Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 58351 articles
Browse latest View live

นิธิ เอียวศรีวงศ์: รำพึงถึงเจ๊ก

$
0
0

ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ นักประวัติศาสตร์มักทิ้งเรื่องของชนชั้นล่างซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ไว้ในความมืดมัวเสมอ

ที่ว่าไม่ตั้งใจก็เพราะคนข้างล่างมักไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้ให้ได้ศึกษา อย่างเก่งก็ถูกอ้างถึงในหลักฐานของคนชั้นสูง ซึ่งจะเชื่อได้แค่ไหนก็ไม่แน่ ที่ว่าตั้งใจก็เพราะหน้าที่หลักของนักประวัติศาสตร์คืออธิบายความเปลี่ยนแปลงทางสังคม นักประวัติศาสตร์ (และคนอื่นๆ อีกมาก) ไปสรุปเสียแต่แรกแล้วว่า ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมย่อมเป็นผลของการกระทำหรือไม่กระทำของคนชั้นสูง ซึ่งจับจองอำนาจการปกครอง, เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมไว้ในมือตนเอง จึงเป็นผู้กำหนดความเปลี่ยนแปลงของสังคมไว้แต่ฝ่ายเดียว

และด้วยเหตุดังนั้น นักประวัติศาสตร์จึงไม่พยายาม หรือไม่พยายามเพียงพอที่จะเจาะลงไปหาความหมายอื่นที่มีอยู่ในหลักฐานอันเบาบางที่เกี่ยวกับชนชั้นล่าง

อย่างไรก็ตาม ถึงยอมรับตามนั้น คนระดับล่างก็มีบทบาทสำคัญในความเปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง เพราะความเปลี่ยนแปลงที่คนชั้นบนสร้างขึ้น ย่อมมีผลกระทบต่อคนชั้นล่างซึ่งจะมีปฏิกิริยาตอบสนองไปได้หลายอย่าง ปฏิกิริยาเหล่านี้ซึ่งรวมถึงการกบฏหรือแข็งข้อด้วย ย่อมมีผลให้ชนชั้นนำต้องปรับความเปลี่ยนแปลงนั้นให้เป็นไปในทางที่ชนชั้นล่างซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่พอรับได้

ตัวอย่างที่รู้กันดีก็เช่น ราคาค่าแรงไม่ได้ขึ้นกับการตัดสินใจของนายจ้างเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังขึ้นมากกว่ากับอุปทานของแรงงาน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการตัดสินใจของชนชั้นล่าง เช่น คุมกำเนิดมาอย่างต่อเนื่อง (ครับ ตัดสินใจเรื่องอื่น ไม่ใช่ค่าแรง)

ยิ่งไปกว่านั้น ในปัจจุบันก็ยิ่งเป็นที่ตระหนักมากขึ้นว่า ข้อสรุปว่าความเปลี่ยนแปลงทางสังคมย่อมมีกำเนิดจากชนชั้นสูงฝ่ายเดียว ไม่เป็นที่ยอมรับอีกแล้ว เพราะในหลายกรณีหรือเกือบทุกกรณีของความเปลี่ยนแปลง ชนชั้นล่างล้วนมีบทบาทอยู่ ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม และไม่มากก็น้อยเสมอ

ผมรำพึงเรื่องประวัติศาสตร์นิพนธ์ข้างต้น ก่อนจะรำพึงถึงเจ๊ก ก็เพราะในงานวิชาการเกี่ยวกับจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีผู้ศึกษาและเผยแพร่ผลงานมามากต่อมากแล้ว สิ่งที่ขาดหายไปอย่างเด่นชัดคือเรื่องของจีนระดับล่าง เช่น “เจ๊กลากรถ”, กุลีโรงสี, กุลีสร้างทางรถไฟ, กงซีล้ง (บริษัทรับเก็บ “ขยะกลางคืน” คือถังส้วม), เจ๊กปลูกผัก ฯลฯ ยกเว้นแต่เมื่อคนเหล่านี้ประสบความสำเร็จได้เป็นเจ้าสัว หรือพ่อเจ้าสัว

จะว่าขาดหายไปสิ้นเชิงก็ไม่ใช่นะครับ เพราะนักวิชาการทุกคนก็อ้างถึงคนเหล่านี้ผ่านสถิติ (ซึ่งเก็บโดยประเมินอย่างหยาบ, อย่างละเอียด, หรือการแจงนับ แล้วแต่เป็นเอกสารของยุคสมัยใด) รวมถึงผ่านการอ้างถึงอย่างผ่านๆ ของหลักฐาน แต่ไม่มีงานศึกษาใดที่เจาะลงไปดูชีวิตความเป็นอยู่, การจัดองค์กร, การต่อสู้และการจำยอม, การกลืนกลาย ฯลฯ ของคนเหล่านี้เลย ซึ่งถึงอย่างไรก็คงแตกต่างจากเจ้าของโรงสี, นายธนาคาร, นายทุนเงินกู้, ผู้ส่งออกข้าว-ดีบุก-ยางพารา, เจ้าภาษี, กะปิตันจิน่า, หรือเจ้าเมือง อย่างแน่นอน

(ทั้งนี้ ยกเว้นสิงคโปร์ แต่ก็เป็นข้อยกเว้นที่พึงคาดหวังอยู่แล้ว นับตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา จีนและลูกจีนคือประชากรส่วนใหญ่สุดของสิงคโปร์ เรื่องของจีนอพยพในสิงคโปร์จึงไม่ต่างอะไรจากเรื่องของจีนในเมืองเซี่ยงไฮ้หรือกึงตั๋ง ดังนั้นประวัติศาสตร์สังคมสิงคโปร์จึงให้รายละเอียดเกี่ยวกับจีนชั้นล่างมากกว่าประวัติศาสตร์สังคมของภูมิภาคโดยทั่วไป)

พ่อค้าจีนและจีนอพยพมีบทบาทสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแต่โบราณ เรื่องนี้มีคนเขียนตำรับตำราไว้มากมายแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะขีดเส้นใต้ไว้ ก็คือจีนอพยพในสมัยต้นอยุธยากับจีนอพยพหลังกลางอยุธยาลงมาแตกต่างกันมาก และยิ่งเปรียบกับจีนอพยพหลังสมัยอาณานิคม ก็ยิ่งต่างมากขึ้นไปอีก ข้อนี้ต้องเตือนไว้แต่แรก เพราะหลายคนมักคิดถึงเจ๊กจีนสำเพ็ง-เยาวราชเป็นแบบอย่างย้อนกลับไปจนไกลสุดกู่

ก่อนถึงกลางอยุธยา จีนเกือบทั้งหมดที่เข้ามาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มักเป็นพ่อค้า ขายสินค้าและซื้อสินค้าเสร็จก็กลับ ไม่มีใครคิดจะลงหลักปักฐานในเมืองท่าของภูมิภาคนี้ แต่อาชีพค้าสำเภาบังคับให้พ่อค้าต้องอยู่รอมรสุมครึ่งปี จึงเป็นธรรมดาที่บางคนอาจได้เมียและลูก ความผูกพันต่อกันอาจทำให้บางคนต้องลงหลักปักฐาน เพราะถึงไม่กลับเมืองจีน ก็ยังมีช่องทางทางเศรษฐกิจเหลืออยู่ในภูมิภาค นั่นคือตั้งตัวเป็นพ่อค้าท้องถิ่น ขายสินค้าที่สำเภานำมา (เช่น เครื่องถ้วย, ผ้าไหม) แล้วซื้อสินค้าซึ่งเป็นที่ต้องการของสำเภาเก็บไว้ขายขึ้นสำเภาไปเมืองจีนในฤดูสำเภา

แต่เมื่อราชวงศ์หมิงห้ามพ่อค้าจีนมิให้เดินทางออกนอกประเทศใน ค.ศ.1567 เป็นต้นมา พ่อค้าจีนที่ทำการค้าในภูมิภาค “หนันหยาง” ต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือจะกลับ (ซึ่งเสี่ยงที่อาจถูกประหารชีวิตด้วย)

ส่วนใหญ่คือพวกที่อยู่ต่อ

จีนที่ตัดสินใจอยู่ต่อ ไม่ใช่จีนไร้สมบัติ อย่างน้อยก็มีทุนรอนพอจะตั้งตัวเป็นพ่อค้า “นำเข้าและส่งออก” ได้ นอกจากนี้ ยังผสมกลมกลืนเข้าไปกับคนพื้นเมือง จนแทบไม่เหลืออัตลักษณ์จีนมากนัก จำนวนมากของลูกหลานจีนอพยพซึ่งผมขอเรียกว่าเจ๊กเป็นลูกผสมและบางครั้งก็พูดภาษาจีนไม่ได้เสียแล้ว ตัวอย่างชัดเจนของ “เจ๊ก” ประเภทนี้คือ “บ้ะบ๋า” หรือที่ภาษามลายูเรียกว่า “เปอะระนักกัน” หันมานับถือศาสนาอิสลาม กินอาหารที่ผสมระหว่างจีนและพื้นเมือง นุ่งห่มแบบผสมคือยังสวมเสื้อจีน แต่นุ่งโสร่ง

“เปอะระนักกัน” ในความหมายถึงลูกผสมที่ใช้วัฒนธรรมผสมระหว่างพื้นเมืองกับจีนกระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วภูมิภาค เฉพาะที่ผสมวัฒนธรรมมลายู (บ้ะบ๋า) มีตั้งแต่ตอนใต้ของไทย ตลอดไปถึงมาเลเซียและสุมาตราฝั่งตะวันออก ยังมีที่ผสมกับวัฒนธรรมชวาอีก ในฟิลิปปินส์พวกนี้ถูกสเปนเรียกว่า Sangley (เซ็งลี้ในภาษาฮกเกี้ยน) คือพ่อค้า ตั้งภูมิลำเนาในอ่าวมะนิลา หันมานับถือศาสนาคาทอลิกและพูดตากาล็อกได้คล่องเหมือนชาวพื้นเมืองทั่วไป เพราะโตมากับแม่ซึ่งเป็นชาวพื้นเมือง

“เจ๊ก” หรือ “เปอะระนักกัน” เหล่านี้เข้าไปมีบทบาทเด่นๆ ในประวัติศาสตร์ของรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายแห่ง ผู้สถาปนาอาณาจักรมะตะรัม (ที่สอง) ในชวา ก็มีตำนานว่าเป็นโอรสของเจ้าหญิงจีนซึ่งถูกส่งมาสมรสกับกษัตริย์ราชวงศ์มัชปาหิต ในบาหลีมีตำนานเรื่องของเจ้าหญิงพื้นเมืองไปแต่งงานกับทหารในกองทัพของเจิ้งเหอ

อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เสนอว่า มีร่องรอยที่อาจทำให้เชื่อได้ว่าพระเจ้าอู่ทองซึ่งสร้างกรุงศรีอยุธยานั้นเป็น “เจ๊ก” หรือลูกหลานจีนเหมือนกัน นักวิชาการบางคนเชื่อว่า ศาสนาอิสลามในจามปา เป็นอิสลามที่นำลงมาจากจีน

ระหว่างที่จีนปิดประเทศ ก็ยังมีพ่อค้าจีนลักลอบค้าขายอยู่บ้าง ตลอดจนความวุ่นวายปั่นป่วนในจีนปลายสมัยราชวงศ์หมิงและต้นราชวงศ์ชิง ทำให้มีชาวจีนอพยพหนีภัยทั้งการเมืองและธรรมชาติลงมาตั้งภูมิลำเนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น พอถึงปลายศตวรรษที่ 17 รัฐบาลราชวงศ์ชิงก็เปิดให้พ่อค้าเดินทางออกมาค้าขายได้อีก จำนวนมากของชุมชนจีนและโอกาสเสรีที่จะติดต่อกับบ้านเกิด ทำให้จีนอพยพในรุ่นนี้ยังคงรักษาความเป็นจีนไว้ได้อย่างเข้มข้น อย่างน้อยก็ในหนึ่งหรือสองชั่วอายุคนแรก (เช่น ไว้เปียเหมือนจีนในเมืองจีนภายใต้ราชวงศ์ชิง)

ยิ่งกว่านี้ ยังเป็นประเพณีของเจ้าผู้ครองเมืองท่าของภูมิภาค ที่มักจะแยกชุมชนของชาวต่างชาติออกจากกันทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และในเชิงการเมือง เจ้าอาณานิคมฝรั่งรับเอาประเพณีนี้ไปใช้สืบมาในเมืองท่าของตน (หรือฝรั่งเองก็ทำอย่างนี้ในยุโรปมาแล้ว ผมไม่ทราบเหมือนกัน) ผลก็คือชุมชนต่างชาติรักษาอัตลักษณ์ของตนได้เหนียวแน่นมากขึ้น เพราะต่างก็ถูกกันไปอยู่ในชุมชนของตนเอง

แม้กระนั้น จีนอพยพก็ไม่สามารถดำรงรักษาความเป็นจีนของตนไปได้นานนัก เพราะยังไม่มีผู้หญิงจีนอพยพลงมาด้วยจนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เพราะฉะนั้น ลูกหลานของเขาในชั่วสองหรือสามอายุคนจึงเปลี่ยนเป็นคนพื้นเมืองตามแม่หรือยายของตน ละทิ้งอัตลักษณ์จีนไปจนไม่เหลือ (เช่น ตัดเปีย) ไม่ใช่สร้างวัฒนธรรมผสมขึ้นเป็นอัตลักษณ์ใหม่ของตนเองดังพวกเปอะระนักกันรุ่นก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 16

เหตุที่พวกเปอะระนักกันยังรักษาร่องรอยความเป็นจีนไว้อย่างมั่นคง ตามเหตุผลของ Anthony Reid ก็เพราะ ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 16 พวกเปอะระนักกันยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างพ่อค้าจีนกับเจ้าเมืองท่า และจึงเป็นหัวหน้าของชุมชนพ่อค้าจีนไปโดยปริยาย ด้วยเหตุดังนั้น การรักษาอัตลักษณ์จีนไว้บ้างจึงมีความจำเป็นหรือมีประโยชน์แก่ตน แต่เมื่อการค้ากับจีนกลับฟื้นมาใหม่ในศตวรรษที่ 17 เปอะระนักกันได้สูญเสียสถานะนี้ไปแล้ว

วัฒนธรรมผสมหมดความจำเป็น อย่างน้อยก็หมดความจำเป็นในทางเศรษฐกิจ

ในศตวรรษที่ 18 จนถึง 20 มีเหตุจำเป็นหลายอย่างในเมืองจีน ที่ทำให้คนจีนทางใต้จำนวนมากต้องอพยพลงสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งเป็นคนจากหลากหลายอาชีพและสถานะ ไม่ใช่พ่อค้าเพียงอย่างเดียว ประจวบกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในศตวรรษที่ 19 ทำให้เกิดความต้องการแรงงานมากกว่าที่ประชากรอันเบาบางของภูมิภาคจะจัดให้ได้ รัฐบาลและธุรกิจของรัฐต่างๆ ในภูมิภาคจึงนำเข้าและเปิดรับแรงงานจีนอพยพจำนวนมาก

ทำให้จีนและลูกหลานหรือเจ๊กกลายเป็นสัดส่วนที่ใหญ่มากในหมู่ประชากรของทุกรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

งานศึกษาเกี่ยวกับจีนโพ้นทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นหัวข้อใหญ่ที่มีผู้ศึกษาไว้จำนวนมาก หากคำถามที่อยู่เบื้องหลังหัวสมองยังเป็นเรื่องของบทบาททางการค้าและเศรษฐกิจของเจ๊ก-จีนโพ้นทะเล ผลของการศึกษาก็จะได้เรื่องของเจ้าสัวจำนวนมาก ในขณะที่เจ๊กระดับล่างซึ่งไม่มีทั้งเงินและอำนาจ แต่มีจำนวนมากกว่ามาก ก็จะเหลือเป็นเพียงฉากหลังเท่านั้น

แต่หากคำถามที่อยู่เบื้องหลังหัวสมองเป็นเรื่องความเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ เช่น การเมือง หรือวัฒนธรรม ที่เกิดขึ้นในรัฐต่างๆ ของภูมิภาคนี้ ก็จะปฏิเสธบทบาทของเจ๊กหรือจีนได้ยาก คำถามในการศึกษาเจ๊ก-จีนในอุษาคเนย์ ก็จะหันมาสู่คำถามว่าคนเหล่านี้ก่อให้เกิดอะไรขึ้นในสังคมพื้นเมือง ไม่เฉพาะแต่เศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

เจ๊กรุ่นนี้จำนวนมากได้กลืนกลายตนเองเป็นคนชั้นกลางพื้นเมืองไปอย่างสนิท ฉะนั้น แม้มีบทบาทมาก แต่กลับถูกมองเป็นตัวละครพื้นเมืองมากกว่าเป็น “ยิวแห่งบุรพทิศ”

ลูกหลานของพวก Sangley ในฟิลิปปินส์กลายเป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ ซึ่งปลูกอ้อยและผลิตน้ำตาลป้อนตลาดอเมริกัน และช่วงชิงบทบาทนำด้านชาตินิยมไปจากชาวบ้านระดับล่างได้ กลายเป็นนักการเมืองที่ทะเลาะกันเองเพื่อครองอำนาจทางการเมืองในฟิลิปปินส์สืบมาจนทุกวันนี้ ในเมืองไทยก็ดูจะไม่ต่างจากกันนัก

ผมขอยกตัวอย่างการศึกษาเพียงเรื่องเดียว ที่นักวิชาการมักลืมเจ๊กไปเสมอ คือความเคลื่อนไหวทางชาตินิยม

เรามักย้ำกันเสมอว่า ชาตินิยมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มจากคนที่ได้รับการศึกษาแผนใหม่ จึงได้รับอุดมการณ์นี้มาจากตะวันตก กลายเป็นผู้นำความเคลื่อนไหวเพื่อสร้างรัฐชาติขึ้นในบ้านเกิดเมืองนอนของตน

ก็มีส่วนเป็นความจริงอย่างปฏิเสธไม่ได้นะครับ แต่ตะวันตกคือด้านเดียวของชาตินิยม ยังมีอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นสภาวะอันเกิดภายใน และให้พลังแก่การเคลื่อนไหวได้มากกว่าอุดมการณ์ชาตินิยมของตะวันตกเป็นอย่างยิ่ง

