Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all 58345 articles
Browse latest View live

วัตถุพยาน กับความทรงจำบาดแผล | เปิดนิทรรศการ ประจักษ์ I พยาน [คลิป]

$
0
0

5 ต.ค. 2562 คลิปจากเสวนา "วัตถุพยาน กับความทรงจำบาดแผล" ในโอกาสเปิดนิทรรศการ ประจักษ์ | พยาน ที่ห้องประชุมริมน้ำ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดโดย ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ 6 ตุลา

วิทยากรโดย นัดดา เอี่ยมคง พี่สาว ดนัยศักดิ์ เอี่ยมคง ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลา
ธนาวิ โชติประดิษฐ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
จุฬารัตน์ ดำรงวิธีธรรม ผู้เขียน ถังแดง : การซ่อมสร้างประวัติศาสตร์และความทรงจำหลอนในสังคมไทย
ธนาพล อิ๋วสกุล ผู้จัดการโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ 6 ตุลา
ดำเนินรายการโดย กษิดิศ อนันทนาธร ผู้จัดการโครงการระดมทุนสร้าง "สวนป๋วย" มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

สำหรับการถ่ายทอดสดนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ประชาไท X PITV : ชวนร่วมระดมทุน 49,559 บ. เพื่ออัพเกรดระบบถ่ายทอดสดให้ PITV (ระดมทุนครบแล้ว อ่านรายละเอียดได้ที่นี่)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ปัญหาการสร้างภาพของลุงตู่

$
0
0

ลุงตู่แกมีปัญหาเกี่ยวกับการสร้างภาพพจน์ของแกอย่างเกินระดับโคม่าแล้วล่ะ ข้อสังเกตนี้แม้แต่คนที่เชียร์ลุงตู่อย่างมากมายถึงขั้น hard-liner ก็คงไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะมีตัวอย่างเยอะเหลือเกินโดยเฉพาะตอนล่าสุดที่แกบอกว่าคนไทยไม่ยอมใช้กูเกิล และหันมาแก้ตัวบอกว่าไม่เคยพูดอย่างนั้น เพียงแค่บอกว่าคนไทยใช้กูเกิลในทางไม่มีประโยชน์ ถึงแม้จะมีคลิปทั้งรูปและเสียงชัดเจนว่าแกพูดด้วยความหมายอย่างนั้นจริงๆ ความผิดพลาดเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อความนิยมของลุงอย่างเหลือล้น นอกจากคนที่ "รักลุงตู่" เพียงอย่างเดียวก็จะยังรักแกต่อไป

การสร้างภาพพจน์ (Image) นี่เป็นของตลาดทางการเมืองหรือ Political Marketing อันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนักการเมืองแบบไหนไม่ว่าประชาธิปไตยหรือเผด็จการในการสร้างคะแนนความนิยมให้ตัวเอง ยิ่งเผด็จการที่ได้ผู้นำเข้มแข็งจะถึงขั้นลัทธิเชิดชูบุคคลหรือ cult of personality เลยอย่างฮิตเลอร์และสตาลิน นักการเมืองที่หวังผลทางการเมืองมากๆ ถึงกับลงทุนจ้างบริษัทโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์ตัวเอง มีการวิจัย สำรวจความเห็นของคนรุ่นต่างๆ โดยเฉพาะรุ่นใหม่ว่าชอบผู้นำแบบไหน จึงเป็นเรื่องปกติที่นายกรัฐมนตรีของไทยในแต่ละรุ่นจะพยายามสร้างภาพพจน์อันโดดเด่นและที่สำคัญต้องตรงกันข้ามหรือแตกต่างจากผู้นำในรัฐบาลชุดก่อนหรือคู่แข่งคนสำคัญ อย่างเช่นทักษิณซึ่งสร้างภาพว่าเป็นคนหนุ่มมีวิสัยทัศน์ยาวไกลแบบนักธุรกิจ นำประเทศให้ก้าวไปตามโลกยุคโลกภิวัฒน์ ซึ่งกลายเป็นคำฮิตหรือ buzzword ในทศวรรษที่ 30 อันเป็นการสร้างภาพให้แตกต่างจากนายกรัฐมนตรีคนก่อนคือนายชวน หลีกภัยซึ่งค่อนข้างเจ้าหลักการณ์ เชื่องช้า อนุรักษ์นิยมและผูกติดอยู่กับระบบราชการ (ในทางกลับกันสำหรับคนชอบชวนกลับมองว่าแกเป็นคนประนีประนอมเก่ง รอบคอบ)

สำหรับลุงตู่นั้นเข้าใจว่าที่ปรึกษาหรืออาจเป็นตัวแกเองต้องการสร้างภาพให้แกมีความแตกต่างจากยิ่งลักษณ์ที่คนจำนวนมากเห็นว่าพูดจาอ่อนหวานหรือพูดจาฉะฉานแบบอภิสิทธิ์ แต่ทำงานไม่ได้เรื่องและยังทุจริตคอรัปชั่น นั่นคือลุงเป็นคนพูดจาขวานผ่าซากแต่จริงใจ เข้าทำนองพูดน้อยต่อยหนัก เป็นทหารเก่าคล้ายกับจอมเผด็จการในอดีตคือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนสื่อต่างประเทศให้สมญาว่าแกเป็นสฤษดิ์น้อย สังเกตได้ว่าตอนแกไปลงพื้นที่แล้วบ่นว่าไม่มีสส.มาต้อนรับทั้งที่สส.พวกนั้นอยู่ฝ่ายค้าน เข้าใจได้ว่าแกอาจคิดว่าแกเป็นจอมพลสฤษดิ์ที่ตรวจราชการแล้วทุกคนต้องนั่งพนมมือต้อนรับ

กระนั้นอาจด้วยนิสัยส่วนตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ การให้สัมภาษณ์นักข่าวของลุงถูกมองโดยคนจำนวนมากว่าเป็นการกระโชกโฮกฮาก หรือการระเบิดอารมณ์ไป คำหยาบซึ่งน่าจะทำให้คนไทยจำนวนมากสะใจเพราะเบื่อกับสังคมดัดจริตกลับทำให้แกถูกด่า หรือการพูดยกตัวเอง ไม่เคยรับผิด แถมยังดูถูกคนอื่นโดยเฉพาะประชาชนเหมือนทรัมป์ น่าจะทำให้คนไทยจำนวนมากเชื่อตามและหันมานิยมแกดุจดังต้องมนต์สะกดเพราะคนไทยถูกสอนให้เพิกเฉยคุณค่าตัวเองมานานแล้ว ทว่าความนิยมของลุงกลับลดลงอย่างฮวบฮาบ (ถ้าไม่เชื่อก็ลงเข้าในเพจของสำนักข่าวต่างๆ โดยเฉพาะตอนลุงให้สัมภาษณ์ แบบ live เก๊ๆ จากสหรัฐฯ ผ่านเฟซบุ๊คของรัฐบาล ก็มีคนกดแสดงความโกรธครึ่งแสน) พร้อมข่าวฉาวของคนในรัฐบาลที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนโดยลุงไม่ได้คิดจะทำอะไรนอกจากบางกรณีปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ปปช.ซึ่งตั้งโดย คสช.ของลุงเอง

การสร้างภาพของพลเอกประยุทธ์ในกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง จึงกลายเป็นการเปิดช่องให้คนที่เกลียดแกในการโจมตีซึ่งมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนไฟลามทุ่ง (ดังจะเห็นได้จากคอมเมนท์ในเฟสบุ๊คที่เป็นทางการของพลเอกประยุทธ์) และดูเหมือนภาพพจน์ของแกก็ยิ่งแย่ลงอีกเพราะถูกนำเสนอผิดกาละเทศะเช่นตอนน้ำท่วมอุบลราชธานีก็มีภาพของแกซึ่งใส่หมวกเชฟกลับด้านไปทำอาหารให้กับสุเทือก เทือกสุบรรณ อดีตผู้นำ กปสส.ซึ่งก่อความวุ่นวายให้กับชาว กทม. ต่อมา ถึงแม้ว่าลุงและรัฐบาลจะให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย ถึงกลับลงทุนนั่งเรือสำรวจน้ำท่วม หรือนั่งให้ชาวบ้านช่วยกันนวดหลังเพื่อบอกว่าใกล้ชิดประชาชนขนาดไหน แต่ก็ยังถูกด่าเสียเละเทะ โดยเฉพาะการรณรงค์รับบริจาคและเข้าให้ความชั่วเหลือชาวบ้านของ บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ก็ยิ่งทำให้ภาพการเป็นผู้นำแก้ไขน้ำท่วมของแกหมองยิ่งไปอีก ถึงแม้จะแก้เกมให้บิณฑ์เข้าร่วมกับกิจกรรมการรับเงินบริจาคของรัฐบาลด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยกู้ความนิยมของแกได้มากน้อยแค่ไหน

จำได้ว่าก่อนหน้านั้น ลุงต้องการนำเสนอว่าตัวเหมือนกับทักษิณคือคนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เช่นแนะนำหนังสือเท่ๆ มีแนวคิดล้ำลึกอย่าง Animal Farm ที่เสียดสีเผด็จการได้ลุ่มลึก จนเกิดความสงสัยว่าจะมีกี่คนในประเทศไทยที่เชื่อว่าลุงได้อ่านจริงๆ ด้วยการปล่อยไก่นับครั้งไม่ถ้วนสะท้อนว่าแกขาดความรู้เกี่ยวกับสังคมไทยซึ่งก้าวไปไกลกว่าความคิดของแกเยอะ จนการพูดแกไม่สามารถสร้างคำเท่ๆ หรือแนวคิดชาญฉลาดอะไรให้คนชอบอ้างอิง ในทางกลับกันแกไปเอาคำแบบนั้นจากคนอื่นมาอ้างโดยไม่รู้ความหมายที่แท้จริงจึงทำให้คำพูดของแกย้อนแย้งในตัวเองเช่นแกเคยจ้องจะล้มโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่มาโอ้อวดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในเวทีสหประชาชาติ มีคนสันนิษฐานว่าลุงคิดว่าทั้ง 2 เป็นคนละเรื่องกัน

ในเรื่องภาษาอีกเช่นกัน ลุงตู่แกอยู่ในยุคเบบี้บูม และเป็นข้าราชการยุคเก่าที่มักมีคุณสมบัติคือพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง (หากไม่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศจริงๆ อย่างเช่นพลเอกชาติชายหรือพลเอกชวลิต) แม้ว่ากองทัพจะมีการติดต่อกับต่างประเทศบ่อยๆ เช่นการฝึกร่วมกับกองทัพอเมริกัน แต่ด้วยความเป็นผู้บริหารมีล่ามพร้อมที่จะช่วยให้แกสื่อสารได้ หรือแกลืมที่จะเรียนรู้การปฏิบัติตัวอย่างปูตินและสี จิ้นผิงซึ่งภาษาอังกฤษจำกัดเต็มทีแต่เลือกที่จะพูดสื่อสารกับต่างชาติผ่านล่ามเท่านั้น จึงดูสง่างาม แต่ลุงดันพยายามพูดอังกฤษด้วยตัวเองทำให้เกิดความขบขันแก่สาธารณชน หรือในด้านคอมพิวเตอร์ ช่วงดำรงตำแหน่งในกองทัพลุงก็มีลูกน้องช่วยอย่างเต็มที่และแม้พีอาร์ของกองทัพอย่างวาสนา นาน่วมจะช่วยโฆษณาว่าแกเล่นโซเชียลมีเดีย แต่ด้วยทักษะหรือแนวคิดหลายอย่างทำให้รู้ว่าลุงไม่ได้เล่นจริงๆ จังๆ ไม่ว่าโซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์อะไรทั้งนั้น แม้แต่เฟซบุ๊คที่เป็นทางการก็มีคนอื่นเป็นแอดมินให้ ถ้าแกขลุกอยู่กับเทคโนโลยีนี้จริงๆ แกจะรู้อย่างน้อยว่าคนไทยนั้นรู้จักและใช้กูเกิลมานานแล้ว หรือถ้าอ่านเฟสบุ๊คเพียงชั่วโมง เผลอ ๆ ลุงคงเสียสติกลายสภาพเป็น joker เมื่อได้รู้ว่าคนพูดถึงแกแตกต่างจากลิ่วล้อรอบข้างอย่างไร

แล้วเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการจะสร้างพจน์ให้ได้ผลจะต้องสอดคล้องกับตัวตนที่แท้จริงของนักการเมืองผู้นั้นด้วย ดังภาพของตัวเองในหัวของลุงตู่ซึ่งต้องการให้ประชาชนเชื่อคือสตีฟ จ็อบภาคนายกรัฐมนตรีที่เปี่ยมด้วยความเป็นอัจริยะและวิสัยทัศน์ เมื่อเดินเข้ามาในงาน ทุกคนต่างปรบมือ โห่ร้องด้วยความชื่นชม แต่ในตัวตนที่แท้จริงของลุงเปรียบได้ดังชายชราในฐานะข้าราชการบำนาญ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์กระดาษแล้วหาวอยู่ที่บ้าน บ่นอะไรกับเมียสักพักก่อนขับรถไปร้องเพลงสุนทราภรณ์กับเพื่อนรุ่นเดียวกัน

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ข้อสังเกตบางประการต่อกรณีผู้พิพากษา คณากร เพียรชนะ

$
0
0

เชื่อมาโดยตลอดตามที่ได้เรียนหนังสือกันมาว่า กระบวนการยุติธรรม (โดยเฉพาะศาลยุติธรรม ) ไม่อาจถูกแทรกแซงได้  

แต่จากตามที่เป็นข่าวสังคมโดยส่วนรวมอาจมีความเห็นไปแล้วว่า การทำคำพิพากษาของผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นอาจถูกแทรกแซงโดยอธิบดีผู้พิพากษา

เรื่องนี้จะมีการแทรกแซงทางการทำคำพิพากษาโดยอธิบดีผู้พิพากษา ได้จริงหรือไม่ มีประเด็นที่น่าตั้งข้อสังเกตดังต่อไปนี้ 

1. ผลของคำพิพากษา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งห้าตามความเห็นของตน ไม่ได้ทำตามความเห็นของอธิบดีผู้พิพากษาคือ ลงโทษจำเลยที่ 1,3,4 ประหารชีวิต ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2,5 ตลอดชีวิต  

2. ความเห็นของอธิบดีผู้พิพากษา ที่ต้องการให้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนทำคำพิพากษาใหม่ตามความเห็นของตน อธิบดีผู้พิพากษาทำความเห็นเป็นหนังสือ “ ลับ” ซึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรตอบโต้กันไปมาระหว่างอธิบดีผู้พิพากษากับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน หากต้องการแทรกแซงและต้องการทำให้เรื่องเป็นความลับจริง การใช้วิธีการเรียกให้เข้าพบพูดคุยย่อมจะดีกว่าที่จะทำเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้มีหลักฐานนอกจากนี้ยังปรากฏอีกว่า มีผู้พิพากษาที่อาวุโสสูงกว่าผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนทำความเห็นเช่นเดียวกับอธิบดีผู้พิพากษา

3. พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 11 บัญญัติว่า ”...อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น...มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) นั่งพิจารณาและพิพากษาคดีใดๆ ของศาลนั้นหรือเมื่อได้ตรวจสำนวนคดีใดแล้วมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ “ เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติดังกล่าว แสดงว่า กฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาสามารถทำความเห็นแย้งกับคำพิพากษาของผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นได้เท่านั้น แต่ไม่ได้ให้อำนาจอธิบดีในการสั่งให้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนทำคำพิพากษาตามความเห็นแย้งของตนได้ (เหตุที่กฎหมายอนุญาตให้มีการทำความเห็นแย้งโดยอธิบดีผู้พิพากษาภาคนั้น ก็เพื่อต้องการให้ ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาถึง แง่มุมหรือประเด็น ที่เห็นต่างไปจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เพราะคดีที่มีการทำความเห็นแย้ง จะเป็นคดีสำคัญหรือคดีที่มีอัตราโทษสูงเช่น คดีประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต แต่ความเห็นแย้งก็ไม่ผูกมัดให้ศาลอุทธรณ์ต้องพิพากษาตามความเห็นแย้ง เพียงแต่เป็นประเด็นแง่มุมที่ศาลอุทธรณ์ใช้ประกอบดุลพินิจในการทำคำพิพากษาเท่านั้น) แม้หากผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนไม่เห็นด้วยกับความเห็นแย้งของของอธิบดีผู้พิพากษา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนก็สามารถทำคำพิพากษาต่างไปจากความเห็นแย้งได้โดยได้ความคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในเรื่องความอิสระในการทำคำพิพากษา

