Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 58141 articles
Browse latest View live

โหวตโนชนะแล้วอย่างไรต่อ? 'ปิยบุตร' ชี้ประเด็นนี้อาจยังไม่ถึงเวลาที่ต้องมาพูด

$
0
0

ปิยบุตร ระบุเหตุที่ต้องออกไปโหวตโน 1. เนื้อหาของร่างรธน.เอง 2. เป็นการไม่ยอมรับรัฐประหารและคสช. พร้อมข้อเสนอหลังโหวตโนเราอาจหารธน.ก่อนรัฐประหารมาจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ แล้วรัฐบาลจากการเลือกตั้งก็ไปหาทางตั้ง สสร.  พร้อมทั้ง คสช.ต้องออกไปจากกระบวนการร่างฯ

24 ก.ค.2559  ปิยบุตร แสงกนกกุล หนึ่งในกลุ่มนิติราษฎร์ นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ กล่าวถึง  ข้อเสนอหลังโหวตโน ต่อ คสช.และประชาชน  ที่ หอประชุมศรีบูรพา (หอเล็ก มธ.) ท่าพระจันทร์ ในเวทีเรื่องประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่จัดโดย 43 องค์กรภาคประชาชน  สรุปได้ดังนี้

ทำไมเราถึงต้องออกไปโหวตโน เหตุผลหลักคือ 1. เนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญเอง 2. เป็นการไม่ยอมรับรัฐประหารและคสช. โดย ข้อแรก ตัวร่างรัฐธรรมนูญ ปัญหาให้ต้องโหวตไม่รับ โดยสรุปคือ 1) การยกร่างไม่ได้มาจากประชาชน แต่มาจากรัฐประหาร 2) เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญไม่มีความเป็นประชาธิปไตย หากผ่านเราจะได้สภาพสังคมการเมืองถอยหลังไปอย่างน้อย 40 ปี สมัยรัฐบาลพลเอเปรม ติณสูลานนท์ 3) ร่างนี้จะทำให้ระบอบรัฐประหาร การใช้อำนาจของคสช. ถูกทำให้กลายเป็นสถาบันอยู่ภายใต้รธน. จากสิ่งที่ผิดกลายเป็นถูกรับรองอยู่ในร่างนี้ 4) หากร่างนี้ผ่านจะแก้ไขไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ

และ 5) ถ้าร่างนี้ผ่านไป แรกๆ อาจเหมือนไม่มีปัญหา แต่สักระยะจะนำมาซึ่งความขัดแย้งและน่าอาจจะรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะร่างนี้ปิดกั้น กดขี่ คนจำนวนมากด้วยกติกาของระบอบรัฐประหาร ถ้าร่างนี้ผ่านไปได้ และคนกลุ่มใหญ่ส่งเสียงเรียกร้องไม่เอาร่างนี้ อยากแก้ตามกระบวนการก็ทำไม่ได้ ก็เหลือวิธีเดียวคือ วิธีนอกรัฐธรรมนูญ

ข้อที่สอง การโหวตโนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเป็นการแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารและ คสช. อย่างไร เราจะเห็นคนจำนวนมากที่แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่ก็มีกลุ่มอีกมากที่ไม่ได้แสดงออก อาจเพราะถูกกดไว้อยู่ด้วยอำนาจปืนและปืนในกฎหมาย เราปฏิเสธว่ามีคนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารและการใช้อำนาจคสช. ภายใต้ข้อจำกัดของระบอบปัจจุบัน ภายใต้กติกาที่เขาขีดเส้น มันจะเหลือหนทางอะไรให้เราแสดงออกได้อีกว่าเราไม่เอารัฐประหารและอำนาจของ คสช. เพราะเราไม่สามารถชุมนุมหรือแสดงออกได้ หากท่านอยู่เฉยๆ ไม่แสดงออก คสช.จะเคลมว่า ทุกคนโอเค มันจึงเหลือช่องเดียวที่จะแสดงออกได้ ไม่ถูกจับ มีผลนับเป็นตัวเลข

ประเด็นว่า โหวตโนชนะแล้วจะทำอย่างไรต่อ ประเด็นนี้อาจยังไม่ถึงเวลาที่ต้องมาพูด เพราะประชามติจะเกิดหรือเปล่ายังไม่รู้ชัด ต่อให้เกิดเราก็ยังไม่รู้ว่าโหวตโนจะชนะหรือไม่ แต่เนื่องจากคณะรณรงค์ต่างๆ เห็นว่านี่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพูด ผมจึงต้องขอออกตัวก่อนว่าเป็นความเห็นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับนิติราษฎร์ เพราะทางกลุ่มยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้

ขอแยกตรงนี้เป็นสองประเด็น ประเด็นแรก พิจารณาสภาพเหตุปัจจัยทางการเมืองอย่างไม่หลอกตัวเอง ถ้าโหวตโนชนะ ผมคิดว่า คสช.ก็ยังอยู่ในอำนาจต่อไป หาคนมาล้ม คสช.ฉับพลันทันทีคงทำไม่ได้ เพราะดูแล้วเหตุผลของรัฐประหารยังไม่เสร็จ เขาต้องอยู่ต่อแน่นอน พลังฝ่ายต่อต้านรัฐประหารยังไม่มากเพียงพอ มีคนจำนวนมากที่อาจไม่ชอบ คสช.แล้ว แต่ยอมทน เพราะกลัวว่าเลือกตั้งแล้วจะได้พรรคที่เขาไม่ชอบ ประเมินดุลกำลังแล้วเรายังไม่สามารถหาฐานความชอบธรรมที่ชัดแจ้งจนคสช.อยู่ไม่ได้ การล้มเผด็จการที่ผนึกทุกอย่างอย่างเหนียวแน่นเช่น คสช. เราไม่สามารถใช้กำลังของฝ่ายเราอย่างเดียว มันต้องเอาคนอื่นมาเติมด้วย อย่างไรก็ตาม หากโหวตโนชนะ คสช.จะอยู่ต่อในสภาวการณ์ที่ไม่เหมือนเดิม อย่างน้อยจะทำลายความชอบธรรมของ คสช.ไม่มากก็น้อย

ประเด็นที่สอง ข้อเสนออย่างกว้างที่สุดหากโหวตโนชนะ คือ คสช.ต้องยุติและออกไปจากกระบวนการทำรัฐธรรมนูญใหม่ ท่านอาจจะถามต่อ คสช.เกี่ยวอะไร เพราะ กรธ.เป็นคนร่าง จริงๆ แล้ว คสช.เกี่ยวอย่างยิ่ง ดูตัวบทก็ได้ ร่างนี้เกิดจากรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่วางกลไกการร่างรัฐธรรมนูญไว้ และรัฐธรรมนูญชั่วคราวเกิดมาหลังการฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 โดยคสช.

ดูตัวรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 35 บอกไว้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่จะเกิดต้องมีเนื้อหา 10 ข้อดังต่อไปนี้ ผู้ร่างไม่มีทางร่างอย่างเป็นอิสระ ดังนั้น ร่างมีชัย ฤชุพันธุ์ ก็คือการร่างตามกรอบของมาตรา 35 ตัวกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ คสช.ก็เลือกตอนสุดท้าย นอกจากนี้ คสช.ยังมีบทบาทหลังทำร่างเสร็จต้องส่งเวียนไปแม่น้ำห้าสาย แม้ไม่ได้ร่างแต่เกี่ยวทุกกระบวนการ 

แล้วจะยุติบทบาท คสช.ได้อย่างไร

ปิยบุตร กล่าวว่า ร่างที่กำลังทำนั้นถูกชักใยจากรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ถ้ามันยังอยู่ ร่างยังไงก็ถูกล็อค จึงต้องหาทางยกเลิก รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ให้ได้ ถามว่าใครจะเป็นคนร่าง โรดแม็พพล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่ายังไงก็ต้องเลือกตั้งจะตามเดิมไม่ว่าเยสหรือโนชนะ ดังนั้น เราอาจหารัฐธรรมนูญก่อนรัฐประหารมาจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ แล้วรัฐบาลจากการเลือกตั้งก็ไปหาทางตั้ง สสร. และวิธีการร่างรัฐธรรมนูญต่อไป อย่างไรก็แล้วแต่ คสช.ต้องออกไปจากกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ

“ข้อเสนอนี้อาจดูเป็นอุดมคติ ให้ตายคสช.ท่านก็ไม่ออก ผมเข้าใจภารกิจของ คสช. ในการยึดอำนาจ และภารกิจท่านก็ยังไม่เสร็จ แต่ข้อเสนอให้ท่านออกจากากรทำรัฐธรรมนูญมันมีประโยชน์ต่อทั้งประเทศชาติ และ คสช.เองด้วย หากเราลองศึกษาประสบการณ์ประเทศต่างๆ ที่เปลี่ยนผ่านจากเผด็จการเป็นประชาธิปไตยสำเร็จ มี 2 แบบ แบบหนึ่งเผด็จการรู้แล้วว่าถอยดีกว่า จึงเปิดโต๊ะเจรจากับฝ่ายประชาธิปไตยแล้วลงแบบสวยๆ ตัวอย่างนี้เกิดในหลายประเทศในละตินอเมริกา หรือเกาหลีใต้ หรือสเปน อีกแบบคือเผด็จการที่ประเมินตัวเองสูง คิดว่าใครก็ล้มไม่ได้ วันหนึ่งประชาชนก็ลุกขึ้นมาไล่เผด็จการออกไป การไล่แบบนี้เผด็จการจบไม่สวยสักราย ถ้าวันที่ 7 ส.ค.โหวตโนชนะ มันมีทางออกของ คสช.แบบสวยๆ เลย คือ ออกไปด้วยตัวคุณเอง แล้วเปิดโอกาสให้ประชาชนทำรัฐธรรมนูญของเขาเองจริงๆ มันจะไม่เกิดความรุนแรง ไม่ต้องล้างโต๊ะกัน แต่ถ้าคสช.อยู่ต่อไปเรื่อยๆ วันหน้าต้องมาถึงแน่นอน ทุกคนอาจไม่รู้ว่าวันไหน แต่มันต้องมาถึงแน่ มันเป็นไปตามประวัติศาสตร์ของโลก เรากำลังหมุนเวลาย้อนกลับขณะที่โลกเดินหน้า ถ้าวันนั้นมาถึงมันจะมีลักษณะรุนแรง” ปิยบุตร กล่าว

“การโหวตโนคือการปฏิเสธ Dead hand มือที่(เขียนรัฐธรรมนูญ)ตายแล้ว พวกเขาตายไปแล้วยังปิดช่องทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยคนรุ่นใหม่ๆ ที่ต้องการกำหนดชะตากรรมตัวเองอีก” ปิยบุตร กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วรเจตน์ปาฐกถาประชามติ 7 ส.ค.: "รัฐธรรมนูญเป็นอย่างไรจะกำหนดชะตากรรมของรัฐๆ นั้น"

$
0
0

24 ก.ค. 2559 วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักวิชาการจากคณะนิติราษฎร์ และอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ปาฐกถา “ประชามติ 7 สิงหา กับอนาคตสังคมไทย” ในงาน "ใส่ใจประชามติรัฐธรรมนูญ กับอนาคตประชาชน" ซึ่งจัดโดยองค์กรภาคประชาชน 43 องค์กร ที่หอประชุมศรีบูรพา มธ. ท่าพระจันทร์

รายละเอียดมีดังนี้

หัวข้อที่เชิญให้ผมมาพูดวันนี้ คือ “ประชามติ 7 สิงหา กับอนาคตสังคมไทย” ตอนที่มีการตั้งหัวข้อนี้ผมก็กังวลนิดหน่อย เพราะรู้สึกว่า สังคมไทยดูจะไม่ค่อยมีอนาคตเท่าไหร่ และที่ สำคัญคือ การพูดวันนี้เป็นการพูดภายใต้พันธนาการบางอย่างที่มองไม่เห็นและภายใต้เพดานของเสรีภาพที่ตกต่ำลงอย่างมาก แต่ว่าก็ยินดีที่จะมาพูดเรื่องรัฐธรรมนูญให้ท่านทั้งหลายได้ฟัง จะได้เห็นทรรศนะที่ผมมีต่อร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่จะมีการลงประชามติ รวมถึงปัญหาที่อาจจะเกิดมีขึ้นหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการออกเสียงประชามติไปในทรรศนะของผม

ในเบื้องแรก เราอาจต้องคิดกันสักนิดนึงว่า ประชามติ 7 ส.ค. จะมีจริงๆ หรือไม่ แม้ว่าหลายคนออกมายืนยันว่าจะเกิดประชามติขึ้นอย่างแน่นอน แต่ว่าทุกอย่างดำรงอยู่ในความไม่แน่นอนทั้งสิ้น เนื่องจากว่า ภายใต้กฎเกณฑ์กติกาการปกครองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หัวหน้า คสช.มีอำนาจเต็มตามมาตรา 44 ในแง่ของการที่จะจัดให้มีการประชามติ หรือแม้แต่จะเลื่อนการออกเสียงประชามติออกไป เพราะฉะนั้น เราต้องรอดูกันต่อไปว่าตกลงประชามติ 7 ส.ค.จะมีขึ้นหรือไม่ ในช่วงสองสัปดาห์นี้จะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง

แม้ผมจะพูดในเบื้องต้นว่าสังคมไทยดูเหมือนจะไม่มีอนาคตมากนัก แต่อนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน ขึ้นกับเงื่อนไขเหตุปัจจัยที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้าเราสร้างเหตุปัจจัยที่ดี โดยตัวของเราเอง เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เปลี่ยนแปลงอนาคตที่มันดูจะมืดมนไปได้

ทำไมผมจึงรู้สึกว่าสังคมไทยดูจะมีปัญหาเรื่องอนาคต โดยเฉพาะหากเชื่อมโยงกับร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับออกเสียงประชามติที่คาดว่าน่าจะมีขึ้น ผมคิดว่าร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ ปัญหาสำคัญที่สุดคือ สมมติว่ามีการผ่านการออกเสียงประชามติไป จะเป็นการมัดตราสังหรือตรึงสังคมไทยไว้กับกฎเกณฑ์ในร่างรัฐธรรมนูญนี้ โดยยากจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามวิถีทางในทางรัฐธรรมนูญได้

เหตุผลที่พูดอย่างนี้ เนื่องจากในกฎเกณฑ์การแก้ไขเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ แม้ผู้ร่างจะเขียนให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้ แต่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นทำได้ยากอย่างยิ่ง เท่าที่ศึกษารัฐธรรมนูญของไทย ไม่เคยพบเลยว่าตลอดการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ 19 ฉบับจะมีฉบับใดแก้ไขเปลี่ยนแปลงด้วยวิถีทางตามรัฐธรรมนูญยากเท่ากับฉบับนี้

การแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยากนี้มีนัยอย่างไรต่อสังคมไทยในอนาคต ประเด็นสำคัญคือ ภายใต้กติกาที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ถ้าไม่สามารถเปิดให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ยากเย็นเกินไปนัก การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะไม่สามารถแก้ไขในวิถีทางรัฐธรรมนูญได้ และต้องใช้วิถีทางนอกรัฐธรรมนูญเข้าแก้ไขเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันเป็นชนวนหรือระเบิดเวลาที่อาจนำมาซึ่งความรุนแรงในอนาคต อาจเกิดการสูญเสียขึ้นอีก ซึ่งเราคงไม่มุ่งหวังให้เป็นเช่นนั้น

ไม่เฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังรองรับการดำรงอยู่ต่อไปของบทบัญญัติ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวอีก ซึ่งเป็นครั้งแรกเช่นกัน เมื่อมีการทำรัฐประหารจะฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเดิม จากนั้นคณะรัฐประหารจะประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว มีการยกร่างและประกาศใช้รัฐธรรมนูญถาวร ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับจะกำหนดให้อำนาจรัฐประหารจะสิ้นสุดลงเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร นั่นหมายความว่า สิ่งที่ควรจะเป็นหากรัฐธรรมนูญนี้ผ่านการออกเสียงประชามติก็คือ อำนาจของ คสช.ก็ควรยุติลงหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แต่กฎเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญนี้ไม่เป็นเช่นนั้น หัวหน้า คสช.ยังมีอำนาจต่อไปอีกตามมาตรา 44 ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาคำสั่งของ คสช.จะเป็นมรดกตกทอดต่อไป จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ต้องตราเป็น พ.ร.บ.เท่านั้น ซึ่งถ้าเราดูที่มา ส.ว.แล้วคงแก้ไขกฎเกณฑ์เหล่านั้นไม่ได้ง่ายนัก

ถ้าเราต้องตัดสินใจทางใดทางหนึ่ง เราควรจะดูรัฐธรรมนูญนี้จากหลักเกณฑ์ของเหตุผล อะไรคือปัญหาของร่างนี้ เริ่มจากถามว่ารัฐธรรมนูญคืออะไรก่อน เราต้องเข้าใจก่อนว่า รัฐธรรมนูญในความหมายทางกฎหมายถือว่าเป็นกฎหมายสุงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีเนื้อหาสองส่วนใหญ่ๆ ส่วนแรก เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างของรัฐ การจัดรูประบอบการปกครอง การเข้าสู่ตำแหน่งขององค์กรทางการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรทางการเมืองและสถาบันในทางรัฐธรรมนูญเหล่านั้น อีกส่วนหนึ่ง รัฐธรรมนูญจะกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน นั่นคือบทบัญญัติในส่วนสิทธิขั้นพื้นฐาน เพราะฉะนั้น ถ้าจะดูรัฐธรรมนูญนี้ว่ามีปัญหาอย่างไรหรือไม่ อาจจะดูเนื้อหาของสองส่วนนี้

ส่วนแรก การจัดโครงสร้างองค์กรของรัฐ เรื่องการเข้าสู่ตำแหน่งขององค์กรทางการเมือง ปัญหาแรก อำนาจที่กำหนดในรัฐธรรมนูญนี้ ผู้แทนประชาชนสามารถแสดงออกซึ่งอำนาจได้อย่างไร และมีที่มาอย่างไร เราต้องดูระบบเลือกตั้ง ภายใต้กติกาในร่างนี้ กฎเกณฑ์การเลือกตั้งจะเปลี่ยนไปจากเดิม เรามีคะแนนเสียงเพียงคะแนนเดียว เลือก ส.ส. ในเขตเลือกตั้งของตัวก็จะมีผลเป็นการเลือกบุคคลในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองไปพร้อมกัน ผมตั้งข้อสงสัยว่า มันยากนักหรือถ้าจะกำหนดระบบการเลือกตั้งให้ประชาชนแต่ละคนมีคะแนนเสียงสองคะแนน คะแนนหนึ่งเลือก ส.ส.เขตของตนเอง อีกคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง ผมจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมผู้ร่างรัฐธรรมนูญจึงกำหนดให้ประชาชนมีคะแนนเดียว ด้านหนึ่งเป็นการบังคับคนที่ไปออกเสียงเลือกตั้ง เขาอาจชอบ ส.ส.พรรคหนึ่ง แต่ชอบบัญชีรายชื่ออีกพรรค ภายใต้กติกาใหม่จะมีผลบังคับโดยปริยาย อาจทำให้เจตนารมณ์ของประชาชนถูกบิดผันไปได้ การเคารพการแสดงเจตจำนงของประชาชนจึงไม่สมบูรณ์

อีกปัญหาใหญ่คือ การได้มาซึ่ง ส.ว. ในเอกสารอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญที่ออกมาอย่างเป็นทางการ เขียนอธิบายว่าทำไมยังต้องมี ส.ว. (ในหน้า 23) ว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ส.ว. ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพี่เลี้ยงแก่ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง ข้อมูลที่เขียนไว้ในเอกสารนี้เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพราะหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยังไม่มี ส.ว. มีแต่ ส.ส.เท่านั้น และในชั้นแรกสุดมาจากการแต่งตั้ง ในเวลาต่อมา มาจากการแต่งตั้งผสมกับการเลือกตั้ง ส.ว. เพิ่งเกิดในรัฐธรรมนูญ 2492 โดยมาจากการแต่งตั้ง แต่ที่มาของ ส.ว. มาจากรัฐธรรมนูญ 2489 โดยเรียกว่า พฤฒสภา ที่มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม เพราะฉะนั้นข้อมูลในเอกสารนี้จึงมีความผิดพลาด

เอกสารนี้อธิบายถึงพัฒนาการของ ส.ว. แล้วจบลงที่ว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ควรจะให้มี ส.ว.เหมือนเดิมแต่เห็นว่าไม่ควรมาจากการเลือกตั้งแล้ว ควรมาจากการเลือกตั้งกันเอง นั่นหมายความว่า ประชาชนจะไม่มีสิทธิเลือก ส.ว. ทั้งๆ ที่ ส.ว.มีอำนาจอย่างมาก เพราะต้องร่วมตรากฎหมายกับ ส.ส. ในแง่นี้ ความชอบธรรมของ ส.ว. ก็จะมีน้อยแต่อำนาจจะมีมาก

ในแง่การบริหารราชการแผ่นดิน หลายคนกังวลกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ และหวังว่าหลังเลือกตั้งจะได้บุคคลมาเป็นรัฐบาลแล้วบริหารจัดการแผ่นดินไปตามนโยบายที่หาเสียง แต่ในร่างนี้ในหมวด 6 รัฐบาลหลังเลือกตั้งจะทำอะไรได้ลำบากมาก เขาจะมีสถานะเป็นเพียงองค์กรฝ่ายประจำที่ทำงานรูทีนตามกรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนด แต่การคิดนโยบายสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนจะทำได้ยาก การอ้างว่าเพื่อป้องกันประชานิยมนั้นเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักน้อยมาก

มิหนำซ้ำ อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระก็มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น เขาสามารถกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นมาเอง และเวลาบังคับนอกจากใช้กับตัวเองแล้วจะบังคับใช้กับนักการเมือง เมื่อเกิดปัญหา ป.ป.ช.ส่งเรื่องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยได้ ส่งผลให้สถานะของคนที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่รับผิดชอบนโยบายระดับประเทศมีความไม่แน่นอนสูงมากๆ

หลายคนสงสัย ในรัฐธรรมนูญนี้กำหนดกลไก คปป. หรือ "อภิรัฐบาล" ที่จะมีอำนาจเหนือกว่าประชาชนหรือเปล่า ในร่างนี้ไม่ได้เขียนไว้ แต่การไม่เขียนนี้ไม่ได้ทำให้อำนาจชนชั้นนำลดน้อยลง เนื่องในมาตรา 5 ของร่างนี้ ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์และเพิ่มเติมกฎเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องประเพณีการปกครองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขว่า  เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเราไม่รู้ว่าประเพณีนี้คืออะไร แต่เมื่อไหร่ที่จะใช้บทบัญญัติมาตรานี้ อำนาจนี้อยู่ที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เขาจะเป็นคนจัดให้มีการประชุม โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานองค์กรอิสระ ซึ่งองค์กรที่ขาดจุดยึดโยงกับประชาชนมีปริมาณมากกว่าองค์กรที่มีจุดเชื่อมโยงกับประชาชน คงยากที่องค์กรที่มีที่มาเชื่อมโยงกับประชาชนจะชนะในการออกเสียงมีมติในเรื่องที่เป็นปัญหาเกิดขึ้น และอาจส่งผลกระทบให้กำหนดกฎเกณฑ์บางอย่างที่ขัดกับเจตจำนงประชาชนได้

เรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานเราอ่านดูอาจเคลิ้ม เพราะประกันสิทธิเอาไว้มากมาย อยากให้ดูโดยละเอียด จริงๆ การบังคับใช้เรื่องสิทธิขั้นฐานไม่ได้อยู่ที่ว่าเขียนมากหรือน้อย แต่อยู่ที่กลไกนั้นมันฟังก์ชั่น มีประสิทธิภาพ เคารพสิทธิของประชาชนจริงๆ หรือไม่

ที่สำคัญคือ ร่างนี้แม้บัญญัติรับรองสิทธิไว้แต่เปิดช่องให้มีการจำกัดสิทธิ แปลว่า หากรับรองสิทธิไว้แล้วช่องที่เปิดให้มีการจำกัดสิทธิ มีการใช้ถ้อยคำที่หลวมๆ ขาดเกณฑ์ในการกำกับการตรากฎหมายจำกัดสิทธิ การให้สิทธิก็อาจมีความหมายน้อยลง เช่น ให้สิทธิในการติดต่อสื่อสารถึงกัน แต่บอกว่าการเปิดเผยข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกันจะทำไม่ได้ เว้นแต่มีคำสั่ง หมายของศาล หรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งคำว่า กฎหมายบัญญัติเท่ากับเปิดช่องให้สภาร่างเหตุขึ้นได้ หรือบัญญัติหลวมๆ ก็ได้ เช่น เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ

การบัญญัติรัฐธรรมนูญโดยเปิดข้อยกเว้นไว้ในลักษณะแบบนี้จะกระทบกับแกนหรือแก่นของสิทธิ ซึ่งเดิม รัฐธรรมนูญ 2540 บัญญัติไว้ว่า การตรากฎหมายที่กระทบสาระสำคัญหรือแก่นของสิทธิจะกระทำไม่ได้ แต่ร่างนี้ไม่ได้บอกเรื่องนี้ไว้เลย

ปัญหาสำคัญอีกอันหนึ่ง คือ บทบัญญัติเรื่องสิทธิเสรีภาพจะไร้ความหมาย ถ้าหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ยังคงให้อำนาจหัวหน้า คสช.มีอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวต่อไปอีกจนกว่าจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จ หากรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ โดยหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญต้องรอการเลือกตั้งอย่างต่ำอีก 15 เดือน ระหว่างนั้น หัวหน้า คสช.ยังมีอำนาจตามมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญอาจมีบทบัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพไว้จำนวนมาก แต่ระหว่างนั้น 15 เดือน การบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพต่างๆ ในรัฐธรรมนูญก็จะกลายเป็นหมัน เนื่องจากบุคคลที่ถูกกระทบจากการใช้อำนาจตามนี้จะไม่สามารถฟ้องศาลได้ หรือหากจะฟ้องศาล ศาลก็ยากจะรับคดีไว้พิจารณาเพราะถือว่าการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ถูกประกาศเรียบร้อยแล้วว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ชอบด้วยกฎหมาย

การโหวตรับร่างนี้ จึงมีผลเท่ากับยอมรับให้ใช้มาตรา 44 ต่อไปได้อีกจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง และตั้งรัฐบาลใหม่ อย่างต่ำปีเศษๆ

อีกประเด็นสำคัญหนึ่ง คือ เมื่อไม่นานมานี้ มีที่ปรึกษาของ คสช. แสดงความเห็นว่า คนที่โหวตไม่รับอาจมีได้หลากหลาย และอาจรวมถึงคนที่ต้องการให้ คสช.อยู่ต่อไปนานๆ ด้วย เรื่องนี้มีปัญหาเรื่องการตีความ ผมเห็นว่า การจัดให้มีการประชามติเที่ยวนี้ ที่ตรงที่สุด คือ หากรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน แปลว่าคนไม่เห็นชอบ ถ้ารัฐธรรมนูญแปลว่าคนเห็นชอบ อธิบายง่ายที่สุด ที่เหลือเป็นการตีความ แต่คำถามคือ ร่างนี้เกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้ ต้องมีคนจัดทำ คำถามคือใครเป็นคนทำ คนที่ทำคือ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (ชุดบวรศักดิ์) และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (ชุดมีชัย) ผมไม่แน่ใจว่างบประมาณในการจัดทำร่างเท่าไรแล้ว แต่ประเด็นคือ คสช.ไม่ได้เป็นคนทำร่างนี้จริง ไม่ได้เขียนจริง แต่ว่าคนร่างมาจากไหน อยู่ๆ ผุดขึ้นมาจากโคลนตม แล้วขึ้นมาเขียนรัฐธรรมนูญ? คงไม่ใช่ ซึ่งคนที่สร้างพวกเขาขึ้นมาก็คือ คสช.

