



ปรัชญเกียรติ ว่าโร๊ะ
ศูนย์สื่อสังคมภาคใต้
19 กรกฎาฯ เครือข่ายต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินตรัง กระทบไหล่ผู้ว่าตรังลงกันตังไขก๊อก กฟผ. แจงม.เกษตร-ราชมงคลตรังแค่รับงานวิจัยชายฝั่ง กรกฎาลุยแน่ศึกษา IEE ยังไม่ชัดบริษัทไหน-กำลังเปิดซองประมูล ลั่นพร้อมรับดีเบต
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 22 มิถุนายน 2555 ที่ตลาดนัดบางสัก ตำบลบางสัก อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เครือข่ายคนไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินจังหวัดตรัง จัดเวทีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน หลักๆ ในเวทีเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์จากการไปดูงานที่จังหวัดระยอง ลำปาง และสมุทรสาคร ในระหว่างวันที่ 11-16 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา โดยมีชาวบ้านตำบลบางสัก ตำบลนาเกลือ ตำบลวังวน และตำบลอื่นๆ ในอำเภอกันตัง ร่วมงานประมาณ 200 คน
นายชนะชัย สังข์แดหวา ผู้ประสานงานเครือข่ายคนไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน จังหวัดตรัง นำเสนอว่า จากกที่ตนและคณะได้ไปดูงานที่โรงไฟฟ้าบีแอลซีพีพาวเวอร์ ระยอง ปรากฏว่าบริเวณโรงอาหารของโรงไฟฟ้ามีผงฝุ่นถ่านหินกระจายโดยทั่วไป ขณะที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ได้เจอกับชาวบ้านรอบเหมืองลิกไนต์และโรงไฟฟ้าที่ต้องอพยพหนีมลพิษจากที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ไปที่ดินซึ่งไม่มีเอกสารสิทธิ์เพียง 1 ไร่ แลกกับที่ดิน 10-20 ไร่ที่เคยมี ส่วนที่สมุทรสาครได้รับฟังถึงปัญหาเกี่ยวกับเรือขนถ่ายถ่านหิน ที่ส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน
นายวุฒิชัย หวังบริสุทธิ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนรักบ้านเกิด จากตำบลวังวน กล่าวในเวทีว่า เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา ตนและเครือข่ายชุมชนรักบ้านเกิด ได้ประชุมร่วมกับนายอำเภอกันตัง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในตำบลวังวน ได้รับแจ้งว่าเวลา 15.00 น. วันที่ 19 กรกฎาคม 2555 นี้นายธีรยุทธ เอี่ยมตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง จะลงมารับฟังชาวบ้านที่ตำบลวังวนจากกรณีที่ชาวบ้านได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าถ่านหินตรัง จึงเชิญชวนชาวบ้านตำบลบางสัก และใกล้เคียงเข้าร่วมรับฟัง หรืออาจทำหนังสือร้องเรียนยื่นผู้ว่าฯ ในวันดังกล่าว
นายชวการ โชคดำลีลา วิศวกร 9 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หัวหน้าศูนย์พลังงานไฟฟ้าจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้กฟผ.ได้จ้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์ วิทยาเขตกระบี่ กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ทำงานวิจัยเกี่ยวกับทรัพยากรชายฝั่งในจังหวัดตรัง เพื่อให้ทราบว่าปริมาณทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในจังหวัดตรังที่เขาว่าๆ มีอยู่นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ทั้งพะยูน แหล่งหญ้าทะเล ปู ปลา ฯลฯ และมีอยู่ปริมาณเท่าไหร่
นายชวการ เปิดเผยอีกว่า การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) นั้นคาดว่าสามารถดำเนินงานภายในเดือนกรกฎาคม 2555 นี้ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเปิดซองประมูลราคา ยังไม่ชัดบริษัทไหนได้ศึกษา IEE คาดว่าปลายเดือนนี้คงได้คำตอบที่แน่ชัด
“สำหรับการที่กลุ่มชาวบ้าน และเอ็นจีโอท้าดีเบตข้อมูลเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น ผมพร้อมที่จะเข้าร่วมเวทีในระดับจังหวัดที่แลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นหลัก ส่วนเวทีชาวบ้านที่มุ่งไปทางคัดค้านนั้นผมไม่ไปร่วม ที่ผ่านมายังไม่ได้รับการเชิญให้ร่วมเวทีไหนเลย” นายชวการ กล่าว
สุริยันต์ ทองหนูเอียด
Mad Economist
http://www.facebook.com/MadEconomist
ชื่อบทความเดิม - เปลือยเศรษฐกิจ สะกิดเศรษฐโป๊: บทสำรวจเศรษฐศาสตร์-ตลาดหนังโป๊ [1]
หนังโป๊ก่อปัญหาสังคมไหม?
เราศึกษาถึงโครงสร้างของตลาดจำนวนมากแต่ตลาดหนึ่งที่ใกล้ตัวเรามากๆ แต่เราไม่ค่อยมีความรู้โครงสร้างตลาดดังกล่าวมากเท่าไรนักได้แก่ “ตลาดหนังโป๊” อย่างแรกต้องเข้าใจก่อนว่าหนังโป๊นั้นไม่ใช่เรื่องที่ทั่วโลกเห็นพ้องต้องกันว่าผิดกฎหมายนะครับ มีหลายประเทศในโลกทีเดียวที่มองว่าหนังโป๊เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมายได้ (legal) และหลายประเทศยินยอมภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง (legal under restriction) และบางประเทศที่ธรรมะธรรมโมก็อาจจะให้ผิดกฎหมายไปเสียเลย (illegal) ประเทศไหนมีกฎหมายเช่นไรก็ดูตามภาพ 1 เอานะครับ
ภาพ1 แสดงสถานะตามกฎหมายของหนังโป๊
ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/File:Pornography_laws.svg
สีแดง = ผิดกฎหมาย สีเหลือง = ถูกกฎหมายภายใต้เงื่อนไข สีเขียว = ถูกกฎหมาย และ สีเทา = ไม่มีข้อมูล
ส่วนผลกระทบทางสังคม อาทิ การก่อให้เกิดกำหนัดและการข่มขืน หรืออาชญากรรมรูปแบบอื่นนั้นก็ค่อนข้างไม่สามารถพิจารณาได้ด้วยตาเปล่าเนื่องจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นแหล่งหนังโป๊ที่สำคัญที่สุดประเทศหนึ่งของโลก (ใครจะไปคุกคามเศรษฐโป๊ในญี่ปุ่น เกิดสงครามโลกครั้งที่สามแน่ๆ ครับ) กลับมีอัตราการข่มขืนต่ำเกือบจะที่สุดของโลกคือมีเพียง 0.014 คนใน 1,000 คนเท่านั้น ทว่ากรณีนิวซีแลนด์ซึ่งจัดอยู่ในประเทศเสรีด้านการทำหนังโป๊เช่นเดียวกับญี่ปุ่นกลับมีอัตราการข่มขืนสูงเกือบที่สุดในโลกคือ 0.315 คนใน 1,000 คน [2] (ดูตารางที่ 1) เมื่อดูข้อมูลด้วยตาแล้วยังไม่สามารถทราบได้เราลองไปสำรวจกันดูไหมครับว่านักวิชาการด้านต่างๆ เข้าพูดเรื่องผลกระทบของหนังโป๊ต่อสังคมว่าอย่างไรบ้าง
ตารางที่ 1 แสดงการบันทึกสถิติการข่มขืนโดยตำรวจของประเทศต่างๆเป็นจำนวนคดี ต่อประชากร 1,000 คน [3]
Corne และคณะ (1992) [4] ทำการสำรวจแนวคิดเกี่ยวกับการถูกข่มขืนของเด็กปริญญาตรี (ประเทศไหนไม่ทราบ) แล้วได้ข้อสรุปว่าทัศนคติที่ยอมรับการข่มขืน (rape-supportive) มีความสัมพันธ์กับการชมหนังโป๊ ซึ่งทำให้คำนึงไปว่าความรุนแรงทางเพศของฝ่ายชายนั้นนับเป็นความโรแมนติกรูปแบบหนึ่ง!!! Baron (1990) [5] พบว่าเมื่อนำข้อมูลดัชนีความเท่าเทียมทางเพศ (Gender Equality Index) กับการหมุนเวียนของนิตยสารโป๊ มาทดสอบความสัมพันธ์แบบสมการถดถอย (Multiple regressions) พบว่าถ้ายิ่งการหมุนเวียนของนิตยสารโป๊มีมากเท่าไหร่ความเท่าเทียมทางเพศในด้านต่างๆ ก็ยิ่งมีน้อยลงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามมีงานในกลุ่มหนึ่งเช่นเดียวกันที่มองว่าธุรกิจหนังโป๊นั้นไม่ได้ส่งผลร้ายเช่น Kutchinsky (1991) ได้ผลสรุปงานวิจัยเชิงประจักษ์ (Empirical research) ใน 4 ประเทศได้แก่ Denmark, Sweden, Germany, and the US แล้วพบว่าไม่มีผลสัมพันธ์ระหว่างหนังโป๊และการข่มขืน อย่างไรก็ตามแต่ งานที่ทำเพียงทดสอบความสัมพันธ์ของตัวเลขรวมๆ เช่นนี้อาจจะไม่มีประโยชน์มากนักในมุมมองของ ME เพราะจริงๆ แล้วการทดสอบว่ามีผลหรือไม่มีผลอาจจะต้องคิดคำนวณบนฐานของประเทศที่มีโครงสร้างสถาบัน (Structure of institution) โดยเฉพาะสถาบันด้านความปลอดภัยเช่นตำรวจ กฎหมาย ฯลฯ ที่เข้มแข็งเท่าๆ กันมาทดสอบแบบแบ่งกลุ่ม ไม่เช่นนั้นข้อมูลที่ได้จะไม่มีประโยชน์ แต่แน่นอนว่า ME เหนื่อยงานเยอะเลยนั่งหลังพิงโซฟาด่าอย่างเดียว (armchair critism) คงไม่คิดทำเองให้ดีๆ ครับบ่นไปอย่างนั้นเอง
ในระหว่างที่มาสามารถจะพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด ตามหลักกฎหมาย-ความยุติธรรมเราก็ให้ถือว่าผู้ต้องหายังไม่เป็นนักโทษและยังไม่มีความผิดแล้วกันนะครับดังนั้นเราจะเข้าสู่หัวข้อถัดไป...
การถดถอยครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจหนังโป๊ off-line ในสหรัฐ
จากข้อมูลที่นำมาเผยแพร่โดย Patrick James [6] นับว่าให้ภาพถดถอยของธุรกิจที่เคยมีมูลค่าถึงกว่าปีละ 13,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ได้เป็นอย่างดีเพราะ นักแสดงหนังโป๊ได้รับค่าจ้างโดยเฉลี่ยลดลงจาก 1,000 ดอลลาร์ มาอยู่เพียง 700 ดอลลาร์เท่านั้น (James ลืมบอกว่าต่อเดือนหรือต่อปีหรือต่อครั้ง แต่เท่าที่ ME ทราบจากบทสัมภาษณ์ของ ทอมมี่ กันน์ หนึ่งในดาราหนังโป๊ชายที่ได้รับความนิยมสูงสุดของอเมริกา เขาได้รับค่าตัวอยู่ที่ได้ 150ดอลลาร์ต่อฉากนะครับ) การจ่ายเงินเพื่อเข้าชมหนังโป๊แบบเสียเงิน (pay-per-view / paysite) ลดลงราว 50% จากปี 2005 งานเทศกาลประจำปีที่จัดประจำในลาสเวกัสที่ชื่อ Adult Entertainment Expo มีผู้เข้าชมลดลงกว่า 20% เจ้าของค่ายหนังโป๊ดังอย่าง Larry Flynt ก็ประสบปัญหาทางการเงินและต้องการเงินกู้ฉุกเฉิน (Bailout) และถูกปฏิเสธไปเมื่อปี 2009 ร้านเช่าแผ่นหนังโป๊ DVD มียอดเช่าคาดการณ์ลดลงจาก 3.62 พันล้านดอลลาร์ในปี 2006 เมื่อถึงในปี 2009 ยอดดังกล่าวเหลือเพียง 1.81 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น
ภาพรวมที่เข้าสู่เกียร์ถอยของเศรษฐโป๊ในอเมริกานี้ไม่ได้หมายความว่าคนอเมริกันจะเข้าสู่โบสถ์วิหาร บำเพ็ญตบะกันจนหมดอยากใน Pink movie กันเสียเมื่อไหร่ และก็ไม่ใช่เพราะคนทุกคนสามารถเข้าถึงเพศสัมพันธ์จริงๆ ได้จนไม่ต้องใช้หนังโป๊ เนื่องจาก อย่างน้อยที่สุดชีวิตจริงก็ไม่เคยเพียงพอสำหรับจินตนาการด้านเพศ (Sexual fantasy) หนังโป๊จึงยังคงมีความจำเป็นเสมอ แต่ที่สภาพตลาดหนังโป๊ที่ถดถอยลงนั้นก็เพราะแนวทางการทำธุรกิจใหม่ๆ อย่างเช่นการให้บริการหนังโป๊ออนไลน์และบนโทรศัพท์มือถือแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายได้ขึ้นมาทดแทนตลาดดั้งเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น มีการคาดการณ์โดยสถาบันวิจัยชื่อ Jupiter Research ว่ามูลค่าตลาดของการให้บริการหนังโป๊บนมือถือจะเพิ่มสูงขึ้นจาก 2.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2009 ไปเป็น 4.9 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2013 ผู้เข้าใช้บริการในเว็บไซต์หนังโป๊ไม่คิดค่าใช้จ่าย 4 รายใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง XVideos, RedTube, PornHub, YouPorn มีสูงถึง 7.3, 8.5, 9.9 และ 13.7 ล้านคนตามลำดับ ทิ้งห่างเว็บที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายใหญ่ที่สุดอย่าง Club Jenna ซึ่งมีคนเข้าชมเพียง 83,600 คนเท่านั้น (วัดเฉพาะเดือนพฤศจิกายน 2009 เท่านั้น) [7]
และเพราะบทบาทของธุรกิจอินเตอร์เน็ตมีผลมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในวงการหนังโป๊อเมริกา นักวิจัยด้านความมั่นคงจาก The Technical University of Vienna, Eurecom และ UC Santa Barbara ได้ร่วมกันวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์ของธุรกิจบริการหนังโป๊ออนไลน์เพื่อตีพิมพ์และบรรยายในงาน The Ninth Workshop on the Economics of Information Security ที่ฮาร์วาดในหัวข้อเรื่อง Is the Internet for Porn? An Insight Into the Online Adult Industry
ผลการวิจัยชี้ว่า เว็บไซต์ที่ให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นเว็บไซต์ที่ไม่ได้สร้างเนื้อหา (หรือก็คือหนังโป๊) เองแต่ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้รวบรวม link จากเว็บไซต์ที่ผลิตเนื้อหาแล้วสร้างยอดผู้เข้าชมเพื่อนำไปส่งมอบให้แก่เว็บที่ผลิตเนื้อหา (Paysite) หรือเว็บคนกลาง (Link collections) อีกทีหนึ่ง เราเรียกเว็บไซต์เหล่านี้ว่านายหน้าค้าการผู้เข้าชม (Traffic broker) [8] นอกจากนี้ โรงแรมอย่างเช่น Marriott, Westin, and Hilton ซึ่งมีบริการให้ผู้ใช้บริการโรงแรมสามารถเข้าชมหนังโป๊ได้จากทีวีภายในห้องพักและคิดค่าใช้จ่ายโดยโรงแรมจะหักเอาไว้ราว 5-10% นอกจากนี้ช่องเคเบิลและดาวเทียมก็ได้รับรายได้ในส่วนนี้เช่นเดียวกันโดยมีรายใหญ่คือ AT&T – Comcast และที่ขาดไม่ได้คือบรรดาเว็บรวบรวมค้นหา (Search Engine) รายใหญ่ๆ อย่าง Yahoo ก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเช่นเดียวกันจากการขายโฆษณาให้แก่ Paysite ต่างๆ [9] จึงกลายเป็นว่าพ่อค้าคนกลางหนังโป๊เหล่านี้ได้กำไรเน้นๆ ในขณะที่ต้นทุนของผู้ผลิตหนังโป๊มีต้นทุนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าผู้ผลิตหนังโป๊ในอเมริกาจะประสบปัญหาภาวะถดถอย (Recession period) ก็ตาม... แต่ไม่ต้องกังวลไปครับท่านชายและหญิงทั่วโลก เพราะว่าอเมริกาหาใช่เมืองหลวงของการเสพหนังโป๊แน่ๆ มูลค่ากรตลาดที่ใหญ่ที่สุด 4 อันดับแรกในโลกนั้นมีเอเชียตะวันออกถึง 3 อันดับและอเมริกานับเป็นรายบ๊วยครับ อันดับหนึ่งได้แก่จีน 27.4 พันล้านดอลลาร์, เกาหลีใต้ 25.73 พันล้านดอลลาร์, ญี่ปุ่น 19.98 พันล้านดอลลาร์ แล้วจึงค่อยเป้นอเมริกาที่ยอกซึ่งได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นได้แก่ 13.3 พันล้านดอลลาร์ [10] ดังนั้นหายห่วงครับ (อย่างมากก็จะมีสวัสดิการสังคมลดลงจากความหลากหลายที่น้อยลงเท่านั้น แต่... Supply of pornographic Medias never dies)
เชิงอรรถ
[1] หมายเหตุ Mad Economist สำรวจเพื่อเป็นวิชาการเท่านั้น มิได้ส่งเสริมให้เกิดการบริโภคหนังโป๊เปลือยแต่อย่างไร
[2] สถิติทั้งสองตัวบันทึกเมื่อปีค.ศ. 2008 และแหล่งที่มาคือ European Institute for Crime Prevention and Control International Statistics on Crime and Justice, 2011 อ้างถึงใน http://www.nationmaster.com
[3] การพิจารณาต้องระมัดระวังในการตีความ ทั้งนี้เพราะ การบันทึกมากหรือน้อยนั้นอาจแตกต่างกันตามความเข้มแข็งของสถาบันตำรวจและเสรีภาพด้านเพศในประเทศผู้บันทึกด้วย อาทิ ในประเทศที่ความเท่าเทียมทางเพศน้อย สตรีถูกกดทับด้วยบุรุษเพศอย่างมาก การข่มขืนอาจถูกเพิกเฉยจากเจ้าหน้าที่ของรัฐและได้รับการบันทึกน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
[4] Corne,S. et. al.J. Women's attitudes and fantasies about rape as a function of early exposure to pornography. Interpersonal Violence, 1992 7: 454-461
[5] Baron,L. J. Sex Res. Feminist perspectives on sexuality. 1990 27:363-380.