4.อำนาจในการให้คุณให้โทษหรือสั่งย้ายผู้พิพากษาในศาลชั้นต้น กระทั่งออกจากราชการ (ไม่ได้รับบำเหน็จ) เป็นอำนาจของคณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ 2561 อธิบดีผู้พิพากษาไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษเช่นนั้นแก่ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตน แม้ประธานศาลฎีกาก็ไม่อาจกระทำได้ 

5.เจ้าของสำนวนยังไม่ได้ถูกตั้งกรรมการสอบสวนหรือถูกสั่งย้ายออกจากพื้นที่ โดยผลของคำสั่งจากการไม่ทำคำพิพากษาตามความเห็นของอธิบดีผู้พิพากษา

หรือเรื่องนี้อาจจะเป็นเพียงความเห็นต่างใช่การแทรกแซง

หากมองในเเง่อุดมการณ์ของท่าน ย่อมน่าชื่นชม หากมองในวิธีการของท่าน เราไม่ควรยกย่อง 

ข้อควรรู้การด่าหรือถล่ม ผู้เขียนอย่างมีเหตุผล ผู้นั้นจะถือเป็นคนสุภาพครับ

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงเฟสบุ๊คอธิบดีผู้พิพากษาภาค 9 เป็นของปลอม

$
0
0

โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงเฟสบุ๊คอธิบดีผู้พิพากษาภาค 9 เป็นของปลอม การไลฟ์สดชึ้แจงข้อเท็จจริงกรณีผู้พิพากษายิงตัวเองก็ไม่เป็นความจริง


นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม (แฟ้มภาพ)

5 ต.ค. 2562 เว็บไซต์ Thai PBS รายงานว่านายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนมีการเผยแพร่ นายเพิ่มศักดิ์ สายสีทอง อธิบดีผู้พิพากษาภาค 9 ได้โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัว ที่ใช้ชื่อว่า 'เพิ่มศักดิ์ สายสีทอง อธิบดีผู้พิพากษาภาค 9' มีลักษณะทำนองว่า ออกมาชี้เเจงข้อเท็จจริงเเละจะมีการไลฟ์สด กรณีที่มีผู้พิพากษาศาลจังหวัดยะลายิงตัวเองในห้องพิจารณาคดีนั้น

สมาคมพิทักษ์ รธน. เรียกร้องให้ศาลยุติธรรมคลี่ปมเบื้องหลังกรณีผู้พิพากษายิงตัวเอง
คดีที่ผู้พิพากษายะลายิงตัวเอง พบ 'ศรีวราห์' เคยลงไปแถลงจับกุมปี 61 - กอ.รมน.ยันไม่เคยแทรกแซง
เปิดคำแถลงของผู้พิพากษา จ.ยะลา ก่อนก่อเหตุยิงตัวเอง ขออย่าแทรกแซงและความเป็นธรรมทางการเงิน
ศาลยะลา : 'ผู้พิพากษา' ยิงตัวเองสาหัส หลังลงจากบัลลังก์ พิจารณาคดี

นายสุริยัณห์ ระบุว่าตนได้รับการประสานข้อมูลจากนายเพิ่มศักดิ์ว่าถ้อยคำดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากนายเพิ่มศักดิ์ไม่เคยมีการชี้เเจงลักษณะดังกล่าวลงในสื่อโซเชียลเเละเฟสบุ๊กดังกล่าวไม่ใช่ของนายเพิ่มศักดิ์เเต่อย่างใด

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน | 43 ปี 6 ตุลาคม 2519 [คลิป]

$
0
0

รำลึก 43 ปี 6 ตุลา 2519 ช่วงบ่าย “เสียงจากแดนไกล” สัมภาษณ์สดทางไกล จรัล ดิษฐาอภิชัย
อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลา อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน และอดีตศิษย์เก่าดีเด่น คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปี พ.ศ. 2547

ภาคบ่าย เวที "สู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" จัดโดย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 

13.30 น. การเสนอและอภิปรายผลสำรวจ “ความเห็นนักศึกษาเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ”

14.30 น. ปาฐกถาหัวข้อ “ปัญหารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน”
ปาฐกถา 1: สุรพล สงฆ์รักษ์ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในสายตาประชาชน
ปาฐกถา 2: เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง ว่าด้วยปัญหารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

15.10 น. เสวนาหัวข้อ “พรรคการเมืองกับการแก้รัฐธรรมนูญ”
สุทิน คลังแสง ตัวแทนพรรคเพื่อไทย
ปิยบุตร แสงกนกกุล ตัวแทนพรรคอนาคตใหม่
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ตัวแทนพรรคประชาชาติ
ดำเนินรายการโดย อนุสรณ์ อุณโณ

สำหรับการถ่ายทอดสดนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ประชาไท X PITV : ชวนร่วมระดมทุน 49,559 บ. เพื่ออัพเกรดระบบถ่ายทอดสดให้ PITV (ระดมทุนครบแล้ว อ่านรายละเอียดได้ที่นี่)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

อิรักประท้วงเศรษฐกิจ-คอรัปชันหลายเมือง ปะทะเจ้าหน้าที่ตาย 73

$
0
0

ในอิรักมีการประท้วงใหญ่ทั่วประเทศซึ่งมีคนเข้าร่วมหลายพันคนทั่วประเทศ พวกเขาแสดงความไม่พอใจเรื่องปัญหาการว่างงาน ระบบสวัสดิการสังคม และการทุจริตคอรัปชันของรัฐบาล อย่างไรก็ตามผู้ชุมนุมก็ถูกปราบปรามทั้งจากกระสุนจริง กระสุนยาง ปืนน้ำ และแก็สน้ำตา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 73 ราย

ภาพการชุมนุมในอิรัก (ที่มา:Youtube/VOA News)

5 ต.ค. 2562 ที่ประเทศอิรักมีการประท้วงทั่วประเทศเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ สวัสดิการและการคอรัปชันของรัฐบาล ฝ่ายนายกรัฐมนตรี อเดล อับดุล มาห์ดี ผู้ที่เป็นเป้าหมายถูกประท้วงต่อต้านในครั้งนี้แถลงผ่านโทรทัศน์เรียกร้องให้ประชาชนอยู่ในความสงบ เขาบอกว่าเขาเข้าใจเรื่องความไม่พอใจของประชาชนแต่ก็ไม่มี "เวทย์มนตร์ที่ใช้แก้ไขปัญหา" หลายๆ ปัญหาในอิรักได้ มาห์ดีบอกอีกว่าเขาสัญญาว่าจะมีการปฏิรูป ซึ่งผลคือทำให้ผู้ชุมนุมรู้สึกรังเกียจ

เดอะการ์เดียนก็รายงานว่าการประท้วงมีการยกระดับความรุนแรงมากขึ้นหลังจากวันเริ่มชุมนุมเมื่อ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งการประท้วงในอิรักลุกลามไปทั่วประเทศโดยที่ไม่มีกลุ่มทางกาารเมืองใดๆ เป็นผู้หนุนหลังสร้างความแปลกใจให้กับฝ่ายรัฐบาล

 

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยิงกระสุนจริงใส่ฝูงชนที่ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่ม ขณะที่ผู้มีอาวุธปืนบางคนก็ยิงโต้ตอบกลับเป็นครั้งคราว ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายร้อยคนทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่และฝ่ายผู้ชุมนุม มีข้อมูลตัวเลขผู้เสียชีวิตจากหลายเมืองไม่ว่าจะเป็นในเมืองหลวงกรุงแบกแดด เมืองบาคูบาทางตอนเหนือของเมืองหลวง และในอีกหลายเมืองทางตอนใต้ของประเทศ เช่น เมืองนาสิริยา เมืองอมรา เมืองฮิลลา เมืองนาจาฟ ในวันนี้ (5 ต.ค.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนอิรักรายงานแล้วว่ามีจำนวนผู้เสียชีวิต 73 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 6 ราย บาดเจ็บกว่า 3,000 คน

โดยที่ทั้งผู้ชุมนุมและคนทำงานโรงพยาบาลต่างก็ให้ข้อมูลว่าจำนวนตัวเลขผู้สูญเสียมีสูงกว่าที่ได้รับการเปิดเผย และทางรัฐบาลก็ใช้กองกำลังติดอาวุธหนักร่วมกับตำรวจและหน่วยต่อต้านการก่อการร้าย มีผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่าเขาพบว่ามีการใช้ปืนกลยิงใส่ผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง

มีการประกาศเคอร์ฟิวในหลายเมือง และทางการอิรักก็ปิดถนนทางเข้ากรุงแบกแดดในทางทิศเหนือและทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ มีการส่งกำลังเสริมไปยังพื้นที่ๆ มีคนอาศัยอยู่จำนวนมากในทางตะวันออกของกรุงแบกแดด รวมถึงมีการส่งกองกำลังทหารไปที่เมืองนาสิริยาที่เกิดเหตุรุนแรงหนักที่สุดด้วย

ผู้ชุมนุมรายหนึ่งตะโกนบอกสื่อโทรทัศน์ที่ถ่ายทำอยู่ว่า "พวกนั้นยิงกระสุนจริงใส่ประชาชนชาวอิรักและนักปฏิวัติ พวกเราจะสามารถข้ามสะพานและนำพวกเขาออกมาจาก 'กรีนโซน' ได้"

กรีนโซนที่ผู้ชุมนุมรายนี้พูดถึงนั้นหมายถึงย่านที่เป็นศูนย์กลางรัฐบาลอิรัก เป็นแหล่งของสถานทูตต่างๆ ของสหรัฐฯ กับชาติตะวันตกอื่นๆ รวมถึงเป็นสำนักงานของบริษัทรับเหมาทางการทหาร โดยที่ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงใช้กำลังรุนแรงเพื่อขับไล่ให้ผู้ชุมนุมออกจากจัตุรัสทาร์รีย์ในกรุงแบกแดดและสกัดกั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปที่ย่านกรีนโซน นอกจากนี้กองทัพยังใช้กำลังจากหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายยิงกระสุนจริงใส่ผู้ชุมนุมที่พยายามบุกเข้าไปในสนามบินกรุงแบกแดดด้วย

มีการตั้งข้อสังเกตว่าการประท้วงในครั้งนี้เกิดขึ้นช่วงก่อนวันเทศกาลแสวงบุญ 'อาบาอีน' (Arba'een Pilgrimage) ของชาวมุสลิมนิกายชีอะฮ์ที่มีผู้เข้าร่วมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 20 ล้านคน ที่มีจำนวนมากกว่าพิธีฮัญจ์ที่กรุงเมกกะ บรรยากาศในช่วงเช้าวันที่ 4 ต.ค. ก่อนการละหมาดวันศุกร์เป็นไปอย่างสงบมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เว้นแต่มีเหตุที่ตำรวจยังคงยิงกระสุนจริงใส่ผู้ชุมนุมกลุ่มเล็กๆ เพื่อสลายการชุมนุมของพวกเขา

การชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ส่งผลสะเทือนต่อรัฐบาลอิรักเพราะมาจากกลุ่มอิสลามนิกายชีอะฮ์ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของพรรครัฐบาลปัจจุบันซึ่งมีอำนาจมากว่า 16 ปี หลังจากที่สหรัฐฯ ทำสงครามกับอิรักจนเกิดการโค่นล้มซัดดัมแต่ก็ล้มเหลวในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอย่างน้ำประปาและไฟฟ้า ในขณะที่ความมั่งคั่งจากการค้าน้ำมันกลับไปเข้ากระเป๋าบรรษัทข้ามชาติและเหล่าลิ่วล้อในประเทศ

การประท้วงในครั้งนี้มาจากความไม่พอใจสภาพชีวิตความเป็นอยู่โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นเยาว์ที่ต้องเผชิญกับการว่างงานร้อยละ 22 มีนักศึกษามากกว่า 30,000 คนที่เข้าสู่ตลาดแรงงานทุกปีแต่ก็ไม่มีงานให้ทำ โดยก่อนหน้านี้เคยมีการประท้วงในระดับที่เล็กกว่าเมื่อเดือน ก.ย. ที่่ผ่านมา มีกลุ่มนักศึกษาเรียนจบแล้วหลายร้อยคนนั่งปักหลักประท้วงหน้ากระทรวงพลังงานน้ำมันของอิรักเรียกร้องให้มีการจ้างงาน นอกจากเรื่องนี้แล้วผู้คนโดยมากยังไม่สามารถทนอยู่กับรัฐบาลกระฎุมพีจอมทุจริตได้อีกต่อไป

ทั้งนี้เว็บไซต์เวิร์ลโซเชียลลิสต์วิเคราะห์ว่าการประท้วงล่าสุดในอิรักเป็นหนึ่งใน "การต่อสู้ทางชนชั้น" ที่ผุดขึ้นมาอีกครั้งในตะวันออกกลาง โดยยกตัวอย่างกรณีใกล้เคียงกันคือการประท้วงในเลบานอนเมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมาซึ่งมีการประสานเสียงคำขวัญว่า "ทุนนิยมจงพินาศ" และ "ประชาชนต้องการให้ระบอบนี้ล่มสลาย" ซึ่งเป็นคำขวัญที่ชาวอียิปต์ใช้ประท้วงโค่นล้มเผด็จการที่ได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐฯ อย่าง ฮอสนี มูบารัก ในปี 2554

เรียบเรียงจาก

Iraq protests: All the latest updates, Aljazeera, Oct. 5, 2019

Iraqi cleric appeals for calm as forces face off with protesters, The Guardian, Oct. 4, 2019

Iraqi protesters gunned down as demonstrations and strikes spread across Middle East, World Socialist Web Site, Oct. 3, 2019

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'สุภรณ์' เผย 'ประยุทธ์' ให้ดูแลเรื่อง 'ม็อบ-ตอบโต้การเมือง'

$
0
0

'สุภรณ์ อัตถาวงศ์' เผย 'ประยุทธ์' มอบหมายดูแลด้านการรับเรื่องร้องเรียน ม็อบต่างๆ ที่มาเรียกร้องรัฐบาล และช่วยชี้แจงตอบโต้ประเด็นด้านการเมืองในบางโอกาส 'ธรรมนัส' มอบใบอนุญาตทำกินที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ให้เกษตรกร จ.แพร่ 'คฑาเทพ' เตรียมนำปัญหาต่างชาติกว้านซื้อโค-กระบือ เข้า กมธ.เกษตร


นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ที่มาภาพ: สำนักข่าวไทย)

5 ต.ค. 2562 หลังได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี มีผลเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2562

วานนี้ (4 ต.ค.) นายสุภรณ์ ลงมาพูดคุยและแนะนำตัวกับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล และแจ้งว่านายกรัฐมนตรีได้มอบหมายดูแลด้านการรับเรื่องร้องเรียนประชาชน คือ ม็อบต่างๆ ที่มายื่นข้อเรียกร้องกับรัฐบาล และอีกภารกิจคือ ช่วยชี้แจงตอบโต้ประเด็นด้านการเมืองในบางโอกาส เพื่อช่วยแบ่งเบางานของ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อีกทางหนึ่ง โดยแจ้งว่าที่นั่งทำงานประจำอยู่ที่ศูนย์บริการประชาชน ฝั่ง ก.พ. แต่ยืนยันว่างานจะไม่ทับซ้อนกับทีมงานโฆษกรัฐบาลแน่นอน

"ส่วนตัวเชื่อว่างานดังกล่าวเป็นงานที่หนักพอสมควร เพราะในแต่ละวันมีกลุ่มผู้ที่มายื่นร้องทุกข์จำนวนมาก และหลายกลุ่ม นอกจากนี้ยังได้รับมอบหมายให้ ช่วยชี้แจงประเด็นทางการเมือง เสริมงานของโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในบางโอกาส อีกทางหนึ่งด้วย"