ผมคิดว่าก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ศัตรูของนักชาตินิยมอุษาคเนย์อยู่ภายในมากกว่าเจ้าอาณานิคมภายนอก งานศึกษาของอาจารย์นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ หลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า พ่อค้าและนักธุรกิจ “ไทย” เชื้อสายจีนไม่พอใจระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม เพราะไม่บำรุงพ่อค้า “ไทย” ให้มีกำลังที่จะแข่งขันกับพ่อค้าเจ้าอาณานิคมได้ นักชาตินิยมฟิลิปปินส์รุ่นแรกๆ (ก็เชื้อสายจีนอีกนั่นแหละ) ไม่พอใจองค์กรสงฆ์ของสเปน ซึ่งถือครองที่ดินจำนวนมาก และบางส่วนก็ปกป้องชาวบ้านมิให้คนกลุ่มนี้เอาเปรียบ ที่ร่วมมือกับอเมริกัน ก็มุ่งจะยึดที่ดินของวัดเป็นของตนเองในภายหลัง

กลุ่ม Sarekat Islam ซึ่งเป็นองค์กรมวลชนองค์กรแรกของอินโดนีเซีย เกิดขึ้นในหมู่ผู้ผลิตผ้าบาติกชาวพื้นเมือง ซึ่งกำลังถูกพ่อค้าจีนแย่งตลาดไป ดูเหมือนเจ๊กจะเป็นศัตรูมากกว่าดัตช์เสียอีก แม้กระนั้น อุตสาหกรรมการพิมพ์ในระยะแรกก็เติบโตได้ด้วยการพิมพ์นิยายจีนแปลในภาษามลายูตลาด (ซึ่งจะพัฒนามาเป็นภาษาอินโดนีเซีย) เช่นเดียวกับสำนึกชาตินิยมมลายูในมาเลเซียระยะแรก ก็เกิดจากความหวั่นวิตกต่อภัยคุกคามอัตลักษณ์มลายูของชุมชนจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก

เราแทบจะไม่อาจพูดถึงชาตินิยมเอเชียอาคเนย์ได้โดยไม่พูดถึงเจ๊ก-จีน ทั้งไม่ใช่เจ๊ก-จีนที่เป็นเจ้าสัวด้วย แต่เป็นระดับรองลงมาซึ่งชื่อเสียงของเขาหายไปในหมู่สามัญชนหมดแล้ว

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า คำถามทางประวัติศาสตร์ของเราไม่ได้นำเอาเจ๊ก-จีนเข้ามาแต่แรก พวกเขาจึงดูเหมือนไม่มีบทบาททางด้านอื่นอีกเลย นอกจากการค้าและการเป็นเจ้าสัว

 

ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ www.matichonweekly.com/column/article_234172

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เผยพบข้อมูลธรรมนัสเคยติดคุกที่ออสเตรเลีย 2 ครั้ง

$
0
0

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ในฐานะประธาน กมธ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เผยพบข้อมูลธรรมนัสติดคุกที่ออสเตรเลียจริง และติดถึง 2 ครั้ง ส่วนเรื่องวุฒิการศึกษาเชื่อว่าธรรมนัสรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นวุฒิปลอมแต่ยังนำมายื่นต่อ กกต. ว่าจบปริญาเอก

เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2562 ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณี กมธ.ปราบทุจริตฯตรวจสอบพบ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ มีคดีเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพิ่มเติมอีกหนึ่งคดีในปี 2531 ว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ร.อ.ธรรมนัสเดินทางเป็นคณะไปประเทศออสเตรเลีย และไปพักที่โรงแรม ปรากฏว่า ผู้ที่ร่วมคณะไปด้วยกันที่พักอยู่ห้องข้างๆร.อ.ธรรมนัสถูกตำรวจค้นเจอยาเสพติดในห้องพัก ทำให้มีความผิดไปด้วยตามกฎหมายออสเตรเลียในข้อหาไม่แจ้งเบาะแสยาเสพติดในฐานะเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ติดคุกอยู่ 8 เดือน เมื่อพ้นโทษออกมาจะต้องถูกส่งตัวกลับประเทศไทย แต่ ร.อ.ธรรมนัสขออยู่ต่อ โดยวางเงินประกันไว้ แต่พอถึงเวลา ร.อ.ธรรมนัสกลับหนี จนถูกจับตัวได้ และส่งตัวกลับประเทศไทย จากนั้นพอปี 2536 ร.อ.ธรรมนัสเดินทางไปประเทศออสเตรเลียอีกครั้ง จึงถูกทางการออสเตรเลียจับตามอง เพราะมีประวัติอยู่ ในที่สุดจึงถูกจับอีกครั้ง และติดคุก 4ปี ตามกระบวนการพรีบาร์เกนนิ่ง ถ้าไม่เข้าสู่กระบวนการดังกล่าวอาจติดคุกนานกว่านั้น เท่ากับว่า ร.อ.ธรรมนัสติดคุกที่ออสเตรเลีย 2 ครั้ง แต่เวลาที่มาชี้แจงในสภา ร.อ.ธรรมนัสพยายามโยงทั้งสองกรณีให้มาเป็นเรื่องเดียวกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ร.อ.ธรรมนัสระบุว่า ช่วงปี 2531 ยังเรียนอยู่ เป็นจปร.รุ่น 36 จะถูกจับได้อย่างไร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ตอบว่า เวลาอาจจะขาดๆ เกินๆเล็กน้อย แต่ยืนยันได้ว่า ร.อ.ธรรมนัสติดคุกที่ออสเตรเลียจริง และข้อมูลดังกล่าวที่มีอดีตผู้สื่อข่าวแจ้งข้อมูลต่อ กมธ.นั้น เป็นข้อมูลที่มีน้ำหนักหนักแน่นเชื่อถือได้แน่นอน เพียงแต่ กมธ. จะต้องไปเอาหลักฐานเพิ่มเติมจากศาล อัยการ กรมราชทัณฑ์ของออสเตรเลียมาประกอบให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น

“เรื่องนี้ถ้าร.อ.ธรรมนัสลาออกถือว่าจบ เพราะถือว่าขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากเคยติดคุก เรื่องจะไม่ลามไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล แต่ถ้าปล่อยให้กระบวนการพิจารณาของกมธ.ดำเนินการไปจนแล้วเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ให้คนขัดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี”

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ร.อ.ธรรมนัสระบุถูกหลอกลวงเรื่องวุฒิการศึกษาปริญญาเอกปลอม เหมือนที่สมชัย ศรีสุทธิยากร ตั้งข้อสังเกตนั้น เชื่อว่านายสมชัยคงไม่กล้าพูดตรงๆ แต่ในฐานะเป็นตำรวจดูแล้วเชื่อว่า ร.อ.ธรรมนัสเป็นตัวการ เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าไม่ได้เรียนปริญญาเอก ไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์จริงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด แต่กลับนำวุฒิปริญญาเอกมาแสดงต่อกกต.และหาเสียงว่าจบดร. รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้เรียน แล้วอย่างนี้ไม่ใช่ตัวการหรือ ส่วนปริญญาเอกมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่นำมาโชว์ ถ้าแปลตามตัวอักษรแล้ว ไม่ใช่ปริญญาเอก แต่เป็นเพียงใบรับรองว่า หลักฐานที่ผู้จบการศึกษาส่งไปเทียบเคียงเป็นปริญญาอะไรได้บ้าง

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

พล.ต.บุรินทร์ แจ้งข้อหายุยงปลุกปั่นแกนนำพรรคฝ่ายค้าน อาจารย์ ม.เกษตรฯ และพิธีกรVoice TV

$
0
0

พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจาก กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า เข้าแจ้งความข้อหายุยงปลุกปั่นแกนนำพรรคฝ่ายค้าน อาจารย์ ม.เกษตรฯ และพิธีกร Voice TV หลังจัดเวทีเสวนาแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาค-แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ปัตตานี ส่วนศรีสุวรรณยื่นอัยการสูงสุดหวังส่งศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดการกระทำ ด้านวันนอร์จ่อฟ้องกลับทหาร ส่วนเลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพพร้อมเป็นทนายความหากจะมีการฟ้องกลับ ยันการแสดงความเห็นเป็นเสรีภาพที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ     

4 ต.ค. 2562 วานนี้ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้ชำนาญการสำนักงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้รับมอบอำนาจจากแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ให้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีกับบุคคลรวม 12 คน ประกอบด้วย สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อายุ 78 ปี หัวหน้าพรรคเพื่อไทย , ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อายุ 40 ปี หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ , พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อายุ 64 ปี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) , ชลิตา บัณฑุวงศ์ อายุ 47 ปี อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, สมพงษ์ สระกวี อายุ 69 ปี , สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อายุ 75 ปี หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ , มุข สุไลมาน อายุ 70 ปี , นิคม บุญวิเศษ อายุ 49 ปี หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย , รักชาติ สุวรรณ อายุ 55 ปี , อสมา มังกรชัย อายุ 45 ปี , วันมูหะมัดนอร์ มะทา อายุ 75 ปี หัวหน้าพรรคประชาชาติ และศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ อายุ 48 ปี

โดยทั้ง 12 คน ได้จัดเสวนา "พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่" ที่บริเวณลานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี โดยทางเจ้าหน้าที่กองด้วยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้เข้าไปตรวจสอบพบว่า การจัดเวทีสวนาดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกรวม 12 คน ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนเวทีเสวนา โดยมีประชาชนร่วมรับฟังประมาณ 150 คน ซึ่งการจัดเสวนาดังกล่าว ได้มีการถ่ายทอดสดผ่านสื่อออนไลน์ Facebook พรรคประชาชาติ และมีการอัพโหลดการจัดเสวนาดังกล่าวลงในช่อง YouTube เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้กับประชาชนทั่วไปรับรู้รับทราบ รับชม รับฟัง ลักษณะการจัดเวทีเสวนาดังกล่าว โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกรวม 12 คน ได้มีการพูดนำเสนอข้อมูลในลักษณะมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ให้ประชาชนทั่วไปหลงเชื่อ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระทั่งกระเดื่องต่อประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบภายในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน

อีกทั้งในวันนี้ ศรีสุวรรณ จรรยา ได้เดินทางไป ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดให้พิจารณากรณี ชลิตา บัณฑุวงศ์ รองหัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แสดงความคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเวทีสัญจรภาคใต้ ที่ จ.ปัตตานี ของ 7 พรรคฝ่ายค้าน เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2562 โดยระบุว่า “ประเทศไทยอาจจะไม่จำเป็นต้องมีรัฐเดี่ยวหรือแบบรวมศูนย์ ซึ่งอาจจะรวมถึงมาตราที่ 1 ด้วยก็ได้” จนเกิดการการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพื่อให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ชลิดา รวมถึง 7 พรรคฝ่ายค้านเลิกการกระทำดังกล่าว โดยมีนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้แทนรับเรื่อง

ด้านวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า การลงพื้นที่ของ 7 พรรคฝ่ายค้านพบกับประชาชนมีทั้งหมด 4 ภาค โดยภาคใต้ที่ปัตตานีเป็นเวทีสุดท้าย กรณีที่ชลิดาพูดถึงนี้เป็นเพียงความเห็นทางวิชาการ  ซึ่งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 7 พรรคฝ่ายค้านเห็นตรงกันว่าจะไม่แก้ไจในหมวด 1 และ หมวด 2 การที่พล.ต.บุรินทร์ ไปแจ้งความนั้น ถือเป็นการข่มขู่ ไม่ต้องการให้พรรคการเมืองดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากเป็นการแจ้งความโดยที่ฝ่ายค้านไม่ได้ทำอะไรผิด คงต้องดำเนินการฟ้องกลับ

ขณะที่ วิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) กล่าวถึงกรณีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4) แจ้งจับ 7 พรรคฝ่ายค้าน และนักวิชาการ เพื่อเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 เนื่องจากจัดเวทีเสวนา “พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่ ว่า ตนได้เห็นข่าวที่ พล.ต.บุรินทร์ ออกมารับงานเรื่องนี้แจ้งความ 12 พรรคฝ่ายค้านนั้น เห็นแล้วรู้สึกหดหู่ใจไม่เข้าใจว่า พล.ต.บุรินทร์ สับสนบทบาทหน้าที่หรือไม่ คสช. จบไปแล้ว มีแต่รัฐบาลที่มีนโยบายเห็นควรให้แก้รัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป หรือการอ้างใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.กอ.รมน. แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้หลักการแห่งรัฐธรรมนูญ

วิญญัติ กล่าวว่า การที่มีข่าวมีการแจ้งความดำเนินคดีกับ 12 คน ที่ได้จัดเสวนา “พลวัฒแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่” ที่จังหวัดปัตตานี ตนตั้งข้อสังเกตว่า  

1. รัฐธรรมนูญไทยบัญญัติรับรองและคุ้มครองการสิทธิและเสรีภาพ การแสดงความคิดเห็น ตลอดจนมีบทบัญญัติว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้ชัดเจน การเสวนาเพื่อหาแนวทางในการแก้รัฐธรรมนูญ (ยกเว้นหมวด 1) โดยพูดถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นเวทีทางวิชาการและสร้างการมีส่วนร่วมภาคประชาชน เปิดเผย ไม่มีลักษณะก่อให้ความปั่นป่วนใดๆ จึงไม่จะเข้าข่ายการกระทำผิดกฏหมาย

2. ประชาชนทุกคนมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ใช้แล้วเกิดปัญหาได้ ถือเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลเองก็ยังยอมรับว่าจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย การที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มอบหมาย พล.ต.บุรินทร์ เข้าแจ้งความเรื่องนี้ อาจเข้าข่ายเป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด บิดผันการใช้อำนาจให้สังคมสับสน เกินความจำเป็น และสร้างภาระแก่ประชาชนเกินสมควร

3. พล.ต.บุรินทร์ ย่อมรู้อยู่แล้วว่ามิได้กระทำความผิดเกิดขึ้น สวนทางกับแนวนโยบายของรัฐบาล เจตนาเช่นนี้อาจเป็นการแจ้งความเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษ หรือรับโทษหนักขึ้น อาจเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญาเสียเอง  

วิญญัติ กล่าวทิ้งท้ายว่า ดังนั้น บุคคลทั้ง 12 คน อาจใช้สิทธิ์แจ้งความและหรือฟ้องดำเนินคดีกลับได้  ทาง สกสส. ยินดีที่จะเป็นทนายความเพื่อเป็นการปกป้องสิทธิของประชาชนอย่างเต็มที่ ตนในฐานะที่ทำงานด้านกฎหมายและด้านสิทธิมนุษยชน ขอเรียกร้องให้กองทัพ  กอ.รมน. รวมถึง พล.ต.บุรินทร์ หยุดการกระทำที่อาจทำให้สังคมเข้าใจว่าใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือปิดปาก คุกคาม ข่มขู่ประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ เพราะนั่นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งของคนในชาติไม่จบสิ้น ทหารควรควรจะทำหน้าที่ตัวเองอย่างทหารอาชีพในประเทศอื่นทำกัน ทั้งนี้ หากรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับ กอ.รมน. ก็ควรจะออกมาแถลงแสดงท่าทีต่อเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นประชาชนอาจคิดได้ว่าเป็นแผนทำลายความมั่นคงของพรรคฝ่ายค้านหรือไม่

เรียบเรียงจาก: มติชนออนไลน์ , ไทยโพสต์ออนไลน์ 1 , 2 , แนวหน้าออนไลน์

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักข่าวเบลเยี่ยมถูก ตร.คุมตัว-ข่มขู่ เพราะมาทำข่าว 'ฟอร์ด เส้นทางสีแดง'

$
0
0

นักข่าวเบลเยี่ยมถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบควบคุมตัวในไทย กักไว้ที่สำนักงาน ตม. ราว 5 ชั่วโมง เพราะว่านัดสัมภาษณ์ 'ฟอร์ด เส้นทางสีแดง' ขอ ห้ามทำข่าวการเมือง ถ้าทำต่อจะไม่รับรองความปลอดภัย ฟอร์ดระบุ เจ้าหน้าที่โทร. ถาม ก็ชี้แจงว่ามีนักข่าวจะสัมภาษณ์ ไม่คิดว่าจะโดนรวบ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแถลง เป็นการละเมิดเสรีภาพสื่อที่ไร้สาระ

(ซ้าย) คริส เจนเซ่น ถ่ายกับอนุรักษ์ (ขวา) (ที่มา:Facebook/ Anurak Jeantawanich)

4 ต.ค. 2562 เมื่อวานนี้ (3 ต.ค.) เฟสบุ๊คของอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือ 'ฟอร์ด เส้นทางสีแดง' นักกิจกรรมทางการเมือง โพสท์ว่าคริส เจนเซ่น นักข่าวชาวเบลเยี่ยมที่มีนัดสัมภาษณ์ฟอร์ดเมื่อวานนี้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบควบคุมตัวจากที่พักไปไว้ที่สถานีตำรวจเป็นเวลา 5 ชั่วโมง ทำให้ไม่สามารถสัมภาษณ์ได้ตามนัด

โพสท์ดังกล่าวระบุว่า ตำรวจได้ห้ามไม่ให้คริสทำข่าวเกี่ยวกับการเมือง และการเคลื่อนไหวของนักกิจกรรมไทย ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับความปลอดภัยระหว่างอาศัยในประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังฟอร์ดเพิ่มเติม ได้ข้อมูลว่าข่าวที่คริสจะมาสัมภาษณ์เป็นเรื่องการที่เขาเคยถูกทำร้ายร่างกาย โดยจะให้พาไปเล่า ณ สถานที่เกิดเหตุ และอีกเรื่องคือการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยคริสถูกควบคุมตัวตั้งแต่ 06.45 น. ก่อนหน้านี้ ในวันพุธ (2 ต.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้โทรมาสอบถามความเคลื่อนไหว ซึ่งตนก็ได้ให้ข้อมูลในเรื่องการให้สัมภาษณ์ด้วย แต่ไม่ได้คิดว่าจะทำถึงขนาดักรอที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง และสะกดรอยคริสไปถึงที่พักและทำการควบคุมตัว