[6] เรื่อง The Economics of Porn: Better than the Economics of Other Stuff ใน website ชื่อGood Business และ URL คือ http://www.good.is/post/the-economics-of-porn-better-than-the-economics-of-other-stuff/
[7] ผู้อ่านสามารถอ่านถึงความถดถอยของอุตสาหกรรมหนังโป๊ในสหรัฐได้เพิ่มเติมจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1339675467&grpid=03&catid=06&subcatid=0600
[8] Download บทความวิชาการฉบับเต็มได้จาก iseclab.org/papers/weis2010.pdf
[9] http://www.pbs.org/wgbh/pages/frontline/shows/porn/business/mainstream.html
[10] http://www.economywatch.com/world-industries/porn-industry.html
สำนักเรียนรู้
1.การเคลื่อนไหวและผลักดัน “จังหวัดจัดการตนเอง”:
นำโดยขบวนการนักพัฒนาองค์เอกชนและเครือข่ายแกนนำชุมชนที่ใกล้ชิด ทำการเคลื่อนไหวรณรงค์ใน 40 กว่าจังหวัด โดยได้รับการสนับสนุนทางวิชาการและงบประมาณจำนวนมากจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(พอช.), คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป, สภาพัฒนาการเมือง, และสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)เป็นต้น
ขบวนการกลุ่มนี้เสนอทำนองว่า การต่อสู้ทางการเมืองระดับประเทศระหว่างเหลืองกับแดงในปัจจุบันนี้ เป็นการต่อสู้กันระหว่างชนชั้นนำ-นักธุรกิจการเมือง, ประชาชนไม่ได้อะไร แถมยังตกเป็นเหยื่อให้เขาหลอกใช้ และควรหันกลับมาทำการเมือง/ประชาธิปไตยท้องถิ่นเราดีกว่า
สำหรับในเชิงรูปธรรมของการเคลื่อนไหวบางกลุ่มของขบวนการนี้เสนอให้มีการยกระดับการปกครองท้องถิ่นเป็นระดับจังหวัด ยุบเลิกหน่วยราชการส่วนภูมิภาคที่อยู่ในจังหวัดแล้วให้โอนหน่วยงานเหล่านั้นลงมาอยู่ในท้องถิ่นจังหวัด,ให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯจังหวัดโดยตรง เป็นเรื่องที่ควรสนับสนุน
และคำถาม? ประเด็นสำคัญเสนอให้มีการถ่วงดุลกำกับควบคุมการทำงานของฝ่ายสภานิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจังหวัดโดย “สภาประชาชน สภาพลเมือง”(ตัวแทนจากเครือข่ายองค์กรชุมชน/สภาองค์กรชุมชน)ที่มาจากกระบวนการ “สรรหากันเอง”ในเครือข่าย ? ประเด็นปัญหาความทับซ้อนระหว่างอำนาจหน้าที่ของฝ่ายสภาประชาชนกับสภานิติบัญญัติ รวมถึงปัญหาที่มาของ “สมาชิกสภาประชาชน” ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ?
ตลอดทั้งการปฏิเสธยกเว้น ไม่แตะต้อง ศาล และทหาร อันเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งในการพัฒนาประชาธิปไตยทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ?
ในขณะเดียวกันก็มีการตั้งข้อสังเกตเชิงเคลือบแคลงอย่างน่าสนใจต่อเป้าประสงค์ในการเคลื่อนไหวของ “ขบวนการจังหวัดจัดการตนเอง”นี้ในหลายประการ
ประการแรก : การอ้างว่าการต่อสู้ระดับประเทศที่ผ่านมาเป็นเรื่องของความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำ ประชาชน/ชาวบ้านเป็นเพียงแค่ “เหยื่อ/เบี้ย”ของการต่อสู้” ถือเป็นการบิดเบือนป้ายสีและดูถูกประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง ทั้งๆที่ความขัดแย้งที่ผ่านมาเกิดจากการรัฐประหาร 2549 เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายที่ไม่ต้องการประชาธิปไตย เป็นการต่อสู้ในเรื่องกติกาที่ว่าจะมอบหมายให้ใครมาใช้อำนาจทางการเมืองการปกครองระหว่าง “คนดีมีศีลธรรมที่มาจาการสรรหาแต่งตั้งโดยเทวดา” หรือจะเอา “ตัวแทนที่ประชาชนเลือกตั้ง”(ตามหลัก“ความเสมอภาค/หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง” มิใช่โดย “ชาติกำเนิด/ฐานะทางชนชั้น” ) เป็นความขัดแย้งระหว่าง “อุดมการณ์อนุรักษ์นิยม/อำมาตย์/คลั่งชาติ” กับ “อุดมการณ์เสรีนิยม/ประชาธิปไตย/รักชาติ”
สวิง ตันอุด สถาบันการจัดการทางสังคม(สจส.)และหัวขบวนจังหวัดจัดการตนเองกล่าวว่า
“ศูนย์กลางอำนาจหรือโครงสร้างอำนาจกับโครงสร้างอำนาจขัดแย้งกันเอง เป็นมหาโครงสร้างต่อ มหาโครงสร้างปะทะกัน ตอนนี้เลยกลายเป็นปรากฏสีเหลืองสีแดง ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐ แต่ว่ามันคือการต่อสู้เพื่อล้มล้างอำนาจรัฐระหว่างผู้นำของแต่ละฝ่ายโดยดึงมวลชนเข้ามาร่วม
เราต้องก้าวข้ามเรื่องความขัดแย้งนี้ไป ถ้าสมมติว่าไม่สามารถที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งไปได้ แนวโน้มอาจก่อความขัดแย้งรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนถึงขั้นแบ่งแยกดินแดนก็เป็นได้
เหตุที่เราต้องคิดเรื่อง “ท้องถิ่นจัดการตนเอง หรือ จังหวัดจัดการตัวเอง” เพราะถ้าปล่อยให้สถานการณ์แบบนี้สร้างความรุนแรงต่อไป เกิดการต่อสู้กันนอกกติกา เกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนกับประชาชน พอกระทบกระทั่งกันแรงขึ้นๆ กฎหมายจะคุมไม่อยู่ และนำไปสู่การสู้กัน นอกกฎหมายมากขึ้น แบบนี้มันลุกเป็นไฟ พัฒนาไปสู่การสะสมอาวุธ เกิดการแบ่งพวกแบ่งข้าง มากขึ้น โฆษณาเอาคนมาเป็นพวกของตัวเองมากขึ้น ก็จะเกิดความรุนแรง ถ้าเป็นแบบนี้จะแก้ยากที่สุด และถึงที่สุดมันจะนำไปสู่การแบ่งประเทศ”
พรหมศักดิ์ แสงโพธิ์ นักคิดนักเขียนประจำขบวนจังหวัดจัดการตนเองกล่าวว่า
“ประเทศไทยภายใต้รัฐเผด็จการ จากระบอบกษัตริย์มาเป็นกลุ่มคนฝันเรื่องประชาธิปไตยแต่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน จึงเป็นได้แค่เปลี่ยนคณะบุคคลที่ใช้อำนาจไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างการบริหาร ประเทศไทยกลายเป็นรัฐเผด็จการ การแย่งชิงอำนาจระหว่างเผด็จการกลุ่มเก่ากับเผด็จการกลุ่มใหม่ 79ปีผ่านไปการแย่งชิงอำนาจของคนสองกลุ่มยังไม่สิ้นสุด ประเทศจึงได้ผู้ปกครองที่เห็นแก่ตัวและคณะมากกว่าการสร้างประเทศชาติให้มีความเจริญรุ่งเรือง ประเทศทรุดโทรมไม่เจริญเทียบได้กับกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย”
ประการที่สอง การอ้างว่า ความขัดแย้งทางการเมืองในยุคปัจจุบันหรือความเป็นเหลืองแดง มาจากรากเหง้ามาจากการรวมศูนย์อำนาจ จึงต้องมี “จังหวัดจัดการตนเอง” ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาและเป็นทางออกต่อปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองทั้งปวงได้นั้น ถือเป็นแนวคิดและข้อเสนอที่มีข้อบกพร่องและไม่รอบด้านอย่างยิ่ง เนื่องเพราะ ปัญหาระบอบประชาธิปไตยของไทยที่ผ่านมา นอกจากจะมีลักษณะรวมศูนย์แต่แตกกระจายแล้ว ยังมีปัญหาการรัฐประหารล้มล้างระบอบประชาธิปไตยจากกลุ่มเผด็จการมาโดยตลอดอีกด้วย นี่ยังมิพักต้องเอ่ยถึงปัญหาอำนาจมืดเหนือรัฐที่หลอกใช้อธิปไตยของประชาชน รวมไปถึงกฎหมาย กติกา กลไกต่างๆที่เป็นสิ่งประดิษฐ์มรดก ตกทอดของกลุ่มเผด็จการที่ทำหน้าที่คอยค้ำยันอำนาจอิทธิพลของระบอบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยอีกต่างหาก เช่น รัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำปี 2550 , ม.112, พรบ.กลาโหม, สว.ลากตั้ง เป็นต้น ดังนั้น การอ้างว่า “จังหวัดจัดการตนเอง” จะแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองทั้งปวงได้ จึงเป็นเรื่องที่เหลวไหลและส่อเจตนาปิดบังอำพรางความจริงของปัญหาอย่างน่าละอายยิ่ง
สวิง ตันอุด หัวขบวนจังหวัดจัดการตนเองกล่าวไว้ว่า
“ถ้าจังหวัดสามารถจัดการตนเองได้ ปัญหาในทางการเมืองที่เกิดขึ้นมันจะย่อส่วนลงมาจากเวทีระดับชาติ จะกลับมาสู่ในเวทีระดับจังหวัด ทุกวันนี้เหลืองแดงไม่ได้คิดเรื่องท้องถิ่น แต่เป็นแนวความคิดระดับชาติ ถ้าเราเสนอแนวความคิดแบบแนวตัดขวาง ซึ่งก็คือเรื่องของท้องถิ่น ความเป็นเหลืองแดงจะหมดความหมายในตัวของมันเอง เพราะเหลืองแดงมันสมมติตัวเองเพื่อที่จะไปยึดศูนย์กลางอำนาจ แต่ถ้าพุ่งเป้าว่าตัวเองจะเข้ามาเพื่อที่จะมามีบทบาทในเรื่องของท้องถิ่นจังหวัดนั้นๆได้ขนาดไหน ดังนั้นมันจะละลายความเป็นเหลืองแดง เพราะความเป็นเหลืองแดงอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ในชุมชนท้องถิ่นนั่น ถ้าคนในท้องถิ่นหันความสนใจมารับใช้ท้องถิ่นว่าจะจัดการตัวเองอย่างไร ไม่ไปรับใช้ศูนย์กลางอำนาจรัฐ ตรงนี้จะสลายตัวไปเอง”
อนึ่ง พึงตราไว้ด้วยว่า การพยายามผลักดันให้มีการระดมหนึ่งหมื่นรายชื่อเพื่อเสนอรัฐสภาพิจารณาออก พ.ร.บ.มหานครเชียงใหม่ ภายใต้กติการัฐธรรมนูญ2550 ที่ยังคงอำนาจการพิจารณากฎหมายของ สว.ลากตั้ง นับว่าพวกเขายังไม่สรุปบทเรียนความผิดพลาดใหญ่หลวง จากกรณี พรบ.ป่าชุมชน ที่ขับเคลื่อนมาร่วม 20 กว่าปี และได้ออกพรบ.ป่าชุมชนอย่างรวดเร็วในสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ที่มี เตือนใจ ดีเทศน์ หัวขบวนของกลุ่ม ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิก สนช.โดยเผด็จการ คมช. และสนช.เองได้บิดเบือนสาระสำคัญ เช่น แทนที่จะให้อำนาจชุมชนท้องถิ่นกลับให้อำนาจรวมศูนย์ที่กรมป่าไม้เช่นเดิม หรือแม้แต่กรณีการสรรหาคณะกรรมการ กสทช.ล่าสุดผู้ได้รับการสรรหาก็มีทหารจำนวนถึง 5 คน วุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งจำนวนมากก็ไม่ต่างจาก สนช.ที่มาจากคมช. ซึ่งพวกเขาก็น่ารู้ดีว่า กลุ่มคนเหล่านี้มีวิธีคิดแบบรวมศูนย์อำนาจ ชอบสั่งการสูง ไม่ชอบการตรวจสอบ และที่สำคัญไม่นิยมประชาธิปไตย
ประการที่สาม การพยายามเชิดชูและผลักดัน “สภาประชาชน”(สภาองค์กรชุมชนที่ได้รับการจัดตั้งและสนับสนุนอย่างใกล้ชิดจาก พอช.และสภาพัฒนาการเมือง) ซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในท้องถิ่นตามหลัก 1สิทธ์1เสียง แต่กลับเสนอให้มีอำนาจเหนือสภานิติบัญญัติและ ฝ่ายบริหารท้องถิ่น เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับหลักการระบอบประชาธิปไตยและหลักการกระจายอำนาจอย่างชัดเจน ดังที่ ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ หัวขบวนจังหวัดจัดการตนเองอีกผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า
“ประชาธิปไตยแบบพุทธ” หรือ “ประชาธิปไตยแบบท้องถิ่น” จะเป็นทางออกให้กับ “การเมืองแบบตัวแทนที่ล้มเหลว” กระบวนการของชุมชนแต่เดิมคือการพูดคุยกัน โดยสมาชิกชุมชนจะมาพูดคุยกัน ดูว่าใครเป็นคนดีมีคุณธรรม แล้วหมู่คณะก็จะเข้าไปคุยว่า “เราคิดว่าท่านเป็นคนดีมีคุณธรรม น่าจะเป็นผู้นำที่ดีของเราได้” แล้วก็ใช้วิธีเหมือนกับการลงประชามติ นี่เป็นการสรรหาโดยชุมชนซึ่งมีมานานแล้ว แต่กฎหมายข้างนอกไปบอกว่า “คุณต้องสมัคร คุณต้องหาเสียง คุณต้องเลือกตั้ง” เพราะฉะนั้นก็เสร็จนายทุนหมด ใช่ไหม? ในขณะที่กระบวนการดั้งเดิมของเขาก็คือการหาคนดี คนมีคุณธรรม โดยชุมชน จริงๆ
หรืออย่างเช่นที่ ดร.ชื่นฤทัย กาญจนจิตรา(ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายวิชาการในคณะกรรมการสมัชชาปฎิรูป)ผู้สนับสนุนสำคัญของจังหวัดจัดการตนเอง ได้กล่าวว่า
“สำหรับโครงสร้างองค์กรของจังหวัดจัดการตัวเองนั้น ประกอบด้วยสภาจังหวัด ผู้ว่าการจังหวัด ปลัดจังหวัด ส่วนราชการประจำจังหวัด ข้าราชการจังหวัด โดยสภาจังหวัดประกอบด้วย สมาชิกจำนวนไม่เกิน 50 คน มาจากทั้ง อปท. 2 ใน 3 นอกนั้นมาจากภาคประชาสังคม โดยอนาคตควรให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านควรให้นายกฯ อบจ.เป็นผู้ว่าฯ ”
สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงพื้นฐานความเชื่ออุดมการณ์ทางการเมืองแบบคลุมเครือของกลุ่มแกนนำขบวน ที่มีต่อระบอบประชาธิปไตยแบบสากล
ประการที่สี่ เมื่อพิจารณาจากช่วงจังหวะเวลาของการออกมาเคลื่อนเรื่องจังหวัดจัดการตนเอง หลังเหตุการณ์ล้อมฆ่าประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย 19 พฤษภาคม 2553 เป็นที่น่าเคลือบแคลงว่า จากที่กลุ่มนี้ไม่เคยให้ความสำคัญในเรื่องกระจายอำนาจใดๆมาก่อน แล้วเหตุไฉนอยู่ๆก็ชูประเด็นนี้ขึ้นมาและเลือกออกมาเสนอในจังหวะเวลาที่มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยกำลังต่อสู้ขับเคี่ยวอย่างเอาเป็นเอาตายกับอำนาจเผด็จการอำมาตย์ในช่วงนี้ด้วยเล่า ทั้งๆที่ปัญหาการกระจายอำนาจมีการนำเสนอผลักดันมาตั้งแต่ช่วงหลังพฤษภาทมิฬ2535 เป็นไปได้หรือไม่?ว่า พวกเขาอาจมีเจตนา แอบแฝงด้วยการลดทอนการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยให้เป็นแค่เรื่องความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำ และต้องการเบี่ยงเบนประเด็นทางสังคมการเมืองที่สำคัญๆ เช่น การลงโทษคนสั่งฆ่าประชาชน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ2550 การ ม. 112 การปฏิรูปกองทัพและการปฏิรูประบบศาลยุติธรรม เป็นต้น พร้อมๆกับการพยายามดึงพลังมวลชนในชนบทให้กลับมาสนใจเฉพาะเรื่องท้องถิ่น
ประการที่ห้า เมื่อพิจารณาจากประวัติการเคลื่อนไหวและบทบาทางการเมืองของกลุ่มหัวขบวนจังหวัดจัดการตนเองแล้ว พบว่า พวกเขาหลายคนเคยมีแต่มีบทบาทในการคัดค้านข้อเสนอเลือกตั้งผู้ว่าฯเมื่อครั้งหลังเหตุการณ์พฤษภา 2535 ,หลายคนเคยปฏิเสธและเยาะเย้ยถากถางแนวคิดการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองท้องถิ่นมาตลอด พร้อมๆกับมุ่งโฆษณาความเลวร้ายของระบบประชาธิปไตยตัวแทน/การเลือกตั้ง, กลุ่มขบวนนี้เป็นกลุ่มขบวนที่เคลื่อนไหวมวลชนให้โหยหาเชิดชู “ชุมชน/วัฒนธรรมดั้งเดิม” แบบโรแมนติคอย่างเอาการเอางาน
ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการจัดการทางสังคม (วจส.) ซึ่งทำงานคลุกคลีกับชาวบ้านในชนบทด้วย “แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน” วิเคราะห์ว่า
“เหตุที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยไปไม่ถึงไหน เพราะประชาชนไม่มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง พวกเขาไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจในกำหนดวิถีทางพัฒนาชุมชนตนเอง หนำซ้ำรูปแบบประชาธิปไตยโดยการเลือกตั้งยังทำลายรูปแบบในการจัดการความสัมพันธ์อันมีมายาวนานในท้องถิ่นไทย”
“การเมืองภาคประชาชนในช่วงที่ผ่านมานี้ มีอยู่ 2 ช่วงใหญ่ๆ ช่วงแรกคือตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเป็นต้นมา ก่อนยุคทักษิณ การเมืองภาคประชาชนมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างสูง กลุ่มภาคประชาชนต่างๆ รวมตัวกันค่อนข้างเยอะ มีการขับเคลื่อน มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา โดยใช้แนวทางรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เป็นหลักในการเคลื่อนไหว พอมาถึงช่วงที่สอง คือในสมัยรัฐบาลทักษิณ การเมืองภาคประชาชนแผ่วลงไป เพราะถูกรัฐบาลทักษิณสกัด เช่น ถูกควบคุมด้วยสื่อ ถูกแทรกแซง ถูกปิดกั้น อะไรต่อมิอะไรทั้งหลายที่ประชาชนเข้าถึงถูกบล็อกเกือบหมดเลย การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนถูกจำกัดโดยรัฐบาลทักษิณที่มีลักษณะเป็นเผด็จการรัฐสภาบวกกับการแทรกแซงองค์กรอิสระต่างๆ”
แต่ที่สำคัญ คือ หัวขบวนกลุ่มนี้ เคยร่วมสนับสนุนการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งและปล้นชิงอำนาจของประชาชนเมื่อครั้งเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 ตัวอย่างเช่น
• นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ ได้รับการแต่งตั้งจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อศึกษารวมแนวทางปฏิรูปประเทศ หลังจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงใน พ.ศ. 2553
• นายสวิง ตันอุด เป็นสมาชิกหมายเลข 082 สภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำแต่งตั้งเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2550
เป็นที่น่าสงสัยว่า กลุ่มคนที่เคยแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย จะกลับกลายมาเป็นหัวขบวนนำมวลชนเพื่อขับเคลื่อนผลักดันการกระจายอำนาจได้อย่างไร? คงต้องคอยติดตามกันต่อไป รวมทั้งช่างสอดคล้องกับสยามประชาภิวัฒน์และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างบังเอิญหรือไม่? โปรดดู: “ประชาชนต้องปกครองตนเอง” คุยรอบแรก “พันธมิตรฯ” กับ “สยามประชาภิวัฒน์”
วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
วันที่ 22 มิถุนายน 2555
ที่มากราฟ: การประมาณการโดยองค์การสหประชาชาติ ปี 2553
รูปภาพที่เป็นเส้น 3 เส้นกับกราฟแท่งนี้ หลายท่านอาจจะคิดว่าไม่น่าสนใจ ออกจะน่าเบื่อหรือไม่ก็วิชาการเกินไป แต่แท้จริงแล้วรูปภาพนี้อธิบายเรื่องราวของคนไทยในอดีตและยังทำนายทายทักอนาคตประเทศไทยได้ด้วย
จะขอเล่าเรื่องแต่พอสังเขป ถ้าต้องการติดตามอย่างละเอียดต้องไปอ่านรายงานชีวิตคนไทยที่สนับสนุนโดยแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี สสส.