'ธรรมนัส' มอบใบอนุญาตทำกินที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ให้เกษตรกร จ.แพร่

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะได้ลงพื้นที่ไปที่หอประชุมอำเภอวังชิ้น จ.แพร่ โดยมีนางกานต์เปรมปรีด์ ชิตานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่, อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน และนายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด ตลอดจนเกษตรกรในพื้นที่ให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก จากนั้นร้อยเอกธรรมนัสได้มอบหนังสืออนุญาตให้เกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในเขตปฎิรูปที่ดิน หรือ ส.ป.ก.4-01 ให้เกษตรกรจำนวน 187 ราย รวม 224 แปลง

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่าการจัดสรรที่ดินของ ส.ป.ก. เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปที่ดิน เพื่อแก้ปัญหาให้แก่เกษตรกร ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยจะมีการช่วยเหลือพัฒนาอาชีพ และปัจจัยการผลิตให้สามารถผลิตและมีรายได้มากขึ้นอย่างยั่งยืน

"ในโอกาสต่อไป เราจะยึดคืนที่ดินแปลงใหญ่จากนายทุนที่หมดสัมปทานแล้วมาให้เกษตรกร ได้ทำกินและนอกจากให้ที่ดินทำกินแล้ว ยังจะมอบอาชีพ ทั้งปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ โดยเน้นเกษตรอินทรีย์ และยังจะมอบสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เมื่อเกษตรกร มีที่ดินทำกิน ก็จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ กลายเป็นชุมชนเข้มแข็งที่ยั่งยืน" รมช.เกษตรฯ กล่าว

นอกจากนี้ ร.อ.ธรรมนัส พร้อมคณะยังเดินทางไปที่ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดิน หมู่ที่ 9 บ้านใหม่ป่าจอก ต.ทุ่งแล้ง อ.ลอง จ.แพร่ โดยได้พบกับหมอดินอาสา พร้อมมอบแหล่งน้ำจำนวน 2 โครงการ มอบบัตรดินดี มอบเมล็ดพันธุ์ปอเทือง แก่กลุ่มเกษตรอินทรีย์ ก่อนจะพบปะและรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรเพื่อนำไปพิจาณาแก้ไขต่อไป

เร่งรัดในการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่เข้าไปข่มขู่ชาวบ้าน จ.นครศรีธรรมราช

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมาชาวบ้าน ต.ตะพาน อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช กว่า 30 คนเดินทางมาที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอบคุณและร้องเรียนต่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ที่รับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน พร้อมสั่งการให้ตำรวจและทหารเข้าช่วยเหลือ และคุ้มครองความปลอดภัย ตลอดจนได้โทรศัพท์ติดต่อผู้มีอิทธิพลให้หยุดการข่มขู่คุกคามชาวบ้านจนผู้มีอิทธิพลได้หยุดการคุกคามไป

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่าการเข้าพบของกลุ่มชาวบ้านในครั้งนี้ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ในพื้นที่ตำบลหัวตะพานได้มีนายทุนมากว้านซื้อที่ดิน และใช้วิธีต่างๆ ที่จะเอาที่ดินของชาวบ้านมาสร้างมหาวิทยาลัย โดยชาวบ้านถูกผู้มีอิทธิพลรังแกตลอดเวลา ล่าสุดได้ใช้รถแบคโฮไถบ้านชาวบ้านในยามวิกาล จนทำให้บ้านของชาวบ้านพังเสียหายเดือดร้อนหลายครัวเรือน ต้องอยู่กันแบบขวัญผวาทุกคืนจนทนไม่ไหว ชาวบ้านได้รวมตัวกันติดต่อร้องเรียนไปยังผู้ประสานงานกลุ่มสภาเครือข่ายประชาชนอีสาน 4 ภาคประจำจังหวัดเพชรบุรีถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ชาวบ้านเดือดร้อน 

"ต่อมาทางเครือข่ายได้โทรประสานมายังผม ซึ่งผมได้ติดต่อกลับไปยังตำรวจและทหารในพื้นที่ให้เข้าช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกข่มขู่ คุกคาม และติดต่อไปยังผู้มีอิทธิพลให้หยุดการกระทำดังกล่าวจนกลุ่มผู้มีอิทธิพลได้ขนรถแบคโฮ และอุปกรณ์ต่างๆ กลับไป ทำให้ชาวบ้านอำเภอท่าศาลาพึงพอใจอย่างมาก"

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่าวันนี้เขารวมตัวกันเดินทางจากจังหวัดนครศรีธรรมราช มาที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อมาขอบคุณและทีมงานที่ให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที หลังจากนั้นไม่นานจนถึงขณะนี้ยังมีลูกน้องผู้มีอิทธิพลบางส่วนยังไม่เลิกพฤติกรรมข่มขู่ชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวจึงร้องเรียนให้ตนประสานงานช่วยชาวบ้านที่ถูกข่มขู่อีกครั้ง

รมช.เกษตรฯ กล่าวอีกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเบื้องต้นได้สั่งการให้ให้ทีมงานกระทรวงเกษตรฯ รับเรื่องโดยละเอียดจากชาวบ้านอีกครั้ง และติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่ใช้รถแบคโฮขับไถบ้านของชาวบ้าน เพื่อเอาผิดกับพวกที่ทำให้บ้านชาวบ้านเสียหาย พร้อมกับเร่งรัดในการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่เข้าไปข่มขู่ชาวบ้านด้วย

“ผมไม่เชื่อว่ายุคนี้จะมีใครกล้าข่มขู่ชาวบ้านและกล้าทำร้ายชาวบ้านแบบป่าเถื่อนอย่างนี้ เบื้องต้นผมจะให้ทีมงานรับเรื่องไว้แล้วประสานงานฝ่ายความมั่นคงไว้ และจะเข้าไปดำเนินคดีขั้นเด็ดขาดหากไม่เลิกพฤติกรรม” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากรับหนังสือร้องเรียน ร.อ.ธรรมนัส ได้มอบเงินของส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ช่วยค่ารถชาวบ้าน 20,000 บาท เพื่อเยียวยาเบื้องต้น พร้อมกับบอกชาวบ้านว่าประมาณกลางเดือน ต.ค. นี้ จะลงไปจัดสรรที่ทำกินให้ใหม่ และมอบที่ทำกินหรือ ส.ป.ก. ให้ตามความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง

'คฑาเทพ' เตรียมนำปัญหาต่างชาติกว้านซื้อโค-กระบือ เข้า กมธ.เกษตร

นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล หัวหน้าพรรคพลังไทยรักไทย กล่าวว่าทางคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎรได้มีการประชุมกันว่ามีชาวบ้านเกษตรกรได้ยื่นหนังสื่อร้องเรียนมาว่าบรรดาโค-กระบือ ส่วนใหญ่ที่มีจำหน่ายกันอยู่ตามตลาดนัดต่างๆ นี้ส่วนใหญ่จะมีคนมากว้านซื้อและนำลักลอบออกไปยังต่างประเทศจำนวนมากที่จริงแล้วนโยบายของรัฐบาลมีว่าจะมีการส่งเสริมการเลี้ยงโคกระบือไม่ว่าจะเป็นโคขุน โคอะไรต่างๆ นี่ให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจและจะมีการอัดเม็ดเงินลงไปในกระทรวงนี้เป็นจำนวนมากเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น จาการทำนาปีละครั้งให้มีการซื้อขายกันได้ตลอดเวลาเศษณฐกิจก็จะดีขึ้นเงินก็เกิดการหมดเวียนขึ้น ซึ่งเกษตรกรจำนวนหนึ่งได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากมีการลักลอบนำโค-กระบือออกไปนอกประเทศในช่องทางที่ผิดไม่ผ่านด่านตรวจทำให้เกิดปัญหากินทางกรรมมาธิการได้มีการประชุมปรึกษาหารือกันให้มีการใช้บังคับข้อกฎหมายอาทิตย์หน้าจะนำเรี่องนี้เข้าที่ประชุมกรรมมาธิการจะได้นำปัญหาต่างๆ ให้ทางท่านประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้แก้ไขเป็นการแก้ปัญหาทางออกตรงนี้ให้หมดไปใน การลักลอบขนย้ายโคกระบือหรือลักลอบโค-กระบือออกนอกประเทศให้หมดไปต้องบังคับใช้กฎหมายบังคับ เพราะหาเป็นเช่นนี้เช่นมีคนต่างประเทศเข้ามากว้านซื้อโค-กระบือ ไทยออกไปเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะโค-กระบือตัวเมียจะทำให้โค-กระบือของประเทศไทยเราน้อยลงและในอนาคตอาจไม่มีหลงเหลืออยู่ให้ลูก เพราะจากที่เห็นโค-กระบือลำเลียงออกนอกมากเช่นนี้เป็นที่หน้าตกใจมาก

ที่มาเรียบเรียงจาก: สำนักข่าวไทย | ข่าวสด | ไทยรัฐออนไลน์ | ไทยโพสต์ | มติชนออนไลน์

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

แพทย์ย้าย 'ผู้พิพากษาคณากร' ออกจากห้องไอซียูไปอยู่ห้องพิเศษแล้ว

$
0
0

แพทย์ย้าย 'ผู้พิพากษาคณากร' ออกจากห้องไอซียูไปอยู่ห้องพิเศษแล้ว  'ปิยะบุตร' ยืนยันกรณีนี้ไม่มีการเมืองเกี่ยวข้อง เรียกร้องอย่าเล่นการเมืองบนชีวิตคน-อย่าลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเกียรติยศ ด้านเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมย้ำไม่มีใครแซกแทรกการทำงานผู้พิพากษาได้


คณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นศาลจังหวัดยะลา (แฟ้มภาพ)

5 ต.ค. 2562 จากกรณีที่นายคณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาล จ.ยะลา ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองภายในห้องพิจารณาคดี บัลลังก์ 4 ชั้น 2 ศาล จ.ยะลา หลังการอ่านแถลงการณ์ของคดีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น “ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.ยะลา” เข้าเยี่ยม ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ บอกสั้นๆ อาการปลอดภัยดีแล้ว

เมื่อเวลา 11.10 น. นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ส.ส.ยะลา เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ พร้อมทนายความมุสลิมได้เข้าเยี่ยมอาการนายคณากร ที่ห้องไอซียู รพ.ยะลา แต่แพทย์สั่งให้งดเยี่ยมอาการโดยเด็ดขาด หลังจากที่ได้เข้าตรวจสอบอาการล่าสุดเมื่อเช้านี้ จากนั้นในช่วงบ่าย แพทย์ได้ย้ายนายคณากร จากห้องไอซียูมาพักฟื้นที่ห้องพิเศษชั้น 2 ตึกพิเศษยี่เกียว โดยมีครอบครัว โดยเฉพาะภรรยาและลูกสาว ที่เฝ้าดูแลอาการอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เมื่อคืนวานนี้แล้ว ขณะที่ด้านนอกห้องพัก เจ้าหน้าที่จากศาล จ.ยะลา คอยดูแลความปลอดภัยบริเวณหน้าห้องผู้ป่วยและไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้าเยี่ยม กระทั่งเวลา 13.40 น. นายอนิรุจ ใจเที่ยง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดยะลา ได้มาเยี่ยมอาการ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เกิดขึ้น บอกเพียงสั้นๆ ว่าขณะนี้อาการปลอดภัยดีแล้ว ส่วนรายละเอียดต่างๆ เป็นไปตามขั้นตอน

ทั้งนี้ นายคณากร เพียรชนะ อายุ 49 ปี ที่อยู่ตามที่ระบุในรายงานการตรวจสอบที่เกิดเหตุระบุว่าอยู่บ้านเลขที่ 90/62 หมู่ 8 ต.สันปูเลย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ย้ายจาก จ.ปัตตานี มาอยู่ที่ จ.ยะลา เมื่อเดือน เม.ย. 2562

สมาคมพิทักษ์ รธน. เรียกร้องให้ศาลยุติธรรมคลี่ปมเบื้องหลังกรณีผู้พิพากษายิงตัวเอง
คดีที่ผู้พิพากษายะลายิงตัวเอง พบ 'ศรีวราห์' เคยลงไปแถลงจับกุมปี 61 - กอ.รมน.ยันไม่เคยแทรกแซง
เปิดคำแถลงของผู้พิพากษา จ.ยะลา ก่อนก่อเหตุยิงตัวเอง ขออย่าแทรกแซงและความเป็นธรรมทางการเงิน
ศาลยะลา : 'ผู้พิพากษา' ยิงตัวเองสาหัส หลังลงจากบัลลังก์ พิจารณาคดี

'วันนอร์' รุเยี่ยมให้กำลังใจ เพื่อคารวะแก่นักต่อสู้เพื่อความยุติธรรม

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 09.15 น.นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ได้เดินทางมายังโรงพยาบาลยะลา พร้อมนำกระเช้าเข้าเยี่ยมอาการของนายคณากร โดยนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าได้เยี่ยมให้กำลังใจ เพื่อคารวะแก่นักต่อสู้เพื่อความยุติธรรม เราต้องการหาคนแบบนี้ เพื่อช่วยหาความยุติธรรมให้กับพี่น้องประชาชน และผดุงไว้เพื่อความสูงส่งของขบวนการยุติธรรม จากนั้นจึงได้เข้าไปเยี่ยมให้กำลังใจผู้พิพากษาภายในห้องไอซียู ชั้น 2 โดยที่สื่อมวลชนไม่สามารถเข้าไปบันทึกภาพภายในได้ ซึ่งนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ใช้เวลาในการเข้าเยี่ยมประมาณ 10 นาที ก่อนที่จะออกมา พร้อมระบุว่า ท่านผู้พิพากษาอาการปลอดภัย แต่ยังคงมีอาการบาดเจ็บ ได้มีการพูดคุยกันเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ตนเองก็ให้กำลังใจและให้ท่านพักผ่อนเพื่อรักษาอาการให้ดีขึ้น

'ปิยะบุตร' ยืนยันกรณีนี้ไม่มีการเมืองเกี่ยวข้อง

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีที่ นายคณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดยะลา ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเพราะกดดันที่ถูกแทรกแซงการทำหน้าที่ว่า เมื่อช่วงต้นเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ตนเองได้รับการติดต่อจากนายคณากรผ่านทางเฟสบุ๊คของพรรคอนาคตใหม่เกี่ยวกับนโยบายหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษาในการตัดสินคดี ไม่ให้ผู้บริหารมาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม รวมถึงประสานขอเข้าพบมาโดยตลอดเพื่อให้ข้อมูลแต่ยังไม่เคยได้พบเป็นการส่วนตัวจนมาเกิดเหตุในวันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา 

“เอกสารคำพิพากษา 25 หน้า รวมถึงคลิปของนายคณากร  ที่โพสต์ไว้ในเฟสบุ๊กส่วนตัวแม้จะหายไป แต่ก็มีผู้หวังดีส่งเอกสารทั้งหมดมาให้กับตนเองแล้ว รวมถึงยังได้รับเอกสารจากผู้พิพากษาหลายคนที่มีความอึดอัด และให้ข้อมูลลักษณะเดียวกัน เกี่ยวกับการตรวจร่างคำพิพากษาของผู้บริหาร  แต่ก็ยอมรับว่าเป็นไปตามระเบียบปัจุบันที่ทำได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ถึงเวลาที่ทุกฝ่ายจะต้องเดินหน้าทบทวน และ หาแนวทางแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะกฎหมายพระธรรมนูญ ศาลยุติธรรม รวมถึงระเบียบของศาลฎีกาที่ให้อำนาจผู้บริหารตรวจร่างคำพิพากษาได้  ว่าสุดท้ายจะหาจุดสมดุลอย่างไรไม่ให้เกิดการแทรกแซงความเป็นอิสระ ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาแนวคำพิพากษาของศาลด้วย” 