สมมติถ้าร่างไม่ผ่านการออกเสียงประชามติ เราอาจบอกว่าประชาชนปฏิเสธผลงานที่ทำ คำถามคือ กรรมการร่างจะรับผิดชอบอย่างไร เขาบอกว่า เขาอุตส่าห์มาเขียนให้ก็เป็นบุญแล้ว คุ้มครองตั้งแต่ท้องแม่จนแก่เฒ่า จะให้รับผิดชอบอะไรอีก

ปัญหาคือ แล้วคนที่แต่งตั้งหรือเป็นที่มาของกรรมการร่างควรต้องมีความรับผิดชอบอะไรหรือเปล่า หรือร่างไปเรื่อยๆ แบบนี้ สักวันหนึ่งก็จะผ่าน เราอยากให้ประเทศเดินไปในทิศทางแบบนั้นหรือ เพราะฉะนั้น การโหวตไม่รับ ตรงที่สุดคือ ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ แต่รับหรือไม่รับเป็นปัญหาเรื่องความชอบธรรม ที่พูดเรื่องนี้เพราะโดยทัศนะส่วนตัว มองว่าบางคนเริ่มไขว้เขว พอมีบุคคลคนหนึ่งบอกว่า โหวตไม่รับแปลว่า อยากให้ คสช.อยู่นานๆ คนอาจไขว้เขว คิดว่าอยู่บ้านหรือไปโหวตเยสดีกว่า ท่านจะโหวตอย่างไรก็ตาม ท่านอย่าวอกแวก อย่าลังเล ศึกษาจากกติกาต่างๆ แล้วตัดสินใจไป

สมมติว่า ถ้ารัฐธรรมนูญผ่าน โดยทั่วไปก็คือความชอบธรรมของ คสช.ก็อาจจะมีมากขึ้น เพราะเขาถือว่าการใช้อำนาจตามมาตรา 44  ผ่านการรับรองแล้ว แต่ถ้าไม่ผ่าน ต่อให้เขาบอกว่าไม่ได้ร่างเอง แต่ทุกคนก็รู้ว่า คสช.เป็นคนตั้งกรรมการร่าง ความชอบธรรมของ คสช.ไม่น่าจะเหมือนเดิม จริงๆ อาจจะใช้คำไม่ถูก เพราะอาจจะมีคนถามว่า เคยมีความชอบธรรมด้วยหรือ

สำหรับบางคนที่ตัดสินใจโหวตรับ อาจด้วยความรู้สึกว่ารัฐธรรมนูญนี้อาจช่วยปราบคนโกง ปราบทุจริตคอร์รัปชัน เท่าที่ศึกษารัฐธรรมนูญของหลายประเทศ ไม่เคยพบว่ามีประเทศไหนเขียนรัฐธรรมนูญปราบโกง เราอาจเป็นประเทศแรก ลองนึกดูดีๆ การปราบการทุจริต ประชาชนทั้งหมดไม่ว่าจะมีความคิดเห็นทางการเมืองแบบไหนประเด็นนี้ย่อมเป็นประเด็นที่เห็นพ้องต้องกัน คงไม่มีใครอยากให้คนทุจริตคอร์รัปชันเข้าสู่อำนาจทางการเมือง แต่ปัญหาคือการปราบทุจริตทำง่ายเพียงแค่เขียนในรัฐธรรมนูญหรือ ถ้าทำง่ายแบบนั้นหลายประเทศคงเขียนไปแล้ว มันไม่ง่ายแบบนั้น

บทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ยกมากล่าวอ้างว่ามีลักษณะปราบโกง อันที่จริง การปราบโกงของเขาคือ การกำหนดคุณสมบัติคนเข้าสู่ตำแหน่งในองค์กรของรัฐ รวมทั้งการเอาออกจากตำแหน่ง แต่ปัญหาคือ การเข้าสู่ตำแหน่งและการเอาออกไม่ได้เป็นผลจากการโกงหรือไม่โกง แต่มีคำตัดสินของศาลเป็นฐาน

คำถามที่ยากขึ้นกว่านั้น คือ เราเชื่อได้ไหมว่า บุคคลที่ถูกศาลพิพากษาแล้วหรือมีคำสั่งต่างๆ ว่าทุจริต เป็นอย่างนั้นจริง โดยปกติเราก็น่าจะเชื่อได้ แต่ตลอดสิบปี เท่าที่ติดตามการเมืองไทยมา ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเชื่อได้ เพราะประเด็นที่กล่าวหาถ้าพันกับการเมือง มันยากจะเชื่อได้ว่า การวินิจฉัยต่างๆ ผ่านประจักษ์พยานหลักฐานต่างๆ ที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้นการจัดให้มีองค์กรตรวจสอบหรือการกันไม่ให้คนที่มีปัญหาเรื่องเหล่านี้เข้าสู่องค์กรของรัฐ ผมคิดว่าทุกคนเห็นด้วย แต่ปัญหาคือ ตราบเท่าที่การใช้กฎหมายไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน มันยากที่จะทำให้การปราบโกงบรรลุวัตถุประสงค์ลงได้

การใช้กฎหมายให้เป็นมาตรฐานเดียวกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ส่วนวิธีปราบโกงที่โลกนี้เขาใช้กัน คือ การเพิ่มความเป็นประชาธิปไตย โดยเชื่อว่ายิ่งเป็นประชาธิปไตยมาก ความโปร่งใสยิ่งมาก ถ้าทำอะไรไปแล้ว ตรวจสอบไม่ได้ ถูกฟ้องไม่ได้ แค่ติดฉลากสวมเสื้อว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม จบ อย่างนี้ไม่มีทางปราบโกงได้

คนที่เชื่อว่าจะปราบโกงด้วยวิธีเขียนรัฐธรรมนูญอาจต้องตรึกตรองให้มากขึ้น รวมถึงคนที่บอกว่าถ้านักการเมืองไม่เห็นด้วยก็รับไปเลย คิดแบบนี้ง่ายเกินไป เป็นการใช้สติปัญญาไม่เต็มศักยภาพที่ควรจะใช้

ถ้าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จะมีวิธีแสดงออกอย่างไร

ถ้ามีการประชามติเกิดขึ้นจริง ในวันที่ 7 ส.ค. ประชามติครั้งนี้ต่างจากประชามติเมื่อ 9 ปีก่อนครั้งนั้น ผมได้ร่วมดีเบตว่าควรจะมีความเห็นอย่างไรต่อรัฐธรรมนูญ ตอนนั้นประเด็นคำถามมีประเด็นเดียวว่า เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญนี้ แต่อันนี้มีสองประเด็น ประเด็นแรก เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบรัฐธรรมนูญ ถ้ารับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็กาในช่องในช่องซ้ายมือ คือช่องเห็นชอบ ถ้าไม่รับก็กาในช่องในช่องขวามือ คือช่องไม่เห็นชอบ บังเอิญ ผมเป็นคนถนัดขวา ผมก็จะกาทางด้านขวามือ

แต่เที่ยวนี้มีประเด็นเพิ่มเติมอีก เป็นคำถามพ่วงที่ถามว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี” ในประเด็นนี้ก็มีสองช่อง ช่องซ้าย คือเห็นชอบ ขวาคือ ไม่เห็นชอบ

ประเด็นคำถามพ่วง อ่านแล้วจะงง เขียนในเชิงประเมินคุณค่าด้วย มีลักษณะจูงใจ คำถามไม่ได้ตั้งในลักษณะที่เป็นภววิสัยเท่าที่ควร ความหมายคืออะไร ปกติการเลือกนายกฯ องค์กรซึ่งมีอำนาจเลือกนายกฯ คือ สภาผู้แทนฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง ส.ว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งไม่เกี่ยวเพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง โดยกลไกถ่วงดุลอำนาจ นายกฯ พ้นตำแหน่งได้เมื่อสภาผู้แทนฯ ไม่ไว้วางใจ นายกฯ มีสิทธิยุบสภาได้ กรณีเกิดเดทล็อคทำแบบนั้นได้ ในร่างนี้เขียนว่าถ้าเลือกไม่ได้ คนที่พรรคการเมืองเสนอมาสามชื่อไม่มีความสามารถเท่ากับอีกคนหนึ่งที่ยังไม่เผยตัวให้เห็นตอนนี้ เขาให้ ส.ส.ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งไปขอประชุมร่วมกับ ส.ว.และขอปลดล็อค และเลือกนายกฯ โดยไม่ต้องเลือกจากคนที่มีรายชื่อ ไม่ต้องเลือกจาก ส.ส. เป็นคนนอกก็ได้

แต่คำถามพ่วงปลดล็อคอีกชั้น คือ ปกติ ส.ว.ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการเลือกตั้งนายกฯ แต่ถ้าคำถามนี้ผ่าน ใน 5 ปีแรก ส.ว.มาร่วมโหวตนายกฯ ด้วย ประเด็นคือ ส.ว.ในช่วง 5 ปีแรกมาจากการแต่งตั้งของ คสช. เพราะฉะนั้น ตีความคำถามพ่วงนี้คือ เห็นชอบด้วยไหม ให้ ส.ส.และ ส.ว.ที่มาจาการแต่งตั้งโดย คสช. เป็นผู้ให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

โดยเหตุที่ผมนั้นคำถามแรกถนัดขวาไปแล้ว คำถามที่สองจะมาถนัดซ้ายก็กระไรอยู่ เพราะฉะนั้น โดยส่วนตัวผมเอง ในบัตรออกเสียงประชามติจะกาด้านขวามือ 2 ช่อง

วิธีการกา ท่านต้องกากบาท ซึ่งได้อารมณ์มากๆ ความรู้สึกต่างๆ ก็จะออกไปตอนกานั่นแหละ

สุดท้าย หลายคนกังวลหรือคิดเลยไป ผลออกมารับหรือไม่รับเป็นอย่างไร ก็เป็นสิทธิที่แต่ละคนจะคิด เพียงแต่ตอนนี้เราต้องเข้าใจว่าอำนาจถูกยึดไปตั้งแต่ 22 พ.ค. 2557 การเรียกคืนซึ่งอำนาจไม่ใช่เป็นของง่าย มีขั้นตอนในสภาวะที่ประชาชนยังไม่ได้เข้มแข็งมากพอ คือถ้าเกิดว่าประชาชนเป็นใหญ่จริงๆ หน้าตาคนร่างอาจเป็นอีกอย่าง และเราน่าจะได้คนซึ่งต้องจริงใจต่อประชาชนและมีสัมมาทิฏฐิ คือ เห็นอย่างถูกต้องว่า ในรัฐสมัยใหม่ที่เป็นนิติรัฐและประชาธิปไตย อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของประชาชน การเขียนรัฐธรรมนูญของเขาเหล่านั้น ทุกองคาพยพจะสืบสาวกลับมาที่แหล่งกำเนิดของอำนาจคือ ตัวประชาชนได้ โดยวิธีสำรวจตรวจสอบว่ารัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ทำง่ายๆ เอาองค์กรหนึ่งแล้วลากแผนผังลงมาถ้าเส้นที่ลากไม่ถึงประชาชน อันนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตย ซึ่งในความเห็นผม รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีอยู่หลายองค์กร

ในห้วงเวลาของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญอาจไม่ทำให้เรามีเงินในกระเป๋าเพิ่มมากขึ้นในฉับพลันทันทีเหมือนยาวิเศษ ในเยอรมนี เขาแยกเป็นสองประเทศ หรือในเอเชีย เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ รัฐธรรมนูญเป็นอย่างไรจะกำหนดชะตากรรมของรัฐๆ นั้น แม้เป็นคนชาติเดียวกันไม่โง่หรือไม่ฉลาดไปกว่ากัน สติปัญญาไล่เลี่ยกัน แต่ถ้าแยกกันแล้วใช้รัฐธรรมนูญคนละฉบับซึ่งหมายถึงการจัดการปกครองคนละระบบ ประวัติศาสตร์โลกพิสูจน์ให้เห็นนับครั้งไม่ถ้วนว่า ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย การคอร์รัปชันจะน้อยกว่า ประชาชนจะมีมาตรฐานในการดำรงชีวิตสูงกว่า เขากำหนดชะตากรรมของเขาเอง ไม่ต้องให้ใครสวมเสื้อคลุมคนดีมีคุณธรรมมากำหนดให้

ผมเข้าใจดีว่าในช่วงสองปีมานี้ หลายคนอาจเกิดความเบื่อหน่าย ท้อแท้ ผิดหวัง รู้สึกว่ากระบวนการที่จะได้มาซึ่งประชาธิปไตยดูจะยาวนาน แต่ทุกอย่างไม่ได้ได้มาง่ายๆ ถ้าใครเหนื่อยก็พัก ไม่มีใครว่าอะไร หายเหนื่อยก็กลับมาสู้ ขออย่างเดียว ขอให้อุดมการณ์ประชาธิปไตย การปกครองโดยกฎหมายที่เป็นธรรมโชติช่วงอยู่ในใจของผู้รักประชาธิปไตยทุกคน

สิ่งที่เผด็จการกลัวที่สุดก็คือไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่ในใจของทุกคนที่ดับไม่ได้ เผด็จการทั้งหลายในโลกนี้ไม่ว่ามีลักษณะอย่างไร จะฉาบเคลือบด้วยเสื้อคลุมแบบไหนก็ตาม สิ่งเดียวที่เขาชอบคือ ความหวังของผู้คนที่ใฝ่หาเสรีและประชาธิปไตยมอดดับลง

ตราบเท่าที่ความหวังในหัวใจของคนรักประชาธิปไตยทั้งหลายยังโชติช่วงอยู่ แสดงออกได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่จิตใจยังมั่นคงอยู่เสมอ วันนึงเผด็จการจะรู้ว่าเขาดับไฟในใจของทุกคนไม่ได้ และเมื่อถึงเวลาที่ไฟในใจของแต่ละคนรวมกัน วันนั้นคือวันที่ผมเชื่อว่าเราจะมีประชาธิปไตย มีกฎหมายที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง

ขอเป็นกำลังใจให้ผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลาย ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง เพื่อคนรอบข้าง เพื่อลูกหลานเรา ที่จะได้มีสังคมที่ดีงาม เป็นสังคมที่มีอนาคตต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย #115 ความเป็นชาติกับความเป็นชาย

$
0
0

หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ พบกับปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ และแขกรับเชิญ ชานันท์ ยอดหงษ์ ว่ากันด้วยเรื่องความเป็นชาติตีความผ่านความเป็นชาย ทั้งนี้รัฐสยามเริ่มเข้าสู่ความเป็นชาติสมัยใหม่ เมื่อเริ่มทำแผนที่ ปักปันเขตแดน มีการตั้งกองทัพสมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่การตั้งกรมยุทธนาธิการ จนกระทั่งออก พ.ร.บ. ลักษณะเกณฑ์ทหาร พ.ศ. 2448 แทนที่การเกณฑ์ไพร่แบบรัฐจารีต เปลี่ยนเป็นกองทัพสมัยใหม่ที่มีการเกณฑ์ชายฉกรรจ์เป็นทหาร ทั้งนี้รัฐสมัยใหม่ที่มีความสนใจในเรื่องเพศของพลเมืองในรัฐ เพื่อการจัดสรรทรัพยากร ตลอดจนเมื่อนำ 'ชาติ' กับ 'ความเป็นชาย' มาผูกกันแล้วจะส่งผลต่อวิธีคิดและการปกครองพลเมืองของรัฐอย่างไร ติดตามได้ในรายการ

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่

https://www.facebook.com/maihetpraphetthai หรือ

https://www.youtube.com/playlist?list=PLyjd9jzMpO2Xby4FyxWMwY8auIFY01eVQ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐไม่พันลึก-บทเรียนการต้านรัฐประหารตุรกีถึงไทย

$
0
0

 

รัฐประหารที่ล้มเหลวของกองทัพตุรกีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานำสู่การตั้งคำถามทั้งในประเด็นทางวิชาการและข้อเสนอทางการเมือง เช่น การยกขึ้นมาว่าความล้มเหลวของรัฐประหารเป็นเรื่องเฉพาะของประเทศตุรกีและไม่มีวันเกิดขึ้นที่ไทยได้ด้วยบทบาทของชนชั้นสูงที่มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญในการสนับสนุนรัฐประหาร หรือ รัฐประหารที่เกิดขึ้นเป็น “รัฐประหารเก๊”ของรัฐบาลอำนาจนิยมจากการเลือกตั้งที่วางแผนเพิ่มความชอบธรรมให้แก่ตนเองในการปราบปรามฝ่ายตรงข้าม หรือการสร้างข้อสรุปที่ว่าความสลับซับซ้อนของชนชั้นนำและสถาบันการเมืองของสองพื้นที่ ทำให้ไม่สามารถนำสองพื้นที่นี้มาเปรียบเทียบกันได้เลย หรืออีกทางหนึ่งคือ หากรัฐประหารนี้คือของเก๊ การต่อสู้ของประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็พลอยเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ไม่สามารถใช้เป็นตัวแบบอ้างถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย? ดังนั้นคำถามสำคัญที่ต้องขบคิดคือ เราสามารถเรียนรู้การล้มรัฐประหารของประชาชนตุรกีในฐานะตัวแบบของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้หรือไม่หากมันเป็นเพียงแค่ฉากของชนชั้นนำในการแสวงหาความชอบธรรม

ผู้เขียนขอสรุปประเด็นสำคัญสามประเด็นคือ 1.ข้อถกเถียงความเฉพาะ (Particularism) และความเป็นสากล (Universalism) ของการประยุกต์ปรากฏการณ์ในพื้นที่หนึ่งเพื่ออธิบายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกพื้นที่ 2.ปัญหาคำอธิบายแบบ “รัฐพันลึก” กับการสร้างความเฉพาะที่ลดทอนบทบาทสำคัญของการต่อสู้ของประชาชนในระดับชีวิตประจำวันและอธิบายความขัดแย้งทุกอย่างผ่านเครือข่ายและสถาบันการเมืองของชนชั้นนำ 3. ข้อถกเถียงของคำอธิบายว่ารัฐบาลอำนาจนิยมที่มาจากการเลือกตั้งจะผลักดันให้ประชาธิปไตยอ่อนแอ


1.ข้อถกเถียงความเฉพาะ (Particularism) และความเป็นสากล (Universalism) เรามักคุ้นเคยกับคำอธิบายของสื่อมวลชน หรือทฤษฎีทางวิชาการถึงปัญหาของประเทศหนึ่งที่อาจเชื่อมตรงสู่อีกประเทศหนึ่งผ่านจุดเชื่อมต่อเล็กๆแต่สร้างผลกระทบต่อทั้งสังคมในวงกว้าง ดังนั้นเรื่อง Universalism จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ที่มาพร้อมกับกระแสปฏิวัติ IT หรือการสิ้นสุดของสงครามเย็น แนวคิดประชาธิปไตยกระแสหลักที่เสนอโดย Weyland หรือ Huntington ก็ให้ความสำคัญต่อการแพร่กระจายของ “สำนึกประชาธิปไตย”ในแต่ละยุคที่เข้าสู่พื้นที่ที่มีความเฉพาะแตกต่างกัน S.M.Lipset ชี้ถึงบทบาทของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่หลอมรวมวิถีชีวิตความคาดหวังอันนำสู่การวางเงื่อนไขของการเรียกร้องให้เกิดการปกครองแบบประชาธิปไตย และไม่ใช่เพียงฝ่ายเสรีนิยมเท่านั้น ฝ่ายซ้ายเองล้วนมีแนวคิดการผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในพื้นที่หนึ่งสู่อีกพื้นที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ทฤษฎีระบบโลกของ Lenin ข้อเสนอกระบวนการสะสมทุนในระบบทุนนิยมโลกของ Rosa Luxemburg หรือนักวิชาการฝ่ายซ้ายร่วมสมัยอย่าง David Harvey ก็ชี้ให้เห็นถึง “การบีบอัดของเวลาและสถานที่”  ก็ชี้ให้เห็นว่าความเปราะบางที่ผู้คนเผชิญอยู่นั้นเป็นลักษณะร่วมกันทั้งโลกมิอาจแยกขาดออกจากกันได้

หากพิจารณาเงื่อนไขข้างต้น “ความเฉพาะ” ดูไม่มีความหมายเลยหรือ ? ทั้งๆที่ตามความเป็นจริงแล้วการที่ลักษณะสากลจะทำงานได้ดีในแต่ละพื้นที่จำเป็นต้องวางอยู่บนเงื่อนไขความเฉพาะของแต่ละพื้นที่อย่างมาก เช่น ทำไมไม่มีพรรคสังคมนิยม(ตามทฤษฎี)ในญี่ปุ่นแต่กลับเติบโตในเยอรมนีตะวันตก (ซึ่งใกล้กับประเทศคอมมิวนิสต์อย่างเยอรมนีตะวันออกแบบแบ่งกันด้วยกำแพง) หรือเหตุใดประเทศประชาธิปไตยที่เก่าแก่อย่างสหรัฐอเมริกาถึงไม่มีพรรคสังคมนิยมที่เทียบได้กับยุโรปตะวันตก และเมื่อหันมาเทียบกับ กรณีศึกษา ตุรกี-ไทย ด้วยคำถามสำคัญที่ว่าเหตุใด รัฐประหารที่ตุรกีจึงล้มเหลว และประสบความสำเร็จในไทย การอธิบายเรื่องนี้จึงไม่สามารถอธิบาย ด้วยลักษณะเฉพาะ และสากล เพียงลำพังได้ผู้เขียนขออธิบายลักษณะ สากล เฉพาะควบคู่กันดังนี้


1.1 ความเป็นสากลของฝ่ายขวาทั่วโลก ไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฝ่ายขวา นับแต่ศตวรรษที่ 21 การเสื่อมถอยของฝ่ายซ้ายนำสู่การครอบงำอย่างเป็นระบบของฝ่ายขวาผ่านลัทธิเสรีนิยมใหม่ ฝ่ายขวาทั่วโลกเชื่อมร้อยกับการสะสมทุนที่เชื่อมร้อยการผลิตทั่วโลก พวกเขาอาศัยประโยชน์จากทุนนิยมการเงิน การเปิดการค้าเสรี และสร้างพันธมิตรกับกลุ่มทุนข้ามชาติ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็รื้อฟื้นลัทธิชาตินิยมมาสอดรับกับลัทธิเสรีนิยมใหม่ ในไทยกลุ่มนี้คือเครือข่ายความสัมพันธ์รัฐราชการ-นักธุรกิจ-กองทัพ ตั้งแต่ยก พลเอกเปรม และสืบสายผ่านการปรับตัวของรูปแบบการสะสมทุนแต่เครือข่ายอำนาจของพวกเขาผูกขาดและกระจุกตัวมากขึ้น คนในประเทศมีอำนาจต่อรองน้อยลง ลักษณะเช่นนี้ปรากฏในตุรกีเช่นกัน ในไทยลัทธิจารีตนิยมแบบไทยๆถูกขุดขึ้นมาเพื่อวางระเบียบผู้คนในช่วงปลายสงครามเย็น ในตุรกีลัทธิ Kemal ก็็ถูกใช้ในลักษณะแบบแผนของรัฐราชการและการรักษาระเบียบแบบชาตินิยม แม้จะมีข้อถกเถียงว่าลัทธิ Kemal มีความเป็นฆราวาสวิสัย (Secularism) สนับสนุนการพัฒนาแบบชาติตะวันตก แต่ในทางปฏิบัติแล้วมันเป็นเครื่องมือของกองทัพในการแอบอ้างผูกขาดความรักและการพัฒนาชาติตน เป็นช่องทางการเลื่อนสถานะของชนชั้นกลาง ที่นิยมชมชอบ “การเมืองแบบใดก็ได้” ที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศเจริญและทันสมัย ความเป็นสากลของฝ่ายขวานี้เป็นลักษณะร่วมสำคัญที่วางเงื่อนไขอำนาจนิยมในการปกครองไม่ว่าที่มารัฐบาลจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม โดยรวมแล้วความฝันอันสูงสุดของฝ่ายอนุรักษ์นิยมคือการทำให้ประชาธิปไตยคงอยู่แต่ไร้ความหมายและการเลือกตั้งเป็นแค่แฟนตาซีอันไม่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงใดๆได้

1.2 ความเฉพาะของขบวนการฝ่ายซ้าย แม้ว่าขบวนการฝ่ายขวาจะมีความเป็นสากลในเงื่อนไขของการพยายามสถาปนาอำนาจนำผ่านการกำหนดจารีตชีวิตเศรษฐกิจการเมือง ฝ่ายขวามักทำให้การต่อสู้ของฝ่ายซ้ายกระจัดกระจายและเป็นเรื่องเฉพาะ ฝ่ายซ้ายมักอ่อนแอกระจัดกระจายดังเห็นได้จาก ขบวนการภาคประชาชนไทยที่เป็นตัวอย่างของการต่อสู้ที่เน้นเฉพาะประเด็นตัวเองขาดการเชื่อมโยง และพยายามทำให้ตัวเองปลอดการเมืองซึ่งทำให้ขาดอำนาจการต่อรองที่แท้จริง พวกเขาจำนวนหนึ่งมักยินดีกับรัฐบาลใดก็ได้ที่สามารถผลักดันประเด็นเฉพาะของตัวเองให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิทางเพศ สิทธิสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ลักษณะข้างต้นก็ปรากฏในตุรกีเช่นกัน ความล้มเหลวของฝ่ายซ้ายในการขยายแนวร่วมทำให้พรรคการเมืองแนวศาสนานิยมก้าวเข้ามา ที่เริ่มจากการต่อต้านสังคมที่เต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรมแต่สื่อสานด้วยทางเลือกที่เข้าถึงประชาชนมากกว่า การก้าวเข้าสู่ตำแหน่งของ Erdogan จึงมีความคล้ายกับทักษิณ ชินวัตร ในแง่ของการเป็นชนชั้นนำกลุ่มใหม่ที่เชื่อมตรงกับความต้องการของประชาชนได้มากกว่าชนชั้นนำกลุ่มเดิม พวกเขามีนโยบายหลายอย่างที่คล้ายกันในการขุดแนวคิดชาติ-ศาสนานิยมขึ้นมาเพื่อการปกครอง อันนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สะท้อนความล้มเหลวในขบวนการฝ่ายซ้ายที่ปล่อยให้ชนชั้นนำอีกกลุ่มฉกฉวยโอกาสนี้ ความแตกต่างที่สำคัญคือการที่พรรคการเมืองของ Erdoganเลือกการสร้างความชอบธรรมจากประชาชน (ไม่ว่าจะจริงใจมากน้อยเพียงใด) แต่ ทักษิณไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะพยายามหาช่องทางประนีประนอมกับชนชั้นนำไม่ว่าผู้สนับสนุนของพวกเขาจะต้องเสียชีวิต ถูกจับกุมคุมขังหรือต้องลี้ภัยการเมืองมากเพียงใด


2.ปัญหาคำอธิบายแบบ “รัฐพันลึก” กับการสร้างความเฉพาะที่ลดทอนบทบาทสำคัญของการต่อสู้ของประชาชนในระดับชีวิตประจำวันแนวคิดรัฐพันลึก (Deep State) นำเสนอโดย เออเชนี เมริโอ และมีการอ้างถึงโดยนักวิชาการที่เป็นที่รู้จัก อย่าง ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ นิธิ เอียวศรีวงศ์  โดยผู้เขียนขอยกประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการถกเถียงครั้งนี้ ตามข้อเสนอที่เข้าใจตรงกัน รัฐพันลึก ต่างจากรัฐทั่วไปที่องค์กรหรือสถาบันทางการเมืองจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อชีวิตพลเมือง แต่ “รัฐพันลึก”ต่างจากรัฐปกติที่มีองค์กร กลุ่มคน สถาบันทางการเมืองที่ตัดสินและดำเนินการใดๆโดยไม่ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อประชาชน หรือความชอบธรรมตามรูปแบบปกติที่ “รัฐปกติ” ดังนั้นเมื่อพิจารณากรณีไทย และตุรกี จึงเสมือนว่า ทั้งคู่ต่างมี Deep State ของตัวเองที่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ เช่นเครือข่ายชนชั้นนำของไทยที่ยึดโยงชนชั้นกลาง ศาสนา กษัตริย์ ค่านิยมไทย เช่นเดียวกับการทำงานของกลไกอำนาจรัฐของตุรกีที่ดูมีความเฉพาะซ่อนเร้นและเสมือนว่ายากที่คนนอกจะเข้าใจการยึดโยงของสถาบันทางการเมืองต่างๆ  ซึ่ง ใจ อึ๊งภากรณ์ชี้ว่า “การสรุปเช่นนี้จึงเป็นการละเลย สภาพ รัฐปกติ ของระบบทุนนิยม ที่ทำหน้าที่ในการปกครองและกดขี่ประชาชนเพื่อผลประโยชน์ของผู้ปกครองเป็นปกติ” ความแตกต่างในแต่ละรัฐไม่ได้เกิดจากกลไกที่ซับซ้อนของเครือข่ายชนชั้นนำที่ฟอร์มความสัมพันธ์เป็นเครือข่ายและสถาบัน แต่เกิดจากความเข้มแข็งต่อสู้ของขบวนการฝ่ายซ้าย ดังนั้น “รัฐ” โดยพื้นฐานจึงไม่ได้มีหน้าที่ในการปกครองดูแลประชาชนเป็นพื้นฐาน ความแตกต่างของแต่ละพื้นที่จึงเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อย แต่ทำให้ภาพของการต่อสู้ของประชาชนในระดับชีวิตประจำวันน้อยลง