นอกจากนั้น ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังสถานทูตเบลเยี่ยมประจำประเทศไทย ได้ข้อมูลมาว่าคริสได้เดินทางไปแจ้งเรื่องการถูกควบคุมตัวที่สถานทูตแล้ว ขณะนี้ไม่มีปัญหาอะไรในเรื่องของวีซ่า

ฟอร์ดยังเล่าว่าก่อนหน้านี้คริสเคยเดินทางมาทำข่าวเรื่องนักกิจกรรมการเมืองในไทยแล้วหนึ่งครั้ง ทั้งนี้ ส่วนตัวของฟอร์ดยังคงถูกทหารและตำรวจสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆ

สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) ออกแถลงการณ์กรณีการควบคุมตัวคริส โดยระบุว่าสมาคมฯ มีความกังวลอย่างมากที่ได้ยินเรื่องการควบคุมตัวดังกล่าว คริส เป็นนักข่าวที่มีฐานการทำงานอยู่ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เขาถูกเจ้าหน้าที่ ตม. นำตัวจากที่พักไปควบคุมตัวที่สำนักงาน ตม. ที่สวนพลูเป็นเวลามากกว่า 4 ชั่วโมงโดยให้นำสัมภาระไปด้วย

แถลงการณ์ยังระบุว่า เจ้าหน้าที่แนะนำไม่ให้คริสดำเนินการสัมภาษณ์ฟอร์ดต่อ และยังบอกว่ากลุ่มนักกิจกรรมอาจจะชี้นำให้คริสทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย และยังบอกให้คริสเดินทางกลับประเทศทันที แต่ว่าตั๋วขากลับของคริสเป็นตั๋วที่จ่ายล่วงหน้าแบบคืนเงินไม่ได้ คริสจึงได้รับเงื่อนไขให้อยู่ในไทยต่อโดยไม่สัมภาษณ์ฟอร์ด ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหา

"มันเป็นเรื่องที่รบกวนใจอย่างลึกซึ้งเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐพยายามบงการว่านักข่าวต่างชาติควรหรือไม่ควรสัมภาษณ์ใคร พวกเขา (นักข่าว) มีสิทธิ์อย่างสมบูรณ์พร้อมที่จะรายงานข่าว ท้าทายในสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าไม่สมดุล การห้ามนักข่าวอาชีพไม่ให้สัมภาษณ์นั้นเป็นการละเมิดเสรีภาพสื่อมวลชนอย่างไร้เหตุผล ความคิดที่ว่านักข่าวอาจถูกชี้นำให้ทำเรื่องผิดกฎหมายเพียงเพราะไปพูดกับนักกิจกรรมเป็นเรื่องที่ไร้สาร รัฐบาลไทยควรอนุญาตให้นักข่าวต่างชาติรายงานเรื่องการเมืองในประเทศไทยต่อไปโดยไม่ต้องเผชิญกับการข่มขู่จากการดำเนินการทางกฎหมายที่ไม่จำเพาะเจาะจง" ตอนท้ายของแถลงการณ์สรุป

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักกิจกรรมเจอ SMS อ้าง 'Royal Thai Palace' เตือนให้ลบโซเชียลฯ หลังแสดงความเห็น #ขบวนเสด็จ

$
0
0

SMS อ้างมาจาก 'Royal Thai Palace' เตือนนักกิจกรรมให้ลบบัญชีในโซเชียลมีเดียจากการแสดงความเห็น #ขบวนเสด็จ ศูนย์ทนายสิทธิฯ ตั้งข้อสังเกต ข้อความไม่สามารถระบุที่มาได้ ไม่ใช่การดำเนินขั้นตอนตามกฎหมาย ย้ำหน่วยงานที่ถูกพาดพิงควรตรวจสอบการแอบอ้าง ขณะที่ 'กองวัง' ยันไม่น่าใช่ของที่นี่เพราะไม่เคยมีการตอบโต้อะไรแบบนี้ 

4 ต.ค.2562 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วานนี้ (3 ต.ค.62) นักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองรายหนึ่งได้รับข้อความทางโทรศัพท์ (SMS) อ้างว่ามาจาก “Royal Thai Palace” ให้ลบบัญชีในโซเชียลมีเดียทุกชื่อบัญชี โดยข่มขู่ว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเองหลังจากการโพสต์แสดงความเห็นใน #ขบวนเสด็จ

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุดวันนี้ (4 ต.ค.62) เวลา 12.33 น. มีข้อความเข้าโทรศัพท์ของนักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนดังกล่าว หลังดำเนินการปิดโซเชียลมีเดียแล้วว่า ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวประชาไทได้สอบถามเรื่องดังกล่าวไปยัง สำนักพระราชวัง เบอร์โทร 022243275 ที่ระบุไว้ในเว็บไซต์สำนักพระราชวัง https://www.royaloffice.th/contactus/สำนักพระราชวัง/ ซึ่งปลายสายไปยังกองวัง กล่าวว่า กองวัง ไม่ได้ดูแลกิจกรรมเรื่องเหล่านี้ จึงไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่โดยส่วนตัวมองว่า ไม่น่าใช่ของที่นี่ เพราะปกติเราไม่เคยมีการตอบโต้อะไรแบบนี้ 

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากแฮชแท็ก #ขบวนเสด็จ ติดอันดับเทรนด์ทวิตเตอร์ประเทศเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 62 หลังจากเหตุการณ์การจราจรติดขัดบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ระบุว่าเป็นเพราะเหตุมีขบวนเสด็จทำให้รถที่สัญจรไปมาต้องหยุด รวมไปถึงรถพยาบาล

กระแสดังกล่าวทำให้มีผู้ใช้ทวิตเตอร์และเฟสบุ๊คเข้าไปร่วมแสดงความเห็นจำนวนมาก รวมถึงนักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองรายนี้ซึ่งได้แสดงความเห็นทั้งในเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ซึ่งชื่อบัญชีดังกล่าวได้ใช้ชื่อและนามสกุลจริง จนกระทั่งเขาได้รับข้อความซึ่งไม่ปรากฏหมายเลขผู้ส่งในคืนวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา ระบุชื่อว่าส่งมาจาก “Royal Thai Palace” โดยข้อความในเนื้อหา “ Please delete all your social network accounts by tonight for your safety. Royal Thai Palace” แปลว่า “โปรดลบบัญชีในโซเชียลเน็ตเวิร์คของคุณทุกบัญชีภายในคืนนี้ เพื่อความปลอดภัยของคุณ” 

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนตั้งข้อสังเกตว่า ข้อความดังกล่าวนั้น ไม่สามารถระบุที่มาได้ว่ามาจากหน่วยงานที่มีการกล่าวอ้างหรือไม่ และการส่งข้อความดังกล่าวไม่ใช่การดำเนินขั้นตอนตามกฎหมายแต่อย่างใด ทั้งนี้หากมีการกล่าวหาเป็นคดีจริงจะต้องเป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการออกหมายเรียกหรือหมายจับแล้วแต่กรณี แต่ไม่ใช่การส่งข้อความลักษณะข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัวมาทางโทรศัพท์ ทั้งนี้หน่วยงานที่ถูกพาดพิงดังกล่าวควรตรวจสอบว่ามีการแอบอ้างโดยบุคคลใดหรือไม่

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ITF เรียกร้องช่วยเหลือพนักงานที่ได้รับผลกระทบจาก 'โทมัส คุก' ล้มละลาย

$
0
0

สหพันธ์แรงงานการขนส่งระหว่างประเทศ (ITF) ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้พนักงานกว่า 22,000 คนทั่วโลก ที่ได้รับผลกระทบจากการล้มละลายของบริษัทนำเที่ยว Thomas Cook ต้องให้พนักงานทุกคนมั่นใจว่าพวกเขาจะเดินทางกลับบ้านได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเอง และได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน


ที่มาภาพประกอบ: Mark Harkin(CC BY 2.0)

4 ต.ค. 2562 จากกรณีที่โทมัส คุก (Thomas Cook) บริษัทท่องเที่ยวเก่าแก่อายุ 178 ปีของสหราชอาณาจักร ประกาศล้มละลายเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา หลังจากการพยายามเจรจาเพื่อรักษาบริษัทไว้ล้มเหลว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรตกค้าง อยู่ต่างประเทศมากกว่า 1.5 แสนคน มีพนักงาน 22,000 ตำแหน่งทั่วโลก เสี่ยงตกงาน รวมถึง 9,000 ตำแหน่งในสหราชอาณาจักร ซึ่งกระบวนการจากนี้ไป บริษัทต้องระดมเงินสดให้ได้ 200 ล้านปอนด์ (ประมาณ 7,525 ล้านบาท) เพื่อใช้ในการฟื้นฟูกิจการ ทั้งนี้บริษัทมีหนี้สินสะสมมากถึง 1.7 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 63,965 ล้านบาท) 

การท่าอากาศยานพลเรือนอังกฤษระบุว่าเที่ยวบินและการเดินทางที่มีการจองเอาไว้กับโทมัส คุก ได้ถูกยกเลิกทั้งหมดทันทีที่บริษัทประกาศล้มละลาย สถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารทั่วโลกราว 600,000 คน ซึ่งทำให้รัฐบาลอังกฤษต้องร่วมมือกับบรรดาบริษัทประกันและสายการบินรายอื่นๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนในการเดินทางกลับประเทศ

นอกจากนี้รัฐบาลอังกฤษประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่า จะยื่นมือช่วยเหลือโทมัส คุก ได้เฉพาะในกรณีการนำประชาชนสหราชอาณาจักรกลับประเทศเท่านั้น แต่จะไม่มีการดึงงบประมาณรัฐออกมาช่วยอุ้มกิจการ โดยนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ให้เหตุผลว่าการที่รัฐบาลไม่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่โทมัส คุก ก็เพราะไม่ต้องการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีให้กับบริษัทอื่นๆ 

ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ต.ค. สหพันธ์แรงงานการขนส่งระหว่างประเทศ (ITF) ได้ออกมาแสดงความห่วงใยต่อพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการล้มละลายของบริษัทนำเที่ยว Thomas Cook ว่าจะต้องได้รับการเยียวยาอย่างเท่าเทียม มีมาตรฐานเดียวกันกับที่ปฏิบัติต่อลูกค้าของบริษัทฯ 

ITF ระบุว่าขั้นตอนการล้มละลายมักจะจัดลำดับความสำคัญต่อผลประโยชน์ของเจ้าหนี้และนักลงทุนมากกว่าผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ที่รวมถึงลูกค้าผู้เสียภาษีและพนักงาน ก่อนหน้านี้แม้บริษัทฯ จะอยู่ในภาวะวิกฤต แต่ผู้บริหารระดับสูงของโทมัส คุก ยังคงได้รับแพคเกจค่าตอบแทนเมื่อปีที่แล้วถึง 1.02 ล้านปอนด์ (ประมาณ 38.38 ล้านบาท)

เลขาธิการฝ่ายบินพลเรือนของ ITF ระบุว่าภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องไม่ลืมพนักงาน เพราะขณะนี้อดีตพนักงานของโทมัส คุก จำนวนมากยังคงให้บริการลูกค้าโดยไม่ทราบชะตากรรมว่าพวกเขาจะได้รับเงินเมื่อไร และจะกลับบ้านได้อย่างไร

"พนักงานของโทมัส คุก กำลังเผชิญกับการสูญเสียงานในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย อย่างน้อยที่สุดกระบวนการจากนี้ไปควรทำให้พนักงานทุกคนมั่นใจว่าพวกเขาจะเดินทางกลับบ้านได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเอง และได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน" เลขาธิการฝ่ายบินพลเรือนของ ITF กล่าว

ที่มา
Thomas Cook workers also deserve protection and compensation (ITF, 1/10/2019)

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ศาลยะลา : 'ผู้พิพากษา' ยิงตัวเองสาหัส หลังลงจากบัลลังก์ พิจารณาคดีความมั่นคง 

$
0
0

ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นศาลจังหวัดยะลา ใช้ปืนยิงที่ราวนมตัวเองอาการสาหัส หลังจากพิพากษาคดีความมั่นคง  ขณะที่ก่อนหน้าพบโพสต์เฟสฯ ระบุถูกแทรกแซงคำพิพากษา โดยโพสต์ดังกล่าวถูกลบไปแล้ว

คณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นศาลจังหวัดยะลา

4 ต.ค.2562 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า วันนี้ (4 ต.ค.62) เมื่อเวลา 12.50 น. ได้เกิดเหตุมีผู้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองภายในห้องพิจารณาคดีชั้น 3 อาคารสำนักงานศาลจังหวัดยะลาได้รับบาดเจ็บ จึงได้แจ้ง พ.ต.อ.นราวี บินแวอารง ผกก.สภ.เมืองยะลา พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน เจ้าหน้าที่จากศูนย์พิสูจน์หลักฐานที่ 10 ยะลา เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุทราบว่าผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลาไปก่อนหน้าแล้ว ทราบชื่อคือ คณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นศาลจังหวัดยะลา ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงด้วยอาวุธปืนยังไม่ทราบชนิดและขนาดเข้าที่ใต้ราวนมจำนวน 1 นัด อาการสาหัส แพทย์ต้องรีบนำตัวเข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพื่อช่วยเหลือชีวิต

รายงานข่าวยังระบุว่า จากการสอบสวนทราบว่า คณากร ได้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองในขณะที่กำลังทำหน้าที่พิจารณาคดีความ ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นคดีใด อยู่ภายในห้องพิจารณาคดีชั้น 3 ของศาลาจังหวัดยะลาจนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ซึ่งในเบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุของการใช้อาวุธปืนยิงตัวเองดังกล่าวว่าเกิดจากปัญหาส่วนตัว หรือสาเหตุใด

โดยวอยส์ออนไลน์รายงานด้วยว่า ผู้บาดเจ็บได้ขึ้นบัลลังก์พิพากษา คดีความมั่นคง มีผู้ต้องหา 5 คน แต่ยังไม่ทราบในรายละเอียดว่า เป็นคดีใด ผลการพิพากษาคดี ศาลยกฟ้อง หลังจากพิพากษาแล้ว ผู้บาดเจ็บได้ลงจากบัลลังก์ เมื่อมาถึงหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ได้ใช้อาวุธปืน ขนาด 9 มม.ประจำตัว จ่อยิงหน้าอกด้านซ้าย จำนวน 1 นัด หลังเกิดเหตุ จนท.รีบนำส่ง รพ.ทันที

(ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ ไทยพีบีเอส และวอยส์ออนไลน์)

พบโพสต์เฟสฯถูกแทรกแซงคำพิพากษาก่อนปฏิบัติการยิ่งตัวเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่ คณากร ก่อเหตุดังกล่าว เฟสบุ๊ค 'คณากร ตุลาคม' ได้โพสต์ ว่า วันนี้เวลา 11.15 น. ตนจะไลฟ์เพื่อชี้แจงประชาชนทราบถึงการถูกแทรกแซงการพิจารณาคดี ที่สั่งให้ลงโทษจำเลยทั้ง 5 ทั้งที่พยายนหลักฐานไม่มีน้ำหนัก แต่ตนไม่ยอมทำตาม ตนคงถูกไล่ออกโดยไม่ได้รับบำเหน็จ

พร้อมให้หมายเลขบัญชีที่สามารถเยียวยาภรรยาและบุตรของตน ซึ่งผู้สื่อข่าวตรวจสอบแล้วพบว่าหมายเลขบัญชีที่ระบุนั้นตรงตามชื่อที่เฟสบุ๊คดังกล่าวให้ไว้

ก่อนหน้านั้นเฟสบุ๊คบัญชีดังกล่าวยังโพสต์คำแถลงของตนในฐานะผู้พิพากษาศาลจังหวัดยะลา ด้วย

โดยล่าสุด ทั้ง 2 โพสต์ขณะนี้ถูกลบไปแล้ว

ขณะที่เพจชื่อ "พระเจ้า" ได้นำคำพิพากษามาลง ดังนี้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เปิดคำแถลงของผู้พิพากษา จ.ยะลา ก่อนก่อเหตุยิงตัวเอง ขออย่าแทรกแซงและความเป็นธรรมทางการเงิน

$
0
0

เปิดคำแถลงจำนวน 25 หน้า ของ คณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นศาลจังหวัดยะลา ก่อนก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงตัวเองหลังพิพากษาคดีความมั่นคง จนบาดเจ็บสาหัส 1. ขอสภาฯออกกฎหมายห้ามตรวจร่างคำพิพากษาก่อนอ่านให้คู่ความฟัง 2. ขอความเป็นธรรมทางการเงินแก่ผู้พิพากษาทั่วประเทศ

4 ต.ค.2562 จากกรณี คณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นศาลจังหวัดยะลา ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงตัวเองภายในห้องพิจารณาคดีชั้น 3 อาคารสำนักงานศาลจังหวัดยะลาได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายหลังขึ้นบัลลังก์พิพากษายกฟ้อง 5 คน ผู้ต้องหา คดีความมั่นคง 

ก่อนหน้าที่ ผู้พิพากษา คนดังกล่าวจะปฏิบัติการยิงตัวเอง เขาได้โพสต์คำแถลงจำนวน 25 หน้า ก่อนโพสต์นั้นจะถูกลบไป แต่ต่อมามีผู้บันทึกและเผนแพร่ต่อ โดยนอกจากเนื้อหาเป็นการเล่าถึงคดีและความอัดอั้นตันใจที่ถูกแทกแซงแล้ว ยังมีข้อเรียกร้อง 2 ข้อต่อ สภานิติบัญญัติ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ดังนี้

1. เรียกร้องให้สภานิติบัญญัติออกกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม พระธรรมนูญศาลยุติธรรม เพื่อห้ามกระทำการตรวจร่างคำพิพากษาก่อนอ่านให้คู่ความฟัง ทั้งห้ามกระทำใดๆ อันมีผลเป็นการแทกแซงผลคำพิพากษา
2. เรียกร้องให้สภานิติบัญญัติและนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีให้ความเป็นธรรมทางการเงินแก่ผู้พิพากษาทั่วประเทศ ซึ่งทราบมีผู้พิพากษาบางกลุ่มจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้นานแล้ว แต่มีข้อขัดข้องไม่สามารถส่องออกจากศาลยุติธรรมเพื่อนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติและคณะรัฐมนตรีได้

โดยหน้าสุดท้ายของแถลงการณ์ได้กล่าวว่า

"คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา"

"คืนความยุติธรรมให้ประชาชน"