นายปิยบุตร ยืนยันเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองและนายคณากรก็ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคหรือเกี่ยวข้องกับพรรคอนาคตใหม่ ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตุว่านายคณากรเคยแชร์ข้อความของพรรคนั้น ตนเองไม่ทราบเรื่องนี้ พร้อมอยากเรียกร้องอย่าเล่นการเมืองบนชีวิตคน อย่าลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเกียรติยศ

เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมย้ำไม่มีใครแซกแทรกการทำงานผู้พิพากษาได้

ด้านนายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยว่าได้รับรายงานข้อเท็จจริงเหตุการณ์ผู้พิพากษายิงตัวเองในห้องพิจารณาที่ศาลจังหวัดยะลา ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้ เมื่อรายงานที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) แล้ว ต้องดูว่า ก.ต. จะพิจารณาอย่างไร พร้อมแจงกรณีที่อ้างมีการแทรกแซงคดีจนเป็นเหตุกดดันให้ก่อเหตุยิงตัวเอง ว่าตามขั้นตอนปกติในคดีสำคัญหรือมีอัตราโทษสูง กฎหมายพระธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ให้อำนาจอธิบดีตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งได้ แต่ไม่สามารถก้าวก่ายการตัดสินได้ การทำงานของผู้พิพากษาจึงมีความเป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงแน่นอน

ที่มาเรียบเรียงจาก: ผู้จัดการออนไลน์ | เว็บไซต์ข่าวสด | สำนักข่าวไทย [1][2]

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ใต้โต๊ะนักข่าว EP.23 | ความตาย (1) เมื่อถึงเชิงตะกอน ทัศนะป๋วยต่อความตาย

$
0
0

รายการใต้โต๊ะนักข่าวต้อนรับตุลาคม เดือนอาถรรพ์การเมืองไทยด้วยซีรีส์ใหม่ในธีม "ความตาย" ในตอนนี้ธรรมชาตินักข่าวประชาไทอิงลิช ชวนคุยเรื่อง "อ.ป๋วยกับความตาย" กับกษิดิศ อนันทนาธรผู้รวบรวมงานเขียน อ.ป๋วย ทั้งหมดที่หาได้ไว้ในที่เดียว 

ป๋วยรับมืออย่างไรเมื่อพ่อแม่ตาย ? ทำไมป๋วยถึงไม่กินยาพิษฆ่าตัวตายหลังถูกจับตอนเป็นเสรีไทย? ทำไมป๋วยถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา? ทั้งที่คุยกันเรื่องความตาย คู่สนทนากลับไม่พบอะไรเลยนอกจากร่องรอยความคิดของป๋วยที่เห็นว่าชีวิตทุกคนเป็นสิ่งมีค่า ซึ่งควรแก่การรักและปกป้องไว้ด้วยความยุติธรรม

รับฟังใต้โต๊ะนักข่าวย้อนหลังทาง Podbean | Spotifyและ YouTube

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

2 พรรคฝ่ายรัฐบาลเบี้ยวร่วมเวทีเสวนาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วน ปชป. ติดต่อยาก

$
0
0

5 ต.ค. 2562 ที่ห้องริมน้ำ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คณะรณรค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน(ครช.) ได้จัดกิจกรรม "สู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" โดยภายในเวทีได้มีการจัดวงเสวนาว่าด้วยพรรคการเมืองกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามกำหนดการมีชื่อตัวแทนพรรคการเมืองทั้งหมด  พรรคการเมืองเข้าร่วม ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคอนาคตใหม่ พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา

แต่ก่อนเริ่มวงเสวนา อนุสรณ์ อุนโณ ตัวแทน ครช. ระบุว่า ก่อนวันงานได้เชิญพรรคพลังประชารัฐไป โดยวิเชียร ชวลิต นายทะเบียนพรรค รับปากว่าจะมาร่วมงาน แต่จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดยังมาไม่ถึง ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา นิกร จำนงค์ รับว่าจะมาร่วมงาน ได้ก็ได้โทรมาบอกเมื่อวานนี้ว่า ป่วยกระทันหัน ซึ่งได้พยายามหาคนอื่นมาแทน แต่ก็ไม่สามารถหามาได้ทัน ส่วนพรรคประชาธิปัตย์นั้นได้มีการติดต่อประสานไปแล้ว แต่ก็พบว่า มีความยากลำบากในการติดต่อประสานงาน

“หากพรรคการเมืองไม่ใช้โอกาสนี้ในการสื่อสารกับสาธารณะ ในพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้พูดอย่างเสมอกันไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน หรือรัฐบาล หากว่ามีความจริงใจที่จะอาศัยรัฐธรรมนูยที่จะเขียนขึ้นมาใหม่ในการคลี่คลายปัญหา หรือวิกฤติที่ประเทศกำลังประสบ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ และเสียดายถ้าปฏิเสธที่จะเข้าร่วม” อนุสรณ์ กล่าว

สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ส.ส. พรรคเพื่อไทย ระบุว่า รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้เพื่อไม่ให้มีการแก้ไข เพราะจะต้องได้เสียงเห็นชอบจาก ส.ส. ทุกพรรคการเมือง และจะต้องอาศัยเสียง ส.ว. อีก 84 คน ซึ่งมีความเป็นไปได้ยาก ฉะนั้นโจทย์สำคัญที่ฝ่ายค้านกำลังเจออยู่ในเวลานี้คือ จะแก้รัฐธรรมนูญได้อย่างไร เพราะทางที่จะไปต่อเป็นไปได้ยาก มีเพียงทางเดียวต้องให้คนกลางเข้ามาแก้ และคนกลางที่ว่านั้นคือประชาชน

สุทิน กล่าวด้วยว่า การจะเอาประชาชนเข้ามาแก้จะทำอย่างไร ทั้ง 7 พรรคก็คิดร่วมกันว่า เราต้องแก้มาตรา 256 ให้มี ส.ส.ร. เข้ามา เพื่อที่ทุกพรรคการเมืองจะได้ตระหนักว่าผู้ที่เข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นประชาชนที่เขามาแก้ไข

เขากล่าวต่อไป ถึงการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงที่ผ่านมาว่า พรรคฝ่ายค้านไปยื่นญัตติให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา จากนั้นก็มีพรรคอื่นพรรคเช่น ประชาธิปัตย์ พลังประขารัฐ และชาติไทยพัฒนา มายื่นด้วยเช่นกัน ซึ่งในการประชุมครั้งก่อนสภามีเสียงเป็นเอกฉัทน์ให้มีการหยิบยกเรื่องนี้มาพิจารณาเป็นวาระแรกในการประชุมครั้งถัดไป

ขณะที่ ทวี สอดส่อง พรรคประชาชาติ กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ปัญหาต่างๆ ของประเทสไทยในเวลานี้เช่น ปัญหาคุณภาพชีวิต และปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย เกิดจากการที่ประเทศไทยยังไม่มีรัฐธรรมนูญที่ดี ซึ่งจำเป็นต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยต้องเปิดโอกาสให้ใครไทยทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญ

ปิยบุตร แสงกนกกุล กล่าวรัฐธรรมนูญคือ กติกาที่บังคับใช้ร่วมกันทั้งประเทศไทย จึงควรมีสภาพเป็นผลผลิตของการสร้างฉันทามติร่วมกันของประชาชนทั้งประเทศว่าสุดท้ายแล้ว ประเทศนี้จะปกครองกันแบบไหน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยรัฐธรรมนูญถูกฉีกบ่อยครั้งจนวันนี้มีรัฐธรรมนูญเป็นฉบับที่ 20 และจำนวนมากที่มีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญนั้นเป็นการเปลี่ยนแบบอนารยะชนทั้งสิ้น คือการทำรัฐประหาร

“เป็นเรื่องที่ตลกร้ายที่สุด เพราะคนที่เรียกร้องให้คนเคารพรัฐธรรมนูญ เคารพกฎหมาย เป็นคนที่ละเมิดรัฐธรรมนูยเป็นคนแรก เป็นคนฉีกรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความผิดฐานกบฎในราชอาณาจักร แต่นิโทษกรรมให้ตัวเอง แล้วก็ลอยหน้า ลอยตาเป็นนายกฯ จนถึงวันนี้ แล้วก็ยังมีหน้ามาให้คนอื่นเคารพรัฐธรรมนูญ ขณะดียวกันนักการเมืองประชาชนจะเรียกร้องให้มีการแก้รัฐธรรมนูญตามกระบวนการไม่ได้มีปืน ไม่มีรถถังจะไปฉีกได้ กลับโดนแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ และเป็นข้อหาความมั่นคงยุยงปลุกปั่นบ่อนทำลายชาติบ้านเมือง มันเหลือเชื่อที่สุดแล้ว” ปิยบุตร กล่าว  

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

พุทธิพงษ์ทนไม่ได้ ลั่นไม่เกิน 7 วัน แถลงข่าวใหญ่จับผู้เผยแพร่ข่าวหมิ่นสถาบันฯ

$
0
0

ภาพจากเฟสบุ๊คแฟน พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์

5 ต.ค. 2562 พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยผ่านเฟสบุ๊คแฟนเพจโดยระบุว่า เรื่องแบบนี้ไม่มีใครทนได้ ผมก็เช่นกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทางผม กระทรวงดิจิทัลฯ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการสืบสวนค้นหาผู้ที่เผยแพร่ข่าวหมิ่นสถาบันฯ มาโดยตลอด แต่ที่ไม่ได้แถลงข่าวเป็นระยะๆ จนอาจทำให้พี่น้องประชาชนรู้สึกไม่ค่อยพอใจ เพราะในขั้นตอนการสืบสวนนั้น จำเป็นต้องสืบให้ได้แน่ชัดก่อนว่าผู้ร่วมขบวนการมีใครบ้าง หรือสื่อออนไลน์เพจไหนเว็บไหนบ้างที่มีความเกี่ยวพัน ซึ่งในขณะนี้ได้สืบสวนสอบสวนจนค่อนข้างแน่ชัดแล้ว อีกภายใน 7 วันนี้ จะมีการแถลงข่าวแน่นอนครับ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เปิดใจนักแสดงและบทละครแขวนคอ ย้อนดูการ 'ปั่น' ความเกลียดชังก่อน 6 ตุลา

$
0
0

อภินันท์ บัวหภักดี นักแสดงละครที่จำลองการแขวนคอพนักงานการไฟฟ้าที่ถูกสื่อฝ่ายขวาปั่นจนเกิดการล้อมปราบนักศึกษาประชาชนในวันที่ 6 ตุลา 2519 เล่าย้อนความทรงจำ วันนั้นแสดงอะไรกัน ถอดความคิด ความเข้าใจต่อเงื่อนปมที่เคยเป็นฟางเส้นสุดท้ายของการสังหารหมู่ซึ่งเปลี่ยนชีวิตและโฉมหน้าทางการเมืองไทยมาจนถึงทุกวันนี้

(ที่มา: บันทึก 6 ตุลา)

 

แขวนคอหุ่นเหมือนเจ้าฟ้าชาย

แผ่นดินเดือด!

ศูนย์ฯ เหยียบหัวใจไทยทั้งชาติ

เป็นข้อความของหนังสือพิมพ์ดาวสยาม เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2519 พร้อมกับภาพการแสดงละครในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  (มธ.) ที่จำลองฉากแขวนคอของ 2 พนักงานการไฟฟ้านครปฐมที่ถูกฆ่าแล้วแขวนคอเสียชีวิตเมื่อ 24 ก.ย. 2519 ศูนย์ฯ ในที่นี้ก็คือศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย องค์กรระดับอุดมศึกษา 11 สถาบันที่เป็นแกนนำในการจัดการชุมนุมต่อต้านการกลับมาของจอมพลถนอม กิตติขจร ผู้นำเผด็จการที่ประชาชนประท้วงขับไล่เมื่อ 14 ต.ค. 2516 จนต้องหนีออกนอกประเทศ ก่อนจะเดินทางกลับมาในปี 2519 ในฐานะพระภิกษุ การประท้วงเริ่มต้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อ 28 ก.ย. 2519 ก่อนย้ายไปที่สนามหลวงและ มธ. ท่าพระจันทร์

หลังจากข่าวถูกเผยแพร่ ประหนึ่งฟางเส้นสุดท้าย สังคมที่ถูกปลุกให้หวาดกลัวสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์อยู่แล้วได้ประดังประเดกระแสต่อต้านและความโกรธแค้นชิงชังไปยังกลุ่มนักศึกษาที่ชุมนุมอยู่ นักศึกษาประท้วงต้านพระถนอมแต่กลับถูกมองในฐานะภัยคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังจากนั้นก็เป็นที่ทราบกัน เช้าตรู่วันที่ 6 ต.ค. นักศึกษาใน มธ. ถูกตำรวจและกลุ่มมวลชนฝ่ายขวาล้อมปราบ เข่นฆ่าอย่างทารุณ ก่อนที่จะมีการรัฐประหารในวันเดียวกัน แล้วเรื่องในวันนั้นก็ถูกแสร้งทำเป็นว่าลืมไป

กาลเวลา 43 ปีเปลี่ยน อภินันท์ บัวหภักดี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ผู้เล่นบทคนถูกแขวนคอ ปรากฏรูปหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ดาวสยามฉบับนั้น ให้กลายเป็นพนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่เกษียณอายุราชการมาแล้ว 3 ปี เขาทำในส่วนของบรรณาธิการอนุสาร อสท. ปัจจุบันอภินันท์ยังเป็นนักเขียน ช่างภาพอิสระ ขายกล้าพันธุ์โกโก้และกาบหมาก เขายังเดินเหินสะดวก สีหน้าแจ่มใส แม้เคยได้รับเชื้อวัณโรค

ในวันที่มีอายุอานาม 63 ปี ความทรงจำของเขาต่อเหตุการณ์การแสดงละคร การล้อมปราบ และการถูกขังคุกเป็นเวลา 2 ปีเป็นอย่างไร วันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ความคิดแบบไหนที่เขาใช้จัดการความทรงจำบาดแผลในฐานะผู้ถูกสื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชังจนนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมใหญ่และอุบาทว์ที่สุดครั้งหนึ่งของสังคมไทย ประชาไทคุยกับอภินันท์เพื่อถอดความคิดเหล่านั้น เนื่องในโอกาสครบรอบ 43 ปีเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519

4 ต.ค. 2519 เปิดม่านละครลานโพธิ์

“ผมอยู่ในกิจกรรมนักศึกษาประเภทที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง เป็นกิจกรรมการแสดง แต่ว่าคนทำกิจกรรมในธรรมศาสตร์ค่อนข้างมีความเห็นทางการเมืองเป็นเนื้อเดียวกัน ก็คือกระแสของธรรมศาสตร์ที่มีคติว่า ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน ทางเดียวกันก็คือยืนอยู่ข้างประชาชน”

อภินันท์เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ชักนำไปสู่การแสดงละครในวันนั้น ชมรมนาฏศิลป์และการละคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ได้รับมติจากกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ให้ทำอะไรสักอย่างเพื่อชักนำนักศึกษาส่วนใหญ่มาร่วมกิจกรรมชุมนุมต่อต้านการกลับมาของพระถนอมแม้จะอยู่ในฤดูการสอบ ในวันนั้นเขามีอายุ 20 ปี เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 และเป็นนักกีฬาวิ่ง เขาบอกว่านักกีฬาส่วนมากเป็นฝ่ายขวาที่มักวิจารณ์ขบวนการนักศึกษา

“เราก็คิดว่าวันเสาร์ที่ 4 ตุลาคมเป็นวันที่นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะมาสอบในที่เดียวกันคือที่คณะศิลปศาสตร์ ปี 1 ทั้งหมดเขาเรียนรวมกัน ถ้าปี 1 ทั้งหมดมาชุมนุมก็จะเป็นพลัง ทำอะไรได้เยอะ เราก็เลยสร้างละคร street theatre ละครกลางถนนขึ้นมาเรื่องหนึ่ง เรียกร้องเชิญชวน ยิงเข้าไปในจิตใจของคนดูว่าเราจะต้องมาเข้าร่วมชุมนุมกัน”

การแสดงถูกจัดแจงบทขึ้นมา โดยจัดฉากเป็นการจำลองการแขวนคอ 2 พนักงานการไฟฟ้า ชุมพร ทุมไมยและวิชัย เกษศรีพงศา ที่ออกติดโปสเตอร์ต่อต้านจอมพลถนอม พวกเขาถูกฆาตกรรมแล้วนำไปแขวนคอที่ประตูทางเข้าที่ดินจัดสรร ต.พระประโทน ต่อมาเรียกประตูนั้นกันในชื่อเล่น ‘ประตูแดง’

รื้อประตูแดงชนวนเหตุ ‘6 ตุลา’ รอแสดงนิทรรศการบันทึกความรุนแรงรัฐต่อ ปชช.