กรณีไทย เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ถูกอธิบายโดยนักวิชาการแนวประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ในการพยายามหาจุดร่วมของกลุ่มก้อนทางสังคมในกรณีต่างๆที่ทำให้เผด็จการถนอม-ประภาสถูกโค่นล้ม แน่นอนว่ามีกลุ่มฝ่ายขวาที่ได้ประโยชน์จาก 14 ตุลา 2516 ไม่ว่าจะเป็นนายทหารฝ่ายตรงข้าม สหรัฐอเมริกา กลุ่มทุน หรือสถาบันกษัตริย์เอง พวกเขาเหล่านี้จึงมีส่วนสำคัญในการเขียนประวัติศาสตร์ให้ถูกเข้าใจว่า 14ตุลา คือการขับเคลื่อนของพลังนักศึกษา-พลังบริสุทธิ์ไม่ยึดติดกับอุดมการณ์ทางการเมืองใดๆนอกจาก การปรารถนารัฐธรรมนูญ (ซึ่งตอนจบได้นายกฯพระราชทาน) 14 ตุลาเป็นตัวอย่างของการที่ฝ่ายขวาสามารถฉกฉวยความหมายจากการต่อสู้ได้ แต่ มิใช่หมายความว่าไม่มีความขัดแย้งมาก่อนหน้านั้น และเป็นไปไม่ได้เลยที่การต่อสู้ต่อต่อเผด็จการที่ปกครองมาอย่างยาวนานนับทศวรรษ จะเกิดขึ้นในวันเดียว ความพยายามในการฉกฉวยประโยชน์ของชนชั้นนำเป็นตัวอย่างสำคัญที่เบลอภาพความไม่พอใจของประชาชนต่อวิธีการปกครองที่เป็นเผด็จการของ ถนอม-ประภาส

ลักษณะนี้ปรากฏขึ้นในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ปี 2551-2553 การพยายามสร้างภาพพจน์คนเสื้อแดงที่ “ถูกจ้าง” หรือจัดตั้งโดยหัวคะแนนพรรคเพื่อไทย (ไม่ใช่หมายความว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี) ก็เป็นความพยายามในการลดทอนความหมายของการต่อสู้ในชีวิตประจำวันของผู้ถูกกดขี่เช่นกันโดยโยนทุกอย่างให้กลายเป็น “เรื่องลึกลับ”ของชนชั้นนำ สำหรับม็อบ กปปส. อาจมีคำถามต่อความจริงใจของสุเทพฯต่อข้อเสนอการเมืองใหม่ แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความเป็นผู้ชูลัทธิชาตินิยม อนุรักษ์นิยมของผู้ติดตามของเขาในม็อบ กปปส.น้อยลงเช่นกัน ผู้นำทางการเมืองคือผู้ที่แสดงตอบสนองต่อความต้องการของคนในสังคม  เมื่อย้อนไปในตุรกี เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็น “รัฐประหาร”จัดฉาก คำตอบคือเป็นไปได้ และก็เป็นไปไม่ได้ แต่ภายใต้การต่อสู้ทางการเมืองการจัดฉากเป็นสิ่งที่ปรากฏทั่วไป แต่ “การเป็นรัฐประหารเก๊” ก็ไม่ได้บั่นทอน ความหมายของการต่อสู้ของผู้ปฏิเสธรัฐประหารให้น้อยลง เช่นกัน แน่นอนมันมีคำถามทางจริยธรรม ของผู้นำทางการเมืองไม่ว่าจะเป็น แกนนำ นปช.  สุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ Erdogan ต่อผู้สนับสนุนพวกเขา ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับการอุทิศหรือฆ่าชีวิตใดๆเพื่ออุดมการณ์นามธรรมซ้ายหรือขวา แต่ก็เป็นคนละเรื่องกับว่าหากผู้นำทางการเมืองวางแผนทางการเมืองใดๆ จะทำให้ข้อเสนอหรือจุดยืนทางการเมืองของผู้สนับสนุนด้อยค่าและไม่สำคัญ


3.ปัญหารัฐบาลอำนาจนิยมที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลโดยมากมีแนวโน้มที่ปกครองด้วยลักษณะอำนาจนิยม ความแตกต่างเกิดขึ้นจากช่องทางการต่อรองของชนชั้นล่าง การเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งหรือรัฐประหารไม่ได้เป็นการรับรองคุณภาพของรัฐบาล แต่หากตราบใดที่ที่มาของอำนาจยังคงเป็นการเลือกตั้ง ก็ยังเป็นการยืนยันสิทธิการต่อรองของประชาชนต่อวิธีการกดขี่ของรัฐได้ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ empty dream-ที่ไม่ต้องสนใจว่าปกครองแบบใดก็ได้ อย่างน้อยที่สุดการปกครองแบบประชาธิปไตย ก็เปิดโอกาสในการก่อตัวรวมตัวของฝั่งตรงข้ามมากกว่า การปฏิสัมพันธ์เจรจาบนฐานผลประโยชน์ของชนชั้น รัฐบาลเลือกตั้งของทั้งไทย และตุรกี มีความผิดพลาดและไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัด ในไทย นโยบายอำนาจนิยมของ ทักษิณนำสู่การฆ่าตัดตอนยาเสพติด รวมถึงความรุนแรงที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สมัยยิ่งลักษณ์ พรบ.นิรโทษกรรม ก็มีกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างมาก ในตุรกี การสวมรอย ของ Erdogan ต่อความขัดแย้งด้วยการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือก็นำสู่การกดขี่ชาว เคิร์ดอย่างกว้างขวาง แต่เมื่อใดที่ทั้งสองประเทศนี้ยกเลิกระบบการเลือกตั้ง อำนาจเผด็จการที่มีที่มาจากการรัฐประหารจะไม่มีวันมองเห็นปัญหาในปัจจุบัน พวกเขาสามารถแค่เยียวยาปลุกเร้าปัญหาในอดีต เช่นเดียวกับ รัฐบาลจากการทำรัฐประหารของไทยพยายามทำและกดปัญหาปัจจุบันให้ซ่อนเร้นไว้ โดยสรุปแล้วไม่มีใครปรารถนารัฐบาลอำนาจนิยมจากการเลือกตั้งเช่นเดียวกับ รัฐบาลจากการการทำรัฐประหาร แต่การแก้ปัญหาต้องดำเนินการผ่าน “ตัวประชาธิปไตย”เอง มิใช่การยืมเครื่องมืออื่นที่ตรงข้ามกับประชาธิปไตยมาแก้ปัญหาเช่น การทำรัฐประหาร หรือการนำศาสนา-จารีต-รัฐราชการ มากดทับเพราะมันจะไม่มีวันแก้ปัญหาระยะยาวได้

0000
 

 

เอกสารอ่านเพิ่มเติม (อ้างอิงแบบย่อ)

Weyland, Kurt.  2010.  “The Diffusion of Political Regime Contention in European Democratization,1830-­‐1940,” Comparative Political Studies, 43, 8/9:1148-­‐1176

Lipset, Seymour  Martin.1983. Political Man: The Social Bases of  Politics. William Heinemann Ltd. Ch.    2, pp. 27-63.

Wintrobe, Ronald. 2007.  “Dictatorship: Analytical Approaches.” In Carles Boix and Susan Stokes,eds.    The Oxford Handbook of Comparative Politics. New York: Oxford University Press: 363-­‐394

“ประเทศไทยไม่มีรัฐพันลึก”-ใจ อึ๊งภากรณ์ https://turnleftthai.wordpress.com/2016/07/10

นิธิ เอียวศรีวงศ์: รัฐพันลึกกับร่างรัฐธรรมนูญ  http://prachatai.com/journal/2016/04/65105

 

หมายเหตุ:จากบทความเดิมชื่อ ข้อคิดการเมืองเปรียบเทียบมิติร่วมเวลา-ข้ามพื้นที่  ถ้ารัฐ “ไม่พันลึก” - การเมืองไทยและตุรกีกับการเปรียบเทียบเทียบข้ามพื้นที่

 

เกี่ยวกับผู้เขียน  ผศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี เป็นอาจารย์ผู้สอนอยู่ วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

43 องค์กรนักวิชาการ-นักศึกษา-ประชาชน ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง

$
0
0

24 ก.ค. 2559 ตามที่มีการจัดเวที "ใส่ใจประชามติรัฐธรรมนูญ กับอนาคตประชาชน" โดย เครือข่ายองค์กรนิสิตนักศึกษาและประชาชนรวม 43 องค์กร ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์นั้น

ในช่วงท้ายเวทีมีการอ่านแถลงการณ์ของเครือข่าย 43 องค์กร โดยมีข้อสรุปเกี่ยวกับการลงประชามติโดยเห็นร่วมกันที่จะ “โหวตโน” ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ด้วยเหตุผลสำคัญ 4 ประการ คือ 1. กระบวนการขาดความชอบธรรม 2. เนื้อหาทำประเทศถอยหลัง 3. ไม่ควรฝากอนาคตไว้กับ คสช. 4. หากรัฐธรรมนูญรับแล้วแก้แทบไม่ได้ พร้อมเรียกร้องให้ คสช. หยุดกดดัน คุกคาม ดำเนินคดีผู้ที่คิดต่าง เพื่อให้การลงประชามติเป็นไปอย่างเปิดเผยและยุติธรรม

โดยแถลงการณ์ซึ่งอ่านโดยอนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีรายละเอียดดังนี้

แถลงการณ์ร่วมเครือข่ายนักวิชาการนิสิตนักศึกษาและประชาชน 43 องค์กร

เรื่อง รัฐธรรมนูญของประชาชน

วันที่ 7 สิงหาคม 2559 ที่จะถึงนี้ จะเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งในการกำหนดอนาคตของสังคมไทย เพราะเป็นวันออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับคสช. เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) และเครือข่ายองค์กรนิสิตนักศึกษาและประชาชนรวม 43 องค์กร มีข้อสรุปเกี่ยวกับการลงประชามติที่ขอประกาศต่อสาธารณะ ดังนี้

1. พวกเราทั้ง 43 องค์กร เห็นร่วมกันที่จะ “โหวตโน” ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ด้วยเหตุผลสำคัญ 4 ประการ คือ

1.1) กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ขาดความชอบธรรมตั้งแต่ต้น เนื่องจาก คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มิได้มาจากประชาชนและเป็นการร่างที่ปราศจากการรับฟังเสียงและความเห็นของประชาชน โดยกรธ.ให้ความสำคัญกับความต้องการของคสช. ผู้ฉีกร่างรัฐธรรมนูญฉบับเก่าเป็นสำคัญ ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศจำเป็นต้องมีที่มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนตั้งแต่เริ่มต้น

1.2) เนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญจะนำพาประเทศให้ถอยหลัง ทั้งในด้านหลักการประชาธิปไตยและด้านสิทธิและสวัสดิการของประชาชน ไม่ว่าจะเป็น การให้คสช.มีอำนาจแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่มีจำนวนมากถึง 250 คน และคำถามพ่วงที่จะให้สว. มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีได้ นอกจากนี้ องค์กรอิสระที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนจะมีอำนาจกว้างขวางสามารถถอดถอนและควบคุมรัฐบาลได้ ทั้งหมดนี้จะทำให้เสียงของประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งสส. เพื่อไปตั้งรัฐบาล ไม่เป็นผล การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นตามร่างรัฐธรรมนูญนี้จึงเป็นเพียงเครื่องมือรองรับความชอบธรรมในการสืบทอดอำนาจของคสช. เท่านั้น

ในด้านสิทธิและสวัสดิการของประชาชน ปัจจุบันประชาชนสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างน้อยสามประการคือ การศึกษา การรักษาพยาบาล และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แทนที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะคงไว้และสืบทอดสิทธินี้ แต่กลับย้อนหลังไปใช้วิธีการสงเคราะห์ ทำให้ผู้ที่จะเข้าถึงสวัสดิการข้างต้นต้องแสดงตัวเป็นคนอนาถาผู้ยากไร้ เท่ากับเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนคนไทย อีกทั้งร่างรัฐธรรมนูญยังจะทำให้เกิดการแบ่งแยกและเหลื่อมล้ำทางด้านศาสนา

1.3) บทเรียนการบริหารประเทศที่ผ่านมาของคสช. ทำให้ประชาชนรู้ชัดว่า ไม่อาจฝากอนาคตไว้กับ คสช. ได้อีกต่อไป เพราะ คสช.บริหารประเทศด้วยการลิดรอนสิทธิและไม่รับฟังเสียงของประชาชน เช่น ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองและการควบคุมอาคารในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และออกพรบ.เหมืองแร่ที่เอื้อกับนายทุน นโยบายคืนผืนป่าที่มุ่งยึดที่ดินของคนจนมากกว่านายทุน การไม่อุดหนุนราคาพืชผลเกษตรกร ปล่อยให้เกษตรกรเดือดร้อน การหักล้างหลักการของรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เรื่องการทำสัญญาระหว่างประเทศ การผลักดันโรงงงานไฟฟ้าเทพา การคุกคามประชาชนด้วยการเรียกไปปรับทัศนคติ รวมถึงการคุกคามแม้กระทั่งประชาชนที่รณรงค์อย่างสันติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ

1.4) รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบให้แก้ไขแทบจะเป็นไปไม่ได้ เช่น ต้องผ่านถึงสามขั้นตอน ต้องได้รับความเห็นชอบจากพรรคการเมืองทุกพรรคในสภา จึงทำให้ คำกล่าวที่ว่า รับร่างรัฐธรรมนูญไปก่อนแล้วไปแก้ที่หลัง ในคราวลงประชามติปี 2550 ใช้ไม่ได้กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้

2. เราขอเรียกร้องให้ คสช. หยุดกดดัน คุกคาม ดำเนินคดีที่คิดต่าง เพื่อให้การลงประชามติเป็นไปอย่างเปิดเผยและยุติธรรม และหยุดการใช้กลไกของราชการให้ข้อมูลแก่ประชาชนเพียงด้านเดียว ตรงกันข้ามต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชนทั้งที่ได้แสดงความเห็นและและได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน

วันที่ 24 กรกฎาคม 2559

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

องค์กรร่วมจัดงาน 

1. เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง 
2. สมาคมรัฐศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 
3. สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล 
4. มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม 
5. มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม 
6. เครือข่ายคนรุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม 
7. เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ-บำนาญแห่งชาติ 
8. มูลนิธิบูรณะนิเวศ 
9. เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก 
10. มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน(ประเทศไทย) 
11. มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย 
12. สมัชชาคนจน 
13. กลุ่มละครมะขามป้อม 
14. เครือข่ายพลเมืองเน็ต 
15. สมัชชาอู่ข้าวอู่น้ำภาคกลาง 
16. มูลนิธินโยบายสุขภาวะ 
17. ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ 
18. กลุ่ม Mini Drama 
19. กลุ่มการเมืองครั้งแรก 
20. กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch)
21. Focus on the Global South 
22. เครือข่ายสลัม 4 ภาค 
23. มูลนิธิโลกสีเขียว 
24. กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา 
25. เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ประเทศไทย 
26. กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน (พื้นที่คัดค้านเหมืองแร่ทองคำ ต.เขาหลวง อ.วังสะพุงจ.เลย) 
27. กลุ่มรักษ์บ้านแหง(พื้นที่คัดค้านสัมปทานทำเหมืองแร่ถ่านหินลิกไนต์ ต.บ้านแหง อ.งาว จ.ลำปาง) 
28. ชมรมอนุรักษ์ลุ่มน้ำสรอย ต.สรอย อ.วังชิ้น จ.แพร่ (พื้นที่การขอสัมปทานสำรวจแร่เหล็กและทองคำ) 
29. เครือข่ายการศึกษาทางเลือก 
30. กลุ่มเสรีนนทรี 
31. กลุ่มเสรีเกษตรศาสตร์ 
32. กลุ่มศิลปากรเสรีเพื่อประชาธิปไตย 
33. ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อสังคมนิยมประชาธิปไตย (YPD) 
34. กลุ่มลูกชาวบ้าน ม.บูรพา 
35. กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD) 
36. กลุ่มแก็งค์ข้าวกล่อง ม.รามคำแหง 
37. กลุ่มเพื่อนประชาชน 
38. มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน 
39. เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) 
40. กลุ่มกระเหรี่ยงภาคเหนือ 
41. เครือข่ายเพื่อนตะวันออก วาระเปลี่ยนตะวันออก 
42. โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) 
43. สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

TCIJ: ย้อนดู ‘โพลล์’ ยุคเผด็จการ 2549-2550 Politics of Poll กับความน่าเชื่อถือ

$
0
0

‘โพลล์’ อาจจะทำหน้าที่ได้ดีเมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการ  แสดงความคิดเห็น ลองย้อนดู 22 โพลล์ช่วงยึดอำนาจ 2549 และประชามติ รธน. 2550 จนถึงเลือกตั้ง 2550 เพื่อเป็นบทเรียนเปรียบเทียบในการ‘อ่านโพลล์’ ก่อนประชามติ 7 สิงหาคมนี้

<--break- />

‘โพลล์’ (Poll) คือ การสำรวจความคิดเห็น หรือท่าทีของสาธารณชน (Public opinion) เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยทำการสุ่มสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างที่เกี่ยวข้องทั้งหมดหรือบางส่วน หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘โพลล์ความคิดเห็น’ (Opinion poll) ทั้งนี้โพลล์จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพได้ ก็ต่อเมื่อบรรยากาศด้านสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนเปิดกว้างอย่างเต็มที่

TCIJ พาย้อนสำรวจดูโพลล์ 22 ชิ้น ช่วงเหตุการณ์ในอดีต คือ (1) หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549  (2) ช่วงการแต่งตั้งพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี  (3) ช่วงก่อนการลงประชามติรับรัฐธรรมนูญปี 2550  และ (4) ช่วงก่อนการเลือกตั้งในปี 2550  ที่บรรยากาศด้านสิทธิเสรีภาพของประชาชนรวมทั้งบริบททางการเมืองใกล้เคียงกับยุคปัจจุบัน ซึ่งพบว่า ผลการสำรวจของโพลล์ในช่วงนั้น เมื่อเทียบกับความต้องการของประชาชนที่แท้จริง จากผลการลงประชามติปี 2550 และผลการเลือกตั้งปี 2550 มีความคลาดเคลื่อนผิดจากข้อเท็จจริงอยู่พอสมควร

เช่น หลังการยึดอำนาจในปี 2549 ในช่วงการเฟ้นหานายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น มีผลโพลล์ระบุว่าก่อนการแต่งตั้ง พล.อ.   สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ มีคะแนนนิยมเพียง 20.3% แต่หลังจากการแต่งตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี คะแนนนิยมเพิ่มถึง 64.1% และมีผลโพลล์เปรียบเทียบภาพลักษณ์ระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พบว่าภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ดีขึ้นในทุกตัวชี้วัด เช่น 65.1% ระบุความเป็นที่ไว้วางใจได้ 63.2% ระบุด้านคุณธรรม เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต และ 60.2% ให้ความเชื่อมั่นต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่

ในช่วงก่อนการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 พบว่า หลายโพลล์ชี้ไปในทิศทางว่าคนส่วนใหญ่จะรับรัฐธรรมนูญนี้เป็นสัดส่วนที่ห่างจากคนไม่รับร่างฯอยู่หลายช่วงตัว เช่น รามคำแหงโพลล์: การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2550: ควรเห็นชอบหรือไม่ (เผยแพร่ 12 ก.ค. 2550) เห็นชอบร้อยละ 53.5 ไม่เห็นชอบร้อยละ 7.5, เอแบคโพลล์: ความคิดเห็นของประชาชนต่อประเด็นสำคัญในร่างรัฐธรรมนูญ ปี 50 (เผยแพร่ 16 ก.ค. 2550) เห็นชอบร้อยละ 57.1 ไม่เห็นชอบร้อยละ 22.9, ธุรกิจบัณฑิตย์โพลล์: รัฐธรรมนูญกับสถานการณ์บ้านเมือง (เผยแพร่ 19 ก.ค. 2550) เห็นชอบร้อยละ 79.3 ไม่เห็นชอบร้อยละ 20.7, สวนดุสิตโพลล์: ความคิดเห็นของประชาชนกับ "การลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550" (เผยแพร่ 26 ก.ค. 2550) เห็นชอบร้อยละ 55.72 ไม่เห็นชอบร้อยละ 14.92 กรุงเทพโพลล์: ประชามติรัฐธรรมนูญ ปี 50 ในสายตาประชาชน (เผยแพร่ 6 ส.ค. 2550) เห็นชอบร้อยละ 34.8 ไม่เห็นชอบร้อยละ 10.0 และ รามคำแหงโพลล์: การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ: ควรเห็นชอบหรือไม่” (เผยแพร่ 15 ส.ค. 2550) เห็นชอบร้อยละ 47.6 ไม่เห็นชอบร้อยละ 12.6 ซึ่งผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 (วันที่ 19 ส.ค. 2550) จากผู้มาใช้สิทธิ์ 25,978,954 คน ประชาชนที่เห็นชอบกับสูสีกับประชาชนที่ไม่เห็นชอบ โดยเห็นชอบ 57.81% และไม่เห็นชอบ 42.19%

ในช่วงการเลือกตั้งปลายปี 2550 มีผลโพลล์ที่ทำนายว่าพรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้ง หรือระบุว่านายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ถึง 6 ครั้ง (พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับคะแนนนิยมอันดับแรก ร้อยละ 52.0%, ร้อยละ 43.5 และ ร้อยละ 34.2 และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับคะแนนนิยมอันดับแรก ร้อยละ  41.54, ร้อยละ 52.2 และ ร้อยละ  46.4) ส่วนผลโพลล์ที่ทำนายว่าพรรคพลังประชาชนจะชนะการเลือกตั้งหรือระบุว่านายสมัคร สุนทรเวช จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง (พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับคะแนนนิยมอันดับแรกร้อยละ 38.58 คาดว่าจะได้ปาร์ตี้ลิสต์ 39 ที่นั่ง แต่ไม่มีโพลล์ที่ระบุว่านายสมัคร สุนทรเวช จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี) แต่ผลการเลือกตั้งพบว่า พรรคพลังประชาชนได้ 233 ที่นั่ง แบบแบ่งเขตร้อยละ 36.63 แบบสัดส่วนร้อยละ 41.08 ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้ 165 ที่นั่ง แบบแบ่งเขตร้อยละ 30.30 แบบสัดส่วนร้อยละ 40.44

อ่านรายละเอียดผลโพลล์ทั้ง 22 ชิ้นได้ดังนี้

 

หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549

1. สวนดุสิตโพลล์ : ความคิดเห็นของประชาชน กรณี : ปฏิวัติ ในวันที่ 20 ก.ย. 2559 หลังการรัฐประหาร 1 วัน 'สวนดุสิตโพลล์' มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตได้สอบถามความคิดเห็นของ ประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 2,019 คน แบ่งเป็นคนกรุงเทพฯ 875 คน (ร้อยละ 43.34) คนต่างจังหวัด 1,144 คน (ร้อยละ 56.66) และได้เผยแพร่ผลสำรวจนี้ในวันที่ 21 ก.ย. 2559 ผลโพลล์ชิ้นนี้ระบุว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ ร้อยละ 83.98 โดยประชาชนใน กทม. เห็นด้วยร้อยละ 81.60 ส่วนประชาชนในต่างจังหวัดเห็นด้วยถึงร้อยละ 86.36 เลยทีเดียว

2. เอแบคโพลล์ : ความคิดเห็นและความต้องการของสาธารณชน ต่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศจำนวน 4,250 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20-22 ก.ย. 2549 และได้เปิดเผยผลโพลล์นี้เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2549 โดยระบุว่าประชาชนมีความรู้สึกหลังจากคณะปฏิรูปการปกครองฯ ยึดอำนาจจากรัฐบาลชุดก่อนได้สำเร็จว่าการเมืองจะสงบนิ่งถึงร้อยละ 82.7 และประชาชนเห็นว่าควรลงโทษตามกฎหมายจนถึงที่สุดหากพิสูจน์พบว่ารัฐบาลชุดก่อนมีความผิดจริง ร้อยละ 74.5

3. สวนดุสิตโพลล์ : "ความสบายใจ" และ "หนักใจ" ของประชาชนหลังจาก "ปฏิรูปการปกครอง" ผ่านมา 10 กว่าวัน' สวนดุสิตโพลล์' มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จึงได้สอบถามความคิดเห็นของประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 3,684 คน (คนกรุงเทพฯ 1,013 คน ร้อยละ 27.50 คนต่างจังหวัด 2,671 ร้อยละ 72.50) โดยสำรวจระหว่างวันที่ 27 - 29 ก.ย. 2549 และเปิดเผยผลโพลล์ในวันที่ 2 ต.ค. 2549 ได้ผลที่น่าสนใจ สิ่งที่ประชาชนสบายใจขึ้นหลังจากเหตุการณ์ปฏิรูปการปกครอง คือ อันดับที่ 1 บ้านเมืองสงบเรียบร้อย การชุมนุมประท้วงยุติลง ร้อยละ 48.82 อันดับที่ 2 คาดว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่ที่ดีขึ้น/ล้มเลิกระบอบทักษิณ ร้อยละ 15.91

 

ช่วงการแต่งตั้งพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี

4. เอแบคโพลล์ : สำรวจการสนับสนุนของสาธารณชนต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ทำการสำรวจความเห็นประชาชน ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 1,509 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1-2 ต.ค. 2549 และเผยแพร่วันที่ 2 ต.ค. 2549 โดยความเห็นสนับสนุนต่อพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ช่วงระหว่างวันที่ 28 ก.ย. มีเพียงร้อยละ 20.3 ในวันที่ 30 ก.ย. มีเพียงร้อยละ 36.6 แต่ในวันที่ 2 ต.ค. มีสูงถึงร้อยละ 64.1 นอกจากนี้ผลโพลล์ยังระบุว่าประชาชนเห็นด้วยต่อการกำหนดทิศทางในการพัฒนาประเทศโดยมุ่งเน้นที่ความผาสุกของประชาชน มากกว่าการเน้นตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเดียวของพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ถึงร้อยละ 71.0

5. เอแบคโพลล์ : ความคิดเห็นของคนกรุงเทพมหานครต่อรายชื่อคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ สำรวจความคิดเห็นคนกรุงเทพ 1,122 ตัวอย่างระหว่างวันที่ 9 – 10 ต.ค. 2549 ผลโพลล์ระบุว่าเมื่อสอบถามถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงประเด็นสำคัญทางการเมืองตามหลักธรรมาภิบาล ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 66.6 คิดว่ารัฐบาลจะมีความโปร่งใสมากขึ้น เมื่อสอบถามภายหลังทราบรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันถึงภาพลักษณ์ความเป็นคนดีและภาพลักษณ์ความเป็นคนเก่งมีความรู้ความสามารถเมื่อคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า คะแนนเฉลี่ยของภาพลักษณ์ความเป็นคนดีอยู่ที่ 7.59 ซึ่งใกล้เคียงกับภาพลักษณ์ความเก่งมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 7.50 นอกจากนี้ ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.1 เห็นสมควรให้โอกาสคณะรัฐมนตรีชุดนี้ได้ทำงานไปก่อน ในขณะที่เพียงร้อยละ 3.9 เท่านั้นที่ระบุว่าไม่ควรให้โอกาส

6. กรุงเทพโพลล์ : ประชาชนคิดอย่างไรกับ ครม. ชุดใหม่ ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์ เก็บข้อมูลจากประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวน 1,102 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 9-10 ต.ค. 2549 และเผยแพร่วันที่ 11 ต.ค. 2549 ผลโพลล์ระบุว่าประชาชนพึงพอใจต่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ในภาพรวมถึงร้อยละ 64.8

7. เอแบคโพลล์ : อารมณ์ความรู้สึกเบื้องต้นของสาธารณชนต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ เปรียบเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และภาพลักษณ์ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ เก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น และชลบุรี จำนวน 1,864 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 24-28 ต.ค. 2549 และเปิดเผยผลสำรวจในวันที่ 30 ต.ค. 2549 ผลโพลล์ระบุว่าภาพลักษณ์เบื้องต้นระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ระบุภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ดีเหมือนเดิมถึงดีขึ้นในทุกตัวชี้วัด เช่น ร้อยละ 65.1 ระบุความเป็นที่ไว้วางใจได้ ร้อยละ 63.2 ระบุด้านคุณธรรม เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 60.2 ให้ความเชื่อมั่นต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังระบุว่า พล.อ.สุรยุทธ์ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันยังมีภาพลักษณ์ด้านอื่นๆ ที่ดีเหมือนเดิมถึงดีขึ้น เช่น การไม่ยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ ความเอาจริงเอาจังแก้ปัญหา การทุ่มเททำงานหนัก ความรู้ความสามารถ แม้แต่การเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศที่ได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนสูงเกินกว่าร้อยละ 50 อย่างไรก็ตาม ด้านที่ได้รับฐานสนับสนุนจากประชาชนต่ำกว่าทุกด้านคือ ความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหา และภาพลักษณ์ของคนแวดล้อมใกล้ชิดที่ต้องระมัดระวัง เมื่อสอบถามถึงภาพลักษณ์ของคณะรัฐมนตรีชุดของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ เปรียบเทียบกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ พบว่า ประชาชนเกินกว่าร้อยละ 50 ที่ระบุว่า คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันของ พล.อ.สุรยุทธ์ มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นในเรื่องของการไม่ต้องมีพิธีรีตอง ไม่ต้องมีคนห้อมล้อมมากมาย ไม่ต้องมีรถนำขบวนมากมาย และเป็นคนดีมีคุณธรรม อย่างไรก็ตาม ที่ยังไม่ถึงร้อยละ 50 คือเรื่องการไม่เอื้อประโยชน์ต่อนายทุนและพวกพ้องและความรวดเร็วเข้าถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

