากหลายมาก อาจจะมองต่างกันจนกระทั่งขัดแย้งกันจนอาจจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมคิดว่าพยายามของอ.นิธิช่วยแปลความหมายให้คนไทยที่อาจจะต่างถิ่นกัน ต่างเวลา ต่างกลุ่มกันได้คุยกันรู้เรื่อง รวมทั้งเป็นล่ามแปลให้เราได้คุยกับตัวเราเองด้วย ในความหมายที่ว่าชิ้นส่วนบางอย่างในไวยกรณ์การคิดทางวัฒนธรรมนของเรานั้น เราไม่รู้หรอกว่ามันมาจากไหน เวลาอ่านงานของอ.นิธิมันทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า ไอ่ชิบหาย ความคิดแบบนี้มันมาจากตรงนี้เอง หรือทำให้เราเริ่มเห็นว่าทำไมเราไม่คิดไปในแบบนั้น อะไรเป็นตัวที่สกัดหรือล็อคมันอยู่ นี่คือประโยชน์สำคัญที่ได้จากงานที่อ.นิธิทำ
วิธีการอ่านของอาจารย์ก็เป็นการมองแบบเปรียบเทียบเชิงประวัติศาสตร์ และอาศัยความรู้ทางมานุษยวิทยามาช่วยจับ วิธีการของอาจารย์มีลักษณะทางมนุษยวิทยามากทั้งที่อ.ไม่ได้ฝึกมาทางนั้น และมีลักษณะสัมพัทธ์ คือไม่สมบูรณ์ ไม่แน่นอน ตายตัว มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของทั้งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
อ่านเข้าไปอีกไวยากรณ์อะไรที่สำคัญ อะไรที่เป็นการค้นพบเมื่ออ่านงานอ.นิธิ อ.ชี้ให้เห็นถึงวาทกรรมความเป็นไทย 3 แบบ คล้ายการคุยหรือสนทนาเรื่องความเป็นไทยในสังคมบ้านเรา ไปนั่งแยกแยะดูดีๆ
อันแรกคือ ความเป็นไทยในจินตการ คือมโนว่าความเป็นไทยเป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา รัชการที่ 5 ทั้งที่เอาเข้าจริงเราไม่เคยเป็น ผมเรียกความเป็นไทยแบบนี้ว่า The Imaginary Thainess คือความเป็นแบบมโนว่าชิบหายแต่ก่อนคนไทยเป็นแบบนี้ทั้งที่ไม่เคยเป็น แต่เราเสือกเชื่อว่าเป็น
อันที่สองคือ ความไม่เป็นไทยหรือเป็นอื่น ส่วนหนึ่งของความเป็นไทยคือเราไม่อยากเป็นไทยเท่าไร เราไม่อยากเป็นไทยเท่าไร เราอยากเป็นสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน อเมริกา อังกฤษ อยากหลุดให้พ้นอะไรบางอย่างในสังคมไทยที่เราไม่ชอบแล้วไปเป็นโลกาภิวัตน์ ไปเป็นเจริญ ไปเป็นก้าวหน้า ไปเป็นพัฒนา ผมรวมเรียกอันนี้ว่า ความไม่เป็นไทยหรือเป็นอื่นในฝันที่เราไม่ได้เป็น และอาจจะไม่มีวันเป็น แต่มันเป็นความฝันที่เกาะกุมความคิดจิตใจเราและหลอนเรา ให้คนไทยจำนวนมากนึกอยากจะเป็นไอ้นั่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผมเรียกว่า The Symbolic Un-thainess ความไม่เป็นไทยหรือเป็นอื่นในเชิงสัญลักษณ์
อันที่สาม ซ่อนแฝงอยู่และอ.นิธิเป็นคนแรกที่หยิบเอามาอภิปรายให้เราเห็น คือ ความเป็นไทยที่เป็นจริง ความเป็นไทยที่เราเป็นอยู่จริง ผมคิดว่าเจ๊กปนลาว คนจำนวนมากเป็นคนอีสาน คนเชื้อสายลาว มันเป็นความเป็นจริงในประเทศเรา แต่เป็นความเป็นไทยที่ถูกกลบเกลื่อน กดทับไว้ เราไม่พูดถึงมันราวกับมันไม่มีอยู่จริง มันถูกกลบเกลื่อนไว้ด้วยความเป็นไทยสองแบบแรก ความเป็นไทยที่เป็นจริงมันถูกความเป็นไทยในจินตนาการและความเป็นอื่นที่เราฝันกลบเกลื่อนกดทับไว้ ทำให้เราไม่สามารถเข้าใจตัวเอง สังคมไทยขาดความสามารถที่จะเข้าใจตัวเองที่เป็นจริงได้ เพราะถูกหลอนถูกมโนเอาไว้ด้วยความเป็นไทยในจินตนาการและความไม่เป็นไทยในฝัน เมื่อถูกกดทับเยอะๆ สิ่งที่คนไทยแสดงออกและอาจารย์นิธิได้บอกไว้คือ การฆ่าตัวตายทางวัฒนธรรม หรืออัตวิบากกรรมทางวัฒนธรรม คือ อาการมันออกแบบนี้ มีอาการอายและเกลียดตัวเองที่ดันเกิดมาเป็นคนไทยซึ่งไม่เหมือนอุดมคติความเป็นคนไทยในอดีตของนักอนุรักษ์นิยมที่ไม่เคยมีตัวตนอยู่จริง ชิบหาย กูมีตัวตนแบบนี้ เป็นเจ๊กปนลาวหรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วมันไม่ตรงกับความเป็นไทยในจิตนาการ เกลียดตัวเองที่ไม่เป็นไทยแบบนั้น อันนี้ชิบหายแล้ว ตื่นเช้ามาโบยตีตัวเองก่อน ทำไมกูไม่เป็นไทยให้มากกว่านี้ๆ และไม่เทียมทันความไม่เป็นไทยในอนาคตของนักพัฒนาที่อาจไม่มีวันเป็นไปได้ มันถูกหลอนโดยความเป็นไทยที่ฝันว่าจะเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่น พัฒนา นิกส์ หรืออะไรอย่างอื่น แล้วปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองเป็นในปัจจุบัน อายที่ตัวเองเป็นแบบนี้ เกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้
ไม่เพียงแต่อายและเกลียดตัวเองที่เป็นคนไทยแล้วไม่เข้าแก๊ปแบบที่อยู่ในจิตนาการหรือความฝัน แต่ยังอายและเกลียดตัวเองในแง่ความเป็นมนุษย์ อายและเกลียดตัวเองที่ดันเป็นมนุษย์ซึ่งในด้านที่ใฝ่ต่ำ ขี้เหม็น เห็นแต่ตัวเอง โง่ งี่เง่าและเงี่ยนด้วยซ้ำไป มนุษย์มันก็เป็นแบบนี้ แต่บางทีเราถูกโบยตีทางวัฒนธรรมว่ามนุษย์ในแง่ที่เรามีบางด้านมันผิด เราเป็นมนุษย์อย่างนี้แหละ เราใฝ่หาความสุขความพอใจของตัวเอง อยากได้ใคร่ดีและเห็นแก่ตัว อยากเห็นความพินาศที่ตัวเองไม่ชอบเพื่อบำเรอความสุขอย่างหยาบของตัวเอง บางทีผมอ่านประโยคนี้แล้วทำให้เห็นว่าคำที่ท่านประวิตรบอกว่า คิดต่างได้แต่ห้ามแสดงออก มันก็มีประเด็นนี้อยู่นะ ผมคิดว่าถ้าผมจะแสดงออกทุกอย่างที่ผมคิดเวลาที่ผมดูทีวีหรือรายการข่าวนี่ชิบหายนะ (หัวเราะ) เพราะในระหว่างที่เราดูข่าวเราคิดอะไรบ้าง (หัวเราะ) เชื่อและคาดหวังอย่างไม่มีเหตุผลอย่างงมงาย เพื่อปลอบประโลมใจตนเองให้ผ่านพ้นความทุกข์ยากของโลกนี้ไปเป็นครั้งคราว มีความต้องการจริงในโลกที่เปลี่ยนแปลงวูบวาบหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย มีอารมณ์ความรู้สึกซึ่งอาจจะโง่ ไร้เหตุผล เปียกชุ่มด้วยกิเลส คนมันเป็นแบบนี้ แน่นอน คนมันไม่ได้มีแค่นี้ มันมีแง่งาม แง่ที่อยากจะก้าวไปสู่อรหันตผลด้วย แต่มันมีด้านมืด ด้านต่ำ ปัญหาที่เราจะจัดการกับความเป็นคนด้านมืด ด้านต่ำก็คือ ยอมรับซะ รู้จักมันซะว่ามันเป็นยังไงจริงๆ จะได้จัดการมันได้อยู่ แต่ผมเกรงว่าสิ่งที่อาจารย์นิธิเสนอกับวัฒนธรรมไทยที่เรียนรู้กันมามันกดทับปิดด้านนี้ไว้เหมือนกับว่ามันไม่มี ทำให้เราอายและเกลียดตัวเองในด้านที่เป็นจริงของเราด้านนั้น ไม่มีวิธีการที่จะไปจัดการมัน อันนี้จึงทำให้ผมคิดถึงกลอนของพี่สุจิตต์ (วงษ์เทศ) ที่ว่า “คนทั้งโลกมองเห็นเป็นสีดำ แต่เจ้ากรรมมองเป็นสีขาว ความเป็นไทยคล้ายมนุษย์ต่างดาว ไม่เหมือนชาวโลกนี้ที่เป็นคน” บางทีความเป็นไทยที่เราได้ยินได้ฟังอยู่ทุกวันนี้มันใช่ไทยจริงหรือเปล่า ใช่ความเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เราเป็นอยู่จริงๆ หรือเปล่า
อย่างนั้นทางออกคืออะไร เมื่อ 20 ปีก่อนอ.นิธิได้นำเสนอทางออกซึ่งถ้าพูดเป็นคำขวัญสรุปรวบยอดก็คือ “คืนวัฒนธรรมให้แก่คน คืนคนให้แก่วัฒนธรรม” ก็คือ ไม่ต้องอายและเกลียดตัวเองที่เป็นคนไทยและมนุษย์อย่างที่มันเป็นจริง พูดให้ถึงที่สุด สิ่งที่นิธิทำเท่าที่ผมเข้าใจคือ การให้ชื่อ ให้เสียง กับสิ่งที่รอคำ ให้ความเป็นธรรมดาธรรมชาติแก่สิ่งที่เราเป็นจริง ไม่ว่าในฐานะคนไทยหรือมนุษย์ ช่วยให้เราปลดปล่อยตัวเองจากความอายและความเกลียดตัวเอง ให้เรากลับภาคภูมิใจในคุณค่าในศักดิ์ศรีของตัวเอง ได้รู้จักตัวเองทั้งด้านดีด้านเลว จุดอ่อนจุดแข็ง เพื่อจะสามารถฝึกฝนขัดเกลาจัดการตัวเอง เป็นการคืนวัฒนธรรมให้แก่คน และคืนคนให้แก่วัฒนธรรม อันเป็นกระบวนท่าการอ่านวัฒนธรรมไทยที่ปลดปล่อยคนอ่านออกจากกล่องกรอบที่จำกัดรัดรึงตัวไว้ให้เป็นอิสระเสรีที่สุด
ถ้าจะแถมก็คือว่า ต้องทำให้กระบวนการนิยาม สร้างสรรค์และปรับเปลี่ยนความเป็นไทยนั้นเป็นไปโดยเสรีประชาธิปไตย แทนที่การครอบงำโดยรัฐและการล่อใจโดยตลาด สิ่งที่เราต้องการเพื่อผดุงวัฒนธรรมไทยคือการสนทนากันอย่างสันติและเสรีบนพื้นฐานอำนาจที่เท่าเทียมและความรู้เท่าทันระหว่างคนไทยทุกเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา เพศและฝ่าย นี่คือข้อประมวลที่ผมเก็บได้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว
20 ปีให้หลังของนิธิ
ทีนี้ 20 ปีให้หลังเป็นยังไง ผมคิดว่าอยากจะเริ่มด้วยเรื่องเล่า 3 เรื่อง คือ ประสบการณ์ส่วนตัวของผม ลูกเจ๊กเมืองกรุง เรื่องเล่าของอาจารย์คริส เบเกอร์ ซึ่งเป็นคู่ชีวิตของอาจารย์ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคำบ่นของอาจารย์เบเนดิก แอนเดอร์สัน ซึ่งเป็นครูสอนหนังสือผมและเชี่ยวชาญเรื่องเมืองไทย
ผมนึกถึงตัวเองตอนก่อน 14 ตุลา 16 ที่ได้สัมผัสกับความคิดที่ก้าวหน้า ก่อนหน้านั้นผมเรียนเตรียมฯ และไปเรียนธรรมศาสตร์ ก็นั่งรถเมล์ไป เหมือนคนทั้งหลายที่นั่งรถเมล์ และหลัง 14 ตุลาก็จะเห็นชาวบ้านตาสีตาสา ใส่เสื้อม่อฮ่อม หิ้วตระกร้า ขึ้นรถเมล์มาเพื่อจะไปประท้วงรัฐบาล ระหว่างที่ผมใส่ชุดนักศึกษาหรือใส่ชุดนักเรียนแล้วเห็นคนเหล่านี้ พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า คนจากชนบทเหล่านี้เป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่จะมีอะไรให้ผมเรียนรู้ มีอะไรที่จะมาสอนผม ชีวิตผมอย่างที่ดำเนินมาและเรียนมาและอยู่ในกรุงเทพฯ ผมคิดไม่ออกเลยว่ามีอะไรที่พวกเขาจะประสบ ผมอดคิดไม่ได้ว่าลูกเจ๊กเมืองกรุงคิดแบบนั้น ผมมาเปลี่ยนความคิดเมื่อผมเข้าป่าหลัง 6 ตุลา พอเข้าป่า คิดดูแล้วกันจากเยาวราชไปสู่อีสานใต้ ก็เป็นนักเรียนน้อยเปิ่นเซ่อ ทื่อมะลื่อ ไม่รู้ประสา(ห่า)อะไรเลย ไม่รู้จักต้นมันสำปะหลัง แยกไม่ออกระหว่างต้นกล้าข้าวกับต้นหญ้า ผมเดินต้อนควายด้วย จัดตั้งให้ผมต้อนควาย ผมต้อนควายทั้งฝูงลงไปกินกล้าข้าวเพราะนึกว่าเป็นหญ้า แล้วสหายก็วิ่งตามไป “บ่แม่น บ่แม่น” ผมไม่รู้จักต้นไม้สัตว์ป่านานาชนิด หว่านข้าว ไถนา เลี้ยงควาย เกี่ยวข้าว ตำข้าว ทำไม่เป็นทั้งนั้น หลงทางประจำ เมื่อไรเข้าป่าก็หลงต้องจับตาดูให้ดี เดี๋ยวมันหายไปอีกแล้ว เว้าลาวก็บ่เป็น ถูกหัวเราะเยาะ ต้องเรียนรู้หัดเอาจากใคร จากตาสีตาสายายมียายมาสหายชาวนาที่ผมเคยคิดว่าคงไม่มีอะไรให้เรียนรู้ ผมคิดว่านี่เป็นประสบการณ์ที่ healthy มาก ดีมากสำหรับสุขภาพสมองและสุขภาพใจของลูกเจ๊กเมืองกรุงที่ได้พาตัวเองเข้าป่าไปตกในสภาพช่วยอะไรตัวเองไม่ได้ในทางวัฒนธรรม ต้องถ่อมตัวเรียนรู้จากผู้อื่นเพื่อเอาตัวรอด จะได้เข้าใจว่ามีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะในโลก ไม่อวดวิเศษ ดูถูกคนอื่นและโง่เขลา
เรื่องที่สองเป็นเรื่องเล่าที่อ.คริส เบเกอร์ เล่าในหอเล็กในงานสัมมนาที่ท่าพระจันทร์ อาจารย์เล่าถึงเหตุการณ์หลังจากที่มีความขัดแย้งทางการเมืองเรื่องเสื้อสี บรรดาคนรวยทั้งหลายในเมืองไทยก็เดือดร้อน ชิบหาย อนาคตบ้านเมืองจะเป็นยังไง ก็เชิญนักวิชาการมือหนึ่งที่วิเคราะห์เรื่องนี้เยอะอย่างคุณคริสและอ.ผาสุกไปคุยให้ฟังถึงความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเรื่องเล่าที่คุณคริสวิเคราะห์ให้พวกเขาฟังถึงความเปลี่ยนแปลงในชนบท เรากำลังพูดถึงที่ประชุมที่เต็มไปด้วยนายธนาคารใหญ่ บิ๊กๆ ทั้งหลายของเมืองไทย พอคุณคริสเล่าจบก็เปิดให้ตั้งคำถามหรือคอมเม้นต์ พอคุณคริสเล่าจบก็มีนายธนาคารใหญ่คนหนึ่งพูด แม้จะเป็นคนไทยแต่ที่ประชุมพูดภาษาอังกฤษ แกบอกว่า Now I know what the problem is ผมรู้แล้วล่ะว่าปัญหามันอยู่ที่ไหน The problem is they know us but we don’t know them ปัญหาก็คือคนชนบทในเมืองไทยทั้งหลายรู้จักเข้าใจอิลีทในกรุงเทพฯ แต่อีลีทในกรุงเทพฯ ไม่รู้จักเข้าใจคนชนบทเลย