อ่านชิ้นงานเกี่ยวกับ 6 ตุลาเพิ่มเติม

เดิมทีวิโรจน์ ตั้งวานิชย์ (ปัจจุบันเป็นซินแสชื่อดัง) รับบทแขวนคอคนเดียว แต่อภินันท์เล่าว่าเมื่อซ้อมกันจริงๆ แล้วพบว่าจำเป็นต้องมีคนผลัดเปลี่ยน ตรงนั้นเป็นจังหวะที่อภินันท์บังเอิญเดินมาพอดี

“ช่วงเช้าวันนั้น ก่อนที่จะมีการแสดงผมเผอิญเดินเข้าไปในที่ชุมนุมเพราะนัดเพื่อนไปดูหนังกัน แล้วเพื่อนไม่มา ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรก็โต๋เต๋เดินไปที่ชุมนุม พอไปถึงก็เห็นวิโรจน์เขาแขวนคอ สักพักเขาบ่นไม่ไหวก็หาคนจัดแสดงเพิ่ม เงื่อนไขก็คือคนที่ไปแขวนบนนั้นต้องเป็นคนตัวเล็กๆ เบาๆ ในที่สุดผมไม่มีอะไรทำก็อาสาเล่นเอง”

การแสดงดำเนินไประหว่างที่มีการชุมนุมของนักศึกษาบริเวณด้านนอกมหาวิทยาลัย อภินันท์เล่าว่าเนื่องจากมีการชุมนุม และมีการบอกนักข่าวก่อนว่าจะจัดกิจกรรมการแสดง ทำให้มีนักข่าวมาถ่ายรูปค่อนข้างเยอะ อภินันท์เล่าบทละครที่เขาต้องไปเล่นฉากแขวนคอสลับกับวิโรจน์ว่าเป็นดังนี้

“ให้นักศึกษานอนเรียงกันเป็นบันได แล้วก็ให้มีนักศึกษาคนหนึ่งแสดงเป็นนักศึกษา แต่งตัวทำท่าเหมือนจะไปสอบ ระหว่างที่เดินไปก็งุนงงว่ามีคนมานอนเรียงราย บาดเจ็บล้มตายอยู่ข้างหน้า ขวางทางเขาที่จะไปสอบ แล้วก็มีคนๆ หนึ่งยันตัวลุกขึ้นมา นักศึกษาก็ถามว่า คุณเป็นใคร มาทำไมที่ตรงนี้ ฉันจะขึ้นไปสอบ”

“พวกฉันเป็นนักศึกษาและประชาชนที่ร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์ 14 ตุลา พวกฉันบาดเจ็บล้มตายเพราะเรียกร้องประชาธิปไตยให้ได้มา แล้วเธอจะยังไปสอบอีกหรือในเมื่อเหตุการณ์ที่พวกฉันต่อสู้ล้มตายไปได้กลับมาแล้ว” นักศึกษาที่นอนเป็นบันไดพูด

“ฉันก็จะไปสอบสิ ฉันมีหน้าที่ที่จะต้องไปสอบ ฉันมีหน้าที่ไปเรียน มีความก้าวหน้า ความรุ่งโรจน์รออยู่ข้างหน้า” คนที่เล่นเป็นนักศึกษาตอบกลับ

“ก็ได้ เธอจะไปสอบก็ได้ พวกเธอก็ข้ามศพพวกฉันไปทีละศพ” (อ่าน 14 ตุลา เพิ่มเติมที่วิกิพีเดีย)

อภินันท์เล่าว่า หลังจากนั้นนักศึกษาก็ก้าวข้ามไปทีละศพๆ สุดท้ายก็ไม่ไหว ตัดสินใจทิ้งหนังสือแล้วไม่สอบ ละครนี้เล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนที่การสอบจะเริ่ม บางครั้งตัวละครก็ชี้มายังวิโรจน์และอภินันท์ที่ผลัดกันแขวนคออยู่ ท้ายที่สุด นักศึกษาราวร้อยละ 20 ไม่เข้าสอบ ต่อมาทางมหาวิทยาลัยก็ประกาศงดสอบ

5 ต.ค. 2519: ถูกใช้เป็นชนวนเหตุ 6 ตุลา

เหตุการณ์หลังจากนั้นก็ตามที่ทราบกัน ข่าวเรื่องการเล่นละครแขวนคอถูกเผยแพร่ก่อนที่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ จากนั้นภาพอภินันท์ที่ถูกแขวนคอถูกนำไปใส่สีตีไข่ในหนังสือพิมพ์ดาวสยาม กรอบบ่ายวันที่ 5 ต.ค. ในลักษณะภาพและมุมที่เหมือนเจ้าฟ้าชายที่สุด อภินันท์ที่เคยทำงานเป็นสื่อมวลชนตั้งข้อสงสัยว่า หากเหตุการณ์ที่เกิดในตอนบ่ายวันที่ 4 ต.ค. เป็นการอาฆาตมาดร้ายจริง ข่าวใหญ่เช่นนั้นสามารถตีพิมพ์ได้ตั้งแต่กรอบเช้าของวันที่ 5 ต.ค.แล้ว

อย่างไรก็ดี ฟางเส้นสุดท้ายถูกโหมกระพือจากฝ่ายขวาจนเป็นไฟแค้น ความพยายามของนักศึกษาเมื่อ 5 ต.ค. ที่ชี้แจงว่าการแสดงละครไม่ได้มุ่งหวังจะแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์รัชทายาทก็สายเกินไป เพราะวันนั้นมวลชนฝ่ายขวาได้ล้อมมหาวิทยาลัยเอาไว้ เลยเวลาที่นักข่าวจะส่งข่าวปิดต้นฉบับให้ทันวันนั้น และการล้อมปราบก็เกิดขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนจะตามมาด้วยการรัฐประหารที่นำโดย พล.อ.บุญชัย บำรุงพงศ์ และ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ (อ่านเพิ่มเติมที่บันทึก 6 ตุลา)

“ก่อนหน้านั้นก็มีข่าวลือแล้วว่านักศึกษาจับเจ้าฟ้าชายไปแขวนคอ นักศึกษาเจตนาแสดงความอาฆาตมาดร้าย เอารูปของเจ้าฟ้าชายไปแขวนคอ ทำให้สับสนมาก เอาเฉพาะรูปหรือเอาคนไปแต่งตัวเหมือนเจ้าฟ้าชายไปแขวนคอ ซึ่งมันก็สร้างกระแส และวิทยุหลายๆ แห่งก็ปลุกระดมกันใหญ่เลยว่านักศึกษามันอาฆาตมาดร้าย มีเจตนาโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์”

“พวกฝ่ายขวาทั้งหลายที่มีความสามารถทางการพูดถูกเรียกระดมมาออกทีวีรายการสด ออกวิทยุรายการสด ซัดกันใหญ่เลย ปลุกระดมลูกเสือชาวบ้านมาชุมนุมเยอะแยะมากมายมาที่ลานพระรูป (พระบรมรูปทรงม้า) ตอนเย็น เรียกว่าปลุกระดมภายในเวลาเพียงครึ่งวัน เรียกคนมาด่านักศึกษาใหญ่โตเป็นเรื่องเป็นราว”

อภินันท์รีบเดินทางจากบ้านกลับมายัง มธ. ในวันที่ 5 ต.ค. หลังได้ข่าวเรื่องการแสดงละครผ่านทางวิทยุ ซึ่งในช่วงที่เขาเดินทางมาถึง มธ. กลุ่มฝูงชนก็ล้อม มธ. เอาไว้แล้ว ทำให้อภินันท์ผู้มีหน้าแปะหราอยู่บนหนังสือพิมพ์ดาวสยามต้องเดินฝ่าม็อบเข้าไปในมหาวิทยาลัย

เรื่องตลกร้ายก็คือ นอกจากไม่มีใครในม็อบที่คุ้นหน้าเขาแล้ว อภินันท์เองยังไม่คุ้นหน้าตัวเองในหนังสือพิมพ์ด้วย

“เข้าไปในธรรมศาสตร์ตอนกลางคืนก็มีคนล้อมอยู่ข้างนอก เขาก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร มีคนถือหนังสือพิมพ์ดาวสยาม ชี้หน้าว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็ไปดู ก็ไม่เหมือนเลยนะ มันเป็นรูปหน้าใครก็ไม่รู้ หน้าเหมือนถูกตบแต่ง แล้วถ่ายด้วยมุมที่เสยขึ้นไป หน้าผมปกติก็ไม่เหมือนนะ ไม่เคยมีใครมาบอกว่าผมหน้าเหมือน”

“ผมยื่นหน้าเข้าไปดูชัดๆ ก็ไม่เห็นมีใครสังเกตสังกาว่าไอ้นี่ไง เพราะจริงๆ มันไม่เหมือน ผมก็ดูว่ารูปมันไม่ใช่เรา แต่มันก็เรานะ แต่ดูแล้วมันก็ไม่เหมือน”

เวลาราว 5.30 น. ของวันที่ 6 ต.ค. อภินันท์ วิโรจน์ และอนุพงศ์ พงศ์สุวรรณ 3 นักแสดงละครที่ลานโพธิ์ กับแกนนำศูนย์ฯ อีก 3 คน ได้แก่สุธรรม แสงปทุม สุรชาติ บำรุงสุขและประพนธ์ วังศิริพิทักษ์ต้องฝ่ากระสุนและวงล้อมออกไปพบ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมทย์ นายกฯ ขณะนั้น ทำให้พวกเขาไม่ได้เจอกับการล้อมปราบ ในนาทีที่รัฐประหาร การเดินทางไปพบนายกฯ เปลี่ยนเป็นการนำตัวไปฝากขัง และคุมขังขณะรอพิจารณาคดียาวนาน 2 ปี

อภินันท์และเพื่อนพบกับการดำเนินคดีสารพัดข้อหาทั้งบุกรุกสถานที่ราชการ ฆ่าและพยายามฆ่าประชาชน เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย วางเพลิง เป็นคอมมิวนิสต์ กบฏในราชอาณาจักร แต่มีอภินันท์และเพื่อนนักแสดงรวม 4 คนเท่านั้นที่มีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพติดตัว

ในสมัยที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีโซเชียลมีเดีย กว่าอภินันท์และเพื่อนจะรู้เรื่องการล้อมปราบก็ใช้เวลาอยู่หลายวัน

ติดคุก ขึ้นศาล นิรโทษกรรม: จมอยู่กับเงื่อนปม

“ตอนเข้าคุกไป ผมรู้สึกว่ามันก็โกรธแค้นนะ เพราะอยู่ดีๆ เราถูกลากเข้าไปเป็นตัวการทำให้เกิดการล้อมปราบ ทำให้เกิดการฆ่า ทำให้เกิดการทำร้าย ทำให้เกิดคนตายเยอะแยะมากมาย มันเสียใจส่วนหนึ่ง แค้นส่วนหนึ่ง ทำไมเรากลายเป็นเหยื่อที่ไปทำให้คนอื่นเขาตาย จิตใจสับสนวุ่นวายไปมากทีเดียว”

“ระหว่างการติดคุก แทบจะทุกวันที่มีความรู้สึกว่าเราเป็นเหตุให้คนบาดเจ็บล้มตาย ติดคุกแรกๆ ร้องไห้แทบทุกวัน รู้สึกเสียใจ แต่พวกเราก็ปลอบใจกันเองและก็ได้เรียนรู้เรื่องการเมือง เหตุผลการต่อสู้ในทางการเมืองกันไป”

อภินันท์เล่าถึงความรู้สึกในวันที่รู้เรื่องการล้อมปราบ เงื่อนปมในใจกลายเป็นกลายเป็นความตั้งใจส่วนตัวที่จะออกมาพูดความจริงที่เกิดขึ้น จะให้คนทำผิดถูกลงโทษ แต่ฝันไม่เป็นจริง เพราะมีการนิรโทษกรรมผู้ต้องหาทุกฝ่ายในปี 2521 หลังรัฐประหารโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ในปี 2520 เท่ากับว่าไม่เคยมีการชำระการล้อมปราบในทางกระบวนการยุติธรรม ทำได้เพียงการออกมาพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังได้รับอิสรภาพ

“เป็นการนิรโทษกรรมที่ทำให้ทั้งหมดคาราคาซัง เลิกแล้วต่อกันไป คนที่ได้รับประโยชน์จริงๆ คือคนที่กระทำผิด อย่างเราที่ไม่ได้กระทำผิดก็อยากจะพิสูจน์ เอาเราไปติดคุกอีกสัก 4-5 ปีให้พิสูจน์ก็เอา ขอให้ได้พิสูจน์จริงๆ แต่ในที่สุดแล้วก็ทำอะไรไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็มีผลกับชีวิตของเขาทั้งระยะสั้นและระยะยาว

“พ่อกับแม่ผมถึงกับอยู่บ้านหลังเดิมไม่ได้ มันเป็นสลัมในกรุงเทพฯ คนแวดล้อมก็เป็นคนทำมาหากิน ไม่ค่อยมีการศึกษามากมาย เขาไม่เข้าใจเหตุการณ์นี้ ใครว่าอะไรก็ว่าตามกัน ด่าซ้ำด้วยซ้ำไป ครอบครัวก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ในที่สุดพ่อแม่ก็ตัดสินใจย้ายบ้านไปอยู่ต่างจังหวัด เพราะว่าไม่ไหวเหมือนกัน”

ดำเนินชีวิตต่อไป: เข้าใจ รื้อสร้าง ถอดบทเรียนความรุนแรงที่เกิด

หลังออกจากคุก อภินันท์กลับมาเรียนต่อ การอยู่กับเงื่อนปมที่เกิดขึ้นในใจ แปรสภาพเป็นรูปเป็นร่างผ่านการใช้ชีวิตที่เขาบอกว่า เป็นปณิธานที่ตั้งขึ้นใหม่ว่าอยากทำประโยชน์ให้คนอื่นมากที่สุด จากนั้นชีวิตค่อยๆ เข้ารูปเข้ารอย

“หลังจากที่เราพ้นเหตุการณ์นี้มาแล้ว หลังจากออกจากคุกมาแล้วก็ตั้งใจทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นเท่าที่ทำได้”

“ก่อนติดคุกไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรเลย พอออกจากคุกมาก็เป็นนักกิจกรรมนักศึกษาตัวยง จบมาจากมหาวิทยาลัยก็มาเป็นนักพัฒนาชุมชน สักพักหนึ่งก็มาทำงานสื่อมวลชน ตั้งใจจะทำงานสื่อมวลชนที่เข้มแข็ง แต่ในที่สุดตัวเองก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ตัวเองเป็นคนอีกประเภทหนึ่งคือสนุกสนานร่าเริง แจ่มใส”

“งานที่ได้ก็เป็นงานท่องเที่ยว ได้ออกไปเที่ยวเยอะแยะเลย ได้ทำหนังสือมากมาย ก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตัวเองตั้งใจไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายใคร และตลอดมาก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ตลอด ในขณะที่ทำงานท่องเที่ยวก็ทำงานพัฒนาชุมชนแบบอ้อมๆ ช่วยเพื่อนๆ ที่เป็นนักอาสาพัฒนาชุมชนในอีกด้านหนึ่งตลอดมา”

นักแสดงบทแขวนคอตกผลึกความคิดและทำความเข้าใจว่า การต่อสู้ทางการเมืองค่อยๆ นำพาสถานการณ์ให้สุกงอมจนเป็นเหตุการณ์ 6 ตุลา ฆาตกรคือผลของการสุมไฟความเกลียดชังที่ทำกันเป็นระบบจนถึงจุดปะทุ