 

ช่วงก่อนการลงประชามติรับรัฐธรรมนูญปี 2550

8. รามคำแหงโพลล์ : "ประชาพิจารณ์ ประชามติ กับความเข้าใจของประชาชนในภูมิภาค" ศูนย์ประชามติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงสำรวจความเข้าใจของประชาชนจำนวน 2,280 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 23-27 มิ.ย. 2550 และเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2550 ผลโพลล์ระบุว่าร้อยละ 51.3 เข้าใจความหมายของ 'ประชาพิจารณ์' อย่างถูกต้อง ร้อยละ 48.7 เข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจ โดยคนภาคใต้และภาคตะวันออกเข้าใจมากกว่าคนภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามลำดับ ผู้ชายเข้าใจมากกว่าผู้หญิง แต่คำว่า 'ประชามติ' มีผู้เข้าใจความหมายถูกต้องเพียงร้อยละ 38.2 เข้าใจผิดถึงร้อยละ 61.8 โดยร้อยละ 73.7 ของคนภาคกลาง ร้อยละ 69.8 ของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 66.2ของคนภาคเหนือ ร้อยละ 52.5 ของคนภาคใต้ และร้อยละ 40.0 ของคนภาคตะวันออกเข้าใจผิด ผู้หญิงเข้าใจผิดมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ ร้อยละ 65.8 ยังไม่เข้าใจว่าประชาพิจารณ์และประชามติเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการเมืองอย่างไร โดยร้อยละ 74.6 ของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 73.7 ของคนภาคกลาง ร้อยละ 67.7 ของคนภาคเหนือ ร้อยละ 55.7 ของคนภาคใต้ และร้อยละ 55.0 ของคนภาคตะวันออกไม่เข้าใจ ผู้หญิงไม่เข้าใจมากกว่าผู้ชาย

9. สวนดุสิตโพลล์ : "ประชาชน" กับ "การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ" สวนดุสิตโพลล์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 27 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 4,739 ตัวอย่าง (กทม. 1,214 คน  ร้อยละ 25.62 ต่างจังหวัด 3,525 คน ร้อยละ 74.38) ระหว่างวันที่ 1 – 8 ก.ค. 2550 และเปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2550 โดยผลโพลล์ระบุว่าประชาชนค่อยข้างสนใจการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ร้อยละ 33.13 และมองว่าจุดเด่นของร่างรัฐธรรมนูญในสายตาประชาชนที่สนใจการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ มีการระดมความคิดเห็นหลากหลาย/มีผู้รู้ผู้ทรงคุณวุฒิรวมร่างร้อยละ 34.16 มองสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างจริงจัง/ใส่ใจประชาชน ร้อยละ 28.63

10. รามคำแหงโพลล์ : การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2550: ควรเห็นชอบหรือไม่ ศูนย์ประชามติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,375 ตัวอย่าง เปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2550 โดยผลโพลล์ระบุว่าประชาชนร้อยละ 53.5 คิดว่าควรเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ร้อยละ 39.0 ไม่แน่ใจ และร้อยละ 7.5 เห็นว่าไม่ควร

11. เอแบคโพลล์ : ความคิดเห็นของประชาชนต่อประเด็นสำคัญในร่างรัฐธรรมนูญ ปี 50 ศูนย์วิจัยเอแบค สำรวจความเห็นประชาชน 3,146 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 5-14 ก.ค. 2550 เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2550 โดยผลโพลล์ระบุว่าประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.1 เห็นด้วยกับสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในภาพรวม ในขณะที่ร้อยละ 22.9 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 20.0 ไม่มีความเห็น โดยกลุ่มพลังเงียบเกินครึ่งและแม้แต่กลุ่มผู้ไม่สนับสนุนรัฐบาลเกินกว่า  1 ใน 4 ก็ยังเห็นด้วยกับภาพรวมของสาระสำคัญในรัฐธรรมนูญฉบับนี้

12. ธุรกิจบัณฑิตย์โพลล์ : รัฐธรรมนูญกับสถานการณ์บ้านเมือง ศูนย์วิจัยธุรกิจบัณฑิตย์โพลล์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ทำการสำรวจความคิดเห็นของวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 18-25 ปี  จำนวน 1,525 ตัวอย่างในเขตกรุงเทพมหานคร เปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2550 ผลโพลล์ระบุว่าในการไปใช้สิทธิ์ลงประชามติในการรับร่างรัฐธรรมนูญวันที่ 19 ส.ค. 2550 นั้นวัยรุ่นร้อยละ 88.0  จะไปใช้สิทธิ์  ในจำนวนนี้ร้อยละ 79.3 จะใช้สิทธิ์เห็นชอบ และร้อยละ 20.7 ไม่เห็นชอบ

13. สวนดุสิตโพลล์ : ความคิดเห็นของประชาชนกับ "การลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550" สวนดุสิตโพลล์ สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศที่มีสิทธิลงประชามติ จำนวน 4,536  คน (กรุงเทพฯ 1,015 คน ร้อยละ 22.38 ต่างจังหวัด 3,521 คน ร้อยละ 77.62) ระหว่างวันที่ 16-22 ก.ค. 2550 เปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2550 สรุปผลได้ดังนี้ ประชาชนจะรับร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ถึงร้อยละ 55.72 ส่วนที่ไม่รับร่างมีเพียงร้อยละ 14.92

14. กรุงเทพโพลล์ : ประชามติรัฐธรรมนูญ ปี 50 ในสายตาประชาชน ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์ สำรวจความเห็นประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและหัวเมืองใหญ่ในทุกภาคของประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา และชลบุรี จำนวน 1,095 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่วันที่ 25-30 ก.ค. 2550 เปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2550 ผลโพลล์ระบุว่าความเห็นของกลุ่มตัวอย่างในภาพรวม สำหรับการออกเสียงลงประชามติว่าจะเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 มีร้อยละ 34.8 ไม่เห็นชอบร้อยละ 10.0

15. รามคำแหงโพลล์ : การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ: ควรเห็นชอบหรือไม่” (สำรวจครั้งที่ 3) ศูนย์ประชามติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคทั่วประเทศ จำนวน 2,316 ตัวอย่าง เมื่อวันที่ 10-13 ส.ค. 2550 เปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2550 ระบุว่าคะแนนเสียงเห็นชอบลดลงจากร้อยละ 55.9 เป็นร้อยละ 47.6 กลุ่มที่ไม่แน่ใจว่าจะเห็นชอบหรือไม่ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34.8 เมื่อต้นเดือน ส.ค. 2550 เป็นร้อยละ 39.7 และกลุ่มที่ตัดสินใจไม่เห็นชอบเพิ่มจากร้อยละ 7.5 เมื่อต้นเดือน ก.ค. 2550 เป็นร้อยละ 9.4 และ 12.6 ตามลำดับ คนภาคใต้มีแนวโน้มจะเห็นชอบเกินร้อยละ 60.0 แต่คนภาคอื่นมีแนวโน้มจะเห็นชอบประมาณร้อยละ 38.8-44.5 ยังไม่แน่ใจประมาณร้อยละ 34.6-45.9 ส่วนกลุ่มที่ตัดสินใจว่าจะไม่เห็นชอบมากที่สุดคือคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 19.1 รองลงมาคือคนกรุงเทพฯ ร้อยละ 15.3 คนภาคเหนือร้อยละ 12.2 คนภาคกลางและตะวันออกร้อยละ 10.8 โดยผู้มีสิทธิ์ในภาคเหนือร้อยละ 73.6 ในกรุงเทพฯ ร้อยละ 70.6 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 58.2 ภาคกลางและภาคตะวันออกร้อยละ 56.0 และภาคใต้ร้อยละ 39.6 จะไปลงประชามติ

 

ช่วงก่อนการเลือกตั้งในปี 2550

16. สวนดุสิตโพลล์ : ผู้สมัคร ส.ส.” แบบไหน? “พรรคการเมือง” แบบใด? ที่ “คนไทย” อยากเลือก สวนดุสิตโพลล์ สำรวจความคิดเห็นของผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งกระจายตามจังหวัดที่เป็นตัวแทนของภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวน 1,884 คน (กรุงเทพฯ 879 คน ร้อยละ 46.66 ต่างจังหวัด 1,005 คน ร้อยละ 53.34) ระหว่างวันที่ 17-21 ตุ.ค. 2550 เปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2550 ผลโพลล์ระบุว่านักการเมืองที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นพิเศษอันดับ 1 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 41.54 อันดับ 2 นายบรรหาร ศิลปะอาชา ร้อยละ 21.36 อันดับ 3 นายสมัคร สุนทรเวช ร้อยละ 17.95

17. สวนดุสิตโพลล์ : ความนิยมต่อพรรคการเมืองของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สวนดุสิตโพลล์สำรวจความคิดเห็นของผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 4,410 คน (กทม. 1,217 คน ร้อยละ 27.60 ต่างจังหวัด 3,193 คน ร้อยละ 72.40)   ระหว่างวันที่ 1-10 พ.ย. 2550 เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2550 โดยผลโพลล์ระบุว่าความนิยมต่อพรรคการเมืองสำคัญ อันดับ 1 พรรคพลังประชาชนได้รับความนิยมใน กทม. ร้อยละ 30.77 ในต่างจังหวัดร้อยละ 38.74 ในภาพรวมร้อยละ 38.58 อันดับ 2 พรรคประชาธิปัตย์ได้รับความนิยมใน กทม. ร้อยละ 46.15 ในต่างจังหวัดร้อยละ 28.29 ในภาพรวมร้อยละ 32.29

18. รามคำแหงโพลล์ : ความเชื่อเรื่องตัวเลขกับความรู้ด้านการเลือกตั้ง ศูนย์ประชามติ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในกรุงเทพฯ จำนวน 1,464 คน เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2550 เปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2550 ผลโพลล์ระบุว่าพรรคการเมืองที่ประชาชนชื่นชอบในปัจจุบัน อันดับ 1 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 52.0 อันดับ 2  พรรคพลังประชาชนร้อยละ 13.5

19. ธุรกิจบัณฑิตย์โพลล์ : คนกรุงเทพฯ กว่าครึ่งยกให้อภิสิทธิ์เป็นนายก และเกินครึ่งคิดว่านายกอาจจะไม่ใช่หัวหน้าพรรคก็ได้ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สำรวจความคิดเห็นประชาชนในกรุงเทพฯ ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวน 1,575 ตัวอย่างระหว่างวันที่ 4-5 พ.ย. 2550 เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2550 ผลโพลล์ระบุว่าผู้ที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี อันดับ 1 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 52.2 อันดับ 2 นายสมัคร สุนทรเวช ร้อยละ 14.7

20. กรุงเทพโพลล์ : คนไทยกับการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์ เก็บข้อมูลจากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใน 16 จังหวัดจากทั้ง 8 กลุ่มจังหวัดที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดสำหรับการเลือกตั้ง ส.ส.แบบสัดส่วน ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ลพบุรี  ชลบุรี เชียงใหม่ พะเยา ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี พัทลุง และสงขลา ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,507 ตัวอย่าง เก็บข้อมูลภาคสนามเมื่อวันที่ 16-19 พ.ย. 2550 เผยแพร่เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2550 ผลโพลล์ระบุว่า พรรคการเมืองที่กลุ่มตัวอย่างคิดว่าจะเลือกในระบบสัดส่วน อันดับ 1 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 43.5 อันดับ 2 พรรคพลังประชาชน ร้อยละ 24.8 หัวหน้าพรรคการเมืองที่คิดว่ามีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปมากที่สุด อันดับ 1 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 46.4 อันดับ 2 นายสมัคร สุนทรเวช ร้อยละ 22.9

21. เอแบคโพลล์ : สำรวจความตื่นตัวในการใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชนและบทบาทของแกนนำชุมชนในการเลือกตั้ง 2550 ศูนย์วิจัยเอแบคโพลล์ เก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่างประชาชนจำนวน 7,589 ตัวอย่าง และแกนนำชุมชนจำนวนทั้งสิ้น 2,109 ตัวอย่าง รวมทั้งสิ้น 9,698 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20 พ.ย. - 5 ธ.ค. 2550 เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2550 ผลโพลล์ระบุว่าพรรคพลังประชาชนคาดว่าจะได้ 39 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ 33 ที่นั่ง และพรรคอื่น ๆ ได้แก่ พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคชาติไทย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาและพรรคประชาราช เป็นต้นจะได้ 8 ที่นั่ง โดยมีค่าบวกลบความคลาดเคลื่อนอยู่ที่ 5 ที่นั่ง

22. กรุงเทพโพลล์ : คนไทยกับการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม (สำรวจครั้งที่ 2) ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์เก็บข้อมูลจากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใน 16 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี เชียงใหม่ แพร่ เพชรบูรณ์ ขอนแก่น มหาสารคาม อุดรธานี อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด นครราชสีมา จันทบุรี ราชบุรี นครปฐม นครศรีธรรมราช และสตูล ตัวอย่างจำนวน 1,472 ตัวอย่าง เก็บข้อมูลภาคสนามเมื่อวันที่ 4-10 ธ.ค. 2550 เปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2550 ผลโพลล์ระบุว่าพรรคการเมืองที่กลุ่มตัวอย่างคิดว่าจะเลือกในระบบสัดส่วน อันดับ 1 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 34.2 อันดับ 2 พรรคพลังประชาชน ร้อยละ 31.9 หัวหน้าพรรคการเมืองที่คิดว่ามีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปมากที่สุด อันดับ 1 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 34.8 อันดับ 2 นายสมัคร สุนทรเวช ร้อยละ 28.0

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คูเวตประกาศค่าจ้างขั้นต่ำให้คนทำงานบ้านเป็นประเทศแรกในแถบอ่าวเปอร์เซีย

$
0
0

คูเวตออกกฎหมายกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ 60 ดินาร์ (ประมาณ 6,900 บาท) ต่อเดือน ให้คนทำงานบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานจากต่างประเทศหลังมีคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่ แต่ค่าจ้างขั้นต่ำนี้ยังน้อยกว่ารายของคนคูเวตพื้นถิ่นถึง 17 เท่า

25 ก.ค. 2559 เว็บไซต์ Middle East Eyeระบุว่าตามรายงานของสื่อท้องถิ่นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (21 ก.ค.) คูเวตได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยชีค มูฮัมหมัด คาเลด อัล-ซาบาห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำภายในประเทศที่ 60 ดินาร์ (ประมาณ 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 6,900 บาท) ต่อเดือน

ซึ่งกฎหมายนี้เป็นความพยายามต่อเนื่องของคูเวตที่จะยกระดับชีวิตแรงงานจากต่างชาติโดยเฉพาะคนทำงานบ้าน โดยเมื่อปีที่แล้วคูเวตกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้กับลูกจ้างของตน ให้คนทำงานมีวันหยุดประจำสัปดาห์ ให้ทำงานไม่เกินวันละ 12 ชั่วโมง นายจ้างต้องจ่ายเงินเดือนสม่ำเสมอ และให้เงินเดือนพิเศษ 1 เดือนหลังจากหมดสัญญาจ้าง

ข้อมูลจากธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่าคูเวตเป็นประเทศร่ำรวยอันดับที่ 33 ของโลก ประชากรคูเวตพื้นถิ่นมีรายได้เฉลี่ยต่อปีที่ 40,930 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนรายได้เฉลี่ยของแรงงานต่างชาติโดยเฉพาะคนทำงานบ้านตามค่าจ้างขั้นต่ำที่ประกาศใช้ใหม่นี้จะอยู่ที่ประมาณ 2,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ซึ่งน้อยกว่าคนพื้นถิ่นถึง 17 เท่า

ประมาณการกันว่ามีคนทำงานบ้านจากต่างชาติในคูเวตอยู่ 6 แสนคน จากทั้งหมด 2.4 ล้าน คนที่กระจายอยู่ในประเทศรอบอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนทำงานบ้านเหล่านี้มักจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายแรงงานท้องถิ่น บ่อยครั้งที่กลุ่มองค์กรสิทธิมนุษยชนได้ออกมาเผยแพร่ข้อมูลการละเมืดสิทธิแรงงานต่างชาติในภูมิภาคนี้ ทั้งการไม่จ่ายค่าจ้าง การบังคับให้ทำงานโดยไม่มีวันหยุด รวมทั้งการทำร้ายร่างกายและการล่วงละเมิดทางเพศจากนายจ้าง

แต่ทั้งนี้หลายประเทศในภูมิภาคนี้ก็มีความพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไข อย่างบาห์เรนก็ได้ปรับปรุงกฎหมายแรงงานเพื่อคุ้มครองคนทำงานบ้าน ซาอุดิอาระเบียก็ได้กำหนดชั่วโมงการทำงานคนทำงานบ้านไม่ให้เกิน 15 ชั่วโมงต่อวัน แต่ทั้งนี้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนออกมาระบุว่ากฎระเบียบต่าง ๆ ของประเทศในภูมิภาคนี้มักจะไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดองค์กรฮิวแมน ไรต์ วอตซ์ (Human Rights Watch) พึ่งออกรายงานว่า "กฎหมายระบบอุปถัมภ์แรงงาน" (kafala) ของประเทศโอมาน เอื้อต่อการกดขี่และขูดรีดแรงงานข้ามชาติในประเทศเป็นอย่างมาก

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กองทัพเยอรมันนำร่องฝึกทักษะผู้ลี้ภัยซีเรีย ใช้ฟื้นฟูประเทศ

$
0
0

สงครามซีเรียสร้างความเสียหายภายในประเทศและทำให้ประชาชนอพยพลี้ภัยจำนวนมาก โดยกว่า 1 ล้านคนอพยพเข้าสู่เยอรมนี กระทรวงกลาโหมเยอรมนีประกาศว่าพวกเขาริเริ่มโครงการนำร่อง ช่วยฝึกทักษะผู้ลี้ภัยโดยจำนวนเริ่มต้นราว 100 คน เพื่อให้มีทักษะฝีมือกลับไปฟื้นฟูประเทศชาติใหม่ได้ หรือในระหว่างนั้นก็สามารถปฏิบัติงานฝ่ายพลเรือนให้กองทัพเยอรมนีได้

25 ก.ค. 2559 อัวซูลา ฟอน เดอ ไลเอน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของเยอรมนีเปิดเผยว่า กองทัพเยอรมนีเปิดโครงการฝึกงานให้กับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียซึ่งเป็นโครงการนำร่องโดยการนำชาวซีเรียราว 100 คน ฝึกทักษะต่างๆ เพื่อให้สามารถช่วยสร้างประเทศซีเรียขึ้นมาใหม่ได้ในอนาคตและสามารถช่วยเหลืองานฝ่ายพลเรือนของกองทัพเยอรมนีได้

ฟอน เดอ ไลเอน กล่าวว่าโครงการนี้มีแนวคิดเพื่อช่วยให้ชาวซีเรียกลับไปสร้างประเทศตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ หลังจากสงครามจบลงและมีรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบมากขึ้นปกครองประเทศแล้ว

นอกจากนี้ในระยะยาวกองทัพเยอรมนีหรือ 'บุนเดซเวร์' ยังต้องการมีส่วนร่วมในการฝึกฝนกองทัพของซีเรียในอนาคตด้วย ฟอน เดอ ไลเอน กล่าวว่าในตอนนี้โครงการของเยอรมนีจะเน้นฝึกทักษะ เช่น เทคโนโลยี การแพทย์ และระบบการขนส่ง ที่นำไปใช้ได้ในหลายส่วน ไลเอนบอกอีกว่าผู้ลี้ภัยชาวซีเรียมีศักยภาพในการปฏิบัติงานฝ่ายพลเรือนให้กับกองทัพเยอรมนีแต่ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ

รัสเซียทูเดย์รายงานว่าในการร่วมมือกับสหรัฐฯ เพื่อสู้รบกับไอซิส ทางการเยอรมนีมีการอนุมัติการวางกำลังในต่างชาติครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการวางกำลังทหาร 1,200 นาย ในภารกิจที่นำโดยสหรัฐฯ ใช้งบประมาณปฏิบัติการไปแล้ว 134 ล้านยูโร (ราว 5,000 ล้านบาท) รวมถึงให้ความช่วยเหลือด้านการลาดตระเวนทางอากาศในปฏิบัติการดังกล่าว ในขณะเดียวกันเยอรมนีก็ต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรกับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่เข้าสู่ประเทศจำนวนมากกว่า 1 ล้านคนด้วย

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาไลเอนประกาศว่าทางกองทัพพร้อมที่จะฝึกฝนทักษะ 100 ประเภทให้กับผู้ลี้ภัยซึ่งจะเป็นประโยชน์กับพวกเขาในกรณีที่พวกเขาจะไม่ยืดเวลาอยู่ในเยอรมนีต่อไป ไลเอนบอกว่าการจะสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ไม่ได้ใช้เพียง "หินก้อนใหม่" เท่านั้น แต่ทักษะวิชาที่พวกเขาได้รับจะช่วยให้มีการสร้างอนาคตของประเทศแบบก้าวกระโดดได้


เรียบเรียงจาก

German military trains 100 refugees in civilian jobs to help rebuild Syria, Rossia Today, 24-07-2016
https://www.rt.com/news/352938-german-military-refugee-training/

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ออกอิโมจิคนพิการเพิ่ม 18 แบบ หวังสร้างภาพลักษณ์ที่ดี-เปลี่ยนทัศนคติต่อคนพิการ

$
0
0

เว็บไซต์อังกฤษปล่อยอิโมจิคนพิการ 18 คาแรคเตอร์ รับพาราลิมปิก 2016 ที่กำลังจะจัดในบราซิล ประกอบไปด้วยหลากหลายคาแรคเตอร์คนพิการและชนิดกีฬา เชื่อช่วยเปลี่ยนมุมมอง ทัศนคติและแสดงให้เห็นความหลากหลายของคน


อิโมจิจากสโคปทั้ง 18 คาแรคเตอร์

25 ก.ค. 2559 เว็บไซต์องค์กรสนับสนุนคนพิการในลอนดอนที่ใช้ชื่อว่า สโคป (Scope) สร้างชุดอิโมจิใหม่ 18 คาแรคเตอร์ แสดงให้เห็นถึงคนในมุมหลากหลายอย่างความพิการ เนื่องในวันอิโมจิ ซึ่งตรงกับวันที่ 17 ก.ค. ด้วยแนวคิดที่ว่า อิโมจิเกี่ยวกับคนพิการคาแรคเตอร์เดียวที่เคยมีอย่างรูปวีลแชร์นั้นไม่เป็นอิโมจิที่ดีพอ และหวังว่าการสร้างชุดอิโมจิใหม่นี้จะช่วยสร้างภาพลักษณ์และทัศนคติที่ดีขึ้นต่อคนพิการ

ปัจจุบัน อิโมจิถูกใช้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการส่งผ่านโซเชียลมีเดีย จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาบริษัทต่างๆ มีความพยายามที่จะทำสติกเกอร์หรืออิโมจิที่มีความหลากหลายในเรื่องเพศ คู่รักเพศเดียวกัน หรือสีผิว อย่างไรก็ดี อิโมจิที่แสดงให้เห็นถึงความพิการก็ยังคงมีเพียงอันเดียว ได้แก่  สัญลักษณ์รูปวีลแชร์ที่มักถูกใช้เป็นป้ายห้องน้ำคนพิการ นี่จึงทำให้เกิดแนวคิดเพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องดังกล่าว

เว็บไซต์สโคปได้ทำการถามผู้ใช้ทวิตเตอร์กว่า 4,000 คน ว่าสัญลักษณ์คนพิการที่มีอยู่อันเดียวนั้นเพียงพอต่อการนำเสนอคำว่าพิการหรือไม่ และพบว่ากว่าร้อยละ 65 กล่าวว่า มันไม่พอ

คาแรคเตอร์ของอิโมจิที่สร้างขึ้น ประกอบไปด้วยคนนั่งวีลแชร์ คนใส่ขาเทียม สุนัขนำทาง คนพิการทางการได้ยิน รวมถึงคนพิการประเภทอื่นๆ ในการทำกิจกรรมที่แตกต่างกัน อิโมจิหลายตัวสื่อถึงนักกีฬาพิการในท่าทางเล่นกีฬาหลากหลายชนิด เพื่อให้สอดคล้องกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิก 2016 ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในเดือนกันยายน ที่ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล

“โดยทั่วไปอิโมจิสามารถใช้แสดงความรู้สึกได้มากกว่า 1,800 คาแรคเตอร์  จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งที่คนพิการถูกนำเสนอด้วยอิโมจิรูปวีลแชร์มาตลอด” โรสแมรี่ ฟราเซอร์ เจ้าหน้าที่ผู้ใช้วีลแชร์ของสโคป ซึ่งเป็นคนจัดการแคมเปญนี้กล่าว

“สัญลักษณ์รูปวีลแชร์ไม่สามารถบ่งบอกถึงตัวฉัน และคนพิการรอบข้างที่ฉันรู้จักได้เลย เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงโลกที่เราเป็นอยู่ คนพิการจะต้องถูกรวมเข้า และเสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของการอาศัยอยู่ด้วย” เธอกล่าว

อิโมจินี้ อ้างอิงจากคาแรคเตอร์ของนักกีฬาพิการประเภทต่างๆ เช่น จอร์แดน วิลเลย์ นักเทนนิสหญิงประเภทวีลแชร์, แอลลี่ ซิมมอนด์ นักกีฬาว่ายน้ำพิการหญิงเจ้าของ 4 เหรียญทอง รวมทั้งมีอิโมจินักกีฬาประเภทคู่อีกด้วย


อิโมจินักกีฬาว่ายน้ำพิการ

วิลเลย์ พิการด้วยโรคกระดูกเปราะ เธอชื่นชอบอิโมจิเหล่านี้มาก พร้อมเสริมว่า ตั้งแต่เกิดจนโต เธอไม่เคยเห็นคนที่เหมือนกับเธอในทีวี แมกกาซีน หรือบนภาพยนตร์เลย เธออยากให้คนรุ่นใหม่มองว่า มันไม่สำคัญว่าขนาดร่างกายหรือ รูปร่างของเขาเป็นอย่างไร ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน ทุกคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน และเป็นสิ่งดีที่สามารถทำให้ภาพของคนพิการอยู่ในอิโมจิได้

“ตอนนี้การใช้อิโมจินั้นเป็นที่นิยมมาก ใครๆ ก็ใช้อิโมจิ ดังนั้นคนทุกคนก็ควรได้ถูกนำเสนออยู่ในอิโมจิเช่นกัน มันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่อิโมจิเดียวที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ คืออิโมจิรูปวีลแชร์” เธอกล่าว


อิโมจิผู้ชายทำสัญลักษณ์ภาษามือว่า ‘ขอโทษ’

ฟราเซอร์หวังว่า อิโมจินี้จะช่วยผลักดันให้องค์กรต่างๆ ที่ปัจจุบันใช้รูปวีลแชร์ เปลี่ยนความคิดให้สร้างสรรค์และหาหนทางในการนำเสนอความพิการในแบบที่แตกต่างออกไป รวมทั้งแนะว่า หากต้องการนำอิโมจิดังกล่าวไปใช้สามารถดาวน์โหลดโดยการคลิกขวาที่พวกมัน และกดเซฟได้ทันที

 

แปลและเรียบเรียงจาก

https://www.disabilityscoop.com/2016/07/20/new-emojis-range-abilities/22509/
https://blog.scope.org.uk/2016/07/15/one-disability-emoji-isnt-enough-so-weve-made-18-for-world-emoji-day/
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สัมภาษณ์: ปิยะรัศมิ์ ปิยะพงศ์วิวัฒน์ ศิลปะในประเทศที่รัฐผูกขาดศิลปะและไร้เสรีภาพ

$
0
0

ตั้งคำถาม-หาคำตอบของปัญหาสังคมจากงานศิลปะแขนงต่างๆ ผ่านศิลปินร่วมสมัย ชี้ให้เห็นความสำคัญของเสรีภาพในการแสดงออก-การศึกษา-ปัญหาของวงการศิลปะไทย