เรื่องเล่าสุดท้ายเป็นคำบ่นของครูผม แกเขียนไว้ในงานเขียนเพิ่มเติม จริงๆ เป็นบทวิจารณ์หนังเรื่องลุงบุญมีระลึกชาติ ซึ่งก็จะมีปัญหามากว่าหนังเรื่องนี้คนไทยดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจ โดยเฉพาะคนไทยที่เป็นลูกเจ๊กเมืองกรุงอย่างผม แต่ตลกดี ประสบการณ์ของอ.เบ็นคือ เมื่อเอาหนังเรื่องนี้ไปฉายให้คนอินโดนีเซียดู คนอินโดฯ ที่มีประสบการณ์ชีวิตอยู่ในชนบทในป่าในเขาเข้าใจหนังเรื่องนี้ได้ง่ายมาก นำไปสู่ข้อสรุปที่น่าสนใจว่า อ.เบ็นตั้งข้อสังเกตว่า ลองคิดถึงคน 3 กลุ่ม ชาวชนบท, คนชั้นกลางชาวเมืองโดยเฉพาะในกทม. และวัฒนธรรมของปัญญาชนโลกซึ่งมีวัฒนธรรมรอบรู้กว้างขวางวิพากษ์วิจารณ์ อ.เบ็นเสนอว่า คนชั้นกลางชาวเมืองโดยเฉพาะในกทม.ห่างไกลกับชาวชนบท และห่างไกลกับวัฒนธรรมวิจารย์ของปัญญาชน ทั้งในแง่เชื้อชาติและวัฒนธรรม ไม่สามารถเข้าใจชาวชนบทได้ ขณะเดียวกันคิดว่าตัวเองโลกาภิวัตน์ตายห่าก็ไม่สามารถเข้าใจวัฒนธรรมปัญญาชนของตะวันตกได้
ที่น่าสนใจก็คือ ถ้าข้อสังเกตนี้เป็นจริง เรากำลังเจอกับภาวะที่อิหลักอิเหลื่อมาก เพราะในขณะที่คนชั้นกลางในกทม.ห่างไกลกับคนชนบททั้งในแง่วัฒนธรรมและชาติพันธุ์แต่คนสองกลุ่มนี้กลับเข้าใกล้ถึงขนาดประชิดถูกตัวกันมากขึ้นในทางการเมือง ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา เข้าใกล้กันถึงขนาดที่เขาเริ่มแย่งโอกาสกัน เริ่มแย่งทรัพยากรกันและเริ่มแย่งอำนาจรัฐกัน สิ่งเหล่าไม่เกิดเมื่อ 20 ปีก่อนเพราะว่าชาวชนบท ยังไม่มีโอกาสช่องทางที่เปิดให้เข้ามาแย่งสิ่งหล่านี้ ยังอยู่ที่ปลายทางของการรับความเมตตา แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อ 20 ปีมานี้มันเปิดช่องให้คนชนบท เข้ามาถึงจุดที่เขาเริ่มเข้ามาในเกมส์แย่งชิงทรัพยากร เริ่มเข้ามาในเกมส์แย่งชิงโอกาส และเริ่มเข้ามาในเกสม์แย่งชิงอำนาจรัฐกันชนชั้นกลางในเมือง แบบที่เขาไม่เคยทำมาก่อน ผ่านการเลือกตั้งและการเมืองบนท้องถนน ห่างกันทางวัฒนธรรมแต่ประชิดติดกันทางการเมือง ทะเลาะกันฉิบหาย
ทีนี้ 20 ปีให้หลัง อาจารย์นิธิ ทำอะไรบ้าง ผมคิดว่าอาจารย์นิธิ เป็นคนแรกๆ ในรอบ 20 ปีนี้ที่สังเกตุเห็นและร้องทัก กระทั่งระบุเรียกสิ่งเหล่านี้ 1.ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับชนบทเปลี่ยนไปแล้วในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา 2.การปรากฎตัวทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของกลุ่มคนที่อาจารย์นิธิใช้คำว่า คนชั้นกลางระดับล่าง lower middle class ในชนบท อาจารย์นิธิได้รับแรงบรรดาใจจากบทความ What is middle class about the middle class around the world ของนักวิชาการชาวอินเดีย กับลาตินอเมริกา โดยมองวิธีการวิเคราะห์ของเขาแล้วเอามาประยุกต์ทำความเข้าการเปลี่ยนแปลงในชนบทไทย คือชาวนาในนบทไทยเปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่คนจนหงำเหงือก แต่ได้กลายเป็นคนชั้นกลางระดับล่างไป และเพราะเขาเปลี่ยนเป็นคนชนกลางระดับล่างแล้ว ความใฝ่ฝันและจินตนาการ วัฒนธรรมทางการเมืองเขาจึงเปลี่ยนและเป็นที่มาของความขัดแย้งด้วย ชุมชนชาวนาแบบเดิมที่เราเคยหลับตาฝันเห็นเขียวอร่าม ร่มรื่นอยู่ดีมีสุขมันได้เปลี่ยนไปแล้ว มันกลายเป็นสังคมการเมืองของคนชั้นกลางระดับล่าง เป็นสังคมการเมืองของชาวนารายได้ปานกลางในชนบท ซึ่งปีหนึ่งเลือกตั้งทั้งระดับชาติและท้องถิ่นหลายต่อหลายครั้ง มีโรงเรียนประชาธิปไตยที่เป็นจริงเปิดตลอดปี ในสังคมท้องถิ่นทั่วทั้งประเทศ เขาได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตทางการเมืองแล้ว ถ้าท่านคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก เขาเสียตัวแล้วว่ะไอ้ห่า (หัวเราะ) กลับไปบริสุทธิ์แบบเดิมไม่ได้แล้ว เขารู้จักแล้วว่าการเมืองต้องเล่นกันแบบนี้ มันถึงจะได้อะไรที่เขาต้องการ และกลุ่มคนเหล่านี้ที่เป็นฐานมวลชนของพรรคของคุณทักษิณ และเป็นฐานมวลชนของคนเสื้อแดง
คิดต่อจากนิธิ
ทีนี้ ผมอย่างจะคิดต่อจากอาจารย์นิธิค้นพบเหล่านี้นะครับ คือถ้ามองภาพรวม ผมอยากจะยกข้อคิดของ Andrew Walker ในหนังสือ Thailand's Political Peasants: Power in the Modern Rural Economy แกเสนอว่าชนบทไทยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว สรุปมามี 4 อย่างที่เปลี่ยน 1.ชาวนาไทยส่วนใหญ่ไม่จนแล้ว คนจนยังพอมีอยู่แต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่แล้ว แปลว่าเขาพ้นจากความยากจนไม่พอกิน ไม่มีจะกินมาแล้ว เขาได้กลายเป็นชาวนารายได้ปานกลาง ซึ่งมี(2.)เศรษฐกิจที่หลากหลาย ก็คือไม่ได้พึ่งเกษตร ไม่ได้พึ่งการปลูกข้าว อันใดอันหนึ่งอย่างเดียวแล้ว แต่เศรษฐกิจประเภท เปิดร้านบ้าง รับจ้างบ้าง เข้าไปทำงานในกรุงเทพฯบ้าง เข้าไปทำงานต่างประเทศบ้าง เข้ามาประกอบประสมกัน เพราะฉะนั้นเขาพึ่งพาเศรษฐกิจที่หลากหลายแตกต่างจากแต่ก่อน ชาวนาจึงเผชิญหน้ารูปแบบใหม่ขอความเหลือมล้ำทางเศรษฐกิจ (3.)ปัญหาหลักไม่ใช่ไม่มีจะกิน ปัญหาหลักคือทำอย่างไรกูจะรวยเท่ามึง ทำอย่างไรจึงจะได้ส่วนแบ่งจากความมั่งคั่งของประเทศที่เท่าเทียมกับคนเมืองบ้าง
ข้อ4 นะครับ รัฐไทยมีบทบาทใจกลางในการอุดหนุนเศรษฐกิจชาวนา การดำเนินในรอบ 20 ปีที่ป่านมามันโน้มไปในทางที่รัฐ โดยผ่านองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น ผ่านนโยบายพัฒนาต่างๆ ได้ผันเงินงบประมาณของรัฐจำนวนมากเข้าไปอุ้มชูเศรษฐกิจของชาวนาไว้ และมีความจำเป็นต้องอุ้มชูด้วย จนกระทั้งคือ ประทานโทษทีนะ นี่ไม่ใช่ความเหี้ยของทักษิณ (หัวเราะ) คือถ้าเข้าใจว่ามึงเป่าทักษิณให้หายไปจากโลกนี้ แล้วมึงไม่ต้องอุ้มชูชาวนามึงบ้า เลิกได้จำนำข้าว แต่ก็กลายเป็นจำนำยุ้งฉาง มันเลิกได้ป่ะ เอ้าไม่ยอมราคายาง มึงไปขายดาวอังคารสิ แต่สุดท้ายก็ต้องต่อรอง นึกออกไหมครับ จะเป็นรัฐบาลเหาะมาจากสวรรค์ไหน มาปกครองประเทศไทย คุณเจอกับความเป็นจริงของเศรษฐกิจในชนบทแบบนี้ ความต้องการชีวิตที่ดีขึ้นของพวกเขาเหล่านี้ คุณไม่ช่วยเขาไม่ได้ เว้นแต่คุณเปลี่ยนเศรษฐกิจทั้งประเทศด้วยการลงทุนขนานใหญ่ ซึ่งก็เป็นทิศทางที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์อยากจะทำ โครงการโลจิสติกส์ต่างๆ แล้วในที่สุดรัฐบาลชุด คสช. ก็กำลังทำ มันเป็นทางที่ต้องไป ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้
คิดต่อไปอีกนะครับ ถ้าดึงเอาข้อคิดของ Partha Chatterjee ซึ่งเป็นนักวิชาการคนหนึ่งซึ่งศึกษาเรื่องชนบทอินเดียมา ผมคิดว่าเราพูดการเปลี่ยนแปลงในชนบทลึกลงไปในทางการเมืองทำได้ 3 เรื่อง 1.ชุมชนชาวนาสมัยก่อน การเลี้ยงตัวเองพึ่งตัวเองสำคัญมาก บทความเรื่อง แห่นางแมวของอาจารย์นิธิ พูดถึงเรื่องนี้ไว้ได้ดีที่สุดคือ ชุมชนชาวนาแต่ก่อนต้องมีพีธีกรรมต่างๆ เพื่อรักษาความกลุ่มก้อนอันหนึ่งอันเดียวไว้เพราะการจะมีพอกินครบรอบปี มันไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลยนอกจากความเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันในหมู่บ้าน และชุมชน ดังนั้นจริยธรรมที่ถูกกำหนดจากการต้องพึ่งตัวเอง พอเพียงในตัวเองนั้นสำคัญมาก ซึ่งอันนี้มันไปแล้วในภาวะแบบใหม่ ประเด็นไม่ใช่จริยธรรมของการพอมีพอกิน ประเด็นคือจะดำเนินการเมืองอย่างไรที่จะเป็นห่วงชูชีพช่วยเขาไว้ให้พ้นจากภาวะผันผวนของตลาดโลก จะดำเนินนโยบายการเมืองอย่างไรจึงจะผลักเขาขึ้นฝั่ง คือภาพของชาวนาที่วาดไว้ช่วงหลังมันไม่ใช่ภาพของชาวนาที่กำลังจะจม เขาประคองตัวเองได้ แต่ว่าถ้ามรสุมมาเขาอยากจะได้ห่วงชูชีพ และเป้าหมายของเขาไม่ใช่การลอยคออยู่เรื่อยๆ มันดี ของลอยอยู่ก่อน ไม่ใช่! เขาอยากจะขึ้นฝั่ง
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาเรียกร้องจากรัฐคือ 1.ถ้ามรสุมมาขอห่วงชูชีพคือ นโยบายจำนำข้าว ประกันราคาข้าว ประกันพืชผลทางการเกษตรทั้งหลาย 2.เขาต้องการนโยบายที่จะซัดเขาขึ้นฝั่ง เขาอยากขึ้นฝั่งเหมือนเรา และนี่มันเปลี่ยนจากจริยธรรมของการต้องยังชีพให้รอด เป็นไปเป็นการรักษาชีพ หรือห่วงชูชีพ เป็นการเมืองที่มุ่งเป้าขอห่วงชูชีพเวลาผันผวน และช่วยผลักเขาขึ้นฝั่งด้วย ชาวนารายได้ปานกลางอยากได้สิ่งนี้ และจะต้อนรับรัฐบาล หรือพรรคการเมือง และนโยบายการเมืองที่ช่วยเขาในเรื่องเหล่านี้ เขาเป็นอย่างนี้แล้ว เขาเปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่เพราะทักษิณไปปลุกระดม ไม่ใช่เพราะว่าฟังอาจารย์นิธิ และอาจารย์ประจักษ์แล้วแบบว่า อยากจะต่อต้าน ไม่! ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแล้ว
ฉะนั้นถ้าคนชนกลางในเมืองอยู่กับ civil society หรือประชาสังคม ซึ่งให้สิทธิ กฎหมาย และความมั่นคงในชีวิต นึกออกไหมครับ เราได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา เราไม่จำเป็นกลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือตำรวจเทศกิจ เพราะเรามีห้องแถวของเรา เรามีสิทธิของเรา แต่กับกลุ่มคนเพิ่งขึ้นมา คนชั้นกลางระดับล่างในชนบท และเศรษฐกิจนอกระบบของเมือง คิดถึงพ่อค้าแม่ขาย หายเร่แผงลอย คนพวกนี้เขาอยู่ได้เพราะนโยบายช่วยให้เขาอยู่ได้ ผิดกฎหมายไหม ผิด แต่มีนโยบายให้เขาทำมาหากินต่อได้ นโยบายของรัฐบาลแต่ละชุดที่ลงไปอุ้มพืชผลทางการเกษตร ให้เขาสามารถอยู่รอดได้ ชีวิตของพวกเขามัน การเมืองอย่างไม่มีทางเลี่ยง เขาอยู่เป็นสังคมการเมือง เพราะแต่ละอย่างที่เขาได้มันเป็นนโยบายทั้งนั้น พอผู้ว่ากทม. เปลี่ยนคน เขาต้องกดดัน ม๊อบ เพื่อให้คงนโยบายที่ของจะพึ่งพาได้ต่อไป พอรัฐบาลเปลี่ยนชุด ชาวสวนยาง ชาวนา พ่อค้าหมูคือ ต้องกดดันตลอด ชีวิตเขาอยู่กับ จะใช้คำพูดอย่างไงดีว่ะไอ้ห่า…. คือ นึกออกไหมครับ ผมหวังว่าจะมีทหารฟัง คือชีวิตของชาวนารายได้ปานกลาง และคนรายได้ปานกลางระดับล่างทั้งในเมืองและชนบท อยู่รอดได้โดยที่เขาบวกการเมืองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะชีวิตของพึ่งนโยบายของพวกคุณ ถ้าคุณบอกว่าการเมืองมันเลว กวาดการเมืองไปให้หมด แล้วบอกให้เขาอยู่บ้านเฉยๆ เขาอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะทักษิณ
แล้วเขาคิดอย่างไรในแง่การเมืองนะครับ ซึ่ง Andrew Walker เสนอแนวคิดธรรมนูญชนบท rural constitution เรากลับไปสู่ประเด็นคนบ้านนอกไม่รู้หนังสือ ไม่รู้การเมือง โดนนักการเมืองหลอก น่าสนใจนะครับเรื่องนี้ Andrew Walker ไว้ ธรรมนูญชนบทเป็นอย่างไรคือ วิธีคิดทางการเมืองของชาวบ้านชนบทเป็นอย่างไร เขาอย่างนี้นะ โมเดลในการเข้าใจทั้งหมดคือ ให้ไปดูความสัมพันธ์ระหว่าชาวบ้านกับผี (หัวเราะ) ตอนแรกผมอ่านผมไม่ค่อยเชื่อ มึงหลอกกูเปล่า (หัวเราะ) ผมอ่านสามรอบนะ กูเข้าใจผิดเปล่าว่ะ อ่านทั้งคืน คือแกอธิบายอย่างนี้นะครับ ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านชาวชนบท ซึ่งแกดูในภาคเหนือ กับศาลเจ้า ผี สิ่งศักดิ์ในหมู่บ้าน เป็นแบบจำลองความสัมพันธ์ของเขากับพลังภายนอกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรัฐ และทุน เขาไหว้ผี เขาบวงสรวงผี เพราะอะไร เขาหลอกใช้ผี ดูดทรัพยากรภายนอกมาเพิ่มผลิตภาพ รายได้ และโอกาสของเขา เขากระทำต่อรัฐ เหมือนที่กระทำกับผี เขากระทำต่อบริษัททุน เหมือนกระทำต่อผีนี่แหละ เขาไม่ได้สยบยอมนะครับ เขาใช้พวกคุณเป็นประโยชน์ ดังนั้นถ้าทีโครงการเศรษฐกิจพอเพียงมาจากมหาดไทย หรือกอ.รมน. เขาก็เศรษฐกิจพอเพียง (หัวเราะ) เพราะมันมีงบประมาณมากับเศรษฐพอเพียง เข้าใจไหม