"คำแถลงของผม อาจมีน้ำหนักเบาบางเหมือนขนนก แต่หัวใจผู้พิพากษาหนักแน่นปานขุนเขา จึงมอบหัวใจชั่งบนตราชู ยืนยันคำแถลง ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน"

 

รายละเอียดทั้งหมดมีดังนี้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 29 ก.ย.-5 ต.ค. 2562

$
0
0

พรรคอนาคตใหม่เปิดตัวเลขเลิกจ้างสูงกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2552 ถึง 24%

น.ส.วรรณวิภา ไม้สน และนายสุเทพ อู่อ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวกรณีปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลต่อผู้ใช้แรงงาน จากเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่สภาวะถดถอยรุนแรง ปัญหาการเลิกจ้างงาน การไม่ปรับค่าแรง และปัญหาการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม ที่ขยายตัวในปี 2562 พร้อมเรียกร้องรัฐบาลออกมาตรการให้ความช่วยเหลือทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

น.ส.วรรณวิภา กล่าวว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรุนแรงในปี 2562 นี้ ไม่ว่าจะเป็นภาคส่งออก ท่องเที่ยวหรืองานด้านบริการ ส่งผลให้ไม่มีการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ ขณะที่ผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศกำลังประสบปัญหาความไม่มั่นคงในการทำงาน จากข้อมูลที่ผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคม ขึ้นทะเบียนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุการเลิกจ้าง เดือน ม.ค. - ก.ค.2552 ที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เปรียบเทียบกับปี 2562 ในช่วงเดือนเดียวกัน พบว่าปี 2562 มีผู้ถูกเลิกจ้างสูงกว่าปี 2552 ถึง 24% โดยในปี 2552 มีผู้ถูกเลิกจ้างจำนวน 152,751 คน ในขณะที่ปี 2562 มีผู้ถูกเลิกจ้างจำนวน 190,002 คน

นอกจากนี้ น.ส.วรรณวิภา ยังระบุข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552 มีอัตราผู้ว่างงาน 436,000 คน ส่วนปี 2562 มีผู้ว่างงานถึง 490,000 คน ซึ่งมากกว่าช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ถึง 54,000 คน สถานการณ์เช่นนี้ พบว่ามีการเลิกจ้างอย่างต่อเนื่องในหลายกรณี และอาจเป็นการเลิกจ้างโดยละเมิดกฎหมายแรงงาน เช่น เลิกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ไม่จ่ายค่าชดเชย หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่ลูกจ้างควรได้รับ นอกจากนี้ ยังมีการปรับเปลี่ยนสภาพการจ้างงานที่ขัดกับเงื่อนไขการจ้าง หรือ ลดทอนสวัสดิการของแรงงาน เป็นต้น

“นายจ้างบางราย ฉวยโอกาสเลิกจ้างพนักงาน โดยอ้างเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำ เพื่อย้ายฐานการผลิตไปยังพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งได้รับการอุดหนุนการลงทุนและสิทธิพิเศษจากรัฐบาล ปล่อยให้ลูกจ้างถูกลอยแพโดยไม่ได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย” น.ส.วรรณวิภา ระบุ

ด้าน นายสุเทพ ระบุว่า ภาครัฐเป็นตัวอย่างของการไม่คุ้มครองสิทธิแรงงาน ไม่ปฏิบัติตามแนวทางการจ้างงานที่มีคุณภาพ เห็นได้ว่าการส่งเสริมการจ้างงานแบบเหมาช่วง เหมาค่าแรง ซึ่งจ่ายค่าแรงที่ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นการจ้างงานที่ต่ำกว่าพื้นฐาน มีการเลิกจ้างจากภาครัฐอย่างไม่เป็นธรรม โดยอ้างถึงงบประมาณ นอกจากนี้ การเลิกจ้างยังส่งผลถึงแรงงานนอกระบบ กลุ่มอาชีพอิสระ ซึ่งมีอำนาจในการต่อรองที่น้อยอยู่แล้ว

สำหรับการผลักดันประเด็นดังกล่าว ในส่วนของคณะกรรมาธิการการแรงงาน และคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ทำหน้าที่เป็นประธาน กมธ. และรองประธาน กมธ. นั้น มีรายงานว่า มีการผลักดันเรื่องนี้ทั้งแนวทางระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ดังนี้

ระยะสั้น ภายใน 30 วัน ประธานกรรมาธิการแรงงาน จะประสานเข้ากรรมาธิการโดยด่วน เพื่อให้ดำเนินการต่อนายจ้างที่ละเมิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเลิกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ไม่จ่ายค่าชดเชย ปรับเปลี่ยนลดวันหยุด ปรับเปลี่ยนสภาพงานที่ขัดกับเงื่อนไขการจ้าง ในยุคสมัยที่พรรคอนาคตใหม่เป็นประธานกรรมาธิการแรงงานนี้ นายจ้างที่จงใจละเมิดกฎหมายแรงงานจะต้องโทษจำคุก และปรับสูงสุดอย่างเดียวเท่านั้น และจะทำการขึ้นบัญชีดำนายจ้าง, เรียกหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ถึงแนวทางการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐ ที่มีลูกจ้างไม่ใช่ข้าราชการกมากกว่า 9 แสนคน ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ไม่ต่ำกว่ากฎหมายแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทย เจ้าหน้าที่รัฐระดับผู้บริหารที่ปฏิบัติต่ำกว่ากฎหมายแรงงาน จะต้องถูกเรียกมาชี้แจง และคณะกรรมาธิการจะทำหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้เป็นแนวปฏิบัติต่อไป

ระยะกลาง ผลักดัน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ที่เพิ่มสวัสดิการแรงงาน และการต่อรองรวมตัว ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ได้นำเสนอญัตติเรียบร้อยแล้ว, ผลักดันให้รัฐบาลไทย รับอนุสัญญา ILO 87-98 ทั้งฉบับ ยกร่าง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฉบับใหม่

ระยะยาว ผลักดันการปฏิรูปภาษี ทำลายกลุ่มทุนผูกขาด สร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าครบวงจร จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน เพื่อเพิ่มอำนาจให้ประชาชนอย่างแท้จริง

ที่มา: ThaiPBS, 4/10/2562 

ดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวกว่า 1.5 พันคน ทำงานผิดประเภท

นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากการที่กรมการจัดหางานได้สั่งการให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 เร่งรัดลงพื้นที่ตรวจสอบและดำเนินคดีคนต่างด้าวแย่งอาชีพคนไทย โดยประสานตำรวจ ตรวจคนเข้าเมือง และ ฝ่ายปกครองตรวจเข้มทุกพื้นที่นั้น

ปรากฎว่า ตั้งแต่วันที่ 1มิถุนายน–30 กันยายน 2562 ได้ตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างด้าวแย่งอาชีพคนไทยทั่วประเทศ จำนวน 17,184 คน ดำเนินคดี จำนวน 1,539 คน ส่วนใหญ่เป็นสัญชาติเมียนมามากที่สุด จำนวน 1,000 คน รองลงมาเป็นเวียดนาม 171 คน ลาว 162 คน กัมพูชา 151 คน อินเดีย 37 คน จีน 5 คน และอื่นๆ 13 คน ซึ่งลักลอบทำงานขายของหน้าร้านมากที่สุด จำนวน 1,052 คน

ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันตก รองลงมาเป็นงานเร่ขายสินค้า 275 คน และงานอื่นๆจำนวน 212 คน ได้แก่ งานจำหน่ายอาหาร (คนต่างด้าวเป็นเจ้าของเอง) นวดแผนไทย งานบริการ (คาราโอเกะ) งานเสริมสวย ขับขี่ยานพาหนะ (วินมอเตอร์ไซค์) งานก่ออิฐช่างไม้หรืองานก่อสร้างอื่น พนักงานรักษาความปลอดภัย งานทำรองเท้า งานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย และได้ปรับแรงงานต่างด้าว คิดเป็นเงินจำนวน 7,695,000 บาท ผลักดันส่งกลับจำนวน 1,539 คน

ทั้งนี้ คนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงาน นอกเหนือ จากสิทธิที่จะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000–50,000 บาทและถูกผลัก ดันส่งกลับ ซึ่งผู้พบเห็นสามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียนได้ที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน หรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบต่อไป

ที่มา: สำนักข่าวไทย, 4/10/2562 

สื่อประชาชาติธุรกิจสำรวจพบคนตกงานเพิ่ม 2-3 เท่าตัว ใน 8 จังหวัดแหล่งโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

สื่อประชาชาติธุรกิจ ได้สำรวจตัวเลขประชากรว่างงานจากแรงงานจังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะ 8 จังหวัด ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เปรียบเทียบช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปี 2562 พบว่าหลายจังหวัดตัวเลขการว่างงานเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ดังนี้ จังหวัดสระบุรี ไตรมาส 1 พบว่า มีจำนวนประชากรว่างงาน 3,926 คน แต่ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเป็น 8,958 คน, จังหวัดลพบุรี ไตรมาส 1 พบว่า มีจำนวนประชากรว่างงาน 2,617 คน แต่ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเป็น 9,559 คน, จังหวัดระยอง ไตรมาส 1 พบว่า มีจำนวนประชากรว่างงาน 3,345 คน แต่ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเป็น 6,609 คน จังหวัดชลบุรี ไตรมาส 1 พบว่า มีจำนวนประชากรว่างงาน 1,544 คน แต่ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเป็น 3,570 คน, จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไตรมาส 1 พบว่า มีจำนวนประชากรว่างงาน 6,094 คน แต่ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเป็น 7,299 คน, จังหวัดฉะเชิงเทรา ไตรมาส 1 พบว่า มีจำนวนประชากรว่างงาน 1,282 คน แต่ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเป็น 2,191 คน เป็นต้น

แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าขณะนี้โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งในจังหวัดสมุทรสาคร ส่วนใหญ่ประมาณ 6,000 โรงงาน เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก (SMEs) ประมาณ 70-80% กำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากยอดการส่งออกที่ลดลง ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาก ประเทศไทยไม่ได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากร (GSP) จากประเทศผู้นำเข้า ภาวะเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบให้หลายบริษัทมีแนวโน้มที่จะปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง

“โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมประมง หลังจากต้องเผชิญกับการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ทำให้ประเทศไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศเมียนมาและเวียดนามเข้ามาแปรรูปเพื่อส่งออก การที่ค่าเงินบาทแข็งกระทบต่อต้นทุนการนำเข้า ขณะเดียวกันฝ่ายการเมืองพยายามจะปรับขึ้นค่าแรง โดยไม่ฟังเสียงของคณะกรรมการไตรภาคี ทั้งหมดจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น” แหล่งข่าวกล่าวและว่า

ผู้ผลิตระดับ SMEs มีปัญหาธุรกิจมีแต่ทรงกับทรุด หลายจังหวัดประสบปัญหาเหมือนกัน โดยรูปธรรมที่เห็นชัด เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวบริษัท เอเพ็กซ์ เซอร์คิต (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตแผ่นพิมพ์ลายวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีโรงงาน 2 แห่งตั้งอยู่ทั้งในนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร และนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร ได้มีการบอกเลิกจ้างพนักงานประมาณ 200 คน โดยให้เหตุผลว่า เป็นพนักงานที่ไม่ผ่านการทดลองงาน แต่สาเหตุหลักมาจากยอดการผลิตลดลง ขายไม่ได้ เงินทุนจม จึงต้องปรับขนาดองค์กรให้เล็กลง

นางอัธยา อ่ำหนองโพ สำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรสาครเปิดเผยว่า มีอัตราว่างงาน 3,000 กว่าคน มีลูกจ้างมาร้องเรียนกรณีถูกเลิกจ้าง 13 กรณี จำนวนแรงงาน 31 ราย

นายสมหวัง ถุงสุวรรณ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมของจังหวัดค่อนข้างแย่ โดยเฉพาะธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ซึ่งลดกำลังการผลิต จาก 100% เหลือ 70% แต่ยังไม่มีการปิดตัวของโรงงาน แต่จะเป็นการชะลอตัวของแต่โรงงาน โดยใช้มาตรา 75 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 คือการที่นายจ้างแจ้งหยุดกิจการชั่วคราว โดยจะจ่ายเงินให้กับพนักงานในช่วงที่หยุดกิจการชั่วคราว ร้อยละ 75 ของค่าแรง แต่ในส่วนของการลดจำนวนพนักงานนั้น จะเป็นการให้พนักงานสมัครใจในการลาออก

นายทรงศักดิ์ ทองไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจในจังหวัดขอนแก่นได้รับผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ยอดการผลิตลดลง ผู้ประกอบการการลดต้นทุน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมโลหะ ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วลดลงกว่า 30% แต่ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตต้องปิดกิจการ

นายสุรพล สุทธจินดา ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง กล่าวว่า ขณะนี้ภาคธุรกิจมีความกังวลอย่างมากจากตัวเลขดัชนีทางด้านเศรษฐกิจทุกตัวปรับลดลงหมด แต่โรงงานในพื้นที่ระยองยังไม่ถึงขั้นปิดตัว ขณะที่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐล่าช้า โดยเฉพาะเรื่องอีอีซีที่หลายคนมองว่าระยองมีความได้เปรียบกว่าจังหวัดอื่น เพราะภาครัฐทุ่มงบประมาณลงมาดำเนินโครงการต่าง ๆ แต่ในทางปฏิบัติคนในพื้นที่ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวทั้งการลงทุนภาครัฐ และการเข้ามาลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ของภาคเอกชนที่ผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รวมถึงกรณีนักธุรกิจจีนย้ายฐานการลงทุนมายังประเทศไทยก็ยังไม่เห็นรูปธรรมในการลงทุนจริง ที่จะส่งผลให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) สะท้อนออกมา ที่ผ่านมามีแต่เห็นโรงงานของต่างประเทศบางแห่งย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อไปหาต้นทุนค่าแรงงานที่ต่ำกว่าไทย

แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจโรงแรมจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า ช่วงโลว์ซีซั่นที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีนและคนไทยที่ลดลง ส่งผลให้บางโรงแรมมีการให้พนักงาน ลาพักร้อนหยุดไปเลย 1-2 เดือนโดยไม่รับเงินเดือน (leave without pay) เพื่อลดต้นทุนรายจ่ายด้านเงินเดือน เมื่อเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจะเรียกพนักงานเหล่านี้กลับมาทำงานต่อ

ส่วนข้อมูลจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระบุว่า เดือน ก.ค.มีผู้ว่างงาน 4.36 แสนคน

ที่มา: ประชาติธุรกิจ, 3/10/2562 

ผลวินิจฉัยลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงาน ปี 2562 รวม 60,713 ราย

หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การดำเนินงานผลการวินิจฉัยเรื่องการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานประจำปี 2562 (ม.ค.-ส.ค.) ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจำนวน 60,713 ราย โดยข้อมูลในปี 2561 (ม.ค.- ส.ค.) มีลูกจ้างที่อยู่ในข่ายได้รับเงินทดแทนจำนวน 56,050 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 4,663 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 8.32

กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ขอแนะนำในกรณีลูกจ้างประสบอันตรายเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน ให้นายจ้าง ส่งตัวลูกจ้างเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลในความตกลงของกองทุนเงินทดแทน โดยที่นายจ้างไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาล่วงหน้าและสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ.2558 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 ซึ่งค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นในเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท ต่อการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย 1 ครั้ง หากมีการบาดเจ็บรุนแรงหรือเรื้อรังตามหลักเกณฑ์ ที่กำหนดในกฎกระทรวงแรงงาน เรื่อง ลักษณะการประสบอันตรายฯ ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเพิ่มได้อีก 100,000 บาท รวมแล้วไม่เกิน 300,000 บาท หรือหากไม่เพียงพอ สามารถจ่ายเพิ่มขึ้นได้ รวมแล้วไม่เกิน 500,000 บาท โดยตามความเห็นของคณะกรรมการการแพทย์ และสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเพิ่มได้อีกแต่รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,000,000 บาท โดยตามความเห็นของคณะกรรมการการแพทย์พิจารณา คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ให้ความเห็นชอบ เว้นแต่ ลูกจ้างเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของรัฐ ตั้งแต่เริ่มแรกจนสิ้นสุดการรักษาหรือ มีเหตุสมควรที่ไม่สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล ในสถานพยาบาลของรัฐตั้งแต่เริ่มแรก แต่ภายหลังได้เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐสามารถเบิกเพิ่มได้ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 2,000,000 บาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 12 แห่ง สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา/ที่ท่านสะดวก หรือโทร.1506 (เจ้าหน้าที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง)

ที่มา: สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น, 3/10/2562 

ผู้ประกอบการโรงงานร้องนายอำเภอแม่สอดสอบเอ็นจีโอต่างชาติที่ปลุกปั่นแรงงานเมียนมา

วันที่ 2 ต.ค. 2562 ที่ว่าการอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นายธวัชชัย รอดแก้ว เจ้าของโรงงาน และนางอุไรรัตน์ ยะเขียว ผู้จัดการโรงงานแห่งหนึ่งที่ผลิตสายไฟฟ้า ในพื้นที่ตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายชัยพฤกติ์ เชียรธานรักษ์ นายอำเภอแม่สอด เพื่อให้ตรวจสอบ และดำเนินการกับกลุ่มเอ็นจีโอต่างชาติ ที่ไปยุยงปลุกปั่นแรงงาน สัญชาติเมียนมา ตามสถานประกอบการในอำเภอแม่สอดหลายแห่ง และมีพฤติกรรมข่มขู่แรงงานเพื่อให้ลงนามเรียกร้องสิทธิต่างๆ เช่นค่าแรง และค่าอื่นๆ ในการกดดันโรงงาน จนลูกจ้างชาวเมียนมาไม่สามารถทำงานได้ ขอลาออก เพราะเกรงว่า จะได้รับอันตราย เนื่องจากกลุ่มเอ็นจีโอดังกล่าวขู่จะร้ายร่างกาย และข่มขืน หากเป็นแรงงานสตรีเพศ