“มันคงไม่มีใครสักคนที่ตั้งใจจะทำร้ายคนได้ถึงขนาดนั้น แต่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันเหมือนกับ หนึ่งบวกหนึ่ง สองบวกสาม ในที่สุดมันก็ถึงจุดนั้น”

“เหตุการณ์เสื้อเหลืองเสื้อแดงที่เพิ่งเกิดขึ้นคงไม่มีใครอยากจะทำให้เสื้อเหลืองไปทำร้ายเสื้อแดงถึงตาย เสื้อแดงก็คงไม่อยากไปทำร้ายเสื้อเหลืองถึงตาย แต่ในที่สุดแล้ว เมื่อทุกอย่างปลุกเร้ากันไปเรื่อยๆ ทุกคนเป็นคนที่เติมเชื้อฟืนเข้าไปในไฟเรื่อยๆ มันก็ไปถึงจุดนั้นได้ในที่สุด ถึงตอนนี้ผมก็ไม่ได้โทษว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาต้องมาฆ่ากัน แต่การปลุกเร้าเหตุการณ์ 3 ปีระหว่าง 14 ตุลาถึง 6 ตุลา ก็ทำให้เหตุการณ์ก้าวมาถึงที่สุดจนได้”

“มันเป็นจุดสูงสุดของการเติมเชื้อไฟเข้าไปในฟืน ในที่สุดแล้วมันก็ทำให้เกิดความเคียดแค้นจนได้ ใครที่เป็นตรงนั้นมันไม่ใช่คนเดียวที่เป็นตัวฆาตกร แต่ฆาตกรคือช่วยๆ กันทำ ในที่สุดก็เป็นฆาตกรกันไปหมด มันก็เป็นอะไรที่ทำอะไรไม่ได้ ถ้าจะหยุดยั้งมันก็ต้องหยุดยั้งมันตั้งแต่เริ่มเลย ซึ่งมันยากเย็นจริงๆ คนตั้งเยอะตั้งแยะ ถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”

เมื่อถามว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะกลับไปแสดงบทการแขวนคอสลับกับวิโรจน์หรือไม่ คำตอบที่ลังเลไม่ได้สะท้อนความอ่อนไหวของเจตนารมณ์ แต่กลับเป็นการยืนยันหนักแน่นว่าคนที่ผิดไม่ใช่พวกเขาและบทละครในวันนั้น

“ถ้ารู้งี้เหรอ..คือละครเรื่องนั้นไม่ได้ผิดอะไรเลยนะ ถ้าย้อนกลับไปก็จะเล่น เอ่อ ถ้าย้อนกลับไปมันไม่ได้ดิ ย้อนกลับไปมันก็รู้หมด แต่ละครเรื่องนั้นมันไม่ได้ผิดอะไร คนที่เอาละครเรื่องนี้มาใช้เพื่อที่จะทำลายนักศึกษา ไอ้คนนี้คือคนผิดอย่างแท้จริง ตัวเองรู้ทั้งรู้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่เกี่ยว ยังจับมาเกี่ยวจนได้เพราะอาจจะสังเกตว่าไอ้หน้าคนแสดงมีส่วนคล้าย ถ้าพูด ปลุกระดม ถ้าบอกว่ามันเหมือนมันก็จะมีคนเชื่อ ไอ้คนนี้ไม่รู้ใคร ซึ่งเป็นตัวพูดคำนั้นขึ้นมาแล้วคนที่ต้องการปราบนักศึกษาก็เลยพูดตามกันยกใหญ่ มันก็เลยเกิดการล้อมปราบขึ้นมา”

นักแสดงอาสาที่วันนี้อายุ 63 ปีแล้ว ขอให้ 6 ตุลา 2519 เป็นบทเรียนสำหรับสังคมไทยให้นึกถึงวันที่คนไทยฆ่ากันเองจากการสุมไฟเกลียดชังและการขาดสื่อที่ทำหน้าที่เตือนสติฝูงชนที่โกรธเกรี้ยว

ข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมจากโครงการบันทึก 6 ตุลา

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

จาก 6 ตุลา 2519 ถึงวิกฤตการเมืองร่วมสมัย: สี่ทศวรรษแห่งความสูญเปล่าเรายังคงฆ่ากัน [คลิป]

$
0
0

6 ต.ค. 62 - เสวนา "จาก 6 ตุลา 2519 ถึงวิกฤตการเมืองร่วมสมัย: สี่ทศวรรษแห่งความสูญเปล่าเรายังคงฆ่ากัน" จัดโดย เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิมนุษยชน (คนส.) ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

วิทยากรโดย เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว, นวลน้อย ธรรมเสถียร, ธนาวิ โชติประดิษฐ, พูนสุข พูนสุขเจริญ ดำเนินรายการโดย ภาสกร อินทุมาร

สำหรับการถ่ายทอดสดนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ประชาไท X PITV : ชวนร่วมระดมทุน 49,559 บ. เพื่ออัพเกรดระบบถ่ายทอดสดให้ PITV (ระดมทุนครบแล้ว อ่านรายละเอียดที่นี่)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ชาวเอกวาดอร์ประท้วงรัฐบาลยกเลิกงบหนุนเชื้อเพลิง-ทำราคาน้ำมันพุ่ง

$
0
0

ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาชาวเอกวาดอร์พากันประท้วงรัฐบาลหลังจากมีการยกเลิกความช่วยเหลือทางการเงินด้านน้ำมันทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น มีผู้ประท้วงถูกจับกุมแล้วอย่างน้อย 350 ราย ประธานาธิบดี 'เลนิน โมเรโน' ประกาศยืนยันว่าเขาจะไม่ยกเลิกมาตรการรัดเข็มขัดนี้และกล่าวหาว่าผู้ประท้วงเป็น 'อาชญากร'


ที่มาภาพประกอบ: Yamil Salinas Martínez(CC BY-SA 2.0)

ความไม่พอใจเรื่องการขึ้นราคาเชื้อเพลิงส่งผลให้ชาวเอกวาดอร์ออกมาประท้วงกันทั่วประเทศ ซึ่งกลุ่มคนขับรถประจำทางและรถแท็กซีต่างพากันหยุดงานประท้วง และมีกลุ่มชนพื้นเมือง สหภาพแรงงานอื่นๆ และนักศึกษา เข้าร่วมด้วยในเวลาต่อมา

การประท้วงเกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมาหลังจากที่ประธานาธิบดี เลนิน โมเรโน ออกมาตรการรัดเข็มขัดปรับลดเงินงบประมาณช่วยเหลือด้านเชื้อเพลิงซึ่งมีมาราว 40 ปีแล้ว เพื่อที่จะยอมตามนโยบายของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพราะโมเรโนอยากกู้ยืมเงินของ IMF เป็นจำนวนเงิน 4,200 ล้านดอลลาร์ฯ ตามข้อตกลงเมื่อช่วงต้นปี มีการตั้งข้อสังเกตจากอัลจาซีราว่าโมเรโนพยายามทำให้ประเทศเอกวาดอร์เป็นมิตรต่อระบบตลาดมากขึ้นหลังจากที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝ่ายซ้ายมาหลายปี ขณะที่ชาวเอกวาดอร์และภูมิภาคลาตินอเมริกามีความกังขาต่อ IMF ซึ่งมองว่าเป็นกลุ่มที่ทำให้เกิดนโยบายรัดเข็มขัดทำให้สภาพชีวิตย่ำแย่

รัฐบาลโมเรโนโต้ตอบผู้ชุมุนมด้วยการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมา มีการวางกำลังตำรวจ รถหุ้มเกราะ และใช้แก็สน้ำตาโจมตีใส้กลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าถึงทำเนียบประธานาธิบดี รัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายในเปิดเผยว่ามีการจับกุมคนราว 350 คนในช่วงที่มีการชุมนุม และระบุว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งที่ทำลายข้าวของและปะทะกับตำรวจ มีตำรวจได้รับบาดเจ็บ 28 รายและมัรถตำรวจถูกทำลายสิบกว่าคัน รวมถึงสำนักงานรัฐบาลในพื้นที่ก็ถูกโจมตี

หัวหน้ากลุ่มคนขับรถบรรทุก ลูอิซ วิซไคโน เรียกร้องในวันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมาให้รัฐบาลเจรจากับพวกเขา โดยบอกว่าภาคส่วนการขนส่งของเอกวาดอร์ทั้งหมดกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต พวกเขาต้องการให้มีมาตรการพบกันครึ่งทาง

ในวันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมาโมเรโนออกมาแถลงหลังจากประชุมคณะรัฐมนตรีว่าเขาจะเปิดให้มีการพูดคุยหารือกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการตัดงบประมาณในครั้งนี้แต่ก็กล่าวหาว่าผู้ชุมนุมบางส่วนที่ใช้ความรุนแรงนั้นเป็น "อาชญากร" และเขาจะไม่เจรจากับอาชญากร นอกจากนี้ยังกล่าวว่าเขาจะไม่มีทางยกเลิกมาตรการรัดเข็มขัดนี้

โมเรโนกล่าวว่ารัฐบาลไม่สามารถแบกรับการให้เงินช่วยเหลือด้านเชื้อเพลิง 1,300 ล้านดอลลาร์ฯ อีกต่อไป ทั้งนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลเอกวาดอร์ยังประกาศอีกว่าพวกเขาจะออกจากการเป็นสมาชิกภาพองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (OPEC) เพื่อดึงเอาทรัพยากรน้ำมันของประเทศออกมาทำรายได้มากขึ้น

เรียบเรียงจาก
Ecuador protests: Hundreds held as president decries ‘criminals’, BBC, 05-10-2019
https://www.bbc.com/news/world-latin-america-49942390

Ecuador fuel protests: 350 arrested as demonstrations continue, Aljazeera, 05-10-2019
https://www.aljazeera.com/news/2019/10/ecuador-fuel-protests-275-detained-demonstrations-continue-191004135117634.html

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'คนส.โพล' ชี้นิสิตนักศึกษากว่าร้อยละ 95 ต้องการแก้ รธน.

$
0
0

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) สำรวจความเห็นนักศึกษาใน 28 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทย จำนวน 3,000 คน พบว่านักศึกษา 95.1 ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

6 ต.ค. 2562 เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) ภายใต้ คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) สำรวจความเห็นนักศึกษาใน 28 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทย จำนวน 3,000 คน พบว่านักศึกษาแทบทุกคน (ร้อยละ 95.1) ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และส่วนใหญ่ (ร้อยละ 63.9) ต้องการให้แก้ไขโดยยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ที่เหลือ (ร้อยละ 36.1) ต้องการให้มีการแก้ไขรายมาตรา 

เนื่องจากพวกเขาเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เพียงแต่ไม่สามารถ “ปราบโกง” ได้ตามที่กล่าวอ้าง หากแต่ยังเอื้ออำนวยให้เกิดการทุจริตคอรัปชันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในส่วนของกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณกระทรวงกลาโหมและความมั่งคงที่สูงเกินความจำเป็น (ร้อยละ 85.1) การซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ด้อยคุณภาพไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ (ร้อยละ 83.5) หรือกรณี “นาฬิกายืมเพื่อน” (ร้อยละ 79.4) 

ขณะเดียวกันพวกเขาเห็นว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนจะถูกจำกัด (ร้อยละ 65.9) ประชาชนจะถูกเจ้าหน้าที่รัฐละเมิดหรือใช้อำนาจมิชอบ (ร้อยละ 74.7) ขาดความมั่นคงปลอดภัยและไม่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐ (ร้อยละ 77) และมีการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรม (ร้อยละ 73.9) นอกจากนี้ พวกเขาเห็นว่าจะมีการละเมิดชุมชนอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นจากโครงการพัฒนา (ร้อยละ 72) การแย่งยึดที่ทำกิน (ร้อยละ 76.2) หรือการฟ้องร้องดำเนินคดี (ร้อยละ 73) และที่สำคัญคือส่วนใหญ่ (ร้อยละ 66.7) เห็นว่าจะมีการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะจากการตีความขององค์กรอิสระ (ร้อยละ 67)    

นอกจากนี้ พวกเขาเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันส่งผลให้เกิดการบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชน โดยเฉพาะในส่วนของการเลือกตั้ง ทั้งในส่วนของ กกต. (4.56 คะแนนจาก 5 คะแนน) การคำนวณจำนวนเก้าอี้ ส.ส. (4.41 คะแนนจาก 5 คะแนน) ที่มาของนายกรัฐมนตรี (4.44 คะแนนจาก 5 คะแนน) และอำนาจของสมาชิกวุฒิสภา (4.27 คะแนนจาก 5 คะแนน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

งานวิจัยชี้หลัง 'ยุติกิจการเหมือง' เด็กในพื้นที่พบ 'สารหนู' ลดลง 12 เท่า

$
0
0


ที่มาภาพประกอบ: astrid westvang(CC BY-NC-ND 2.0)

6 ต.ค. 2562 จากกรณีเมื่อปี 2558 ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัดรอบๆ การประกอบกิจการเหมืองทอง ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ ต่อมาได้ทำการตรวจพบสารหนูในร่างกายของเด็กและผู้ใหญ่ในปริมาณสูง ส่งผลให้ในปี 2559 คณะรัฐบาลมีมติให้ยุติการประกอบกิจการเหมืองทอง และให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การดูแลสุขภาพประชาชนที่อยู่ในพื้นที่โดยได้มีการประเมินภาวะสารหนู ระดับสติปัญญาหรือไอคิว และภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ในเด็กนักเรียน ประถมศึกษาปีที่ 4-6 ของ 6 โรงเรียนในพื้นที่รอบๆ เหมือง พบว่า ร้อยละ 35.6 (73 คน ใน 205 คน) มีสารหนูในร่างกายสูงกว่าปกติ ร้อยละ 38.4 (83 คน ใน 216 คน)  มีไอคิวต่ำกว่า 90 ในเด็กที่ไอคิวมากกว่าหรือเท่ากับ 90 มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ร้อยละ 40.6 (86 ใน 212 คน) ซึ่งการศึกษาในต่างประเทศพบว่า เด็กเมื่อได้รับสารหนูเข้าสู่ร่างกายจะส่งผลให้มีไอคิวต่ำลง ในเด็กที่ไอคิวปกติยังพบว่าสารหนูมีผลต่อสมองก่อให้เกิดความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้

ต่อมาในเดือน ก.ย. 2562 ที่ผ่านมานี้ หรือกว่า 3 ปีให้หลังจากการตรวจประเมินรอบแรก สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้สนับสนุนโครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนิก (สารหนู) แมงกานิส ไซยาไนด์ และฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็ก ป.4-6 โดยมีทีมวิจัยจากสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ดำเนินการประเมินระดับสารหนูในเด็ก ป.4-6 ไอคิวและความบกพร่องทางการเรียนรู้อีกครั้งพื้นที่เดิมพบว่า สัดส่วนของการมีสารหนูสูงกว่าปกติในร่างกายของกลุ่มเด็กนักเรียน ป.4-6 ของ 6 โรงเรียนเดิม ลดลงจาก 35.6 เหลือร้อยละ 4.5 (9 คน ใน 199 คน) หรือลดลง 12 เท่าตัว ลดลงมากทุกโรงเรียน ทุกชั้นปี และทุกเพศ ขณะที่เด็กที่มีไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์ปกติพบ ร้อยละ 40.6 (86 คน ใน 212 คน) ไม่แตกต่างจากเดิม แต่เด็กที่ไอคิวมากกว่าหรือเท่ากับ 90 มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ลดลงจากร้อยละ 40.6 เป็นร้อยละ 22.22 (28 คน ใน 126 คน)