ลองดูเส้นที่เขียนว่า เด็กอายุ 0-14 ปี จะเห็นว่าปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยมีเด็กอายุ 0-14 ปีเกือบ 10 ล้านคน มีน้อยกว่าผู้ใหญ่ (เส้นผู้ใหญ่อายุ 15-64 ปี) ประมาณ 3 ล้านคนเท่านั้น ภายในเวลาประมาณ 30 ปีหลังจากนั้นจำนวนเด็กเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เมื่อจำนวนเด็กเพิ่ม เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็เลยทำให้จำนวนผู้ใหญ่สะสมเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ครอบครัวสมัยก่อนนิยมมีลูกมาก เหตุผลหลักน่าจะเป็นการช่วยเหลือทำงานในครอบครัว ถ้าเป็นครอบครัวเชื้อสายจีนก็น่าจะมีเรื่องผู้สืบสกุลมาช่วยอธิบายด้วย ถ้าเป็นเหตุผลแบบนักเศรษฐศาสตร์ก็ต้องบอกว่า มีลูกมากเพราะคาดว่าผลประโยชน์ ไม่ว่าด้านเศรษฐกิจและด้านความสุขทางใจที่จะได้จากการมีลูกนั้น มันสูงกว่า ต้นทุนในการเลี้ยงดูบุตร
ในสมัยรัฐบาลยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม เคยมีการส่งเสริมการมีบุตรด้วยมาตรการน่ารักน่าชัง เช่น คู่สมรสใหม่ได้ดูหนังฟรี 30 วัน คนท้องขึ้นรถเมล์ฟรี ลูกคนแรกได้รับการศึกษาฟรี การห้ามคุมกำเนิด หรือแม้กระทั่งเก็บภาษีชายโสดเพิ่มขึ้น แต่นโยบายเหล่านั้นก็ไม่น่าจะมีผลต่อการมีลูกดกเท่าไรนัก
กราฟเส้นผู้ใหญ่ 15-64 ปี เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใน 30-40 ปีที่ผ่านมา และทำให้ประชากรไทยเติบโตจาก 21 ล้านคนในปี 2493 เป็น 69 ล้านคนในปัจจุบัน (ตัวเลขจากองค์การสหประชาชาติ) ถ้าไม่เป็นเพราะความสำเร็จของการคุมกำเนิดอย่างจริงจังและต่อเนื่องทั้งจากภาครัฐและเอกชน แล้วประชากรไทยคงจะมีมากกว่านี้ ความสำเร็จของการคุมกำเนิดเห็นได้ชัดเจนเมื่อปี 2523 ซึ่งเป็นปีที่มีจำนวนเด็กมากที่สุด และหลังจากนั้นก็ลดลงอย่างต่อเนื่องและไม่มีวี่แววว่าจะเพิ่มแต่อย่างไร
การมีประชากรเพิ่มทำให้ความต้องการสินค้าและบริการแทบทุกอย่างเพิ่มขึ้น เมื่อมีเด็กมากขึ้น ก็ต้องการของใช้เกี่ยวกับเด็กมากขึ้น ต้องการโรงเรียนมากขึ้น ต้องการแพทย์พยาบาลมากขึ้น เมื่อเด็กเป็นผู้ใหญ่ก็มีความต้องการงานทำงานขึ้น เมื่อจ้างงานมากขึ้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นด้วย วัยผู้ใหญ่มีการขยายครอบครัว ต้องการสร้างบ้านใหม่ มีการขยายของเมือง ต้องการใช้ถนนหนทางมากขึ้น ต้องการอาหารมากขึ้น ทุกอย่างขยายหมด เมื่อเศรษฐกิจโต รายได้เพิ่ม ก็เกิดความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นไปอีก
สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจนี้คือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ มีการย้ายถิ่นฐานทำมาหากิน สังคมเมืองขยาย ก็มีผลทำให้ครอบครัวและสังคมเปลี่ยนไปด้วย ในปัจจุบันมีเด็กประมาณ 60% ที่อยู่ในครอบครัวที่มีพ่อและแม่อยู่พร้อมหน้า ประมาณ 21% อยู่กับญาติโดยไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย และอีก 14% อยู่กับแม่แต่ไม่มีพ่ออยู่ด้วย
ภาพครอบครัวที่พ่อ แม่ ปู่ย่า หรือ ตายาย ลุง ป้า น้า อา อยู่ในบ้านเดียวกัน นั่งกินข้าวเป็นวงโตๆ เหลือน้อยเต็มที การเปลี่ยนแปลงครัวเรือนที่มีขนาดเล็กลง มีการไปตั้งครอบครัวใหม่ ก็ทำให้ความต้องการที่ดินเพื่อสร้างบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในปี 2563 เป็นปีที่ประเทศไทยมีประชากรอายุ 15-64 ปีสูงที่สุด 51 ล้านคน หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลง ประชากรวัยนี้เรียกว่าวัยทำงาน และเป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของประเทศ ประชากรในวัยอื่นๆ เรียกว่าวัยพึ่งพิง ซึ่งต้องอาศัยคนวัยทำงานในการเลี้ยงดูทางเศรษฐกิจ
มาดูกราฟเส้น 65 ปีขึ้นไป จะเห็นว่ามีไม่ถึง 1 ล้านคน ในปี 2493 เพราะคนไทยอายุสั้น โดยเฉลี่ยชายไทยอายุ 49 ปี และหญิงไทยอายุ 53 ปีเท่านั้น เรียกง่ายๆ ว่าส่วนใหญ่ตายก่อนอายุ 65 ปี ความก้าวหน้าทางการแพทย์และด้านอื่นๆ ทำให้คนไทยอายุยืนขึ้น ในปี 2558 คนเด็กไทยที่เกิดมาจะสามารถมีอายุยืนไปถึง 75 ปี
การเกิดน้อยลง และการตายช้าลง ในที่สุดเราก็เสียสมดุลของโครงสร้างประชากร มันจะมีวันหนึ่งที่จำนวนผู้สูงอายุนั้นมากกว่าจำนวนเด็กและจำนวนคนวัยทำงานลดลงเรื่อยๆ ดังเช่นในรูปภาพ เมื่อเส้นเด็กอายุ 0-14 ปีตัดกับเส้นผู้ใหญ่ 15-64 ปี และหลังจากนั้น เส้นเด็กอายุ 0-14 ปีก็ดิ่งหัวลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเส้นผู้ใหญ่อายุ 15-64 ปี
เมื่อประชากรลดลง ความต้องการสินค้าและบริการก็ลดลงด้วย แต่อย่างไรเสีย การที่คนไทยมีรายได้มากขึ้นก็จะยังทำให้ความต้องการสินค้าและบริการบางประเภทเพิ่มขึ้น ความต้องการสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้น ถ้าเราเปิดเสรียอมให้คนย้ายเข้ามาอยู่ประเทศไทยมากขึ้น ก็จะทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนไปได้ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การแยกครัวเรือนของคนหนุ่มสาวเพื่อไปสร้างบ้านใหม่และครัวเรือนใหม่จะน้อยลง การขยายตัวของเมืองอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หัวเมืองใหญ่ในภาคเหนือ กลาง อีสาน และใต้ ที่มีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่จะสามารถดูดคนหนุ่มสาวให้ย้ายเข้าไปมากขึ้น เมืองเหล่านั้นจะได้เปรียบและมีโอกาสในการเติบโตเร็วกว่าเมืองอื่นๆ เรามักจะเห็นการเก็งกำไรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดที่มีมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นอย่างบ้าระห่ำ
ส่วนเมืองที่เสียเปรียบ เราจะเห็นการเกิดขึ้นของโรงเรียนร้าง หรือหมู่บ้านที่มีแต่ผู้สูงอายุ ค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น
ถ้าเรายังปล่อยให้การโครงสร้างประชากรไทยในอนาคตเสียสมดุลตามที่เห็นในรูปภาพ ภาระทางเศรษฐกิจและการเลี้ยงดูประชากรสูงอายุจะตกแก่คนวัยทำงานสูงมาก เด็กที่เกิดในวันนี้ทุกคนจะมีภาระต้องเลี้ยงดูผู้สูงอายุมากกว่าผู้ใหญ่ในปัจจุบัน สังคมไทยพึ่งพาการดูแลจากผู้หญิงซึ่งก็จะทำให้หญิงไทยในอนาคตมีภาระการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้นด้วย ในปัจจุบันพบว่าประมาณ 45% ของผู้สูงอายุที่อายุ 95 ปีขึ้นไปนั้นได้รับการดูแลจากลูกสาวหรือลูกสะใภ้ ตอนนี้ลูกสาวหลายคนยังสลับกันดูแลพ่อแม่ไหว แต่ในอนาคตนั้นแนวโน้มจะเป็นว่าลูกสาวหนึ่งคนต้องดูแลทั้งพ่อและแม่
ความไม่สมดุลของโครงสร้างประชากรมีผลทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม จะปล่อยไว้เฉยๆ ให้รุ่นลูกหลานไปแก้ปัญหากันเองก็ใช่ที่ รุ่นที่ผ่านมาได้ถลุงทรัพยากรธรรมชาติจนแทบจะไม่เหลืออะไร แล้วยังไม่สนใจภาระใหม่ๆ ที่ได้ทิ้งไว้ให้ลูกหลานอีกเชียวหรือ
แต่ทว่าการปรับโครงสร้างประชากรก็มิใช่ของง่าย อยู่ๆ จะไปบอกให้คนมีลูกมาก ก็คงจะไม่เกิดผลอย่างแน่นอน หรือไปทำให้คนตายเร็วขึ้นก็คงไม่งามนัก มันต้องพยายามทำให้เห็นว่า มูลค่าที่จะได้ในเชิงเศรษฐกิจและความสุขทางจิตใจจากการมีบุตรนั้นสูงกว่าต้นทุนการเลี้ยงดูบุตร นโยบายรัฐช่วยได้ถ้าทำให้ต้นทุนการเลี้ยงดูบุตรลดลง เริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์เลยแล้วกัน ใครอยากมีก็ช่วยให้มี (หญิงมีบุตรยากทั้งหลาย) ใครไม่อยากมีก็ไม่ส่งเสริมให้มี (วัยรุ่นทั้งหลาย) ส่วนนโยบายที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของบุตรในเชิงเศรษฐกิจและความสุขทางจิตใจนั้นมันได้เปลี่ยนไป แต่อย่างไรเสียการสำรวจเมื่อปี 2550 เราพบว่าประมาณ 80% ของคนไทยยังหวังพึ่งบุตรให้ดูแลด้านการเงิน และการพาไปหาหมอเมื่อยามเจ็บป่วย ความพยายามเชิงนโยบายด้านนี้อาจจะไม่ยากนัก
เส้นทางลัดอีกทางในการสร้างความสมดุลของโครงสร้างประชากรคือ การเปิดรับคนวัยทำงานจากต่างประเทศ สมัยก่อนคนไทยเชื้อสายจีนก็เคยหอบเสื่อผืน หมอนใบ นั่งเรือจ้างมาอาศัยพระบรมโพธิสมภารที่สยามประเทศ คนไทยสมัยนี้ก็น่าจะมีจิตใจที่เปิดกว้าง อย่างไรเสียเราก็คนเหมือนกัน หรือว่ากันอีกอย่างมันก็พัฒนามาจากลิงด้วยกันทั้งนั้นแล.