นายธวัชชัย แจ้งว่า เอ็นจีโอกลุ่มดังกล่าว ได้ทำการปลุกปั่นให้ขึ้นค่าแรง และเรียกร้องจนทางโรงงานไม่สามารถปฏิบัติได้ ต้องปิดสถานประกอบการไปแล้ว 4-5 แห่ง จากนั้น จะมีการเรียกร้องขอเงินชดเชยจากสถานประกอบการ ผ่านสวัสดิการแรงงานจังหวัดตาก โดยหวังผลประโยชน์เป็นค่านายหน้า ซึ่งนายชัยพฤกติ์ ได้รับหนังสือไว้ และแจ้งว่าจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่งหมดประชุมหารือ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และหากพบว่า มีการกระทำผิดก็จะดำเนินการตามกฏหมายต่อไป

ที่มา: มติชนออนไลน์, 2/10/2562 

เร่งพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานผู้ถือบัตรคนจน ตั้งเป้า 5 พันรายต่อยอดอาชีพได้อย่างยั่งยืน

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในโครงการพัฒนาทักษะและส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์ในการให้มีความรู้ ความสามารถและทักษะฝีมือจนผู้ถือบัตรฯ สามารถนำไปประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว ตลอดจนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบและมีความมั่นคงในชีวิตอย่างยั่งยืนได้

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารฯ จะสนับสนุนผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมฝีมือแรงงานหรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ทั้งผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และบุคคลทั่วไปที่สนใจจะประกอบอาชีพเพื่อให้ได้รับความรู้ทางการเงิน และเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่อเดือนไว้ที่ 0.75% ทั้งนี้ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จะเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ในส่วนของประชาชนทั่วไปที่ผ่านการอบรมพัฒนาทักษะอาชีพกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และหากต้องการนำเงินไปลงทุนประกอบอาชีพ สามารถขอสินเชื่อผู้ใช้แรงงาน สินเชื่อสตรีทฟู้ด สินเชื่อธุรกิจห้องแถว สินเชื่อ Smart Home Stay หรือ ธุรกิจท่องเที่ยว เป็นต้น กับธนาคารออมสินได้

สำหรับความร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานในครั้งนี้ จะมีการดำเนินการจัดกิจกรรมอบรมเพิ่มทักษะเป็นผู้ประกอบการและสมัครขึ้นทะเบียนช่างประชารัฐ กับสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ 77 แห่ง ซึ่งธนาคารออมสินตั้งเป้าในปี 2562 ผู้เข้าร่วมโครงการจะสามารถต่อยอดอาชีพได้จำนวน 5,000 ราย

ด้าน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า เพื่อสนองต่อนโยบายรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือและจัดสวัสดิการให้แก่ผู้มีรายได้น้อย ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งที่ผ่านมา กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้ให้การสนับสนุนการฝึกอาชีพแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยแบ่งออกเป็นเพื่อประกอบอาชีพอิสระในสาขาอาชีพต่างๆ ได้แก่ ช่างเชื่อม ช่างเครื่องปรับอากาศ ช่างทำผม เป็นต้น มีผู้ผ่านการฝึกอบรม จำนวน 270,167 ราย และช่างอเนกประสงค์ (ช่างชุมชน) สาขาอาชีพต่างๆ ได้แก่ ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ช่างปูกระเบี้อง และช่างประปา มีผู้ผ่านการฝึกอบรมจำนวน 15,434 ราย รวมทั้งสิ้น 285,601 ราย

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้บูรณาการร่วมกับธนาคารออมสินเพื่อการจัดฝึกอบรมหลักสูตรการฝึกยกระดับฝีมือสาขาความรู้เบื้องต้นการประกอบธุรกิจสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะเวลาการฝึก 12 ชั่วโมง โดยนำร่องฝึกอบรมไปแล้วในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีผู้ผ่านการฝึกอบรม จำนวน 43 ราย และจะขยายผลการดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วประเทศจากเป้าหมาย 5,000 ราย ในการพัฒนาฝีมือแรงงานให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะฝีมือ และเข้าถึงแหล่งบริการทางการเงิน จนสามารถนำไปประกอบอาชีพ รวมทั้งช่วยเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว รองรับต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจในอนาคต

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 2/10/2562 

'ซีพีเอฟ-ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป' ร่วมกันออกแถลงการณ์สนับสนุน SeaBOS ในการต่อสู้กับแรงงานทาสยุคใหม่

การเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์และภาคอุตสาหกรรม เพิ่มการผลิตอาหารทะเลที่ยั่งยืนและปกป้องมหาสมุทรสมาชิกของ SeaBOS จะร่วมกันต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย และการบังคับใช้แรงงาน บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ออกแถลงการณ์ร่วมกันในการต่อสู้กับแรงงานทาสยุคใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าห่วงโซ่อุปทานของทั้งสองบริษัทปราศจากแรงงานที่ผิดกฎหมาย ในการประชุมประจำปีของ SeaBOS ที่จังหวัดภูเก็ต ทั้งสองบริษัทแสดงความคิดเห็นร่วมกันว่า "แรงงานทาสยุคใหม่ เป็นความท้าทายระดับโลก ซี่งมีความพยายามร่วมมือเพื่อขจัดให้หมดไป ในการทำงานระหว่างปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง"

"เรามีความก้าวหน้าในการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญในทุกเรื่องเช่น การออกกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน การสร้างศักยภาพของผู้มีส่วนได้เสีย การประยุกต์ใช้นวัตกรรมด้านเทคโนโลยี และอื่นๆ เราพร้อมจะร่วมแบ่งปันประสบการณ์กับประชาคมโลก และร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆ เพื่อให้แรงงานทาสยุคใหม่กลายเป็นปัญหาในอดีต"

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า "การเคารพและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่บริษัทให้ความสำคัญมากที่สุด โดยเฉพาะขั้นตอนการจ้างแรงงานและการจัดสวัสดิการ ทั้งยังให้การสนับสนุนศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมงสงขลา (Fishermen Life Enhancement Centre : FLEC) ซึ่งมีการจัดอบรมและกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานประมง ตลอดจนการยึดปฏิบัติตามนโยบายบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนของบริษัท โดยกำหนดเป้าหมาย 100% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกของบริษัทที่นำมาใช้จะต้องนำกลับมาใช้ซ้ำ(Reusable) นำมาใช้ใหม่ (Recyclable) นำไปผลิตเป็นสินค้าใหม่ได้ (Upcyclable) หรือ สามารย่อยสลายได้ (Compostable) ภายในปี 2568"

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ทียู กล่าวว่า "ที่ไทยยูเนี่ยน เรามุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะต่อสู้กับการค้ามนุษย์ ห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาหารทะเลเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่เรามีวิธีในการดำเนินการเพื่อจัดการกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการปรับปรุงการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน และเรายังมีการดำเนินการตรวจสอบคู่ค้าของเราโดยหน่วยงานจากภายนอก แต่เราทราบดีว่า เราไม่สามารถต่อสู้ปัญหากับปัญหานี้ได้เพียงลำพัง ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราต้องใช้วิธีการความร่วมมือกันและทำงานกับผู้มีส่วนได้เสียที่หลากหลายในการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง"

ดร. อดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กล่าวในที่ประชุม SeaBOS เกี่ยวกับ การที่สหภาพยุโรปให้ใบเหลืองกับประเทศไทยจากการทำประมงที่ไม่ยั่งยืนจึงเป็นผลให้เกิดการพัฒนาด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมภายในประเทศ ดร. อดิศร กล่าวอีกว่า ใบเหลืองได้ถูกยกเลิกเมื่อต้นปี 2562 แต่อย่างไรก็ดี ใบเหลืองได้ส่งผลให้ประเทศไทยมีการประกาศใช้กฎหมายอย่างเป็นทางการซึ่งปัจจุบันมีการบังคับใช้อยู่ เพื่อลดการทำประมง IUU และการบังคับใช้แรงงานในประเทศไทย

SeaBOS เป็นองค์กรที่นำนักวิทยาศาสตร์จาก Stockholm Resilience Centre ของมหาวิทยาลัยสตอกโฮล์ม ราชบัณฑิตสภาทางวิทยาศาสตร์ (Royal Academy of Sciences) ของประเทศสวีเดน และบริษัทอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดของโลก 10 บริษัท SeaBOS มีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีต่อการผลิตอาหารทะเลที่ยั่งยืนและความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทร

การประชุมปีนี้ของ SeaBOS มีไทยยูเนี่ยน และซีพีเอฟ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ภายใต้ชื่องานว่า Global Connectivity – Consolidating and Accelerating Change ผู้ร่วมประชุมตกลงที่จะสนับสนุนการเชื่อมโยงทางวิทยาศาสตร์และภาคอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มการผลิตอาหารทะเลที่ยั่งยืนและตรงตามความต้องการของผู้บริโภคที่มากขึ้น นอกจากนี้ ทุกคนยังตกลงที่จะเพิ่มความร่วมมือการต่อสู้กับการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และการบังคับใช้แรงงาน การปรับปรุงการตรวจสอบย้อนกลับของอาหารทะเล และการทำงานเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนการจัดการการทำประมง

สมาชิกของ SeaBOS ทุกคนได้มีการตั้งคณะทำงานชุดใหม่ด้านการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อจัดการผลกระทบสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของอุตสาหกรรมอาหารทะเล พร้อมกับการรับรู้ถึงประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพจากการรับประทานอาหารทะเลมากขึ้น ซึ่งขณะเดียวกันยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการผลิตอาหาร

ที่มา: newswit.com, 1/10/2562 

ยกระดับ อสม.เป็นหมอประจำบ้าน รุ่นแรก 8 หมื่นคน

นพ.ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมสบส.กำลังเร่งขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาและยกระดับ อสม.ให้เป็นหมอประจำบ้าน ให้สามารถดูแลสุขภาพของประชาชนในชุมชน โดยได้จัดทำหลักสูตร อสม.หมอประจำบ้าน เพื่อพัฒนาศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถของ อสม.ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารทางการแพทย์ให้ประชาชนทุกครัวเรือนสามารถเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึง ให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ลดความแออัด ลดความเหลื่อมล้ำ ไร้รอยต่อ ลดการรอคอย และลดค่าใช้จ่าย รวมถึงการให้ความรู้ด้านสมุนไพรและการใช้กัญชาทางการแพทย์ที่ถูกต้องแก่ประชาชน โดยหลักสูตรดังกล่าวจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือน ก.ย. 2562 นี้

สำหรับหลักสูตร อสม.หมอประจำบ้าน ประกอบด้วย 6 วิชา ได้แก่ 1.วิชา อสค.และบทบาท อสม.หมอประจำบ้าน 2.วิชาการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมไม่ให้เกิดโรคในพื้นที่ 3.วิชาส่งเสริมสุขภาพและแก้ไขปัญหาสุขภาพที่สำคัญ 4.วิชาภูมิปัญญาไทย สมุนไพร และการใช้กัญชาทางการแพทย์ 5.วิชาเทคโนโลยีการสื่อสารทางการแพทย์ โทรเวชกรรม และแอปพลิเคชั่นด้านสุขภาพ และ6.การเป็นผู้นำการสร้างสุขภาพแบบมีส่วนร่วม

นพ.ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า อสม.หมอประจำบ้าน ที่ผ่านการอบรมแล้วจะต้องมีหน้าที่ คือสนับสนุนให้มี อสค.ทุกครอบครัวทั้งในกลุ่มที่มีผู้ป่วย ติดบ้านติดเตียง กลุ่มภาวะพึ่งพิวและกลุ่มครบอครัวทั่วไปในละแวกบ้านของอสม. หมอประจำบ้าน เป็นพี่เลี้ยงให้ อสค.ดูแลสุขภาพ เฝ้าระวังไม่ให้เกิดโรคในพื้นที่ ลดโรคเรื้อรัง ปัญหาสุขภาพจิต อุบัติเหตุ ใช้เครื่องมือสื่อสารและเป็นการแกนในการดูแลสุขภาพ เพื่อมุ่งหวังให้ประชาชนมีสุขภาพดี แข็งแรง พึ่งพาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกรมจะทำการฝึกอบรมครู ก. จังหวัดละ 5 คน ครู.ข.อำเภอละ 2 คน เพื่อให้เป็นวิทยากรในการถ่ายทอดความรู้สู่ อสม. หลังจากนั้นจะเริ่มอบรม อสม. จำนวน 80,000 คน ใช้ระยะเวลาการอบรม 18 ชั่วโมง และมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานในทุก 6 เดือน

ที่มา: สำนักข่าวไทย, 29/9/2562 

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ชง สปสช.เปิดช่องให้ ‘คนมีศักยภาพ’ ร่วมจ่ายเพื่อออนท็อปสิทธิประโยชน์-การรักษา

$
0
0

รอง ผอ.วชิรพยาบาล ชื่นชม สปสช.จัดระบบกระจายผู้ป่วยดี ลดความแออัดโรงพยาบาล เสนอเปิดช่องให้ผู้ป่วยที่มีศักยภาพร่วมจ่ายเพื่อออนท็อปสิทธิประโยชน์ โอดอัตรา DRG ไม่พอ ส่งผลให้ รพ.เข้าเนื้อ

เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2562 ผศ.นพ.ยุทธพงศ์ วงษ์มหิศร รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เปิดเผยว่า ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) มีส่วนช่วยผู้ป่วยทั้งในแง่ความสะดวกและการเข้าถึงที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็ได้รับฟังข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ แล้วนำไปปรับแก้หรือปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ เห็นได้จากกรณีของการให้ถุงหน้าท้องสำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ หรือการกระจายคนไข้ เป็นต้น

ผศ.นพ.ยุทธพงศ์ กล่าวว่า คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล มีลักษณะเป็นโรงเรียนแพทย์ มีศักยภาพในการดูแลคนไข้ที่มีความซับซ้อนสูง แต่ที่ผ่านมามักจะมีคนไข้ปฐมภูมิเข้ามารับบริการค่อนข้างมาก ทำให้คนไข้ที่ซับซ้อนเสียโอกาสที่จะได้รับการดูแล ดังนั้นเมื่อมีโครงการร่วมกับ สปสช. ในการกระจายคนไข้กลับสู่สถานบริการปฐมภูมิพร้อมกับระบบในการส่งต่อที่ดี จะช่วยลดการคับคั่งของคนไข้ที่ไม่มีความจำเป็นต้องดูแลซับซ้อน เป็นกรณีที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยดี โดยประโยชน์ตกอยู่กับคนไข้ที่สามารถรับการดูแลใกล้บ้าน ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง อีกทั้งโรงพยาบาลที่สามารถดูแลคนไข้ซับซ้อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ ทางคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลมีความโดดเด่นในเรื่องของเวชศาสตร์เขตเมือง มีศักยภาพในการดูแลคนไข้ที่ซับซ้อนด้วยเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาเข้ามาดูแลเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยให้ผลการรักษาที่ดีขึ้น คนไข้ฟื้นตัวได้ไวขึ้น อย่างไรก็ตามแม้ในระบบของ สปสช. จะมีการพัฒนาเพื่อรองรับสิ่งเหล่านี้ แต่ก็อาจจะยังไม่ทันเพราะยังมีบางกรณีที่อยู่นอกสิทธิ ไม่ครอบคลุมคนไข้ ทำให้คนไข้ที่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์การรักษาหรือผ่าตัดที่มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้นที่ผ่านมาในบางครั้งทางโรงพยาบาลอาจต้องรับผิดชอบในส่วนนี้เพื่อผลการรักษาที่ดี

“หากเป็นไปได้ สปสช. น่าจะเปิดช่องทางเพื่อให้ครอบคลุมสิทธิต่าง ๆ เหล่านี้ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ หรือในกรณีที่มีงบประมาณจำกัด ก็น่าจะเปิดโอกาสให้คนไข้ที่มีศักยภาพหรือมีกำลัง สามารถที่จะร่วมจ่ายเพื่อให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุด หรือผลการรักษาที่ดีที่สุด ตามเทคโนโลยีที่มีการพัฒนามากขึ้น คนไข้ก็สามารถกลับไปทำงาน สร้างผลงานให้กับสังคมต่อได้ ส่วนโรงพยาบาลก็จะลดจำนวนการครองเตียงลง สามารถเปิดรับคนไข้ใหม่ๆ ที่รอการรักษาเพิ่มได้มากขึ้น” ผศ.นพ.ยุทธพงศ์ กล่าว

ผศ.นพ.ยุทธพงศ์ กล่าวว่า ปัจจุบันต้องยอมรับว่าค่าใช้จ่ายที่ สปสช. ให้มานั้นยังคงไม่เพียงพอ โดยเฉพาะงานผู้ป่วยใน (IPD) ในโรงเรียนแพทย์ที่มักจะต้องรับคนไข้ที่มีความซับซ้อน มีภาวะแทรกซ้อน มีความยากต่าง ๆ ซึ่งทำให้ใช้ทรัพยากรค่อนข้างเยอะตามไปด้วย แต่เมื่อระบบของ สปสช. จะจ่ายตามสรุปเวชระเบียน หรือ DRG เช่น ในช่วงต้นปีมีงบประมาณ 8,000 บาทต่อ DRG แต่เมื่อถึงปลายปีขอลดลงเหลือ 5,000-6,000 บาทต่อ DRG เท่ากับว่าจากที่คำนวณไว้ว่างบน่าจะพอ ความเป็นจริงกลับน้อยกว่านั้น

“สะท้อนให้เห็นว่าเงินที่ สปสช.ส่งมามันอาจไม่เพียงพอ ฉะนั้นต้องยอมรับว่า IPD โดยเฉพาะในโรงพยาบาลอย่างโรงเรียนแพทย์ที่มีความซับซ้อน มักจะเข้าเนื้อ คือเมื่อคำนวณแล้วส่วนใหญ่เรามักจะต้องจ่ายมากกว่าที่เราได้ และอีกเรื่องที่กลายเป็นปัญหาคือคนไข้ห้องฉุกเฉิน โดยเฉพาะคนไข้อายุรกรรม เมื่อมีจำนวนเตียงไม่เพียงพอที่จะรับเป็นคนไข้ใน ทำให้มีคนไข้คับคั่งอยู่ที่ห้องฉุกเฉินเป็นจำนวนมาก ซึ่งคิดว่าในโรงพยาบาลใหญ่ๆ น่าจะเป็นเหมือนกันหมด” ผศ.นพ.ยุทธพงศ์ กล่าว