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าก่อนหน้านี้เราได้รับข้อมูลว่าสารหนูอยู่ในดินชั้นลึกของบริเวณละแวกนี้มานานแล้ว แต่ 3 ปีก่อนที่เราพบสารหนูในร่างกายเด็กๆ เราไม่รู้แน่ชัดว่าสารหนูที่สูงในเด็กมาจากการประกอบการใดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจนสารหนูสามารถเข้าสู่ตัวเด็กๆ หรือจริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่อยู่ในร่างกายเด็กๆทุกรุ่นทุกสมัยอยู่แล้ว แต่วันนี้เราพบว่าความเสี่ยงต่อการได้รับสารหนูในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายลดลงกว่า 12 เท่าตัว ภายในสามปีหลังจากมีการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เปลี่ยนแปลง วอนทุกฝ่ายมีความตระหนัก หากจะให้มีการประกอบการใดที่อาจทำให้สิ่งแวดล้อมกลับมาที่จุดเดิม ขอให้โปรดทำการประเมินให้ถ้วนถี่ ว่าการประกอบการนั้นจะไม่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการได้รับสารหนูในเด็กๆ กลับมาอีก 

ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่าเราทราบกันดีว่าประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลายเรื่อง เรื่องที่สำคัญที่สุดแต่ยังมีการพูดกันน้อย คือ เด็กไทยเกิดน้อยลง และที่เกิดมาแล้วก็ยังเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาสติปัญญา การเรียนรู้ และการเติบโตตามวัยที่สมส่วน คำถามคือ เราจะทำอยางไรให้เด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ จะเห็นว่ามีเด็กไทยจำนวนหนึ่งก้าวขึ้นแข่งขันโอลิมปิกวิชาการได้รางวัลมากมายในแต่ละปี ขณะที่เด็กอีกจำนวนมากเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ตั้งแต่ขาดการดูแลและพัฒนาอย่างเหมาะสม หรือได้รับการดูแลและพัฒนาแบบอย่างไม่เหมาะสม เช่น ตามใจมากเกินไป จนเด็กเติบโตขึ้นมาแล้วขาดความอดทน ขาดวินัยในการดูแลจัดการตนเอง หรือมีเด็กอีกกลุ่มที่เติบโตขึ้นมาภายใต้ปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม แผนงานวิจัยเพื่อการพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น ของ สวรส. ต้องการสนับสนุนการวิจัยเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบและนโยบายเพื่อการป้องกันความเสี่ยง การพัฒนามาตรการต่างๆ และนโยบายที่ส่งเสริม และพัฒนาให้เด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ ไม่ต้องการให้เด็กกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งต้องถูกทอดทิ้ง No one left behind และเติบโตขึ้นมาจนกลายเป็นประชากรที่เป็นปัญหาของสังคม 

ทพ.จเร กล่าวต่อไปว่า เราต่างก็มักจะชี้นิ้วด่าว่ากลุ่มเด็กและวัยรุ่นเหล่านี้ แต่ทุกคนต้องกลับมาตั้งคำถามว่า อะไรคือเหตุที่ทำให้เราได้ประชากรแบบนี้ขึ้นมาในสังคม การกล่าวโทษไม่ใช่ทางแก้ ทางแก้ต้องมองย้อนกลับขึ้นไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาตั้งแต่เกิดจนเติบโตขึ้นมา และหามาตรการต่างๆป้องกัน ตลอดจนให้การรักษา ฟื้นฟู หากเกิดปัญหาขึ้นแล้ว สวรส. ไม่ได้ต้องการแค่สนับสนุนการวิจัย แต่ต้องการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐ เอกชน สื่อมวลชน หันมาสนใจประเด็นการพัฒนาเด็กให้มากขึ้น โดยเฉพาะเด็กที่กำลังถูกทอดทิ้งให้ความสนใจ เด็กและครอบครัวที่ตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว สุดท้ายการศึกษานี้เป็นแค่หนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า การวิจัยจะช่วยชี้ให้เห็นว่า เกิดอะไรขึ้นกับเด็กกลุ่มที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยง สถานการณ์ขณะนี้ดีขึ้นหรือแย่ลง มีอะไรที่สะท้อนช่องทางที่จะนำไปสู่มาตรการและนโยบายเพื่อการป้องกัน แก้ปัญหา ขณะเดียวกันทุกฝ่ายต้องหยิบเอาบทเรียนจากการศึกษานี้ ไปลองส่องดูว่ายังมีเด็กกลุ่มไหน ครอบครัวใดบ้างที่เราหลงลืม และควรจะนำขึ้นมาพูดคุยให้สังคมสนใจมากกว่าความสนใจในเรื่องใกล้ตัว หรือเพื่อความบันเทิง 
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'มูลนิธิผสานวัฒนธรรม' ขอให้ย้ายบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำแถลงของ 'ผู้พิพากษาคณากร'

$
0
0

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการณ์ ขอให้ย้ายบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำแถลงของผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ ตรวจสอบอำนาจพิเศษในทุกรูปแบบที่ส่งผลการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม (Fair Trial) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้


คณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นศาลจังหวัดยะลา (แฟ้มภาพ)

6 ต.ค. 2562 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้ออกแถลงการณ์ 'ขอให้ย้ายบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำแถลงของผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ ตรวจสอบอำนาจพิเศษในทุกรูปแบบที่ส่งผลการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม (Fair Trial) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้' โดยระบุว่าในวันที่ 4 ต.ค. 2562 ที่ผ่านมา จากเหตุการณ์ที่มีผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดยะลา ได้ใช้อาวุธปืนทำร้ายตนเองจนได้รับบาดเจ็บที่ห้องพิจารณาคดีในศาลจังหวัดยะลา

เหตุการณ์นี้สร้างความตระหนกตกใจให้กับผู้เกี่ยวข้องในคดีที่ผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ มีคำพิพากษา รวมตลอดถึงจำเลยทั้ง 5 คน ญาติ และเจ้าหน้าที่ศาลทุกคน รวมทั้งเมื่อมีข่าวสารเผยแพร่ออกมาพบว่า การตัดสินใจ
ทำร้ายตนเองนั้นอาจเกี่ยวกับการเรียกร้องให้มีการเกิดการตรวจสอบการแทรกความเป็นอิสระของตุลาการ โดยมีเอกสารจำนวน 25 หน้าเป็นหลักฐานที่สำคัญ

คดีดังกล่าวเป็นคดีอาญาที่ไม่ใช่คดีความมั่นคงที่มีจำเลย 5 คน ตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าผู้อื่นด้วยอาวุธปืนจำนวน 5 คน เหตุเกิดขึ้นที่ตำบลตาเนาะปูเต๊ะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2561 มีการจับกุมบุคคลหนึ่งคนด้วยอำนาจกฎอัยการศึกและรับฟังคำซัดทอดจนเกิดการจับกุมบุคคลอื่นอีกจำนวนหนึ่ง

แพทย์ย้าย 'ผู้พิพากษาคณากร' ออกจากห้องไอซียูไปอยู่ห้องพิเศษแล้ว
สมาคมพิทักษ์ รธน. เรียกร้องให้ศาลยุติธรรมคลี่ปมเบื้องหลังกรณีผู้พิพากษายิงตัวเอง
คดีที่ผู้พิพากษายะลายิงตัวเอง พบ 'ศรีวราห์' เคยลงไปแถลงจับกุมปี 61 - กอ.รมน.ยันไม่เคยแทรกแซง
เปิดคำแถลงของผู้พิพากษา จ.ยะลา ก่อนก่อเหตุยิงตัวเอง ขออย่าแทรกแซงและความเป็นธรรมทางการเงิน
ศาลยะลา : 'ผู้พิพากษา' ยิงตัวเองสาหัส หลังลงจากบัลลังก์ พิจารณาคดี

ต่อมามีการดำเนินคดีอาญาต่อจำเลยเพียง 5 คน ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการซักถามด้วยอำนาจกฎหมายพิเศษเป็นเวลานานก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาปกติ และถูกสั่งฟ้องด้วยพยานหลักฐานที่มีข้อพิรุธไม่สามารถรับฟังได้ตามหลักกฎหมาย เมื่อหัวหน้าองค์คณะผู้พิพากษาคดีนี้ได้เขียนคำพิพากษายกฟ้อง โดยมีการกล่าวอ้างว่าถูกแทรกแซง สั่งการโดยผู้บังคับบัญชา ให้แก้ไขเป็นลงโทษประหารชีวิต 3 รายและจำคุกตลอดชีวิต 2 ราย ทำให้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน คือ ท่านคณากร เพียรชนะ ทำร้ายตนเองด้วยอาวุธปืน และได้เขียนคำแถลงไว้ 25 หน้าดังกล่าว

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมที่ได้ทำงานส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้มากว่า 15 ปี พบว่าประเด็นสำคัญเอกสารคำแถลงที่เผยแพร่ในสื่อมวลชนจำนวน 25 หน้ามีความสำคัญแม้เป็นเพียงการกล่าวอ้างฝ่ายเดียว แต่พึงต้องนำไปสู่การตรวจสอบให้เกิดความจริงต่อสาธารณะ เนื่องด้วยเหตุที่ว่าตามหลักกฎหมาย อำนาจตุลาการ ต้องเป็นอำนาจที่เป็นอิสระปราศจากการแทรกแซงจึงจะสามารถนำพาความยุติธรรมให้เกิดขึ้นได้

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ขอเรียกร้องให้มีการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรอบด้านและเป็นอิสระเพื่อให้เกิดความกระจ่างต่อสังคมเพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่ประชาชนจะได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม และสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบตุลาการในเรื่องความเป็นอิสระของตุลาการกลับคืนมาให้ โดยมีข้อเสนอดังนี้

1. ขอให้มีคำสั่งย้ายบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำแถลงนี้โดยเร็ว เพื่อให้เกิดการตรวจสอบอย่างเป็นอิสระจากหน่วยงานภายในที่พึงมีบุคลากรจากภายนอกของศาลยุติธรรมเข้าร่วมด้วย โดยให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายเพื่อให้ได้ความจริงและแนวทาง การป้องกันไม่ให้เกิดปรากฏการณ์การแทรกแซงความเป็นอิสระของตุลาการดังเช่นนี้อีก

2. ขอให้มีการตรวจสอบอำนาจพิเศษในทุกรูปแบบที่ส่งผลต่อการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ทั้งในคดีความมั่นคงและคดีอาชญากรรมปกติ ตามที่คำแถลงการณ์ลงวันที่ 4 ต.ค. 2562 ของท่านคณากร เพียรชนะ ได้ระบุไว้เช่น การตั้งข้อหาเกินจริง การควบคุมตัวบุคคลโดยอำนาจกฎอัยการศึกแล้วนำตัวมาเป็นพยานในคดีอาชญกรรม การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยคดีอาชกรรมและซักถามด้วยอำนาจกฎหมายพิเศษก่อนการทำสำนวนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติ การรับฟังพยานหลักฐานที่เกิดจากการซักถาม รวมทั้งการมีคำสั่งให้เขียนคำพิพากษาให้ขังระหว่างอุทธรณ์ หากไม่ยอมเปลี่ยนจากคำพิพากษายกฟ้อง
ให้เป็นลงโทษ เป็นต้น

3. บทเรียนครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ระบบตุลาการของไทยและระบบศาลยุติธรรม โดยการนำของประธานศาลฎีกาท่านใหม่ด้วยว่า เราไม่อาจข้ามผ่านปรากฎการณ์ไปได้ด้วยคำชี้แจงว่ากรณีของผู้พิพากษาคณากรฯ เป็นเรื่องส่วนตัว รวมทั้งต้องตรวจสอบการพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรมและนำไปสู่การแก้ไขปรับปรุงและต้องไม่ทำให้เรื่องนี้จบลงท่ามกลางความสับสนและการสูญเสียความเชื่อมั่นต่อระบบตุลาการที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายประชาชน
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ผลวิจัยชี้ประชากรสิทธิบัตรทองมีอัตราป่วยลดลง เหตุเข้าถึงบริการสุขภาพเพิ่มขึ้น

$
0
0

อาจารย์แพทย์ ม.วลัยลักษณ์ เผยผลวิจัยชี้ชัด ประชากรสิทธิบัตรทอง อัตราป่วยลดลงหลังเปรียบเทียบประชากรกลุ่มสิทธิประกันสังคม ข้าราชการ เหตุเข้าถึงบริการสุขภาพเพิ่มขึ้น ด้านสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้น แต่ยังมีอัตราขยับเพิ่มต่ำกว่ากลุ่มประชากรกลุ่มอื่น 1 พันบาท/เดือน เหตุจากปัจจัยเหลื่อมล้ำอื่นนอกระบบสุขภาพ

6 ต.ค. 2562 ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาการสุขภาพ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวถึงการศึกษาวิจัย “ผลทางเศรษฐกิจของนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กรณีศึกษาโครงการภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ว่า การศึกษานี้ได้แนวคิดมาจากงานวิจัยในต่างประเทศที่มีข้อมูลว่าการลงทุนด้านสุขภาพมีส่วนทำให้ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศหรือจีดีพีที่เป็นรายได้ของประเทศเพิ่มขึ้น จึงได้ทำการศึกษาวิจัยในส่วนของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทย เพื่อดูผลที่เกิดขึ้นทั้งในด้านสุขภาพและรายได้ของประชาชน

เบื้องต้นการศึกษาได้ตั้งสมมติฐานของผลที่เกิดจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) 2 ส่วน คือ ระบบบัตรทองได้ทำให้ประชาชนที่ได้รับสิทธิมีสุขภาพดีขึ้นหรือไม่ ขณะเดียวกันการมีสุขภาพที่ดีขึ้นของประชาชนที่ได้รับสิทธิบัตรทองส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ เนื่องจาก ผู้ที่มีสุขภาพดีขึ้นย่อมมีโอกาสในการเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น 

ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวว่ากระบวนการศึกษาวิจัยเป็นการการเปรียบเทียบและประเมินผลใน 2 กลุ่มประชากร คือ กลุ่มประชากรที่ได้รับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกลุ่มประชากรที่มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลอื่นที่มีมาก่อน อาทิ สิทธิประกันสังคม สิทธิรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการ เป็นต้น โดยใช้ข้อมูลผลสำรวจประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติในการประเมินผล เปรียบเทียบข้อมูลระหว่าง 2 ปี คือ ปี 2544 ซึ่งเป็นปีก่อนมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และปี 2556 หลังดำเนินหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยเป็นปีที่ข้อคำถามในการสำรวจข้อมูลสุขภาพและรายได้ใกล้เคียงกับปี 2544 มากที่สุด

เมื่อดูอัตราการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพโดยนำมาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มประชากรที่ได้รับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกลุ่มประชากรที่มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลอื่น พบว่า “กลุ่มประชากรที่ได้รับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพในทางที่ดีมากกว่ากลุ่มประชากรที่มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลอื่น” ทั้งในกลุ่มประชากรอายุ 0-20 ปี เป็นกลุ่มเมื่ออายุเพิ่มขึ้นอัตราความเจ็บป่วยยิ่งลดลง โดยอัตราการเปลี่ยนแปลงของผู้ที่ตอบว่าป่วยในช่วง 2-4 สัปดาห์ที่ผ่านมาดีกว่ากลุ่มประชากรที่ใช้สิทธิสวัสดิการอื่นๆ ร้อยละ 18 ขณะที่กลุ่มประชากรอายุ 20 ปีขึ้นไป เมื่ออายุเพิ่มขึ้นจะมีอัตราความเจ็บป่วยที่เพิ่มสูงขึ้น แต่อัตราการเปลี่ยนแปลงของผู้ที่ตอบว่าป่วยในช่วง 2-4 สัปดาห์ที่ผ่านมาดีกว่าประชากรที่ใช้สิทธิสวัสดิการอื่นๆ ร้อยละ 10 ที่เป็นผลจากการเข้าถึงบริการสุขภาพที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้นผลการศึกษานี้จึงสรุปได้ว่า ประชากรที่ได้รับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นโดยเปรียบเทียบเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรในสิทธิอื่น

ส่วนสมมติฐานในเรื่องรายได้ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มประชากรที่ได้รับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวว่า ผลการศึกษาที่ได้ไม่ตรงกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ จากข้อมูลพบว่าประชากรที่ได้รับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีอัตราการเพิ่มของรายได้ต่ำกว่าประชากรสิทธิรักษาพยาบาลในสวัสดิการอื่นประมาณ 1,000 บาท/เดือน และเมื่อเปรียบเทียบรายได้โดยเฉลี่ยพบว่ามีรายได้ที่ต่ำกว่าประชากรสิทธิรักษาพยาบาลสวัสดิการอื่นๆ ประมาณ 3,000 บาท/เดือน สรุปได้ว่าประชากรที่ได้รับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ยังมีอัตราและสัดส่วนของรายได้ที่ต่ำกว่ากลุ่มประชากรที่มีสิทธิรักษาพยาบาลสวัสดิการอื่น