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
สุรพศ ทวีศักดิ์
จรรยา ยิ้มประเสริฐ นักกิจกรรมผู้คลุกคลีกับประเด็นแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศเผยข้อมูล "เจาะลึกและตีแผ่ ขบวนการพาคนไทยมาเก็บเบอร์รี่ที่สวีเดนและฟินแลนด์" เผยได้ไม่คุ้มเสีย
23 มิ.ย. 55 - สืบเนื่องจากกรณีที่นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากทางการสวีเดนว่า ได้ให้โควตาแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายนนี้ ประมาณ 5,000 คน โดยสหภาพแรงงานในสวีเดนได้ประกันรายได้ให้แก่ผู้ที่เดินทางไปเก็บผลไม้ จะต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 80,000 บาท และได้จัดเตรียมทั้งที่พักและข้าวของไว้ให้แรงงานไทยเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะที่พักจัดแยกเป็นหลายแคมป์ ทำให้ไม่แออัดเช่นปีผ่านๆ มา ส่วนประเทศฟินแลนด์จะให้โควตาแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ประมาณ 2,000 คน
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีแรงงานไทยมาลงทะเบียนเพื่อเดินทางไปเก็บผลไม้ในสวีเดนและฟินแลนด์ ประมาณ 6,000 คน ซึ่งการเดินทางไปทำได้ใน 2 รูปแบบ คือ 1.แจ้งการเดินทางผ่านบริษัทจัดหางาน และ 2.เดินทางไปด้วยตนเองโดยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสวีเดนคนละ 7.5 หมื่นบาท และฟินแลนด์คนละ 6 หมื่นบาท คาดว่าจะเริ่มส่งแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ใน 2 ประเทศนี้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้
ด้านจรรยา ยิ้มประเสริฐ นักกิจกรรมผู้คลุกคลีกับประเด็นแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ ได้เปิดเผยข้อมูล "เจาะลึกและตีแผ่ ขบวนการพาคนไทยมาเก็บเบอร์รี่ที่สวีเดนและฟินแลนด์” เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมาระบุว่าการทำงานมีสภาพที่เลวร้าย คนงานจะต้องทำงานหนักทุกวันไม่มีวันหยุดถึง 2 เดือน รวมถึงสภาพความเป็นอยู่ในแค้มป์คนงานไม่เอื้อต่อการดำรงชีพอย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานของประเทศปลายทาง และคนงานไทยต้องจ่ายค่าความเสี่ยงต่างๆ เอง ไม่ว่าจะเป็นการเช่าพาหนะ ถูกหักกำไรจากการเก็บผลไม้ป่าไปจ่ายค่าที่พักและอาหารเป็นต้น
โดยรายละเอียดของรายงาน "เจาะลึกและตีแผ่ ขบวนการพาคนไทยมาเก็บเบอร์รี่ที่สวีเดนและฟินแลนด์” มีดังต่อไปนี้ ...
อ่านเพิ่มเติม "รายงานการต่อสู้ของคนงานเก็บเบอรี่ในสวีเดนยังไม่จบ"
สารคดีคนงานไทยที่ประสบปัญหาหลังจากการไปเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดน เมื่อปี 2552
The 2009 Blueberry Fiasco in Sweden from OH Production House on Vimeo.
ประวิตร โรจนพฤกษ์
@PravitR
ที่มาภาพ https://twitter.com/wisdombright/status/216457872551313409
1. การที่สังคมจำประวัติศาสตร์อะไร ลืมอะไร มักไม่ใช่เหตุบังเอิญ
2. เหตุการณ์ในอดีตมีมากมายสารพัดจนบันทึกได้ไม่ครบถ้วน ความทรงจำในอดีตจึงเป็นสิ่งที่คัดสรร ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม/ ความทรงจำร่วมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่คนปัจจุบันเกิดไม่ทันเป็นสิ่งที่ต้องผลิตซ้ำและตอกย้ำผ่านตำราเรียน หนัง พิธีกรรม ฯลฯ มันไม่ใช่สิ่งที่เรียนรู้เองโดยธรรมชาติ
3. ผู้มีอำนาจมักอยากให้ประชาชนจำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้มีอำนาจ และลืมในสิ่งที่เป็นลบต่อผู้มีอำนาจเช่น 24 มิถุนายน วันชาติไทย = วันที่ประเทศไทยเคยมี แต่ถูกเผด็จการยกเลิก+ทำให้คนส่วนใหญ่ลืม
4. อดีตมักถูกจัดการโดยคนในปัจจุบัน ไม่ว่าถูกเอามาอ้างเพื่อเสริมความชอบธรรมหรือทำให้ลืมเพื่อสนองประโยชน์บางอย่าง
5. สังคมที่ลืมอดีตมักไม่เข้าใจปัจจุบัน ใครควบคุมอดีตได้ก็มักสามารถควบคุมความเข้าใจต่อปัจจุบันและปัจจุบันได้
6. สังคมไทยน่ากลัว เขาสามารถทำให้คนจำนวนมากลืมได้ว่า 24 มิถุนา เคยเป็นวันชาตินานกว่ายี่สิบปี – นี่เขาจะทำให้ประชาชนลืมอะไรอีกบ้างก็ไม่รู้
7. ปิดหูปิดตาปิดปาก ป้อนข้อมูลด้านเดียวอย่างไม่รู้จักพอเพียงยังไม่พอ พวกเขายังอยากให้ประชาชนลืมเหตุการณ์ประวัติศาสตร์บางเรื่องอีกต่างหาก
8. ผู้คนมักจำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง เรามักอ้างเหตุการณ์ในอดีตที่ให้คุณแก่เรา
9. การลืมหรือการถูกทำให้ลืม เป็นส่วนหนึ่งของการจัดระเบียบปัจจุบัน
10. ความทรงจำร่วมของสังคมหรือการลืมของสังคม ไม่ใช่แค่เรื่องการจำกับการลืมหากคือการต่อสู้ทางอำนาจแบบหนึ่ง กลุ่มไหนมีอำนาจมากในสังคมก็มักพยายามให้สังคมจำประวัติศาสตร์เวอร์ชั่นที่พวกเขาอยากให้จดจำ – เหมือนสื่อเอียงข้างทางการเมืองที่มักเล่นข่าวที่ฝ่ายตนได้ประโยชน์เป็นข่าวใหญ่+พยายามไม่รายงานข่าวด้านลบ
11. ความทรงจำร่วมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการทำให้ลืมจึงเป็นเรื่องของการใช้อำนาจอย่างหลีกเลี่ยงแทบไม่ได้ ประวัติศาสตร์มันจึงมิใช่เพียงแค่เรื่องเล่าจากอดีตที่ไม่เกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ของสังคมในปัจจุบัน
12. การที่ผู้คนโดยเฉพาะเสื้อแดงหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับวันที่ 24 มิถุนายน หรือการที่คนไทยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินเพลงชาติ 24 มิถุนายน ก็ไม่ใช่เหตุบังเอิญเช่นกัน
นักศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์หลายรั้วมหาวิทยาลัยเดินรณรงค์เรียกร้องให้สังคมให้ความสำคัญ 80 ปี 24มิ.ย. 2475 แม้ประชาธิปไตยกระท่อนกระแท่น แต่ประชาชนยังศรัทธา ยืนยันจะต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหารล้มประชาธิปไตยทุกรูปแบบ
9.30 น. วันนี้(23 มิ.ย.) สโมสรนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับเครือข่ายสิงห์สัมพันธ์ เช่น นิสิตนักศึกษารัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยบูรพาและมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี เป็นต้น กว่า 100 คน ได้เดินขบวนรณรงค์ร่วมกันภายใต้ชื่อโครงการนิสิตนักศึกษากับประชาธิปไตย: ขบวน รณรงค์ครบรอบ 80 ปี 24มิ.ย. 2475 โดยมีการเริ่มเดินขบวนรณรงค์จากสะพานมัฆวาน รังสรรค์ไปยังอนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย พร้อมทั้งจะมีการปราศรัยและจัดการแสดงบริเวณหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และสลายการชุมนุมไปเวลา 11.00 น.
โดยทางผู้จัดได้ให้เหตุผลของการเดินรณรงค์ครั้งนี้ว่าเพื่อให้สังคมเล็งเห็นความสำคัญของวันที่ 25 มิถุนายน 2475 และเป็นการนำองค์ความรู้ทางรัฐศาสตร์ในห้องเรียนไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและเพื่อให้นิสิตนักศึกษารัฐศาสตร์ได้ ใช้โอกาสในการร่วมจารึกเหตุการณ์สำคัญ ของประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยร่วมสมัย ด้วยการแสดงออกทางการเมืองอย่างสันติ ผ่านการรณรงค์เรียกร้องและชี้ชวนให้สาธารณชนหวนระลึกถึงวันที่ 24มิถุนายน เนื่องในโอกาสที่ปี 2555 นี้ นับเป็นการครบรอบปีที่ 80 ของการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยและตั้งคำถามว่าประเทศไทยเป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด รวมไปถึงการตั้งคำถามต่อประเด็นสิทธิ เสรีภาพและ หน้าที่ของพลเมืองชาวไทยด้วย
ภาพนักศึกษาแสดงละครสะท้อนการเมือง – แต่งเป็นประชาชนที่ต้องเป็นนักโทษการเมือง
นายติณณภพจ์ สินสมบูรณ์ทอง ประธานฝ่ายวิชาการ สโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ในฐานะผู้ประสานงานได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า “ปีนี้ครบรอบ 80 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 อยากเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทุกคนหันมาระลึกร่วมกันว่า 80 ปีมาแล้วเราเป็นประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด เราหลงลืมความสำคัญของวันที่ 24 มิถุนา 2475 ไปแล้วหรือปล่าว และที่สำคัญบริบททางการเมืองและสังคมในตอนนี้ หลายคนกำลังหมดหวัง สิ้นหวังและหมดความศรัทธากับกลไกทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา ส.ส. นักการเมือง หรือการกลัวเรื่องของสถาบันอื่นๆที่จะเข้ามาแทรกแซงกับระบอบประชาธิปไตย อาจจะมีการล้มกระดานระบอบรัฐสภาลง เราก็เลยจะเป็นส่วนหนึ่งในการเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทุกคนหันมาหวนระลึกและศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยด้วยกัน เพราะผมเชื่อว่าถ้าเราทุกคนยังคงศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าใครก็ตามไม่สามารถล้มกระดานนี้ได้ เราจะดำรงต่อไป อยู่ในระบอบประชาธิปไตยต่อไปและจะยิ่งสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันครับ”
โดยนายติณณภพจ์ ได้วิเคราะห์ถึงความสนใจของนักศึกษาที่มีต่อการเมืองว่า “ถ้าเป็นการเมืองในปัจจุบันอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีต่างๆหรือว่ากลุ่มการเมืองต่างๆที่ออกมาเรียกร้องและใช้พื้นที่สาธารณะในการเรียกร้อง ในคณะรัฐศาสตร์ของเราเองก็มีน้องๆที่มีจุดยืนมีพี่ๆที่มีจุดยืนแตกต่างหลากหลายด้วยกันทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจและกล้ายอมรับกับสังคมไทยก็คือเราทุกคนต่างยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิดครับ ไม่ว่าคุณจะคิดต่างกันมากเพียงใด ไม่ว่าคุณจะคิดเหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะขัดแย้งกันมากเพียงใด แต่เราอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ได้ครับ ซึ่งคณะรัฐศาสตร์จุฬาอยากเรียกร้องเป็นสำคัญเลยว่าอยากให้สังคมไทยหันมาเปิดใจยอมรับฟังทุกๆฝ่าย และไม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน กิจกรรมในวันนี้ที่เรามาทำร่วมกันเป็นการใช้การเรียกร้องอย่างสันติและอหิงสา และเราก็หวังว่าทุกฝ่ายในสังคมไทยตอนนี้จะไม่ใช้ความรุนแรง”
เกี่ยวกับความสำคัญของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นายติณณภพจ์ มองว่า “เราอาจจะบอกว่าเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วไง แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมันนำมาซึ่งสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ความเป็นพลเมืองและทุกอย่างเท่าที่เราจะเป็นพลเมืองไทย และเราควรจะได้รับในฐานะที่เราถืออำนาจอธิปไตยบนผืนแผ่นดินนี้ ซึ่งผมขอกล่าวขอบคุณคณะราษฎรที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง และนำประชาธิปไตยลงมาสู่มือของประชาชนทำให้เรามีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค”
“คณะราษฎรมองสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคแก่พวกเรา แต่น่าเป็นห่วงทำไมในทางปฏิบัติแล้วสังคมไทยจึงไม่มีเรื่องของพื้นที่ของสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียม นั่นเป็นเพราะเรายังไม่เปิดใจยอมรับครับ เรายังไม่อาจยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์ ความแตกต่างหลากหลายทางชนชั้น ความแตกต่างหลากหลายทางเพศภาวะ และอื่นๆ ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นปัญหาทางความคิดและอุดมการณ์ ผมคิดว่าต่อให้เราแตกต่างกันมากเพียงใดปัญหาที่เราต้องจัดการคือเราต้องเปิดใจยอมรับ เราต้องรับฟังผู้อื่นให้มาก” นายติณณภพจ์ กล่าว
สำหรับการแสดงละครในวันนี้ของทางกลุ่ม ประธานฝ่ายวิชาการ สโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้อธิบายว่า “ที่ผ่านมาประชาธิปไตยกระท่อนกระแท่นบาดเจ็บหนักจากการถูกฉีกทิ้งถูกทำลายแต่ประชาชนก็ยังคงศรัทธา นำพาและเดินต่อไป ซึ่งในระยะทางต่างๆก็จะมีนักการเมืองที่ฉ้อฉล ทหารที่จะต้องล้มกระดานหมากนี้ลง ซึ่งภาพที่สะท้อนในละครก็จะเห้นว่าลำพังการต่อสู้ของคนหยิบมือเดียวนี่ไม่สามารถต่อสู้ได้แน่นอนที่จะทำให้ประชาธิปไตยดำรงอยู่ต่อไปได้ เพราะในขณะเดียวกันทั้งนักการเมืองและทหารต่างก็ผลิตซ้ำวาทกรรมและสร้างมายาคติเพื่อมาหลอกลวง เพราะฉะนั้นเราเองจะต้องเป็นตัวแสดงหลัก ตัวแสดงที่สำคัญที่สุดในการเรียกร้องประชาธิปไตยและเราจะต้องสร้างประชาธิปไตยไปได้ร่วมกัน”
นายติณณภพจ์ ย้ำถึงจุดยืนของนักศึกษาในการรักษาประชาธิปไตย “เราขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหารทุกรูปแบบไม่ว่าจะใช้รถถังหรือไม่ก็ตาม เราไม่อาจให้ใครมาล้มเกมส์หมากกระดานนี้ได้ครับ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกติกาของประชาธิปไตย ไม่ว่าใครจะชอบหมากกระดานนี้หรือไม่ก็ตาม เราจะใช้กติกาอย่างเสมอภาคร่วมกันครับ และเราจะเดินหน้าต่อไป อย่างช่วงชีวิตของผมผมปัจจุบันมีอายุ 22 ปี ผมเกิดมาผมได้ทันเห็นและมีความทรงจำเพียงครั้งเดียวเกี่ยวกับการปฏิวัติรัฐประหารก็คือในปี 2549 และคิดว่าเป็นความเลวร้ายที่สุดเท่าที่สังคมไทยเคยเผชิญมา ผมไม่อาจให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งที่ 2 ในความทรงจำของผม ณ ตอนนี้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะสนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารและล้มประชาธิปไตยลง ขอกล่าวและเชิญชวนไว้ ณ ที่นี้ว่าอย่าเลยครับ ประชาธิปไตยมอบสิทธิ เสรีภาพและความเท่าเทียมแก่ท่านทุกคน ให้แก่ผมด้วยเพราะฉะนั้นเรามาร่วมกันจรรโลงสังคมไทยใช้กติการ่วมกันและทำให้สังคมไทยรุดหน้าก้าวหน้าต่อไปด้วยกันดีกว่านะครับ”
“ผมปฏิเสธทุกรูปแบบของการปฏิวัติรัฐประหารและผลพวงของมัน เช่นกันครับ รัฐธรรมนูญปี 2550 ในปัจจุบันก็เป็นเศษซากความเน่าเฟะของการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะฉะนั้นผมคิดว่าจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไข กลไกที่สำคัญอาจไม่ได้อยู่ที่นักการเมือง กลไกที่สำคัญคือประชาชนคนไทยทุกคนต้องร่วมมือกันออกมาเคลื่อนไหวแล้วแสดงจุดยืน และทำให้ประชาธิปไตยเป็นของประชาชนคนไทยสร้างรัฐธรรมนูญของคนไทยขึ้นมาอย่างแท้จริง” นายติณณภพจ์ กล่าวทิ้งท้าย
VDO Clip การแสดงละครและการปราศรัยบางส่วน :
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์
สองตอนที่ผ่านมาได้กล่าวถึงจุดกำเนิด และแรงกิริยา-ปฏิกิริยา ทำให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า สถาบันพระปกเกล้าในฐานะองค์กรหนึ่งของรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยกลับมุ่งมั่นที่จะก้าวเดินสู่ทางเส้นขนานกับอุดมการณ์คณะราษฎรอย่างจริงจัง จึงไม่แปลกอะไรที่องค์กรนี้อยู่ในสถานภาพอันแปลกแยกเป็นอย่างยิ่งต่อความคึกคักของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเพื่ออำนาจของประชาชนในทุกวันนี้ บทความตอนสุดท้าย จะนำผู้อ่านไปสู่บทบาทที่เรามองไม่เห็นของสถาบันพระปกเกล้า ที่ได้ฝังรากและแผ่กิ่งก้านครอบงำสถาบันการศึกษาและองค์กรต่างๆ รวมถึงสร้างกลุ่มทางสังคมในนามของประชาธิปไตยที่มีรัชกาลที่ 7 ทรงเป็นประมุข
สถาบันพระปกเกล้า ประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ นั่นคือ ส่วนกำกับนโยบาย ได้แก่ สภาสถาบันพระปกเกล้าที่มีประธานรัฐสภาเป็นประธาน ซึ่งฟากนี้มีกรรมการโดยตำแหน่งและกรรมการที่มาจากรัฐสภา ขณะที่ส่วนบริหาร ประกอบด้วย เลขาธิการ, คณะกรรมการบริหาร และผู้ตรวจสอบภายใน เลขาธิการเป็นหัวใจสำคัญที่สุดที่จะควบคุมการดำเนินการทั้งหลาย
ภายใต้เลขาธิการ (ปัจจุบันคือ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ) มีรองเลขาธิการ 2 ตำแหน่ง แยกเป็นรองเลขาฯ (ปัจจุบันคือ วุฒิสาร ตันไชย) ที่บริหารสายงานอันเน้นหนักด้านการเรียนการสอนและวิชาการอย่าง วิทยาลัยการเมืองการปกครอง, วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น, สำนักงานวิจัยและพัฒนา, สำนักงานส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง และ สำนักส่งเสริมวิชาการรัฐสภา กับรองเลขาฯ อีกตำแหน่ง (ปัจจุบันคือ วิทวัส ชัยภาคภูมิ) ที่ดูแลสำนักงานเลขาธิการ, สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล และพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ดูแลงานทั่วไปอย่าง ห้องสมุด ศูนย์บรรณสารและสารสนเทศ, ศูนย์ประชาสัมพันธ์. งานวิเทศสัมพันธ์, งานติดตามประเมินผล และงานโครงการพิเศษ เป็นบทบาทของผู้ช่วยเลขาธิการฯ
ภาพประกอบ ผังโครงสร้างองค์กรสถาบันพระปกเกล้า
สถาบันพระปกเกล้า เปิดการเรียนการสอนอย่างจริงจังในลักษณะสถาบันการศึกษา [1] ในนามของวิทยาลัยการเมืองการปกครอง, วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น รวมไปถึงงานวิชาการ อบรมบุคลากรจากภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนเกี่ยวกับการเมือง การปกครองและการเศรษฐกิจและสังคม แต่เป็นสถาบันที่มีความชัดเจนว่าให้ความหมายต่อระบอบประชาธิปไตยในแบบของตัวเอง จนอาจกล่าวได้ว่า สถาบันนี้ในอีกด้านแล้วก็คือ โรงเรียนประชาธิปไตยอันมีรัชกาลที่ 7 ทรงเป็นประมุข