ผศ.นพ.ยุทธพงศ์ ยังกล่าวว่า อีกหนึ่งปัญหาที่มีกับระบบ สปสช. คือเรื่องของการเบิกจ่ายคนไข้ในกลุ่มดังกล่าว ซึ่ง สปสช. กำหนดว่านอนมากกว่า 6 ชั่วโมงสามารถเบิกเป็นคนไข้ในได้ แต่ประเด็นคือการใช้หลักฐานเอกสารที่เป็นเวชระเบียนต่างๆ หากจะเบิกเงินให้ได้ตามระบบอาจต้องหาเจ้าหน้าที่มาดูแลเรื่องเอกสารมากขึ้น แทนที่จะสามารถไปดูแลคนไข้ให้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม ผศ.นพ.ยุทธพงศ์ ยืนยันว่า คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล ให้บริการกับผู้ป่วยผู้ป่วยในทุกสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งแยกว่าสิทธิใดมาก่อน สิทธิใดได้ช่องทางที่แตกต่าง แต่ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค หรืออาการของคนไข้ โดยถือว่าคนไข้ที่มารับบริการทุกคนคือคนไข้เท่ากัน

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ประธาน กสม. โต้ข่าวผู้พิพากษาอาวุโสอุทธรณ์ แจงตนไม่ได้ล้ำเส้นตุลาการ

$
0
0

เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2562 นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่าตามที่ปรากฏข่าวในสื่อมวลชนหลายฉบับว่า นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ เดือดตนที่ล้ำเส้นตุลาการ และซัดตนว่า สับสนข้อกฎหมาย หลังเเจ้ง ป.ป.ช. เอาผิดประธานศาลฎีกา

“พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 (พรป. กสม. ปี 2560) มาตรา 60 ประกอบ มาตรา 22 บัญญัติให้ประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดร่วมกันแต่งตั้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทำหน้าที่เป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นการชั่วคราว ดังนั้น ประธานศาลฎีกาจึงไม่มีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะดำเนินการหรือไม่ดำเนินการดังความเห็นของท่าน” นายวัส กล่าว

ประธาน กสม. กล่าวอีกว่าในการทำหน้าที่แต่งตั้งบุคคลมาทำหน้าที่เป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นการชั่วคราวนั้น เป็นหน้าที่และอำนาจที่กฎหมายบัญญัติให้ประธานศาลฎีกาปฏิบัติในฐานะเจ้าพนักงานเหมือนกับเจ้าพนักงานทั่วไป ประธานศาลฎีกาไม่ได้ใช้อำนาจตุลาการในการพิจารณาและพิพากษาคดีแต่อย่างใด เมื่อตนซึ่งเป็นผู้รักษาการตาม พรป. กสม. ปี 2560 เห็นว่า ประธานศาลฎีกาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงย่อมต้องร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป จะถือว่าเป็นการล่วงเกินประธานศาลฎีกาในฐานะประมุขของผู้ใช้อำนาจตุลาการดังความเห็นของนายศรีอัมพรไม่ได้

“การลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 3 ครั้ง รวม 4 คน เป็นเหตุผลส่วนตัวของกรรมการแต่ละคน ส่วนการลดสถานะของ กสม. ไทยในเครือข่ายระหว่างประเทศของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จาก  A เป็น B นั้น เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของ กสม. ชุดก่อนหน้านี้ ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานของ กสม. ชุดปัจจุบัน ซึ่งมีผลงานทั้งด้านส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ข้อเท็จจริงตามความเห็นของนายศรีอัมพรจึงยังคลาดเคลื่อนอยู่” นายวัส กล่าว

ประธาน กสม. กล่าวในที่สุดว่า ตนทำหน้าที่ประธาน กสม. เกี่ยวข้องกับการร่างและใช้กฎหมายฉบับนี้มาร่วม 4 ปี และสอนกฎหมายทั้งเอกชนและมหาชนมากว่า 20 ปี รวมทั้งเมื่อพิจารณาจากความเห็นทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงดังกล่าวมาเป็นลำดับแล้ว สาธารณชนย่อมสามารถสรุปได้ว่า ใครกันแน่ที่ไม่เข้าใจและสับสนในข้อกฎหมาย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ACT ออกแถลงการณ์ จี้ยกเลิกการใช้ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต

$
0
0

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ออกแถลงการณ์ สนับสนุนให้ยกเลิกการใช้ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต พร้อมเรียกร้องกระทรวงที่เกี่ยวข้องประกาศจุดยืนชัดเจน และขอให้เปิดเผยการลงมติของ “คณะกรรมการวัตถุอันตราย”ต่อสาธารณะ ชี้เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนทุกคน

เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2562 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ACT ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง ยกเลิกการใช้ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต โดยในแถลงการณ์ ระบุว่า องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ขอสนับสนุนให้รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า เห็นควรให้ยกเลิกการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายร้ายแรงทั้ง 3 ชนิดได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า รัฐบาลมิได้เพิกเฉยต่อชีวิตและสุขภาพของคนไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ขอเสนอแนวทางให้ดำเนินการเพิ่มเติม เพื่อความโปร่งใสและมิให้เกิดข้อกังวลใจของทุกฝ่าย 3 ข้อ ดังนี้ 1.ขอให้รัฐบาลได้พิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่อาจได้รับความเดือดร้อน หากยกเลิกการใช้ สารเคมีดังกล่าว 2.ขอให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องประกาศนโยบายในประเด็นนี้อย่างชัดเจน ให้ประชาชนและผู้แทนของกระทรวงที่ปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการวัตถุอันตรายได้รับทราบตรงกัน และ 3.ในการลงมติครั้งนี้ของ “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” ควรกระทำโดยเปิดเผยต่อสาธารณะ และในกรณีที่กรรมการท่านใดเห็นควรให้มีการใช้สารพิษเหล่านี้ต่อไป ก็ให้กรรมการผู้นั้นแสดงเหตุผลให้สังคมทราบ เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและสุขภาพของผู้คนอย่างรุนแรง จึงเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ประชาชนทุกคนจะได้รับรู้ความจริงที่เกิดขึ้น
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักวิจัยด้านน้ำ ผนึกกำลังกู้วิกฤตน้ำ ตั้งเป้า 3 ปี ใช้งานวิจัยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ-ลดการใช้น้ำลง 15 %

$
0
0

สำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยสำนักประสานงานวิจัยการจัดการน้ำเชิงยุทธศาสตร์ จัดการประชุมคณะนักวิจัยภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคมแผนงานการบริหารงานจัดการน้ำขึ้น เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2562 ที่ผ่านมา เป็นการรวมตัวของนักวิจัยด้านน้ำระดับประเทศเพื่อขับเคลื่อนเชื่อมโยงและพัฒนางานวิจัยกว่า 25 โครงการ สู่การบริหารจัดการน้ำของประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการดำเนินงานวิจัย ส่งต่อข้อมูลแผนงานวิจัยของภาคีเครือข่ายนักจัย เพื่อให้เกิดกระบวนการจัดการองค์ความรู้และสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายที่วางไว้ ภายใต้กรอบระยะเวลา 3 ปี คือ 1) ค่าเฉลี่ยการสูญเสียน้ำจากระบบส่งน้ำ (ในการภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือน) 2) ประสิทธิภาพการปล่อยน้ำต้นทุนจากเขื่อนในเขตพื้นที่ภาคกลางตอนบนใต้พื้นที่เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิตติ์เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 85 และ 3) อัตราการใช้น้ำคาดการณ์ในพื้นที่ EEC ลดลงร้อยละ 15 เทียบกับข้อมูลคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นในพื้นที่ EEC

งานนี้มีนักวิจัยด้านน้ำเข้าร่วมในการประชุมกว่า 50 คน โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 กลุ่มแผนงาน ประกอบด้วย แผนงานวิจัยกลุ่มที่ 1 พัฒนาการวางแผนน้ำในพื้นที่ EEC โครงการการบริหารและการประมวลผลการศึกษาโครงการวิจัยเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะสมดุลน้ำและมาตรการลดการใช้น้ำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หัวหน้าโครงการ รศ.ดร. บัญชา ขวัญยืน จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน , แผนงานวิจัยกลุ่มที่ 2 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำในพื้นที่ชลประทานภาคกลางตอนบน โครงการการเพิ่มประสิทธิภาพระบบปฎิบัติการบริหารจัดการน้ำเกษตรกรรมเพื่อลดปริมาณการใช้น้ำเกษตรกรรมและการใช้น้ำต้นทุนที่เหมาะสม หัวหน้าโครงการ ผศ.ดร. ภาณุวัฒน์ ปิ่นทอง จากศูนย์วิจัยวิศวกรรมน้ำและโครงสร้างพื้นฐาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และแผนงานวิจัยกลุ่มที่ 3 พัฒนาเทคโนโลยีและสนับสนุนด้านพฤติกรรมผู้ใช้น้ำ โครงการระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อการวางแผนงานการบริหารจัดการน้ำ โดย รศ.ดร.ทวนทัน กิจไพศาลสกุล ตัวแทนกลุ่มแผนงานฯ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รองศาสตราจารย์ ดร. สุจริต คูณธนกุลวงค์ ประธานคณะกรรมการอำนวยการแผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคมแผนงานการบริหารงานจัดการน้ำ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สำรวจข้อมูลด้านน้ำทั่วประเทศที่ผ่านมา พบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความต้องการรับรู้ข้อมูลและความเสี่ยงหรือผลกระทบที่จะได้รับจากภัยพิบัติโดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องน้ำอยู่แล้ว ตรงกับเรื่องที่แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead)ฯ กำลังขับเคลื่อนแผนงานด้านน้ำอยู่ในขณะนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนผู้ใช้น้ำทั่วประเทศผ่านงานวิจัยที่จะส่งต่อไปถึงมือกลุ่มผู้ใช้น้ำได้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยชุดนี้ ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ถือเป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของกลุ่มนักวิจัยด้านน้ำที่มีโอกาสร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผ่านงานวิจัยเป็นตัวตั้งและนำผลลัพธ์ ความคาดหวังของแต่ละโครงการมาร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันเพื่อไปสู่เป้าหมายร่วมกันคือ ลดค่าเฉลี่ยการใช้น้ำลงร้อยละ 15 และเพิ่มปริมาณแหล่งน้ำต้นทุนที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นร้อยละ 85 

รศ.ดร. บัญชา ขวัญยืน ในฐานะหัวหน้าโครงการแผนงานวิจัยกลุ่มที่ 1 พัฒนาการวางแผนน้ำในพื้นที่ EEC กล่าวว่า แผนงานวิจัยชุดนี้เน้นเรื่องของการประหยัดน้ำ และการทำประเมินความต้องการน้ำในอนาคตของกลุ่มพื้นที่ EEC โดยการดำเนินงานในปีแรก จะเน้นการค้นหาข้อมูลความต้องการการใช้น้ำของทุกภาคส่วนในพื้นที่ EEC เพิ่ม ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ภาคเกษตร และชุมชนเมือง โดยฉพาะความต้องการใช้น้ำในภาคการเกษตรเนื่องจากช่วงปี 2558 เป็นต้นมา พบว่าเกษตรกรหันมาปลูกทุเรียนมากขึ้น ซึ่งเป็นพืชที่ใช้น้ำมาก ทำให้มีการใช้น้ำสูงสุดถึง 52 เท่าจากปกติ ทำให้ข้อมูลที่มีอยู่เดิมไม่ตรงกับข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน หลังได้ข้อมูลความต้องการใช้น้ำครบทุกภาคส่วน ในปีที่สองจะเลือกพื้นที่เพื่อทำการทดลองและขยายผลสู่พื้นที่อื่น ๆ ในเขต EEC และนำไปสู่การจัดทำมาตรการลดการใช้น้ำอย่างเต็มรูปแบบในปีที่สามตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

 ด้าน รศ.ดร.ภานุวัฒน์ ปิ่นทอง หัวหน้าโครงการแผนงานวิจัยที่ 2 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำในพื้นที่ชลประทานภาคกลางตอนบน กล่าวว่า เมื่อพูดถึงสถานการณ์น้ำในอีก 20 ปีข้างหน้า การจะดึงให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมวางแผนอนาคตน้ำร่วมกันนั้น จำเป็นต้องทำให้ประชาชนมีความสุขกับการดำเนินชีวิต และเข้าใจรูปแบบวิธีการใช้น้ำอย่างประหยัดที่ถูกต้อง ด้วยการจัดทำแผนงานวิจัยที่มุ่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้น้ำของประชาชน เพื่อให้เห็นมุมมองใหม่จากการทำวิจัย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนประหยัดน้ำและใช้น้ำอย่างคุ้มค่า ด้วยการใช้เครื่องมือติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ให้น้ำตามความเป็นจริง

 ขณะที่ รศ.ดร.ทวนทัน กิจไพศาลสกุล ตัวแทนจากแผนงานวิจัยกลุ่มที่ 3 พัฒนาเทคโนโลยีและสนับสนุนด้านพฤติกรรมด้านน้ำ กล่าวว่า สำหรับแผนงานวิจัยนี้ เน้นการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อใช้ในการสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำให้บรรลุเป้าหมายคือ ลดการสูญเสียน้ำลงร้อยละ 15 และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำร้อยละ 85 โดยแผนงานวิจัยกลุ่มที่ 3 มีด้วยกัน 13 โครงการวิจัย แบ่งออกเป็น 4 ประเด็น ประเด็นแรกของการใช้เทคโนโลยีคือการสร้างระบบฐานข้อมูลที่ใช้ในการสื่อสารมีความถูกต้อง ครอบคลุม และทันสมัย ประเด็นที่ 2 การใช้โปรแกรมคำนวณที่มีความทันสมัยเพื่อพัฒนาและจำลองให้มีความถูกต้องมากขึ้น ประเด็นที่ 3 คือการติดตั้งเครื่องมือในการวัดข้อมูลแบบตามเวลาจริง ช่วยในการบริหารจัดการน้ำของผู้ใช้น้ำเป็นปัจจุบันที่สุด รวมทั้งมีการติดตั้งเครื่องมือเซ็นเซอร์ในการตรวจวัดข้อมูลน้ำตามพื้นที่ต่างๆ การวัดความชื้นในดิน ลม แสงแดด ปริมาณน้ำฝน และน้ำท่า เพื่อนำมาคำนวณความต้องการใช้น้ำที่ถูกต้อง เชื่อว่าในอนาคตจะสามารถช่วยลดปริมาณการใช้น้ำในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ 

และประเด็นที่ 4 คือการประยุกต์ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Machine Learning หรือระบบ Artificial Intelligence (AI) เพื่อหาวิธีการในการบริหารจัดการน้ำให้มีความเหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ยังมีการสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศในการนำเข้าเครื่องมือเทคโนโลยีสมัยใหม่และแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน โดยหวังว่าภายหลังจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศนี้จะเป็นแนวทางในการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพของประเทศไทยมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้ รศ.ดร. สุจริต ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการแผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคมแผนงานการบริหารงานจัดการน้ำ คาดหวังว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า หลังสิ้นสุดโครงการ จะสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากการพัฒนาแผนงานวิจัยทั้ง 25 โครงการดังกล่าว ไปสู่พื้นที่ต่างๆ เพื่อใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ทั้งภาคเกษตร กรมชลประทาน โรงงานอุตสาหกรรม นักวิชาการรวมถึงวิศวกร และประชาชนทั่วไปที่สนใจเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อนำไปปรับใช้ในพื้นที่ของตัวตนเองในอนาคต
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักวิชาการแรงงานเชื้อสายจีน มองการชุมนุมในฮ่องกงเป็นการต่อต้านทั้งอำนาจและความเหลื่อมล้ำ

$
0
0

สื่อเอียงซ้ายของสหรัฐฯ สัมภาษณ์นักวิเคราะห์การเมืองที่เติบโตในจีนถึงกรณีการที่เจ้าหน้าที่ทางการยกระดับใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมชาวฮ่องกงเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เวลาเดียวกับที่มีการเฉลิมฉลองวันครบรอบ 70 ปีจีนภายใต้คอมมิวนิสต์ โดยระบุว่าความรุนแรงที่เกิดในฮ่องกงอาจจะไม่ถูกยกระดับหนักเท่าการปราบปรามผู้ชุมนุมขนานใหญ่แบบเหตุการณ์ 'เทียนอันเหมิน' แต่การเพิ่มกองกำลังและการข่มขู๋คุกคามของทางการจีนก็น่าเป็นห่วง นอกจากนี้ยังบอกว่าการที่ชาวฮ่องกงชุมนุมนั้นมีสาเหตุในเรื่องความไม่พอใจต่อความเหลื่อมล้ำอย่างหนักที่เกิดขึ้นในสังคมด้วย


ที่มาภาพ: wikimedia.org

สื่อเดโมเครซีนาวรายงานว่า ประเทศจีนเพิ่งมีการเดินขบวนสวนสนามกองทัพครั้งใหญ่ที่สุดเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปี การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ ในขณะเดียวกันก็มีการยกระดับความรุนแรงของตำรวจในฮ่องกงที่มีการใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมเป็นครั้งแรกในการประท้วงต่อเนื่องรอบหลายเดือนที่ผ่านมา รวมถึงมีการจับกุมผู้ชุมนุมหลายคนและตั้งข้อหาจลาจลกับพวกเขา

มีการวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์นี้โดย เควิน ลิน ผู้ที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ประเด็นจีนจากองค์กรสภาสิทธิแรงงานนานาชาติ (International Labor Rights Forum: ILRF) เขาเป็นคนที่เกิดและเติบโตในจีน เคยทำงานวิจัยเกี่ยวกับขบวนการเคลื่อนไหวด้านแรงงานและภาคประชาสังคมจีนโดยที่เคยเขียนบทความเกี่ยวกับการประท้วงในฮ่องกงไว้ในสื่อฝ่ายซ้าย

ลินให้สัมภาษณ์ต่อสื่อเดโมเครซีนาวระบุว่ากรณีการยิงผู้ชุมนุมด้วยกระสุนจริงล่าสุดนั้นถือเป็นการยกระดับความรุนแรงครั้งใหญ่ของตำรวจ โดยที่ผ่านๆ มาตำรวจจีนก็เพิ่มความรุนแรงโดยใช้กำลังเชิงบีบคั้นผู้ชุมนุมมากขึ้นเรื่อยๆ มีการใช้ทั้งวิธีการจับกุมโดยพลการ ทุบตีทำร้าย และทารุณผู้ประท้วงในที่คุมขัง