“ความแตกต่างของรายได้ระหว่างประชากรที่มีสิทธิรักษาพยาบาลทั้ง 2 กลุ่ม อาจจะอธิบายได้ว่าเป็นผลจากความเหลื่อมล้ำของสังคมในมิติอื่น นอกระบบสุขภาพ เช่น เศรษฐกิจ อาชีพ เป็นต้น ประกอบกันในกลุ่มที่มีสิทธิรักษาพยาบาลสวัสดิการอื่น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มราชการและพนักงานเอกชน ต่างจากกลุ่มประชากรที่ได้รับสิทธิบัตรทองซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ จึงทำให้รายได้ระหว่างกลุ่มประชากรยังมีความแตกต่าง แม้ว่าจะมีอัตราที่เพิ่มขึ้นก็ตาม” 

ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวว่า ผลจากการศึกษานี้เป็นข้อมูลที่เปรียบเทียบลงไปในระดับประชากร ซึ่งในส่วนผลหลักประกันสุขภาพที่เกิดกับรายได้นั้น หากจะให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน จะต้องทำการศึกษาที่แยกกลุ่มรายได้เพื่อเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นส่วนที่สามารถต่อยอดหลังจากนี้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปหลักประกันสุขภาพทีมีต่อรายได้ประชากรที่ชัดเจน

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

โพลระบุประชาชน 58.37% ไม่ลงทะเบียน 'ชิมช้อปใช้' เพราะระบบและขั้นตอนยุ่งยาก

$
0
0

นิด้าโพลเผยประชาชนส่วนใหญ่ 58.37% ไม่ลงทะเบียนชิมช้อปใช้ เพราะระบบและขั้นตอนยุ่งยาก ส่วนผู้ลงทะเบียน-และกำลังจะลงทะเบียน ส่วนใหญ่ 41.52% ระบุว่าได้ใช้/มีแผนจะใช้จ่ายที่ห้างสรรพสินค้า/ซุปเปอร์สโตร์

6 ต.ค. 2562 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น 'นิด้าโพล' สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ชิมช้อปใช้...ถูกใจหรือไม่” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2 – 4 ต.ค. 2562 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น  1,261 หน่วยตัวอย่าง พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.37 ระบุว่าจะไม่ลงทะเบียน เพราะระบบและขั้นตอนการลงทะเบียนยุ่งยากซับซ้อน ลงยังไงก็ไม่สำเร็จ โทรศัพท์ที่ใช้ไม่รองรับแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ขณะที่บางส่วนระบุว่าไม่มีเวลา/ไม่สะดวกที่จะลงทะเบียน ยังไม่ทราบรายละเอียดของโครงการ และไม่สนใจ/ไม่เห็นด้วย กับโครงการนี้เลย รองลงมา ร้อยละ 25.61 ระบุว่าลงทะเบียนแล้ว และร้อยละ 16.02 ระบุว่ากำลังจะลงทะเบียน

สำหรับแผนการใช้จ่ายโครงการ “ชิมช้อปใช้” ของผู้ที่ได้ลงทะเบียนแล้วและกำลังจะลงทะเบียน พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 41.52 ระบุว่า ได้ใช้/มีแผนจะใช้จ่ายที่ห้างสรรพสินค้า/ซุปเปอร์สโตร์ รองลงมา ร้อยละ 34.10 ระบุว่า ร้านค้าทั่วไปที่เข้าโครงการ ร้อยละ 16.57 ระบุว่า ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 15.24 ระบุว่า ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้อยละ 3.62 ระบุว่า ร้านในกลุ่ม OTOP ร้อยละ 2.29 ระบุว่า โรงแรมโฮมสเตย์ ร้อยละ 2.10 ระบุว่า ร้านวิสาหกิจชุมชน

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อโครงการ “ชิมช้อปใช้” พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 27.36 ระบุว่าเปลืองงบประมาณ ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง รองลงมาร้อยละ 27.28 ระบุว่าเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดี ร้อยละ 25.54 ระบุว่าระบบและกติกาการใช้จ่ายยุ่งยากซับซ้อนเกินไป ร้อยละ 19.59 ระบุว่า ประชาชนได้ประโยชน์จากโครงการนี้ ร้อยละ 13.80 ระบุว่าพ่อค้า นายทุนได้ประโยชน์ จากโครงการนี้ ร้อยละ 13.72 ระบุว่าเป็นมาตรการเลือกปฏิบัติเฉพาะกลุ่ม ร้อยละ 8.96 ระบุว่าเป็นโครงการทำให้คนได้ออกไปเที่ยว ชิมช้อปใช้ กับครอบครัว ร้อยละ 8.09 ระบุว่าเป็นโครงการประชานิยม หาเสียงกับชนชั้นกลาง ร้อยละ 3.17 ระบุว่าระบบของร้านค้า/ห้าง ยังไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดปัญหาการใช้เงินจากโครงการ ร้อยละ 2.78 ระบุว่าสร้างความเท่าเทียมกัน เมื่อคนจนได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนชั้นกลางก็ได้ “ชิมช้อปใช้” ร้อยละ 2.54 ระบุว่า ระบบของธนาคารกรุงไทยยังไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดปัญหาการใช้เงินจากโครงการ ร้อยละ 1.35 ระบุว่า ระบบและกติกาการใช้จ่ายทำให้สามารถควบคุมการใช้จ่ายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อภาพรวมโครงการ “ชิมช้อปใช้” พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 28.95 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย รองลงมา ร้อยละ 25.62 ระบุว่าค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 22.60 ระบุว่าเห็นด้วยมาก ร้อยละ 21.09 ระบุว่าไม่ค่อยเห็นด้วย และเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินโครงการ “ชิมช้อปใช้” ของรัฐบาล พบว่าส่วนใหญ่ ร้อยละ 42.19 ระบุว่าปรับปรุงโครงการให้ดีขึ้น เช่น ปรับปรุงระบบและขั้นตอนการลงทะเบียนให้ง่ายขึ้น ผู้สูงอายุก็สามารถทำเองได้ด้วยตนเอง หรือมีการลงทะเบียนที่ธนาคารกรุงไทย มีช่วงเวลาในการลงทะเบียนที่ชัดเจน ให้สิทธิ์กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ใช้สิทธิ์ได้ทุกที่ ทุกจังหวัด และอยากให้เพิ่มวงเงิน เพิ่มร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ขณะที่บางส่วนระบุว่าร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการควรเป็นร้านวิสาหกิจชุมชน ร้านในกลุ่มสินค้า OTOP ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ รองลงมา ร้อยละ 34.10 ระบุว่ายกเลิกโครงการ ร้อยละ 19.74 ระบุว่า ดำเนินโครงการต่อไป

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กสทช. ยกเลิกสัญญา 'เน็ตประชารัฐ' กับ 'ทีโอที' เหตุติดตั้งไม่เสร็จตามกำหนด กระทบ 3,520 หมู่บ้าน

$
0
0

กสทช. ยกเลิกสัญญา 'เน็ตประชารัฐ' กับ 'ทีโอที' เหตุติดตั้งล่าช้ากว่าเวลาที่ขยายตามกำหนดคือ 15 ก.ย. 2560 ที่ผ่านมา แจงมีพื้นที่ยังเปิดใช้เน็ตไม่ได้อีก 3,520 หมู่บ้าน ยืนยันเร่งดำเนินการประกวดราคาโดยเร็วที่สุด

เว็บไซต์ไทยโพสต์รายงานว่านายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) เปิดเผยว่าภายหลังการที่ประชุมบอร์ด  กสทช. เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2562 ว่าสำนักงาน กสทช.ทำหนังสือ ถึงบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ยกเลิกสัญญา ทีโอที ชนะประมูลโครงการนี้ 3 สัญญาวงเงินรวม 6,486,399,926 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ประกอบด้วย1. โครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบหมู่บ้านในพื้นที่ชายขอบ (Zone C+) กลุ่มที่ 2 (ภาคเหนือ 2) ส่วนที่ 1 ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband Internet Service) วงเงิน 2,103,800,000 บาท

2. โครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบหมู่บ้านในพื้นที่ชายขอบ (Zone C+) กลุ่มที่ 3 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ส่วนที่ 1 ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband Internet Service) วงเงิน2,492,599,999 บาท และ 3. โครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบหมู่บ้านในพื้นที่ชายขอบ (Zone C+) กลุ่มที่ 1 (ภาคเหนือ 1) ส่วนที่ 2 การจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ วงเงิน 1,889,999,927 บาท

อย่างไรก็ให้ทีโอทีมาดำเนินการกำหนดค่าเสียหายที่สำนักงาน กสทช.สามารถตรวจรับงานให้กับ ทีโอที ได้ ส่วนงานใดที่ ทีโอที ได้ส่งมอบมาแล้ว แต่เป็นงานที่คณะกรรมการตรวจรับได้ ก็จะมีการตรวจรับและเสนอเพื่อที่จะอนุมัติเงินงวดให้กับทีโอที ต่อไป 

ขณะเดียวกันส่วนงานใดที่เสนอมาแล้ว แต่ไม่สามารถตรวจรับได้ สำนักงาน กสทช.จะไปดำเนินการออกประกาศประกวดราคาใหม่ เพื่อที่จะให้บริษัทใหม่ เข้ามาดำเนินการทำงานในส่วนสัญญาดังกล่าวต่อไป โดยถ้ามีการประกวดราคาเพิ่มเติมแล้ว ถ้ามีงบประมาณที่เกินจากสัญญา ทีโอทีจะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนงบประมาณดังกล่าวต่อไป

อย่างไรก็ตามในพื้นที่ ป่าสงวน ถ้าเกิดทีโอที ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ก็เป็นจากผู้ส่งมอบงานไม่สามารถส่งมอบงานได้ ส่วนนี้ไม่อยู่ในเงื่อนไข ที่จะถูกปรับตามสัญญา เนื่องจากผู้ว่าจ้างไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ในเขตป่าสงวนได้ ดังนั้นพื้นที่ที่ ทีโอที สามารถเข้าไปดำเนินการได้แล้วไม่แล้วเสร็จ งานแล้วเสร็จแต่ดำเนินการผิดตามเงื่อนไขที่กำหนด (ทีโอที) การใดที่ไม่ผิดทีโอที แต่ถูกต้อง ก็จะมีการจ่ายเงินให้กับทีโอที ต่อไป 

ขณะเดียวกันให้ทีโอที ตั้งคณะทำงาน เข้ามาดำเนินการร่วมกับสำนักงาน กสทช.เพื่อที่จะกำหนดงวดงานใดบ้างที่จะสามารถดำเนินการจ่ายเงินใหักับทีโอที ได้ งวดงานใดบ้างที่ผิดทีโอที และงวดงานใดที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ สำนักงาน กสทช.จะเร่งหาผู้รับจ้างรายใหม่ เพื่อที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการใช้งานของประชาชนในเขตพื้นที่ทุกพื้นที่ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการใช้งานของประชาชน ซึ่งเราตั้งเป้าหมาย ภายในปีนี้หรือต้นปี2563 ไม่ว่าจะเป็นโครงการ เน็ตประชารัฐในพื้นที่ทุรกันดาร และเน็ตประชารัฐในพื้นที่ชนบทที่ กสทช.ดำเนินการ เป็นผืนเดียวกัน ไปรวมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) จำนวน  24,700 หมู่บ้าน ก็จะเป็นผืนเดียวกันในการให้บริการทั่วประเทศทั้งหมด 

“วันนี้ สำนักงาน กสทช.คงไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น ก็คงต้องยกเลิกสัญญาส่วนที่ ทีโอทีไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จ นำไปประกวดราคาใหม่ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่รัฐบาลเองต้องการให้เห็นการใช้งานเกี่ยวกับประชาชนในการดำเนินการนี้ถ้าเค้าไปแก้ไขสัญญา ไฟเบอร์ อันไหนที่ถูกต้อง กสทช.ก็จะดำเนินการตรวจจ้างให้ ปรับปรุงเสร็จ ก็ต้องตรวจ ” นายฐากร กล่าว

ทั้งนี้สำนักงาน กสทช.จะเปิดเป็นอีบิดดิ้งไป บ.ไหนเข้ามา ชนะก็รับในส่วนนั้นไป อาจจะใช้เวลาอีก 4-5 เดือน ซึ่งผมอยากเห็นภาพที่เกิดขึ้น เดือน กุมภาพันธ์หรือมีนาคม เมื่อเมีการประมูลคลื่น 5G ที่เกิดขึ้น เปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในครบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ 7หมื่นกว่าหมู่บ้านทั้งหมด จะทำให้โครงการเราสำเร็จ เราไม่ได้มีอะไรกับทีโอที แต่เราปล่อยในลักษณะนี้ต่อไปไม่ได้ แต่จะทำให้การทำงานของเรา 3,920 หมู่บ้านจะถูกดึงทั้งหมด ทำให้กระบวนการเปิดให้บริการในพื้นที่ อย่างเช่น ที่เราบอกว่าจะมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 200บาท ต่อคน ต่อครัวเรือน ปัจจุบันเรายังไม่สามารถดำเนินการได้เลย ก็ยังให้บริการไม่ได้ นี่คือปัญหาที่ตามมา สิ่งพวกนี้ที่รัฐบาลเอง กสทช.รับปากกับพี่น้องประชาชนไว้แล้ว 

“ถ้าในพื้นที่ที่เปิดให้บริการได้ แต่ในพื้นที่ ที่ทีโอที ดำเนินการไม่สามารถให้บริการได้ เราไม่สามารถจะบอกประชาชนได้ เอาเฉพาะภาคเหนือ ไปก่อน ภาคอีสานเปิดไม่ได้ ก็จะเกิดปัญหาตามมาโดยตลอด และเป็นสิ่งที่ผมวิตกกังวลมาก ประชาชนแจ้งมาว่าเค้าเข้านิยามครัวเรือนที่มีรายได้น้อย” นายฐากร กล่าว 

อย่างไรก็ตามสำนักงาน กสทช.จะทำคู่ขนานกับการเจรจากับทีโอที 15 วัน ก็เร่งรัดให้สำนักงาน กำหนดทีโออาร์ ในการเปิดประมูลใหม่ ซึ่งทั้งหมดเมื่อเซ็นสัญญากับแล้วคงจะกำหนดในทีโออาร์ให้แล้วเสร็จ 

ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่ากรณีการยกเลิกสัญญาเน็ตชายขอบ ระหว่าง ทีโอที และ กสทช.นั้นเบื้องต้นได้เคยหารือกับ กสทช.แล้วและรับทราบปัญหามาโดยตลอด ซึ่งทีโอทีในฐานะเป็นหน่วยงานภายใต้การดูแลของกระทรวงดีอีเอส ทีโอทีจะต้องกลับมาทบทวนถึงสาเหตุการยกเลิกสัญญาดังกล่าว 

“ผมได้รับฟังมาบ้างแล้วจาก กสทช.เป็นปัญหาของทีโอทีที่ต้องมาทบทวนการดำเนินงานทำไมไม่สามารถดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามทีโออาร์ ดูเหตุผลการยกเลิกสัญญา ทีโอทียังไม่ได้ดำเนินการใดๆ มันก็จะไปถ่วงเค้าให้เค้าเปิดให้บริการไม่ได้ ผมคงไม่เจรจา เป็นปัญหาของทีโอที เป็นสิ่งที่ทีโอทีต้องรับผิดชอบไม่ใช่องค์กรเล็กๆ การทำงานต้องมีประสบการณ์มากพอสมควร ที่ผ่านมาเข้าใจกสทช.พยายามให้โอกาสและขยายระยะเวลา ผมคงไม่เข้าข้างใคร” รมว.ดีอีเอส กล่าว 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 58345 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>