แต่โรงเรียนแห่งนี้ไม่มีบุคลากรที่เป็นอาจารย์สอนประจำมากเพียงพอ จึงต้องมีคณะกรรมการหลักสูตรจากภายนอก รวมถึงจ้างอาจารย์พิเศษจากภายนอกมา ตัวอย่างเช่น ใน วิชาแนวคิดเบื้องต้นและทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง [2] มีผู้สอนอันเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างก็คือ เทียนฉาย กีระนันนท์ (ปรัชญาพื้นฐานเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์) อัมมาร สยามวาลา (หลักและแนวคิดพื้นฐานทางด้านเศรษฐศาสตร์) วรากรณ์ สามโกเศศ (เป้าหมาย กลยุทธ์และเครื่องมือในระบบเศรษฐกิจ) ธงทอง จันทรางศุ (ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายเศรษฐกิจไทย) สุเมธ ตันติเวชกุล (การดำเนินงานทางเศรษฐกิจตามแนวคิดในพระราชดำริ) ฯลฯ ผู้เขียนมีความรู้ไม่มากนักเกี่ยวกับเรื่องสถาบันการศึกษาในปัจจุบันที่จะชี้ว่า ลักษณะ “โปรโมเตอร์ทางวิชาการ” ของสถาบันนี้เหมือนหรือแตกต่างกับแห่งอื่นๆบ้างไหมในประเทศนี้
หากพิจารณาจากประกาศนียบัตร เราจะเห็นหลักสูตรการเรียนการสอน ดังนี้
หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง ถือได้ว่าเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม การพยายามสร้าง “รุ่น” ขึ้น ได้มีการเรียกรุ่นด้วยตัวย่อตัวด้วยตัวเลขอย่าง ปปร.15 ทำให้ผู้เขียนนึกถึง การใช้ตัวย่อของรุ่น จปร. และวปอ. โดยเฉพาะหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) วิทยาลัยดังกล่าว ได้สร้างกลุ่มทางสังคมของกลุ่มคนชั้นนำฝ่ายข้าราชการ ทหารและพลเรือน มาตั้งแต่ปี 2498 ที่ในภายหลัง ปี 2532 เปิด หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน หรือ ปรอ. ขึ้นมาอีกหลักสูตรหนึ่ง เพื่อให้นักธุรกิจระดับเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารได้เข้ารับการศึกษาร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ [6] หลักสูตรดังกล่าวจึงสร้างรุ่นและกลุ่มทางสังคมที่ติดอาวุธทางปัญญาแบบสถาบันพระปกเกล้า พร้อมไปกับสร้างแบ็คอัพให้กับสถาบันและประชาธิปไตยแบบนี้อย่างมั่นคง สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดก็คือ วีรกรรมของสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าที่ดาหน้าถล่มนิติราษฎร์ไปเมื่อช่วงก่อน
ที่น่าสังเกตก็คือ ค่าธรรมเนียมการเรียนการสอนบางหลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้า พบว่าสูงถึง 109,000 บาท ในกรณีที่เคยผ่านหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงอื่น ของสถาบันพระปกเกล้ามาแล้วจะลดเหลือ 98,100 บาท [7] ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการศึกษาดูงานในต่างประเทศ เอาเป็นว่าด่านการเงินก็เป็นอุปสรรคแรกต่อคนชั้นแรงงาน และคนธรรมดาสามัญเสียแล้วที่จะเข้าถึงหลักสูตรแบบนี้ อย่างไรก็ตามไม่ทราบว่ามีทุนการศึกษาให้หรือไม่ ข้อมูลในเว็บไซต์ไม่ได้แจ้งไว้
นอกจากนั้นหากเราเทียบกับการรับปริญญาแล้ว สถาบันนี้ยังมีการมอบประกาศนียบัตรชั้นสูงกิตติมศักดิ์ และประกาศนียบัตรกิตติมศักดิ์ ให้สำหรับคนที่คู่ควร โดยสถาบันจะเป็นผู้พิจารณามอบให้ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการมอบปริญญากิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ เลย
นักศึกษาหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
สำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 15 (ปปร.15) มอบเงินช่วยน้ำท่วม
ภาพจาก http://www.kpi.ac.th/kpith/index2.php?option=com_content&task=view&id=1146&pop=1&page=88&Itemid=68
นอกจากจะต้องมีเงินถุงเงินถังแล้ว เมื่อพิจารณาดูจากคุณสมบัติของผู้เรียนประกาศนียบัตรชั้นสูงในหลายหลักสูตรพอจะประมวลได้ว่า แม้จะพบความหลากหลายในสาขาอาชีพ แต่ก็เป็นคนในระดับบนแทบทั้งสิ้น ซึ่งในแต่ละหลักสูตรจะเปิดรับคุณสมบัติที่แตกต่างกันบ้าง ที่มีลักษณะร่วมกันก็คือ ต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรี และอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป โดยให้ความสำคัญกับ ข้าราชการและผู้บริหารองค์กรเป็นหลัก หากเป็นนายทหารหรือนายตำรวจชั้นยศ, พันเอก, นาวาเอก นาวาอากาศเอกหรือ พันตำรวจเอกขึ้นไป หากเป็นข้าราชการพลเรือนก็ต้องไม่ต่ำกว่าระดับ 8 รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของเอกชน
ที่พิสดารหน่อยก็คือ บางหลักสูตรรับ “ศิลปิน” ซึ่งหมายถึง นักร้อง นักแสดง ที่มีประสบการณ์สูงและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ แน่นอนว่าอาชีพสูงส่งในสังคมไทยย่อมผ่านคุณสมบัตินี้อย่างสบาย เช่น คนในแวดวงตุลาการอย่าง คนในแวดวงองค์กรที่มีผลต่อการเมืองไทยอย่าง สมาชิกรัฐสภา, กรรมการเลือกตั้ง, ผู้ตรวจการแผ่นดิน ,กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, ตุลาการรัฐธรรมนูญ, กรรมการปปช., ประธานหรือรองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ข้าราชการตุลาการยุติธรรม ตั้งแต่อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นขึ้นไป, ข้าราชการตุลาการศาลปกครองตั้งแต่ตำแหน่งอธิบดีศาลปกครองหรือภูมิภาคขึ้นไป, ข้าราชการอัยการตั้งแต่อธิบดีอัยการขึ้นไป บางหลักสูตรระบุว่า บุคคลที่สภาสถาบันพระปกเกล้าให้เข้ามาศึกษา เพราะมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในการพัฒนาประชาธิปไตย หรือเป็นผู้ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตย หรือสนับสนุนงานของสถาบันต่อไป
กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว สะท้อนความเชื่อของสถาบันฝากความหวังการพัฒนาประชาธิปไตย ที่ให้ความสำคัญต่อคนที่อยู่บนโครงสร้างอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจเป็นหลักมากกว่าจะสร้างความเข้มแข้งจากฐานราก ฐานคิดเช่นนี้เป็นเรื่องเดียวกับข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นในส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ว่าด้วยผู้มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้งที่ระบุว่าต้องจบปริญญาตรี ปัญหาของความคิดที่ไม่เปิดโอกาสความเท่าเทียมในการเข้าสู่อำนาจในระบอบประชาธิปไตย จึงตอกย้ำได้สมกับเป็นสถาบันพระปกเกล้าที่ไม่เห็นความสำคัญของอำนาจอธิปไตยของราษฎร ไม่เห็นความสำคัญของโอกาสการเข้าถึงทรัพยากรที่เท่าเทียมกัน ว่าไปแล้วนี่คือ อุปสรรคของการพัฒนาประชาธิปไตยเสียด้วยซ้ำไป
ในเว็บไซต์ของสถาบันพระปกเกล้าได้จัดระบบการอธิบายผลงานของตนไว้เป็น 7 หมวด ที่ไม่รวมกับการเรียนการสอน ได้แก่
ในหมวดต่างๆ ก็ยังแบ่งเป็น 4 ส่วนเหมือนกันนั่นคือประกอบไปด้วย ผลงานวิจัย, บทความ, หนังสือเผยแพร่ และผลการสัมมนา สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผลงานที่โดดเด่นที่สุดก็คือ หมวดระบอบประชาธิปไตยที่มีผลงานวิจัยอยู่ 57 ชิ้น มีบทความที่นำมาจากสื่อต่างๆอีก 32 บทความ มีหนังสือเผยแพร่อยู่ 21 เล่ม และผลการสัมมนาอยู่ 4 ชิ้น
ตามมาด้วยหมวดการกระจายอำนาจและปกครองท้องถิ่น ที่มีผลงานวิจัยอยู่ 3 ชิ้น บทความ 7 บทความ หนังสือเผยแพร่อยู่ถึง 54 เล่ม และผลการสัมมนา 6 ชิ้น
ที่น่าผิดหวังมาก ก็คือ หมวดพระปกเกล้าศึกษา ที่มีผลงานน้อยมาก นั่นคือ มีเพียงผลงานการทำหนังสือเผยแพร่ 2 เล่ม นั่นคือ เฉลิมพระยศเจ้านายฝ่ายใน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โดย สถาบันพระปกเกล้า และ อาคารพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดย บัณฑิต จุลาสัย และ พีรพงศ์ จันทรา หรืออาจเป็นได้ว่าในนามของรัชกาลที่ 7 แล้ว ความสัมพันธ์กับระบอบประชาธิปไตยช่างกลวงเปล่านัก สิ่งที่ประจักษ์แก่ตาพวกเราก็คือ ตัวสถาบันเองมิได้ผลิตข้อมูล งานวิจัย ข้อโต้แย้งใดๆในแวดวงวิชาการสาธารณะเลย การอ้างอิงถึงรัชกาลที่ 7 ก็เป็นเพียงผลิตซ้ำการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ด้วยอนุสาวรีย์และพิพิธภัณฑ์เพียงเท่านั้น
ผลงานอีกส่วนหนึ่งที่พบในเว็บไซต์ของสถาบันก็คือ ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง ที่พยายามสรุปหัวข้อและจัดทำบทความทางการเมืองการปกครองของไทยตั้งแต่การเปลี่ยนมาสู่ระบอบประชาธิปไตย จนถึงปัจจุบัน ฐานข้อมูลนี้มีหน้าตาและการใช้งานคล้ายกับ วิกิพีเดีย ขณะนี้มี 1,163 บทความ แบ่งเป็นหมวดหมู่ทั้งหมด 15 หมวด ได้แก่
ลักษณะเด่นก็คือ มีการระบุผู้เขียนบทความ และมีผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความกำกับอย่างชัดเจน พร้อมทั้งการอ้างอิงและหนังสือแนะนำเพื่อค้นคว้าต่อ สำหรับผู้เขียนบทความ บางครั้งเป็นนักวิชาการในสถาบัน บางครั้งเป็นนักเขียนภายนอกที่อาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง เช่น นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เขียนบทความ “การหายตัวของทนายสมชาย นีละไพจิตร” [8] อุเชนทร์ เชียงแสน เขียนบทความ “เครือข่าย 19 กันยา ต้านรัฐประหาร” [9] ฯลฯ
เว็บไซต์ฐานข้อมูลการเมืองการปกครองสถาบันพระปกเกล้า
http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/หน้าหลัก
จากเครือข่ายชนชั้นนำชนชั้นปกครองที่สร้างผ่านชุมนุมหลักสูตรชั้นสูงแล้ว ยังมีการประชุมวิชาการพระปกเกล้า ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2542 [10] อันต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน และยังมีโครงการให้ทุนสนับสนุนการทำวิทยานิพนธ์ขึ้นโดย สำนักวิจัยและพัฒนา ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2543 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้เกิดการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการ เมืองการปกครองและการพัฒนาประชาธิปไตย และสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ขึ้น
. นอกจากนั้น สถาบันยังทำตัวเอเย่นต์แนวคิดประชาธิปไตยที่มีรัชกาลที่ 7 ทรงเป็นประมุข โดยอาศัยแบรนด์ของตนทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมต่อกับเครือข่ายต่างจังหวัดในนาม “ศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง” เราพบว่าปัจจุบันมีศูนย์ดังกล่าวอยู่ใน 42 จังหวัดทั่วประเทศ [11] ศูนย์เหล่านี้ส่วนใหญ่ผูกติดกับมหาวิทยาลัยราชภัฏจังหวัดต่างๆ ดังที่จะเห็นว่า อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏมักจะดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการศูนย์ฯ รวมไปถึงสถาบันในเครือข่ายราชภัฏเช่น วิทยาลัยแม่ฮ่องสอน อีกด้วย นอกจากนั้น หากจังหวัดใดไม่มีแม้เครือข่ายราชภัฏ ก็จะแปรเปลี่ยนไปตามบุคคลที่มีความสัมพันธ์ต่อการเรียนรู้และภาคประชาสังคม เช่น ผู้บริหารสถาบันการศึกษาใน จังหวัดพะเยา บุคลากรด้านสาธารณสุขแบบที่จังหวัดน่าน
เว็บเพจที่แสดงเครือข่ายศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง
http://www.kpi.ac.th/ppd/
สิ่งที่สถาบันเน้นมากอีกส่วนหนึ่งก็คือ การกำหนดอำนาจและขอบเขตเกี่ยวกับการให้ประกาศนียบัตร วุฒิบัตร รวมไปถึงการกำหนดเข็มวิทยฐานะ ซึ่งปรากฏอยู่ใน พ.ร.บ.สถาบันพระปกเกล้า (ฉบับที่2) พ.ศ.2543 อันกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับประกาศนียบัตร และวุฒิบัตรต่างๆใหม่ นอกจากนั้นยังมี ข้อบังคับสถาบันพระปกเกล้า เรื่อง เครื่องแบบสำหรับผู้ศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงทุกหลักสูตร พ.ศ. 2545, ข้อบังคับสถาบันพระปกเกล้า ว่าด้วยเข็มวิทยฐานะ ตราเครื่องหมาย สัญลักษณ์ของสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. 2544 และที่สำคัญ ข้อบังคับสถาบันพระปกเกล้า ว่าด้วยการศึกษาในสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. 2543 ที่แจงให้เห็นหลักสูตรและรายละเอียดการเรียนการสอน การกำหนดระเบียบที่ซับซ้อนเช่นนี้ ไม่ต่างจากระเบียบข้อบังคับของโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาในระบบของกระทรวงศึกษาธิการเลย
การมอบรางวัลพระปกเกล้าและใบประกาศเกียรติคุณสถาบันพระปกเกล้านั้น ถือเป็นการปูนบำเหน็จและมอบเกียรติยศผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยอาศัยชื่อชั้นและแบรนด์ประชาธิปไตยที่มีรัชกาลที่ 7 ทรงเป็นประมุขเป็นจุดขาย โดยเฉพาะการผูกความหมายของรางวัลเข้ากับพระราชดำริการจัดตั้งเทศบาล เมื่อทรงพระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์ The New York Time ฉบับวันที่ 28 เมษายน 2474 เริ่มมีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี 2544 และผูกติดกับงานประชุมวิชาการ KPI CONGRESS ประจำปี [12] อนึ่ง การจัดตั้งเทศบาลขึ้นอย่างจริงจังและกว้างขวางนั้น เป็นผลงานของคณะราษฎรที่แทบไม่ได้รับการกล่าวถึงและให้เกียรติจากสถาบันนี้เลย
เราสามารถแบ่งเป็นรางวัล 2 ประเภท นั่นคือ รางวัลสถาบันพระปกเกล้า และรางวัลสถาบันพระปกเกล้าทองคำ ซึ่งส่วนหลังเป็นรางวัลระดับพรีเมี่ยม
รางวัลสถาบันพระปกเกล้า จะมีการแจกทุกปีตั้งแต่ปี 2544 จนกระทั่งในปี 2552 เริ่มแบ่งประเภทรางวัลเป็น 3 ประเภท [13] ได้แก่ ประเภทที่ 1 ด้านความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ประเภทที่ 2 ด้านการเสริมสร้างสันติสุขและความสมานฉันท์ และประเภทที่ 3 ด้านการเสริมสร้างเครือข่าย รัฐ เอกชน และประชาสังคม นั่นทำให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีโอกาสที่จะได้รับรางวัลมากขึ้นกว่าเดิม สถาบันให้เหตุผลว่า เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น
รางวัลสถาบันพระปกเกล้าทองคำ จะมีทำการมอบรางวัลแบบปีเว้นปี ที่แตกต่างจากรางวัลธรรมดาก็คือ เป็นรางวัลที่มอบให้กับ องค์กรที่บริหารงานด้วยความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนที่โดดเด่น ต่อเนื่อง และมีการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการบริหารงานใหม่ๆ อันเป็นแบบอย่างที่ดีแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในประเทศไทย บังเอิญเสียเหลือเกินว่า การมอบรางวัลพระปกเกล้าทองคำครั้งแรก เกิดขึ้นในวันที่ 5 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นวันสถาปนาสถาบันพระปกเกล้า [14] ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน เพียง 2 สัปดาห์
รางวัลพระปกเกล้าทองคำ ปี 2551 ของ เทศบาลตำบลกำแพง จังหวัดสตูล
http://www.kumpangcity.go.th/award/a51_4.php
สถาบันพระปกเกล้า ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐ ตัวเลขต่อปีอยู่ที่ 200-400 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงบประมาณของมหาวิทยาลัยราชภัฏในแต่ละจังหวัดที่ได้เฉลี่ยแห่งละประมาณ 200-300 ล้านบาท ก็นับได้ว่า สถาบันพระปกเกล้าใช้จ่ายเงินในขนาดพอๆกัน อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับองค์ที่สุรุ่ยสุร่ายกว่ามากๆอย่าง สสส. ที่ภายใน 10 ปีใช้เงินไปกว่า 24,403 ล้านบาทแล้ว ถือว่า สถาบันพระปกเกล้าทำงานได้คุ้มค่ากว่ามาก ตารางด้านล่างจะแสดงให้เห็นการได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐตั้งแต่ยังสังกัดอยู่กับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
ตารางแสดง งบประมาณแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระปกเกล้า ปี 2538-2555
ปีงบประมาณ
|
งบประมาณ
|
คณะรัฐบาล
|
หมายเหตุ
|
2538
|
ไม่มีข้อมูล
|
บรรหาร
|
เริ่มจัดตั้งสถาบันพระปกเกล้า ในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
|
2539
|
ไม่มีข้อมูล
|
บรรหาร/ชวลิต
|
งบประมาณอยู่ในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
|
2540
|
ไม่มีข้อมูล
|
ชวลิต/ชวน
|
งบประมาณอยู่ในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
|
2541
|
1,319,283,400
|
ชวน
|
งบประมาณอยู่ในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร/ พรบ.พระปกเกล้า
|
2542
|
1,120,586,800
|
ชวน
|
งบประมาณอยู่ในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
|
2543
|
1,088,539,600
|
ชวน
|
งบประมาณอยู่ในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร/พรบ.พระปกเกล้า (ฉ.2)
|
2544
|
1,140,409,800
|
ชวน/ทักษิณ
|
งบประมาณอยู่ในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
|
2545
|
265,000,000
|
ทักษิณ
|
แยกงบประมาณออกมาเป็นอิสระ
|
2546
|
220,000,000
|
ทักษิณ
|
|
2547
|
238,114,900
|
ทักษิณ
|
|
2548
|
239,100,000
|
ทักษิณ
|
|
2549
|
314,279,000
|
ทักษิณ/สุรยุทธ์
|
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดย คปค.