เขามีไหมเกณฑ์ศีลธรรมการเมือง เขามี เขาเข้าใจนะครับ คอรัปชั่น แต่วิธีคิดของเขาไม่เหมือนเรา เขาให้ค่าเกณฑ์ดีชั่ว ทางการเมืองและการคอรัปชั่น อย่างสมจริงกว่า ยึดหยุนกว่า และสัมพัทธ์กว่า มันต้องสัมพัทธ์อยู่แล้ว เขาให้ค่าอย่างสมบูรณ์อย่างพวกคุณไม่ได้ และพวกคุณก็ไม่ได้สัมบูรณ์จริงหรอก แต่เขาให้ค่าอย่างสมบูรณ์อย่างพวกคุณไม่ได้เพราะ พวกคุณอยู่ในประชาสังคมอันมีกฎหมายรองรับ แต่เขาอยู่กับสังคมการเมืองที่แต่ละอย่างจะได้มามันอยู่ที่นโยบาย เพราะฉะนั้นแปลว่าอะไร เขาต้องให้ค่ามันสมจริงน่ะ คอรัปชั่น มีไหม เขายอมให้กินได้มีเลือกตั้ง มีผู้มาบริหารส้วนท้องถิ่น มีเบี้ยใบ้รายทางบ้าง มีช่วยพรรคพวกได้ มีกินบ้าง ได้ แต่ต้องมีขอบเขต อย่าตระกละตะกลามจนส่วนรวมเสียหาย ถ้าแดกจนส่วนรวมเสียหายกูไม่เอา นี่ไม่ใช่เขาไม่มีเกณฑ์นะครับ เพียงแต่เกณฑ์เขาไม่เหมือนเรา ของเราเนี่ยโกงไม่ได้ โกงไม่ได้ ! โกธร แต่มันก็โกงได้ใช่ไหม (หัวเราะ) เขามีเกณฑ์ไม่ใช่ไม่มีเกณฑ์ แต่เกณฑ์เขาไม่ได้สัมบูรณ์ เกณฑ์เขาสัมพัทธ์คือ แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ แต่อย่ากินมาไปจนส่งผลเสียต่อโครงการจนส่งผลเสียต่อโครงการ กินจนถนนผังอย่างนี้ไม่ได้
เขาอยากจะอยู่กับนักการเมืองอย่างยั่งยืน อยากจะรู้จักนักการเมือง อยากจะไว้ใจนักการเมือง เขาดูผลงานของคนเหล่านี้ ไม่ได้ยึดกฎหมายที่เป็นสากล เขาเน้นความสัมพันธ์เฉพาะตัว เฉพากลุ่ม อันนี้เป็นจุดที่ผมคิดว่า มีความแตกต่างจากคนเมืองเยอะนะครับ
ทีนี้ ใกล้จบแล้ว ที่เราเจออยู่ในปัจจุบันคืออะไรถ้าพยายามจะคิดแบบนิธิ ก็เหมือนก็พี่ธเนศ (อาภรณ์สุวรรณ) เลยนะครับ เราอ่านบทความเดียวกันก็คือ มองการเมืองไทยแบบกรัมชี่ ผมคิดว่าในบทความนั้นสิ่งที่อาจารย์นิธิเสนอก็คือข้อกังวลที่เห็นว่าเราอย่ในสังคมการเมืองที่ไม่มีอำนาจนำ อย่างที่พี่ธเนศอ่านให้ฟัง อาจารย์นิธิช่วยนิยาม อำนาจนำ ให้เข้าใจง่ายมาก อำนาจนำ หรือ hegemony คือฐานทางวัฒนธรรม ที่ทำสังคมยอมรับอำนาจครอบงำที่รัฐต่างๆ ยึดครองอยู่ ประเด็นคือฐากอันนี้มันกำลังกร่อน ทั้งความเป็นไทยแบบในอดีตที่ไม่เคยเป็นจริง และความไม่เป็นไทยเชิงสัญลักษณ์ที่อาจไม่มีวันเป็นจริง ล้วนสูญเสียอำนาจนำเหนือสังคมไทยโดยรวมไปแล้ว ไม่อาจยึดกุมสมองของคนไทย ไม่อาจยึดกุมหัวใจของคนไทยทั่วไป ให้ยอมตามการนำโดยไม่ต้องบังคับได้ คุณสูญเสียอำนาจนำ สัญญานที่ชัดที่สุดคือการใช้วิธีการบังคับ แล้วจริงไหมล่ะว่ามีการบังคับมาก มากขึ้น เพราะเราไม่เชื่อ และเราไม่ยอม
ฉะนั้นในภาวะคลุมเครืออิหลักอิเหลื่อ ของใหม่ยังไม่ทันดิ้นรนเกิดออกมา และของเก่ายังไม่ทันตกตาย กรัมชี่ชี้ว่า ปีศาจอสูรกายทั้งหลายจะปรากฎตัวขึ้น คำถามก็คือว่า มันเป็นปีศาจของกาลเวลาที่เป็นตัวแทนของอำนาจนำใหม่ของเสนีย์ เสาวพงศ์ หรือปีศาจแห่งโลกเก่าของสมาคมชั้นสูงที่ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ อันนี้เรายังไม่รู้ขอบคุณครับ
จี้ปฏิรูปโดยประชาชนนำ รธน. 2540 มาใช้ชั่วคราวก่อน
'พนักงานประกันสังคม' วอนลดความเหลื่อมล้ำในองค์กร-เพิ่มสวัสดิการ
ไทย-จีน บรรลุความตกลง 2 ฉบับ 'รถไฟรางคู่-สินค้าเกษตร'
รายการคืนความสุขฯ 'ประยุทธ์' เผยเกาหลีใต้พร้อมช่วยโครงการบริหารจัดการน้ำ
เครือข่ายเลิกแร่ใยหินหนุน สธ. งดใช้วัสดุที่มีแร่ใยหิน
'วีระกานต์' ไม่เห็นด้วยเลือกนายกโดยตรง ชี้ต้องไม่นิรโทษกรรมแกนนำ-ผู้สั่งการ
ศาลเกาหลีใต้สั่งยุบพรรคฝ่ายซ้าย อ้าง 'เข้าข้างเกาหลีเหนือ'
พรรคยูพีพีซึ่งเป็นพรรคการเมืองหัวก้าวหน้าในเกาหลีใต้ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค อ้างหนุนสังคมนิยมเกาหลีเหนือ ขณะที่นักวิจารณ์มองว่าเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงออก และเป็นการเล่นงานคู่แข่งทางการเมืองแบบเดียวกับสมัยที่เกาหลีใต้ยังเป็นเผด็จการทหารเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
19 ธ.ค. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้สั่งยุบพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายชื่อพรรคแนวร่วมหัวก้าวหน้าหรือ 'ยูพีพี' ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเล็กๆ โดยอ้างว่าเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์สนับสนุนสังคมนิยมแบบเกาหลีเหนือ ทำให้นักวิจารณ์หลายคนวิจารณ์ว่าเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงออก
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน พ.ย. 2556 กระทรวงยุติธรรมของเกาหลีใต้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งยุบพรรคการเมืองยูพีพีโดยอ้างว่ามีอุดมการณ์สนับสนุนสังคมนิยมแบบเกาหลีเหนือและเป็นภัยต่อเสรีนิยมประชาธิปไตยของเกาหลีใต้ พวกเขายื่นคำร้องหลังจากที่สมาชิกพรรคการเมืองคนสำคัญถูกจับกุมตัวด้วยข้อกล่าวหาว่ามีการวางแผนก่อกบฏเพื่อโค่นล้มรัฐบาลเกาหลีใต้ในเหตุการณ์สงครามคาบสมุทรเกาหลี
พรรคยูพีพีตั้งขึ้นเมื่อช่วงปลายปี 2554 ที่ผ่านมา จากการหลอมรวมพรรคการเมืองกับกลุ่มการเมืองหัวก้าวหน้า มี ส.ส. ได้ที่นั่งในสภา 5 คน แต่จากคำสั่งศาล ส.ส. ทั้ง 5 คนจะถูกถอดถอนจากสภา นี่ยังถือเป็นกรณีแรกที่ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้สั่งยุบพรรคการเมือง
เกาหลีใต้เพิ่งมีศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2531 ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อปกป้องสิทธิพื้นฐานของประชาชนหลังจากที่เคยอยู่ในช่วงการปกครองแบบเผด็จการทหารมาหลายสิบปี โดย ปาร์กจุงฮี ผู้เป็นบิดาของปาร์กกึนเฮ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันเคยเป็นหนึ่งในผู้นำเผด็จการมาก่อนและเคยสั่งยุบสภาและกลุ่มทางการเมืองตามอำเภอใจ รวมถึงสั่งห้ามกิจกรรมพรรคการเมืองเพื่อเล่นงานคู่แข่งของตน
สมาชิกพรรคยูพีพีระบุว่าพวกเขาแค่ต้องการให้มีการประนีประนอมกันมากขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ อีกทั้งยังกล่าวหาว่าหน่วยงานสืบราชการลับของเกาหลีใต้กุเรื่องเพื่อใส่ร้ายให้พวกเขาเป็นกบฏเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากกรณีที่พวกเขาถูกเปิดโปงเรื่องให้การช่วยเหลือการรณรงค์หาเสียงให้ตัวแทนพรรครัฐบาลคือปาร์กกึนเฮซึ่งสามารถชนะการเลือกตั้งได้เมื่อช่วง ธ.ค. 2555
สมาชิกพรรคยูพีพี 7 คนที่ถูกตัดสินให้มีความผิดโทษฐานก่อกบฏถูกลงโทษให้จำคุกอย่างมาก 9 ปี จากข้อกล่าวหาว่ายุยงให้มีการกบฏหรือละเมิดกฎหมายความมั่นคงของเกาหลีใต้ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านเกาหลีเหนือ
เดอะการ์เดียนระบุว่าการลงโทษในครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลปาร์กกึนเฮถูกวิจารณ์เรื่องลิดรอนเสรีภาพในการแสดงออกและอาจจะทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวามากขึ้นในเกาหลีใต้ คู่แข่งของปาร์กกึนเฮที่เป็นฝ่ายเสรีนิยมเคยบอกว่าเธอใช้วิธีการปราบปรามอย่างหนักแบบเดียวกับที่บิดาเธอเคยทำ
โรซีนน์ ไรฟ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเอเชียตะวันออกขององค์กรแอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนลกล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า การลงโทษพรรคยูพีพีทำให้เกิดคำถามต่อเรื่องหน้าที่ของรัฐบาลเกาหลีใต้ที่ต้องปกป้องเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุม และการอ้างความกังวลเรื่องความมั่นคงไม่สามารถนำมาใช้ลิดรอนสิทธิในการแสดงความเห็นต่างทางการเมืองได้ในทุกกรณี
เดอะการ์เดียนระบุว่าเรื่องที่มีความขัดแย้งกันมากในเกาหลีใต้คือความคิดที่ต่างกันว่าควรมองเกาหลีเหนืออย่างไร ทั้งสองประเทศนี้มีการปิดกั้นพรมแดนอย่างแน่นหนามาตั้งแต่ราว 60 ปีที่แล้วหลังจากสงครามที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกประเทศกัน ในเกาหลีใต้แม้แต่การแค่กล่าวชื่นชมเกาหลีเหนือก็อาจจะทำให้ถูกลงโทษจำคุก 7 ปีได้
เรียบเรียงจาก
South Korea court orders breakup of ‘pro-North’ leftwing party, The Guardian, 19-12-2014
http://www.theguardian.com/world/2014/dec/19/south-korea-lefwing-unified-progressive-party-pro-north
มติมหาเถรฯ ‘ห้ามบวชภิกษุณี’ ขัดพระธรรมวินัยเสียเอง?
กรณีมหาเถรสมาคม (มส.) มีมติห้ามคณะสงฆ์ไทยทำการอุปสมบทภิกษุณี สะท้อนปัญหาการคิด “เชิงหลักการ” ในหลายเรื่องที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง
หนึ่งคือ เมื่อมีผู้ไปร้องเรียนคณะกรรมาธิการปฏิรูปค่านิยม ศิลปวัฒนธรรม จริยธรรมและการศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ปรากฏว่า สปช.บางคนอ้างว่า “มติ มส.ขัดรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชน” ข้ออ้างเช่นนี้ไม่ได้มีปัญหาในตัวมันเอง แต่มีปัญหาที่จริยธรรมของผู้อ้าง ในเมื่อคุณรับได้กับรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ เข้ามาทำงานกับรัฐบาลจากรัฐประหาร และไม่แคร์กับการที่รัฐบาลปัจจุบันละเมิดสิทธิการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน คุณยังมีความชอบธรรมอะไรจะใช้ข้ออ้างเช่นนี้กับคนอื่นๆ
เพราะโดยหลักการแล้ว เวลาเราอ้างรัฐธรรมนูญหรือหลักสิทธิมนุษยชน เราย่อมอ้างในฐานะเป็น “หลักการสากล” ที่ใช้กับ “ทุกคน” แต่การอ้างแบบ สปช.เป็นการอ้างอย่างเลือกปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนการขาดความซื่อตรงต่อหลักการและการเคารพตัวเอง
อีกหนึ่งคือ โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ออกมากล่าวว่า “มติ มส.เป็นคนละประเด็นกันกับเรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะคณะสงฆ์ไทยไม่ได้ห้ามบวชภิกษุณี หากจะไปบวชมาจากประเทศอื่น นิกายอื่น ก็สามารถทำได้ และยังสามารถมาสร้างสถานที่เผยแผ่หลักคำสอนในประเทศไทยได้ แต่เรื่องภิกษุณีสายเถรวาทที่ขาดสายไปแล้วนั้น เป็นเรื่องของพระธรรมวินัย จะนำเรื่องหลักสิทธิมนุษยชนมาเกี่ยวข้องกับหลักพระธรรมวินัยไม่ได้...”
มุมมองเช่นนี้มีปัญหาที่ผมอยากชวนอภิปราย คือ
(1) เรื่อง “ภิกษุณีขาดสาย” นั้นยังเป็นข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ คณะสงฆ์ไทยเชื่อว่าขาดสายไปแล้ว แต่ทางจีนเขายืนยันว่าภิกษุณีจีนที่บวชสืบสายไปจากศรีลังกายังมีอยู่ในจีน ต่อมาศรีลังกาก็ไปบวชมาจากจีน ซึ่งทำพิธีบวชแบบนิกายธรรมคุปต์ และเพื่อแก้ปัญหาการติดใจเรื่อง “นานาสังวาส” ทางคณะสงฆ์นิกายเถรวาทศรีลังกาจึงกระทำพิธีอุปสมบทใหม่แบบเถรวาทให้แก่ภิกษุณีที่บวชมาจากจีน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูภิกษุณีเถรวาทในศรีลังกา ซึ่งภิกษุณีไทยบางท่านเช่น “ธัมมนันทาภิกษุณี” ก็บวชมาจากศรีลังกา
อาจมีข้อโต้แย้งว่า ภิกษุณีเถรวาทที่ไปบวชมาจากนิกายธรรมคุปต์ (นิกายย่อยของมหายาน) เป็น “เถรวาทกลาย” หากเถรวาทไทยจะให้การยอมรับก็เท่ากับเถรวาทไทยจะเป็นเถรวาทกลายไปด้วย คำถามก็คือเถรวาทไทย (หรือเถรวาทศรีลังกา พม่า ลาว กัมพูชา) ที่แยกเป็น “ธรรมยุต” และ “มหานิกาย” ใช่ “เถรวาทแท้” จริงๆหรือ วัดจากอะไร?