ปิยะรัศมิ์ ปิยะพงศ์วิวัฒน์

เพศ คนชายขอบ และการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ เป็นปัญหาร่วมสมัยที่เห็นได้ชัดเจนในยุคสมัยนี้ และน้อยครั้งที่ศิลปะร่วมสมัยจะเข้ามามีบทบาทในการสะท้อน ตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบ เช่นเดียวกับปิยะรัศมิ์ ปิยะพงศ์วิวัฒน์ ศิลปินร่วมสมัยด้านสหศาสตร์ ผลงานของเธอได้รับแรงบันดาลใจจากสภาพแวดล้อมรอบตัว ซึ่งก่อให้เกิดคำถามต่อตัวเธอเองและสังคมด้วยเทคนิคภาพเคลื่อนไหว (Video) และศิลปะจัดวาง (Installation) เพื่อเป็นเครื่องมือในการสื่อสารความคิด

ผลงานบางส่วนที่ผ่านมา เธอจับประเด็นเรื่องความเป็นพ่อ-แม่ในสังคมไทย ตั้งข้อสงสัยส่วนตัวว่า แท้จริงแล้ว ครอบครัวคืออะไร และถ่ายถอดออกมาเป็นงานภาพถ่าย นอกจากนั้น เธอยังลงพื้นที่ ใช้ชีวิต และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกับกลุ่มแรงงานภาคเหนือ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานจากสถานที่จริง ในแบบที่ศิลปินน้อยคนจะทำ เพราะตัวตนที่น่าสนใจนี้เอง ทำให้เธอติด 1 ใน 5 ศิลปินร่วมสมัยที่ดีที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนิตยสารเซาท์อีสเอเชีย โกลบ (Southeast Asia Globe) เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

อะไรทำให้เลือกหยิบเอาประเด็นทางสังคมมาทำเป็นงานศิลปะ ทั้งที่ศิลปินหลายคนเลือกที่จะหยิบประเด็นส่วนตัวมาทำงาน

จุดเริ่มต้นเกิดจากเรามีความสนใจ มีคำถามกับบางสิ่งบางอย่าง ที่สำคัญเราชอบอ่านหนังสือ ส่วนมากก็เกี่ยวข้องกับความรู้ด้านสังคมวิทยา มานุษยวิทยา ช่วงอยู่ที่ฝรั่งเศสได้มีโอกาสเรียนด้านปรัชญา โดยเฉพาะด้านปรัชญาสังคมวิทยา จนพบว่า จุดเปลี่ยนทางความคิดล้วนมาจากการอ่านหนังสือ การอ่านทำให้เราสงสัยและอยากรู้เรื่องปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัว รวมทั้งเราสามารถหยิบทฤษฎีบางอย่างมาเป็นกรอบในการมองโลก ในการทำงานตั้งแต่สมัยเรียน

งานเราไม่ได้พูดเรื่องตัวเอง แต่พูดเรื่องสังคมรอบข้างและปรากฏการณ์รอบตัว ซึ่งไม่ได้ชี้ชัดเฉพาะในเรื่องการเมือง แต่ออกไปในแนวเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ ส่วนตัวคิดว่า ชีวิตเราไม่ได้มีความน่าสนใจจนต้องสื่อสารออกมาเป็นงานศิลปะ เราพร่ำถามตัวเองตลอดว่าเราเป็นใคร จะทำอะไร และจะทำอย่างไรต่อ เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างตลอดเวลา ทั้งเพื่อนที่เรียน เพื่อนที่ทำงาน หรือแม้แต่เพื่อนข้างบ้าน เราเลยอยากพูดถึงสิ่งเหล่านี้มากกว่า และแน่นอนว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็ล้วนมีผลกระทบกับงานอย่างมาก

“ศิลปะไม่เพียงเป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์ แต่ยังมีส่วนในการสร้างประวัติศาสตร์ และมีส่วนในการก่อรูปของโลกทัศน์อีกด้วย”

การทำงานศิลปะของเราก็เหมือนกับการทำความเข้าใจตัวเอง ยิ่งเราไม่เข้าใจสิ่งรอบข้าง ไม่เข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ มีคำถามกับบางสิ่งบางอย่างเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งต้องอ่าน คิด วิเคราะห์ และลงลึกหาข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจกับความคิดตัวเองและแปลมันออกมาทางสื่อศิลปะ

การทำงานศิลปะบอกเล่าเรื่องราวอะไรได้บ้าง

ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางสังคม อาจเป็นการวิพากษ์สังคม หรือเป็นก้อนตะกอนที่เปรียบเสมือนบทสรุปว่าสังคมนี้เกิดอะไรขึ้น ศิลปินควรมีความคิด ทัศนคติ มุมมองของการวิพากษ์อย่างไรก็ได้ต่อสังคมของเขาอย่างอิสระ ในมุมของเราคิดว่า ศิลปะยุคนี้ไม่ควรเป็นศิลปวัตถุที่นอนเอื่อยเฉื่อย เมื่อผ่านเหตุการณ์และบทสรุปมากมายเช่นตอนนี้ ศิลปะควรมีบทบาทที่แอคทีฟมากขึ้น เรายังถามตัวเองว่าพอมีหนทางอื่นอีกไหมที่จะทำให้ศิลปะมีบทบาทมากกว่านี้ เพราะศิลปะไม่เพียงเป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์ แต่ยังมีส่วนในการสร้างประวัติศาสตร์ และมีส่วนในการก่อรูปของโลกทัศน์อีกด้วย

ทำไมงานที่เป็นแทรดดิชั่นนอล (Traditional) หรือแนวขนบ ถึงได้รับความนิยมในไทย

ส่วนตัวไม่ได้เรียกร้องให้คนทำงานศิลปะทุกคนต้องทำงานเพื่อสังคมหรือการเมือง เพราะทุกคนต่างมีความสนใจและความชอบ ความถนัดต่างกัน วงการศิลปะมีระบบเศรษฐศาสตร์ของมัน มีศิลปิน ภัณฑารักษ์หรือคิวเรเตอร์ (Curator) แกลเลอรี่ หอศิลป์ นักสะสมงาน บริษัทรับติดตั้งงาน บริษัท Shipping ฯลฯ ปัญหาคือบ้านเราขาดนักสะสม เพราะนักสะสมบ้านเราส่วนใหญ่มักนิยมสะสมแต่งานที่ได้รับรางวัล หลายสิบปีที่ผ่านมามีการประกวดรางวัลระดับชาติต่างๆ ซึ่งทำให้งานศิลปะแทรดดิชั่นนอลกลายเป็นระบบคุณค่าที่ถูกสถาปนามาแล้ว ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐเข้าไปกำหนดควบคุมว่าสิ่งไหนดีหรือสิ่งไหนไม่ดี จะเห็นได้ว่า งานศิลปกรรมแห่งชาติที่ถูกมองว่ามีคุณค่าหรือดีงาม จึงมีอยู่สไตล์เดียวคือรับใช้อุดมการณ์หลักของชาติ ได้แก่ รัฐ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และแน่นอนว่าเมื่อมีคนให้คุณค่าแบบนั้น นักสะสมก็ย่อมตามเก็บซื้อผลงาน

ในช่วงหลังที่มีหอศิลป์ใหม่ๆ เกิดขึ้น พื้นที่ของศิลปะร่วมสมัยก็มีมากขึ้น แต่ผู้ชมก็ยังคงวนเวียนอยู่ในวงแคบ เฉพาะกลุ่ม บางคนยังสงสัยว่า งานศิลปะอะไร คือการระบายสีเท่านั้นเหรอ ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่า ความเข้าใจของคนไทยที่มีต่อศิลปะร่วมสมัยนั้นยังห่างไกลจากชีวิตประจำวันอยู่มาก

ทำไมประเทศไทยจึงขาดแคลนนักสะสม ในต่างประเทศประสบปัญหาเดียวกันไหม

ถึงแม้จะมีนักสะสมรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นบ้าง แต่ส่วนมากก็ยังเลือกเก็บงานของศิลปินร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงในระดับโลก มีรางวัลการันตี ผ่านเทศกาล หรือองค์กรศิลปะต่างประเทศแล้ว หากเป็นศิลปินเด็กๆ ก็ค่อนข้างอยู่ยากในวงการนี้ ที่อินโดนีเซียค่อนข้างแข็งแรงกว่าทั้งด้านคนทำงานศิลปะ องค์กรที่จัดรวมข้อมูลศิลปิน และผลงานศิลปิน ซึ่งช่วยให้นักสะสมสามารถติดตามผลงานของศิลปินแต่ละคนได้อย่างต่อเนื่องและง่ายต่อการสะสมรวบรวมผลงาน

เมื่อก่อนคนในแวดวงศิลปะจะรู้สึกว่า ศิลปะไม่ขยับขยายเพราะเราขาดคิวเรเตอร์ แต่ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีคนในแวดวงหลายๆ คนที่เรียนจบและทำงานในด้านนี้ ทั้งการจัดการ และคิวเรท จึงน่าจับตาว่าต่อไปจะมีการเปลี่ยนแปลงวงการศิลปะได้มากน้อยเพียงไหนในบ้านเรา

งานของคุณได้รับการตอบรับอย่างไรบ้างจากสังคม

คงต้องพูดเป็นชิ้นๆ ไป อย่างเซต ‘Queerness’ ซึ่งเป็นโฟโต้ซีรี่ย์ คนที่ให้ความสนใจส่วนมากอยู่นอกแวดวงศิลปะ เห็นได้จากสื่อที่ให้ความสนใจก็ไม่ได้มาจากนิตยสารศิลปะ แต่กลับมาจากแมกกาซีนทั่วไปที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรม เขาอยากจะรู้ว่าเราคิดอะไร อาจเพราะตัวเราเองไม่ได้ยึดติดกับทักษะ แต่เน้นเรื่องคอนเซ็ปท์และการตีความในการแปลออกมาเป็นงานศิลปะ งานเราจึงไม่แมส และไม่อยู่ในความสนใจของคนเท่าที่ควร

ตัวอย่างงานจากชุด Queerness

Jenny & Ye

2012. Photograph 60 cm x 60 cm, Giclée Print

(ที่มาภาพ http://www.piyaratpiyapongwiwat.com)

งานเซตนี้ เกิดขึ้นเพราะเรารู้สึกคัลเจอร์ ช็อค หลังกลับจากเมืองนอก ว่าทำไมจึงมีป้ายแบนเนอร์เกี่ยวกับสถาบันครอบครัว ที่แทนค่าความเป็นครอบครัวด้วยพ่อและแม่เต็มไปหมด มันเกิดคำถาม จึงเริ่มถ่ายภาพพอร์ทเทรตครอบครัวให้มากที่สุด ในลักษณะภาพพอร์ทเทรตสมัยโบราณอิริยาบทต่างๆ คล้ายกับเป็นการสังเกตการณ์ เราไปเจอครอบครัวของหญิงรักหญิงหลายคู่ จนยิ่งทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ความเป็นครอบครัวนั้นต้องเป็นพ่อ แม่ ลูกหรือเปล่า แล้วหากเป็นหญิง-หญิง ชาย-ชาย โดยไม่ต้องมีลูก สามารถเป็นครอบครัวได้หรือเปล่า การทำงานจึงปรับเปลี่ยนมาเจาะถ่ายแต่คู่ที่เป็น หญิง-หญิง และชาย-ชาย จนได้คัดบางภาพมาแสดง และพบว่ายังมีบางปัจจัยที่ขาดอยู่ เช่น ภาพชุดนี้ยังเน้นกลุ่มคนที่เป็นชนชั้นกลาง ทั้งๆ ที่เรื่องเพศสภาพและเพศวิถีมีความสลับซับซ้อนกว่านั้น อาจเป็นกะเทยคู่กับกะเทย หรือทอมคู่กับกะเทยก็ได้เช่นกัน

“ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐเข้าไปกำหนดควบคุมว่าสิ่งไหนดีหรือสิ่งไหนไม่ดี จะเห็นได้ว่า งานศิลปกรรมแห่งชาติที่ถูกมองว่ามีคุณค่าหรือดีงาม จึงมีอยู่สไตล์เดียวคือรับใช้อุดมการณ์หลักของชาติ ได้แก่ รัฐ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”

เลือกประเด็นที่นำมาทำงานอย่างไร

ก่อนทำงานทุกครั้งจะมีโจทย์ อย่างงานที่ร่วมกับ ‘อังกฤษแกลเลอรี่’ พื้นที่ทางเลือกที่เชียงราย โจทย์ที่ทำในครั้งนั้นคือความเกี่ยวโยงกับพื้นที่ที่ไปทำงาน เราเคยตามพ่อไปเชียงรายบ่อยสมัยตอนเป็นเด็ก หลังจากนั้นก็ไม่มีความทรงจำร่วมอีกกว่า 10 ปี เราเลยเริ่มจากการถามพ่อ แม่ และคนใกล้ตัวว่า เชียงรายเป็นอย่างไร และพบว่ามันเปลี่ยนไปเยอะ รวมทั้งกำลังจะกลายเป็นเมืองท่า และมีบริเวณที่น่าสนใจคือ พื้นที่ข้อพิพาทเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ เชียงของ เชียงแสนและแม่สาย หลังจากเข้ามาคลุกคลีก็ได้พบว่า มีการต่อสู้เพื่อต่อต้านพื้นที่นี้ แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างที่รู้ๆ ว่าอำนาจรัฐนั้นรวมศูนย์สำเร็จเด็ดขาด อย่างมากชาวบ้านก็ทำได้แค่ประท้วง แรงของคนประท้วงนานเข้าก็แผ่วลงๆ จนสุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย เราเลยสนใจประเด็นนี้ และนำมาทำงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ แรงงานข้ามชาติ และค่าแรง

การสื่อสารประเด็นสังคมนั้นยากอย่างไร

ถ้าเป็นสิ่งที่เราสนใจ เราก็จะไม่รู้สึกว่ามันคือการส่งงานหรือส่งการบ้าน ยิ่งค้นไปเราก็ยิ่งเจอประเด็นใหม่ๆ ที่มันน่าสนใจ อย่างนิคมแม่สอดที่เคยอ่าน พบว่าแรงงานที่นั่นส่วนมากเป็นแรงงานเช้า-เย็นกลับ ได้ค่าแรงเป็นวันๆ สภาพความเป็นอยู่เขาย่ำแย่ โดนเอาเปรียบจากนายจ้าง ทำงานโอทีบางทีไม่ได้ค่าจ้างหรือได้ค่าจ้างเป็นมาม่า 1 ห่อ เราเลยสนใจลงพื้นที่ไปหาข้อมูล เพื่อพูดคุยกับแรงงานที่ทำงานในโรงงาน รองเท้า เย็บส่งเสื้อผ้า ฯลฯ ซึ่งส่วนมากเป็นคนพม่าที่พูดไทยไม่ค่อยได้

โจทย์ก็มีแค่นี้ สุดท้ายเมื่อเราไปลงพื้นที่ แล้วระหว่างทางที่ลงไปสำรวจ ค้นคว้า ก็มีประเด็นใหม่ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด บางเรื่องมันคนละประเด็น แต่มันมีจุดเชื่อมโยงซึ่งกันและกันอยู่

งานเซทที่สาม ‘TRANCE’ จัดร่วมกับ อานน นงเยาว์ ศิลปินซาวน์อาร์ท (Sound Art) ช่วงแรกมีความลำบากในการหาจุดร่วมที่เข้ากันได้ เพราะเราไม่ได้มีพื้นฐานเรื่องซาวน์ ช่วงนั้นเป็นช่วงก่อนการรัฐประหาร ม็อบ กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) เสื้อหลากสี เกิดขึ้นตอนอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรรักษาการ อีกทั้งมีม็อบ พ.ร.บ. เหมาเข่ง อะไรเยอะไปหมด บรรยากาศที่บ้านก็อินเรื่องการเมืองมาก จะเปิดช่องทีวีที่ถ่ายทอดสดจากเวทีปราศรัยทั้งวัน ซึ่งเราก็จะได้ยินเพลงก่อนขึ้นปราศรัย พวกเพลงปลุกใจ เราเห็นคนดูรายการเหล่านั้นในทีวีแล้วปากสั่น น้ำตาคลอ จนรู้สึกว่า เฮ้ย มันเอฟเฟคขนาดนั้นเลยเหรอ ก็เลยหยิบเพลงเหล่านี้ทั้งในแนวชวนเชื่อและปลุกใจเอามาทำงาน ระหว่างทำก็ค่อยๆ แตกไปเป็นประเด็นยิบย่อย

ทำไมถึงหยิบโมเม้นท์การยืนตรงเคารพธงชาติมาใช้ในงานเซตที่ชื่อ เดอะ รูทีนส์ (The Routine)

เซตนี้เป็นงานช่วงแรก ตอนนั้นเพิ่งกลับจากต่างประเทศ ยังคงคัลเจอร์ ช็อค เมื่อกลับบ้านที่เชียงใหม่ แล้วไปตลาดกับแม่ พอถึงเวลานั้นทุกคนก็หยุดนิ่ง เมื่อก่อนเราก็ทำมันจนเป็นกิจวัตรประจำวันโดยไม่ได้นึกอะไร  เพลงมาตอนเช้า 8 โมง และ 6 โมงเย็นก็ไม่ได้นึกอะไร เราก็หยุดเหมือนกับมันเป็นความออโตเมติก และเคยชิน จนเราเริ่มตั้งคำถามและอยากลองบันทึกโมเม้นท์ตรงนี้ไว้ จึงเลือกตลาดเป็นสถานที่ถ่ายทำ เพราะที่นี่ทำให้ได้เห็นชีวิต เห็นอะไรในอีกแง่มุมหนึ่ง เราลงไปเก็บฟุทเทตอยู่หลายวัน จนเราได้ภาพจังหวะพอดีเพื่อสื่อสิ่งที่เราต้องการ

The Routine (Still #3)

2011 l Single-Channel HD Video l 5 min 22 sec l sound

(ที่มาภาพ http://www.piyaratpiyapongwiwat.com)

คนเราต้องออกไปข้างนอกบ้างเพื่อที่จะมองกลับมา ในต่างประเทศค่อนข้างอิสระ มีเว็บไซต์ มีข้อมูลต่างๆ ที่น่าสนใจ ที่ตอนอยู่เมืองไทยไม่สามารถเข้าไปดูได้ เพราะมีการปิดกั้นและโดนบล็อก พอยิ่งได้ไปเรียนต่างประเทศบวกกับความอยากรู้ แค่เคาะเดียวก็เปิดดูได้แล้ว มันเหมือนเป็นการเปิดโลกมาก ไม่คิดว่าจะมีอะไรแบบนี้ มีข้อมูลหลายอย่างที่ได้อ่าน คิด วิเคราะห์มาเปรียบเทียบ ตอนเราอยู่ไทย เราก็อ่านประวัติศาสตร์ที่ไทยเป็นคนเขียน พอเราไปต่างประเทศโอกาสได้ไปเห็นข้อมูลบางอย่าง จับต้นชนปลายต่อจิ๊กซอว์ มันก็ทำให้เกิดมุมใหม่ๆ เปลี่ยนมุมมองในการคิดเหมือนกัน

เสรีภาพนั้นส่งผลต่องานศิลปิน

ส่งผลมาก ถ้าอยู่ในประเทศหรือสังคมที่ไม่มีเสรีภาพในการแสดงออก ก็ไม่มีทางที่คนทำงานจะสามารถคิดค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการทำงานได้อยู่แล้ว

เสรีภาพที่เมืองนอกต่างจากต่างประเทศไทยมาก เหมือนหน้ามือหลังมือ ยิ่งช่วงนี้อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ด้วยแล้วมันแทบจะขยับทำอะไรไม่ได้เลย ตอนเรียนที่ฝรั่งเศษ เสรีภาพทางการแสดงออกนั้นมีเต็มเปี่ยม ศิลปินทุกคนมีสิทธิที่จะพูด แสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะขัดกับอุดมการรัฐ หรือขัดกับนโยบายรัฐ ก็สามารถทำได้ต่างกับบ้านเราโดยสิ้นเชิง โดยคนดูหรือสาธารณะชน จะเป็นคนตัดสินเอง อีกทั้งไม่ค่อยเห็นข่าวว่ารัฐมาถอดงานออก เข้ามาจำกัด หรือลิดรอนสิทธิ

ปัจจุบันมีศิลปินรุ่นใหม่หลายคนที่พยายามทำและหลบเลี่ยงด้วยการไม่พูด ไม่วิพากษ์และไม่แอนตี้ตรงๆ แต่ใส่สัญลักษณ์ หรือรหัสต่างๆ เข้าไปในงานแทน

แล้วทำไมประเทศไทยถึงกลัวนักกับการแสดงความเห็นต่างๆ ของศิลปิน

นั่นสิ ไม่รู้เหมือนกัน ศิลปินบางคนเคยบอกว่า โดยทั่วไปแล้วพื้นที่ทางศิลปะเป็นพื้นที่ที่รัฐไม่ค่อยเข้ามายุ่งด้วยซ้ำ เลยคิดว่า เขาอาจกลัวการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เสียมากกว่า เช่น บก.ลายจุดที่ต้องรายงานตัว หลังแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่่ว่า ‘ไม่รับ ไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลทหารเผด็จการ’ เขากลัวการแสดงออกทางสัญลักษณ์ที่ไปวิพากษ์หรือต่อต้านเขา กลัวการปลุกระดมมวลชน หรือแม้กระทั่งกลัวนักศึกษา ล่าสุด กลุ่มพลเมืองโต้กลับที่ออกไปให้กำลังใจกลุ่มที่โดนจับ ถือลูกโป่งไปก็โดนยึดลูกโป่ง ซึ่งไม่เข้าท่า

“ถ้าอยู่ในประเทศหรือสังคมที่ไม่มีเสรีภาพในการแสดงออก ก็ไม่มีทางที่คนทำงานจะสามารถคิดค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการทำงานได้”

ด้วยความที่พื้นที่ในการแสดงงานยังมีน้อยทำให้งานของศิลปินรุ่นใหม่หลายคนที่แสดงออกจุดยืน ความคิดวิพากษ์ ต่อต้านภาวะการที่อยู่ภายใต้การครอบงำของรัฐบาลทหารนั้นไม่ได้ถูกเผยแพร่ งานของเราถึงแม้ไม่ได้เป็นงานที่เล่นเรื่องการเมืองโดยตรง เน้นพูดเรื่องเสียงคนเล็กคนน้อย เสียงที่ไม่เคยถูกรับฟัง เรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่ น้ำท่วม น้ำไม่ไหล เศรษฐกิจไม่ดี นักท่องเที่ยวหนี การเข้าถึงสวัสดิการ ฯลฯ เห็นได้ว่าไม่ได้ไปแตะหรือวิพากษ์ชนชั้นปกครองโดยตรง แต่เมื่อประกอบกับประโยคที่หยิบใช้หลายคำซึ่งไม่ได้รุนแรง แต่กลับสุ่มเสี่ยงเมื่ออยู่ภายใต้สภาวะการณ์แบบนี้ จึงทำให้บางทีเราก็เลือกขอเซ็นเซอร์บางส่วนออกไปเอง เพื่อเป็นการปกป้องตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง

เชื่อไหมว่าศิลปะจะมีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงสังคม

เชื่อ ทุกวันนี้จึงยังทำงานศิลปะอยู่ ถ้าคิดว่าศิลปะคือวัตถุเอื่อยเฉี่อย มีเพื่อขาย มีเพื่อตั้งไว้ที่บ้านเฉยๆ โดยไม่สร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เราคงไม่ทำงานศิลปะ เพราะเราคิดว่าชีวิตมันมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจ ที่เรายังทำอยู่ก็เพราะเราเชื่อว่าศิลปะเป็นสัญลักษณ์เล็กๆ ส่วนหนึ่งที่จะเข้าไปประกอบกับอีกหลายๆ ส่วนเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

เรานับถือและชื่นชมศิลปินนักแสดงหลายกลุ่มที่ต้องคดี เช่น กลุ่มละครประกายไฟ การจับกุมก็เหมือนกับเฉือดไก่ให้ลิงดู ทำให้ศิลปินทุกคนอยู่ภายใต้สังคมแห่งความกลัว หลายคนพอทำงานศิลปะปากอาจบอกว่าไม่ได้กลัว แต่ทำไมเราจึงต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง เพราะเรารู้สึกว่าหากชนตรงๆ แล้วต้องเข้าไปอยู่ในคุก ศิลปินจึงต้องหากลยุทธ์ พลิกเเพลงไม่ให้สารที่สื่อนั้นตรงเกินไป

ถ้ามีโอกาสก็อยากแสดงในหอศิลป์ที่เเมสกว่าเดิม ที่ผู้ชมไม่เฉพาะเจาะจงมากนัก แต่เพราะงานของเราไม่ได้แสดงในด้านที่สวยงามนัก จึงยากที่หอศิลป์ต่างๆ จะดึงเข้าไปร่วมงานด้วย หอศิลป์สาธารณะใหญ่ๆมักได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ อย่าง กทม. หรือกระทรวงวัฒนธรรม จึงทำให้มีระบบจัดการ คัดสรร และประเมินคุณค่าที่เป็นแบบแผน ไม่ว่าจะเป็นจากคณะกรรมการและคนจัดการ

“(ในฝรั่งเศส) ศิลปินทุกคนมีสิทธิที่จะพูด แสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะขัดกับอุดมการรัฐ หรือขัดกับนโยบายรัฐ ก็สามารถทำได้ต่างกับบ้านเราโดยสิ้นเชิง โดยคนดูหรือสาธารณะชน จะเป็นคนตัดสินเอง อีกทั้งไม่ค่อยเห็นข่าวว่ารัฐมาถอดงานออก เข้ามาจำกัด หรือลิดรอนสิทธิ”

ภายใต้ภาวะแบบนี้ไม่มีหลักการและเหตุผลอะไรมารองรับ หากจะโดนจับก็ไม่รู้ว่าจะเป็นข้อหาอะไร อยู่ที่เขายัดมาให้ ยิ่งเราโตมาในครอบครัวคอนเซอร์เวทีฟมากๆ กฎ กรอบ ระเบียบ โรงเรียนรัฐ มาสายก็โดนจับแยกเข้าแถวให้เกิดความรู้สึกผิดบาป ละอาย ตอน ม.ต้น ก็ต้องตัดผมห้ามเกินติ่งหู หากเกินมาเขาก็ตัดโดยที่ไม่ได้ขออนุญาต พอไปเรียนโรงเรียนสหศึกษา ตอน ม.ปลาย เพื่อนผู้ชายโดนเอามือเเทรกเข้าไปในผม หากเลยออกมาครูก็จับกร้อน จับโกน ทุกคนอยู่ภายใต้ความกลัวเพื่อให้รักษาวินัย เสมือนสังคมพยายามทำให้เราเชื่อง จนเรารู้สึกต่อต้านในใจ ยิ่งพอเจอภาวะแบบนี้ มันจึงระเบิดออกมา ถ้าเราอยู่ในประเทศเสรี มีอิสระในการพูด เราอาจจะไม่ต้องมานั่งคุยกันตอนนี้เลยก็ได้ เราอาจได้ทำเรื่องอื่นที่คิดว่ามันน่าสนใจมากกว่านี้

แนวโน้มของวงการศิลปะในอนาคตจะเป็นอย่างไร

คิดว่าคนจะขยับมาทำประเด็นสังคมมากขึ้น ยิ่งพอมีอะไรกดทับ เหมือนรอวันที่จะปะทุและระเบิดออก ตอนนี้มีศิลปินหลายคนที่ขยับที่เข้ามาทำงานการเมือง เลือกวิพากษ์หรือพูดถึงประชาธิปไตยในทางอ้อม หรือบางคนที่พูดตรงๆ เลยก็มี

บ้านเรามีศิลปินหลายคนที่ไปเรียนต่อและกลับมาเป็นนักเคลื่อนไหว ไม่เพียงแค่ศิลปินเท่านั้น พวกเขายังกลับมาเป็นคิวเรเตอร์ เป็นนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ และนักเคลื่อนไหว หลายคนที่ได้คุยเล่าว่า ความคิดเขาเปลี่ยนจากการอ่าน จากตัวอย่างหลายๆ ตัวอย่างที่แตกต่างจากที่ที่เราจากมา ทั้งเรื่องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก และเรื่องรัฐสวัสดิการ ก่อนมา อ่านข่าวก็อาจจะอินแล้ว แต่เมื่อได้ไปอยู่ในที่นั้นจริงๆ มันได้เห็นผลพวงของการต่อสู้ ความคิดและมุมมองเราก็ขยับขยาย

บทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาก็มีส่วนสำคัญ ที่เมืองนอกพวกเขาจะไม่มาครอบงำ มีชี้แนะบ้างแต่ก็ออกไปในเชิงการวิจารณ์ เน้นการสอนโดยศิลปิน การเวิร์คช็อปต่างๆ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ และเปิดกว้างจากประสบการณ์จริง และถึงแม้การทำงานจะยังมีโจทย์อยู่ แต่หากผลงานที่ออกมานั้นหลุดออกนอกโจทย์ที่ตั้งไว้ก็ไม่เป็นไร สุดท้าย งานเหล่านั้นก็จะถูกโชว์ในห้อง วิจารณ์โดยเพื่อนร่วมชั้นเรียน บางคนรุมสับ บางคนเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง ซึ่งนี่ช่วยทำให้เกิดวัฒนธรรมการวิจารณ์ที่ดี โดยมีอาจารย์เป็นเสมือนจิตแพทย์ที่คอยนั่งคุย และแลกเปลี่ยนว่าพวกเขาเห็นอะไรในงานเรา นักเรียนไม่ต้องเน้นสกิล แต่หนักไปทางประวัติศาสตร์ศิลป์ และปรัชญา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อความคิดของเราจนทุกวันนี้

ต่างจากบ้านเราที่ขาดวัฒนธรรมการวิจารณ์ อาจเป็นเพราะระบบอาวุโส พวกพ้อง การอวย สรรเสริญ เยินยอกันนั้นมีมากกว่า แต่ก็แอบหวังว่าวัฒนธรรมการวิจารณ์นี้จะเกิดขึ้นในอนาคต

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อภิสิทธิ์เตรียมแถลงจุดยืนต่อ ร่างรธน. 27 ก.ค.นี้ ระบุไม่ใช่มติพรรค

$
0
0

ระบุส่วนตัวมองถึงอนาคตของประเทศ โดยมองข้ามการทำประชามติและร่างรัฐธรรมนูญไปแล้ว เผยจุดยืนที่ออกมา ได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคแล้ว จึงไม่หนักใจ เพราะทุกคนยอมรับในความเห็นที่แตกต่างกัน และสมาชิกทุกคนมีสิทธิที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง

ที่มาเฟซบุ๊ก Abhisit Vejjajiva

25 ก.ค.2559 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า จะแถลงจุดยืนที่ชัดเจนต่อร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ มีชัย ฤชุพันธุ์  ในนามหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วันพุธที่ 27 ก.ค. นี้  ว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ใช่มติของพรรค เพราะมีคำสั่ง คสช.ที่ห้ามทำการประชุมพรรค

“จุดยืนที่ออกมา ได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคแล้ว จึงไม่หนักใจ เพราะทุกคนยอมรับในความเห็นที่แตกต่างกัน และสมาชิกทุกคนมีสิทธิที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่มีใครปิดกั้นใคร แต่เชื่อว่าทุกคนจะรอดูท่าทีของผมก่อน“ อภิสิทธิ์ กล่าว

อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนตัว วันนี้  มองถึงอนาคตของประเทศ  โดยมองข้ามการทำประชามติและร่างรัฐธรรมนูญ ในประเด็นที่เป็นเรื่องการเมืองไปแล้ว เพราะปัญหาของประเทศวันนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง แต่มีปัญหาอีกหลายมิติที่สำคัญ เช่น ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะการปฏิรูปประเทศ ด้านการศึกษา ตลอดจนการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น  ที่เป็นโจทย์สำคัญ ที่ต้องแก้ไขให้ได้อย่างจริงจัง

“รัฐธรรมนูญต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด ซึ่งหากทุกคนมองปัญหาร่วมกันแล้ว คงเป็นเรื่องง่ายที่จะประสบความสำเร็จในทิศทางเดียวกัน และสามารถทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง” อภิสิทธิ์ กล่าว

 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผูกไมตรี กกต.พิจิตรนำผลไม้เลี้ยงฝูงลิงฉีกบัญชีผู้มีสิทธิประชามติ

$
0
0

25 ก.ค.2559 จากกรณี วานนี้(24 ก.ค.59)เกิดเหตุฝูงลิงป่า บุกศาลาวัดหาดมูลกระบือ หมู่ 1 ต.ย่านยาว อ.เมือง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นสถานที่ติดประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ลงประชามติ ฝูงลิงจำนวนมากทำการฉีกบัญชีรายชื่อจนเสียหาย (อ่านรายละเอียด)

ล่าสุดวันนี้ (25 ก.ค.59)  สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ประยูร จักรพัชรกุล ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำ จ.พิจิตร และ ดร.สุรชัย มณีประกร นายอำเภอเมืองพิจิตร พร้อมด้วยชาวบ้านร่วมกันนำผลไม้ กล้วย แตงโม ถั่วฝักยาว แตงกวา จำนวนมาก ไปเลี้ยงฝูงลิงดังกล่าวเพื่อเป็นการผูกมิตรไมตรี อีกทั้งยังได้มีการนำบัญชีรายชื่อชุดใหม่ไปติดประกาศ โดยจุดที่ติดประกาศครั้งใหม่ มีกระจกใสจึงมั่นใจว่าจะสามารถแก้ปัญหาจากที่เคยเกิดขึ้นได้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สามชาย ศรีสันต์: ทำไมชาวบ้านจึงประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ

$
0
0


จากการที่ได้ฟังตัวแทนชาวบ้านกลุ่มต่างๆ ที่เป็นตัวแทนของ 43 องค์กร แสดงความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทำให้เข้าใจว่า รัฐธรรมนูญ เกี่ยวข้องกับชาวบ้านอย่างลึกซึ้ง เป็นเรื่องความเป็นอยู่หลับนอนในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน ที่คนเมืองอย่างผมไม่อาจจะเข้าใจอะไรได้มากไปกว่า ประเด็นเรื่องสิทธิ เสรีภาพในการเลือกตั้ง การพูด การแสดงความคิดเห็น

ชาวบ้านได้พูดให้ฟังถึงความทุกข์ยากที่พวกเขาได้รับจากรัฐบาล จากนโยบาย กฎหมาย ประกาศ คำสั่ง ที่ออกมาลิดรอนความสุข เชื่อมโยงไปถึงข้อความในร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2559 ที่กำลังจะลงประชามติ ได้อย่างน่าสนใจ ทำให้มองเห็นภาพและเข้าใจว่า ทำไมชาวบ้านในชนบท ในป่า บนดอย เหล่านี้ เข้าใจการเมืองได้ลึกซึ้งในมิติที่มันเกี่ยวข้องกับชีวิตและร่างกายของพวกเขา มากกว่าคนเมืองที่เข้าใจการเมืองเพียงถ้อยคำสวยหรูในเชิงคุณธรรม จริยธรรม

โดยพบว่ามีเหตุผลสำคัญ 4 ประการ ที่ตัวแทนองค์กรผู้ขึ้นพูดบนเวทีได้ชี้ให้เห็น

1. การทวงคืนผืนป่า การไล่รื้อ เผาทำลาย ที่อยู่อาศัย และพืชไร่ พืชสวนของชาวบ้าน เป็นการทำลายทรัพย์สิน และคุกคามต่อการดำรงชีวิตของประชาชนโดยตรง “การไล่รื้อไม่เคยดำเนินการกับรีสอร์ท บ้านคนรวย” การที่รัฐธรรมเขียนไว้ว่า การใช้สิทธิของประชาชนทำได้ แต่... “ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้นไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น” ดังนั้นการทวงคืนผืนป่า การทวงคืนที่สาธารณะ การปราบปรามการชุมนุม เคลื่อนไหว เรื่องเหล่านี้อ้างเหตุผลเป็นไปเพื่อความไม่มั่นคงของรัฐได้ทั้งสิ้น ทั้งยังไม่มีมาตราใดในรัฐธรรมนูญที่ชาวบ้านจะมั่นใจได้ว่า จะคุ้มครองไม่ให้รัฐมาอ้างความเป็นเจ้าของทรัพยากร และทวงคืนเอาจากประชาชนภายหลังจากที่ประชาชนได้ลงทุนลงแรงไปกับทรัพยากรเหล่านั้นแล้ว นี่คือประเด็นแรกที่ทำให้ชาวบ้านไม่ไว้วางใจรัฐธรรมนูญฉบับนี้

2. การนำกองกำลังฝ่ายความมั่นคงของรัฐ เข้าไปควบคุม จับกุมตัว ชาวบ้านที่ต่อต้าน เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า โรงงานกำจัดขยะ และอำนวยความสะดวกให้กลุ่มทุนภาคธุรกิจ เข้ามาแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ชุมชนท้องถิ่นที่ชาวบ้านอยู่อาศัยมาก่อน โดยกันชาวบ้านไม่ให้แสดงความคิดเห็นคัดค้านต่อต้าน ทำให้เข้าใจได้ว่า สิทธิที่เคยมีอยู่ของชาวบ้านที่จะออกมาต่อต้านการกลุ่มทุนเหล่านี้ จะถูกอ้างว่าเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนดังที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ เหมือนกันที่ใช้เป็นข้ออ้างจับกุมตัวไปอบรมความประพฤติ นำกองกำลังเข้ามาควบคุมไม่ให้เคลื่อนไหว โดยอ้างคำสั่งฉบับที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ในปัจจุบัน และอาจเลยไปถึงองค์กรของรัฐทุกองค์กรยืนอยู่ข้างนายทุนตามแนวนโยบาย “ประชารัฐ” ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย

3. การเตรียมการยกเลิกระบบสวัสดิการต่างๆ ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ความพยายามที่จะยกเลิกนโยบายบัตรทอง ลดระดับชั้นเรียนฟรีที่รัฐจะจัดให้ สิ่งเหล่านี้ทำให้สวัสดิการซึ่งเป็นสิทธิกลายเป็นการสงเคราะห์แก่ผู้ยากไร้ ประชาชนที่ที่ยากจนข้นแค้น โดยมีมาตรการการลงทะเบียนคนยากจนเตรียมการไว้รองรับ จะเห็นได้จากการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่าจะให้สิทธิการรักษาพยาบาล เบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุ(เฉพาะ)แก่ผู้ยากไร้ ทำให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้ยากไร้ในคำนิยามของรัฐธรรมนูญนี้ เกิดความไม่มั่นใจว่าสิทธิเหล่านี้จะยังคงมีอยู่ต่อไปหรือไม่

4. กฎหมาย คำสั่ง ประกาศ ที่ผ่านมา เป็นคำสั่งประกาศที่ล้วนลิดรอนสิทธิของชาวบ้าน และเพิ่มสิทธิให้กับผู้ประกอบการ เช่นคำสั่งหัวหน้า คสช. 4/2559 ยกเว้นผังเมืองสำหรับกิจการพลังงานและขยะ ซึ่งหมายความว่า ต่อไปจะนำขยะ ไปกำจัด ฝังกลบ ตั้งโรงงานรีไซเคิล ในพื้นที่ใดก็ได้โดยไม่ถูกจำกัดควบคุมด้วยผังเมือง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกประกาศยกเว้นให้โรงไฟฟ้าขยะไม่ต้องจัดทำรายงานศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ร่าง พ.ร.บ. เหมืองแร่ที่ทำให้การขออนุญาตทำเหมืองง่ายขึ้น โดยโอนอำนาจการอนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ตกอยู่แก่ระบบราชการฝ่ายเดียว ทำให้อนุมัติให้สั้นลงโดยไม่ต้องไปถามความเห็นของประชาชน พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ควบคุม จำกัด การเคลื่อนไหวของประชาชนแทบทุกรูปแบบ สิ่งเหล่านี้ล้วนลดทอนความเป็นประชาชนลง และเพิ่มสิทธิอำนาจให้กับผู้ประกอบการ

ประชาชนในความหมายทางปฏิบัติของรัฐธรรมนูญ จึงอาจไม่ใช่ประชาชนคนส่วนใหญ่ แต่เป็นรัฐและนายทุน โดยประชาชนในความหมายเดิมกลายเป็นผู้ก่อความไม่สงบที่ทำลายความมั่นคงของรัฐ

ท้ายที่สุดรัฐบาลชุดนี้สร้างบรรยากาศของการหมิ่นแคลนชาวบ้านว่า เป็นผู้ไม่รู้ ไม่ประสีประสา “คนตัดหญ้าหน้าทำเนียบจะไปรู้อะไร” เกษตรกร ชาวนา เป็นภาระและรอรับความช่วยเหลือตลอดเวลา ไม่ปรับปรุงพัฒนา รูปแบบการผลิต และหลงอยู่กับนโยบายประชานิยม แน่นอนว่าในฐานะคนที่เท่าเทียมกันไม่มีใครต้องการถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประกอบกับ 2 ปีที่ผ่านมา นโยบาย มาตรการ การกระทำที่ออกมาก็ล้วนคุกคามใช้กำลังต่อชาวบ้าน ต่อคนเล็กคนน้อยมาโดยตลอด ซึ่งแทนที่จะทำให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้กลับยิ่งจะสร้างความขัดแย้งรุนแรง และแตกแยกมากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ ชาวบ้าน ประชาชน คนเล็กคนน้อย ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจะไม่เห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้

0000

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นิธิ เอียวศรีวงศ์: ปฏิรูปกองทัพ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

$
0
0

หากประเทศไทยจะสามารถก้าวต่อไปในระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ อย่างไรเสียก็หนีไม่พ้นการปฏิรูปกองทัพ มิฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุสู่ระบอบประชาธิปไตยได้

เป้าหมายของการปฏิรูปกองทัพก็คือ ทำให้กองทัพเป็นกลไกรัฐปกติที่ต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนซึ่งมาจากการเลือกตั้ง กองทัพไม่มีสมรรถนะที่จะแทรกแซงทางการเมือง ทั้งโดยเปิดเผยด้วยการกดดัน หรือโดยวิธีลับอย่างอื่น โดยเฉพาะในการวางนโยบายสาธารณะ ในขณะเดียวกัน กองทัพต้องเป็นกลไกรัฐที่มีประสิทธิภาพด้วย เพราะภารกิจที่กองทัพต้องกระทำตามคำสั่งรัฐบาลพลเรือนในหลายกรณีด้วยกันนั้น มีความสำคัญระดับคอขาดบาดตายแก่ชาติทีเดียว เราจึงต้องมีกองทัพที่เมื่อสั่งให้ไปทำอะไรแล้ว ก็ทำสำเร็จ ในเวลาที่สมควรด้วย ที่สำคัญคือไม่ทำให้ปัญหายิ่งซับซ้อนและแก้ไขยากขึ้น อย่างที่เราต้องเผชิญในสามจังหวัดภาคใต้ทุกวันนี้

ในประเทศกำลังพัฒนาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ กองทัพได้แทรกแซงการเมืองมาอย่างยาวนาน มีผลประโยชน์ปลูกฝังหลากหลายชนิด ที่ยากจะไถ่ถอนออกมาได้ง่ายๆ ฉะนั้นปฏิรูปกองทัพด้วยเป้าหมายดังกล่าวจึงไม่ง่าย และอาจสำเร็จได้เท่าๆ กับล้มเหลว

ถึงเวลาที่คนไทยต้องช่วยกันเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศอื่น และคิดปรับกลวิธีต่างๆ จากที่อื่นมาประยุกต์ใช้กับกรณีของไทยให้ได้ผล

หนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านที่ถูกกองทัพแทรกแซงทางการเมืองมานานคืออินโดนีเซีย จนเมื่อระเบียบใหม่ของนายพลซูฮาร์โตถูกทำลายลงใน พ.ศ.2541 กรณีอินโดนีเซียน่าสนใจแก่เราเป็นพิเศษ เพราะกองทัพไม่ได้ถูกลดอำนาจลงจากพลังภายในอื่นๆ เพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และการเมืองระหว่างประเทศ (เช่นกรณีติมอร์ตะวันออก และการเปลี่ยนนโยบายของมหาอำนาจหลังสงครามเย็น)

ผมคิดว่าวันหนึ่งที่กองทัพไทยจะต้องลดอำนาจลง ก็จะมีลักษณะคล้ายอย่างนี้ คือไม่ได้เกิดจากพลังภายในที่ต่อต้านการเมืองของกองทัพเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยจากสถานการณ์ระหว่างประเทศหรือภายนอกเข้ามาผสมโรงด้วย

ดังนั้นอำนาจของฝ่ายรัฐบาลพลเรือนทั้งในกรณีอินโดนีเซียที่ผ่านมา และไทยในอนาคตจึงย่อมค่อนข้างเปราะบาง โอกาสจะปฏิรูปกองทัพได้สำเร็จก็มี หรือปฏิรูปกองทัพกลายเป็นชนวนให้ทหารกลับเข้ามาคุมการเมืองอีกครั้งหนึ่งก็มีเหมือนกัน ดังในกรณีอินโดนีเซียเองนั้น ก็มีข้อถกเถียงกันระหว่างสองฝ่ายว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง หรือล้มเหลวจนไม่ได้เปลี่ยนสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างทหาร-พลเรือนไปแต่อย่างไร นอกจากกฎเกณฑ์ระดับบนเท่านั้น

ในการประเมินของ Marcus Mietzner (ใน The Politics of Military Reform in Post-Suharto Indonesia) เขาเห็นว่า หากแบ่งการปฏิรูปกองทัพออกเป็นสองชั่วอายุคน คือเมื่อเริ่มต้น ยังมีนายทหารที่มาจากระบอบเก่าอยู่จำนวนมาก ดำเนินการปฏิรูปไประยะหนึ่ง นายทหารรุ่นนี้ปลดบำนาญออกไป จะมีนายทหารรุ่นใหม่ที่เติบโตมาท่ามกลางการปฏิรูปขึ้นมาคุมกองทัพแทน (โดยอาศัยการเปรียบเทียบกับการปฏิรูปกองทัพในยุโรปตะวันออกหลังการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์) ก็อาจกล่าวได้ว่า อินโดนีเซียประสบความสำเร็จพอสมควรในการปฏิรูปช่วงชั่วอายุคนแรก

กองทัพถูกดึงออกจากการเมืองที่เป็นทางการ อภิสิทธิ์เชิงสถาบันหลายอย่างของกองทัพถูกยกเลิกไป ระบอบปกครองใหม่ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ลิดรอนอำนาจวีโต้ของกองทัพออกไปได้ ดังกรณีที่รัฐบาลอินโดนีเซียสามารถนำเสนอแผนการสันติภาพในอาเจะห์ได้ โดยกองทัพไม่ขัดขวาง แม้มีนายทหารของกองทัพหลายคนไม่พอใจ

การดึงกองทัพออกจากการเมืองที่เป็นทางการนั้นง่าย และเราก็เคยทำได้มาแล้วหลัง 2535 สืบมาจน 2549 แต่กองทัพไทยยังเข้ามายุ่งเกี่ยวกับ “การเมือง” ระดับที่ไม่เป็นทางการอีกมาก เช่นเป็นกำลังหลักในการปราบยาเสพติด บัดนี้ดูเหมือนกำลังจะกลายเป็นกำลังหลักในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป่าและที่ดินอีกด้วย บทบาทเหล่านี้เป็น “การเมือง” อย่างยิ่ง เพราะอาจใช้เพื่อทำลายศัตรูของกองทัพ และสร้างพันธมิตรของกองทัพขึ้นได้ นอกจากนี้ยังมีอภิสิทธิ์เชิงสถาบันอีกหลายอย่างที่กองทัพไทยครอบครองมาอย่างยาวนาน เช่น กอ.รมน. มีบทบาทอำนาจหน้าที่แค่ไหน ควรจะต้องทบทวนแก้ไขให้ต้องถูกถ่วงดุลอย่างได้ผลจากฝ่ายพลเรือน อำนาจของกองทัพในพื้นที่ซึ่งถูกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก็ตาม ประกาศกฎอัยการศึกก็ตาม เป็นอำนาจอิสระที่ปล่อยให้กองทัพมีไม่ได้ จำเป็นต้องแก้กฎหมายให้กองทัพไม่มีอำนาจเช่นนั้นอีก

อันหลังนี่แหละที่ยาก แต่ด้วยเจตจำนงทางการเมืองที่แรงพอ ก็หาได้ยากเกินกว่าที่รัฐบาลพลเรือนจะไม่สามารถฟันฝ่าไปได้ (หากรู้จักหาฐานสนับสนุนในสังคมให้กว้างและแข็งแกร่งเอาไว้) ประธานาธิบดีวาฮิดได้อาศัยฐานสนับสนุนที่ได้รับอย่างกว้างขวางในระยะแรก เข้าไปแทรกแซงการจัดสรรอำนาจในกองทัพเลยทีเดียว เป็นต้นว่าตั้งพลเรือนเป็นรัฐมนตรีกลาโหม (ดูเหมือนจะเป็นรัฐมนตรีกลาโหมพลเรือนคนแรกของอินโดนีเซีย) ยิ่งกว่านี้ นายทหารที่ขัดขวางการปฏิรูปกองทัพ ก็ถูกปลดประจำการ (เพราะมีส่วนในทารุณกรรมร้ายแรงที่กองทัพกระทำต่อชาวติมอร์) แต่ชดเชยให้ด้วยการเชิญให้มาดำรงตำแหน่งในคณะรัฐบาล นับตั้งแต่หลังประธานาธิบดีซูการ์โนเป็นต้นมา ไม่มีประธานาธิบดีพลเรือนคนใดของอินโดนีเซีย ที่มีเจตจำนงในการปฏิรูปกองทัพอย่างหนักแน่นเท่าวาฮิด แม้ว่าการกระทำของเขาเป็นผลให้การเมืองระบอบประชาธิปไตยของอินโดนีเซียเข้าสู่วิกฤตที่เกือบเปิดโอกาสให้กองทัพกลับเข้ามาใหม่ในช่วงท้ายก็ตาม

แต่อินโดนีเซียโชคดี หากไม่นับพรรคโกลคาร์ซึ่งเผด็จการทหารตั้งขึ้นมาก่อนเป็นเวลานานแล้ว พรรคการเมืองอื่นๆ ทั้งหมด ซึ่งแม้เป็นศัตรูกับวาฮิด ก็ไม่คิดจะไปร่วมมือกับทหารเพื่อนำตัวเองเข้าสู่อำนาจเลย ตรงกันข้ามกับในประเทศไทย ไม่เฉพาะแต่พรรคการเมืองใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดเท่านั้น เรายังมีนักการเมืองที่เติบโตมากับการร่วมมือกับทหารอย่างยาวนาน (ทั้งทางเศรษฐกิจส่วนตัวของแกนนำพรรค และอำนาจการเมืองในท้องถิ่น) คนเหล่านี้พร้อมจะนำพรรคการเมืองของตน หรือตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อไป “หากิน” กับกองทัพได้อีกทุกเมื่อ

การมีเจตจำนงอย่างแน่วแน่ในการปฏิรูปกองทัพของนักการเมืองไทย ซึ่งแม้ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น จึงเกิดได้ยาก และมักเลือกวิถีทางที่ไม่ใช่การปฏิรูปกองทัพจริง เช่น เอาญาติของตนเองไปคุมกองทัพ เพื่อให้กองทัพเป็นเครื่องมือทางการเมืองส่วนตัวของตนเอง นั่นคือเปิดให้กองทัพแทรกแซงทางการเมืองตามเดิม เพียงแต่ขอให้แทรกแซงมาทางฝ่ายตนเท่านั้น หรือมิฉะนั้นก็ยอมจำนนศิโรราบแก่กองทัพ ด้วยความหวังว่ากองทัพจะปล่อยให้ตนได้ครองอำนาจต่อไปเท่านั้น

เราจะแก้ให้นักการเมืองมีเจตจำนงและกึ๋นพอจะปฏิรูปกองทัพได้อย่างไร ผมก็จนปัญญาครับ นอกจากทำให้ “วาระ”-ปฏิรูปกองทัพเป็น “วาระ” ของสังคมไทยอย่างจริงจัง (อย่างที่เราเคยทำได้ในการผลักดันรัฐธรรมนูญ 2540) แรงกดดันทางสังคมที่แข็งแกร่งเช่นนี้เท่านั้น ที่จะบังคับให้นักการเมืองและพรรคการเมืองจำเป็นต้องมีเจตจำนงในการปฏิรูปกองทัพอย่างหนักแน่น

เช่นเดียวกับกองทัพอินโดนีเซีย ใช่ว่านายทหารในกองทัพไทยจะไม่มี “แผล” เสียเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจีที 200, บอลลูนมหัศจรรย์, หรือเหตุการณ์ใน พ.ศ.2553 ปัญหาอยู่ที่ว่านักการเมืองไทยในอนาคตจะใช้ “แผล” เหล่านี้เพื่อปฏิรูปกองทัพหรือไม่ หรือใช้เพียงเพื่อนำกองทัพมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองส่วนตน

แม้ประสบความสำเร็จในการดึงเอากองทัพออกจากการเมืองที่เป็นทางการ แต่อินโดนีเซียล้มเหลวในการจำกัดอำนาจของกองทัพหลายเรื่อง ที่สำคัญที่สุดก็คือโครงสร้างการบังคับบัญชาทหารในภาคต่างๆ ของประเทศ ระบบ “มณฑลทหาร” หรือ “กองทัพภาค” ของอินโดนีเซีย คือฐานอำนาจของกองทัพในเขตภูมิภาคต่างๆ ฐานอำนาจนี้ทหารใช้ไปในการเข้าถึงทรัพยากรทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ตนคุมอยู่ นับตั้งแต่ขายบริการคุ้มครองกิจการทางธุรกิจ, ตั้งสหกรณ์ของตนเอง, ทำวิสาหกิจในพื้นที่ของตนเอง ฯลฯ อย่าลืมว่าการจัดการบริหารกองทัพอินโดนีเซีย เริ่มจากการจัดการบริหารกองโจรซึ่งทำสงครามกับฮอลันดาเพื่อกู้เอกราช กองโจรในพื้นที่ต่างๆ จึงมีอิสระในตนเองสูง รวมทั้งต้องสามารถเลี้ยงตนเองได้ด้วย โครงสร้างอำนาจกองทัพอินโดนีเซียจนถึงทุกวันนี้ก็ยังวางบนพื้นฐานการจัดการกองทัพในสมัยกู้เอกราช

ทำให้กองทัพอินโดนีเซียไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไรนัก ระหว่างนโยบายคอนฟรอนตาซีของซูการ์โน ทหารอินโดนีเซียที่รุกล้ำเข้าไปในดินแดนที่เป็นมาเลเซียซึ่งประธานาธิบดีซูการ์โนต่อต้าน ถูกกองทัพอังกฤษและมาเลเซียสะกัดจนต้องถอยหรือถูกจับเป็นเชลยหมด นโยบายคอนฟรอนตาซีที่มีแต่กองทัพลิเกหนุนหลังเช่นนี้ จึงไม่เป็นภัยคุกคามแก่ใครอย่างวาทศิลป์ของซูการ์โนชวนให้เกรง

กองทัพที่เข้าไปยุ่งกับการเมือง ไม่เคยเป็นกองทัพที่มีประสิทธิภาพเลยสักกองทัพเดียว (ทำได้แต่ปราบปรามประชาชนผู้ปราศจากอาวุธ) และกองทัพประเภทนี้จำกัดอำนาจการต่อรองของชาติในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในบรรดาปัจจัยต่างๆ ที่บังคับให้อินโดนีเซียต้องวางมือจากการยึดติมอร์ ก็คือความไม่มีประสิทธิภาพของกองทัพอินโดนีเซียเอง ไม่เคยปราบเฟรติลินได้-อย่างราบคาบจริงสักครั้งเดียว ได้แต่ใช้อาวุธยุทธภัณฑ์ที่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐ, อังกฤษ และออสเตรเลียทำทารุณกรรมแก่ประชาชนติมอร์อย่างเหี้ยมโหดด้วยประการต่างๆ เท่านั้น

การปฏิรูปกองทัพของอินโดนีเซียจึงหมายถึงการจัดโครงสร้างกองทัพใหม่ให้เหมาะกับสภาวะของโลกปัจจุบัน ที่กองทัพอาจต้องเผชิญด้วย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือปฏิรูปกองทัพ ไม่ได้หมายเพียงเอากองทัพออกจากการเมืองเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงทำให้กองทัพ “รบเป็น” ด้วย

กลับมาสู่ฐานอำนาจในส่วนภูมิภาคของกองทัพอินโดนีเซีย เป็นแหล่งรายได้สำคัญของทั้งกองทัพและทหาร แต่ก็ทำความเดือดร้อนแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างมาก จะมีใครอยากไปลงทุนในส่วนที่ต้องเสียค่าต๋งให้กองทัพท้องถิ่นอยู่ตลอดเวลา รัฐมนตรีกลาโหมพลเรือนของประธานาธิบดีวาฮิดประเมินว่ารายได้ที่กองทหารในต่างจังหวัดหาเองนี้เป็นค่าใช้จ่ายของกองทัพถึง 70% หมายความว่ากองทัพอินโดนีเซียพึ่งรายได้จากงบประมาณแผ่นดินเพียง 30% เท่านั้น ฉะนั้นการปฏิรูปในส่วนนี้จึงหมายถึงภาระในงบประมาณส่วนกลางเป็นจำนวนมากด้วย ซึ่งอาจทำให้ข้าราชการในกระทรวงทบวงกรมฝ่ายพลเรือนเองไม่สนับสนุนการปฏิรูปกองทัพก็ได้