|
2550
|
200,000,000
|
สุรยุทธ์
|
|
2551
|
264,321,000
|
สุรยุทธ์/สม้คร/สมชาย/อภิสิทธิ์
|
|
2552
|
360,000,000
|
อภิสิทธิ์
|
สถาบันพระปกเกล้าออกนโยบายจริยธรรม
|
2553
|
406,109,000
|
อภิสิทธิ์
|
เหตุการณ์ปราบปรามประชาชน เดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553
|
2554
|
383,084,300
|
อภิสิทธิ์/ยิ่งลักษณ์
|
|
2555
|
372,968,900
|
ยิ่งลักษณ์
|
สถาบันพระปกเกล้าเสนองานวิจัยปรองดอง
|
เป็นสิ่งที่น่าติดตามเช่นกันว่า หลังรัฐประหาร 2549 แล้ว สถาบันนี้จะมีบทบาทอย่างไรในสังคมการเมืองที่เปลี่ยนผ่านไปทางอาการเสื่อมถอยของประชาธิปไตย แทนที่เราจะพบกับคำถามที่แหลมคมต่อการรัฐประหาร ไม่ว่าจะสนับสนุนหรือไม่เห็นด้วย แต่เปล่าเลยเรากลับพบว่า สิ่งที่ปรากฏก็คือ การเต้นตามทำนองพร่ำเพ้อหาศีลธรรม คุณธรรมจากปากฝ่ายอนุรักษ์นิยมทั้งหลาย นั่นคือ การตรา “ประมวลจริยธรรมบุคลากรของสถาบันพระปกเกล้า” ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา ปี 2552 [15] โดยทำการยกเลิก “จรรยาบรรณพนักงาน ลูกจ้างของสถาบันพระปกเกล้า” ฉบับเดิมในปี 2544
คำปรารภของประมวลจริยธรรม กล่าวถึงนิยามของจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำงานด้วยตรรกะอันพิสดาร ที่จับใจความได้ว่า การที่ทุกตำแหน่งต้องปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้นั้น ต้องมี “จริยธรรม” อันเกิดจากการรวมตัวกันของ “คุณธรรม” ในฐานะประโยชน์แก่ส่วนรวมและตัวเอง และ “ศีลธรรม” ในฐานะโทษของส่วนรวมและตัวเอง โดยภาพรวมเนื้อหาหลักๆ ของประมวลจริยธรรมนี้ก็อาจไม่แปลกอะไรและไม่ต่างอะไรกับจรรยาบรรณทั่วๆไป แต่ที่สะดุดใจผู้เขียนก็คือ มีอยู่ตอนหนึ่งของจริยธรรมบุคลากรที่ผูกโยงเข้ากับความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อย่างแน่นแฟ้น ดังนี้ [16]
หมวด 3 จริยธรรมบุคลากร
ข้อ 4 บุคลากรต้องมีจิตสำนึกและยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยอย่างน้อยต้องวางตน ดังนี้
1) ไม่แสดงการต่อต้านการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือสนับสนุนให้นำการปกครองในระบอบอื่นที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาใช้ในประเทศไทย
2) จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และไม่ละเมิดองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินีและพระรัชทายาทไม่ว่าทางกาย หรือทางวาจา
แทนที่สถาบันพระปกเกล้าจะมุ่งเน้นสร้างองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับคุณูปการของพระปกเกล้า หรือข้อโต้แย้งข้อเสนอของฝ่ายตรงกันข้าม หรือกระทั่งการสนับสนุนแนวคิด “คณะราษฎรชิงสุกก่อนห่าม” อย่างเป็นระบบ กลับพบว่าปัญญาชนฟากฝั่งนี้ไม่ได้ให้ความสนใจ ที่จะสร้างความรู้ใหม่ๆมาเสริมสิ่งที่หัวใจของตนเอง แต่กลับมุ่งทำในสิ่งที่ไม่ใช่ด้านถนัดของตน ตัวอย่างสำคัญก็คือ การสร้างกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีบทบาทเสริมภาพลักษณ์องค์กร ดังที่เห็นได้จากหลักสูตรผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตยรุ่นที่1 สถาบันพระปกเกล้า (ปนป.1) ที่เริ่มต้นในปี 2554
หลักสูตรผู้นำฯ รุ่นแรก 120 คน มีอายุตั้งแต่ 20-40 ปี ประกอบด้วยคนดังในวงการบันเทิง ได้แก่ วู้ดดี้ - วุฒิธร มิลินทจินดา, อั๋น-ภูวนาถ คุนผลิน, ฟลุ๊ค-เกริกพล มัสยวาณิช, พชร ปัญญายงค์ แวดวงการเมือง เช่น อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ, วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์, สกลธี ภัททิยะกุล และสรยุทธ เพ็ชรตระกูล ที่รั้งตำแหน่งประธานรุ่น ส่วนแวดวงธุรกิจ ก็มี ธนา เธียรอัจฉริยะ,จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ,นิธิ เนื่องจำนง,ปณิธาน ปวโรฬารวิทยา รวมถึงอาชีพอื่นๆ ทั้งตุลาการ ตำรวจ สื่อมวลชน นักวิชาการ แม้แต่แอร์โฮสเตส นักสังคมสงเคราะห์ ร่วมด้วยบรรดาผู้นำนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น จุฬา,ธรรมศาสตร์,รามคำแหง ผู้นำนักศึกษามุสลิม โดยจุดประสงค์ของหลักสูตรนี้จากการสัมภาษณ์ของบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบัน ก็คือ ต้องการให้คนเหล่านี้มีความรู้ที่กว้างขึ้นกว่างานที่ตัวทำ, พัฒนาสู่ทักษะออกไปช่วยสังคม แทนที่จะเขียนเปเปอร์ส่งเหมือนหลักสูตรอื่นๆ หลักสูตรนี้ต้องคิดทำโครงการ ลงพื้นที่ศึกษาปัญหาในชุมชน ฝึกฝนทักษะทำงานเป็นทีมและทำงานร่วมกับประชาชน เมื่อจบหลักสูตรแล้วจะมีการประกวดโครงการแข่งขันกัน, หวังว่าหลังจากเรียนจบแล้วจะมีทัศนคติที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น [17]
เหล่าผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตยรุ่นที่1 สถาบันพระปกเกล้า (ปนป.1)
ด้วยความที่มีพิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดังอย่างวู้ดดี้ ซึ่งมีคอนเนกชั่นทางสื่อและวงการบันเทิง ทำให้เกิดผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันก็คือ การจัดทำสปอตรณรงค์เพื่อเชิญชวนคนออกมาเลือกตั้งทั่วไปในปี 2554 ที่ชื่อว่า “อวสานแพลงกิ้ง จะนอนนิ่งหรือจะ...?” [18]
คลิป “อวสานแพลงกิ้ง จะนอนนิ่งหรือจะ...?” ที่เผยแพร่ในยูทูป
http://www.youtube.com/watch?v=Yo37rPGqF0E
นอกจากนั้น เครื่องมือสำคัญที่พวกเขาใช้หล่อหลอมพฤติกรรมให้กลายเป็นคนกลุ่มเดียวกันในระยะเวลาอันสั้นก็คือ กิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือ แม้ว่าลูกเสือชาวบ้านเคยถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายอนุรักษ์นิยมขวาจัดในช่วงขวาพิฆาตซ้ายช่วงปี 2518-2519 มาแล้ว แต่สถาบันพระปกเกล้าก็ไม่ยี่หระใดๆต่อประวัติศาสตร์แบบนั้น และอาจถือว่าไม่เกี่ยวกันและอยู่คนละบริบททางประวัติศาสตร์แล้วก็เป็นได้ สถาบันจัดกิจกรรมให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสโลกของลูกเสือ ผ่านกิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือที่ผสมผสานอุดมการณ์ชาตินิยมและการสันทนาการนอกบ้านได้อย่างลงตัว มีบทสัมภาษณ์ของสมาชิกรุ่น ปนป.1 อย่าง มินท์ อรรถวดี จิรมณีกุล ไฮโซและนักร้องเสียงดี กล่าวไว้ว่า
“ที่สำคัญพอกลับมาแล้วมิ้นท์รู้สึกมองโลกเปลี่ยนไปเลย เพราะไปอยู่ตรงนั้นมันไม่ได้สบาย ต้องทำทุกอย่างเอง จุดเตาไฟทำกับข้าวเอง พอกลับมาบ้าน สิ่งธรรมดาอย่างแค่เครื่องปรับอากาศ เราก็รู้สึกถึงค่าของมันมากขึ้น ว่าที่จริงชีวิตเราสบายนะ หรือการมีคนทำนู่นนี่ให้ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีอย่างเรา มันทำให้เราฉุกคิดและเห็นคุณค่าอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตของเรามากขึ้น” [19]
เหล่าผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตยรุ่นที่1 สถาบันพระปกเกล้า (ปนป.1) ในเครื่องแบบลูกเสือ ยามออกค่าย
ล่าสุดเห็นว่ามี ปนป.2 แล้วในปี 2555 เหล่าคนดังที่เรารู้จักกันก็มีตั้งแต่ [20] สุริยะใส กตะศิลา, จิตรภัสร์ ภิรมย์ภักดี, หมอโอ๊ค สมิทธิ์ อารยะสกุล, โอปอล์ ปาณสรา พิมพ์ปรุ ฯลฯ คำสัมภาษณ์ของยะใส น่าจะเป็นคำพูดแทนใจของคนในรุ่นได้อย่างหมดจด
“เป็นความทรงจำที่สุดแสนประทับใจ และสามารถเก็บเกี่ยวมิตรภาพที่สุดวิเศษจากเพื่อน ปนป.2 ได้อย่างงดงาม ที่สำคัญที่สุดทำให้ผมเห็นคุณค่าของหลักสูตรนี้ตั้งแต่เริ่มต้น ขอบคุณคณาจารย์หลักสูตรสถาบันพระปกเกล้า ครูฝึกลูกเสือ เพื่อนร่วมรุ่นทุกๆท่าน ที่ร่วมกันสร้างประสบการณ์อันทรงเกียรติกันครั้งนี้ครับ”
การที่สถาบันพระปกเกล้า เน้นความเป็นผู้นำก็ดี การกีดกันคนที่การศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีก็ดี การเรียนหลักสูตรที่มีค่าธรรมเนียมแสนแพงก็ดี การคัดคนที่มีลำดับชั้นบนให้เข้ามาร่วมสังสรรค์ก็ดีแสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่า ประชาธิปไตยแบบนี้เป็นอย่างไร และเป็นของใครกันแน่
ตั้งแต่ต้นปี 2555 ไปถึง 2556 สนามการเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศร้อนระอุขึ้นท่ามกลางการขยายตัวของผลประโยชน์และการตื่นตัวทางการเมือง ทั้งที่สมรภูมินี้เป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อการตื่นตัวของประชาธิปไตยในสังคมไทย เมื่อการเมืองท้องถิ่นนั้นวางอยู่บนฐานผลประโยชน์ชนิดที่ว่าเป็นการเมืองใกล้ตัวที่กินได้
หลายแห่งเราพบด้วยซ้ำว่า ยักษ์ใหญ่แบบพรรคเพื่อไทยก็ยังล้ม เมื่อไม่แคร์ต่อความรู้สึกประชาชนในการการส่งผู้แทนที่ไม่เข้าท่า และไม่มีศักยภาพจะสร้างผลงาน ไม่ว่าจะเป็นสนามเลือกตั้งระดับองค์การบริหารส่วนจังหวัด, เทศบาลนคร, เทศบาลเมือง ไล่มาจนถึงระดับองค์การบริหารส่วนตำบล
แต่ที่เงียบเชียบเป็นพิเศษก็คือ ท่าทีของสถาบันพระปกเกล้าที่จะเดินเกมรุกที่จะ “เล่น” กับการกระแสท้องถิ่นที่อย่าลืมว่าเป็นจุดขายที่สถาบันพระปกเกล้าเคยอ้างกระแสพระราชดำรัส รัชกาลที่ 7 ไว้ ทั้งที่สถาบันพระปกเกล้าที่ควรจะเป็นหัวเรือใหญ่ที่จะเล่นกับกระแสการเมืองท้องถิ่นนี้ เมื่อเทียบกับผลกระทบและเป็นประเด็นทางการเมืองอย่างงานวิจัยปรองดองนั้นแล้ว สถาบันกลับมีท่าทีที่เฉยเมย อย่างยิ่งกับสนามเลือกตั้งท้องถิ่นนี้ ทั้งที่แบรนด์รางวัลพระปกเกล้าของตัวเองนั้นให้น้ำหนักของท้องถิ่นเป็นอย่างมาก สิ่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำว่า สถาบันถนัดที่จะสร้างภาพและผลิตงานเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพ
ยังดีที่ว่า สถาบันพระปกเกล้ายังอยู่ในแวดวงของกระแส “จังหวัดจัดการตัวเอง” [21]
บทบาทของสถาบันพระปกเกล้าที่ผ่านมา จึงเต็มไปด้วยความลักลั่นพอๆกับนิยามของประชาธิปไตยในสังคมไทย ในความเห็นผู้เขียนเห็นว่า หากสถาบันพระปกเกล้าไม่สามารถพิสูจน์ศักยภาพในฐานะสถาบันที่เชิดชูประชาธิปไตยของตัวเองได้ ก็คงจำเป็นต้องแจ้งแก่สาธารณะโดยตรงว่า สถาบันนี้ไม่ได้สนับสนุนประชาธิปไตย แต่ต้องการเป็นโรงเรียนบริหารการเมืองธุรกิจ เพื่อผลิตผู้นำทางการเมืองระดับครีมอะไรก็ว่ากันไป และแยกตนออกมาจากการสนับสนุนของรัฐสภาเสีย และเปิดโอกาสให้มีหน่วยงานใหม่เข้ามาทำงานตรงนี้แทนที่ เพราะอย่าลืมว่า สาระของหน่วยงานนี้คือ องค์กรอิสระภายใต้กำกับของรัฐสภาอันเป็นสถาบันตัวแทนของประชาชน
แม้กระทั่งชื่อของสถาบัน เราก็อาจตั้งคำถามได้ด้วยว่า ไปกันได้กับประชาธิปไตยที่คนส่วนใหญ่ของประเทศใฝ่หาและเอื้อให้อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือจำเป็นที่จะต้อง Rename เพื่อไม่ทำให้คนไขว้เขวและเข้าใจผิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยไปมากกว่านี้
หรือไม่เช่นนั้นก็สถาบันพระปกเกล้า ก็จงทำให้สาธารณะเห็นเถิดว่า สิ่งที่ผู้เขียนปรามาสไว้นั้นผิด.