หากอ้างว่าวัดจากการยึดถือปฏิบัติตามพระธรรมวินัยตามมติของพระเถระในการสังคายนาครั้งที่ 1 โดยไม่มีการถอน ไม่มีการเพิ่มบทบัญญัติใดๆ แล้วการมีระบบสมณศักดิ์และองค์กรมหาเถรสมาคมเกิดจากบทบัญญัติของพระธรรมวินัยในการสังคายนาครั้งที่ 1 ข้อไหนหรือครับ
ไม่มีบทบัญญัติในพระธรรมวินัยในการสังคายนาครั้งที่ 1 รองรับให้มีสมณศักดิ์และองค์กรมหาเถรสมาคมเลยใช่ไหมครับ แต่คณะสงฆ์ไทยอธิบาย “เอาเอง” ว่า “สมณศักดิ์อนุโลมตามเอตทัคคะ” จะอนุโลม(อย่างสมเหตุผล)ได้อย่างไรครับ ในเมื่อ “เอตทัคคะ” นั้นพุทธะท่านใช้ยกย่องภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาที่เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เป็นที่ประจักษ์โดยไม่เกี่ยวใดๆ กับอำนาจรัฐ แต่สมณศักดิ์อำนาจรัฐแต่งตั้งและมีข้อผูกพัน “โดยประเพณีปฏิบัติ” ให้คณะสงฆ์ต้องตอบสนองนโยบายของรัฐ แต่เอตทัคคะไม่ได้ทำให้คณะสงฆ์ต้องมีข้อผูกพันใดๆ กับอำนาจรัฐ
และมีบทบัญญัติในพระธรรมวินัยข้อไหนครับ ที่กำหนดว่าให้มีคณะสงฆ์จำนวนหนึ่งเรียกว่าองค์กร “มหาเถรสมาคม” มีอำนาจออกมติ กฎระเบียบต่างๆ ที่มีข้อผูกพันให้พระสงฆ์เป็นหมื่นหรือแสนรูปต้องปฏิบัติตาม พระธรรมวินัยกำหนดชัดเจนว่าให้มีสงฆ์ 20 รูป, 10 รูป, 5 รูป, หรือ 4 รูป เป็นต้น ทำสังฆกรรมหรือกิจของส่วนรวมในกรณีนั้นๆ เช่นการให้การอุปสมบท, กรานกฐิน และอื่นๆ ซึ่งแปลว่าพระธรรมวินัยให้พระสงฆ์กระจายอำนาจในการหารือร่วมกันทำกิจของส่วนรวม ไม่ใช่ผูกขาดอำนาจตัดสินใจไว้ที่สงฆ์กลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวแบบมหาเถรสมาคมในปัจจุบัน
มติมหาเถรสมาคมที่ห้ามพระสงฆ์ไทยทำการบวชภิกษุณีนั้น เป็นมติที่มีอำนาจตามกฎหมายและเป็นกฎหมายที่ออกในรัฐบาลเผด็จการ ในทางพระธรรมวินัยแล้วพุทธะไม่ได้ให้สิทธิพิเศษแก่คณะสงฆ์กลุ่มเล็กๆ กลุ่มใดมีอำนาจออกมติให้พระสงฆ์เป็นหมื่นเป็นแสนรูปต้องปฏิบัติตาม การสังคายนาพระธรรมวินัยที่สามารถออกมติเป็นข้อผูกพันให้สงฆ์ต้องปฏิบัติตามนั้น ต้องใช้คณะสงฆ์ประชุมกันจำนวนมาก เช่นสังคายนาครั้งที่ 1 ก็ใช้พระอรหันต์ตั้ง 500 รูป ลงมติ เป็นต้น
ถ้าอ้างว่าองค์กรมหาเถรสมาคมและมติมหาเถรสมาคม แม้จะไม่มีพระธรรมวินัยบัญญัติรองรับไว้ (ให้ตั้งองค์กรแบบนี้และมีอำนาจเช่นนี้โดยตรง) แต่ก็ถือกันโดย “อนุโลม” ว่า “เข้ากันได้กับหลักพระธรรมวินัย(?)” แล้วทำไมการบวชภิกษุณีซึ่งมีเงื่อนไขให้อนุโลมได้ (เช่นบวชภิกษุณีเถรวาทจากศรีลังกาแล้วจึงมาทำพิธีบวชในคณะสงฆ์ไทยก็ได้) มหาเถรสมาคมถึงไม่ยอมอนุโลม
ถ้าคิดว่าอนุโลมแล้ว “ไม่บริสุทธิ์” ตามพระธรรมวินัย หรือไม่ถูกต้องตรงตามตัวอักษรในธรรมวินัยตามพระไตรปิฎกเป๊ะๆ แล้วพระสงฆ์ไทยปัจจุบันปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้บริสุทธิ์บริบูรณ์อย่างไรหรือครับเช่นวินัยสงฆ์ “ห้ามพระภิกษุรับเงินและทอง” แต่ทำไมปัจจุบันพระไทยจึงมีบัญชีเงินฝากส่วนตัวเป็น 10 เป็น 100 ล้านได้ หรือว่านี่เป็นการอนุโลมตามความ “จำเป็น” ในโลกปัจจุบันอีกหรือครับ
(2) เอาล่ะเรื่องพระมีบัญชีเงินฝากอนุโลมได้ก็ว่ากันไปครับ แต่ถามว่า ทำไมคณะสงฆ์ไทยจึงตีความพระธรรมวินัยในบางเรื่องที่เกี่ยวกับการเคารพความเท่าเทียมของมนุษย์โดยอนุโลมตามหลักสิทธิมนุษยชนไม่ได้ ทำไมพูดแบบไม่คิดว่า “ธรรมวินัยกับสิทธิมนุษยชนไม่เกี่ยวกัน” มีวินัยสงฆ์ข้อไหนบ้างที่พุทธะบัญญัติขึ้นโดยไม่มีมิติที่เกี่ยวข้องกับบริบทสังคมวัฒนธรรมอินเดียโบราณ ถ้าการบัญญัติวินัยสงฆ์พุทธะให้ความสำคัญกับบริบทวัฒนธรรมอินเดียโบราณได้ แล้วทำไมชาวพุทธในยุคปัจจุบันจะตีความธรรมวินัยหรือวินัยสงฆ์โดยคำนึงถึงบริบทวัฒนธรรมสมัยใหม่ (ในแง่ที่ก้าวหน้ากว่าวัฒนธรรมอินเดียโบราณ) ไม่ได้
สรุป ถ้าคิดไล่เรียงเหตุผลอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่การบวชภิกษุเป็นเรื่องที่ขัดพระธรรมวินัย หรือไม่มีพระธรรมวินัยรองรับให้บวชได้หรอกนะครับ แต่ ”มติ” มหาเถรสมาคม (ซึ่งเป็นพระกลุ่มเล็กๆ) ที่มีผลบังคับทางกฎหมายให้พระเป็นหมื่นเป็นแสนรูปทั่วประเทศต้องปฏิบัติตามนั่นแหละ ที่ไม่มีพระธรรมวินัยรองรับ หรือไม่มีพระธรรมวินัยข้อไหนให้อำนาจไว้เช่นนั้น
ที่สำคัญ “มติ” มหาเถรฯ ที่อยู่บนสมมติฐานที่ว่า “ธรรมวินัยไม่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน” นั่นเอง เป็นการตัดขาดตัวเองและคณะสงฆ์ไทยจากการมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับความยุติธรรมและความก้าวหน้าในความเป็นมนุษย์ในบริบทโลกสมัยใหม่ ซึ่งหมายความว่าเป็นการตัดโอกาสที่พระธรรมวินัยของพุทธะจะก่อเกิดคุณค่าต่อเพื่อนมนุษย์และวิถีสังคมสมัยใหม่ด้วยอย่างน่าเศร้า
คำถามด้วย “เมตตามโนกรรม” คือ ถ้าเป็นเช่นนี้คณะสงฆ์ไทยจะอยู่ในสังคมสมัยใหม่อย่างมีคุณค่าได้อย่างไร และพระธรรมวินัยของพุทธะจะมีปฏิสัมพันธ์กับคุณค่าสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับเสรีภาพ และความเท่าเทียมของมนุษย์อย่างไรครับ ในขณะที่มหาเถรสมาคมชี้ว่าการกระทำของคนอื่นๆ (เช่นการบวชภิกษุณี ฯลฯ) ไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย แต่การที่พระมีฐานันดรศักดิ์ มีบัญชีเงินฝากส่วนตัว มีองค์กรสงฆ์แบบเผด็จการ (ขณะที่ชาวพุทธมักอ้างเสมอว่าสังฆะในสมัยพุทธกาลบมีความเป็นประชาธิปไตย) ล้วนแต่ถูกตั้งคำถามได้ในทางพระธรรมวินัย
ฉะนั้น การที่มหาเถรฯ ซึ่งมีสถานะและอำนาจที่ถูกตั้งคำถามได้ถึงความชอบธรรมทางพระธรรมวินัย แต่ชี้นิ้วให้คนอื่นๆ เคารพพระธรรมวินัย จะต่างอะไรกับอำนาจที่ฉีกรัฐธรรมนูญแล้วสั่งสอนคนอื่นให้เคารพกฎหมาย นี่เป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรไตร่ตรองด้วยโยนิโสมนสิการเป็นอย่างยิ่ง
ใบตองแห้งออนไลน์: ปฏิรูปศาลไหม ?
สปช.กมธ.มีใครคิดปฏิรูปศาลไหม ยังไม่มี เห็นมีแต่แนวคิดเอาศาลออกไปจากการสรรหาองค์กรอิสระ แต่ก็จะเพิ่มอำนาจออกใบเหลืองใบแดง
ศาลถูกวิจารณ์อึงมี่ตั้งแต่รัฐประหารปี"49 เมื่อผู้พิพากษากระโดดข้ามรั้วมาใช้อำนาจ "กวาดล้างคนชั่ว" ยุบพรรค ตัดสิทธิ เป็น คตส. เป็น ส.ส.ร. เป็น สนช. เป็นรัฐมนตรี เป็นอธิบดี โห ก็มีปัญหาสิครับ สังคมจะเชื่อมั่นเมื่อกรรมการเป็นกลาง แต่นี่ออกมาเตะบอลเองทั้งที่ยังเป่าปี๊ดๆ
ศาลก็รู้ดูรัฐประหารครั้งนี้ก็ได้ ศาลสรุปบทเรียนไม่เกี่ยวข้อง รองประธานศาลฎีกายังต้องถอนตัวจากกรรมการคดีพิเศษ
แต่ปัญหาที่เกิดมา 8 ปี เริ่มมีคำถามเรื่องที่มาของอำนาจ ว่าควรยึดโยงประชาชนไหม เรื่องการตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ ทำได้ไหม
ศาลไทยไม่เคยยึดโยงอำนาจเลือกตั้งทั้งก่อนและหลัง 2475 จนรัฐธรรมนูญ 2540 จึงมีคณะกรรมการตุลาการ 2 ใน 15 คนเลือกโดยวุฒิสภา ต่างจากอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมัน ฯลฯ ที่ผู้พิพากษาศาลสูงมาจากการเสนอชื่อและรับรองโดยอำนาจเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ 2540 ยืมมาใช้กับศาลปกครองแบบครึ่งๆ กลางๆ คือ ก.ศป.เสนอชื่อตุลาการศาลปกครองสูงสุดให้วุฒิสภารับรอง
ประธานศาลฎีกามาจากไหน รู้ไหมครับ น้อยคนที่รู้ว่าประธานศาลฎีกามาจากคนสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาได้ที่ 1 ตอนอายุ 25 ปี ผ่านไป 40 กว่าปีถ้าไม่อายุสั้นถ้าไม่ทำตัวเสื่อมเสีย พอใกล้ 70 ก็จะได้เป็นประธานศาลฎีกา เพราะนับอาวุโสตามลำดับที่สอบได้
ศาลยึดการเลื่อนขั้นตามอาวุโสเคร่งครัด ผู้ใหญ่ของสถาบันตุลาการท่านหนึ่งตำหนิว่าไม่ยึดหลักค่าของคนอยู่ที่ผลงาน แต่บางท่านก็อธิบายว่าศาลไม่ต้องการให้แข่งขัน เงินเดือนผู้พิพากษาจึงมีแค่ 5 ชั้น ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ชั้น 3 ประธานศาลฎีกาชั้น 5 รวมเงินประจำตำแหน่งก็แสนกว่าไล่ๆ กัน ต่างกันแค่หมื่นกว่าบาท ศาลต้องการให้ผู้พิพากษามีอิสระ ไม่ต้องเอาใจนาย เพราะยังไงก็ขึ้นเงินเดือนไม่กี่พัน
ถ้าว่าตามหลัก ประธานหรืออธิบดีศาลไม่มีอำนาจสั่ง ผู้พิพากษานะครับ ผู้พิพากษามีอิสระ ไม่มี "นาย" เหมือนระบบราชการอื่น ประธานหรืออธิบดีแค่มีหน้าที่บริหาร เมื่อเป็นองค์คณะก็มีหนึ่งเสียงเท่ากัน แต่ว่าตามจริง ประธานหรืออธิบดีมีอำนาจแจกสำนวน ซ้ำหลังรัฐธรรมนูญ 2550 ยังแก้กฎหมายให้อธิบดีศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแก้คำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้ง ได้
ประชาชนจะตรวจสอบศาลได้อย่างไร ต้องย้อนดูว่าทำไมเราเชื่อถือศาล เราไม่ได้เชื่อเพราะผู้พิพากษาเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่เราเชื่อกระบวนการ เชื่อการพิจารณาโดยเปิดเผย พิสูจน์พยานหลักฐานระหว่างโจทก์จำเลย แล้ว ผู้พิพากษาเขียนคำตัดสิน ให้เหตุผลประกอบข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย เผยแพร่ต่อสาธารณะ ประชาชนจึงต้องวิจารณ์ได้ นั่นคือการตรวจสอบเบื้องต้น
ในเชิงองค์กร จะตรวจสอบศาลอย่างไร มีตัวอย่างน่าสนใจคืออังกฤษซึ่งปฏิรูปในปี 2548 ที่จริงอังกฤษไม่เหมือนเราตั้งแต่แรก ศาลไทยรับผู้ช่วยผู้พิพากษาอายุ 25 โดยศาลจัดสอบเอง เหมือนราชการทั่วไป ผู้สอบต้องจบเนฯ ซึ่งประธานศาลฎีกาก็เป็นนายกเนติบัณฑิตยสภา ผู้พิพากษาใหม่เข้ามาก็จะอบรมให้คิดในจารีตเดียวกัน
อังกฤษแต่เดิมให้ประธานสภาขุนนางตั้งผู้พิพากษาตามคำแนะนำของเนติบัณฑิตยสภาซึ่งมี 4 แห่ง แต่ปัจจุบันให้อำนาจคณะกรรมการอิสระ 15 คน เรียกว่า JAC คัดเลือกทนายเก่ง ชื่อเสียงดี เสนอประธานสภาขุนนาง เขาไม่ให้ศาลคัดผู้พิพากษาเอง และคนใหม่ก็มาพร้อมทัศนะของตัวเองทำให้ศาลเปิดกว้าง
อังกฤษยังตั้งสำนักงานร้องทุกข์ศาลยุติธรรม OJC เป็นองค์กรอิสระรับเรื่องร้องเรียนผู้พิพากษา ไม่ใช่แค่นั้น เขายังตั้งผู้ตรวจการ JACO มาตรวจสอบซ้อนตรวจสอบ รับเรื่องร้องเรียน JAC และ OJC อีกทีหนึ่ง
ไม่ได้บอกว่าเห็นด้วยนะครับ แค่ยกเป็นตุ๊กตาว่าศาลก็ตรวจสอบได้ ไม่ใช่ผมรู้มากหรอก แค่ได้อ่านบทความ "การปรับปรุงศาลยุติธรรม" ของ ศ.ธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี ท่านเขียนไว้เมื่อปี 2551 ตีพิมพ์ในวารสารจุลนิติของสำนักเลขาธิการวุฒิสภา ปี 2556 ใครสนใจหาอ่านดู
ที่มา:ข่าวสดออนไลน์
‘พระสุเทพ’ เบิกความคดีฮิโรยูกิฯ 10 เมษา ไล่ Timeline ระบุออกคำสั่งให้ จนท.ใช้อาวุธป้องกันตนเองหลังชุดดำโจมตี
พระสุเทพ เบิกความไต่สวนการตาย ‘ฮิโรยูกิ’ 10 เม.ย.53 ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ระบุออกคำสั่งให้จนท. ใช้อาวุธป้องกันตนเองหลังชุดดำโจมตี ยันพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยสันติวิธี เพื่อรักษานิติรัฐ แต่นปช. ขยายพื้นที่การชุมนุมสร้างปัญหาจราจรอย่างมาก นัดฟังคำสั่ง 30 เม.ย. 2558
‘ฮิโรยูกิ-วสันต์-ทศชัย’
วานนี้ (19 ธ.ค. 2553) ศาลอาญากรุงเทพใต้มีนัดสืบพยาน สุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ พระสุเทพปภากโรพยานปากสุดท้ายของไต่สวนชันสูตรพลิกศพของฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น ผู้ตายที่ 1 วสันต์ ภู่ทอง ผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ตายที่ 2 และทศชัย เมฆงามฟ้า ผู้ชุมนุม นปช. ผู้ตายที่ 3 จากการถูกยิงเสียชีวิตในคืนวันที่ 10 เม.ย. 2553 จากปฏิบัติการขอคืนพื้นที่การชุมนุม นปช. ของทหารบนถนนดินสอ บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา โดยเป็นการสืบผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
พระสุเทพ เบิกความว่าเมื่อปี 2553 ขณะนั้นตนได้ดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ตนได้เท้าความไปก่อนเกิดการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ในช่วงมี.ค.-พ.ค. ปี 2553 ว่า ตั้งแต่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากการลงมติเลือกของสภาผู้แทนราษฎร ใน 15 ธ.ค. 2551 ก็ถูกกลุ่ม นปช. ประท้วงต่อต้าน ซึ่งได้ก่อเหตุรุนแรงถึงขั้นปิดล้อมรัฐสภาและต่อมา 10-12 เม.ย. ปี 2552 ก็มีการไปชุมนุมปิดล้อม โรงแรมรอยัลคลิฟบีช รีสอร์ท พัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมอาเซียนซัมมิทจนต้องยกเลิกการประชุมไป
จากนั้น นปช.ยังได้ยึดกรุงเทพมหานครโดยการปิดถนนตามแยกต่างๆ และก่อเหตุเอารถโดยสารประจำทาง รถแท็กซี่ มาเผา รัฐบาลจึงต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งในวันที่ประกาศ กลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ยังได้เข้าปิดล้อมกระทรวงมหาดไทย ซึ่งรัฐบาลใช้เป็นสถานที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และได้พยายามเข้าทำร้ายตนและอภิสิทธิ์ แต่เนื่องจากอยู่ในรถประจำตำแหน่ง ซึ่งเป็นรถกันกระสุนจึงไม่ได้รับอันตราย แต่ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและสุธรรม ลิ้มสุวรรณเกษม รองเลาขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสรวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตัวนายกรัฐมนตรีและผู้ชุมนุมยังได้ยึดอาวุธไปและนำไปแสดงบนเวที นปช. ที่ข้างทำเนียบรัฐบาลอีกด้วย
รัฐบาลจึงได้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าคลี่คลายสถานการณ์จน นปช. ยอมยกเลิกการชุมนุมและส่งผู้ชุมนุมกลับภูมิลำเนาในวันที่ 14 เม.ย. 2552 โดยในเหตุการณ์ไม่ได้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิต แต่มีชาวบ้านในชุมชนนางเลิ้งเสียชีวิต 2 รายจากการถูกอาวุธปืนยิงโดยผู้ชุมนุม นปช. หลังจากนั้นแกนนำได้ประกาศให้ประชาชนเข้าใจผิดว่ารัฐบบาลได้สั่งฆ่าประชาชนเสียชีวิตหลายร้อยคนแล้วทหารนำศพไปทิ้งและซ่อนไว้เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อรัฐบาล และมีการปลุกระดมต่างๆ ผ่านทางโทรทัศน์ดาวเทียมและวิทยุชุมชน