โครงสร้างการบริหารของกองทัพไทยไม่ได้เป็นอย่างนี้ ส่วนใหญ่ของรายได้กองทัพมาจากงบประมาณแผ่นดิน เราไม่มีปัญหาแบบอินโดนีเซีย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทหารและกองทหารในส่วนภูมิภาค ทั้งที่ประจำการอยู่ถาวร หรือลงปฏิบัติราชการชั่วคราว ไม่มีช่องทางหารายได้เลย ทั้งที่ถูกกฎหมาย ปริ่มกฎหมาย และผิดกฎหมาย (ค่าคุ้มครอง, ค้าไม้, ค้าที่ดิน, ค้าคน, ค้าอาวุธ ฯลฯ) แต่นี่เป็นปัญหาของอำนาจรัฐไทยซึ่งกระจายออกไปอย่างไม่ทั่วถึง รัฐบาลกลางไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพลเรือนหรือรัฐบาลทหารก็ต้องแก้เหมือนกัน แต่หากการปฏิรูปกองทัพทำอย่างได้ผล กลไกรัฐอื่นๆ เช่นตำรวจ, ป่าไม้, กรมอุทยาน, ส.ป.ก. ฯลฯ ก็อาจบังคับใช้กฎหมายกับนายทหารเหล่านั้นได้โดยไม่ถูกขัดขวางจาก”ผู้ใหญ่”

รายได้นอกงบประมาณของกองทัพอีกอย่างหนึ่งคือ รายได้จากการผูกขาดทรัพยากรสาธารณะ ที่สำคัญคือคลื่นความถี่ และที่ดินที่สงวนไว้ใช้ในการทหาร ฯลฯ การปฏิรูปกองทัพไทยต้องหมายถึงการสร้างกลไกตรวจสอบ และสร้างระเบียบการได้มาและใช้ซึ่งรายได้ส่วนนี้อย่างรัดกุมด้วย เช่นไม่ปล่อยให้เป็นรายได้ที่อยู่พ้นการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น สตง., กรมบัญชีกลาง, และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะกองทัพอาจใช้รายได้ส่วนนี้ซึ่งไม่น้อยในการเป็นฐานเพื่อแทรกแซงการเมืองได้ (เช่นซื้อสื่อ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม)

ทั้งหมดนี้คงเป็นตัวอย่างว่ามีประสบการณ์ของสังคมอื่นให้เราช่วยกันเรียนรู้ได้มาก เพื่อจะได้ช่วยกันคิดต่อไปว่าเราจะปฏิรูปกองทัพกันอย่างไร เพื่อให้ประเทศของเราเดินหน้าต่อไปได้ ท่ามกลางเงื่อนไขใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

0000

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: มติชนรายวัน 25 กรกฎาคม 2559

ที่มา: Matichon Online

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รายงาน: Harm Reduction แก้ปัญหายาเสพติด ผู้ใช้ยาไม่ใช่อาชญากร

$
0
0

เสนอแนวคิดลดอันตรายจากการใช้ยา หรือ Harm Reduction แก้ปัญหายาเสพติด เครือข่ายผู้ใช้ยาชี้กฎหมายเหมารวม ลงโทษไม่ได้สัดส่วน เรียกร้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผู้ใช้ยาไม่ใช่อาชญากร รองอธิบดีกรมการแพทย์ เสนอแก้ปัญหายาเสพติดต้องควบคุมให้การค้าขายยาเสพติดอย่างเสรีในขอบเขตกฎหมายและการควบคุมดูแล

ที่มา Nikki David/Neon Tommy/flickr/CC BY-SA 2.0

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2559 พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศไทย โดยการปลดเมทแอมเฟตามีนออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ให้ใช้ในแนวทางในการเป็นยารักษาโรค พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ปัจจุบันการปราบยาเสพติดโดยใช้วิธีการอย่างรุนแรงอาจจะไม่ได้ผล อีกทั้งมีผลวิจัยระบุว่า องค์ประกอบของยาเสพติดจากพืชกัญชาและฝิ่น สามารถนำมาเป็นยารักษาโรคได้ ที่ผ่านมาภาครัฐประกาศสงครามกับยาเสพติด ใช้วิธีทำลายแหล่งผลิต และจับผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าคุก แต่วิธีดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดผลสำเร็จเท่าที่ต้องการ อีกทั้งยังนำมาซึ่งปัญหานักโทษล้นคุกอีกด้วย

นอกจากการปลดสารบางชนิดออกจากบัญชียาเสพติดแล้ว ยังมีอีกแนวคิดหนึ่งที่เรียกว่า การลดอันตรายจากการใช้ยา หรือ Harm Reduction ซึ่งประสบความสำเร็จในต่างประเทศ ยกตัวอย่างประเทศโปรตุเกสที่สามารถลดจำนวนผู้ที่เสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาดและลดจำนวนการแพร่เชื้อ HIV จากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันได้ ภาครัฐจะเป็นผู้มอบสารเสพติดและอุปกรณ์การเสพให้แก่ผู้ใช้ยา โดยมอบในปริมาณที่กำหนดเพื่อควบคุมดูแลมิให้ส่งผลต่อสุขภาพของผู้ใช้ ซึ่งพบว่าวิธีการดังกล่าวช่วยลดการแพร่เชื้อ HIV ได้มาก

การลงโทษไม่ได้สัดส่วน เหมารวมผู้ใช้ยาเป็นอาชญากร

แม้ว่าแนวคิดการลดอันตรายจากการใช้ยาจะดูเหมือนเป็นแนวคิดที่สามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ แต่ศักดา เผือกชาย ประธานเครือข่ายผู้ใช้ยาในประเทศไทย บอกว่า สิ่งที่สำคัญกว่าการนำแนวคิดดังกล่าวมาใช้ คือการปรับเปลี่ยนทัศนคติของคนในสังคมต่อผู้ใช้ยา การใช้ยามีหลายบริบท บันเทิง การแพทย์ การตัดสินว่าคนที่ใช้ยาเป็นคนเลว เป็นผู้ร้ายในสังคม จะทำให้ปัญหาต่างๆ แย่ลง

ศักดา กล่าวว่า ผู้ที่ติดยาเสพติดถึงขนาดควบคุมตัวเองไม่ได้ จนนำไปสู่การก่ออาชญากรรมต่างๆ มีอยู่ในอัตราส่วนที่ต่ำมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นสังคมหรือกฎหมายกลับลงโทษโดยใช้มาตรฐานที่เท่ากัน ความผิดที่กระทำกับโทษที่ได้รับไม่ได้สัดส่วนกัน เป็นการจัดการแบบเหมารวม การลงโทษไม่ได้พิจารณาจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้น มีกรณีที่มีผู้ใช้ยาเผลอนำยาเสพติดเข้ามาในประเทศไทย แต่โดนโทษจำคุกตลอดชีวิตเทียบเท่าผู้ค้ารายใหญ่ ทำให้เกิดปัญหานักโทษล้นเรือนจำตามมา โดยสถิติเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2559 นักโทษคดียาเสพติดมีจำนวนมากถึง กว่าร้อยละ 70 ของนักโทษทั้งหมดการนำเอาผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเข้าไปอยู่ร่วมกันจำนวนมากเช่นนี้ กลับให้ผลตรงกันข้าม เพราะเท่ากับเป็นการขยายเครือข่ายยาเสพติดจากการนำนักโทษเข้าไปอยู่ด้วยกันในเรือนจำ

ศักดา ยังกล่าวต่ออีกว่า ผู้ที่เสพติดเกินไปควรถูกบำบัด แต่ไม่ใช่ผู้ใช้ยาทั้งหมด บางคนเสพเพื่อความบันเทิง ไม่ได้เสพติดการใช้ยา ที่ผ่านมาไทยมีการบำบัดผู้ใช้ยา แต่เป็นไปในแนวทางของการบังคับบำบัด มิใช่ด้วยความสมัครใจ มาตรการดังกล่าวตอบย้ำความไม่เท่ากันและกดฐานะทางสังคมผู้ใช้ยาลงไป การนำผู้ใช้ยาเข้าไปบำบัดที่ผ่านมา จะต้องลงชื่อบันทึกไว้ว่าคนผู้นี้เป็นผู้ใช้ยาหรือเคยเป็น ประกอบกับทัศนคติของคนในสังคมที่มีในแง่ลบ ทำให้การเข้าไปบำบัดหรือขอความช่วยเหลือต่างๆ จากผู้ใช้ยาแทบจะไม่เกิดขึ้น

ผู้ที่ติดยาเสพติดถึงขนาดควบคุมตัวเองไม่ได้ จนนำไปสู่การก่ออาชญากรรมต่างๆ มีอยู่ในอัตราส่วนที่ต่ำมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นสังคมหรือกฎหมายกลับลงโทษโดยใช้มาตรฐานที่เท่ากัน ความผิดที่กระทำกับโทษที่ได้รับไม่ได้สัดส่วนกัน เป็นการจัดการแบบเหมารวม

ผู้ใช้ยาไม่ใช่คนชั่ว

ศักดา เสนอว่า สิ่งที่สำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติดคือการเปลี่ยนความคิดของคนในสังคมต่อผู้ใช้ยา ทัศนคติของคนในสังคมจะเป็นตัวที่ส่งผลกระทบแก่ผู้ใช้ยาอย่างมาก อดีตผู้ใช้ยาหลายรายไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ การมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทำให้หางานทำยากขึ้น เราต้องมองผู้ใช้ยาอย่างเข้าใจ ผู้ใช้ยาไม่ได้เป็นคนชั่ว ความเข้าใจและการให้โอกาสจะเป็นสิ่งที่ช่วยแก้ปัญหายาเสพติดได้อย่างดี

เช่นเดียวกันกับวุฒิพงษ์ พาณิชย์สวย นิติกรชำนาญการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กล่าวว่าการแก้ไขปัญหายาเสพติดต้องปรับปรุงระบบการศึกษาในการแก้ทัศนคติของประชาชนต่อผู้ใช้ยา ลดการกีดกันการทำงาน ในปัจจุบัน หน่วยงานราชการหรือโรงงานต่างๆ ที่ใช้นโยบายโรงงานสีขาวหรือการไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนที่มีประวัติการใช้ยาเสพติด เป็นการกีดกันผู้ใช้ ผลักให้เขาเหล่านั้นหวนกลับไปสู่วงจรเดิมๆ  ไม่สามรถลืมตาอ้าปากได้

วุฒิพงษ์ กล่าวว่า ในปัจจุบันการแก้ไขปัญหายาเสพติดเปลี่ยนไป จะลดความเป็นคดีอาญาของยาเสพติดลง  เปิดช่องทางให้มีการศึกษาเพื่อใช้ประโยชน์จากยาเสพติดในทางการแพทย์ และให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ยาแก่ประชาชน เนื่องจากจะเป็นแนวทางในการลดอันตรายจากการใช้ยาและลดปัญหาต่างๆ ที่ตามมา การร่างกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดหลังจากนี้จะเป็นไปในแนวทางการสร้างความเข้าใจใหม่แก่ประชาชน ไม่ให้มองว่าคนใช้ยาเสพติดเป็นคนร้าย

จอน อึ๊งภากรณ์ ประธานอนุกรรมการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาประชาคมโลกใช้มาตรการไม่อดกลั้นต่อยาเสพติด คือปราบปรามกำจัดให้สูญหายไป ต่อมาเมื่อรับรู้แล้วว่าการปราบปรามดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ ทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน จึงทำให้เกิดการแพร่ของโรคขึ้น กลุ่มดังกล่าวไม่สามารถมาปรากฏตัวเพื่อรับความช่วยเหลือจากรัฐได้ เนื่องจากต้องการหลบซ่อนเพราะโทษจากการใช้ยาเสพติดค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาความหนาแน่นในเรือนจำ คนที่ถูกจับจากคดียาเสพติดส่วนมากเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ไม่ใช่นายทุน ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำให้ยาเสพติดเป็นอาชญากรรม ประชาคมโลกจึงเปลี่ยนนโยบายมาเป็นการไม่ทำให้ยาเสพติดเป็นอาชญากรรมแทนเช่นในโปรตุเกส ที่การใช้นโยบายดังกล่าวประสพผลสำเร็จ ปัจจุบันยาเสพติดไม่มีโทษในเชิงอาญาอีกต่อไป มีก็เพียงโทษปรับเท่านั้น

ทางแก้ปัญหายาเสพติดไม่ใช่การทำให้มันถูกกฎหมาย แต่เป็นการถูกควบคุมให้การค้าขายอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย การค้ายาเสพติดอย่างเสรีทำได้ ภายใต้การควบคุมดูแลและการลงทะเบียนผู้ซื้อ-ผู้ขาย

ต้องควบคุมให้การค้าขายยาอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย

จอน กล่าวว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ใช้ยา ต้องเคารพความเป็นมนุษย์ ต้องรณรงค์ลดความเข้าใจผิด ลดอคติต่อผู้ใช้ยา ผู้ใช้ยาไม่ใช่อาชญากร ถ้าผู้ใช้ยายังถูกเลือกปฏิบัติ ปัญหายาเสพติดจะไม่สามารถแก้ไขได้ พร้อมทั้งเสนอว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ควรมีตัวแทนจากเครือข่ายผู้ใช้ยาร่วมเป็นกรรมการในการวางแผนนโยบาย ต้องฟังความเห็นจากผู้ใช้ยา

ด้าน ภาสกร ชัยวานิชศิริ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เสนอว่า ทางแก้ปัญหายาเสพติดไม่ใช่การทำให้มันถูกกฎหมาย แต่เป็นการถูกควบคุมให้การค้าขายอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย การค้ายาเสพติดอย่างเสรีทำได้ ภายใต้การควบคุมดูแลและการลงทะเบียนผู้ซื้อ-ผู้ขาย ซึ่งการควบคุมปริมาณการใช้ยาสามารถทำได้ผ่านกระบวนการดังกล่าว โดยในประเทศโปรตุเกส นโยบายดังกล่าวที่ถูกนำมาใช้ ทำให้การควบคุมดูแลยาเสพติดเป็นไปได้

ภาสกร เสนออีกว่า การลดจำนวนผู้ใช้ยาสามารถทำได้ โดยยกตัวอย่างการทดลองที่เสนอเงินจำนวนหนึ่งกับยาเสพติดให้กับผู้ใช้ยา โดยถ้าเป็นจำนวนเงินที่มากพอ ผู้ใช้ยาเสพติดก็จะเลือกเงินมากกว่ายาเสพติด โดยการทดลองดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ถ้าเราให้ทางเลือกแก่ผู้ใช้ยา จะทำให้จำนวนผู้ใช้ยาลดลง ภาสกรบอกว่า ผู้ที่ใช้ยาเสพติดส่วนมากไม่ได้มาจากการติดยาอย่างรุนแรง

จะเห็นได้ว่า การจะแก้ไขปัญหายาเสพติดและปัญหาต่างๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องมานั้น นอกจากการใช้แนวคิดการลดอันตรายจากการใช้ยา แนวคิดการลดความเป็นอาญากรรม สิ่งที่สำคัญคือการสร้างทัศนคติให้เคารพผู้ใช้ยาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่มองผู้ใช้ยาเป็นผู้ร้ายในสังคม ให้โอกาสในการเข้าทำงานเพื่อทำให้ชีวิตของคนเหล่านั้นมีทางเลือกมากขึ้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โปรดเก็บบัญชีผู้มีสิทธิประชามติไว้ไกลมือ 'เด็ก ลิง แดด ฝน'

$
0
0

25 ก.ค. 2559 จากกรณีเหตุทำลายหรือความเสียหายของบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ลงประชามติในหลายพื้นที่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันนี้ (25 ก.ค.59) สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำ จ.พิจิตร และ ดร.สุรชัย มณีประกร นายอำเภอเมืองพิจิตร พร้อมด้วยชาวบ้านร่วมกันนำผลไม้ กล้วย แตงโม ถั่วฝักยาว แตงกวา จำนวนมาก ไปเลี้ยงฝูงลิงที่ทำการฉีกบัญชีดังกล่าวเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมาเพื่อเป็นการผูกมิตรไมตรี อีกทั้งยังได้มีการนำบัญชีรายชื่อชุดใหม่ไปติดประกาศ โดยจุดที่ติดประกาศครั้งใหม่ มีกระจกใสจึงมั่นใจว่าจะสามารถแก้ปัญหาจากที่เคยเกิดขึ้นได้
 

ขอนแก่น จับเด็กปวช.วัย 16 ปี เผาไล่ยุง ตั้งข้อหาหนัก

จ.ขอนแก่น วันนี้(25 ก.ค.59) มติชนออนไลน์รายงานว่า ที่ ศูนย์ปฎิบัติการส่วนหน้า (ศปก.) สภ.ชุมแพ พล.ต.ท.บุญเลิศ ใจประดิษฐ ผบช.ภ.4 ร่วมกันแถลงผลการจับกุม เอก (นามสมมุติ) เยาวชนชายอายุ 16 ปี นักศึกษาระดับชั้น ปวช.วิทยาลัยอาชีวศึกษาแห่งหนึ่งในเขต อ.ชุมแพ  หลังถูกเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวน บก.สส.ภ.4 ร่วมกับชุดสืบสวน ภ.จว.ขอนแก่น และ สภ.ชุมแพ จับกุมตัวได้ หลังก่อเหตุทำลายและเผาเอกสารประกาศ กำหนดหน่วยออกเสียงและที่ออกเสียง หรือ อส.4 และบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงหรือ อ.ส. 6 ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 36 ชุมชนใหม่สามัคคี เขตเทศบาลเมืองชุมแพ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 ส.ค.

พล.ต.ท.บุญเลิศ ผบช.ภ.4 กล่าวว่า หลังเกิดเหตุชุดสืบสวนสอบสวนได้ลงพื้นที่เพื่อสอบปากคำพยาน รวมทั้งการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด โดยรอบจุดที่เกิดเหตุ จนกระทั่งพบชายต้องสงสัยขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนเข้ามาก่อเหตุโดยใช้เวลาในการก่อเหตุไม่นานนัก เจ้าหน้าที่จึงได้กระจายกำลังกันลงพื้นที่และการสอบปากคำพยานจนทราบว่า นายเอก เป็นผู้ที่ลงมือก่อเหตุจึงติดตามจับกุมตัวได้ในที่สุด

“ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาก่อเหตุจริง โดยตั้งใจจะมารับแฟนซึ่งอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว แต่เนื่องจากฝนตกหนักจึงเข้าไปหลบภายในศาลาซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ แต่เนื่องจากโดนยุงกัดเยอะ จึงได้ฉีกเอาแผ่นเอกสารดังกล่าวลงมาเผาจุดไล่ยุง โดยไม่ทราบว่าเอกสารดังกล่าวนั้นเป็นเอกสารที่สำคัญของทางราชการ” พล.ต.ท.บุญเลิศ กล่าว

ผบช.ภ.4 กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดทุกข้อกล่าวหา โดยคดีนี้ เจ้าหน้าที่กฎหมายของ กกต.ขอนแก่น ได้เข้าแจ้งความเอาผิดกับผู้ที่ก่อเหตุแล้วที่ สภ.ชุมแพ โดยตั้งข้อกล่าวหาในฐานความผิดเกี่ยวตามมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ฐานขัดขวางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง กรรมการเลือกตั้ง ฯลฯ และเข้าข่ายความผิดมาตรา 188 และ 360 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ฐาน ผู้ใดทำให้เสียหายทำลายซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือเสียประโยชน์ ซึ่งพินัยกรรมหรือเอกสารใดของผู้อื่น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และฐาน ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์ พร้อมทั้งควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ชุมแพ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
 

ร้อยเอ็ด 9 ขวบ รับฉีกปาเล่นยัน ไม่มีใครสั่งการ

จ.ร้อยเอ็ด วันนี้ (25 ก.ค.59) มติชนออนไลน์รายงานด้วยว่า ผู้ใหญ่บ้านแหลมทรายทอง หมู่ที่ 9 ต.โพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด แจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อค่ำวานนี้ ว่าตรวจพบว่ามีการฉีกรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงลงประชามติ ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 7 ศาลาอเนกประสงค์ฯ โดย เจ้าหน้าที่ได้ตามตัว นางน้อย (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นแม่ค้าขายของในตลาดแห่งหนึ่ง พร้อมกับให้นำเด็กชายเอ (นามสมมุติ) ลูกชายวัย 9 ขวบ มาแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อสอบถามรายละเอียดหาผู้ก่อเหตุ เพราะมีคนเห็นอยู่ในบริเวณดังกล่าว ในวันที่เกิดเหตุซึ่งนางน้อย (นามสมมุติ) ได้นำลูกชายมาพบพนักงานสอบสวน และรับว่ามาที่บริเวณดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าว แต่จากการสอบสวนเด็กให้การวกวนมีพิรุธ จึงเชิญ 2 แม่-ลูกไปสอบสวนเพิ่มเติมที่ สภ.โพนทราย ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมอยู่นานประมาณ 1 ชั่วโมง จึงยอมรับว่าได้เป็นคนฉีกเอกสารดังกล่าวจริง โดนตนเองมากับน้องชายวัย 4 ขวบ และเด็กชายเอ ฉีกเพียงลำพัง ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 23 ก.ค.จนกระทั่งวันที่ 24 ก.ค.จึงมีคนมาพบ และเมื่อเป็นข่าวขึ้นตนเองกลัวความผิด จึงให้แม่พาไปหาพ่อที่ จว.อุบลราชธานี และญาติๆ บอกว่า ตำรวจมาหาขอให้เดินทางกลับมาให้ปากคำ ตำรวจจึงให้แม่พากลับมา ให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน จนกระทั่งยอมรับสารภาพว่าทำจริง และทำคนเดียว โดยไม่มีใครสั่งหรืออยู่เบื้องหลังแต่อย่างใดทั้งสิ้น 
 

ราชบุรี ตากแดด-ฝน ตัวหนังสือจาง

จ.ราชบุรี วานนี้ (24 ก.ค.59)  ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า ชาวบ้านในชุมชนทิพย์นิเวศน์ เขตเทศบาลเมืองราชบุรี  จ.ราชบุรี ได้แจ้งให้ผู้สื่อข่าวขอให้มาร่วมตรวจสอบเกี่ยวกับรายชื่อที่มีหน่วยงานนำเอามาติดไว้กลางแจ้งตากแดดตากฝนตัวหนังสือแทบมองไม่เห็น ที่บริเวณด้านหน้าทางเข้าชุมชนทิพย์นิเวศน์  จึงเดินทางไปตรวจสอบพบ ด้านบนมีกระดาษสีเหลืองเขียนว่าปิดประกาศออกเสียง อีกชุดเป็นบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ออกเสียง และด้านร่างจะเป็นประกาศ โดยทั้ง 3 ชุดติดอยู่บนแผ่นไม้ป้ายชื่อของชุมชนทิพย์นิเวศน์ที่ไม่ได้ใช้แล้ว  ใกล้กันมีบอร์ดที่ผุพังใช้ไม่ได้  และยังมีแผ่นบอร์ดคล้ายกับเอามาทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งาน 1 แผ่น            
 

เด็กม.ต้น ระยอง ฉีกเพราะคิดว่าเป็นกระดาษเก่า ยันไม่มีใครว่าจ้าง

เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ จ.ระยอง ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า บัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ ที่บริเวณศาลาอเนกประสงค์ที่ทำการกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้านสตรี ชากคา หมู่ 7 ต.ชากพง อ.แกลง ซึ่งใช้เป็นสถานที่หน่วยออกเสียงประชามติหน่วยที่ 17 จำนวนผู้มีสิทธิออกเสียง จำนวน 380 ราย ถูกฉีกขาดหายไปรวม 3 แผ่น ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรบ้านกร่ำ ได้นำตัวเด็กนักเรียนชั้น ม.1และ ม.2 รวมทั้งหมด 4 คน ไปสอบสวนปากคำที่สถานีเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา
       
โดยมี วิทยา ชพานนท์ นายอำเภอแกลง เดินทางมาสอบปากคำเด็กนักเรียนที่สถานีตำรวจภูธรบ้านกร่ำ ด้วยตนเอง เพื่อสอบถามว่ามีใครว่าจ้าง หรือมีผู้อยู่เบื้องหลังการฉีกกระดาษบัญชีรายชื่อหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ ทราบจากปากของเด็กนักเรียนว่า ไม่มีใครว่าจ้าง หรือมีใครอยู่เบื้องหลังแต่อย่างใด ซึ่งเด็กนักเรียนยอมรับว่า มีเพื่อนร่วมกันทั้งหมดรวม 4 คน ชวนกันมาเล่นที่ศาลาอเนกประสงค์ในช่วงวันหยุดหลายวันที่ผ่านมาจริง และให้การยอมรับว่า ฉีกกระดาษบนกระดานที่หน่วยเลือกตั้งจริงรวม 3 ใบ

โดยคิดว่าเป็นกระดาษเก่าแล้วจึงฉีกทิ้ง ไม่ทราบว่าเป็นบัญชีรายชื่อ ส่วนเด็กนักเรียนอีกคนยอมรับว่า ไม่ได้เป็นคนฉีก แต่ยอมรับเป็นคนยืมไฟแช็กเพื่อนที่มาด้วยกันจุดไฟเผากระดาษบริเวณริมคลองด้านหลังหน่วยเลือกตั้ง ส่วนคนที่ขยำกระดาษที่ฉีกแล้วนำไปทิ้งริมคลอง และเจ้าของไฟแช็กไม่ยอมรับ และในเช้าวันที่ 23 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจบ้านกร่ำ ได้นำตัวเด็กนักเรียน 2 คน ที่ให้การรับสารภาพไปส่งฟ้องศาลเด็กและเยาวชนและครอบครัว จ.ระยอง
 

ชาวบ้านตำหนิ ควรติดให้ไกลมือเด็ก

ผู้จัดการออนไลน์ รายงานด้วยว่า ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบบริเวณหน่วยเลือกตั้งที่ 17 ศาลาอเนกประสงค์ หมู่ 7 ต.ชากพง แต่ชาวบ้านต่างปิดปากเงียบไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียด พร้อมขอตำหนิกรณีการติดหนังสือราชการเรื่องสำคัญควรจะติดให้สูงๆ หน่อย เด็กมันไม่รู้เรื่องว่าเป็นกระดาษอะไร ขยำทิ้งเอาไฟแช็กจุดเผา ซึ่งเด็กก็ยอมรับความจริง และอ้างว่าทั้งตำรวจ และนายอำเภอห้ามพูดเรื่องนี้เดี๋ยวนักข่าวรู้ กลัวนำไปลงข่าวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่จะเดือดร้อนกันไปหมด 

 

หมวดเจี๊ยบชี้เด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไม่ควรถูกดำเนินคดี

ขณะที่ วานนี้ (24 ก.ค.59) สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.รายงานว่า ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต หรือ หมวดเจี๊ยบ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เด็กและเยาวชน ที่ฉีกทำลายบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ออกเสียงประชามติ เพราะความซุกซนและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ควรถูกดำเนินคดีและไม่ควรถูกสั่งฟ้อง เนื่องจากไม่ได้มีเจตนาที่จะล้มหรือขัดขวางการลงประชามติ แต่ฉีกกระดาษเพียงเพราะความซุกซน จึงอาจไม่ครบองค์ประกอบความผิดอาญาตามกฎหมาย ซึ่งหน่วยงานรัฐ ควรดำเนินการเรื่องนี้ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่ออนาคตของเด็ก และไม่ควรปิดคดีแบบง่าย ๆ โดยโยนความผิดให้เด็ก หรือบีบให้ผู้ปกครองยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่สำคัญสิ่งที่เกิดขึ้นจะโทษเด็กฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่สะท้อนว่าการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐ เกี่ยวกับการลงประชามติอาจทำไม่ทั่วถึง ดังนั้น การที่เด็กยืนยันว่าไม่รู้ว่ากระดาษที่ฉีกคือเอกสารอะไร จึงเป็นคำชี้แจงที่มีเหตุผลและเป็นไปได้

ทั้งนี้ หากรัฐบาลมีความจริงใจและมีความปราณีต่อเด็ก ควรหาทางออกที่ดีกว่าการทำให้เด็กมีคดีติดตัวไปชั่วชีวิต และรัฐบาลว่าเป็นการดำเนินการตามกฎหมายกับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็ก ในขณะที่ผู้ใหญ่ฉีกรัฐธรรมนูญ สร้างความเสียหายต่อประเทศ แต่ยังคงใช้ชีวิตเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น รวมถึงยังนิรโทษกรรมให้ตัวเองไม่ต้องรับโทษได้อีก 

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ส.นักกฎหมายสิทธิฯ ร้องรัฐยุติคดี 3 นักสิทธิหลังฟ้องปมรายงานซ้อมทรมาน

$
0
0

25 ก.ค. 2559 องค์กรสิทธิมนุษยชน นำโดย สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA) มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (UCL) ออกแถลงการณ์ ขอให้ยุติการดำเนินคดีกับ 3 นักปกป้องสิทธิมนุษยชน จากกรณีเผยแพร่รายงานการซ้อมทรมานฯ