อ้างอิง:
นักกิจกรรมเสื้อแดงประกาศต้านอำนาจนอกรัฐธรรมนูญยกตัวอย่างกบฏบวรเดช ขณะที่อนุสาวรีย์ปราบกบฏกำลังปรับปรุงภูมิทัศน์ นักประวัติศาสตร์ชี้อาจทำลายสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับคณะราษฎร
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เข้าร่วมปฏิญญาหน้าศาล ชี้องค์กรที่อยู่นอกเหนือระบบรัฐสภาจะทวีความเลวร้ายมากยิ่งขึ้นใน 2-4 ปีข้างหน้านี้ ความหวังเดียวคือมวลชน และความเชื่อมั่นศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย
รองศาสตราจารย์ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ จากสถาบันเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต เข้าร่วมเวทีแลกเปลี่ยนของกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล ที่จัดขึ้นทุกวันอาทิตย์บริเวณบาทวิถีหน้าศาลอาญา เพื่อรณรงค์ปลดปล่อยนักโทษการเมือง โดยอาทิตย์นี้จัดในวันเสาร์ก่อน 24 มิถุนายน
รศ.ปวิน พูดคุยถึงทัศนะในเรื่องนักโทษการเมืองว่า ในประเทศประชาธิปไตยไม่มีนักโทษการเมือง เพราะโดยนิยามแล้วนักโทษการเมืองคือ กลุ่มคนที่มีความคิดแตกต่างจากรัฐบาล ซึ่งในประเทศประชาธิปไตยเรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ได้ รัฐบาลต้องยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ต้องเปิดพื้นที่ให้มีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นและรับผิดชอบในสิ่งตนเองพูด การลงโทษถึงขนาดจับกุมเป็นเรื่องที่ผิดและทำไม่ได้ในสังคมประชาธิปไตย เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานในการแสดงความเห็นด้านการเมือง
ในประเทศที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะประเทศเผด็จการก็มีนักโทษการเมืองอยู่มาก การจับกุมคุมขังถือเป็นมาตรการหนึ่งของรัฐ ในการที่จะควบคุมการแสดงความเห็นทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา
กลไกอีกอันหนึ่งคือ มาตรา 112 ปัจจุบัน ใช้กันอย่างพร่ำเพรื่อ เป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมือง อย่างกรณีอากงก็เห็นได้ชัดว่าเป็นประเด็นทางการเมือง มีการจับกุมโดยที่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ก่อนหน้ารัฐประหารมีการใช้มาตรา 112 น้อยมาก และใช้กันเฉพาะในหมู่นักการเมืองระดับสูง เช่น คุณทักษิณก็ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่เอา 112 มาเล่น แกล้งฝ่ายตรงข้าม คุณทักษิณฟ้องคุณสนธิ คุณสนธิฟ้องคุณทักษิณ คุณทักษิณฟ้องพรรคประชาธิปัตย์เรื่องเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือในการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ก็ฟ้องกลับ แต่อย่างไรก็ตาม มันยังมีวงจำกัดอยู่แค่นักการเมืองเท่านั้น ไม่ลงมาถึงระดับประชาชน
แต่หลังรัฐประหาร ฝ่ายอำมาตย์เริ่มมีความหวั่นกลัวว่าประชาชนมีความตื่นตัวด้านการเมืองมากขึ้น จุดนี้ทำให้เขารู้สึกเริ่มอ่อนแอลง ซึ่งมันมีไม่กี่ทางที่เขาจะสามารถป้องกันตนเองได้ วิธีหนึ่งคือใช้รัฐประหาร มันก็อาจเป็นไปได้อีก วิธีการหนึ่งคือใช้ตุลาภิวัตน์ ซึ่งเขากำลังใช้อยู่ วิธีการที่เริ่มใช้มา 3-4 ปี แล้วคือใช้กฎหมายหมิ่นฯ ซึ่งตอนนี้ใช้อย่างสะเปะสะปะ บางอันไม่เกี่ยวกับการเมืองระดับชาติเลย ชี้ให้เห็นว่ากฎหมายมีช่องโหว่อยู่มาก สร้างบรรยากาศความหวาดกลัวทุกภาคทุกอณูของสังคมไทย เป็นทางแยกที่เราไม่รู้จะเดินไปทางไหน ความหวังอย่างเดียวคือรัฐบาลจะช่วยทำให้สถานการณ์มีความกระจ่างมากขึ้น จึงอยากขอจุดยืนจากรัฐบาลหน่อย เรื่อง 112 ว่าจะเอายังไง เลิกคลุมเครือ ถ้าไม่แก้ ขอเหตุผลดีๆ ซึ่งเชื่อว่าหาเหตุผลลำบากถึงจุดนี้ มาตรา 112 ถึงไม่ยกเลิก อย่างต่ำก็ต้องได้รับการแก้ไข เพราะสังคมไทยไปอย่างนี้ไม่ได้
ส่วนตุลาการภิวัฒน์ หรือ judicial coup นั้น อ.ปวิน เห็นว่า เกิดขึ้นครั้งแรกในการปลดสมัครออกจากนายกฯ ต่อมา ยุบพรรคพลังประชาชน แต่การยุบพรรคไม่เกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งที่เราคิดว่าไม่น่าเกิดขึ้นกับสังคมไทย ไม่ว่าจะเลวร้าย บัดซบ ไม่มีเหตุผลรองรับอย่างไร มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งในรัฐสภาและการแทรกแซงของศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นสิ่งไม่แปลก แต่มันคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะมันยิ่งลดความน่าเชื่อถือของระบบตุลาการไทย
อ.ปวินเห็นว่า ปัจจุบัน เราพึ่งใครไม่ได้ พึ่งสถาบันศาสนาให้มาเป็นแนวทางในการนำจริยธรรมก็คงลำบาก พึ่งองค์กรอิสระให้เป็นกลางดูแลแก้ไขปัญหาก็คงลำบาก ทางออกทางเดียวคือ ประชาธิปไตย ประชาชนต้องมีความเชื่อมั่น ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย รู้จักเล่นเกมตามระบอบประชาธิปไตย ถ้าแพ้ก็ต้องยอมรับ
ต่อประเด็นที่ประชาชนเริ่มเห็นว่ารัฐบาลและ ส.ส.ที่เลือกมาไม่ใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างเต็มที่ รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโตกล่าวว่า อยากให้รัฐบาลมีความกล้าๆ หน่อย คุณได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนแล้วยังจะกลัวอะไร ประชาชนเขาจำ ถ้าคุณไม่ทำอย่างที่เขาต้องการ เขาก็ไม่เลือกคุณอีก คุณอย่าทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเขามีความสำคัญแค่วันเลือกตั้งเท่านั้น รัฐบาลอาจคิดถึงความอยู่รอดของตัวเอง ทำให้มีความพยายามต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับศัตรูทางการเมืองที่มีอำนาจล้นเหลือ เช่น ผูกมิตรกับกองทัพ ไปพบผู้อาวุโสบางคนของประเทศ แต่การทำเช่นนี้ คุณลืมประชาชนไป มันไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนต้องการ อย่างน้อยสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องคุณต้องทำให้ได้ นักโทษการเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเสื้อแดงที่สนับสนุนคุณมายังไม่ช่วยเขาเลย มาตรา 112 ก็มีความคลุมเครือ นายกฯ ก็ออกมาพูดว่าจะไม่แก้ไข พูดได้อย่างไรในเมื่อมันเป็นปัญหาแก่นของสังคมไทย ถ้าคุณทักษิณคิดว่ารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และต้องอยู่ไปอีก 8 ปี สิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ทำอยู่ตอนนี้ไม่พออย่างแน่นอน ต้องทำมากกว่านี้ มีจุดยืนมากกว่านี้
ส่วนสภาในเมื่อคุณมีเสียงข้างมาก ถ้าคุณเห็นว่ากฎหมายอันไหนเป็นประโยชน์ต่อสังคมจริงๆ เป็นความก้าวหน้าด้านประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่ตอบสนองข้อเรียกร้องของประชน คุณก็ต้องมีความรับผิดชอบ อย่างมาตรา 112 ประชาชนเรียกร้องไปแล้ว รวบรวมรายชื่อไปแล้ว ถึงเวลาต้องทำคุณก็ต้องทำ จะหลีกเลี่ยงได้อย่างไร ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยในต่างประเทศว่าแย่มาก ประเทศไทยเคยเป็นโมเดลของประเทศในภูมิภาคที่มีประชาธิปไตยที่เบ่งบาน มีสื่อที่พูดได้อย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้กลับตาลปัตรไปหมด ตอนนี้พม่าเจริญกว่าเราทางด้านความคิดทางการเมือง เขากำลังเดินออกจากระบบที่ครอบงำโดยทหาร ส่วนประเทศไทยกำลังถอยหลังเข้าสู่ระบบครอบงำของทหาร ของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าเราไม่ปรับตัวเราจะเป็นประเทศที่ล้าหลังอย่างมาก
ประเทศไทยเป็นสมาชิกประชาคมโลก เป็นสมาชิกองค์การระหว่างประเทศ เรามีพันธกรณีกับหลายๆ หน่วยงานระหว่างประเทศ ถ้าเราคิดว่าเราเป็นประเทศประชาธิปไตย เราต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า เราเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งจุดนี้เรายังอ่อนมาก และต่างชาติกำลังมองเราอย่างใกล้ชิด ถ้าเราจะเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าในแบบที่เป็นประชาธิปไตย เราคงต้องเคลื่อนไปทั้งองคาพยพ จะทำทีละเล็กละน้อยไม่ได้ เราเคยมีความหวังว่าระบบตุลาการจะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา แต่ตอนนี้ระบบตุลาการทั้งหมดกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ความรุนแรงจะเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่เราเห็นในทุกวันนี้ว่ามันเลวร้ายมาก มันจะเลวร้ายไปกว่านี้อีก ใน 2-4 ปีข้างหน้า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ องค์กรต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือระบบรัฐสภา นอกเหนือระบอบประชาธิปไตย จะยิ่งเพิ่มเขี้ยวเล็บมากขึ้น เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่เขาปกป้องอยู่ทั้งผลประโยชน์ของตัวเอง และผลประโยชน์ของคนอื่นๆ มันจะไม่อยู่กับเขาอีกต่อไป เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นช่วงวาระสุดท้ายที่เขาจะทำทุกอย่าง เราจะเห็นเรื่องต่างๆ ที่มันทุเรศๆ ออกมาอีก เรื่องที่เรารับไม่ได้ เรื่องที่ขาดเหตุผล อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง ถ้าคุณเห็นว่าตุลาการทุกวันนี้ประพฤติตนไม่ถูกต้อง มันจะกรณีเช่นนี้อีกเยอะ ถ้าคุณเห็นว่าทหารไม่ยอมออกจากการเมือง คุณจะเห็นว่าเขาจะกลับเข้ามาอีกมากขึ้นๆ ไม่รู้ทางออกจะเป็นอย่างไร ประชาชนคงต้องสู้ต่อไป
สุดท้าย อ.ปวินตอบคำถามผู้เข้าร่วม ถึงกรณีที่หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 เป็นสิ่งผิด ประชาชนจะทำอย่างไรต่อ อ.ปวินกล่าวว่า หากรัฐธรรมนูญตัดสินเช่นนั้น และรัฐสภาเชื่อตามศาลรัฐธรรมนูญ มันเหลือโอกาสน้อยที่ประชาชนจะทำอะไรได้ นอกจากว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยลุกขึ้นต่อสู้โต้เถียงในทางกฎหมายว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจจะทำเช่นนั้น แต่ลึกๆ ไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะทำ ทุกคนยังหลับตาและฝันหวานอยู่ในความเชื่อมั่นว่าจะมีความปรองดองเกิดขึ้น ส่วนประชาชนคงต้องสู้กันแบบ street protest(การต่อสู้ตามท้องถนน) , civil disobedience (อารยะขัดขืน) การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอนาคต ที่จะเกิดขึ้นต้องเปลี่ยนแปลงมาจากมวลชนเท่านั้น คาดหวังจากนักการเมืองก็เหนื่อย ประชาชนใช้สิทธิไปแล้วในตอนเลือกตั้ง ในเมื่อไม่เป็นไปตามสิ่งที่เราคิด วิธีเดียวคือร่วมกันออกมาต่อต้าน
24 มิ.ย. 55 - ผลการนับคะแนนการเลือกตั้ง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ (อย่างไม่เป็นทางการ) 99.50% (เข้าดูทางเว็บไซต์ http://chiangmaipao.go.th ณ เวลา 7.30 น. ของวันที่ 24 มิ.ย. 55 ) ผูู้สมัครหมายเลข 1 นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ มีคะแนนนำผู้สมัครคนอื่นๆ โดยได้คะแนน 400,584 คะแนน ตามมาด้วยผู้สมัครหมายเลข 2 นายถาวร เกียรติไชยากร ได้คะแนน 148,613 คะแนน ผู้สมัครหมายเลข 4 นางกิ่งกาญจน์ ณ เชียงใหม่ ได้คะแนน 95,368 คะแนน อันดับสุดท้ายคือผู้สมัครหมายเลข 3 นายขวัญชัย สกุลทอง ได้คะแนน 41,983 คะแนน โดยมีประชาชนกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนถึง 61,663 คน
ผศ.ไพศาล อินทสิงห์
paisuni@nu.ac.th
ขึ้นชื่อว่า ผู้นำ ไม่ว่าใครย่อมต้องการเห็น “ผลสำเร็จ” จากฝีมือบริหารของตน โดยหวังให้ “ผลของงาน” เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคมมากที่สุด
จะทำได้มากน้อยแค่ไหน อยู่ที่การ “ขับเคลื่อน”
อีก 2 เดือนจะครบ 1 ปีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นช่วงเวลาหนึ่งของการบริหาร น่าจะบ่งบอกอะไรได้พอสมควร
ผ่าน ไม่ผ่าน สมหวัง ผิดหวัง
คงจะมีโอกาสฟังการแถลงผลงานในรอบปี เชื่อว่า รัฐบาลได้เตรียมการไว้แล้ว จะมีผลงานอะไรบ้างบรรลุผลอย่างไร สมกับที่คาดหวังหรือไม่ ซึ่งชวนติดตามไม่น้อย
การแถลงข่าว เป็นกลวิธีหนึ่งทางการประชาสัมพันธ์ (PR)
พูดก็พูดเถอะ ว่ากันตามจริงแล้ว ประชาชน ชาวบ้านก็พอจะรับรู้รับทราบบ้างแล้วจากข่าวสารสื่อมวลชนนำเสนอในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์
ยุคใหม่แล้ว ทั้งรู้จากสื่อ อีเมล์ อินเทอร์เน็ต Facebook Twitter มือถือ ฯลฯ อยากรู้อะไรให้ลูกหลานเปิดกูเกิ้ล รู้หมด ได้ดั่งใจ ชนิดที่เรียกว่า “ความรู้สั่งได้”
ซึ่งรัฐบาลคงจะต้องอ่านประชาชนให้ดี มิเช่นนั้น การแถลงข่าวผลงาน อาจไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เพราะรู้แล้ว เท่ากับPRเข้าไม่ถึง และหากไม่มีอะไรใหม่ ยิ่งลำบาก
จะใหม่หรือไม่ ถ้าให้ประชาชนเป็นผู้บอก ว่ารัฐบาลมีผลงานแค่ไหน สำเร็จเพียงใด เป็นประโยชน์อย่างไร
เขาอาจวิพากษ์ วิจารณ์ ไม่เป็นไรถ้าเป็นพลังความคิดบริสุทธิ์ ตำหนิก็มี ที่ชมก็มาก เพราะเขาเห็น สัมผัส และเป็นผู้ใช้บริการโครงการรัฐ จริงอย่างไรก็จริงอย่างนั้น