ต่อมาในปี 2553 วันที่ 26 ก.พ. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินยึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร แกนนำกลุุ่ม นปช. ก็ได้ประกาศชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ทันที โดยในระหว่างวันที่ 9-11 มี.ค. ได้ประกาศระดมพลทางภาคเหนือและอีสานให้นำรถที่ใช้ในการเกษตรเข้ามาปิดล้อมกรุงเทพฯ
พระสุเทพเบิกความว่า ได้เสนอนายกรัฐมนตรีให้มีการตั้งคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ และให้ประกาศใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติในวันที่ 9 มี.ค. เห็นชอบให้ประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันส่งผลกระทบต่อการรักษาความมั่นคงภายใน ในพื้นที่กรุงเทพฯ บางอำเภอของนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม ฉะเชิงเทรา อยุธยา และให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.)รับผิดชอบป้องกัน ระงับยับยั้งเหตุร้าย โดยนายกฯ ได้มอบหมายให้ตนเป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ผอ.ศอ.รส.) โดยได้ออกประกาศและข้อกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตาม พรบ.ความมั่นคง บังคับใช้เป็นห้วงเวลา 4 ห้วงเวลา ห้วงแรก 11-23 มี.ค. ห้วงที่สอง 24-30 มี.ค. ห้วงที่สาม 31 มี.ค. - 7 เม.ย. ห้วงที่สี่ 8 – 20 เม.ย. โดย ศอ.รส.ได้ประกาศว่าการปฏิบัติจะเป็นไปตามกฎหมาย สิทธิมนุษยชน และเป็นไปตามหลักสากล ควบคุมการชุมนุมจากเบาไปหาหนัก
ช่วงดังกล่าว นปช. ได้มีการก่อเหตุร้ายแรงขนานไปกับการตั้งเวทีปราศรัย ในวันที่ 15 มี.ค. มีการยกกำลังไปที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ และยิงเอ็ม 79 เข้าไป ทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บ 3 นาย วันที่ 16 มี.ค. ไปเทเลือดที่หน้าทำเนียบรัฐบาลและหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และวันเดียวกันได้มีการยิงเอ้ม 79 ยิงบ้านประชาชนที่ซอยลาดพร้าวซึ่งสันนิษฐานว่าตั้งใจยิงบ้านของอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด
20 มี.ค. มีการขว้างระเบิดเอ็ม 67 ใส่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และยิงจรวดอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหมแต่ภายหลังได้ตามจับกุมตัวได้โดยได้สารภาพว่าถูกจ้างมาให้ยิงใส่วัดพระแก้ว 23 มี.ค. รัฐบาลได้จัดประชุม ครม.กันที่กระทรวงสาธารณสุข นปช. ได้ยิงเอ็ม 79 ใส่ 2 นัด
26 มี.ค. มีการขว้างระเบิดเอ็ม 67 เข้าไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด 27 มี.ค. มีการยิงปืนเอเค-47 ใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาดอกคำใต้ จ.พะเยา, ขว้างระเบิดเอ็ม67 ใส่สถานีโทรศัน์ช่อง 5 พญาไท และ เอ็ม 79 ใส่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีทำให้มีผู้บาดเจ็บ 3 คน 28 มี.ค. ยิงเอ็ม 79 เข้าไปที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ศอ.รส.เป็นจำนวน 2 นัด ทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บ 4 นาย บาดเจ็บสาหัส 1 นาย และมีการขว้างระเบิด ชเอ็ม 67 เข้าไปที่บ้นของบรรหาร ศิลปอาชา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน
ซึ่งรัฐบาลก็ได้พยายามใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหา มีการจัดเจรจาระหว่างแกนนำผู้ชุมนุมประกอบด้วย วีระ มุสิกพงษ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ และเหวง โตจิราการ กับฝ่ายรัฐบาลซึ่งมีอภิสิธิ์เป็นหัวหน้าคณะเจรจา โดยการเจรจาครั้งนี้ได้ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ทั้ง 2 วัน แต่เห็นได้ชัดว่าแกนนำผู้ชุมนุมที่เข้าร่วมการเจรจาไม่สามารถตัดสินใจเองได้ต้องรอให้ทักษิณออกคำสั่งจึงทำให้การเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ ภายหลังการเจรจาทาง นปช. ก็ได้ก่อเหตุรุนแรงต่อไปเช่นตัวอย่างที่ได้กล่าวไป
จนกระทั่งวันที่ 7 เม.ย. นปช. นำโดยอริสมันต์ พงษ์เรืองรองได้บุกไปที่รัฐสภาซึ่งกำลังมีการประชุมอยู่ และพังประตูรัฐสภาเข้าไปตามล่าจับกุมตัวตนและอภิสิทธิ์ ทำร้ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีและยึดอาวุธทั้งปืนพก 9 มม. และเอ็ม 16 ไป ทำให้การประชุมต้องยกเลิก และตนต้องขึ้นเฮลิคอปเตอร์หนีออกไป
จากเหตุการดังกล่าวในตอนค่ำวันเดียวกันโดยความเห็นชอบของ ครม. นายกรัฐมนตรีได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพฯ และบางอำเภอในจังหวัดดังต่อไปนี้ได้แก่ นนทบุรี, สมุทรปราการ ปทุมธานี, นครปฐม และอยุธยา ซึ่งรัฐบาลก็ได้ประกาศชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ
หลังจากประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว ได้ตั้ง ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) โดยนายกฯได้แต่งตั้งให้ตนเป็น ผอ.ศอฉ. และเป็นหัวหน้าควบคุมปฏิบัติการ และออกประกาศการโอนอำนาจของรัฐมนตรีให้นายกฯ และให้ตนใช้อำนาจตามประกาศนี้แทนนายกรัฐมนตรีและได้ออกข้อห้ามตามความในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หลายข้อ เช่น ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน หรือยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ห้ามนำเสนอข่าวที่จะทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเข้าใจผิด ส่งผลต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดี, ห้ามใช้เส้นทางคมนาคม หรือห้ามเข้าหรือใช้อาคาร และให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ในการจับกุมตัวผู้กระทำความผิด
ศอฉ. ดำเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการ โดยมีทั้งหมด 27 คน ประกอบด้วยหัวหน้างานส่วนราชการต่างๆ ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ พนักงานอัยการสูงสุด กฤษฎีกา อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ปลัดกระทรวงต่างๆ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทั้งสามเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ในฐานะผอ.ศอฉ.และผู้กำกับการปฏิบัติการได้ออกคำสั่งปฏิบัติการ ฉบับที่ 1/2553 ศอฉ. ลงวันที่ 7 เม.ย. ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับวิธีการใช้กำลังควบคุมฝูงชนและได้กำหนดวิธีการเอาไว้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติในการใช้กำลังทางกายภาพโดยได้จัดทำภาคผนวก ค. ว่าด้วกฎการใช้กำลังประกอบคำสั่ง 1/2553 เป็นการเฉพาะ
จากนั้นก็ได้พยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยสันติวิธี มีการส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปเจรจากับแกนนำเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนในการใช้รถใช้ถนนของประชาชน เมื่อฝ่าย นปช. ได้ขยายพื้นที่การชุมนุมจากเดิมที่ตั้งเวทีที่สะพานผ่านฟ้าตั้งแต่ 14 มี.ค. เป็นต้นมาจนถึง 3 เม.ย. ได้ไปตั้งเวทีใหม่ที่แยกราชประสงค์อีกที่หนึ่งจึงทำให้เกิดปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ อย่างมาก
พระสุเทพ เบิความด้วยว่า ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้พิจารณามีคำสั่งให้ณัฐวุฒิและจตุพรซึ่งเป็นแกนนำยกเลิกการกระทำที่ทำให้ประชาชนกรงุเทพฯเดือดร้อน ซึ่งศาลแพ่งก็ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 5 เม.ย. ว่าการชุมนุมของ นปช. ไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐบาลสามารถบังคับใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีคำสั่งออกมาดังกล่าวแต่ นปช. ก็ยังไม่ยกเลิกการชุมนุมควบคู่ไปกับการก่อเหตุร้ายต่อไป
ในวันที่ 9 เม.ย. ศอฉ. ได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ของศอฉ. ซึ่งประกอบด้วยตำรวจและทหารไปยังสถานีดาวเทียมไทยคมที่ลาดปลาเค้า เนื่องจากต้องการระงับการส่งสัญญาณการถ่ายทอดของสถานีโทรทัศน์ People Channel หรือ PTV ศอฉ.ได้มีคำสั่งให้ระงับการออกอากาศแล้ว แต่กลุ่ม นปช. ได้ระดมคนไปกดดันบังคับให้สถานีดาวเทียมไทยคมเชื่อมต่อสัญญาณออกอากาศใหม่ ทางศอฉ. จึงจำเป็นต้องจัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมรักษาความปลอดภัยของสถานีดาวเทียมและเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามประกาศของ ศอฉ. ซึ่งเป็นการรักษาไว้ซึ่งอำนาจนิติรัฐ
ปรากฎว่าตั้งแต่ 10.00 น. นปช.เกือบ 20,000 คน นำโดยณัฐวุฒิ ได้บุกไปที่ไทยคม 2 ไล่ทุบตีทำร้ายเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ได้พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ ยอมถอนกำลังออกจากสถานีดาวเทียม โดยเจ้าหน้าที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บเป็นจำนวนมากและได้ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ไปจำนวนหนึ่งด้วยและต่อสัญญาณ PTV ใหม่ ซึ่งได้ทำระหว่างที่มีการทำร้ายและยึดอาวุธเจ้าหน้าที่
ต่อมาในวันที่ 10 เม.ย. ศอฉ.ได้สั่งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจและพลเรือนสนธิกำลังกันขอคืนพื้นที่การจราจรถนนราชดำเนินในส่วนเชื่อมต่อสะพานพระราม 8 และสะพานพระปิ่นเกล้า เพราะว่าเมื่อ นปช. ได้ย้ายเวทีไปที่ราชประสงค์แต่ยังคงยึดถนนราชดำเนินทั้งสายเอาไว้ทำให้ประชาชนฝั่งกรุงเทพฯและฝั่งธนบุรีสัญจรไปมาด้วยความยากลำบาก ศอฉ. จึงจำเป็นต้องขอคืนพื้นที่บางส่วนของถนนราชดำเนินส่วนเชื่อมต่อสะพานพระราม 8 และสะพานพระปิ่นเกล้าเพื่อให้การจราจรคล่องตัวเป็นไปโดยสะดวก โดยไม่ได้เจตนาที่จะเข้าไปยึดหรือรื้อเวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศแต่อย่างใด
การปฏิบัติการเริ่มตั้งแต่ 13.00 น.เศษ ก็ได้มีการผลักดันกันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม นปช. ซึ่งมีภาพถ่ายที่เห็นได้ชัดที่สะพานมัฆวานรังสรรค์และสะพานชมัยมรุเชฐ โดยไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น
18.00 น. ศอฉ. จึงได้มีคำสั่งการทางวิทยุให้ทุกหน่วยหยุดปฏิบัติการเนื่องจากเห็นว่าเข้าสุ่ห้วงเวลากลางคืนแล้ว และให้รักษาแนวในขณะนั้น คำสั่งดังกล่าวลงวันที่ 10 เม.ย. เวลา 18.15 น. ปรากฎว่าหลังจากนั้นได้มีกองกำลังของฝ่าย นปช. ใช้ความรุนแรงโดยใช้อาวุธยิงเจ้าหน้าที่และปิดล้อมด้านหลังของเจ้าหน้าที่ ศอฉ. จึงได้ออกคำสั่งให้ถอนตัวออกจากพื้นที่ปฏิบัติการตั้งแต่เวลา 20.20 น. เป็นต้นไป แต่ว่าได้มีกองกำลังติดอาวุธซึ่งสื่อมวลชนเรียกว่ากองกำลังชายชุดดำ ใช้อาวุธสงครามทั้งเอ็ม 16 อาก้า เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ระเบิดขว้างสังหารเอ็ม 67 ยิงใส่เจ้าหน้าที่และประชาชนทั่วไป ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 5 นาย ได้แก่ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ส.อ.อนุพนธ์ ส.ท.อนุพงษ์ ส.ท.ภูริวัฒน์ และพลทหารสิงหา นอกจากนั้นยังีมเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 800 กว่านาย ในจำนวนนี้มี พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการ กองพลที่ 2 รักษาพระองค์ถูกยิงขาหักทั้ง 2 ข้าง และมีนายทหารอีกจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีพลเรือนเสียชีวิต 20 คน และบาดเจ้บอีกจำนวนมาก
จนกระทั่ง 23.00 น. การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ศอฉ. และแกนนำของฝ่าย นปช. ได้ตกลงที่จะยุติการเผชิญหน้าด้วยกำลัง ศอฉ. จึงสั่งถอนกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกจากพื้นที่
ในการสั่งการขอคืนพื้นที่จราจรได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้เฉพาะโล่ กระบอง รถฉีดน้ำ แก๊ซน้ำตาชนิดขว้าง และปืนลูกซองที่ใช้กระสุนยาง อนุญาตให้แต่ละหน่วยมีปืนเล็กยาวประจำกายเอ็ม 16 ไม่เกินหน่วยละ 2 นาย แต่ผู้ใช้ต้องเป็นหัวหน้าหน่วยเท่านั้นและใช้ในกรณีป้องกันชีวิตของเจ้าหน้าที่และประชาชน และมีภาพแสดงการใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนของเจ้าหน้าที่ ขณะเคลื่อนกำลังก็มีการชี้แจงให้ประชาชนและผู้ชุมนุมทราบโดยใช้เครื่องขยายเสียงไปตลอดเส้นทาง และมีภาพของทหารตั้งโล่และกระบองเพื่อป้องกันตนเอง ขณะที่ฝ่ายผู้ชุมนุมเริ่มโจมตี และมีเจ้าหน้าที่ประกาศให้ผู้ชุมนุมเข้าใจถึงการใช้ 7 ขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก และมีภาพของเจา้หน้าที่ทหารนำปืนลูกซองสำหรับยิงกระสุนยางแทรกมาในแนวทหารหลังจากถูกผู้ชุมนุม นปช. ทำร้ายอย่างหนัก
ในคำสั่งปฏิบัติการนั้นได้กำหนดขั้นตอนการตัดสินใจในการสั่งงานเอาไว้ชัดเจนว่า ผู้บัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่สามารถสั่งการตัดสินใจตามสถานการณ์ได้ ถ้าหากจะต้องใช้แก๊ซน้ำตาหรือปืนลูกซองกระสุนยางต้องทำการขออนุญาตกับทาง ศอฉ. ก่อน แต่ในเหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นเร็วมากจึงไม่ได้มีการขออนุญาตมาทาง ศอฉ.