โดยแถลงการณ์ระบุว่า จากกรณีที่ กอ.รมน.ภาค 4 สน. แจ้งความดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาโดยเอกสารและความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กับ สมชาย หอมลออ  พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ อัญชนา หีมมิหน๊ะ จากการเผยแพร่ “รายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ปี 2557-2558” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่าน โดยทั้งสามจะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ปัตตานี ตามหมายเรียกในวันที่ 26 ก.ค. 2559 นี้ (วันพรุ่งนี้) ซึ่งสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนขอให้กำลังใจกับนักสิทธิมนุษยชนทั้งสามคน และมีความเห็นต่อกรณีการแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าว ต่อไปนี้

ประการแรก  การจัดทำรายงานเป็นไปตามหลักวิชาการและมีมาตรฐาน กล่าวคือ การจัดทำรายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ปี 2557-2558  เป็นการทำงานร่วมกันหลายฝ่าย หลายภาคส่วน โดยมีกระบวนการดำเนินการที่เป็นวิชาการภายใต้หลักการสากลที่เรียกว่า “Istanbul Protocol” ซึ่งเป็นคู่มือสืบสวนสอบสวนและบันทึกข้อมูลหลักฐานกรณีการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อเหยื่อการทรมานแห่งสหประชาชาติ (United Nation Fund for Victims of Torture) ภายใต้หลักการตาม“อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี”ที่ประเทศไทยเป็นภาคี

ประการที่สอง การดำเนินงานของนักสิทธิมนุษยชนทั้งสามคน เป็นการดำเนินการในฐานะนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (Human Rights Defenders) โดยวิธีการรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งกระทำไปในฐานะตัวแทนแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่บุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยการถูกซ้อมทรมานฯ เพื่อการส่งเสริมและสนับสนุนการคุ้มครองและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ดังนั้น พวกเขาจึงได้รับการคุ้มครองภายใต้ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (The Declaration on Human Rights Defenders) ซึ่งกำหนดให้รัฐมีหน้าที่หลักในการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และยอมรับด้วยว่า “การทำงานของบุคคล กลุ่ม และสมาคมเพื่อส่งเสริมให้มีการกำจัดการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานทุกรูปแบบเป็นสิ่งที่มีคุณค่า” ดังนั้น การดำเนินคดีของกอ.รมน.ภาค 4 สน.กับนักสิทธิมนุษยชนทั้งสามคนนี้ ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติที่สวนทางกับหลักการสากล

ประการที่สาม การฟ้องร้องดำเนินคดีกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งสามคน ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ถือเป็นการดำเนินคดีในลักษณะที่เรียกว่า SLAPP (Strategic Litigation Against Public Participation) เพื่อให้หยุดพูด หรือระงับการมีส่วนร่วมสาธารณชน หรือยุติการดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งกรณีนี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียวในอีกหลายกรณีที่มีการดำเนินคดีต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะกับชาวบ้านที่ไร้อำนาจต่อรองจำนวนมากที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตัวเองหรือชุมชนของตัวเอง ซึ่งกรณีแม้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งสามคนจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงพอสมควร ก็ยังถูกใช้กฎหมายและการดำเนินคดีมาข่มขู่ให้พวกเขาหยุดดำเนินการตรวจสอบได้ ดังนั้น การดำเนินการแบบนี้ ย่อมจะส่งผลต่อเสถียรภาพและความปลอดภัยของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งที่เป็นบุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรต่างๆ ที่ทำหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนผู้เสียเปรียบและตกเป็นเหยื่อการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และยิ่งจะเป็นการซ้ำเติมให้เกิดความหวาดกลัว หวาดระแวงต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานรัฐ หรือแม้กระทั่งรัฐบาล ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยต่อประชาคมโลก

ประการที่สี่ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ไม่มีสิทธิแจ้งความดำเนินคดีกับนักสิทธิทั้งสามในข้อหาดังกล่าวได้ เนื่องจาก รัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรของรัฐ ไม่มีสิทธิเช่นเดียวกับบุคคล ไม่มีเกียรติยศ ชื่อเสียง ที่ต้องรักษา เพราะรัฐมีเพียงอำนาจและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจให้ทำหน้าที่ปกป้องส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเท่านั้น เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยงานรัฐ หรือกระทั่งรัฐบาลละเลยหรือละเว้นไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ ประชาชนก็มีสิทธิโต้แย้ง ตำหนิ หรือกระทั่งกล่าวหาได้ และรัฐมีหน้าที่ต้องรับฟังและนำไปพิจารณาเพื่อแก้ไขปรับปรุงการทำหน้าที่  ไม่ใช่นำเอาข้อกล่าวหานั้นมาไล่ฟ้องดำเนินคดีกับประชาชนในข้อหาหมิ่นประมาท อีกทั้งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานหมิ่นประมาท มีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลหรือนิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน มิได้มุ่งหมายจะคุ้มครองหน่วยงานรัฐแต่อย่างใด และหากเป็นการหมิ่นประมาทตัวเจ้าพนักงานของรัฐ ก็มีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาคุ้มครองตัวเจ้าพนักงานอยู่แล้ว แต่ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคลที่เป็นเจ้าพนักงานเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับหน่วยงานต้นสังกัดแต่อย่างใด ดังนั้น การดำเนินการของ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ประการที่ห้า ปัจจุบันค่อนข้างจะมีความเห็นสอดคล้องกันในทางวิชาการและเป็นเหตุผลหนึ่งที่นำไปสู่การแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ที่กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในปัจจุบันว่า เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 นั้น ไม่ได้มีเจตนารมณ์ที่จะไปใช้กับกรณีหมิ่นประมาท แต่มุ่งเน้นจะใช้กับเรื่องการโจมตีระบบ หรือกรณีปลอมแปลง หรือฉ้อโกงเท่านั้น อีกทั้งยังมีคำพิพากษาศาลในคดีภูเก็ตหวานที่วินิจฉัยยืนยันเจตนารมณ์ดังกล่าวไว้ว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550  มาตรา 14  ไม่ได้มุ่งเอาผิดกับความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา การดำเนินการของ กอ.รมน. ภาค 4 สน. ในการแจ้งความดำเนินคดีข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทต่อสามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนดังกล่าว จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ขัดต่อหน้าที่ของรัฐและก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของประเทศต่อประชาคมโลก

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน จึงขอเรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีกับนักสิทธิมนุษยชนทั้งสามคน และตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตาม “รายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ปี 2557-2558” ที่มีความเป็นกลาง โดยคัดเลือกจากบุคคลที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายเข้ามาดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยใช้หลักการสากลที่เรียกว่า “Istanbul Protocol”และนำเสนอผลการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อประชาชนและต่อประชาคมโลกถึงความจริงใจและตั้งใจของประเทศไทยที่จะปฏิบัติตามหลักการสิทธิมนุษยชนสากลที่ประเทศไทยเป็นภาคี

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตร.คุมตัวหลานสาว ‘พลทหารวิเชียร’ เหตุโพสต์หมิ่นประมาท น้าชายถูกซ้อมตายในค่ายทหาร

$
0
0

จับตัวตามหมายจับหลานสาวที่เปิดโปงเรื่องการตายของน้าชาย 'พลทหารวิเชียร เผือกสม' ในค่ายนราธิวาส คาดข้อหาหมิ่นประมาทและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เตรียมส่งตัวไปแจ้งข้อกล่าวหาที่นราธิวาส เจ้าตัวยันปฏิเสธทุกกรณี พร้อมต่อสู้คดี 

หลานสาวพลทหารวิเชียร เผือกสม ให้สัมภาษณ์ภายหลังทำบันทึกการจับกุมและลงบันทึกประจำวัน ที่ สน.มักกะสัน ยืนยันสู้คดี ที่ผ่านมาร้องเรียนด้วยความบริสุทธิ์ใจ


นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ (ที่มาภาพ profile ใน LINE)


ภาพสกู๊ป Voice TV อ่านได้ที่นี่ 

26 ก.ค. 2559 เวลา 12.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ อายุ 25 ปีหลานสาวของพลทหารวิเชียร เผือกสม ซึ่งถูกทำโทษจนเสียชีวิตในค่ายทหารจังหวัดนราธิวาสเมื่อปี 2554 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.มักกะสัน 3 นายเข้าควบคุมตัวในที่ทำงาน โดยแสดงหมายจับข้อหาหมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่ทหารและความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

การจับกุมเป็นไปตามหมายจับที่ 104/2559 ออกโดยศาลจังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 กล่าวหาว่า "หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร และ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน" ทั้งนี้ ตำรวจสถานีตำรวจมักกะสันแจ้งว่า แม้หมายจับออกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แต่ที่เพิ่งมีการจับกุมในวันนี้เพราะตำรวจจากนราธิวาสเพิ่งติดต่อมาวันนี้

15.30 น. ขณะนี้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนริศราวัลถ์เพื่อทำบันทึกการจับกุม และเตรียมส่งตัวไปยังสภ.เมืองนราธิวาส  เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีต่อไป

นริศราวัลถ์ ซึ่งทำงานที่กรมสวัสดิการเด็กให้ข้อมูลกับทนายความว่า การเข้าควบคุมตัวครั้งนี้เป็นการเข้าจับกุมตามหมายจับ คาดว่าเกิดเหตุที่กรณีการตายของน้าชายเป็นประเด็นขึ้นมาเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2558 หลังสปริงนิวส์มาทำสกู๊ปเรื่องนี้และมีการนำเรื่องนี้ไปโพสต์ในพันทิปจนมีผู้มาวิพากษ์วิจารณ์มากมาย อย่างไรก็ตาม เธอจะปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดและสู้คดีในชั้นศาล เพราะต้องการพิสูจน์ว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริง และเวลาโพสต์ไม่ได้โพสต์พาดพิงหรือเอ่ยชื่อใครเป็นการเฉพาะเจาะจง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางจะเดินทางโดยรถตู้ไปกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากนราธิวาส และตำรวจหญิง รวมทั้งจะมีเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมร่วมเดินทางไปด้วย 2 คน  

พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความของนริศราวัลถ์จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้สัมภาษณ์ระหว่างลูกความทำบันทึกการจับกุมว่า ในเบื้องต้นยังไม่ทราบพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหาและยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กล่าวหาหรือกล่าวโทษ ก่อนหน้านี้นริศราวัลถ์ไม่เคยได้หมายเรียกให้ไปรายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหาก่อนแต่อย่างใด ซึ่งตามกฎหมายข้อหาที่มีโทษสูงไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียกก็ได้ แต่ในฐานะทนายเห็นว่ากรณีนี้ลูกความมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและพฤติการณ์ความผิดไม่ได้ร้ายแรง ควรออกหมายเรียกก่อน

พูนสุขกล่าวอีกว่า นริศราวัลถ์เรียกร้องความยุติธรรมให้น้าชายมาตลอดแต่กลับถูกกระทำหลายอย่างทั้งถูกข่มขู่ และกระทั่งถูกดำเนินคดี สิ่งที่สังคมควรต้องตอบคือ ทำไมไม่มีใครถูกฟ้องอาญาในคดีที่น้าชายของเขาเสียชีวิต นอกจากนี้วันนี้ก็ยังมีนักกิจกรรมที่ทำเรื่องการละเมิดสิทธิ 3 คนที่ถูกแจ้งข้อหาหมิ่นประมาท รัฐควรตรวจสอบการละเมิดมากกว่ามาฟ้องคนตรวจสอบ

“ที่ผ่านมามีการฟ้องร้องคนที่ปกป้องสิทธิมาโดยตลอด แม้จะพิสูจน์ได้ในภายหลังว่าไม่ผิด แต่ก็เป็นภาระอย่างมากสำหรับคนทำงาน” พูนสุขกล่าว

17.20 น.นริศราวัลถ์  ออกมาจากห้องในสน.มักกะสัน หลังทำบันทึกการจับกุม ลงบันทึกประจำวันเสร็จสิ้น และให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสั้นๆ ก่อนถูกนำตัวส่ง สภ.เมืองนราธิวาส ตามหมายจับ เธอให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า จะถูกแจ้งข้อหา หมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1)

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2554 พลทหารวิเชียร วัย 26 ปีจบการศึกษาปริญญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สมัครเข้ารับการเกณฑ์ทหารและเข้าฝึกที่หน่วยฝึกทหารใหม่ ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ต่อมาวันที่ 1 มิ.ย.2554 เจ้าหน้าที่ทหาร 10 นาย ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายพลทหารวิเชียรโดยทรมานและกระทำทารุณโหดร้าย โดยอ้างว่าพลทหารวิเชียร เผือกสม หลบหนีการฝึก ทำให้พลทหารวิเชียร ได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้เสียชีวิตในวันที่ 5 มิถุนายน 2554 โดยสาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากไตวายเฉียบพลันจากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง

พูนสุข ให้ข้อมูลว่า สำหรับคดีของพลทหารวิเชียรนั้น ปัจจุบันคดีแพ่งสิ้นสุดแล้ว (อ่านที่นี่) ขณะที่คดีอาญานั้นยังไม่มีการพิจารณาคดีในศาล แต่อยู่ในชั้นของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า วันเดียวกันนี้ ( 26 ก.ค.) เอ็นจีโอซึ่งจัดทำและออกรายงานเรื่องการซ้อมทรมานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ต้องเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาฐานหมิ่นประมาทกับ พนักงานสอบสวน สภ.ปัตตานี ด้วยเช่นเดียวกัน โดยเหตุดังกล่าวสืบเนื่องจาก กอ.รมน.ภาค 4 สน. ได้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาโดยเอกสารและความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กับ สมชาย หอมลออ, พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ อัญชนา หีมมิหน๊ะ จากการเผยแพร่ “รายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ปี 2557-2558” เมื่อเดือน ก.พ. 2559 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ งัด ม.44 แช่แข็ง นายกฯ อบจ.เชียงใหม่ ระหว่างสอบสงสัยเอี่ยว จม.แย้งร่างรธน.

$
0
0

26 ก.ค.2559 เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 44/2559 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 5 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ลงนาม

คำสั่งระบุว่า ตามที่จะมีการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 ส.ค. 2559 และเจ้าหน้าที่ ได้เข้าดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมายนั้น เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานและตรวจค้นพบว่าผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งมีการกระทําซึ่งอาจเป็นความผิดตามกฎหมาย ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ จําเป็นต้องดําเนินการโดยด่วนเพื่อป้องกันหรือระงับ มิให้เป็นการทําลายความสงบเรียบร้อยหรือเกิดความเสียหายต่อราชการแผ่นดิน

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ระงับการปฏิบัติ ราชการหรือหน้าที่ในองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคําสั่ง โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน

ข้อ 2 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีอํานาจหน้าที่ตามกฎหมายดําเนินการตรวจสอบ หรือดําเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว ในกรณีพบว่ามีผู้บริหารหรือข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้อื่นเกี่ยวข้องกับการกระทําความผิด หรือไม่พบว่าบุคคลตามข้อ 1 มีความผิด ให้หน่วยงานดังกล่าว รายงานนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาหรือเปลี่ยนแปลงคําสั่งต่อไป

ข้อ 3 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป สั่ง ณ วนที่ 26 ก.ค. 2559

ตระกูล 'บูรณุปกรณ์' แจงไม่เกี่ยว จม.

ขณะที่เมื่อ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่าจากกรณีเจ้าหน้าที่ค้นบริษัท เชียงใหม่ทัศนาภรณ์ จำกัด ถ.เชียงใหม่-สันกำแพง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกันกับบ้านของ วิศรุต คุณะนิติสาร อายุ 35 ปี ถูกดำเนินคดีแจกจ่ายจดหมายบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญตามตู้ไปรษณีย์ในเขตพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งในบริษัทพบของกลางจำนานมากที่เกี่ยวข้องกับการบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นซองจดหมาย เครื่องปริ๊นเตอร์ คอมพิวเตอร์ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการบิดเบือนเนื้อร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น 
 
ทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ตนพอจะทราบเรื่องดังกล่าวอยู่บ้างจากข่าวที่ออกมา แต่ทั้งหมดทั้งมวลต้องขึ้นอยู่กับกฎหมายบ้านเมืองและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงผู้กระผิด ทำผิดอะไรไว้ก็รับโทษกันไปตามกฏหมาย 
 
ส่วนเรื่องการเกี่ยวข้องกับตระกูลบูรณุปกรณ์นั้น ส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะต่างฝ่ายต่างทำงาน ขณะที่ทางด้านของนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ไปต่างประเทศจริง เพื่อเยี่ยมลูกสาวในต่างประเทศ ซึ่งได้แจ้งลาล่วงหน้าแล้ว ไม่ได้หลบหนีตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง พร้อมยืนยันความบริสุทธ์เมื่อเดินทางกลับจากต่างประเทศ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กังขาสื่อดังฮ่องกง ปมบทสัมภาษณ์นักกิจกรรมหลังปล่อยตัวมีเงื่อนงำ เหตุแม้แต่สามียังติดต่อเจ้าตัวไม่ได้

$
0
0

สื่อดังฮ่องกงเผชิญข้อกังขาครั้งใหญ่หลังเผยแพร่ "บทสัมภาษณ์" นักกิจกรรมที่เพิ่งมีประกาศปล่อยตัวแต่คนใกล้ชิดยังไม่สามารถติดต่อเธอได้ รวมถึงลักษณะคำให้สัมภาษณ์คล้ายตอนที่คนต้านรัฐบาลจีนถูกบังคับให้ "สารภาพ" จึงกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าสิ่งที่นำเสนอนี้เป็น "การเขียนบท" ของรัฐบาลจีนหรือไม่ ท่ามกลางความกังวลว่าสื่อฮ่องกงเริ่มถูกรัฐบาลจีนกลางครอบงำ

25 ก.ค. 2559 ทอม ฟิลิปส์ นักข่าวเดอะการ์เดียนที่ประจำในกรุงปักกิ่งประเทศจีน ระบุถึงกรณีที่หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ซึ่งเป็นสื่อในฮ่องกง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ากลายเป็นปากกระบอกเสียงของรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ หลังจากที่มีการนำเสนอบทสัมภาษณ์ของนักกิจกรรมชื่อ เจ้าเวย ผู้เคยถูกทางการจีนกักขังไว้ แต่ทนายความและสามีของเธอกลับไม่สามารถติดต่อกับเธอได้

กลายเป็นคำถามว่าเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์นำบทสัมภาษณ์เธอมาจากไหนถ้าหากทนายความและสามีของเจ้าเวยไม่สามารถติดต่อเธอได้และสงสัยว่าเธอยังคงถูกคุมขังอยู่ที่ใดสักแห่ง ก่อนหน้านี้เซาท์ไช่นามอร์นิงโพสต์ หรือ SCMP นำเสนอบทสัมภาษณ์ของเจ้าเวย นักกิจกรรมและผู้ช่วยด้านกฎหมาย อายุ 24 ปี เธอถูกรัฐบาลจีนกักขังอย่างลับๆ เป็นเวลา 1 ปี ในบทสัมภาษณ์ของ SCMP เจ้าเวยบอกว่าเธอรู้สึกเสียใจกับกิจกรรมที่เธอทำ อย่างไรก็ตาม บทสัมภาษณ์นี้ถูกตั้งคำถามจากทั้งนักกิจกรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ และนักข่าวของ SCMP เอง ถึงเรื่องความน่าเชื่อถือ

อดีตนักข่าวและบรรณาธิการของ SCMP ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้เช่นอดีตบรรณาธิการรายหนึ่งกล่าวว่าบทสัมภาษณ์เจ้าเวยน่าสงสัยมาก อดีตนักข่าวอีกคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าบทสัมภาษณ์ดังกล่าวอาจจะเป็นสิ่งที่ทางการจีนจัดเตรียมมาให้ และอดีตพนักงานของ SCMP รายหนึ่งกล่าวว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่หนังสือพิมพ์ที่เคยเป็นอันดับหนึ่งในเอเชียกำลังกลายเป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาลจีน ทางทนายความและสามีของเจ้าเวยก็สงสัยเช่นกันว่าการสัมภาษณ์ในครั้งนี้อาจจะเป็นการจัดฉากของรัฐบาลจีน

เดอะการ์เดียนระบุว่า SCMP พูดคุยกับเจ้าเวยผ่านทางความช่วยเหลือของตัวกลางลึกลับที่ไม่เปิด เผยตัวต่อพนักงาน SCMP ซึ่งทาง SCMP ออกแถลงการณ์ผ่านอีเมลในนาม "กองบรรณาธิการ" ว่าการตั้งคำถามต่อ SCMP ในเรื่องนี้เป็นการพยายาม "ป้ายสี" ให้ SCMP ถูกมองในแง่ลบ พวกเขายังระบุอีกว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่าเจ้าเวยให้สัมภาษณ์ในขณะที่เธออยู่ภายใต้การควบคุมสอดส่องหรือไม่ และทาง SCMP ปฏิเสธซ้ำๆ ที่จะอธิบายว่าพวกเขาจัดแจงให้มีการสัมภาษณ์เจ้าเวยได้อย่างไร และปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าบทสัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทางการจีนเขียนให้

การวิพากษ์วิจารณ์ SCMP มาพร้อมกับความกังขาต่อสื่อฉบับนี้หลังจากที่แจ็ค หม่า นักธุรกิจผู้มั่งคั่งที่สุดคนหนึ่งของจีนผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อาลีบาบาซื้อกิจการสื่อ SCMP ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ทำให้มีคนกังวลว่าสื่อ SCMP จะถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนกดดันทางการเมือง และหลังจากนั้นก็มีความไม่พอใจเกิดขึ้นทั้งในห้องประชุมข่าวและจากผู้อ่านที่อ้างว่า SCMP สูญเสียจุดยืนสื่อแบบเดิมไปแล้ว

เจ้าเวยเป็นนักกิจกรรมอายุน้อยที่สุดที่ตกเป็นเป้าหมายการกวาดล้างทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรอบล่าสุดในจีน สื่อ SCMP ระบุว่าพวกเขาสัมภาษณ์เจ้าเวยทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลา 3 วันหลังจากมีการประกาศปล่อยตัวเจ้าเวย ในบทสัมภาษณ์ที่เป็นปัญหานี้มีการอ้างว่าเจ้าเวยบอกว่า "ฉันเริ่มเข้าใจว่าฉันเดินทางผิดมาตลอด" และ "ฉันขอแสดงความสำนึกผิดต่อสิ่งที่ทำลงไป นับจากนี้ฉันจะเป็นคนใหม่"

เดวิด บันดูร์สกี นักวิเคราะห์สื่อฮ่องกง ตั้งข้อสังเกตว่าการสารภาพครั้งล่าสุดมีลักษณะคล้ายกับที่ทางการจีนเคยบังคับให้ผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสารภาพออกสื่อซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งมากนับตั้งแต่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงขึ้นสู่อำนาจในปี 2555

อย่างไรก็ตามอดีตคนที่เคยทำงานใน SCMP บางคนชี้ว่า SCMP เริ่มเบี่ยงออกจากทิศทางเดิมตั้งแต่ก่อนแจ็ค หม่า จะซื้อกิจการแล้ว มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าการเปลี่ยนแปลงจุดยืนของ SCMP เกิดขึ้นตั้งแต่หลังจากช่วงนำเสนอข่าวการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงปี 2557 ซึ่งในช่วงนั้นทำให้เว็บไซต์ SCMP มีผู้เข้าชมจำนวนมากและเป็นช่องทางที่ทั่วโลกใช้จับตาดูสถานการณ์ฮ่องกง ทำให้ฝ่ายบริหารของหนังสือพิมพ์รู้สึกยินดีไปพร้อมๆ กับกังวลว่าข่าวของพวกเขาจะเอียงข้างผู้ประท้วงมากเกินไปหรือไม่ ทำให้มีบรรยากาศในที่ทำงานเปลี่ยนไป อดีตนักข่าวรายหนึ่งบอกว่าเขารู้สึกได้ถึงความตึงเครียดหลังจากการประท้วง 79 วันในฮ่องกงที่ทิศทางของสื่อฉบับนี้มีความเป็นปรปักษ์กับขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยมากขึ้น

พอล มูนนีย์ นักข่าวอาวุโสชาวอเมริกันที่เคยทำงานกับ SCMP จนถึงปี 2555 และได้รับรางวัลจากประเด็นสิทธิมนุษยชนในจีนหลายรางวัลกล่าวว่า SCMP ยังคงนำเสนอได้ดีในประเด็นที่มีความอ่อนไหวและยังคงพยายามรักษาความเป็นกลางไว้ อย่างไรก็ตามมูนนีย์เห็นตรงกับนักข่าว SCMP หลายคนว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา SCMP เริ่มมีการแก้ไขเนื้อหาหนักขึ้นหรือยกเลิกการนำเสนอบางมุมที่อาจจะทำให้ทางการจีนแผ่นดินใหญ่ไม่พอใจ อดีตพนักงานสองคนบอกว่ามีโครงการเกี่ยวกับการครบรอบ 25 ปีเหตุการณ์ปราบผู้ชุมนุมจัตุรัสเทียนอันเหมินถูกคัดค้านจากบรรณาธิการแต่ก็ได้รับการตีพิมพ์ในที่สุด นักข่าวผู้ทำโครงการที่ได้รับรางวัลหลายคนลาออกจาก SCMP แล้ว รวมถึงมูนนีย์ผู้บอกว่าตนเองถูกขับออกจาก SCMP ด้วย "เหตุผลทางการเมือง"

สมาคมผู้สื่อข่าวฮ่องกงก็แสดงความกังวลต่อการที่ทางการจีนแผ่นดินใหญ่พยายามควบคุมฮ่องกงมากขึ้นเช่นกันในรายที่ชื่อว่า "หนึ่งประเทศ สองฝันร้าย" ซึ่งระบุว่าจีนพยายามควบคุมฮ่องกงมาตั้งแต่หลังเหตุสังหารหมู่ที่เทียนอันเหมินปี 2532 แล้ว และในตอนนี้รัฐบาลจีนหรือบรรษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่ก็สามารถควบคุมสื่อหลักของฮ่องกงได้แล้ว 8 ใน 26 แหล่ง คิดเป็นร้อยละ 31 ของทั้งหมด และการที่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มลงทุนในสื่อฮ่องกงมากขึ้นก็ชวนให้เกิดความกังวล

องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนก็เคยตั้งคำถามต่อการที่อาลีบาบากรุ๊ปเข้ายึดครอง SCMP ผู้ที่พวกเขาเรียกว่าเป็น "สื่ออิสระแหล่งสุดท้ายของฮ่องกง" เช่นกัน

ทางด้าน SCMP ออกแถลงการณ์วิจารณ์เดอะการ์เดียนว่ามีอคติจากการเลือกผู้ให้สัมภาษณ์ในการรายงานข่าวเรื่องเกี่ยวกับพวกเขา ในแถลงการณ์ของพวกเขายืนยันว่าจุดยืนของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไปหลังจากที่มีการเปลี่ยนเจ้าของโดยอ้างว่ายังมีการทำข่าวที่เป็นอิสระและมีแนวคิดวิพากษ์วิจารณ์อยู่ รวมถึงระบุในเชิงต่อว่าเดอะการ์เดียนว่า "ขอให้มีมาตรฐานของสื่ออิสระเชิงวิพากษ์วิจารณ์แบบเดียวกับที่คาดคั้นจากพวกเราก็แล้วกัน"

อย่างไรก็ตามมีอดีตคนทำงาน SCMP ส่วนหนึ่งที่ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ SCMP ในทางลบ เช่น เดวิด ลาค อดีตบรรณาธิการบริหารช่วงปี 2542-2544 กล่าวว่าพวกเขามีอิสระในการทำงานมากโดยไม่กลัวการเซนเซอร์ ขณะที่อดีตผู้สื่อข่าวรายอื่นๆ บอกว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการวิจารณ์เพื่อนร่วมงานของพวกเขาที่ยังคงทำงานอยู่ในนั้น โดยเชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นยังคงทำงานข่าวในประเด็นต่างๆ ได้อย่างเป็นมืออาชีพแม้จะต้องถูกเจ้านายของพวกเขาไม่ชอบ แต่อดีตนักข่าวและบรรณาธิการก็ไม่ได้ตั้งความหวังกับอนาคตของ SCMP นัก และเชื่อว่านักข่าวมืออาชีพเหล่านี้คงอยากออกจากงานของที่นั่นถ้ามีโอกาส

 

เรียบเรียงจาก

Mysterious confession fuels fears of Beijing's influence on Hong Kong's top newspaper, The Guardian, 25-07-2016
https://www.theguardian.com/world/2016/jul/25/south-china-morning-post-china-influence-hong-kong-newspaper-confession

 
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 58141 articles
Browse latest View live




Latest Images