เป็นไปได้หรือไม่ อยู่ที่รัฐบาล หากทำได้ ก็ได้ใจ(จากประชาชน) เป็นรัฐบาลมิติใหม่ เปิดกว้างมีความคิดเห็นกันได้ ยอมรับกันได้ ทุกคนมีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของประเทศ ใครบิดเบือน สังคมมองเห็น
หากรัฐบาลทำดี ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว
รัฐบาลจะบิดเบือนก็ไม่ได้ เพราะคนไม่เชื่อ เช็คข่าวได้ ใครไม่พูดความจริงก็เสียหาย วันนี้จับโกหกไม่ยาก
ต่างรู้เท่าทันด้วยข้อมูลข่าวสาร ไม่ยอมกันแล้ว
ในฐานะผู้หนึ่งที่สนใจ PR มีมุมมองที่อยากนำเสนอ แลกเปลี่ยนความคิด ประสบการณ์ ผู้อ่านอาจเห็นต่าง เห็นเพิ่ม เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม และผู้ที่สนใจ ทำอย่างไรให้การแถลงผลงานในรอบปีเป็นโอกาส เป็นมูลค่าเพิ่มให้รัฐบาลและประชาชน
มองในเชิงPR ออกเป็น 3 มุม คือ
หนึ่ง เป็นโอกาสทบทวน ตรวจสอบ ประเมินค่างาน 1 ปีได้ผลของงานเป็นอย่างไร ได้ทำอะไรไปบ้าง เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างไร มีปัญหาอุปสรรคตรงไหน เป็นการมองอดีต
สอง กำหนดอนาคต มองไปข้างหน้า ด้วยการพัฒนา แตกไลน์ และต่อยอดผลงาน ขณะที่งานใดล้าสมัยหรือหมดความจำเป็นแล้ว อาจหยุด ชะลอ ยุบเลิก ยุบรวม กระทั่งปรับเป้าหมาย ปรับนโยบายให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนยิ่งขึ้น เพื่อเติมเต็มคุณภาพชีวิต และสังคม ซึ่งจะต้องพัฒนาแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงการกำหนดนโยบายใหม่(เพิ่มเติม)ที่ตอบโจทย์อนาคตและการเปลี่ยนแปลง
สาม สื่อสารกับประชาชน
ทั้งนี้ มองว่า การจะสื่อสารกับประชาชน ให้น่าสนใจ ดังนี้
1. การแถลงผลงานรัฐบาลตามรูปแบบราชการปกติ ก็ดำเนินการไป ขณะที่ควรจัดให้ประชาชนพูดบ้าง จะเปิดช่องทางอย่างไรให้สื่อสารกลับได้บ้าง เขาอาจพูดถึงการเข้าร่วมโครงการรัฐติดขัดตรงไหน จุดอ่อน อุปสรรค ความสำเร็จหรือล้มเหลวของนโยบาย ให้ข้อคิด ข้อเสนอแนะ ล้วนเป็นประโยชน์ ซึ่งสามารถนำไปปรับแนวทางและวิธีการแก้ไขปัญหาได้ตรงโจทย์ที่สุด
ผิดหรือที่ประชาชนจะพูดกล่าวชื่นชมนายกรัฐมนตรีของเขา ขณะที่ชาวบ้านอีกส่วนอาจบอกว่า ไม่รู้จักรัฐมนตรีท่านนี้เลย หรือรัฐมนตรีโลกลืม ก็เป็นไปได้ เป็นผลดีเสียอีก จะได้ปรับการทำงานใหม่
จะใช้ช่องทางถ่ายทอดสดหรืออย่างไรก็ว่าไป มีถาม มีตอบ พูดคุยอย่างเป็นกันเอง เป็นไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น ใช้สื่อรัฐ หรือสื่อเอกชนก็พร้อมสนับสนุนรัฐบาล
2. ให้สื่อมวลชนพูดบ้าง จัดเสวนาสื่อมวลชน ให้สื่อพูดถึงผลงาน สะท้อนปัญหา มุมมองเรื่องต่างๆในรอบปีรัฐบาลเป็นอย่างไร วันนี้สื่อแข่งขันสูง ทำการบ้านเยอะ มีศักยภาพเป็นที่พึ่งพารัฐบาลได้ รู้หมด ใครเป็นอย่างไร ปัญหาประเทศอยู่ตรงไหน สามารถชี้แนะชี้นำที่ดี รัฐบาลต้องใช้ประโยชน์จากสื่อให้มากขึ้น และดึงเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาประเทศ
ขณะที่ทีมงานโฆษกรัฐบาลต้องเชิญสื่อมาร่วมแถลงผลงานรัฐบาล ให้สื่อทำสกู๊ป เฉกเช่นทีวี หนังสือพิมพ์สรุป 10 ข่าวเด่นในรอบปีเหมือนตอนส่งท้ายปีเก่า ประมาณนั้น ซึ่งดูดี จะทำให้ได้ชิ้นงานที่โดดเด่น เพราะสื่อมีมุมมองในสายตาของสื่อและรู้ดีที่สุดว่า จะหยิบอะไร จะเล่น(นำเสนอ)เรื่องใด
3. ให้เอกชนพูดบ้าง จัดเสวนาภาคเอกชน ให้ผู้นำธุรกิจพูดถึงผลงานในรอบปีรัฐบาล จุดอ่อนจุดแข็ง มองปัญหาความต้องการอย่างไร โดยเฉพาะจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีที่ 2 ของรัฐบาลอย่างไร
เป็นจังหวะก้าวใหม่สำหรับรัฐบาลที่จะยึดประชาชน เป็นศูนย์กลางของการแถลงผลงาน มิใช่ PR one way ให้ประชาชนฟัง
แต่เป็นPR two ways ให้ประชาชนพูด รัฐบาลฟัง
ประชาชน เป็นผู้ให้คะแนนความสำเร็จหรือล้มเหลวของรัฐบาล
อัสซาด ปธน. ซีเรียตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
ฮัสซัน โตะดง โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ)
มูฮำหมัด ดือราแม สำนักข่าวประชาไท
กวี จงกิจถาวร ประธาน SEAPA บรรยาย“มองประชาคมอาเซียนจากมมุมข่าว” อธิบายเหตุกลไกสิทธิมนุษยชนล่าช้า ชี้ต้องมีกลไกแก้ข้อพิพาท สร้างจุดยืนร่วม ภาคประชาสังคมช่วยกระตุ้น เผยดัชนีชี้วัด เสรีสื่อยังไม่สมบูรณ์ ปัญหานักข่าวอาเซียนมองแค่ประเทศตัวเอง
กวี จงกิจถาวร บรรณาธิการอาวุโสเครือเนชั่นมัลติมิเดียกรุ๊ป และประธาน South Asian Press Association (SEAPA)
กวี จงกิจถาวร บรรณาธิการอาวุโสเครือเนชั่นมัลติมิเดียกรุ๊ป และประธาน South Asian Press Association (SEAPA) บรรยายพิเศษ “มองประชาคมอาเซียนจากมมุมข่าว” ในโครงการอบรมนักข่าวโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ครั้งที่ 1/2555 ณ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ บ้านพักรับรอง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555
กลไกสิทธิมนุษยชนที่ล่าช้า
อาเซียนเป็นภูมิภาคเดียวที่ไม่มีกลไกการป้องกันเรื่องสิทธิมนุษยชน จนกระทั่งปี ค.ศ.2009 และยังไม่มีการตรวจสอบ ติดตาม สืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทำไมจึงล่าช้ามาว่า 15 ปี เพราะไม่มีฉันทามติ
ไทยพยายามส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในระดับสากล ประเทศไทยเขียนรายงานประจำปีเรื่องสิทธิมนุษยชนต่อองค์การประชาชาติได้ดีมากในบรรดาประเทศด้อยพัฒนา เพราะไทยเอาเครือข่ายภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วม
ในอาเซียนไม่มีรายงานประจำปีเรื่องสิทธิมนุษยชนของประเทศสมาชิก แต่มีรายงานประจำปีที่ประเทศสมาชิกส่งให้สหประชาชาติ เพราะฉะนั้นต้องสร้างกลไกป้องกันเรื่องสิทธิมนุษยชนของอาเซียนในระดับคณะกรรมาธิการที่มีอำนาจชัดเจน
ทำไมจึงมีช่องว่างระหว่างบรรดาสมาชิกประชาคมอาเซียนกับสหประชาชาติ แสดงว่าสมาชิกประชาคมอาเซียนยอมต่อกัน
ในกฎบัตรอาเซียน มาตรา 14 ระบุว่า จะต้องส่งเสริมปกป้องสิทธิมนุษยชน คนธรรมดาอ่านแล้วไม่รู้ว่า หมายความว่าอย่างไร แต่คนที่ติดตามเรื่องประชาคนอาเซียน จะรู้ความต่างระหว่างส่งเสริมกับปกป้อง หรือ ปกป้องกับส่งเสริม เช่นคำว่า ผมรักคุณ ผมจะสนับสนุนคุณ เท่ากับว่าผมส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของคุณ แต่หากผมบอกว่า ปกป้องสิทธิมนุษยชน คุณจะต้องเขียนรายงาน จะต้องเข้าไปสืบสวน ประชาคมอาเซียนจึงบอกว่า ส่งเสริมไปก่อนค่อยปกป้องที่หลัง
หากปกป้องอาเซียนจะต้องส่งคนไปดูกรณีเหตุการณ์กรือเซะ หรือให้มาเลเซียส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดู ประเทศก็คงไม่ยอม หรือจะให้ไปดูเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศมาเลเซีย ประเทศมาเลเซียก็ไม่ยอม นี่คือเทคนิคของประชาคมอาเซียน
ต้องมีกลไกแก้ไขข้อพิพาท
ผู้สื่อข่าวต้องจับตาดูสินค้าไทยในประชาคมอาเซียนให้มาก ปัญหาเศรษฐกิจการเงินโลกมาอันดับหนึ่ง ความมั่นคงด้านพลังงานอันดับสอง นักข่าวจะต้องรู้ปัญหาภายในประชาคมอาเซียนและภายนอกประชาคมอาเซียนด้วย เช่น ปัญหาสภาวะโลกร้อน การก่อการร้าย โรคระบาด
อย่างกรณีการก่อการร้ายของอิหร่าน ไม่มีใครเขียนได้ตรงประเด็น เพราะคิดว่าไม่มีใครคิดร้ายต่อประเทศไทย เมื่อเกิดระเบิดที่กรุงเทพฯ ต่างก็ด่าทอกัน โดยไม่เข้าใจว่า การเมืองของการก่อการร้ายคืออะไร ประเทศไทยออกมาปฏิเสธ ทั้งๆ รัฐบาลน่าจะบอกว่า ไม่ต้องกลัว เรามีความพร้อมในการรับมือกับการก่อการ้ายและมีข้อมูล
ประชาคมอาเซียนจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับกลไกการแก้ปัญหาข้อพิพาททางเมือง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการยุติข้อพิพาท จึงต้องพึ่งสหประชาชาติ เช่น มาเลเซียมีข้อพิพาทกับอินโดนีเซีย เรื่องเกาะลีกีตัน สิงคโปร์มีปัญหาเรื่องเกาะ Petro Banka กับมาเลเซีย ต่างก็ใช้ศาลโลกในการไกล่เกลี่ย
แสดงว่าประชาคมอาเซียนมีปัญหาในการแก้ไขข้อพิพาทของตัวเอง ฉะนั้นประชาคมอาเซียนต้องเพิ่มประเด็นการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างสมาชิกประชาคมอาเซียนด้วย เพราะเป็นประเด็นสำคัญในอนาคต ซึ่งประชาคมอาเซียนจะต้องมีประเด็นความมั่นคงและนโยบายการทูต
ประเด็นนี้มักมีคนเปรียบเทียบกับสหภาพยุโรปว่า เวลาพูดจะเหมือนๆ กัน แต่ประชาคมอาเซียนพูดอะไรไม่เคยเหมือนกัน เพราะแต่ละคนมีความภาคภูมิใจในอธิปไตยของตนเอง ไม่ยอมต่อกัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้จุดยืนของประชาคมอาเซียนอ่อนแอลง
หากเป็นประชาคมแล้ว อาเซียนจะต้องพูดให้เหมือนกันหมด ตัวอย่างเช่น กรณีพิพาทเรื่องหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ ประเทศที่พูดเยอะที่สุด คือ เวียดนามกับฟิลิปปินส์ ซึ่งมีข้อพิพาทในเรื่องดังกล่าว แต่ประเทศไทยไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย แต่ในปี ค.ศ.1995 ประเทศไทยมีการพูดประเด็นนี้อยู่บ้าง เพราะเป็นประเด็นหนึ่งเดียวด้านความมั่นคง
หากประชาคมอาเซียนมีจุดยืนน้อย ยิ่งไม่มีอำนาจต่อรอง แสดงว่าไม่มีความสามัคคี โอกาสที่จะเป็นหนึ่งเดียวในด้านความมั่นคง แทบจะไม่มีเลย เพราะประเทศสมาชิกอาเซียนหวงตนเองมาก ไม่อยากให้ประชาธิปไตยของประเทศตนเองไปตกอยู่กับประชาคมอาเซียน
ภาคประชาสังคมกับอาเซียน
ภาคประชาสังคมต้องกระตือรือร้น ช่วยผลักดันจากรากหญ้าสู่ผู้นำในการสร้างประชาคมอาเซียนให้ได้ ให้คุณและโทษแก่สมาชิกประชาคมอาเซียนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎบัตรอาเซียนอย่างเคร่งครัด มีระบบการเมืองเปิด และเป็นประชาธิปไตย เคารพการเลือกตั้ง ยุติธรรม สามารถตรวจสอบได้ อย่างที่ประเทศพม่า กำลังดำเนินการอยู่
ครึ่งหนึ่งของสมาชิกประชาคมอาเซียนไม่เคยเชิญนักสังเกตการณ์จากต่างประเทศเข้ามา เพราะฉะนั้นประเทศพม่า ทำให้ประเทศอาเซียนต่างๆไม่สบายใจ ทั้งเรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชน และเคารพบทบาทของภาคประชาสังคม จึงจะต้องมีกองกำลังรักษาสันติภาพของประชาคมอาเซียน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มี
ความฝันของประชาคมอาเซียน
ความใฝ่ฝันของประชาคมอาเซียนที่จะยกระดับขากสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations) มาเป็นสหภาพอาเซียน (ASEAN Union) คงเป็นไปได้ยาก ขณะที่หนังสือเดินทางอาเซียน คิดว่าต้องรออีก 5 ปีข้างหน้า การเข้า - ออกอย่างเสรี สำหรับสมาชิกประชาคมอาเซียนต้องรออีก 10 ปีข้างหน้า
ส่วนเงินสกุลอาเซียน เลิกคิดไปได้เลย เพราะประสบการณ์ของสหภาพยุโรปที่ใช้เงินสกุลยูโรได้ยกเลิกไปแล้ว เพราะความไม่พร้อม ส่วนการตั้งสภาอาเซียนยิ่งลำบาก และสิทธิมนุษยชนของประชาคมอาเซียนเลิกหวังไปเลย
ดัชนีชี้วัด เสรีสื่อยังไม่สมบูรณ์
รายงานของ Freedom House บอกว่า ในภูมิภาคอาเซียนไม่มีสื่อใดๆ ที่มีความอิสรเสรีที่สมบูรณ์เลย ประเทศที่มีเสรีภาพมากๆ คือฟิลิปปินส์ มีเสรีภาพมาก คือไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย มีเสรีภาพบ้างคือ มาเลเซีย พม่า มีเสรีภาพน้อยคือ สิงคโปร์ บรูไน มีเสรีภาพน้อยมากคือ เวียดนาม ลาว
เกณฑ์ในการวัดเสรีภาพระหว่างต่างชาติกับอาเซียนแตกต่างกัน ชาวต่างชาติวัดเสรีภาพด้วยการวัดว่า มีเสรีภาพหรือไม่ แต่ประชาคมอาเซียนวัดว่า มีเสรีภาพน้อยหรือไม่มีเสรีภาพ
ดัชนีสื่อ เป็นเรื่องที่แปลก เพราะประเทศที่มีเสรีภาพมากๆ ประเทศนั้นจะมีการลงทุนมาก ถือว่ามีความโปร่งใสทางด้านข้อมูล แต่ประเทศไทยกลับคิดว่า การที่สื่อมีความเสรีภาพมากๆ ทำให้มีกรณีของการหมิ่นสถาบันมากขึ้น
ปัญหาของนักข่าวอาเซียน
ปัญหานักข่าวในประชาคมอาเซียนเป็นการเล่นพรรคเล่นพวก เขียนแต่เรื่องของประเทศตนเอง ไม่มีความรู้สึกในชะตาความเป็นประชาคมอาเซียน
เวลาคนไทยเขียนถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประชาคมอาเซียน ไม่เคยเขียนว่า องค์กรประชาคมอาเซียนและอนาคตจะเป็นอย่างไร นักข่าวประเทศมาเลเซียก็เขียนเฉพาะประเด็นของประเทศมาเลเซีย ไม่มีความรู้สึกความเป็นประชาคมอาเซียนร่วมกัน
ฉะนั้นนักข่าวต้องคำนึงว่า ประชาคมอาเซียนเป็นองค์กรร่วม ไม่ใช่เขียนเพียงว่า ใครจะได้อะไรจากการประชาคมอาเซียนอย่างเดียว
ปัญหาของนักข่าว คือ กลัวการแทรกแซง เล่นตามประเด็นของทางการอย่างเดียว ไม่สนใจข่าวข้ามชาติทั้งๆ ที่มีผลต่อประเทศตัวเอง โดยเฉพาะบางประเทศที่ไม่ยอมที่จะให้ใครมาเขียนเรื่องภายในประเทศของตน
นักข่าวไม่เข้าใจประวัติศาสตร์และเรื่องอื่นๆ ของประชาคมอาเซียน จึงไม่มีประวัติร่วม ต่างจากสภาพยุโรปที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน นักข่าวดูถูกประเทศเพื่อนบ้าน มีความคิดแบบขาวดำ คิดว่า ประเทศของตัวเองดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
นักข่าวน่าจะส่งเสริมอัตลักษณ์และความรู้สึกร่วมกันในความเป็นประชาคมอาเซียน ส่งเสริมประชาคมอาเซียนแบบวิธีบูรณาการ ส่งเสริมความโปร่งใส่ในการเข้าถึงข้อมูลในอาเซียน ปัจจุบันนักข่าวที่เขียนข่าวในกรอบอาเซียนมีน้อยมาก