การขออนุญาตการใช้อาวุธปืนและกระสุนปืนจริงเกิดขึ้นเมื่อถูกโจมตีด้วยอาวุธสงครามจากกองกำลังชายชุดดำแล้วมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตแล้ว 5 นาย บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงขออนญาตใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเองและประชาชนในขณะที่มีการถอนกำลังและลำเลียงผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล จึงได้มีการขออนุญาตจาก ศอฉ. และได้อนุญาตตามหลักฐานเอกสาร กห. 0407.45/59 ซึ่งเป็นคำสั่งที่อนุมัติไปทางวิทยุในเวลา 20.30 น. ลงวันที่ 10 เม.ย.2553
ทั้งนี้ได้กำหนดการใช้อาวุธด้วยว่า 1. ใช้ยิงเมื่อปรากฎภัยคุกคามอย่างชัดเจนหรือกลุ่มติดอาวุธคุกคามต่อชีวิตเจ้าหน้าที่หรือประชาชน 2. การใช้อาวุธให้ใช้โดยสมควรแก่เหตุไม่มุ่งประสงค์ต่อชีวิตของเป้าหมาย ให้เล็งส่วนล่างของร่างกายตั้งแต่เข่าลงมา เเพื่อยับยั้งกลุ่มติดอาวุธที่คุกคามเจ้าหน้าที่และประชาชน ไม่ใช้อาวุธต่อเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงและเด็ก
ในการประชุมหรือการออกคำสั่งของ ศอฉ. ไม่มีนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมด้วย มีตนที่เป็นผู้สั่งการกับเจ้าหน้าที่และคณะกรรมการ ศอฉ. อื่น และไม่ได้รายงานระเอียดลงไปในแต่ละคำสั่ง เพียงแต่รายงานว่ามีเจ้าหน้าที่หรือพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บกี่คน
พระสุเทพ เบิกความด้วยว่า ไม่ทราบรายละเอียดว่าใครเสียชีวิตอย่างไรบ้างนอกจากกรณีของฮิโรยูกิจากรายงานของพล.ท.อัมพร จารุจินดา ว่าฮิโรยูกิไม่ได้เสียชีวิตจากกระสุนปืนเอ็ม 16 แต่เสียชีิวิตจากกระสุนปืนขนาด 7.62 มม. ซึ่งเป็นกระสุนปืนอาก้า แต่ปืนรุ่นนี้ไม่มีใช้ในหน่วยทหาร
การซักถามของทนายต่อสุเทพเริ่มขึ้นในการสืบพยานช่วงบ่าย โดย พระสุเทพ อธิบายถึงการที่มอบอำนาจของนายกรัฐมนตรีว่า เป็นการออกคำสั่งแต่งตั้งผู้อำนวยการและกรรมการ ศอฉ. ตาม พรก.ฉุกเฉิน และมอบอำนาจหน้าที่ที่โอนจากรัฐมนตรีมาให้กับนายกฯ จากนั้นนายกฯ จึงมอบให้ตนซึ่งเป็นผู้อำนวยการและผู้กำกับการปฏิบัติการใช้อำนาจดังกล่าวอีกที
พระสุเทพ เบิกความว่า ในวันที่ 10 เม.ย. ได้ออกคำสั่งในฐานะ ผอ.ศอฉ.ให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร และพลเรือนร่วมกันเข้าขอคืนพื้นที่เพื่อแก้ไขสถานการณ์จราจรบนถนนราชดำเนิน ซึ่งในคำสั่งแต่งตั้งส่วนหนึ่งของคำสั่งให้ข้าราชการ ทหารตำรวจ พลเรือนปฏิบัติหน้าที่ภายใต้การบังคับบัญชาของหัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณืฉุกเฉิน ต่อมาคำสั่งพิเศษที่ 2/2553 นายกฯ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ตนเป็นผอ.ศอฉ. และหัวหน้าผู้รับผิดชอบและผู้กำกับการปฏิบัติการในเขตท้องที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งตนก็ดำรงตำแหน่ง และมีอำนาจในการสั่งการและเป็นผู้ลงนามในคำสั่งให้ทหารตำรวจเข้าปฏิบัติการขอคืนพื้นที่
ในวันที่ 10 เม.ย. การขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนินโดยมีการส่งกำลังเจ้าหน้าที่ผ่านถ.ตะนาวและดินสอ ผ่านสะพานวันชาติ ดงันั้นกำลังทหารก็ต้องยึดพื้นที่ตั้งแต่บริเวณเชิงสะพานวันชาติไปตามถ.ดินสอจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ทนายได้ถามว่าในการประชุมดูแลและการกำกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ศอฉ.และนายกฯ ร่วมอยู่ด้วยตลอดเวลาใช่หรือไม่ พระสุเทพได้ตอบว่าในการประชุมมีตนและคณะกรรมการทั้งหมดอยู่ในที่ประชุมแต่นายกฯ ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยแต่ว่าบางครั้งนายกฯก็ได้แวะเข้าไปในที่ประชุมเพื่อสอบถามสถานการณ์ราว 1-2 ครั้ง ซึ่งคณะกรรมการได้อยู๋ในห้องประชุมตั้งแต่เช้าวันที่ 10 จนถึงราวเที่ยงคืนของวันเดียวกัน ซึ่งได้มีการถอนกำลังออกจากพื้นที่หมดแล้วถึงเลิกการประชุม
การติดตามการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหารจะมีการรายงานเป็นระยะแก่คณะกรรมการและในที่ประชุมมีโทรทัศน์รับการถ่ายทอดภาพเหตุการณ์บางจุดจากสื่อมวลชนระหว่างที่มีการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่
การปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องของฝ่ายยุทธการแล้วก็รายงานตรงขอตนซึ่งเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ แต่นายกฯ ไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบ
ทนายได้ถามสุเทพว่าทราบถึงเรื่องที่มีการปะทะบนถ.ราชดำเนิน บริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการระหว่างผู้ชุมนุมและทหารในช่วงบ่ายวันที่ 10 เม.ย. จนมีเหตุเจ้าหน้าที่ทหารยิงผู้ชุมนุมเสียชีวิตไป 1 รายหรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าเหตุการณ์นี้เห็นภาพจากโทรทัศน์ชัดเจนว่าตั้งแต่บริเวณตั้งแต่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ สะพานมัฆวานฯ จนถึงสี่แยก จปร. ตลอดบ่ายมีการผลักดันไปมาระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมไม่มีการยิงกันปรากฎ กรณีผู้เสียชีวิตที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการทราบเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 2-3 วัน และตนไม่เห็นว่ามีข่าวชายถูกยิงเสียชีวิต 1 ราย ที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ
ในการปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ใช้กำลังทหารเป็นหลัก แต่มีกำลังของตำรวจประกอบอยู่ด้วย และมีการกำหนดให้สนธิกำลังกันทั้ง 3 เหล่าทัพ กองบัญชาการตำรวจแห่งชาติและกองกำลังพลเรือนที่ขอมาช่วยปฏิบัติงานใน ศอฉ. ให้ทำงานร่วมกัน ในการออกคำสั่งได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชน โล่กระบอง รถฉีดน้ำ แก๊ซน้ำตาชนิดขว้างและปืนลูกซองกระสุนยาง โดยอนุญาตให้แต่ละหน่วยมีเอ็ม 16 แต่ในส่วนของรถลำเลียงพล ตนทราบว่าเมื่อกำลังพลเคลื่อนย้ายมาก็ต้องเอารถลำเลียงพลซึ่งมีอาวุธปืนประจำรถติดอยู่มาด้วย แต่ไม่ได้มีคำสั่งให้นำรถลำเลียงพลดังกล่าวมาใช้ในการขอคืนพื้นที่
ในการขอคืนพื้นที่บนถ.ดินสอ ช่วงกลางวันจนถึงก่อนเย็นฝ่ายเจ้าหน้าที่ยึดพื้นที่ถนนดินสอหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาจนถึงสะพานวันชาติส่วนฝั่งผู้ชุมนุมอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยการขอคืนพื้นที่นั้นเนื่องจากผู้ชุมนุมได้ยึดถ.ราชดำเนินตลอดสายตั้งแต่สนามหลวงถึงลานพระบรมรูปทรงม้า แต่เมื่อผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์อีกแห่ง จึงเห็นว่าควรคืนถนนราชดำเนินบางส่วนให้ประชาชนได้ใช้และให้ไปรวมตัวอยู่ที่เวทีสะพานผ่านฟ้าเท่านั้นไม่ใช้ยึดถ.ราชดำเนินทั้งหมด
ในการขอคืนพื้นที่ได้ใช้วิธีการผลักดันโดยใช้รถกระจายเสียงประกาศให้ไปรวมตัวกันที่สะพานผ่านฟ้าและคืนพื้นผิวการจราจรที่เหลือเพื่อรองรับการจราจรจากสะพานพระราม 8 และพระปิ่นเกล้า การใช้โล่กระบองใช้เมื่อมีการประชาชนไม่ยอมไปแล้วแกนนำปลุกระดมให้มาสู้กับทหารมีการผลักดันกัน
ทนายได้ถามว่ามีการใช้เฮลิคอปเตอร์โปรยแก๊ซน้ำตาในพื้นที่หน้าถ.ดินสอด้วยใช่หรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าได้สั่งให้ใช้เฮลิคอปเตอร์โปรยใบปลิวเพื่อให้ประชาชนหยุดทำร้ายเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อประชาชนใช้ความรุนแรงขึ้นเจ้าหน้าที่บนเฮลิคอปเตอร์จึงได้ใช้แก๊ซน้ำตาหย่อนลงไปเพื่อให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่แยกห่างออกจากกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการขออนุญาตแล้วและตนก็ได้อนุญาต ก่อนมีการใช้แก๊ซน้ำตาโปรยลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ก็ได้ใช้รถฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุมหลายครั้งในวันนั้นแล้ว
หน่วยพลเรือนที่ร่วมสนธิกำลังปฏิบัติการคือ เทศกิจของกรุงเทพฯ ราว 1,000 กว่านาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของจังหวัดนนทบุรี แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธปืนและกระสุนจริง มีเพียงเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเท่านั้นที่สามารถใช้อาวุธและกระสุนจริงตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาตไว้เท่านั้น
ทนายได้ถามว่าตามหลักสากลได้ห้ามสลายการชุมนุมหรือปฏิบัติการใดๆ กับผู้ชุมนุมตอนกลางคืนใช่หรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าในเวลา 18.15 ได้มีการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติการและรักษาแนวพื้นที่ตั้งอยู่ในเวลานั้น
ทนายถามว่าในคำสั่ง 0407.45/59 นั้นได้มีการอนุญาตให้ใช้อาวุธปืนและกระสุนจริงด้วยใช่หรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าในวันนั้นได้มีการออกคำสั่งขึ้นตามสถานการณ์ เช่น ใน 18.15 ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติการ แต่เมื่อมีกองกำลังชายชุดดำใช้อาวุธสงครามทำร้าย เจ้าหน้าที่ไม่สามารถตอบโต้ได้เพราะกองกำลังชายชุดดำได้ใช้ผู้ชุมนุมเป็นโล่มนุษย์จึงได้สั่งให้ถอนกำลังออกเวลา 20.20 น. แต่เมื่อถอนกำลังออกแล้วเจ้าหน้าที่ยังถูกโอบล้อมและถูกโจมตีด้วยอาวุธปืน จึงออกคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเองได้ในเวลา 20.30 น. หลังจากที่มีเจ้าหน้าที่ทั้ง 5 นาย และมีประชาชนเสียชีวิตแล้ว
ทนายถามว่าในการออกคำสั่งให้ใช้อาวุธปืนและกระสุนจริงเพื่อป้องกันตนเองได้นั้นต้องยิงตั้งแต่ระดับพื้นถึงระดับเข่าใช่หรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าในคำสั่ง 1/2553 ได้มีการออกคำสั่งไว้เช่นนั้น แต่คำสั่งเฉพาะเหตุการณ์ของวันที่ 10 เม.ย. นั้นได้มีการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเองและประชาชนบริสุทธิ์ได้โดยมีหลัการ 2 ข้อ คือ 1. ใช้เมื่อเห็นภัยคุกคามชัดเจน หรือเมื่อกลุ่มติดอาวุธมีท่าทีคุกคามต่อเจ้าหน้าที่หรือประชาชน 2. ใช้ให้สมควรแก่เหตุไม่ประสงค์ต่อชีวิตของเป้าหมาย
ทนายถามสุเทพต่อว่าในวันนั้นทราบข่าวว่ามีนักข่าวถูกยิงที่หน้าอกที่ขั้วหัวใจด้วยกระสุนนัดเดียวในขณะนั้นนักข่าวกำลังถือกล้องถ่ายทำข่าวหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาหรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าทราบข่าวว่ามีนักข่าวญี่ปุ่นถูกยิงเสียชีวิต แต่ข่าวไม่ได้มีรายงานถึงรายละเอียด ทนายได้ถามว่าพระสุเทพไม่เคยสั่งให้ทหารใช้อาวุธปืนยิงผู้ชุมนุมใช่หรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าไม่เคยมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ชุมนุม
จากนั้นทนายถามว่าอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกฯ ไม่เคยสอบถามว่าเหตุการณ์ตายเกิดเพราะใครอย่างไร และไม่เคยบอกห้ามให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนและกระสุนจริงใช่หรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าหลังเกิดเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. ได้ให้ดีเอสไอสอบสวนหาสาเหตุการตายของผู้เสียชีวิตทุกราย ทนายถามต่อว่าในวันที่ 10 ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงเย็น อภิสิทธิ์ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมด้วยและไม่ได้สอบถามถึงเหตุการณ์เมื่อมีข่าวการยิงและเสียชีวิตของประชาชนและทหารกับสุเทพหรือคณะกรรมการ ศอฉ. เลยใช่หรือไม่ พระสุเทพตอบว่าเมื่ออภิสิทธิ์ได้สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเป็นผู้รายงานให้อภิสิทธิ์ทราบเองว่าในการขอคืนพื้นที่เกิดเหตุการณ์อะไรบ้างและมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และการสั่งถอนกำลังในเวลา 23.00 น.