อย่างไรก็ตามลินมองว่าการปราบปรามของทางการจีนจะไม่ยกระดับรุนแรงไปถึงขั้นเหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมินแบบที่ผู้คนหวาดกลัวกันเพราะจะทำให้เกิดการสูญเสียอย่างมากรวมถึงมีโอกาสทำให้ฮ่องกงสูญเสียสถานะความเป็นพื้นที่กึ่งอิสระจากจีนและสูญเสียเสรีภาพทางการเมือง อย่างไรก็ตามการเพิ่มกองกำลังของจีนและการข่มขู่คุกคามก็น่าเป็นห่วง

ทั้งนี้ลินยังพูดถึงเรื่องสงครามข้อมูลข่าวสารจากทางการจีนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งจีนแผ่นดินใหญ่พยายามควบคุมเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฮ่องกง การรายงานข่าวอย่างอิสระในฮ่องกงนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย มีสื่อที่ผู้ชมรับชมได้แหล่งเดียวเท่านั้นคือสื่อของรัฐบาลซึ่งสื่อรัฐบาลก็ไม่ให้ข้อมูลใดๆ ต่อเรื่องบริบทหรือสาเหตุของการชุมนุมเลย นั่นทำให้มีบรรยากาศชาตินิยมมากขึ้นในหมู่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่และทำให้พวกเขามีความเป็นปฏิปักษ์ต่อการประท้วงในฮ่องกง

ลินบอกว่าถึงแม้จะมีความกังวลเรื่องอิทธิพลของสหรัฐฯ และอังกฤษ หรือเรื่องการต่อต้านการปฏิวัติซึ่งเป็นความกังวลที่เขามองว่า "ชอบธรรม" แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าขบวนการประท้วงในฮ่องกงเองถือเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมของประชาชนหมู่มากที่มีความชอบธรรมอย่างมาก และถึงแม้จะพยายามขอการสนับสนุนจากชาติตะวันตกแต่การเคลื่อนไหวของชาวฮ่องกงก็มีพลวัติทางการเมืองและพัฒนาการในตัวมันเอง

ในเรื่องต่อมาที่ลินให้สัมภาษณ์ต่อเอมี กู้ดแมน พิธีกรรายการข่าวของเดโมเครซีนาวคือเรื่องอิทธิพลของสีจิ้นผิงผู้นำคนปัจจุบันของจีน โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าสีจิ้นผิงเป็นที่นิยมเพราะเรื่องการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน แต่ลินก็บอกว่าเรื่องนี้ถูกแค่ส่วนเดียว ลินวิเคราะห์ว่าที่่สีจิ้นผิงได้รับความนิยมในจีนแผ่นดินใหญ่เป็นเพราะสไตล์ของเขาและการตอกย้ำเรื่องการพยายามทำให้จีนส่งอิทธิพลต่อทั้งภายในภูมิภาคและต่อโลก

ชาวฮ่องกงประท้วงเพราะต้องการต่อต้านความไม่เท่าเทียม

การประท้วงในฮ่องกงส่งผลให้เกิดการถกเถียงในหมู่ฝ่ายซ้ายโลกตะวันตกที่ฝ่ายซ้ายอำนาจนิยมบางส่วนมักจะกล่าวหาว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเป็นพวกกลุ่มที่ต้องการต่อต้านการปฏิวัติคอมมิวนิสต์และเป็นลิ่วล้อคนรวย ขณะที่ฝ่ายซ้ายโลกตะวันตกสายเสรีนิยมจะสนับสนุนผู้ชุมนุมมากกว่า

อย่างไรก็ตามจากคำสัมภาษณ์ลิน เขาบอกว่าสาเหตุที่ชาวฮ่องกงประท้วงเพราะต้องการต่อต้านความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นอย่างหนักในระบบปัจจุบัน บวกกับปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเช่นการที่คนรุ่นเยาว์ไม่มีทุนทรัพย์มากพอในการเป็นเจ้าของบ้านเรือนหรือที่อยู่อาศัยของตนเอง อนาคตเกี่ยวกับหน้าที่การงานดูมืดมน ลินเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่งอิทธิพลให้เกิดการประท้วงในฮ่องกง

ฮ่องกงในฐานะที่เคยอยู่ภายใต้อาณานิคมอังกฤษมาหลายร้อยปีถูกจัดวางให้เป็นท่าเรือพาณิชย์และเป็นศูนย์กลางการเงินในเวลาต่อมา เรื่องนี้ส่งผลให้กลุ่มทุนการเงินและผู้เป็นเจ้าของที่ดินมีอำนาจมากมายมหาศาล ทำให้ฮ่องกงมี "ความเหลื่อมล้ำสูงสุดในลักษณะเฉพาะตัว" ซึ่งจากการสำรวจของอ็อกแฟมระบุว่าฮ่องกงมีระดับความเหลื่อมล้ำสูงสุดในรอบ 45 ปีที่ผ่านมา

อีกข้อโต้แย้งหนึ่งที่ซ้ายอำนาจนิยมในตะวันตกมักจะอ้างต่อต้านผู้ชุมนุมฮ่องกง คือการที่มีผู้ชุมนุมบางส่วนถือธงชาติสหรัฐฯ และธงอาณานิคมอังกฤษ ทำให้มีการกล่าวหาว่าพวกเขารับอิทธิพลตะวันตก ลินกล่าวถึงเรื่องนี้ว่าจริงอยู่ที่มีคนบางกลุ่มในกลุ่มผู้ประท้วงที่หลากหลายที่ต้องการการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และอังกฤษ แต่ในระยะยาวแล้วการขอการสนับสนุนแบบนี้จะไม่ทำให้เกิดความก้าวหน้า อย่างไรก็ตามเขาก็เข้าใจว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไร้หนทางอื่นในการจะต่อกรกับรัฐบาลจีนและฮ่องกงที่ร่วมมือกันแล้วมีอำนาจมาก

กระนั้นการที่อ้างว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้รับอิทธิพลจากตะวันตกก็ไม่เป็นความจริง เพราะถึงแม้จะมีการที่ทูตประเทศตะวันตกเข้าพบแกนนำเยาวชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยบางคน แต่คนเหล่านั้นก็เป็นแกนนำตั้งแต่สมัยขบวนการร่มปี 2557 พวกเขาไม่มีส่วนในการเคลื่อนขบวนใดๆ ในการประท้วงปัจจุบัน แค่สนับสนุนการประท้วงนี้เท่านั้น

นอกจากนี้ลินยังชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลจีนเริ่มมีการกดขี่ข่มเหงนักเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองมากขึ้นหลังจากที่สีจิ้นผิงเข้ามาเป็นผู้นำตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน มีกลุ่มการเคลื่อนไหวหลายประเด็นที่ถูกปราบปรามไม่ว่าจะเป็น กลุ่มแรงงาน กลุ่มสตรีนิยม กลุ่มคนที่ต่อต้านการเหยียดอัตลักษณ์ ทนายความสิทธิมนุษยชน กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านเสรีภาพทางศาสนา มีการข่มเหงปราบปรามกลุ่มคนเหล่านี้ในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งทำให้ชาวฮ่องกงกลัวว่าการข่มเหงปราบปรามเหล่านี้จะแผ่ขยายมาถึงฮ่องกงด้วย

เรื่องนี้ทำให้ผู้คนแปลกใจที่ทำไมชาวฮ่องกงถึงออกมาเคลื่อนไหวมหาศาลขนาดนี้เพราะผู้คนมักจะมองว่าฮ่องกงโดยเฉพาะคนรุ่นเยาวเป็นคนที่ไม่สนใจการเมืองแต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันไม่จริง มันแสดงให้เห็นว่าผู้คนในฮ่องกงมีส่วนร่วมอย่างมากในการพยายามต่อต้านปฏิบัติการของรัฐบาลจีนที่ไร้ความชอบธรรมออกไป

เรียบเรียงจาก
Hong Kong Youth Face Military Crackdown While Fighting “One of the Most Unequal Societies Anywhere”, Democracy Now!, 02-10-2019
https://www.democracynow.org/2019/10/2/hong_kong_protests_chinese_militarization

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

คดีที่ผู้พิพากษายะลายิงตัวเอง พบ 'ศรีวราห์' เคยลงไปแถลงจับกุมปี61 - กอ.รมน.ยันไม่เคยแทรกแซง

$
0
0

ตรวจสอบคดีที่ผู้พิพากษาศาลจังหวัดยะลายิงตัวเองหลังอ่านคำพิพากษายกฟ้อง พบเมื่อปี 61 พล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้รับมอบจาก พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ ผบ.ตร. ให้ลงไปติดตามความคืบหน้าด้วยตัวเอง ชี้คดีเป็นเหตุความขัดแย้งส่วนตัวในเรื่องยาเสพติด กลุ่มคนร้ายได้อาศัยกลุ่มผู้ก่อเหตุในคดีความมั่นคงลงมือ ด้าน ฝ่ายความมั่นคง ยันไม่เคยแทรกแซง ก้าวก่าย เปิดคำแถลงผู้พิพากษาคณากร ก่อนยิงตัวเอง ชี้หลักฐานเกิดมีขึ้นในขณะที่จำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศูนย์ซักถามเป็นเวลานานในฐานะผู้ต้องสงสัย

5 ต.ค.2562  จากกรณี คณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นศาลจังหวัดยะลา ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงตัวเองภายในห้องพิจารณาคดีชั้น 3 อาคารสำนักงานศาลจังหวัดยะลาได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายหลังขึ้นบัลลังก์พิพากษายกฟ้อง 5 คน เมื่อวานนี้(4 ต.ค.62)นั้น

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 ส.ค.2561 พบสื่อหลายสำนัก เช่น INN 77 ข่าวเด็ด และผู้จัดการออนไลน์เป็นต้น รายงานว่า ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ อ.เมือง จ.ยะลา พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.มนู เมฆหมอก ผู้ช่วย ผบ.ตร. และคณะ ได้เดินทางมาติดตามความคืบหน้าคดีสำคัญในพื้นที่ จ.ยะลา สำหรับคดีในพื้นที่จังหวัดยะลา กรณีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงชาวบ้าน ที่ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เป็นเหตุให้มีชาวบ้านเสียชีวิต 5 ศพ ซึ่งคดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2547 และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ได้ติดตามจับกุมตัว ได้ 5 ราย ประกอบด้วย สาแปอิง อายุ 39 ปี อับดุลเลาะ อายุ 30 ปี แวอาแซ อายุ 34 ปี มัสสัน อายุ 29 ปี และ ซูกรี อายุ 33 ปี ทั้งหมดเป็นราษฏรอำเภอบันนังสตา จ.ยะลา รวม 5 คน โดยได้ตั้งข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันเป็นซ่องโจรมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยผิดกฎหมาย” โดยในวันดังกล่าวได้มีพยานปากเอกที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้มาชี้ตัวผู้ต้องหาทั้งหมดด้วย

ซึ่งการลงพื้นที่ของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ นั้นมาจากการสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อตรวจติดตามความคืบหน้าของการดำเนินคดีต่อกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ ทั้งที่ จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส โดยคดีดังกล่าวได้สร้างความสะเทือนขวัญต่อความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่

โดยทั้ง 5 คนถูกดำเนินการตามหมายศาลคดีอาญา ที่ 88/2561 ลงวันที่ 11 มิ.ย.61 และทางเจ้าหน้าที่ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2547 และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ติดตามจับกุม และเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาควบคุมตัวไว้ จำนวน 5 ราย เพื่อซักถามที่ศูนย์พิทักษ์สันติ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า

ในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุนหรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ อั้งยี่ซ่องโจร นำเข้ามา ทำ มี ใช้ ซึ่งวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย มีเครื่องวิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต

พล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้เปิดเผยในวันนั้น (3 ส.ค.61)ว่า การดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับของศาล เป็นไปตามขั้นตอน และกระบวนการตามกฎหมาย โดยคดีในพื้นที่ จ.ยะลา ที่มีเหตุกราดยิงชาวบ้านเสียชีวิต จำนวน 5 ราย จากการสอบสวนสืบสวนแล้วพบว่า เป็นเหตุความขัดแย้งส่วนตัวในเรื่องยาเสพติด โดยกลุ่มคนร้ายได้อาศัยกลุ่มผู้ก่อเหตุในคดีความมั่นคงลงมือก่อเหตุในคดีดังกล่าวด้วย

ขณะที่เหตุกราดยิงชาวบ้านร่อนทองที่ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส นั้น มีความชัดเจนว่าเป็นการก่อเหตุของกลุ่มคนร้าย หรือกลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบ โดยเชื่อว่ากลุ่มผู้เสียชีวิตได้ไปพบเจอกลุ่มคนร้าย จนทำให้กลุ่มคนร้ายต้องลงมือก่อเหตุดังกล่าว ในส่วนของคดีการลักลอบขนวัตถุระเบิด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมไว้ได้นั้น ยืนยันว่า ระเบิดดังกล่าวมีการใช้ก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีการประสานขอความร่วมมือไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อติดตามแหล่งที่มาต่อไปแล้ว

ฝ่ายความมั่นคง ยันไม่เคยแทรกแซง ก้าวก่าย

ล่าสุดวันนี้ วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร โพสต์ข้อความรายงานข่าวทางเฟสบุ๊ค Wassana Nanuamว่า พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวถึง กระแสสังคม จับจ้องมาที่ฝ่ายทหารฝ่ายความมั่นคงหลังจาก คณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษายะลา ยิงตัวเองในศาลหลังโพสต์ ขอคืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา และคืนความยุติธรรมให้ประชาชน ว่า คดีนี้ เป็นคดีสำคัญ แต่ไม่ใช่คดีความมั่นคง เหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงราษฎรมุสลิมเสียชีวิตจำนวน 5 ราย ในพื้นที่ ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อ 11 มิ.ย.2561 โดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องมีจำเลย 5 คน

ศาลชั้นต้นจังหวัดยะลา พิพากษาให้ ยกฟ้อง จำเลยทั้ง 5 ราย เนื่องจากพยานและหลักฐานไม่เพียงพอให้เชื่อได้ว่า จำเลยทั้ง 5 ราย กระทำความผิดจริงตามฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยระหว่างอุทธธรณ์

พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ฝ่ายทหาร ไม่เคยมีใครเข้าไปก้าวก่ายในกระบวนการยุติธรรม การสั่งฟ้องหรือไม่. ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและดุลยพินิจของศาล มีการยกฟ้องคดีตั้งมากมาย ก็ไม่เคยปรากฏว่าผู้พิพากษาจะถูกย้าย หรือถูกปลด ไล่ออก และคงไม่มีใคร ที่จะมีอำนาจทำเช่นนั้นได้ อำนาจฝ่ายทหาร ฝ่ายบริหาร ไม่สามารถเข้าแทรกแซงหรือก้าวก่ายอำนาจฝ่ายตุลาการได้ ที่ผ่านๆ มาได้เคยมีคำพิพากษายกฟ้องคดีความมั่นคงมากมาย ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทุกคนเข้าใจดีว่า การใช้ดุลยพินิจ ต้องยึดมั่นพยานหลักฐานที่ทำให้ศาลเชื่อได้ว่าจำเลยได้ทำความผิดจริง

ชี้หลักฐานเกิดมีขึ้นในขณะที่จำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศูนย์ซักถามเป็นเวลานาน

ทั้งนี้ คณากร ได้ระบุตอนหนึ่งเกี่ยวกับการนำผู้ต้องหาไปควบคุมในศูนย์ซักถามเป็นเป็นเวลานาน ไว้ในคำแถลงด้วยว่า  "...คดีนี้ไม่ใช่คดีความมั่นคง ไม่ใช่คดีก่อการร้าย โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยทั้งห้าว่ากระทำความผิดฐานก่อการร้ายหรือความผิดต่อความมั่นคง แต่พยานหลักฐานทั้งหมดกลับเกิดจากหรือเกิดมีขึ้นในขณะที่จำเลยทั้งห้าถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศูนย์ซักถามเป็นเวลานานในฐานะผู้ต้องสงสัย ตามกฎหมายพิเศษคือกฎอัยการศึก..." 