ทนายถามต่อว่าอภิสิทธิ์ไม่ได้สั่งการใดๆ หรือมีการสั่งห้ามใช้อาวุธใช่หรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าไม่ได้สั่งเพราะตนสั่งไปก่อนแล้วว่าห้ามใช้อาวุธกับผู้ชุมนุม แต่ให้ใช้กับกองกำลังติดอาวุธที่ทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนเท่านั้น
ทนายถามต่อว่าในคืนนั้นก่อนที่นายฮิโรยูกิจะถูกยิงเสียชีวิตได้มีการยิงผู้ชุมนุมที่ถือธงชาติและไม่มีอาวุธเข้าที่ศีรษะก่อนแล้วใช่หรือไม่ พระสุเทพตอบว่าไม่ได้มีการรายงานใครถูกยิงก่อนหลังเนื่องจากเหตุการณ์ยังชุลมุนอยู่ เพียงแต่มีรายงานว่ามีทหารและประชาชนถูกยิงกี่รายและเสียชีวิตกี่ราย แม้กระทั่งชื่อผู้เสียชีวิตก็ยังไม่ได้มีการรายงานในคืนนั้น และข่าวการเสียชีวิตทั้ง 3 ในทันทีทั้งในและต่างประเทศตนได้เห็นในภายหลัง ซึ่งที่ตนเห็นทั้งฮิโรยูกิซึ่งเป็นช่างภาพและวสันต์ที่ถือธงชาติทั้งสองคนไม่ได้ถืออาวุธ
ทนายได้นำภาพถ่ายทหารที่ถืออาวุธปืนในสำนวนให้สุเทพดูแล้วถามว่าทหารหลายนายที่ถืออาวุธทั้งหมดในภาพไม่ได้เป็นระดับหัวหน้าหน่วยใช่หรือไม่ และมีภาพทหารกำลังใช้อาวุธปืนยิงรวมถึงมีภาพทหารบนรถลำเลียงพลด้วย พระสุเทพ ตอบว่าไม่ทราบว่าภาพดังกล่าวถูกถ่ายที่ไหนและเมื่อไหร่ เพราะตัวตนเองอยู่ที่ ศอฉ. จึงไม่สามารถระบุได้
ทนายถามว่าทราบถึงรายงานข่าวว่ามีการเก็บกระสุนปืนจริงและปลอกกระสุนใช้แล้วจากถนนดินสอนำมาแถลงข่าวด้วย พระสุเทพตอบว่าไม่ทราบ ทนายถามต่อว่าทราบถึงมีเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนและกระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมหรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าไม่ทราบ แต่ทราบว่ามีกองกำลังชายชุดดำใช้อาวุธปืนยิงและขว้างระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ทหาร ทนายถามอีกว่าทหารได้ใช้อาวุธปืนและกระสุนจริงยิงโต้ตอบกองกำลังดังกล่าวหรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่า ได้รับรายงานว่าทหารไม่สามารถยิงโต้ตอบได้เพราะใช้ผู้ชุมนุมเป็นโล่มนุษย์ แต่ได้ใช้อาวุธปืนและกระสุนปืนจริงในตอนที่ถอนกำลัง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการขออนุญาตใช้อาวุธปืนมาที่ตน แต่จะยิงไปทางไหนบ้างตนไม่ทราบ
ทนายถามว่ามีรายงานหรือไม่ว่ามีการเบิกกระสุนปืนจริง ระเบิดเอ็ม 79 และระเบิดขว้างเอ็ม 67จากรมสรรพาวุธไปด้วย พระสุเทพ ตอบว่ามีคำสั่งห้ามเด็ดขาดห้ามใช้อาวุธสงครามอย่างอื่นนอกจากอาวุธปืนประจำตัวทหารเท่านั้น ไม่มีระเบิดเอ็ม 67 และเอ็ม 79 และตนไม่ทราบว่ามีการเบิกกระสุนหรือไม่ เพราะไม่จำเป็นต้องมีการรายงานมาที่ตนว่าได้เบิกกระสุนไปกี่นัด ซึ่งตนแค่สั่งการในเรื่องหลักการเท่านั้นว่าต้องใช้อาวุธในกรณีไหนบ้างเท่านั้น
ทนายถามว่าหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 2553 แล้วได้มีการสั่งการให้ตำรวจและดีเอสไอสืบสวนสอบสวนใช่หรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าใช่และมีการสรุปสำนวนส่งฟ้องศาลมีผู้ต้องหา 19 คน ปัจจุบันอยู่ในระหว่างพิจารณาคดีของศาล ทนายถามอีกว่าเคยทราบรายงานการตรวจพิสูจน์สถานที่เกิดเหตุของตำรวจที่พบร่องรอยกระสุนปืนตามต้นไม้ เสาไฟฟ้าผนังปูนของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่มีทิศการยิงมาจากสะพานวันชาติที่ทหารอยู่ พระสุเทพ ตอบว่าไม่เคยเห็นรายงานดังกล่าว และไม่ทราบถึงผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุ
ทนายถามสุเทพเกี่ยวกับรายงานที่ใช้อ้างในตอนให้การและให้ไว้กับพนักงานสอบสวนถึงชายชุดดำที่อยู่ในรถตู้ มีแต่เพียงภาพถ่ายรถตู้แต่ไม่ได้มองเห็นว่ามีชายชุดดำในรถตู้หรือไม่ ใช่หรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าภาพเหล่านี้เป็นเอกสารที่ได้จากดีเอสไอซึ่งได้รวบรวมการสอบสวนปรากฎเป็นสำนวน และได้งข้อหาก่อการร้ายกับผู้ต้องหา 26 คน ซึ่งตนได้อ้างตามการสอบสวนของดีเอสไอทุกอย่าง รวมทั้งภาพรถตู้ที่ถูกบันทึกด้วยกล้องวงจรปิดที่แยกสี่กั๊กในคืนวันที่ 10 เม.ย. ในเวลา 20.00 น. เศษ ภาพรถตู้มี 4 ภาพทั้งภาพตอนขาเข้าและขาออก และมีอีก 1 ภาพเป็นภาพที่มีคนใช้เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 อยู่ข้างรถตู้ สวมหมวกปิดหน้าและมีผ้าผูกแขนสีแดง ซึ่งดีเอสไอระบุว่าเป็นกองกำลังชายชุดดำที่ยิงเจ้าหน้าที่และประชาชนในวันนั้น แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าในภาพถ่ายรถตู้นั้นคนในรถเป็นใคร ซึ่งดีเอสไอรายงานแก่ตนว่าเวลา 20.19น. เป็นภาพถ่ายรถตู้ขับเข้าไป และ21.00 น.เป็นเวลาที่รถตู้ขับกลับออกไป ส่วนรถตู้ขับไปส่งที่ใดบ้างนั้นไม่มีรายงาน
ทนายถามว่าเจ้าหนา้ที่ทหารถูกชายชุดดำยิงตอนเวลาเท่าใด พระสุเทพ ตอบว่าได้รับรายงานว่าเกิดเหตุในเวลาราว 2 ทุ่ม แต่ก่อนหน้านั้นก็มีการยิงใส่เจ้าหน้าที่อยู่ตลอด ซึ่งก็ได้มีการอนุญาตใช้อาวุธตอนราว 2 ทุ่มเศษ
ทนายถามต่อว่าหลังเหตุการณ์ยังมีการชุมนุมต่อใช่หรือไม่ แล้วทหารได้กลับที่ตั้ง พระสุเทพ ตอบว่าราว 23.00น. แกนนำได้ประกาศให้ยุติการใช้กำลังต่อเจ้าหน้าที่ทหาร ทหารจึงได้ถอนกำลังกลับที่ตั้ง
ทนายถามว่าพระสุเทพเกี่ยวกับจำนวนกระสุนจริงที่ใช้ จำนวนกองกำลังและมีหน่วยใดบางในปฏิบัติการ และจำนวนผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้หรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าไม่ได้รับรายงานและไม่ได้มีการสั่งให้รายงาน ในส่วนของจำนวนผู้เสียชีวิตตนได้รับรายงานในวันรุ่งขึ้นจากกระทรวงสาธารณสุข
ทนายถามว่าไม่เคยมีการรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทางการญี่ปุ่นใช่หรือไม่ พระสุเทพ ตอบว่าเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เคยเข้าพบอภิสิทธิ์ และตนเพื่อขอให้สืบสวนหาตัวผู้ยิงนายฮิโรยูกิ แต่ไม่เคยชี้แจงให้ทราบว่าใครเป็นผู้ยิงฮิโรยูกิ เพราะคดียังอยู่ระหว่างการสอบสวน ในสมัยที่พยานอยู่ในคณะรัฐบาล ดีเอสไอได้ทำการสอบสวนว่าวันที่ 10 เม.ย. มีการเสียชีวิตใดบ้างทั้งที่เกิดจากผู้ก่อการร้ายชายชุดดำ และเจ้าหน้าที่ ซึ่งเคยเร่งรัดให้ดีเอสไอสืบสวนสอบสวน แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับรายงานที่สมบูรณ์
เมื่อการสืบพยานเสร็จสิ้นศาลได้นัดฟังคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพของผู้เสียชีวิตทั้ง 3 คน ในวันที่ 30 เม.ย. 2558 โดยศาลให้เหตุผลว่าช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. ศาลมีคดีที่ต้องพิจารณาเป็นจำนวนมากและในคดีนี้มีข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาเป็นจำนวนมาก
ทีมชาติไทยชนะเลิศฟุตบอลเอเอฟเอฟซูซูกิคัพ - 'ชาริล-ชนาธิป' ช่วยชูชีพ
ฟุตบอลนัดชิงเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ นัดที่สอง ทีมชาติมาเลเซียนำ 3 ลูก ก่อนถูกที่ช่วง 10 นาทีสุดท้าย 'ชาริล ชัปปุยส์-ชนาธิป สรงกระสินธิ์' ยิงตีตื้น 2 ลูก ทำให้ผลประตูรวม 2 นัด ทีมชาติไทยชนะทีมชาติมาเลเซีย 4 ต่อ 3 คว้าแชมป์เอเอฟเอฟคัพเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี
(ที่มาของภาพประกอบ AFF Susuki Cup)
20 ธ.ค. 2557 - ผลการแข่งขันฟุตบอลเอเอฟเอฟ แชมป์เปี้ยนชิฟ หรือเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ครั้งที่ 10 รอบชิงชนะเลิศ ระหว่างทีมชาติมาเลเซีย และทีมชาติไทย ที่สนามกีฬาแห่งชาติบูกิต จาลิล กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยนัดนี้เป็นนัดเยือนของทีมชาติไทย โดยการแข่งขันในฐานะเจ้าบ้านเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ทีมชาติไทย ชนะ ทีมชาติมาเลเซีย 2 ต่อ 0
สำหับผลการแข่งขันนัดที่สอง ครึ่งแรก ทีมชาติมาเลเซีย ยิงนำไปก่อน 2 ต่อ 0 โดย ซาฟิก ราฮิม ยิงลูกจุดโทษนาทีที่ 6 และอินทรา ปุตรา ยิงได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บผ่านไปได้ 2 นาที
ครึ่งหลังมาเลเซียยิงนำ 3-0 นาทีที่ 57 โดยซาฟิก ราฮิม ทีมชาติมาเลเซียดูเหมือนเข้าใกล้ชัยชนะ หลังทำสกอร์รวม 2 นัดนำ 3 ต่อ 2 อย่างไรก็ตามในนาทีที่ 82 ชาริล ชัปปุยส์ ทำประตูตีไข่แตกเป็น 3 ต่อ 1 และนาทีที่ 86 ชนาธิป สรงกระสินธ์ ยิงได้อีกเป็น 3 ต่อ 2 เมื่อจบ 90 นาที รวมช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทีมชาติมาเลเซีย ชนะทีมชาติไทย 3 ต่อ 2 แต่สกอร์รวมยังไม่พอสำหรับทีมชาติมาเลเซียที่จะคว้าแชมป์
โดยผลการแข่งขันเหย้า-เยือนรวม 2 นัด ทีมชาติไทยชนะทีมชาติมาเลเซีย 4 ประตูต่อ 2 ชนะเลิศฟุตบอลเอเอฟเอฟครั้งที่ 10
เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี นับตั้งแต่การคว้าแชม์เมื่อปี 2545 ที่เอาชนะลูกจุดโทษทีมชาติอินโดนีเซีย 4 ประตูต่อ 2 หลังเสมอกันในเวลา 2 ประตู ต่อ 2
ทูตไทยประจำย่างกุ้งแนะ "อย่ามโน" เรื่องพม่า ต้องหาข้อมูล-ไปดูให้เห็นกับตา
"พิษณุ สุวรรณะชฏ" นำเสนอภาพพม่าปฏิรูป 4 ด้าน เจรจาสันติภาพ-การเมืองสิทธิมนุษยชน-บริหารภาครัฐ-ปฏิรูปเอกชน แนะสังคมไทยต้องไปดูพม่าให้เห็นกับตา เรียนรู้ให้ถึงแก่น และห้ามมโน ทุกฝ่ายต้องปรับวิธีดำเนินความสัมพันธ์กับพม่าอย่างสร้างสรรค์ เพื่อความสำเร็จร่วมกัน
คลิป พิษณุ สุวรรณะชฎ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง กล่าวปาฐกถานำในการสัมมนา "ไทย-พม่าศึกษา ในกรอบประชาคมอาเซียน" เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2557 ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร
ลงทะเบียนเพื่อติดตามชมวิดีโอจากประชาไทได้ที่
18 ธ.ค. 2557 - ในการสัมมนาวิชาการประจำปี 2557 "ไทย-พม่าศึกษาในกรอบประชาคมอาเซียน" โดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 18 - 19 ธ.ค. ที่อาคารเอกาทศรถ มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก นั้น
000
พิษณุ สุวรรณะชฎ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง กล่าวปาฐกถานำ ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2557 "ไทย-พม่าศึกษาในกรอบประชาคมอาเซียน" จัดโดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ที่มาวิทยาลัยนเรศวร เมื่อ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา
ในวันแรกของการสัมมนา มีปาฐกถานำโดย พิษณุ สุวรรณะชฏ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง โดยทูตพิษณุ ได้กล่าวถึงพัฒนาการด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา หรือประเทศพม่า และแนะนำเรื่องการพัฒนาทัศนคติของสังคมไทยต่อประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพม่า
โดยทูตเชื่อว่าถ้ามี Mindset ที่ถูกต้องจะมีวิธีคิดที่ถูกต้อง และจะมีโอกาสที่ผู้คนทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนพบปะหารือ ทำให้เข้าอกเข้าใจกันดีขึ้น
วันนี้สถานการณ์ในพม่าเปลี่ยนแปลงไปอีก การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวัน รวดเร็ว ล้วนแต่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นตลอดเวลา ในด้านการเมืองเราก็รู้กันแล้วว่ามีพัฒนาการด้านต่างๆ มาก สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ความเป็นประชาธิปไตย ความปรองดองสมานฉันท์ภายในชาติ ส่วนที่ก้าวหน้าสุดคือเรื่องการเจรจาสันติภาพ สำหรับผมเชื่อว่าการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับชนกลุ่มน้อยก้าวข้ามพ้นจุดที่ยากที่สุดไปแล้ว แต่แน่นอนอาจจะมีกระบวนการต่างๆ ที่สะดุดอยู่บ้าง แต่เป็นเรื่องปกติของการเจรจาสันติภาพ แต่ตราบใดที่ยังสามารถรักษาเจตนารมณ์ทางการเมืองเรื่องการนำสันติภาพมาสู่สังคมได้ก็เชื่อได้ว่าการเจรจาสันติภาพจะเดินหน้าต่อไปได้
ทั้งนี้การเจรจาสันติภาพจะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในพม่า ที่จะมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในการเลือกตั้งเดือนธันวาคมปีหน้า ตามแผนการที่รัฐบาลและทุกภาคส่วนในพม่าตั้งใจไว้
สิ่งเดียวที่คนในสังคมไทยจะทำได้ดีที่สุดคือต้องให้กำลังใจประเทศเพื่อนบ้าน ให้การสนับสนุนทุกอย่างให้สามารถดำเนินกระบวนการสันติภาพไปด้วยความเรียบร้อย ราบรื่น
ในเรื่องของการปฏิรูปการเมือง ทูตพิษณุเล่าว่า "การเมืองพม่า ยังเป็นการเมืองที่ขับเคลื่อนประเทศได้อย่างรวดเร็ว การเมืองของพม่าไม่ใช่รัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน แต่เป็นการเมืองของกลุ่มคนที่ต้องการปฏิรูปประเทศ และกลุ่มคนที่อาจจะเสียประโยชน์จากการปฏิรูป โชคดีที่ในพม่ากลุ่มคนที่ต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ประธานาธิบดีเต็งเส่งและรัฐบาล นางออง ซาน ซูจีและพรรคเอ็นแอลดี ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ตุระฉ่วยมาน ซึ่งเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คู่แข่งสำคัญของประธานาธิบดีเต็งเส่ง ทหารในกองทัพ คนเหล่านี้ต้องการเห็นประเทศมีการปฏิรูป นี่เป็นเหตุผลในการอธิบายว่าทำไมพม่าจึงเปลี่ยนแปลงรวดเร็วในด้านการเมือง"
ในด้านสังคม การเปลี่ยนแปลงในพม่ารวดเร็วมาก สิทธิมนุษยชนในอดีตเป็นปัญหาอย่างมาก ปัจจุบันเป็นประเด็นที่คนให้ความเคารพอย่างมาก คนมีสิทธิมีเสียงมากขึ้น การแสดงออกด้านความคิดเห็นทางการเมืองมีมากขึ้น และสามารถทำได้อย่างเสรี กระบวนการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการแสดงออกด้านความคิดเห็นเข้าสู่รูปรอยที่ดีขึ้น คนมีสิทธิมากขึ้น ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายต่างๆ ในเรื่องการละเมิดรุกล้ำสิทธิคนอื่นก็เป็นไปอย่างเข้มงวด เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของกระบวนการต่างๆ ที่กำลังหมุนไป อย่างรวดเร็ว
คนในพม่ามีโอกาสเข้าถึงโซเชียลมีเดีย 100% ไม่มีการปิดกั้น คนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ในพม่าร้อยทั้งร้อยมีเฟซบุ๊คหมด สามารถใช้ไวเปอร์ ใช้ไลน์ แน่นอนอาจจะไม่ได้อยู่ในเกณฑ์รวดเร็วเหมือนไทย แต่ต้องถือว่าใช้ได้
"อาจจะมีข้อโต้แย้งว่าจะมีคนสักกี่คนเชียวในพม่าที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต แน่นอนมีคน 3% เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แต่ที่เราจะต้องเข้าใจก็คือ คน 3% ของประชากรพม่าสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ในเวลาไม่ถึง 2 ปี และต้องถามกลับว่าคนกี่เปอร์เซ็นต์ของไทยที่ปัจจุบันเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ และใช้เวลาในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมายาวนานกว่า 20 ปี"
"ผมคิดว่าถ้าเราตั้งคำถามลักษณะนี้ เราจะเข้าใจพัฒนาการของสังคมในพม่าที่ดีขึ้น"
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่น่ากังวลอะไรเลย เพราะทุกคนอยากนำพม่าเข้าสู่อ้อมกอด วันนี้พม่าเปิดประเทศกว้างขวาง การเดินทางไปต่างประเทศของผู้นำพม่าทุกระดับ ทุกสาขา เป็นไปอย่างเต็มที่แข็งขัน และสร้างสรรค์ ท่านประธานาธิบดีเต็งเส่งเดินทางไปตลอดเพื่อเชื่อมสันถวไมตรีกับมิตรประเทศ นางออง ซาน ซูจี ก็ช่วยในเรื่องพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
"สิ่งหนึ่งที่เรายังไม่เคยเห็นก็คือเวลาบุคคลสำคัญของพม่าออกไปต่างประเทศ มีใครเคยได้ยินเขาไปพูดจาให้ร้ายกันบ้างไหมครับ ไม่มี ไม่มีใครเคยได้ยินนางออง ซาน ซูจี ไปพูดจาเป็นลบต่อตัวประธานาธิบดีเต็งเส่ง และรัฐบาล แน่นอนไม่มีคำพูดทางลบใดจากปากท่านประธานาธิบดีเต็ง เส่ง จากนางออง ซาน ซูจีเลย"
ความสำเร็จด้านต่างประเทศที่สำคัญที่สุดคือการเป็นประธานอาเซียนของพม่า ซึ่งได้ส่งมอบให้มาเลเซียเป็นประธานอาเซียนต่อไปแล้ว ในบรรดาประเทศอาเซียน 9 ประเทศ ทุกคนทึ่งในขีดความสามารถของพม่า ในการเป็นประธานอาเซียน การประชุมประสบความสำเร็จ ความสำเร็จของพม่าในเรื่องอาเซียนเป็นความมหัศจรรย์ ความสำเร็จในการประชุมอาเซียนของพม่า จะทำให้พม่าสามารถจัดการประชุมนานาชาติในระดับต่างๆ ได้แน่นอน
เรื่องการพัฒนาประเทศของพม่า หลังขั้นแรก มีการพัฒนาการเมือง การเจรจาสันติภาพ ให้มีสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ขั้นสอง มีการปฏิรูปเศรษฐกิจ ปล่อยค่าเงินลอยตัว เริ่มจัดระบบธนาคาร ขั้นสาม การพัฒนาประเทศ การปฏิรูปเรื่องจัดระเบียบบริหารจัดการภาครัฐและเอกชน ขณะนี้เข้าขั้นที่สี่ ปฏิรูปภาคเอกชน ในวันนี้จะเห็นว่าการพัฒนาไปสู่การปฏิรูปประเทศดำเนินไปอย่างขนานใหญ่ ทั่วด้าน ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ภาครัฐ แต่ไปสู่ภาคเอกชนแล้ว
ในพม่าขณะนี้เราเริ่มเห็นการควบคุมกิจการ เพื่อให้เอกชนพม่าสามารถมีขีดความสามารถแข่งขันต่างประเทศได้ เช่น พม่าเปิดให้ธนาคารต่างชาติประกอบธุรกิจธนาคาร ตอนนี้มี 9 แห่งแล้ว รวมทั้งธนาคารกรุงเทพ
ตอนหนึ่ง ทูตพิษณุ กล่าวตอนหนึ่งว่า หลายคนอาจจะถามว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจในพม่าเดินไปได้ ถ้าถามผมตอบได้อย่างหนึ่งว่า ศักยภาพสำคัญที่สุดของพม่าไม่ได้อยู่ที่ทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดคือ คนพม่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนพม่าที่มีขีดความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลที่ดีมาก ซึ่งไม่ได้เกิดจากการศึกษาในระบบ แต่เกิดจากการปฏิบัติทางพุทธศาสนา ทำให้เขามีระบบความคิดทางเหตุผลที่ดีมาก ก็มีคำถามต่อไปว่าประเทศเพื่อนบ้านของพม่าก็เป็นประเทศพุทธ ทำไมคนในสังคมในประเทศเหล่านั้นความคิดเชิงเหตุผลแย่เหลือเกิน
อีกสองส่วนที่อยากเรียนวิงวอนว่า วันนี้เมื่อปรับ Mindset ต่อเรื่องพม่าได้แล้วบางส่วน สิ่งที่สังคมไทยต้องทำต่อ ประการแรก ต้องไปดูพม่าให้เห็นกับตา เรียนรู้ให้ถึงแก่น และห้ามมโน ห้ามมโนเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกับพม่าห้ามโนเด็ดขาด โดยเฉพาะไปหาว่าเขาต่ำต้อย ไร้วัฒนธรรม ห้ามมโนเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่ข้อเท็จจริง
ประการที่สองคือ สังคมไทย ต้องรับรู้เกี่ยวกับเรื่องความเปลี่ยนแปลงในประเทศเพื่อนบ้านให้ถูกต้อง ต้องตามการเปลี่ยนแปลงให้ทัน วันนี้ผมบอกได้เลยสังคมไทยตามเปลี่ยนแปลงในพม่าไม่ทัน สังคมไทยมีใครบ้างที่ติดตามเรื่องโครงการพัฒนาในพม่าสามแห่ง คือ โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา จ๊อกผิ่ว และทวาย มีใครรู้รายละเอียดบ้างว่าสามโครงการนี้จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในพม่า และจะเกิดผลประโยชน์อย่างไรต่อประเทศไทย
ถ้าเราไม่รู้ข้อเท็จจริง โอกาสที่เราจะผลักดันของเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจะยิ่งยาก หลายโครงการจะมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับประเทศไทยอย่างมาก โดยเฉพาะที่ติละวา และทวาย เราต้องมีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ว่า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในเชิงพัฒนาแล้ว ผลประโยชน์จะตกกับประเทศในภูมิภาคทั้งหมด โดยเฉพาะประเทศไทย ถ้าเราไม่เข้าใจ เราจะไม่สามารถเดินไปสู่จุดที่มีผลประโยชน์ร่วมกันได้
นอกจากนี้ หลายสิ่งที่ทำกับพม่าในอดีตจะไม่ประสบผล ยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยไทยอยากให้ทุนนักศึกษาพม่า ผมเรียนไปว่า ลักษณะการให้ทุนกับพม่าทำงานแบบเดิมไม่ได้แล้ว วันนี้คนทั่วโลกเข้ามาแข่งให้ทุนกับพม่า สถานภาพพม่าเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง พม่าเป็นคนเลือก
ยกตัวอย่าง ถ้ามหาวิทยาลัยนเรศวรจะให้ทุนนักศึกษาพม่ามาเรียนวิศวกรรม ขณะที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ก็จะให้ทุนนักศึกษาพม่าไปเรียนวิศวกรรมด้วย คิดว่านักเรียนพม่าจะเลือกที่ไหน แน่นอนคำตอบมีอยู่ในใจท่านว่าเราไม่สามารถทำแบบเดิมได้ เช่น ถ้าเราแค่ให้ทุนแบบเดิมเท่านั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ เราจะได้คนแถวสองหมด และจะไม่มีโอกาสได้คนแถวแรกเลย
วันนี้สิ่งที่สถานทูตทำ หนึ่ง Redifine (จำกัดความใหม่) ทุกอย่าง ในเรื่องการดำเนินความสัมพันธ์กับพม่า สอง Redesign (ออกแบบใหม่) ทุกอย่าง เกี่ยวกับแพ็กเกจการดำเนินความสัมพันธ์กับพม่า
อย่างเช่น ในเรื่องของการปรับแพ็กเกจการให้ทุน โครงการหนึ่งที่เรารู้สึกว่ามีผลมากคือ เราร่วมมือกับบริษัทเอกชน กับมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยลงขันในแง่ยกเว้นค่าเทอมให้ บริษัทเอกชนลงขันออกค่าที่พักตลอดหลักสูตร สถานทูตในนามรัฐบาลไทย ไปช่วยคัดเลือกคน และใช้สถานที่ในการสอบต่างๆ ผลปรากฏว่าเมื่อ Redesign แพ็กเกจและวิธีการให้ทุนแล้ว ได้ผลมาก ทุนเรามีของพ่วงด้วย คือบริษัทเอกชนที่ร่วมงานกับสถานทูตนั้นรับประกันว่า นักเรียนที่ได้ทุนแล้วเมื่อจบแล้วเขารับเข้าทำงานไม่มีเงื่อนไข ทำให้แพ็จเกจของเราดูสวยงามและดีกว่า
ทั้งนี้ผลจากการเปลี่ยนแปลงในพม่า ทำให้วิธีการดำเนินความสัมพันธ์กับพม่าเป็นอย่างเดิมไม่ได้ดังนั้น และมีความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องปรับวิธีการดำเนินความสัมพันธ์กับพม่าอย่างสร้างสรรค์
ในช่วงท้าย ทูตพิษณุ ได้แนะนำให้ผู้ที่สนใจเข้าชมเว็บไซต์ของสถานทูต (thaiembassy.org/yangon) โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนรับจดหมายข่าวรายวันที่บริการข้อมูลทางธุรกิจโดยสถานทูตได้ เพื่อจะเห็นว่าพม่าเคลื่อนตัวไปอย่างไร ทั้งนี้การได้รับข้อมูลจะช่วยปรับ Mindset เพื่อให้เลิกมโนผิดๆ เกี่ยวกับพม่า และมีมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับพม่า ตลอดจนติดตามพัฒนาการต่างๆ ในพม่าได้อย่างครบถ้วน เห็นผลประโยชน์บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน สามารถเตรียมพร้อมรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในพม่าได้
ทูตพิษณุยังชวนผู้ร่วมประชุม "ไปดูพม่าให้เห็นกับตา" โดยสถานทูตยินดีที่จะให้การสนับสนุนผู้ที่เดินทางไปพม่า
"และสิ่งที่อยากจะวิงวอนคือ ขอให้เลิกมโนเกี่ยวกับพม่า และหันมามองในแง่ข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความเข้าใจพม่า และปรับตัวเราเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดในพม่าได้ ตลอดจนจัดแพ็กเกจที่ดีในการปฏิสัมพันธ์กับพม่าในทุกๆ ด้าน โดยเชื่อว่าความสัมพันธ์ไทย-พม่าจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน"
นิธิ เอียวศรีวงศ์กับปัญหาปาตานี
ปัญหาปาตานี/ชายแดนใต้ในรอบ 1ทศวรรษที่ผ่านมา ปัญญาชนสาธารณะอย่างนิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เข้ามาเริ่มอธิบายปัญหาปาตานี
หลังจากนั้นเป็นต้นมา อาจารย์นิธิ ได้เสนอ “ทฤษฎีกบฏชาวนา” ต่อการอธิบายเรื่องปัญหาความรุ
สำหรับผลงานที่สำคัญสำหรั
ตลอดที่ผ่านมา เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญๆเกิดขึ้
การใช่แต่เพียงผลงานวิชาการเท่
ทั้งนี้สำหรับงานวิจัยและวิ
ผู้ค้นพบเชื้อ 'เอชไอวี' แจง 'ฮุนเซน' กรณีไม่เชื่อ ปชช. ในพระตะบองเป็นโรคเอดส์
นักไวรัสวิทยาผู้ค้นพบว่าเชื้อเอชไอวีเป็นสาเหตุของโรคเอดส์จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ชี้ฮุนเซนน่าจะได้รับข้อมูลผิดๆ หลังจากที่ฮุนเซนพูดถึงกรณีมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีในจังหวัดพระตะบองมากกว่า 100 คน ในเชิงไม่เชื่อว่าจะเป็นโรคเอดส์
ฟรองชัวร์ บาร์เร-ซินุสซิ นักไวรัสวิทยาผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ปี 2551 จากผลงานการค้นพบว่าไวรัสเอชไอวี กล่าวว่านายกรัฐมนตรีฮุนเซนของกัมพูชา "ได้รับข้อมูลผิดๆ" ในคำประกาศของเขากรณีที่มีประชาชนมากกว่า 100 คนในจังหวัดพระตะบอง ('บัตตัมบอง' ในภาษากัมพูชา) ตรวจพบเชื้อไวรัสเอชไอวีเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ฮุนเซนกล่าวผ่านสื่อในเชิงไม่เชื่อว่าประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นโรคเอดส์ "แม้ว่าจะมีเชื้อไวรัสแต่มันไม่ใช่เอดส์... คนแก่อายุ 80 จะเป็นโรคเอดส์ได้จริงหรือ และเยาวชนที่ไม่รู้ความอะไรเลยจะติดเอดส์ได้หรือ" ฮุนเซนกล่าว จากคำกล่าวของฮุนเซนทำให้หน่วยงานสาธารณสุขหลายหน่วยงานรวมถึงยูเอ็นเอดส์และสถาบันวิจัยปาสเตอร์ในกัมพูชาระบุว่ามีโอกาสผิดพลาดในการตรวจโรคน้อยมาก
แต่ทางบาร์เร-ซินุสซิ ไม่เข้าใจว่าทำไมฮุนเซนถึงกล่าวเช่นนั้น เธอคาดเดาว่าฮุนเซนอาจจะได้รับข้อมูลผิดๆ ในเรื่องโรคเอดส์ เธอกล่าวอีกว่าในสถานการณ์เช่นนี้กลุ่มผู้นำในกัมพูชาควรเน้นสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนโดยบอกกับประชาชนว่าทางการจะตรวจสอบในเรื่องที่เกิดขึ้นและผู้ติดเชื้อจะได้รับการดูแลรักษาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เอดส์หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นการที่เชื้อไวรัสเอชไอวีทำให้ผู้ป่วยมีการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง จนทำให้เชื้อโรคอื่นๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ฉวยโอกาสทำให้เกิดโรคอื่นๆ ได้ หรือทำให้เป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป โดยบาร์เร-ซินุสซิ ค้นพบเชื้อไวรัสนี้ในปี 2526 ในช่วงที่เธอทำงานกับสถาบันปาสเตอร์ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านเชื้อโรคและวัคซีนตั้งอยู่ในฝรั่งเศส ปัจจุบันบาร์เร-ซินุสซิ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมการติดเชื้อเรโทรไวรัสของสถาบันดังกล่าว
เหตุการณ์ระบาดดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาในอำเภอสังแก จังหวัดพระตะบองมีชายอายุ 74 ปี คนหนึ่งตรวจพบเชื้อเอชไอวีจึงได้ลองให้หลานสาวและหลานเขยของเขาไปตรวจด้วยก็พบว่ามีเชื้อเอชไอวีเช่นกัน ทำให้มีคนในหมู่บ้านของพวกเขาพากันไปตรวจ โดยจากการเปิดเผยล่าสุดเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาพบว่ามีประชาชนในอำเภอสังแกติดเชื้อมากกว่า 106 คน จากผู้ไปตรวจทั้งหมด 895 คน
มีการสันนิษฐานว่าการระบาดของเชื้อมาจากหมอในพื้นที่ซึ่งอาจจะไม่มีใบอนุญาตใช้เข็มฉีดยาเดิมในการรักษาคนไข้หลายคน ในตอนนี้หมอรายดังกล่าวถูกควบคุมตัวอยู่ในการคุ้มครองของตำรวจ
บาร์เร-ซินุสซิกล่าวว่าควรมีการตรวจสอบสาเหตุของการระบาดให้แน่ชัดโดยเจ้าหน้าที่ทางการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนด่วนสรุปว่าเป็นฝีมือหมอคนดังกล่าว ซึ่งทางการกัมพูชาระบุว่าในตอนนี้องค์กรด้านสาธารณสุขจากต่างชาติอย่างองค์การอนามัยโลก ยูเอ็นเอดส์ ยูนิเซฟ และสถาบันปาสเตอร์ กำลังให้การช่วยทางการเพื่อหาสาเหตุของการระบาด
ทางยูเอ็นเอดส์ประเมินว่ามีคนในกัมพูชาราว 41,000 ถึง 130,000 คน ที่ติดเชื้อเอชไอวี อย่างไรก็ตามยูเอ็นเอดส์ได้ชื่นชมนายกรัฐมนตรีฮุนเซนที่วางงบประมาณราว 3.7 ล้านดอลลาร์เพื่อยับยั้งการแพร่เชื้อเอชไอวี ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ฮุนเซนยังให้คำมั่นว่าจะหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีในกัมพูชาให้ได้ภายในปี 2563
เรียบเรียงจาก
HUN SEN “MISINFORMED” OVER CAMBODIA’S MASS HIV INFECTION, SAYS FRANÇOISE BARRÉ-SINOUSSI, Southeast Asia Globe, 19-12-2014
http://sea-globe.com/hun-sen-cambodias-mass-hiv-infection-says-francoise-barre-sinoussi-southeast-asia-globe/
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/Fran%C3%A7oise_Barr%C3%A9-Sinoussi
http://www.thaiall.com/aids/
'วู้ดดี้' ฟ้องหมิ่นประมาท-พ.ร.บ.คอมฯ ช่างภาพ-ทนาย-จ่าพิชิต
หลังช่างภาพฟ้องวู้ดดี้ละเมิดลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ล่าสุด วู้ดดี้ฟ้องกลับช่างภาพ-ทนาย พ่วงจ่าพิชิต ที่แชร์ภาพดังกล่าว ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท-พ.ร.บ.คอมฯ
21 ธ.ค. 2557 สำนักข่าวอิศรารายงานว่า จากกรณีนายจักริน ภัสสรดิลกเลิศ อาจารย์สอนถ่ายภาพชื่อดัง ได้มอบหมายให้ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความของส่วนตัวยื่นฟ้อง บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จํากัด จำเลยที่ 1 และนายวุฒิธร มิลินทจินดา หรือ "วู้ดดี้" พิธีกรชื่อดังเจ้าของรายการ "วู้ดดี้เกิดมาคุย" ในความผิดเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพถ่าย "ประตูเมืองขอนแก่น" โดยยื่นฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ในช่วงปลายเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา และศาลนัดไต่สวนคดีในวันที่ 25 ธ.ค.นี้
ล่าสุด นายรณณรงค์ ทนายความของนายจักริน เปิดเผยว่า ถูกวู้ดดี้ฟ้องร้องดำเนินคดีกลับ โดยฟ้องตนเอง นายจักริน และนายวิทวัส ศิริประชัย (จ่าพิชิต แห่งเพจดราม่าแอดดิก) ในข้อหาหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยยื่นฟ้องช่วงก่อนที่จักรินจะขึ้นเบิกความในวันที่ 25 ธ.ค.นี้พอดี สำหรับคดีล่าสุดนี้ ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 23 ก.พ.2558
ด้านจ่าพิชิตโพสต์ผ่านเพจว่า แค่แชร์ภาพของตากล้องแล้วเขียนว่า "ดราม่าครัชดราม่า" ก็ถูกฟ้องด้วยข้อหานำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ มีความผิดตามมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม ได้เตรียมทนายไว้แล้ว