บางส่วนของคำแถลง

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ใบตองแห้ง: ปลุก 6 ตุลาค้ำตู่

$
0
0

43 ปี 6 ตุลา “ขวาพิฆาตซ้าย” “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” มาพร้อมกับทีวีไทยถ่ายทอดสดพิธีฉลอง 70 ปีวันชาติจีน ซึ่งความจริงก็คือวัน “ปลดแอก” วันพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะ แต่วันนี้ “ขวาไทย” กลับยกจีนเป็นแบบอย่าง ระบอบพรรคเดียวทำให้ประเทศเจริญ

เออนะ ทำไมตอนนั้นไม่ยักเชียร์ให้พรรคคอมมิวนิสต์ไทยชนะ เผื่อจะเจริญก้าวหน้ากว่านี้เยอะ ทำไมกลับมาเชียร์จีนเพื่อค้ำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ชนชั้นนำรัฐราชการ ซึ่งเทียบกันแล้ว ล้าหลัง ด้อยประสิทธิภาพ ฉลาดน้อยกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนหลายพันเท่า

อย่างน้อย สี จิ้นผิงก็ไม่เคยดูถูกประชาชน ว่าไม่รู้จักใช้เน็ตหาความรู้ เอาแต่แบมือขอเงิน น้ำท่วมก็ไม่ย้ายไปอยู่ห้องแอร์ ชอบอยู่บนถนน รอคนมาเยี่ยม

เผด็จการไทยและสมุนคว้าทุกอย่างที่อ้างได้ เคยปลุกผีคอมมิวนิสต์ วันนี้กลับยกย่องจีน แล้ววกมาด่าม็อบฮ่องกง ด่าประชาธิปไตยตะวันตก แต่ซื้ออาวุธอเมริกา แบบเดียวกับเคยต้านประชานิยม ทุนสามานย์ แต่วันนี้บอกการเมืองต้องสงบ เดี๋ยวกระทบการกระตุ้นบริโภคนิยม

ขณะเดียวกันก็มีด้านที่ไม่เคยเปลี่ยน คือการอ้างสถาบัน ตั้งข้อหา “ล้มเจ้า”บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ทำลายชาติ ขายชาติ วัฒนธรรมความเป็นไทย หรืออีกนัยหนึ่งคือผูกขาดว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะมั่นคงอยู่ได้ด้วยระบอบเผด็จการ ระบอบสืบทอดอำนาจ รัฐทหารรัฐราชการเป็นใหญ่เท่านั้น

ปล่อยให้เป็นประชาธิปไตย ปล่อยให้อำนาจมาจากการเลือกตั้ง ปล่อยให้มีความคิดใหม่ มีคนรุ่นใหม่ที่คิดต่างเกิดขึ้นไม่ได้ จะทำลายสถาบันสำคัญ ต้องทำลายพวกมันก่อน เป็นเช่นนี้ 43 ปีไม่เคยเปลี่ยน หรือ 87 ปีไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเช่นไร

ทั้งที่ความขัดแย้งวันนี้เป็นเรื่องระหว่าง “ระบอบประยุทธ์” กับระบอบประชาธิปไตย ก็ยังบิดเบือนกันได้ ระบอบที่ใช้ปืนใช้รถถังยึดอำนาจ ออกคำสั่งเป็นกฎหมาย ร่างรัฐธรรมนูญเอง บีบให้ประชาชนลงประชามติภายใต้อำนาจเผด็จการ โดยไม่มีตัวเลือก กำหนดกติกาเอง ตั้งองค์กรอิสระผ่าน สนช.ที่ตั้งเอง ลงเลือกตั้งเอง โดยไม่ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ใหญ่คับเหนือรัฐ กวาดต้อนนักการเมืองมาเข้าพรรค ได้แค่ 8.4 ล้านเสียง ก็ยังตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตให้ตัวเองเป็นนายกฯ

ระบอบนี้ไม่ต้องใช้มาตรฐานประชาธิปไตยวัด แค่ใช้จรรยามารยาทที่บรรพบุรุษไทยสั่งสอนมา ก็บอกได้ว่ายังมียางอยู่หรือไม่ แล้วระบอบนี้หรือ ที่ใช้อ้างว่าจะปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

แต่พอจะแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งไร้ความชอบธรรม ก็มีสื่อ “ดาวสยาม” จ้องบิดเบือนตั้งข้อหาปลุกความเกลียดชัง เช่น โฆษกพรรคอนาคตใหม่กล่าวว่า “รัฐธรรมนูญเฮงซวยทุกมาตรา” แม้อาจติงได้ว่าใช้ถ้อยคำไม่รัดกุม แต่ทุกคนก็รู้ว่าเวลาพูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่มีใครแตะต้องหมวดพระมหากษัตริย์ “รัฐธรรมนูญ” ในความหมายทางการเมือง จึงตัดหมวด 2 ออกจากความคิดโดยอัตโนมัติ

แต่คนมันจ้องจับผิดเสียอย่าง แบบเดียวกับนักวิชาการกล่าวถึงปัญหาภาคใต้ว่า หากจะแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 1 ด้วยก็ไม่แปลกอะไร ซึ่งหมายถึงแก้ความเป็นรัฐเดี่ยวให้มีเขตปกครองตนเองได้ หากทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าจะทำให้เกิดความสงบ แต่กลับถูกบิดเบนว่าต้องการล้มราชอาณาจักร!

อันที่จริงการปลุก 6 ตุลา รุนแรงมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ “ชนะเลือกตั้ง” ได้คะแนนนิยมถล่มทลายเกินความคาดหมาย แม้แต่ในเขตเพื่อไทย เพราะนอกจากคนเคยเลือกพรรคเพื่อไทยบางส่วน ยังได้คนรุ่นใหม่ และคนที่เปลี่ยนใจจากพรรคอนุรักษนิยม

พูดอีกอย่างคือกระแสไม่เอาประยุทธ์ และต้องการสิ่งใหม่ ทำให้อนาคตใหม่พุ่งขึ้นมา ทำให้เครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยมตื่นตระหนก ปลุกความเกลียดชัง “ความคิดอันตราย” หรือบางพวกก็เสไปอ้างจริยธรรม เรื่องถือหุ้นนิตยสารที่ปิดไปแล้ว เรื่องให้กู้พรรค เรื่องไม่ทำบลายด์ทรัสต์ ขณะที่เพิกเฉยต่ออำนาจไร้ยางอาย

พูดโดยธรรมชาติสังคม คนรุ่นใหม่แต่ละยุคสมัย ย่อมมีความคิดแตกต่างหลากหลาย หลากมุมมองต่อสิ่งเดิม แต่ไม่ได้แปลว่าจะนำไปสู่การทำลาย ที่สุดก็ปรับตัวอยู่ร่วมได้

ระบอบประยุทธ์ต่างหาก ที่เป็นเป้า ไม่สามารถอยู่ร่วมกับสังคมประชาธิปไตย กับกระแสคนรุ่นใหม่ ที่กำลังทะลักทลาย กระแสคนไม่พอใจ แบบไลฟ์สดโอ่ผลงาน มีแต่คนกดโกรธล้นไปหมด

การย้อนยุคปลุกความเกลียดชังแบบ 6 ตุลา แน่ละ ไม่ได้หวังให้เกิดการเข่นฆ่าเพื่อรัฐประหาร เพราะนี่เป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจ แต่หวังสร้างกระแสเกลียดชังเพื่อยับยั้งพลังประชาธิปไตย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่นหากเกิดการรุมทำร้าย อย่างที่เกิดกับจ่านิว ก็จะอ้างได้ว่าแก้รัฐธรรมนูญทำให้บ้านเมืองแตกแยก รวมไปถึงปลุกเพื่อทำลายธนาธร พรรคอนาคตใหม่

อย่างไรก็ดี อุปสรรคสำคัญคือ ปลุกอย่างไร คนเบื่อระบอบประยุทธ์ก็ยังมากกว่า มากขึ้นๆ โดยไม่ต้องปลุกเลยด้วยซ้ำ

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน:ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_2943427

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สมาคมพิทักษ์ รธน. เรียกร้องให้ศาลยุติธรรมคลี่ปมเบื้องหลังกรณีผู้พิพากษายิงตัวเอง

$
0
0


คณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นศาลจังหวัดยะลา (แฟ้มภาพ)

5 ต.ค. 2562 สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์เรื่อง 'ขอเรียกร้องให้ศาลยุติธรรมคลี่ปมเบื้องหลังกรณีผู้พิพากษายิงตัวเอง' โดยระบุว่าตามที่ปรากฏเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2562 ที่ผ่านมาว่านายคณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดยะลา ได้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองบนบัลลังก์ศาล พร้อมกับมีการเผยแพร่ข้อความในเฟสบุ๊คส่วนตัว และคำแถลงความเพื่อฟ้องสาธารณชนว่า ตนถูกกดดันจากผู้บังคับบัญชา ให้เปลี่ยนคำตัดสินคดีสำคัญคดีหนึ่ง จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันของสังคมไทยในขณะนี้นั้น

การกระทำดังกล่าวอาจไม่เคยมีปรากฎในกระบวนการพิพากษาอรรถคดีต่างๆในองค์กรตุลาการของไทยมาก่อน อันอาจเนื่องมาจากสังคมไทยให้ความยำเกรงและเคารพในความเที่ยงตรงของศาลสถิตย์ยุติธรรมมาอย่างยาวนาน แม้ข้อเท็จและข้อจริงอาจจะไม่สามารถไปด้วยกันได้ก็ตาม

คดีที่ผู้พิพากษายะลายิงตัวเอง พบ 'ศรีวราห์' เคยลงไปแถลงจับกุมปี 61 - กอ.รมน.ยันไม่เคยแทรกแซง
เปิดคำแถลงของผู้พิพากษา จ.ยะลา ก่อนก่อเหตุยิงตัวเอง ขออย่าแทรกแซงและความเป็นธรรมทางการเงิน
ศาลยะลา : 'ผู้พิพากษา' ยิงตัวเองสาหัส หลังลงจากบัลลังก์ พิจารณาคดี

แต่บัดนี้เสียงกระสุนปืน 1 นัดที่ศาลจังหวัดยะลา ได้ปลุกให้สังคมไทยหันมาเพ่งมองระบบการพิจารณาอรรถคดีต่างๆในกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างมีข้อสงสัยว่าสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2560 ม.188 วรรคสอง ที่ว่า “ผู้พิพากษาและตุลาการย่อมมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง” หรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุที่เกิดขึ้นที่ศาลจังหวัดยะลานั้น สะท้อนความจริงอีกมุมหนึ่งว่าผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีจริงหรือ หรือกระบวนการยุติธรรมสามารถเปลี่ยนแปลงหลักกฎหมายและคำพิพากษาได้ หากผู้บังคับบัญชาของศาล นักการเมือง และผู้มีบารมีชี้ธงให้ศาลพิพากษาตามที่ตนต้องการ ใช่หรือไม่ ? เมื่อข้อสรุปในคำแถลงของท่านคณากร เพียรชนะ ได้ระบุไว้ชัดว่าต้องส่งคำตัดสินคดีให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงกว่าคนหนึ่งพิจารณา ซึ่งตนยกฟ้องจำเลยทั้ง 5 คน แต่ภายหลังกลับมีบันทึกส่งมาให้ตนเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา แต่ถ้าหากไม่ทำ ก็ให้ทำหนังสือส่งไปอธิบายว่าทำไมถึงไม่ทำ

ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงใคร่ขอเรียกร้องไปยังฝ่ายนิติบัญญัติ คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และคณะรัฐมนตรี เพื่อเร่งรีบตั้งเรื่องเพื่อดำเนินการตามข้อเรียกร้องของท่านคณากร เพียรชนะ คือ 1)ให้ออกกฎหมายห้ามแทรกแซงการพิพากษา และห้ามให้มีการตรวจคำพิพากษาก่อนอ่านให้คู่ความฟัง และ 2)ให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ให้ความเป็นธรรมทางการเงินแก่ผู้พิพากษาทั่วประเทศ ส่วนท่านประธานศาลฎีกาและหรือสำนักงานศาลยุติธรรม ควรเร่งตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบและลงโทษเอากับผู้ที่มีพฤติการณ์แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและคำพิพากษาในกรณีดังกล่าวและสั่งให้มีการตรวจสอบ รื้อฟื้นคดีต่าง ๆ ที่สังคมมีข้อสงสัยว่ามีคำพิพากษาที่อาจขัดต่อหลักกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในหลาย ๆ อรรถคดีทั่วประเทศ ให้สมกับม๊อตโต้ของท่านคณากรที่ได้ฝากทิ้งท้ายถึงประชาชนคนไทยที่รักความยุติธรรมทุกคนว่า "คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน"

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: เรามาถึงวันนี้...กันอย่างไร?

$
0
0

เมื่อระบบความ“ยุติธรรม” โดนทำลาย

กำหนดได้ ซ้าย-ขวา น่าผิดหวัง

มีอำนาจนอกระบบ ทรงพลัง

สามารถสั่ง “พิพากษา” ได้ตามใจ

เมื่อกฎหมาย กติกา ที่บังคับ

ถูกใช้กับ เฉพาะ คนชั้นไพร่

แล้วสั่งชี้ให้คดี ออกอย่างไร?

“พิพากษา” สิ้นไร้ “ยุติธรรม”

“เราทำไม ปล่อยให้มาถึงวันนี้”

เป็นวันที่ “ตุลาการ” ช่างตกต่ำ

ผู้“พิพากษา” ต้องลุกทวงความชอบธรรม

ถูกแทรงแซงครอบงำ ช้ำชอกใจ

“ร่วมคืนคำพิพากษา ให้กับศาล

คืนความยุติธรรมให้ชาวบ้าน” ได้เลื่อมใส

ก่อนที่“ฟางเส้นสุดท้าย” จะขาดไป

เมื่อคนไทย ลุกทวงถาม ความ“ยุติธรรม”

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: เพลงศพ

$
0
0

หาแพะสักฝูงเอามาเลี้ยง
ปักเสาเอียงๆสร้างคฤหาสน์
เปลี่ยนนิยามความหมายคำว่า”ชาติ”
เอาความจริงใส่กระจาดลดราคา

ดวงอาทิตย์หยุดส่องแสงวันอาทิตย์
ดวงจันทร์พอวันทร์ก็สิ้นค่า
ดวงตามีไว้เพื่อหลั่งน้ำตา
สิ่งอันเป็นธรรมดาตายหมดแล้ว

ต้นไม้ไม่ให้เงาแก่มดปลวก
สัตว์ทั้งหลาย ล้า ร้อน ลวก หายใจแผ่ว
เข้าแถวเป็นหมวดหมู่เดินตามแนว
มุ่งหุบเหวแก้วมณีแร้วหลุมพราง

โดดลงไปทีละคนทีละคน
ร่วงหล่นไปทีละร่างทีละร่าง
เมื่อมีเท้าแล้วไม่เดินเพื่อสร้างทาง
ก็จงสร้างหลุมฝังมาตุภูมิและตัวเอง

ทีละคนทีละคนทีละคน
ทีละหล่นทีละกล้าทีละเก่ง
ทีละเสียงทีละโน้ตที่บรรเลง
กลายเป็นเพลงกล่อมศพเสนาะล้ำ 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ย้ำจุดยืนต้องแก้รัฐธรรมนูญ

$
0
0

'จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์' หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ย้ำจุดยืนต้องแก้ รธน. เชื่อ 'ประยุทธ์' ไม่ขัดข้องเพราะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรค ไม่ออกความเห็นฝ่านค้านถูกแจ้งจับจัดเวทีแก้ รธน. ด้าน 'ชลน่าน' ระบุฝ่ายค้านไม่ต้องการแก้ รธน.มาตรา 1-2 ซึ่งเป็นข้อห้ามแก้ไม่ได้อยู่แล้ว


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (แฟ้มภาพ)

5 ต.ค. 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงจุดยืนการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า พรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนตั้งแต่แรกที่ไม่รับการทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเข้าร่วมรัฐบาล จึงผลักดันให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งใน 12 นโยบายเร่งด่วน และยังเป็นผู้เสนอญัตติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยสภาได้บรรจุในวาระและพร้อมพิจารณาทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภา ส่วนจะแก้ไขในประเด็นในต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายค้าน รัฐบาล และ ส.ว. จึงเป็นจุดยืนที่ชัดเจนของพรรคประชาธิปัตย์

สำหรับการที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรีเป็นธงนำในการเริ่มต้นแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ได้รับการปฏิเสธนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่าไม่ทราบรายละเอียด แต่ยืนยันว่าการที่นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำรัฐบาลยอมบรรจุการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วน แสดงว่ามีจุดยืนที่ชัดเจน ขณะที่ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านและนักวิชาการ ถูก กอ.รมน.ภาค4 แจ้งความดำเนินคดีจากการเปิดเวทีเสวนาการแก้รัฐธรรมนูญใหม่ นั้น นายจุรินทร ไม่ขอแสดงความเห็นเรื่องนี้ 

นายจุรินทร์ ยังย้ำจุดยืนพรรคประชาธิปัตย์ ให้ยกเลิกสารเคมีการเกษตร 3 ชนิด โดยนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืนยันพร้อมให้ยกเลิกโดยไม่มีข้อสงสัย และส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์ก็เห็นพ้องแนวทางเดียวกัน

'ชลน่าน' ระบุฝ่ายค้านไม่ต้องการแก้ รธน.มาตรา 1-2 ซึ่งเป็นข้อห้ามแก้ไม่ได้อยู่แล้ว

ด้าน นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การที่ กอ.รมน.แจ้งความดำเนินคดี มาตรา 116 กับบรรดาหัวหน้าพรรคและนักวิชาการที่ไปรณรงค์ในการร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ จังหวัดปัตตานีนั้น ถือเป็นความพยายามในการรักษาอำนาจของคณะผู้ก่อการยึดอำนาจ เพราะเป็นที่ยอมรับว่า ผู้มีอำนาจมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า ในการที่จะสืบทอดอำนาจ และส่งต่ออำนาจผ่านทางรัฐธรรมนูญ แม้อำนาจของ คสช.จะหมดไปตามรัฐธรรมนูญ แต่คณะผู้มีอำนาจมีการเตรียมการไว้ โดยส่งต่ออำนาจ คสช. ไปที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. พร้อมกับมีการเพิ่มอำนาจและงบประมาณให้กับ กอ.รมน. เพื่อดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ข้อหาดังกล่าวทางผู้มีอำนาจ มีไว้เพื่อกำจัดนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และนักวิชาการฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล รวมทั้งนักการเมืองหลายคน เคยโดนฝ่ายความมั่นคง แจ้งข้อกล่าวหานี้เมื่อครั้งที่มีการแจกขันแดงให้ชาวบ้าน ไว้เล่นน้ำช่วงสงกรานต์

นายแพทย์ ชลน่าน กล่าวด้วยว่า จากพฤติกรรมของฝ่ายรัฐบาล ที่พยายามสร้างความสับสนแก่ประชาชนและการปฏิบัติการทางการข่าว เพื่อสร้างกระแสในสังคม ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านจะแก้รัฐธรรมนูญในมาตรา 1และมาตรา 2 การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก

ทั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านยืนยันมาตลอดว่าการรณรงค์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความชัดเจนมาตลอดว่าไม่แก้ในมาตรา 1 และมาตรา 2 ซึ่งเป็นข้อห้ามในรัฐธรรมนูญ ดังนั้นแก้ไม่ได้อยู่แล้ว การพยายามสร้างกระแสให้เกิดความปั่นป่วนในสังคม ถือว่า ปฏิบัติการด้านการข่าวที่รัฐพยายามสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง อยากให้มีหน่วยงานไหน แจ้งความเอาผิดรัฐในการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน เป็นที่ทราบกันว่า รัฐบาลพยายามที่จะไม่ให้มีการเคลื่อนไหวในการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐบาลจะเสียประโยชน์ ทั้งนี้ เพราะหากแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ แผนยึดอำนาจประเทศไทย 20 ปี จะเสียของ ดังนั้นคณะผู้ยึดอำนาจจึงยอมไม่ได้

ที่มาเรียบเรียงจาก: สำนักข่าวไทย | ไทยรัฐออนไลน์
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 58351 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>